• Connect with us

    Enter Books

    ซยงหนู

    ทดลองอ่าน ซยงหนู ทัณฑ์สวรรค์ อาถรรพ์ต้องสาป เล่ม 1 บทที่ 3-4

    บทที่ 4 เปาเหยียตื่นเต้น

     

    มีตำรวจมาถึงแบบนี้ เพียงไม่นานหน้าต่างเขตที่พักอาศัยก็สว่างขึ้นมากกว่าครึ่ง ทำให้เขตที่พักอาศัยทั้งหมดพลอยสว่างตามไปด้วย หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจจัดการกับที่เกิดเหตุเสร็จผมก็ถูกเชิญตัวไปสถานีตำรวจอีกครั้ง ตอนนายตำรวจสูงวัยคนเดิมถามว่าผมรู้อะไรเกี่ยวกับ ‘ดาบพก’ ที่ถูกเขียนไว้บนกระดาษบ้างหรือเปล่า ผมได้แต่ตอบไปว่าไม่แน่ใจ ผมมักรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าที่ทางด้านหลังมีพลังอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ซ่อนอยู่ ต่อให้เป็นพวกตำรวจก็คงยากที่จะรู้ชัดว่าพลังที่ว่านี้คืออะไร หนำซ้ำเรื่องที่เกิดขึ้นในระยะนี้ก็ล้วนเกินกว่าจะอธิบายได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ทั้งนั้น

    ตอนออกมาจากสถานีตำรวจผมก็ได้พบกับเฒ่าเสิ่นที่ถูกเรียกตัวมาเหมือนกัน เขาเหลือบมองดูผมสองสามทีราวกับคิดจะยืนยันให้มั่นใจถึงอะไรบางอย่างบนใบหน้าผม

    เรื่องของเจ๊ผิงทำเอาผมสติแตก หลังจากกระโดดขวางแท็กซี่ได้คันหนึ่งผมก็รีบมุดขึ้นรถ ปิดหน้าต่างรถฝั่งตัวเองแน่น ก่อนจะบอกให้โชเฟอร์ปิดหน้าต่างฝั่งตัวเองให้สนิทด้วย ผมสังเกตเห็นว่าโซเฟอร์กะดึกรายนี้ชำเลืองมองดูผมที่คล้ายจะเป็นโรคประสาทด้วยสายตาหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้รถจะยังคงวิ่งตรงไปข้างหน้าไม่หยุด แต่ผมก็อดไม่ได้ที่จะมองซ้ายมองขวามองหน้ามองหลัง ความรู้สึกหวาดกลัวเอ่อท้นไหลซึมออกจากกระดูกมากขึ้นทุกที ผมต้องยอมรับว่าตอนนี้ผมกลัวแทบบ้า กลัวมากจริงๆ

    ผมกลับมาถึงยังเขตที่พักอาศัย ไฟอัตโนมัติบนทางเดินชั้นสองใช้การไม่ได้ ไม่ว่าผมจะกระทืบเท้าสักกี่ทีมันก็ไม่ติด ผมรีบชักเท้าเดินรวดเร็ว และเพราะลนลานเลยไม่ทันระวังสะดุดบันไดหกล้ม ฟันหน้าเกือบกระแทกบันไดหัก ผมลุกลี้ลุกลนวิ่งไปจนถึงหน้าประตูห้อง แต่ประตูกลับ…ผมไม่ได้ตาฝาดไป ประตูห้องผมแง้มเปิด ผมรีบหันหลังกลับ กวาดตามองซ้ายมองขวา ไม่เว้นแม้แต่จะแหงนหน้ามองขึ้นไปทางด้านบน แต่ก็ไม่เห็นอะไร ผมหันหลังกลับเพ่งมองไปที่วงกบประตู ไม่มีลิ่มกระดาษแปะติดไว้เหมือนประตูห้องเจ๊ผิง เมื่อกี้ตอนกลับมาประตูตึกยังคงปิดสนิท ผมต้องใช้กุญแจถึงจะไขเข้ามาได้ พอคิดถึงตรงนี้ผมก็ให้รู้สึกสบายใจ คงเพราะเมื่อครู่รีบร้อนลงจากตึกเลยไม่ได้ปิดประตูให้ดีก็เป็นได้

    เพิ่งนึกโล่งอกได้ไม่ทันไร จู่ๆ แสงสว่างตรงหน้าก็ดับวูบ ผมตกใจจนเนื้อตัวสั่น รีบกระทืบเท้าติดๆ กัน ในที่สุดไฟอัตโนมัติบนทางเดินก็ส่องสว่างขึ้นอีกครั้ง

    ถึงจะเชื่อว่าเป็นผมเองที่ไม่ได้ปิดประตูให้ดี แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงผลักประตูเปิดด้วยความระมัดระวัง แสงสว่างแสบตาสาดปะทะใบหน้าตอนเปิดประตู ไฟในห้องยังคงสว่างอยู่ พอเห็นแสงสว่างราวกับสายน้ำต้องแสงอาทิตย์แบบนั้นใจผมก็เริ่มสงบลงทีละน้อย

    หลังจากเข้าไปในห้อง ผมไม่ได้รีบร้อนปิดประตู ตรงกันข้ามกลับจงใจแง้มเปิดมันเอาไว้ เกิดภายในห้องมีอันตรายอะไรผมจะได้หนีเอาชีวิตรอดได้ทัน สายตาของผมจับจ้องอยู่บนดาบพกนั่นเป็นอันดับแรก มันยังคงนอนนิ่งอยู่บนโต๊ะกลาง ก่อนจะสำรวจดูสิ่งต่างๆ ภายในห้อง ทั้งห้องน้ำ ตู้เสื้อผ้า…เมื่อแน่ใจว่าไม่มีปัญหาอะไร ผมก็ปิดประตูลงกลอนแน่นหนา

    ผมหย่อนตัวลงบนโซฟา ถอนหายใจออกมายาวๆ แต่นั่งก้นยังไม่ทันจะร้อน สายจากเฒ่าเสิ่นจอมโลภก็ดังขึ้น เขาไม่พูดถึงเรื่องของเจ๊ผิงเลยแม้แต่ครึ่งประโยค ตรงกันข้ามกลับถามผมว่าผมได้บอกตำรวจถึงเรื่องดาบพกบ้างหรือเปล่า พอได้ยินผมบอกว่าเปล่า เขาก็พูดโล่งอกออกมาติดๆ “ดีแล้วๆ”

    ถึงจะมั่นใจแล้วแต่เฒ่าเสิ่นก็ยังคงไม่วางสาย ตรงกันข้ามกลับถามผมอ้อมๆ ว่าได้ขายดาบพกเล่มนั้นไปหรือยัง ผมคร้านเกินกว่าจะสนใจตาเฒ่าสารเลวนี่ ที่ไม่ได้ตัดสายทิ้งอันที่จริงก็นับว่าเกรงใจกันมากพอแล้ว แต่เขากลับยังคงพูดพล่ามไม่หยุด “ไอ้หนุ่ม นายนี่มันแน่จริงๆ! ฉันมีลูกค้าอยู่คนหนึ่ง เขาเสนอราคาดาบพกเล่มนั้นให้นายแสนเหรียญ”

    น้ำเสียงเหมือนมีบุญคุณใหญ่หลวงของเขาดังลอยมาเข้าหูพร้อมกับเสียงแตร เสียงตะโกนแหลมเล็กของร้านขายอาหารโต้รุ่ง เมื่อครู่ตอนรับโทรศัพท์ผมสังเกตเห็นว่าเบอร์ที่โทรเข้ามาเป็นเบอร์บ้าน เจ้าเฒ่าโลภมากนี่ในเวลานี้คงกำลังยืนอยู่ในตู้โทรศัพท์สาธารณะหน้าร้านอาหารที่ไหนสักร้านแน่ๆ พอนึกขึ้นได้ว่าเจ๊ผิงเคยบอกกับผมทางโทรศัพท์ว่าเฒ่าเสิ่นเป็นคนช่วยหาลูกค้าให้เธอ ผมก็เลยถามว่าคนที่เขาเรียกว่าลูกค้านั้นเป็นใครมาจากไหน ถามอ้อมๆ ว่าเป็นไปได้หรือเปล่าที่เรื่องที่เกิดกับซุ่นจื่อและเจ๊ผิงจะเป็นฝีมือของอีกฝ่าย เฒ่าเสิ่นเข้าใจความหมายของผมได้ทันที เขาพูดน้ำเสียงหนักแน่นเฉียบขาดบอกว่าไม่มีทางเป็นไปได้ หนำซ้ำยังบอกอีกว่าอีกฝ่ายได้เอาเงินสดมาซื้อห่วงหยกประดับดาบของเขาไปแล้วด้วย หลังจากพูดจบเขาก็กำชับห้ามผมเอาเรื่องนี้ไปบอกกับตำรวจ ไม่อย่างนั้นเงินที่อยู่ในมือเขากับของในมือผมที่ยังไม่ได้ปล่อยออกไปมีหวังได้ถูกริบ คงเพราะน้ำเสียงผมฟังดูคลุมเครือ เขาเลยแสดงความจริงใจด้วยการพูดอย่างเปิดอก บอกว่าพรุ่งนี้เย็นเขาจะจัดการนัดหมายให้ผมได้เจรจาการค้ากับลูกค้ารายนี้ต่อหน้า แต่ขนาดอยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้เขาก็ยังไม่ลืมที่จะพูด

    “แค่น้องชายมีน้ำใจแบ่งค่าบุหรี่ให้สักหมื่นแปดเท่านั้นก็พอแล้ว”

    หลังจากนอนกระสับกระส่ายไปมาจนกระทั่งใกล้รุ่ง เมื่อไม่ได้คิดจะนอนชดเชยเอาแรงอะไรในที่สุดผมเลยตัดสินใจลุกขึ้นเตรียมไปย่านค้าของเก่าแทน เมื่อยังมีลูกค้ามือเติบของเฒ่าเสิ่นที่ยังไม่ได้เจรจาตกลงการค้ากันอยู่อีกราย สาเหตุที่ผมไปย่านค้าของเก่าก็ต้องไม่ใช่เพื่อไปปล่อยของ หากแต่ไปเพื่อหาคนที่ชำนาญเรื่องของเก่าให้ช่วยดูให้หน่อย เรื่องราวแปลกประหลาดเกิดขึ้นติดกันมากมายแบบนี้ ยังไงผมก็ต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าเจ้าสิ่งนี้คืออะไรกันแน่

    พออาบน้ำแต่งตัวลวกๆ เสร็จผมก็จงใจแบกกระเป๋าเป้ไม่สะดุดตาใบหนึ่งขึ้นหลัง แต่ขณะจะหยิบดาบพกขึ้นมาผมก็พบปัญหาอย่างหนึ่งเข้า ที่ด้านใต้ของดาบพกมีกระดาษแผ่นหนึ่งถูกวางกางไว้ ลายมือที่อยู่บนนั้นดูคุ้นตาเป็นที่สุด ใช่แล้ว ผมเคยเห็นลายมือแบบนี้เมื่อไม่นานมานี้ มันเป็นลายมือแบบเดียวกันกับที่ปรากฏอยู่บนลิ่มกระดาษบนวงกบประตูห้องเจ๊ผิง

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ซยงหนู

    นิยายยอดนิยม

    Facebook