• Connect with us

    Enter Books

    สยบฟ้า พิชิตปฐพี

    ทดลองอ่านนิยายสยบฟ้าพิชิตปฐพี เล่ม 22 ตอนที่ 1

    บทที่ 1 งานชุมนุม

     

    อรหันต์ศิลาในวิหารเดิมทีทาด้วยสีทอง เวลาผ่านไปสีทองจึงค่อยหลุดร่อน เผยให้เห็นเนื้อหินที่อยู่ข้างใน ด้วยเหตุนี้ ภายใต้แสงอ่อนสลัวของตะเกียง รูปสลักแม้จะดูอ่อนโยนมีเมตตา แต่ก็ให้ความรู้สึกน่ากลัวปะปนอยู่ด้วย

    หนิงเชวียละสายตาจากอรหันต์องค์แรกมายังองค์ที่สอง มองอย่างใจจดใจจ่อจนลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปสิ้น ไม่กินไม่นอน มีเพียงสองมือที่ขยับเคลื่อนไหวอยู่เบื้องหน้าไม่หยุดนิ่ง

    พอดูครบหมดทั้งสี่องค์ มันก็หยิบเบาะเดินไปนั่งหันหน้าเข้าหาความมืดที่หน้าประตูวิหาร หลับตาสำรวมจิตนึกทบทวน

    หนึ่งคืนผ่านไป แสงอรุณเริ่มสาดส่องพร้อมสายฝนที่โปรยปรายลงมาอีกครั้ง ขับไล่หมอกที่ยังเหลืออยู่บางๆ ให้สลายตัวไปจนทัศนวิสัยโดยรอบดีขึ้น สามารถมองเห็นหลังคาของหมู่วิหารได้อย่างชัดเจน

    เสียงระฆังดังแว่วมาจากวิหารส่วนหน้า หนิงเชวียลืมตา แววตามันสาดประกายเจิดจ้าขึ้นวูบก่อนกลับคืนสู่สภาพเดิม

    ขณะมองสายฝน มันลองผลักมือขวา เคลื่อนตามจิตที่มุ่งไปข้างหน้า

    พริบตานั้น หน้าวิหารพลันเกิดลมกระโชก สายฝนแทนที่จะตกสู่พื้นกลับสาดเอียงไปด้านข้าง เบื้องหน้ามันบังเกิดเป็นสุญญากาศขนาดมหึมาที่ภายในแห้งสนิท ปราศจากน้ำฝนแม้แต่หยดเดียว และหากมองให้ดีจะพบว่าสุญญากาศนี้มีลักษณะเหมือนฝ่ามือขนาดยักษ์ข้างหนึ่ง

    มิทราบผ่านไปนานเท่าใด กลิ่นอายที่ไหลเวียนอยู่บริเวณหน้าวิหารจึงค่อยๆ จางหาย สายฝนเริ่มตกใส่พื้นอีกครั้ง ทั้งหมดกลับคืนสู่สภาวะที่ควรเป็น

    หนิงเชวียเห็นเช่นนั้นก็ค่อยตระหนักว่าหนึ่งคืนที่ผ่านไป มันสามารถเรียนรู้จนได้รับประโยชน์ไม่น้อย หัวใจจึงอดเต้นแรงด้วยความยินดีปรีดามิได้

    “ไม่กลัว ตั้งจิต กำราบมาร ขจัดนิวรณ์…คิดไม่ถึงจริงๆ ภายในคืนเดียวเจ้าจะสามารถทำความเข้าใจในมหามุทราทั้งสี่ของนิกายพุทธเราได้สำเร็จ”

    เสียงที่อิดโรยแต่เต็มไปด้วยความปลาบปลื้มยินดีของฉีซานต้าซือดังมาจากด้านนอก

    หนิงเชวียหันไปโขกศีรษะคารวะด้วยความรู้สึกตื้นตัน

    เรื่องที่มันต้องขอบคุณอีกฝ่ายความจริงมีมากมาย แค่เรื่องที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกตลอดทั้งคืนด้วยความห่วงใยขณะที่มันเข้าฌานฝึกพุทธ ก็คู่ควรแล้วที่มันจะโขกศีรษะให้จากใจจริง

    ฉีซานต้าซือนั้นทางหนึ่งยินดีปรีดา ทางหนึ่งหดหู่เศร้าหมอง อันที่จริงต่อให้เป็นผู้มีบุญวาสนากับนิกายพุทธมากกว่านี้ มีสติปัญญาล้ำเลิศยิ่งกว่านี้ ก็ยังไม่มีทางเข้าใจความหมายอันลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ในอรหันต์ศิลาได้ในเวลาแค่ชั่วข้ามคืน เพราะมุทรามิใช่หลักธรรม ผู้ฝึกจึงยากจะเอาชนะเครื่องกั้นแห่งปัญญาได้ ทว่าเครื่องกั้นแห่งปัญญาที่ว่านี้ดูเหมือนจะไม่ส่งผลใดๆ ต่อหนิงเชวียแม้แต่น้อย

    กอปรกับเมื่อครู่มันสามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายของเหลียนเซิงที่อยู่ในตัวของหนิงเชวีย แม้กลิ่นอายนี้จะเบาบางลงกว่าเมื่อวานมากแล้วก็ตาม ด้วยเหตุนี้มันจึงเข้าใจแทบจะในทันทีถึงสาเหตุที่หนิงเชวียสามารถเอาชนะเครื่องกั้นแห่งปัญญาได้

    ฉีซานต้าซือมองหนิงเชวียพลางรำพึงอยู่ในใจ ศิษย์น้อง หรือนี่ก็คือวิธีที่เจ้าจะดำรงอยู่ในโลกนี้ต่อไป

     

    ขบวนทูตจากแคว้นต่างๆ ทยอยกันมาถึงเขาหว่าซาน จากนั้นพวกมันก็ไม่รอช้า รีบเข้าประชุมหารือถึงเรื่องชาวฮวงอพยพลงใต้กันในบริเวณวิหารส่วนหน้าทันที ส่วนเหล่าผู้ฝึกฌานก็มาชุมนุมกันในหมู่ตึกและวิหารส่วนกลางเพื่อวิพากษ์วิจารณ์กันถึงเรื่องที่ได้ยินและได้พบเห็นบนเขาหว่าซานเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา หลังนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จิตใจของพวกมันก็มิอาจไม่บังเกิดความยำเกรงเลื่อมใสในตัวของเซียนเซิงสิบสามกับเทวีแห่งแสงสว่าง ขณะเดียวกันก็พากันคาดเดาว่าเทศกาลอวี๋หลันที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ จะมีบุคคลสำคัญๆ มาปรากฏตัวขึ้นอีกหรือไม่

    ด้านหนิงเชวียกับซังซังแม้จะได้รับเชิญให้มาร่วมงานเทศกาลอวี๋หลัน แต่กลับมิได้ให้ความสนใจกับงานนี้มากนัก พวกมันพำนักอยู่ในวิหารด้านหลัง ใช้เวลาไปกับการศึกษาคัมภีร์พุทธ มองอรหันต์ศิลาและติดตามฉีซานต้าซือชมรูปวาดบนผนังที่อยู่ตามวิหารต่างๆ ผ่านเวลาไปด้วยจิตใจที่สงบนิ่งและเป็นสุข

    แต่ถึงแม้จะมิได้รู้สึกตื่นเต้นไปกับบรรยากาศของงาน หนิงเชวียก็ยังสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับเทศกาลอวี๋หลันจากฉีซานต้าซือ เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน มีความเป็นมาแปลกพิสดาร โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับตำนานแสงแห่งพุทธะหมื่นจั้งสะกดโลกแห่งความมืด สะกิดความอยากรู้ให้กับมันได้มากเป็นพิเศษ

    “นิกายพุทธไหนเลยจะมีความสามารถถึงขั้นสะกดโลกแห่งความมืดได้ แรกเริ่มเดิมทีเทศกาลนี้เป็นเพียงแค่การวิงวอนร้องขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ให้โลกแห่งความมืดมาเยือน ต่อมาจึงค่อยๆ กลายเป็นการชุมนุมของเหล่ายอดผู้ฝึกฌานเพื่อร่วมหารือกันว่าจะรับมืออย่างไรดี ทว่าวันเวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า โลกแห่งความมืดก็ยังไม่มาเยือนสักที สุดท้ายตำนานนี้จึงกลายเป็นเพียงแค่ตำนานไปจริงๆ ไม่มีผู้ฝึกฌานคนใดให้ความสนใจอีก”

    ฉีซานต้าซือยิ้มเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อ

    “แต่เทศกาลอวี๋หลันก็ยังคงถูกจัดขึ้นทุกปีโดยไม่มีกำหนดเวลาเป็นที่แน่นอน เพราะแม้จะสูญเสียจุดประสงค์ดั้งเดิมไปแล้ว แต่นิกายพุทธเราก็ไม่อยากเสียโอกาสในการแสดงตัวไป”

    หนิงเชวียถามอย่างนึกสงสัย

    “แคว้นเยวี่ยหลุนถูกขนานนามว่าดินแดนแห่งเจ็ดสิบสองวัด อีกทั้งเจ็ดสิบสองวัดที่ว่านี้ก็ล้วนเป็นวัดที่มีชื่อเสียงมีความสำคัญทั้งนั้น หากนับวัดธรรมดาๆ รวมเข้าไปด้วย เกรงว่าคงจะมีจำนวนเกินพัน กอปรกับตัวแคว้นยังอยู่ติดกับทุ่งร้างทางทิศตะวันตก ใกล้กับวัดเสวียนคงยิ่งกว่าสถานที่อื่นๆ แล้วเหตุใดนิกายพุทธจึงไม่จัดงานชุมนุมเทศกาลอวี๋หลันขึ้นในแคว้นเยวี่ยหลุนเล่า อย่างเช่นจัดที่วัดไป๋ถ่า”

    ฉีซานต้าซือไม่ตอบแต่ถามกลับ

    “เจ้ารู้หรือไม่ว่าวัดสำคัญแห่งแรกที่วัดเสวียนคงสร้างไว้ในดินแดนโลกิยะอยู่ ณ ที่ใด”

    หนิงเชวียส่ายหน้า

    ฉีซานต้าซือชี้หลังคาของหมู่วิหารมากมายที่ซ้อนทับกันชั้นแล้วชั้นเล่าตรงหน้า

    “ก็คือที่นี่”

    หนิงเชวียรู้สึกประหลาดใจ พยายามคิดหาเหตุผลของข้อเท็จจริงนี้

    ฉีซานต้าซือคล้ายอ่านความคิดมันออก จึงกล่าวยิ้มๆ

    “เพราะที่นี่อยู่ใกล้กับวัดเสวียนคงมากที่สุด”

    หนิงเชวียตะลึงลาน คิดในใจ วัดเสวียนคงอยู่ถึงสุดขอบฟ้าทางทิศตะวันตก ในขณะที่วัดลั่นเคออยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของจงหยวน อีกทั้งหากยืนอยู่บนยอดเขาหว่าซานยังเห็นได้แต่ทะเลที่ไกลสุดลูกหูลูกตา ดังนั้นจึงสมควรพูดว่าสถานที่ทั้งสองแห่งนี้อยู่ไกลกันคนละทิศละทางต่างหาก ไฉนอีกฝ่ายจึงกล่าวเช่นนี้

    ฉีซานต้าซืออธิบาย

    “ว่ากันว่าตอนปฐมพุทธะเดินทางผ่านมาที่ยอดเขานี้ ขณะที่เหล่าศิษย์กำลังนั่งพักเล่นหมากล้อมกันอยู่ จู่ๆ ปฐมพุทธะก็สัมผัสรับรู้อะไรบางอย่าง จึงทอดตามองลงไปที่เชิงเขา ก่อนชี้กำหนดตำแหน่งที่ตั้งของวัดลั่นเคอ สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะวัดลั่นเคอที่พวกเรากำลังยืนอยู่มีทางเชื่อมที่มองไม่เห็นด้วยตากับวัดเสวียนคง”

    ทางเชื่อมที่มองไม่เห็นด้วยตา? หนิงเชวียยิ่งฟังยิ่งงุนงง

    “เล่ากันว่าปฐมพุทธะพอสำเร็จมรรคาสูงสุดของการเดินทางฝ่าจักรวาลก็ก่อเจดีย์ศิลาขึ้นอย่างง่ายๆ องค์หนึ่งตรงบริเวณที่ชี้บอก เจดีย์องค์นั้นสามารถนำพาหลวงจีนในวัดไปยังดินแดนสุขาวดีที่อยู่สุดขอบฟ้าทางทิศตะวันตกได้”

    หนิงเชวียขมวดคิ้ว น้ำเสียงแฝงความแตกตื่นตกใจเอาไว้

    “ข้าเคยได้ยินแต่เพียงว่ากองทัพต้าถังกับอาศรมเทพแห่งซีหลิงมีค่ายกลยันต์ที่มีอานุภาพร้ายกาจสามารถใช้ส่งข่าวสั้นๆ ได้ แต่ยังไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีค่ายกลที่สามารถส่งคนไปยังสถานที่อันไกลโพ้นได้ นี่มิใช่ด่านไร้ระยะที่เล่าลือกันหรอกหรือ”

    ฉีซานต้าซือตอบ

    “นิกายพุทธไม่มีด่านเบิกนภา จึงไม่มีสิ่งที่เรียกกันว่าด่านไร้ระยะ แต่ด้วยความสามารถและความเข้าใจต่อสรรพสิ่งในโลกหล้าของปฐมพุทธะ การคิดวิธีเยี่ยงนี้ออกมาย่อมมิใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมายแต่อย่างใด”

    หนิงเชวียนึกถึงประสบการณ์แปลกพิสดารในกระดานหมากล้อมที่มันกับซังซังประสบพบเจอ กับบันทึกของปฐมพุทธะที่หลายวันมานี้มันพกติดกายไว้ตลอดเวลา ก็บังเกิดความเชื่อขึ้นเช่นกัน ถามต่อว่า

    “แล้วเจดีย์องค์นั้นตอนนี้อยู่ที่ใด”

    ฉีซานต้าซือยิ้มเศร้า

    “สิ่งปลูกสร้างไม่ว่าจะใหญ่โตมโหฬารเพียงใดก็ต้องถูกลมถูกฝนกัดกร่อน ปฐมพุทธะต่อให้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรเพียงใด ผ่านไปหลายร้อยหลายพันปี พลังที่ทิ้งไว้ก็ย่อมต้องสูญสลายไปกับกาลเวลา เจดีย์องค์นั้นหากมีอยู่จริงก็คงไม่เหลือซากกลายเป็นฝุ่นดินไปนานแล้ว อย่าว่าแต่ร่องรอยของอดีต กระทั่งเศษเสี้ยวของกลิ่นอายก็คงไม่ดำรงอยู่อีก ภายหลังมีหลวงจีนในวัดสร้างวิหารขึ้นหลังหนึ่งตรงจุดที่ลือกันว่าเป็นที่ตั้งของเจดีย์ศิลา ซึ่งก็คือวิหารหลังนี้นี่เอง”

    ได้ยินคำบอกเล่าของฉีซานต้าซือ หนิงเชวียก็รู้สึกปลดปลงกับความไม่จีรัง

    เมื่ออยู่ต่อหน้ากาลเวลา สิ่งอันเป็นนิรันดร์ย่อมมีเพียงแค่ความตายเท่านั้น

     

    เขาหว่าซานนับเป็นอาณาเขตของวัดลั่นเคอ แม้เหล่าหลวงจีนในวัดจะไม่ได้สร้างกำแพงล้อมรอบเขา แต่วัดลั่นเคอก็มีพื้นที่กว้างขวางใหญ่โตยิ่ง หากจะเดินจากลานด้านหน้าไปยังวิหารด้านในสุด อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาชั่วธูปไหม้หมดดอก จากจุดนี้สามารถจินตนาการได้ถึงความอลังการของวัดแห่งนี้

    ภายในวัดแบ่งพื้นที่ออกเป็นสามส่วน ได้แก่ส่วนหน้า ส่วนกลางและส่วนหลัง ส่วนหน้านอกจากประตูทางเข้าที่มีความน่าเกรงขามและลานกว้างหน้าสิ่งปลูกสร้างแล้ว ยังมีวิหารที่ดูยิ่งใหญ่ตระการตาอีกสองหลัง ส่วนกลางแม้มีพื้นที่น้อยกว่า แต่ก็ยังประกอบไปด้วยวิหารที่ตั้งกระจัดกระจายอยู่เกือบสิบหลัง ในขณะที่ส่วนหลังมีพื้นที่น้อยสุด จึงมีวิหารอยู่เพียงแค่หลังเดียว และเป็นบริเวณที่เงียบสงบที่สุด

    ฝนฤดูสารทยังคงพร่างพรมลงมา หลวงจีนในวัดหลายวันนี้ล้วนวุ่นวายอยู่กับการเตรียมงานเฉลิมฉลองเทศกาล ทูตของแต่ละแคว้นทุกวันจะถกเถียงกันอย่างดุเดือด บรรยากาศในบริเวณวัดส่วนหน้าจึงมีแต่ความตึงเครียด ส่วนเหล่าผู้ฝึกฌานก็สนุกกับการแลกเปลี่ยนความเห็นและศึกษาเรียนรู้จากกันและกัน บรรยากาศในบริเวณวัดส่วนกลางจึงมีแต่ความตื่นเต้นเร้าใจและเงาวูบวาบของกระบี่

    มีเพียงวัดส่วนหลังเท่านั้นที่ยังคงเงียบสงบ ช่วงที่ว่างจากการศึกษาคัมภีร์ หนิงเชวียจะพาซังซังไปกางร่มเดินเล่นท่ามกลางสายฝน ฟังเสียงที่ดังออกมาจากวิหารแต่ละหลัง แน่นอน ด้วยพลังฌานของคนทั้งคู่ในขณะนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีผู้ใดสังเกตเห็นพวกมันหากพวกมันไม่ยินยอม

    บางครั้งพวกมันยังเดินไปถึงวัดส่วนหน้า มองดูการซ้อมของคณะนางรำหงซิ่วเจาจากในหอเก๋งที่ตั้งอยู่ท่ามกลางแมกไม้หลากสี แค่ได้เห็นเหล่านางงามในวัยกำดัดร่ายรำกันจนเหงื่อโทรมกาย ผมเผ้ายุ่งสยาย พวกมันก็รู้สึกเจริญตาเจริญใจไม่น้อยแล้ว

    ซังซังพอเห็นเสี่ยวเฉ่าชี้แนะติเตียนสาวงามทั้งหลายด้วยน้ำเสียงอ่อนใสแต่เฉียบขาด อากัปกิริยาท่วงท่าคล้ายหัวหน้าเจี่ยนเข้าไปทุกที ก็อดหัวเราะออกมามิได้

    การร่ายรำของคณะหงซิ่วเจาในครั้งนี้แม้จะงดงามและยิ่งใหญ่อลังการไม่เท่าระบำหนีฉาง* แต่ก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายความมีมงคลของเทพอัปสรในตำนานของนิกายพุทธอยู่หลายส่วน จึงน่าจะประสบความสำเร็จและได้รับความชื่นชมจากผู้ชมอย่างไม่ต้องสงสัย

    หนิงเชวียกับซังซังเพียงยืนมองจากที่ไกล ไม่คิดจะออกไปพบปะกับพวกนาง และก็ไม่คิดจะออกไปร่วมสนทนากับคณะทูตของต้าถัง เสี่ยนจื๋อหลางแม่ทัพใหญ่เจิ้นซีแจ้งความจำนงขอพบหนิงเชวียผ่านทางหลวงจีนในวัดมาหลายครั้งหลายครา แต่หนิงเชวียไม่อยากถูกเรื่องราวทางโลกมารบกวนจิตใจในตอนนี้ จึงปฏิเสธไป

    ฉีซานต้าซือตอนอธิบายคัมภีร์พุทธเคยกล่าวไว้ ธรรมะคือวิธีการมองโลกอย่างหนึ่ง และที่สำคัญยังเป็นวิธีในการดำรงชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งด้วย

    วิธีที่ว่าถูกจอมปราชญ์ตั้งชื่อล้อเลียนว่าวิธีหุบปาก ถูกเหลียนเซิงต้าซือเหน็บแนมว่าเป็นการเอาแต่รอคอยเหมือนเต่าที่หดหัวจำศีลอยู่ในกระดอง และถูกศิษย์พี่รองแดกดันว่าเป็นวิธีแสร้งตาย ทว่าการดำรงตนอยู่ในขันติและความสงบซึ่งเป็นจุดเด่นของนิกายพุทธก็มีข้อดีเช่นกัน

    ที่เห็นได้ชัดคืออาการป่วยของซังซังค่อยๆ ทุเลาลง ส่วนจิตใจของหนิงเชวียก็สงบนิ่งลงไปไม่น้อย ภายหลังเมื่อหนิงเชวียนึกย้อนกลับมาก็ต้องยอมรับว่า ในฤดูสารทของรัชสมัยเทียนฉี่ปีที่สิบหก ช่วงเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วันในวัดลั่นเคอกลับเป็นช่วงเวลาที่ชีวิตมันสุขสงบที่สุด เพียงแต่ความสุขสงบนี้เป็นเพียงแค่การปลอบประโลมใจก่อนเกิดเหตุการณ์ที่น่าเศร้าขึ้นเท่านั้น

     

    ในที่สุดวันเทศกาลอวี๋หลันก็มาถึง

    ผู้คนมากมายหลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศ เมืองเล็กๆ หน้าเขาหว่าซานคึกคักจอแจจนแทบไม่มีที่ให้เดิน ลานหน้าวัดมีแต่คนเดินเบียดเสียด มองไปทางไหนก็เห็นแต่ศีรษะดำเป็นพรืด มิรู้ว่าบนถนนมีรองเท้าถูกเหยียบหลุดไปแล้วกี่ข้าง หากไม่มีหลวงจีนน้อยในวัดกับทหารที่ประจำการอยู่ในเมืองออกมาคอยดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อย ป่านนี้พิธีการคงยากที่จะดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น

    ทุกแคว้นในจงหยวนต่างส่งคนสำคัญมาร่วมชมขบวนแห่และการแสดง รถม้าแต่ละคันในขบวนแห่เรียกเสียงโห่ร้องอย่างสนุกสนานตื่นเต้นได้มากมาย แต่นั่นก็ยังเทียบไม่ได้กับเสียงโห่ร้องด้วยความยินดีเมื่อคณะนางรำหงซิ่วเจาปรากฏตัว ซึ่งก็เป็นไปตามความคาดหมาย จากนั้นเจ้าอาวาสวัดลั่นเคอก็นำหลวงจีนทั้งหลายทำพิธีสวดอวยพรให้กับคนทั้งแผ่นดิน ก่อนมีพิธีกรรมบูชาเฮ่าเทียนโดยเสินกวนที่มาจากอาศรมเทพแห่งซีหลิง ผู้คนมากมายพากันคุกเข่าโขกศีรษะอยู่กับพื้น บรรยากาศดูศักดิ์สิทธิ์น่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง

    หนิงเชวียยืนชมความคึกคักอยู่กับซังซังบนหลังคาวิหารของวัดส่วนหลัง พอเห็นการโขกศีรษะกราบไหว้อย่างเป็นพิธีรีตองของเหล่าสานุศิษย์จากทั้งนิกายพุทธและเต๋า ก็อดหัวร่อขึ้นมาไม่ได้ กล่าวด้วยสีหน้าขบขัน

    “เข้ากันได้หรือนี่”

    หลังจบพิธี บรรดาสาวงามจากคณะหงซิ่วเจาก็เริ่มทำการแสดง เรียกเสียงโห่ร้องปรบมือดังสนั่นกึกก้องไปทั่วเมือง

    เหล่าหลวงจีนชราที่ชมดูการร่ายรำอันอ่อนช้อยด้วยใบหน้าเคร่งขรึม มิรู้ว่ากำลังนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อนอยู่หรือไม่ บางรูปขอบตาจึงถึงกับรื้นชื้น

    หนิงเชวียกล่าวอย่างปลดปลง

    “ผ่านไปหลายสิบปี ในที่สุดวัดลั่นเคอก็ได้ชมการแสดงชุดเทพธิดาโปรยบุปผาอีกครั้ง ดีที่เหลียนเซิงลาจากโลกนี้ไปแล้ว เทศกาลอวี๋หลันของปีนี้จึงน่าจะผ่านไปได้อย่างราบรื่นปลอดภัย”

     

    สำหรับชาวเมืองกับอาคันตุกะจากต่างถิ่น เทศกาลอวี๋หลันคือเทศกาลอันยิ่งใหญ่ คือเรื่องที่ถูกผู้คนกล่าวถึงมากที่สุดในฤดูสารทของทุกปี แต่สำหรับบุคคลสำคัญทั้งหลาย เทศกาลอวี๋หลันกลับเป็นเพียงแค่ข้ออ้างในการเรียกชุมนุมเพื่อถกเถียงถึงเรื่องสำคัญๆ บางเรื่องเท่านั้น

    ก่อนที่เทศกาลจะเริ่มต้น การประชุมของทูตจากแคว้นต่างๆ ก็ได้ข้อสรุปเป็นที่เรียบร้อย รอจนคณะทูตกลับไปถึงแคว้น รายงานให้ราชสำนักและกราบทูลให้จักรพรรดิของพวกมันทรงทราบเพื่อยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรพร้อมด้วยตราลัญจกร ข้อสรุปก็จะมีผลอย่างเป็นทางการ

    แผนและกลยุทธ์ที่ตกลงกันนี้มีสาระสำคัญว่า ให้ทุกแคว้นในจงหยวนส่งทหารไปทุ่งร้างอีกครั้งในปีหน้า ทั้งยังจะเพิ่มจำนวนทหารและความแข็งแกร่งของหน่วยพลาธิการให้มากขึ้น นอกจากนี้ แคว้นต้าถังยังถูกขอร้องมิให้ยืนดูอยู่ด้านข้างเฉกเช่นเดียวกับครั้งก่อน แต่จะต้องส่งขุมกำลังที่แท้จริงออกมา

    สาเหตุที่ต้องขอให้แคว้นต้าถังลงแรงอย่างจริงจังเพราะบัดนี้สถานการณ์ในทุ่งร้างทวีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น หลังชาวฮวงปักหลักหยั่งเท้าได้เพียงแค่หนึ่งปีก็มีความแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้งราชสำนักจั่วจั้งที่ในการศึกครั้งก่อนถูกแคว้นต่างๆ ในจงหยวนใช้อุบายจนต้องสูญเสียกำลังคนไปมาก ในที่สุดก็ฉุกคิดได้ เริ่มรู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหาง และพยายามที่จะล้างแค้นให้กับความอัปยศอดสูที่ถูกหลอกใช้ด้วย

    ชาวฮวงขึ้นเหนือไปนานแล้ว คนเถื่อนต่างหากที่เป็นเจ้าของดินแดนแถบนี้ในช่วงเวลาหนึ่งพันปีที่ผ่านมา! นี่คือความคิดของราชสำนักจั่วจั้ง

    แม้ราชสำนักจั่วจั้งจะสูญเสียกำลังคนไปมาก แต่ด้วยความคุ้นเคยกับภูมิประเทศในทุ่งร้าง หากต้องสู้รบติดพันกับแคว้นต่างๆ ในจงหยวนขึ้นมาจริงๆ ต่อให้สู้ไม่ชนะก็ยังสามารถหลบหนีขึ้นเขาหมินซานอันกว้างใหญ่ได้ แค่นี้กองทัพร่วมจากจงหยวนก็ยากที่จะทำอะไรพวกมันแล้ว

    สิ่งที่แคว้นต่างๆ ในจงหยวนเป็นกังวลมากที่สุดคือ หากทหารม้าของราชสำนักจั่วจั้งตกอยู่ในสถานการณ์ที่มีความสูญเสียมากเกินไป ก็เป็นไปได้ที่พวกมันจะละทิ้งเกียรติและศักดิ์ศรีหันไปสวามิภักดิ์ต่อราชสำนักจินจั้ง

    ช่วงเวลาสิบปีที่ผ่านมา ราชสำนักจินจั้งเอาแต่เก็บตัวเงียบจนแทบถูกผู้คนในจงหยวนลืมเลือนไป ทว่าบรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่และบุคคลสำคัญของแต่ละแคว้นล้วนตระหนักดี ที่กล่าวกันว่าแสนยานุภาพของแคว้นหนานจิ้นเป็นอันดับสองในปฐพี แท้ที่จริงตำแหน่งที่ว่านี้สมควรเป็นของราชสำนักจินจั้งมากกว่า

    ราชสำนักจินจั้งมีทหารม้าที่มีฝีมือยอดเยี่ยมที่สุด มีม้าพันธุ์ดีมากที่สุด และมีหมอผีมากที่สุด หากไม่ติดว่ามีเขาหมินซานขวางกั้น ฉานอวี๋ที่ห้าวหาญและปรีชาสามารถติดต่อกันหลายรุ่นคงรวบรวมทุ่งร้างให้เป็นปึกแผ่นไปนานแล้ว

    และหากมิใช่เพราะหลายร้อยปีมานี้ทางทิศใต้มีแคว้นต้าถังคอยยันและคุมเชิงเอาไว้ ทหารม้าราชสำนักจินจั้งอาจจะกวาดล้างจงหยวน หรือไม่ก็อาจจะบุกตะลุยไปถึงเชิงเขาเถาซานของแคว้นซีหลิงแล้วก็ได้

    เมื่อเผชิญหน้ากับคำขอร้องอย่างขุ่นเคืองของคณะทูตจากแคว้นอื่นๆ ในที่สุดทูตแคว้นต้าถังก็เห็นด้วยกับการลงนามในแผนการฉบับนี้ เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะแรงกดดันจากอาศรมเทพแห่งซีหลิง ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งซึ่งสำคัญยิ่งกว่ากลับเป็นกลยุทธ์ในการทำสงครามของแคว้นต้าถังเอง

    เทือกเขาเทียนชี่กับเทือกเขาหมินซานอันที่จริงเป็นเทือกเขาเดียวกันที่ทอดตัวยาวเป็นหมื่นลี้ ผ่าทะลุดินแดนตอนเหนือของแผ่นดินใหญ่และแบ่งทุ่งร้างอันกว้างใหญ่ไพศาลออกเป็นสองส่วน โดยตรงกลางถูกหุบเขาลึกแคบตัดแบ่งออกเป็นเหนือกับใต้ ชาวจงหยวนคุ้นเคยกับการเรียกเทือกเขาที่ถูกตัดแบ่งนี้ว่าหมินซานเหนือและหมินซานใต้ ในขณะที่พวกคนเถื่อนกลับเรียกเทือกเขาทางทิศเหนือว่าเขาเทียนชี่

    หากราชสำนักจั่วจั้งคิดร่วมมือกับราชสำนักจินจั้งทำสงครามกับจงหยวนจริง เช่นนั้นทหารม้าของพวกมันก็จะต้องอาศัยเส้นทางตรงหุบเขานี้ในการติดต่อส่งข่าว ทว่าทางทิศตะวันตกของหุบเขากลับมีเมืองที่มีคูน้ำล้อมรอบของแคว้นต้าถังตั้งอยู่

    เมืองนี้ตั้งอยู่สุดขอบอาณาเขตของแคว้นต้าถัง ทั้งยังเป็นเมืองที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด แคว้นต้าถังสิ้นเปลืองกำลังคนและกำลังทรัพย์ไปมากในการสร้าง ฉางอันจึงย่อมมิอาจให้เมืองที่ว่านี้ได้รับการคุกคามใดๆ ไม่ว่าการคุกคามนี้จะมาจากใครหรืออะไรก็ตาม

    บรรดาทูตหลังทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จสิ้นลง บางส่วนก็เข้าเมืองไปร่วมงานเฉลิมฉลอง บางส่วนก็รีบเร่งเดินทางกลับไปยังแคว้นของตนเพื่อรายงานผลของการปรึกษาหารือ

    ผู้ฝึกฌานจากแต่ละสำนักยังคงพำนักอยู่ภายในวัด หากเป็นปีก่อนๆ คนเหล่านี้จะต้องติดตามบุคคลสำคัญของแคว้นตัวเองจากไปด้วย แต่ปีนี้สถานการณ์กลับเปลี่ยนแปลงไป เพราะพวกมันต้องรอให้บุคคลสำคัญที่พำนักอยู่ในวิหารด้านหลังเอ่ยปากก่อน คนเหล่านี้ได้แก่เฉิงเซียนเซิงยอดคนด่านรู้ชะตาจากศาลากระบี่ ชวีนีหม่าตี้กูกูกับผู้งมงายบุปผาลู่เฉินจยาแห่งแคว้นเยวี่ยหลุน เจ้าคณะหอวินัยจากวัดเสวียนคง และตัวแทนจากสถานศึกษากับอาศรมเทพแห่งซีหลิง

    ตัวแทนของสถานศึกษาย่อมต้องเป็นหนิงเชวีย ส่วนตัวแทนของอาศรมเทพแห่งซีหลิงนั้นเดิมทีก็คือซังซัง เพียงแต่ตอนนี้นางยังไม่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ มีเพียงแค่ฉายาที่อาศรมเทพมอบให้ ที่สำคัญคืออาศรมเทพรู้ดีว่าเทวีแห่งแสงสว่างต้องไม่มีทางสนใจเรื่องพวกนี้ ดังนั้นจึงส่งเสินกวนคนหนึ่งมาช่วยเหลือ

    เสินกวนผู้นี้หนิงเชวียรู้จักเป็นอย่างดี เพราะมันก็คือเฉิงลี่เสวี่ยหัวหน้าหน่วยโองการฟ้าผู้มีผมเป็นสีเงินยวง

    หนิงเชวียพอเห็นเป็นเฉิงลี่เสวี่ยก็กล่าวดักคอ

    “หากซังซังพูดอะไรออกมา เจ้าจะเชื่อฟังนางจริงๆ น่ะหรือ ไปหลอกเด็กเถอะ”

    เฉิงลี่เสวี่ยยิ้มน้อยๆ

    “หากเทวีแห่งแสงสว่างแสดงความคิดเห็น ข้าย่อมต้องเคารพความคิดเห็นของนาง อีกอย่าง ข้าเชื่อว่าจะไม่มีผู้ใดในอาศรมเทพกล้าคัดค้านความคิดเห็นของนางเช่นกัน”

    “พูดเสียน่าฟัง แต่คำพูดเหล่านี้ทีหลังพูดให้น้อยลงได้หรือไม่ หรือไม่พูดเลยจะดีกว่า”

    ถึงตรงนี้หนิงเชวียก็จ้องตาเฉิงลี่เสวี่ย ถามว่า

    “เจ้าน่าจะได้ยินคำเล่าลือเกี่ยวกับข้ามาบ้างแล้ว?”

    สีหน้าของเฉิงลี่เสวี่ยสงบนิ่งขณะตอบ

    “ก็พอได้ยินมาบ้าง”

    หนิงเชวียถาม

    “แล้วเชื่อหรือไม่”

    เฉิงลี่เสวี่ยยิ้มน้อยๆ

    “ไม่รู้สิ”

    “แล้วต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้าเล่า”

    เฉิงลี่เสวี่ยส่ายหน้า

    “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร”

    หนิงเชวียยักไหล่

    “เช่นนั้นหากวันหน้ากล้ามีคนในนิกายเต๋าพูดว่าข้าคือบุตรของหมิงหวัง ก็อย่าโทษข้าที่จะไม่เกรงใจก็แล้วกัน”

    เฉิงลี่เสวี่ยถอนใจดังเฮือก

    “หากเจ้าไม่พูดขึ้นมาเอง แล้วใครจะกล้าพูดใส่หน้าเจ้ากันเล่า”

    หนิงเชวียยิ้มเย็น

    “การพูดพล่อยรังแต่จะนำภัยมาสู่ตัว ข้าก็แค่เตือนพวกเจ้าเท่านั้น”

    เฉิงลี่เสวี่ยถอนใจอีกครั้งก่อนล้วงจดหมายฉบับหนึ่งออกมายื่นส่งให้

    “นี่คือจดหมายจากจ้าวบัลลังก์พิพากษา นางกำชับให้ข้าส่งถึงมือเจ้า”

    หนิงเชวียตะลึงไปชั่ววูบ หลังรับจดหมายมาเปิดอ่านก็พบว่าเป็นลายมือของเยี่ยหงอวี๋จริงๆ

    ในจดหมายเยี่ยหงอวี๋เขียนถึงเรื่องการไล่ล่าสังหารองค์ชายหลงชิ่งที่นอกด่านทางเหนือของแคว้นเยี่ยนมาสั้นๆ นางไม่ได้เล่าถึงเหตุการณ์ฟ้าผ่าริมทะเลสาบให้หนิงเชวียฟัง แค่บอกว่าหลงชิ่งยังไม่ตาย มิหนำซ้ำยังนำกำลังซึ่งตอนนี้มีจำนวนเพิ่มเป็นหลายสิบคนไปสมทบกับคนของราชสำนักจั่วจั้งก่อนหลบหนีเข้าทุ่งร้างไป

    หลงชิ่งเอาชีวิตรอดจากกระบี่ของเยี่ยหงอวี๋ไปได้!

    นี่ต่างจากที่มันคาดไว้หน้ามือเป็นหลังมือ หนิงเชวียมั่นใจว่าระหว่างนั้นจะต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น แต่เมื่อเยี่ยหงอวี๋ไม่คิดจะบอกกล่าว มันก็หมดปัญญาจะคาดเดา

    นึกถึงดอกท้อสีดำกับกลิ่นอายโดดเดี่ยวอ้างว้างนั่นแล้ว หนิงเชวียก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที

    วันนั้นที่วัดหงเหลียน หากหลงชิ่งไม่ถูกเคล็ดวิชาเทาเที่ยของมันทำให้ตื่นตระหนกจนขวัญกระเจิง คิดแต่จะหนี ไม่แน่ว่ามันอาจต้องตายด้วยน้ำมือของอีกฝ่ายไปแล้วก็ได้

    มันรู้ดีว่าหลงชิ่งในตอนนี้เข้มแข็งและน่าประหวั่นพรั่นพรึงเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเคล็ดวิชาดูดพลังที่แสนจะพิสดารนั่น แม้ในทุ่งร้างจะไม่มีผู้ฝึกฌานนิกายเต๋า แต่ก็มีหมอผีอยู่มากมาย ภายใต้สถานการณ์ที่ขาดความระมัดระวังเพราะคิดไม่ถึง หมอผีเหล่านั้นคงไม่แคล้วต้องตกเป็นเหยื่ออันโอชะ ซึ่งก็จะทำให้หลงชิ่งแข็งแกร่งกว่าเดิมยิ่งขึ้นไปอีก

    หนิงเชวียเริ่มเลื่อมใสศัตรูตัวฉกาจคนนี้ขึ้นมาบ้าง เห็นๆ อยู่ว่าควรตายไปนานแล้ว แต่หลงชิ่งไม่เพียงไม่ตาย กลับยังเปลี่ยนเป็นน่ากลัวขึ้น เมื่อสองปีก่อนเคยมีคนพูดกันว่ามันกับหลงชิ่งคือศัตรูที่โชคชะตากำหนดให้มิอาจอยู่ร่วมโลกเดียวกัน หรือคำพูดนี้จะต้องกลายเป็นจริงในที่สุด

    จดหมายของเยี่ยหงอวี๋มีสองแผ่น แผ่นที่สองนางวาดรูปกระบี่เอาไว้

    หนิงเชวียสัมผัสได้ถึงเจตนารมณ์กระบี่อันน่าสะพรึงกลัวที่แฝงอยู่ในภาพและความรู้สึกเหี้ยมหาญไม่ยินยอมพร้อมใจของนางขณะที่วาด จนต้องพึมพำกับตัวเองด้วยหัวใจที่หนาวเหน็บ

    “เจ้ารุดหน้าเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ…อย่าเก่งนักได้หรือไม่ ยิ่งเจ้าเป็นอย่างนี้ข้าก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เรื่อง”

    ปากกล่าวเช่นนี้ แต่ในความเป็นจริงมันกลับรู้สึกซาบซึ้งตื้นตันในตัวเยี่ยหงอวี๋เป็นอย่างยิ่ง พอนางมองทะลุเพลงกระบี่มหานทีของหลิ่วไป๋ไปได้อีกขั้น ก็วาดกระบี่มาบอกให้มันรับรู้ด้วย นี่คงเป็นเพราะนางห่วงว่ามันจะฝึกฌานรุดหน้าได้ช้า ต่อไปจะมิใช่คู่ต่อสู้ของหลงชิ่ง

    แน่นอน หนิงเชวียยังรู้อีกว่าด้วยนิสัยของเยี่ยหงอวี๋ นอกจากเหตุผลที่กล่าวไปแล้ว ยังมีเหตุผลที่สำคัญอีกข้อหนึ่ง นั่นคือนางกลัวว่าฝีมือมันจะถูกนางทิ้งห่างเกินไป ครั้งหน้าเมื่อต้องประมือกัน ความสนุกเร้าใจจะลดทอนลง

    เฉิงลี่เสวี่ยได้ยินที่มันพึมพำกับตัวเองก็ทอดถอนใจ กล่าวด้วยน้ำเสียงขื่นขม

    “ตอนพบกันในทุ่งร้าง เจ้ายังไม่บรรลุด่านสู่พิสดาร วันนี้ได้พบกันอีกครั้ง เจ้ากลับกลายเป็นยอดคนด่านรู้ชะตาไปแล้ว หากแบบนี้ยังเรียกว่าไม่ได้เรื่อง เช่นนั้นข้ามิสมควรขุดหลุมฝังตัวเองหรอกรึ”

    หนิงเชวียตบไหล่อีกฝ่าย กล่าวปลอบ

    “ผู้ที่รู้จักพอจึงจะพบกับความสุข”

    เฉิงลี่เสวี่ยกล่าวอย่างปลดปลง

    “ในที่สุดข้าก็เข้าใจ เพราะเหตุใดองค์ชายหลงชิ่งหลังพ่ายแพ้ให้เจ้าที่เมืองฉางอัน กลับไปอาศรมเทพจึงมีแต่ความเคียดแค้นจนมีสภาพเยี่ยงนั้น เพราะไม่ว่าใครก็ตามที่สูญเสียโอกาสได้เป็นศิษย์ของจอมปราชญ์ย่อมเท่ากับสูญเสียโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิตไป ที่สำคัญ การพ่ายแพ้ให้กับคนอย่างเจ้าช่างเป็นความรู้สึกที่เหลือรับจริงๆ”

    หนิงเชวียกล่าวอย่างยิ้มแย้ม

    “จะว่าไปตอนนั้นข้าไม่ได้ทำอะไรเลย เพียงแค่ถามมันว่าจะกินขนมโก๋หรือไม่”

     

    การชุมนุมที่จัดขึ้นในวิหารด้านหลัง ผู้ฝึกฌานทั่วไปย่อมไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วม พวกมันได้แต่ต้องรอคอยอยู่อย่างเงียบๆ หรือไม่ก็จับกลุ่มคุยกัน ทว่าดูจากสีหน้ากลับไม่เห็นวี่แววของความทุกข์ร้อนแต่อย่างใด

    คนที่มิอาจแหงนหน้ามองฟ้าย่อมมิรู้ว่าท้องนภานั้นสูงเพียงใด คนที่มิอาจล่วงรู้ถึงความลับอันยิ่งใหญ่ย่อมมองไม่เห็นอันตรายที่อยู่ตรงหน้า ผู้ฝึกฌานเหล่านี้ยังคงคิดว่าตำนานโลกแห่งความมืดเข้ารุกรานเป็นเพียงแค่คำเล่าลือ ดังนั้นพวกมันจึงไม่รู้สึกตื่นตระหนกหรือเป็นกังวล

    ภายในวิหารซึ่งมีอรหันต์ศิลาอยู่สี่องค์ยังคงเงียบสงัด เพราะคนที่มีคุณสมบัติพอที่จะนั่งอยู่ในนี้ได้มีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น

    ผู้ที่นั่งเป็นประธานอยู่ตรงกลางของการประชุมในวันนี้ย่อมต้องเป็นฉีซานต้าซือ โดยมีหลวงจีนกวนไห่คอยยืนรับใช้อยู่ด้านหลัง หัวแถวทางซ้ายมือของมันเป็นหนิงเชวียกับซังซัง ส่วนหัวแถวทางขวามือก็คือเป่าซู่ต้าซือเจ้าคณะหอวินัยจากวัดเสวียนคง

    คนอื่นๆ ในวิหารไม่ว่าจะมีตำแหน่งทางโลกิยะสูงส่งเพียงใด เมื่ออยู่ต่อหน้าสองตัวแทนจากสถานที่ที่เป็นปริศนา ก็ล้วนต้องเคารพให้เกียรตินั่งในตำแหน่งลดหลั่นลงมา

    เฉิงลี่เสวี่ยเป็นตัวแทนจากอาศรมเทพแห่งซีหลิง จึงนั่งต่อจากซังซัง ตามด้วยโม่ซันซัน ส่วนชวีนีหม่าตี้ เฉิงจื่อชิงยอดคนจากศาลากระบี่และผู้งมงายบุปผาลู่เฉินจยา นั่งต่อจากเป่าซู่ต้าซือ

    ต้งหมิงต้าซือผู้รับหน้าที่คุมหมากกระดานที่สองก็อยู่ในวิหารด้วย เพียงแต่ไม่ได้นั่งรวมกับคนอื่น แยกไปนั่งติดกับผนังอยู่คนเดียว มันมองซังซังพลางยิ้มน้อยๆ ท่าทางดูสงบนิ่งและผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด

    ในวิหารมีคนอยู่หยิบมือเดียว แต่คนเหล่านี้สามารถเป็นตัวแทนของโลกแห่งผู้ฝึกฌานได้ทั้งโลก

    ฉีซานต้าซือกวาดตามองทุกคนก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า

    “เชื่อว่าตอนนี้ทุกท่านคงไม่คิดว่าตำนานเป็นเพียงแค่ตำนานอีกต่อไป การมาถึงของราตรีชั่วนิจนิรันดร์เริ่มแสดงเค้าลางให้เห็นแล้ว สองปีก่อนตอนเซียนเซิงใหญ่แห่งสถานศึกษาเดินทางไปยังดินแดนหนาวเหน็บทางเหนือสุด มันพบว่าค่ำคืนของที่นั่นเปลี่ยนเป็นยาวนานขึ้น อากาศเย็นลงอย่างรวดเร็ว แม้แต่ทะเลเร่อไห่ก็มีเค้าว่าจะจับตัวเป็นน้ำแข็ง”

    เฉิงลี่เสวี่ยค้อมตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยเป็นการทักทายทุกคน ก่อนกล่าวว่า

    “เจ้านิกายก็มองผ่านม่านแสงเจิดจรัสเห็นกลางทะเลลึกปรากฏชั้นน้ำแข็งขึ้นมาอย่างน่าแปลกประหลาดใจเช่นกัน”

    ฉีซานต้าซือถอนใจยาว

    “เซียนเซิงใหญ่ยังเล่ามาในจดหมายอีกว่า วันที่น้ำในเมืองฉางอันจับตัวเป็นน้ำแข็งมาเร็วกว่าเดิมสามวันในปีที่แล้ว และเร็วกว่าเดิมสองวันเมื่อปีก่อนหน้า”

    เฉิงจื่อชิงขมวดคิ้ว

    “แต่ปีนี้เมืองฉางอันเข้าสู่ฤดูสารทช้ากว่าปีก่อนเล็กน้อย ข้าเลยเข้าใจว่าไม่มีอะไรน่าห่วง ทุกอย่างยังคงเป็นปกติ”

    ทันใดนั้น เป่าซู่ต้าซือเจ้าคณะหอวินัยของวัดเสวียนคงก็สอดปากมา

    “ไม่จำเป็นต้องถกเถียงกันถึงเรื่องนี้อีกต่อไป ชาวฮวงอพยพลงใต้ก็คือหลักฐานพิสูจน์ว่าสิ่งที่เซียนเซิงใหญ่เห็นนั้นเป็นเรื่องจริง อย่าเสียเวลาไปกับการสนทนาถึงเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกเลย ที่พวกเราต้องขบคิดกันในตอนนี้ก็คือจะรับมือโลกแห่งความมืดเข้ารุกรานอย่างไรดี”

    ตอนขึ้นเขา เป่าซู่ต้าซือเอาแต่นั่งเงียบอยู่ในเสลี่ยง ส่วนช่วงเวลาที่พำนักอยู่ในวัดลั่นเคอก็เก็บตัวเงียบไม่ให้ผู้ใดเข้าพบ นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ทุกคนรวมทั้งหนิงเชวียได้เห็นโฉมหน้าของมัน

    มหาเถระรูปนี้สองคิ้วขาวโพลนพาดตรงราวกับไม้บรรทัด ดวงตาเฉียบคมเป็นประกาย หน้าผากแม้มีรอยย่น แต่กลับคาดเดาอายุได้ยาก

    เป่าซู่ต้าซือมาจากสถานที่ที่เป็นปริศนา อีกทั้งยังมีตำแหน่งเป็นถึงเจ้าคณะหอวินัย ตำแหน่งและฐานะของมันจึงสูงกว่าทุกคนในที่นี้อย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นพอมันเอ่ยปาก กระทั่งเฉิงจื่อชิงก็ยังต้องเงียบเสียงลงทันที

    เมื่อวัดเสวียนคงออกมายืนยันเองว่าโลกแห่งความมืดเข้ารุกรานมิได้เป็นเพียงแค่ตำนาน ไม่เพียงเฉิงจื่อชิง คนอื่นๆ ในห้องก็เงียบกริบไปเช่นกัน การที่เรื่องในตำนานกลายมาเป็นเรื่องจริงมิใช่อะไรที่คนเราจะยอมรับกันได้ง่ายๆ พวกมันต่างก็คิดกันอยู่ในใจ เหตุไฉนวันสิ้นโลกจึงไม่เกิดขึ้นในยุคของผู้อาวุโสรุ่นก่อนๆ จำเพาะเจาะจงต้องมาเกิดในยุคของตน

    เป่าซู่ต้าซือกวาดสายตามองทุกคนก่อนกล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึม

    “การเข้ามารุกรานของโลกแห่งความมืดน่าจะต้องมีขั้นตอนที่ยาวนาน อาจจะไม่ปรากฏให้เห็นในช่วงชีวิตของพวกเราก็ได้ แต่ก็ดั่งคำกล่าวที่ว่าคนรุ่นก่อนปลูกต้นไม้ คนรุ่นหลังอาศัยร่มเงา ดังนั้นเพื่อให้มนุษย์สามารถดำรงชีวิตอยู่ต่อไปในโลกได้ พวกเราจะต้องเตรียมการกันไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ”

    ไม่ว่าผู้ใดก็รู้ว่าควรเตรียมการ แต่จะให้เตรียมการอย่างไรเล่า

    ภายในวิหารมีแต่ความเงียบอีกครั้ง

    หลวงจีนกวนไห่เดินออกไปเอาน้ำร้อนมาชงชาให้แก่ทุกคน

    ฉีซานต้าซือรักเอ็นดูศิษย์คนนี้ยิ่ง จึงไม่ค่อยจะเอ่ยถึงอนาคตที่โลกจะมืดมนกับมัน ดังนั้นนี่จึงเป็นครั้งแรกที่กวนไห่ได้เข้าร่วมหารือ อันที่จริงหากมิใช่เป็นเพราะไม่ต้องการให้หลวงจีนในวัดได้ยินเนื้อหาของการประชุม งานเล็กน้อยอย่างเช่นยกน้ำชามีหรือจะถึงรอบให้มันต้องลงมือ

    หนิงเชวียไม่ได้ให้ความสนใจกับการประชุมในครั้งนี้สักเท่าใด ตามความคิดเห็นของมัน หากโลกแห่งความมืดจะเข้ามารุกรานจริงๆ อาศัยแค่สติปัญญาของคนเหล่านี้ จะหาแผนรับมือที่ดีงามออกมาได้อย่างไร คนเหล่านี้เอาเจ้าอารามจือโส่ว เจ้าคณะนำสวดของวัดเสวียนคงและจอมปราชญ์ไปไว้ที่ไหนแล้วเล่า

    เพียงแต่คนบนเขาหลังสถานศึกษาล้วนขี้เกียจสันหลังยาว ไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลก ดังนั้นแม้มันต้องเข้าร่วมประชุมในฐานะผู้เข้าสู่โลกิยะของสถานศึกษา แต่ก็ไม่คิดจะเปิดปากออกความเห็นใดๆ ทว่าเรื่องราวบนโลกมักไม่มีอะไรได้ดั่งใจ เพราะไม่นานการหารือก็วกกลับมาพัวพันกับตัวมันเข้าจนได้

    “ก่อนที่โลกแห่งความมืดจะเข้ามารุกราน หมิงหวังจะต้องทอดเงามาที่โลกของเราโดยใช้ร่างบุตรของมันเป็นทางเชื่อม และเมื่อสิบหกปีก่อน ตอนทุ่งร้างเกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาด ศิษย์สัญจรทั่วปฐพีของทุกนิกายซึ่งไปถึงที่นั่นพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายก็ได้เห็นพ้องต้องกันว่าบุตรของหมิงหวังได้ลงมาจุติบนโลกของเราแล้ว”

    เป่าซู่ต้าซือกล่าวถึงตรงนี้ก็ปรายตามองมาทางหนิงเชวีย

    หนิงเชวียมีหรือจะไม่เข้าใจว่ามหาเถระรูปนี้คิดทำอะไร หัวใจมันเย็นเฉียบ แต่ยังคงวางสีหน้าเรียบเฉย

    สายตาของชวีนีหม่าตี้พุ่งมาที่ตัวมัน ไม่ปกปิดความเคียดแค้นอีกต่อไป กล่าวด้วยเสียงแหบกระด้าง

    “ฉะนั้นเรื่องที่พวกเราสมควรต้องทำในตอนนี้ก็คือหาตัวบุตรของหมิงหวังให้เจอแล้ว…ฆ่ามันซะ”

    ฉีซานต้าซือรับถ้วยจากกวนไห่มาเป่าเบาๆ ไม่กล่าวอะไร

    ทุกคนในวิหารต่างก็รู้ดีว่าชวีนีหม่าตี้มุ่งเป้าไปที่ใคร หลังการต่อสู้ระหว่างหนิงเชวียกับซย่าโหวจบสิ้นลง คำพูดของต้าเสินกวนหน่วยแสงสว่างในปีนั้นก็ถูกนำมากล่าวถึงอีกครั้งในหมู่ผู้ฝึกฌาน รวมทั้งภายในนิกายพุทธด้วย

    แต่ในเมื่อไร้หลักฐาน ผู้ใดจะกล้าประกาศว่าศิษย์ของจอมปราชญ์คือบุตรของหมิงหวัง ฉะนั้นช่วงเวลาปีกว่ามานี้จึงไม่มีผู้ใดกล้าถามหรือเอ่ยถึงเรื่องนี้ต่อหน้าหนิงเชวีย แม้แต่ข่าวลือที่ว่าก็พลอยเงียบหายไปด้วย เพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดเคยเห็นหมิงหวังมาก่อน การทำให้สถานศึกษาบันดาลโทสะเพียงเพราะคำพูดโคมลอยจึงเป็นเรื่องที่โง่เขลาเบาปัญญายิ่ง

    ด้วยเหตุนี้ พอชวีนีหม่าตี้กล่าวประโยคนี้ขึ้นมาจึงไม่มีผู้ใดคิดจะสานต่อ และก็ไม่มีผู้ใดคิดแสร้งทำเป็นไม่รู้ ถามว่าบุตรของหมิงหวังคือใคร ภายในวิหารยังคงเงียบเหมือนเป่าสาก

    ชวีนีหม่าตี้คล้ายคิดไม่ถึงว่าจะต้องเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ จึงถลึงตาด้วยความเคียดแค้นชิงชังยิ่งกว่าเดิม กระชากเสียงถาม

    “เซียนเซิงสิบสาม เจ้าไม่คิดจะพูดอะไรบ้างเลยรึ”

    หนิงเชวียแสร้งถอนใจยาว

    “ที่ข้าอยากพูดก็คือ ท่านอย่าพูดจาให้อ้อมค้อมนักได้หรือไม่”

    ชวีนีหม่าตี้ได้ยินก็แทบเต้นผาง โทสะพวยพุ่งจนต้องหอบหายใจแรง ตวาดเสียงกร้าว

    “ก็ได้ ข้าจะไม่อ้อมค้อม ที่ข้าหมายถึงก็คือตัวเจ้า! เจ้าคือบุตรของหมิงหวัง!”

    หนิงเชวียคาดไว้แล้วว่าวันนี้จะต้องมีคนหาเรื่องมัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะเป็นชวีนีหม่าตี้หรือเป่าซู่ต้าซือ ในที่สุดก็รู้แล้วว่าเป็นแม่ชีเฒ่าที่น่าชิงชังรังเกียจที่สุดในแผ่นดินคนนี้จริงๆ

    นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เสียงลือเสียงเล่าอ้างถูกคนเอามาพูดใส่หน้าหนิงเชวียตรงๆ ผู้คนในที่นั้นจึงต่างก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที โม่ซันซันอดมองหนิงเชวียด้วยความเป็นห่วงไม่ได้

    หนิงเชวียยักไหล่กล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน

    “หากไม่มีหลักฐานก็อย่าได้กล่าววาจาพล่อยๆ เป็นอันขาด”

    ชวีนีหม่าตี้แค่นหัวเราะเสียงเย็นชา

    “ปีนั้นต้าเสินกวนหน่วยแสงสว่างบอกว่าบุตรของหมิงหวังลงมาเกิดในจวนแม่ทัพเซวียนเวยเมืองฉางอัน บัดนี้เป็นที่รู้กันว่าเจ้าก็คือคนคนเดียวที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์นั้น ถ้าไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใครได้อีกเล่า”

    “ที่แท้ที่ท่านอ้างถึงก็คืออาจารย์ของว่าที่ภรรยาของข้า”

    หนิงเชวียยิ้มเล็กน้อย ก่อนกล่าวต่อ

    “แต่คนก็ตายไปแล้ว จะมายืนยันในสิ่งที่คิดหรือเห็นได้อีกหรือ ต่อให้ท่านบอกว่าคำพูดของมันสามารถเชื่อถือได้ ทว่าคนเราต่อให้สายตาดีเพียงใดก็ยังมีโอกาสมองผิดกันได้ อย่าลืม เพราะเรื่องนี้มันถึงกับถูกเจ้าอารามฟาดตกจากบัลลังก์ ถูกอาศรมเทพกักขังไว้ในศาลามืด หากตอนนี้ท่านมายืนกรานว่ามันถูกก็มิเท่ากับบอกว่าเจ้าอารามกับอาศรมเทพแห่งซีหลิงเป็นฝ่ายผิดหรอกรึ”

    ชวีนีหม่าตี้ตะลึงงันไป ต่อให้นางมีฐานะสูงส่งในนิกายพุทธและโลกของผู้ฝึกฌานยิ่งกว่านี้ก็ยังไม่กล้ากล่าวหาว่ายอดคนในโลกุตระอย่างเจ้าอารามจือโส่วเป็นฝ่ายผิดต่อหน้าผู้คน

    หนิงเชวียส่ายหน้ากล่าวด้วยน้ำเสียงเอือมระอา

    “ท่านนี่มัน…ไม่รู้จะพูดอย่างไรดีจริงๆ”

    ก่อนหันไปกล่าวกับเฉิงลี่เสวี่ย

    “ข้าไม่ใช่คนชอบยุแยง และก็ไม่คิดว่านางจะกล้าสบประมาทคนทั้งนิกายเต๋า แต่…เอ…เมื่อครู่พวกเราเพิ่งคุยกันว่าอย่างไรนะ อะไรนะที่จะนำภัยมาสู่ตัว”

    เฉิงลี่เสวี่ยยิ้มเฝื่อนๆ คิดในใจ เจ้าไม่กลัวที่จะล่วงเกินคนก็ช่างเจ้า แต่ข้าไม่อยากผูกความแค้นกับแม่ชีเฒ่านางนี้

    ชวีนีหม่าตี้แม้ไม่รู้ถึงคำสนทนาก่อนหน้านี้ระหว่างหนิงเชวียกับเฉิงลี่เสวี่ย แต่พอได้ยินคำว่าจะนำภัยมาสู่ตัวก็รู้ว่าจะต้องมิใช่คำพูดที่ดีอย่างแน่นอน จิตใจจึงยิ่งอัดแน่นไปด้วยเพลิงแค้น

    หนิงเชวียกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย

    “หากท่านไม่อยากหาภัยให้แคว้นเยวี่ยหลุนก็หัดพูดจาให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียบ้าง แม้อาวุโสของท่านจะน้อย แต่อายุกลับไม่น้อยแล้ว อย่าก่อเรื่องเหมือนตอนอยู่ในทุ่งร้างอีก”

    น้ำเสียงของมันมิได้แข็งกร้าว แต่กลับเข้มข้นไปด้วยกลิ่นอายของผู้อาวุโสที่กำลังสั่งสอนผู้เยาว์

    ชวีนีหม่าตี้ยามนี้ถึงกับสั่นเทิ้มไปทั้งตัว

    เป่าซู่ต้าซือเองก็ขมวดคิ้ว คล้ายไม่พอใจในการแสดงออกของหนิงเชวียเช่นกัน

    ขณะที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า มีเพียงซังซังเท่านั้นที่ให้ความสนใจกับถ้วยชาที่รับมาจากหลวงจีนกวนไห่ ทั้งนี้เพราะทุกครั้งที่มีการปะทะกันด้วยคารม นางรู้ดีว่าหนิงเชวียจะไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างแน่นอน จึงไม่เคยหวั่นวิตกแทนมัน

    ชาในถ้วยมิใช่ชาที่ฉีซานต้าซือดื่มเป็นประจำ แต่เป็นชาบุปผา ซังซังเห็นดอกมะลิดอกหนึ่งลอยอยู่บนน้ำชาก็รู้สึกชอบใจ จึงก้มหน้าสูดดม

    จู่ๆ หนิงเชวียก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา

    ซังซังยกถ้วยชาขึ้นแตะริมฝีปากจะจิบ แต่กลับรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอย่างกะทันหันเช่นกัน นางขมวดคิ้ว คิดจะวางถ้วยลง

    ผู้งมงายบุปผาลู่เฉินจยาวันนี้ยังคงนั่งก้มหน้าไม่พูดจาเหมือนเช่นเคย แม้นางจะมีฐานะเป็นถึงองค์หญิงแคว้นเยวี่ยหลุน และเป็นบุคคลที่อาศรมเทพแห่งซีหลิงให้การฟูมฟัก ทว่าในการประชุมคราวนี้ ไม่ว่าจะเป็นลำดับอาวุโสหรือความสามารถ นางล้วนอยู่ในลำดับสุดท้าย ดังนั้นการนั่งเงียบของนางจึงเป็นเรื่องที่สมควรอยู่ กอปรกับนับตั้งแต่มาถึงเขาหว่าซาน นางไม่เคยเอ่ยปากกล่าววาจากับผู้ใด ทุกคนจึงมิได้รู้สึกว่าท่าทีของนางแปลกประหลาด

    ทว่าตอนซังซังยกถ้วยชาขึ้นจะดื่ม นางกลับเงยหน้ามอง!

    แววตาของนางยังคงสงบนิ่ง สีหน้าก็ยังคงชืดชา แต่หากเพ่งมองให้ดีจะเห็นว่าริมฝีปากของนางกำลังสั่นระริก

    นั่นคือความเคร่งเครียด นั่นคือความตื่นเต้นระทึกใจ

    ทว่าพอเห็นซังซังขมวดคิ้ว ชะงักมือทำท่าคล้ายจะวางถ้วยลง ลู่เฉินจยากลับเม้มริมฝีปาก แววตาฉายแววผิดหวังก่อนเปลี่ยนเป็นเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น สองมือเรียวงามหักก้านบุปผาในมือจนกลีบดอกร่วงกระจาย กลิ่นอายอ่อนจางสายหนึ่งแผ่พุ่งออกจากปลายแขนเสื้อไปในบัดดล

    ถ้วยชาที่ซังซังถืออยู่จู่ๆ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลง

    ดอกมะลิที่ลอยอยู่ในน้ำชาคล้ายถูกกรอกด้วยพลังชีวิต พริบตาเดียวก็คลี่บานสละกลีบให้ดีดตัวขึ้นใส่ดวงหน้าน้อยๆ ไปโดยพลัน!

    ซังซังเพิ่งลดมือลง ถ้วยชายังคงอยู่ใกล้ใบหน้า จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะหลบพ้นจากการจู่โจมนี้ ต่อให้อยากตอบโต้ด้วยวิชาเทพของซีหลิงหรือวิชาแนวทางพุทธที่เพิ่งร่ำเรียนมา ก็ไม่ทันการเสียแล้ว

    นางจึงได้แต่เบิ่งตามองกลีบดอกมะลิเหล่านั้นพุ่งใส่ใบหน้า ชั่ววินาทีนั้น ที่นางทำได้มีเพียงแค่คิดเท่านั้น

     

     

    (หมายเหตุ*** เนื้อหานิยายที่นำมาให้ทดลองอ่านยังไม่ผ่านกระบวนการไฟนอล)

    โปรดติดตามตอนต่อไป…

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in สยบฟ้า พิชิตปฐพี

    นิยายยอดนิยม

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ยอดสถาปนิกผู้พิทักษ์อาณาจักร เล่ม 1 ครั้งที่ 1

      บทที่ 1 กลายเป็นเศษสวะในนิยาย     เหตุการณ์ที่เหมือนนิยายกำลังเกิดขึ้นกับผม เมื่อลืมตาก็พบว่าตัวเองหลุดมาอยู...

    Facebook