• Connect with us

    Enter Books

    สยบฟ้า พิชิตปฐพี

    ทดลองอ่านนิยายสยบฟ้าพิชิตปฐพี เล่ม 22 ตอนที่ 2

    บทที่ 2 เสียงกระดิ่ง

     
    หลายวันก่อน หลังการสนทนากับผู้งมงายบุปผา หนิงเชวียได้มอบถุงแพรใบหนึ่งให้กับซังซัง สั่งกำชับว่าหากเกิดเรื่องอะไร ให้นางบอกกับมันในใจ

    ให้บอกในใจก็คือให้คิด ดังนั้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการจู่โจมที่มาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ซังซังต่อให้ทำอะไรไม่ทันก็ยังคิดทัน

    พอนางคิด หนิงเชวียก็รับรู้ แล้วคิดตาม

    ความนึกคิดพอบังเกิดก็กระตุ้นให้ถุงแพรที่ซังซังซุกเอาไว้ในแขนเสื้อทำงานทันที แสงตะวันที่ส่องเข้ามาในวิหารเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน โดยเฉพาะอากาศตรงหน้าซังซัง บัดนี้ถูกอานุภาพของยันต์ที่แผ่ออกจากถุงแพรบิดกระชากไปมาจนมองเห็นเป็นกระจกซ้อนกันอยู่หลายชั้น

    กลีบดอกมะลิที่ดีดตัวขึ้นจากถ้วยพอชนเข้ากับกระจกก็เกิดการปะทะหักล้างกันของพลังสองขุม ก่อเกิดเป็นลมกระโชกแรงขึ้นในวิหาร หอบฝุ่นดินที่สะสมอยู่ตามร่องหินให้ปลิวฟุ้งไปทั่ว

    กลีบดอกมะลิพยายามจะเจาะทะลวงเข้ากระจก ทว่าเจาะไปได้แค่สองสามชั้นก็หมดแรง ถูกบดบี้จนแหลกละเอียดเป็นผุยผง

    ลู่เฉินจยาเพิ่งจะตะลึงลาน ใบหน้างดงามดั่งบุปผาก็พลันบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ก่อนกระอักเลือดออกมาจนชุ่มอกเสื้อ อึดใจต่อมา กลิ่นอายยันต์ที่วนเวียนอยู่ในวิหารจึงค่อยจางหายไปพร้อมๆ กับกระจกจำนวนมากมายหลายชั้นที่อยู่เบื้องหน้าซังซัง น้ำชาที่มีเศษผงของดอกมะลิปะปนจึงกระเซ็นใส่หน้าซังซังจนเปียกชุ่ม

    หนิงเชวียลุกขึ้นยืนช้าๆ มองหน้าลู่เฉินจยาด้วยสีหน้าเย็นยะเยียบ

    ระหว่างเดินทางมาวัดลั่นเคอ มันไม่เคยกังวลว่าตัวเองกับซังซังจะถูกคนลอบทำร้าย เหตุผลก็เป็นดั่งที่มันเคยบอกกับเสี่ยนจื๋อหลาง ทั่วทั้งปฐพีคนที่เข้มแข็งกว่ามันในตอนนี้ล้วนไม่มีใครกล้ามาตอแยมัน เพราะต่างก็กลัวว่าจะผิดใจกับสถานศึกษา ส่วนคนที่ไม่มีดวงตางอกเงยก็ล้วนแล้วแต่ตอแยมันไม่ได้

    ทว่า เหตุผลนี้ย่อมใช้ไม่ได้กับคนอย่างเช่นหลงชิ่งที่สติฟั่นเฟือนเพราะสูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง หรือชวีนีหม่าตี้กับลู่เฉินจยาที่สติฟั่นเฟือนเพราะสูญเสียคนอันเป็นที่รัก

    ในการต่อสู้หน้าวัดหงเหลียน หลงชิ่งเกือบคร่าชีวิตมันไปได้ แต่หนิงเชวียกลับรู้สึกขอบใจอีกฝ่าย เพราะเรื่องนี้ทำให้สัญชาตญาณระแวดระวังภัยของมันถูกปลุกขึ้นมาใหม่ แววตาและคำสนทนาของลู่เฉินจยาในวันนั้นทำให้มันตื่นตัวคอยจับตาดูอยู่ห่างๆ และด้วยเกรงว่านางจะเสียสติเหมือนกับหลงชิ่ง มันจึงได้มอบถุงแพรไว้ให้กับซังซัง

    ภายในถุงแพรก็คือยันต์เทวะอีกชุดหนึ่งที่เหยียนเซ่อต้าซือทิ้งไว้ให้ก่อนจากโลกนี้ไป!

    “แม้ข้าจะยอมรับการกระทำของเจ้าไม่ได้ แต่ก็ยังพอจะเข้าใจถ้าเจ้าอยากฆ่าข้าเพื่อล้างแค้นให้กับมัน แต่เรื่องนี้เกี่ยวกับซังซังที่ตรงไหน ไฉนเจ้าถึงคิดจะฆ่านาง”

    ลู่เฉินจยายกมือขึ้นเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้างามปรากฏรอยยิ้มเหมือนคนเสียสติ

    “ความตายมีแต่จะทำให้หลุดพ้น ไม่เจ็บปวดทรมาน ในเมื่อข้าอยากให้เจ้าได้พบกับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานแสนสาหัส แล้วข้าจะฆ่าเจ้าทำไมกัน”

    สายตาของนางลุกจ้าไปด้วยเพลิงแค้น เสียงสั่นพร่า

    “เจ้าฆ่าคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตข้าไป เจ้ารู้ไหมว่านั่นเป็นความรู้สึกเช่นไร มันเหมือนกับโลกทั้งโลกได้พังทลายลงต่อหน้าเจ้า ความทรงจำในอดีตยิ่งงดงามมากเท่าใด การมีชีวิตอยู่ต่อก็ยิ่งเจ็บปวดทุกข์ทรมานมากขึ้นเท่านั้น เจ้าฆ่าหลงชิ่งก็เท่ากับทำลายโลกของข้า ทำให้ข้าต้องกลายเป็นศพเดินได้ มีชีวิตอยู่ไปวันๆ อย่างคนหัวใจแหลกสลาย”

    สีหน้าของหนิงเชวียยังคงเย็นชา

    “เจ้าไม่ใช่คนเดียวในโลกที่ต้องประสบกับความเจ็บปวดของการพลัดพราก”

    “ใช่! แต่เจ้าไม่มีทางรู้ว่าความเจ็บปวดของการสูญเสียนั้นมันทรมานเพียงใด”

    ลู่เฉินจยาน้ำตาร่วงพรู กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้ากำสรด

    “หากไม่เคยสูญเสีย จะรู้ได้อย่างไรว่าความเจ็บปวดนั้นสามารถฉีกกระชากหัวใจเจ้าเป็นชิ้นๆ ดังนั้นพอรู้ว่าซังซังป่วยหนัก ข้าจึงรู้สึกเบิกบานใจยิ่ง”

    “แต่พอเจ้ารู้ว่าฉีซานต้าซืออาจรักษาซังซังให้หายได้ ก็เลยหมดความอดทน ตัดสินใจลงมือฆ่านาง?”

    ลู่เฉินจยากล่าวอย่างเจ็บแค้น

    “ข้าอยากให้เจ้าต้องเบิ่งตาดูคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตตายไปต่อหน้า อยากให้เจ้ารับรู้ถึงความเจ็บปวดทรมานอย่างที่ข้ารู้สึก หรือข้าผิดที่ทำเช่นนี้”

    หนิงเชวียสบตาคู่งามที่แดงก่ำไปด้วยเส้นเลือด

    “เสียดาย ชั่วชีวิตของเจ้าคงต้องพบแต่ความผิดหวัง เพราะสิ่งที่เจ้าหมายมาดจะไม่มีทางเกิดขึ้น เพียงแต่ข้าอยากรู้ ทำไมเจ้าต้องเจ็บแค้นถึงเพียงนี้ หลงชิ่งมิใช่ยังมีชีวิตอยู่หรอกรึ”

    ลู่เฉินจยายิ้มเศร้า

    “มันยังไม่ตายก็จริง แต่สภาพของมันในตอนนี้จะว่าเป็นคนก็ไม่ใช่คน เป็นผีก็ไม่ใช่ผี ถูกอาศรมเทพไล่ล่าจนต้องหนีเข้าทุ่งร้างราวกับเป็นสุนัขตัวหนึ่ง ที่สำคัญคือมันถึงกับหันหลังให้กับศรัทธาที่มันเชื่อมั่นมาครึ่งชีวิต ฝึกวิชามารที่โหดเหี้ยมอำมหิต การมีชีวิตเช่นนี้มิใช่น่ากลัวยิ่งกว่าตายหรอกหรือ ข้าปรารถนาให้มันถูกเจ้ายิงตายในทุ่งร้างเสียยังดีกว่าที่จะต้องเห็นมันมีสภาพเช่นนี้!”

    หนิงเชวียส่ายหน้า

    “สำหรับข้า ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าจะอยู่อย่างไรย่อมดีกว่าตายแน่นอน ข้าจึงไม่เข้าใจ ตกลงที่เจ้าชอบคือตัวตนที่แท้จริงของมัน หรือฐานะองค์ชายแคว้นเยี่ยนกับบุตรของเฮ่าเทียนอันเป็นเปลือกนอกที่โชติช่วงสว่างไสวของมันกันแน่

    หากมันคือคนสำคัญที่สุดในชีวิตของเจ้า เช่นนั้นไม่ว่าฐานะ ตำแหน่งหรือจุดยืนของมันจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร จะมีสีสันฉูดฉาดบาดตาหรือมืดมนอัปลักษณ์ จะเป็นเทพเซียนหรืออสูรร้าย ชีวิตของมันก็น่าจะสำคัญที่สุดมิใช่หรือ แล้วเพราะเหตุใดเจ้าถึงต้องมาโศกเศร้าจนมีสภาพเยี่ยงนี้ หรือแท้ที่จริงที่เจ้าชอบก็คือเปลือกนอกของมันเท่านั้น”

    มันกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่มีท่าทีของการเยาะเย้ยถางถาง ทว่า…แต่ละคำล้วนทิ่มแทงใจ

    ลู่เฉินจยารับฟังจนใบหน้าขาวซีด สุดท้ายเชิดหน้ากล่าวว่า

    “คิดไม่ถึงว่าเจ้ายังมีความอดทนพูดกับข้าตั้งมากมาย”

    หนิงเชวียยักไหล่

    “ข้าก็แค่อยากฉีกหน้ากากของเจ้า ให้เจ้าเจ็บปวดทรมานมากขึ้นกว่าเดิมก็เท่านั้น”

    วาจาเปิดเผยของมันทำให้คนในวิหารรู้สึกเย็นยะเยือก

    ไม่มีผู้ใดคาดคิด ขณะที่ทุกคนกำลังคร่ำเคร่งถกเถียงกันถึงเรื่องโลกแห่งความมืดเข้ารุกราน ผู้งมงายบุปผาลู่เฉินจยาจะถึงกับกล้าลงมือลอบสังหารซังซัง มิต้องพูดถึงฐานะอันสูงส่งของซังซังในอาศรมเทพ แค่ฐานะศิษย์สถานศึกษาของหนิงเชวียและความผูกพันที่มันมีต่อซังซัง จุดจบของลู่เฉินจยาในวันนี้ต้องดูน่าอเนจอนาถอย่างแน่นอน

    มิใช่ว่าคนในวิหารทุกคนจะเคยคบหากับหนิงเชวียมาบ้างจนพอจะรู้จักนิสัยของมันเหมือนเฉิงลี่เสวี่ย แต่ที่แน่ๆ คนเหล่านี้ล้วนเคยได้ยินกิตติศัพท์ของผู้เข้าสู่โลกิยะของสถานศึกษามาด้วยกันทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้ พอนึกถึงเคอเซียนเซิงขึ้นมา หลายคนก็เริ่มหน้าถอดสี

    ฉีซานต้าซือถอนใจยาว กล่าวกับลู่เฉินจยาด้วยน้ำเสียงเวทนา

    “คนส่วนใหญ่ล้วนเป็นเช่นนี้ เพราะรักจึงทุกข์”

    เป่าซู่ต้าซือขยับตัวเตรียมเอ่ยปากขอร้องแทน

    ลู่เฉินจยาถึงอย่างไรก็มีศักดิ์เป็นถึงองค์หญิงแห่งแคว้นเยวี่ยหลุน และแคว้นเยวี่ยหลุนก็เป็นดินแดนในโลกิยะที่สำคัญที่สุดจนอาจพูดได้ว่าเป็นแคว้นที่มีอยู่เพียงหนึ่งเดียวของนิกายพุทธ คนในนิกายพุทธย่อมไม่มีทางนิ่งเฉยมองดูนางถูกฆ่าตายไปต่อหน้าต่อตาอย่างแน่นอน

    ทว่าหนิงเชวียไม่เปิดโอกาสให้เป่าซู่ต้าซือได้เอ่ยปาก มันกระชากดาบออกจากฝักฟันออกไปทันที

    ตัวดาบเปล่งแสงเจิดจ้า วิหารมืดสลัวพลันเปลี่ยนเป็นสว่างไสว คล้ายดวงตะวันอันร้อนแรงเพิ่งโผล่พ้นปุยเมฆ แสงสีทองแผ่ทะลักออกจากตัวดาบพุ่งเข้าหาลู่เฉินจยาที่อยู่เยื้องไปภายในพริบตา

    “แสงเจิดจรัส!”

    เฉิงจื่อชิงยอดคนจากศาลากระบี่เผลอตัวอุทานเสียงดัง

    หลังหลิ่วอี้ชิงพ่ายแพ้ให้กับดาบของหนิงเชวียก็มีข่าวลือออกไปว่าหนิงเชวียสามารถฝึกวิชาเทพของซีหลิงได้สำเร็จ แต่ทางศาลากระบี่กลับไม่เคยเชื่อ เข้าใจว่าทั้งหมดล้วนเป็นคำพูดเกินจริง จนวันนี้ได้มาเห็นกับตา เฉิงจื่อชิงจึงค่อยรู้ว่าข่าวที่ลือออกไปล้วนจริงแท้ไม่แปลกปลอม

    เฉิงลี่เสวี่ยหัวหน้าหน่วยอาศรมเทพแห่งซีหลิงแม้จะเคยเห็นแสงเจิดจรัสบนดาบของหนิงเชวียมาแล้ว แต่ก็ยังมีสีหน้าแตกตื่นตกใจไม่น้อย เพราะแสงเจิดจรัสของหนิงเชวียในคราวนี้เปลี่ยนเป็นเจิดจ้าทรงอานุภาพมากขึ้นกว่าเดิมอีกอักโข ทั้งๆ ที่เวลาเพิ่งจะผ่านไปไม่นาน

    คนอื่นๆ ล้วนเบิ่งตามองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความตื่นตระหนก มีเพียงลู่เฉินจยาเท่านั้นที่หลับตา อันที่จริงตอนหนิงเชวียเงื้อดาบ แสงเจิดจรัสยังไม่พุ่งใส่หน้า นางก็หลับตาลงแล้ว

    ทั้งนี้เพราะนางไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป จึงคิดหลับตารอคอยความตาย แต่สุดท้ายนางก็ไม่สมความปรารถนาอยู่ดี เพราะมีคนทนเห็นนางตายไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้

    ชวีนีหม่าตี้ตวาดเสียงแหลม สะอึกกายเข้าขวางพร้อมยกไม้เท้าขึ้นต้านรับ กลิ่นอายพุทธะอันดุดันเหี้ยมเกรียมแผ่พุ่งออกมาทันที

    แรงจู่โจมจากดาบของหนิงเชวียปะทะเข้ากับไม้เท้าของนางอย่างจัง!

    เมื่อแสงเจิดจรัสของเฮ่าเทียนปะทะกับกลิ่นอายพุทธะ คลื่นพลังก็สาดกระเพื่อมออกไปทั้งสี่ทิศแปดทาง คล้ายเปลวเพลิงที่โหมไหม้อย่างรุนแรง

    ชวีนีหม่าตี้หลับตาแน่น รอยย่นบนใบหน้าถูกแสงเจิดจรัสส่องจนเห็นได้ชัด ไม่นาน มือที่จับปลายไม้ทั้งสองข้างไว้ก็สั่นระริก ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด หลังส่งเสียงครางหนักๆ ร่างก็ลอยหวือไปกระแทกเข้ากับผนังวิหาร กระอักเลือดออกมาคำโต

    สภาวะดาบสิ้นสุดลงแล้ว แต่หนิงเชวียยังไม่ยอมหยุด ยกเท้าก้าวออกไป

    ชวีนีหม่าตี้นั่งพิงผนังร่างอ่อนระทวย บนหน้าอกมีแต่คราบเลือด เห็นหนิงเชวียยังเดินเข้าหา ใบหน้าเหี่ยวย่นก็ฉายแววหวาดหวั่นขึ้นวูบ กระชากเสียงถามด้วยความแค้นใจ

    “ทำไมยังไม่ลงมืออีก!”

    คนในวิหารต่างเข้าใจว่าชวีนีหม่าตี้กำลังถามหนิงเชวียว่าไฉนจึงยังไม่ลงมือซ้ำสอง

    มีเพียงเป่าซู่ต้าซือเท่านั้นที่ถอนใจเบาๆ ก่อนยกมือขวาขึ้นทำท่ามุทรา

    มุทราชุดนี้ดูแปลกนัก นิ้วชี้ขวาเพียงงอลงเล็กน้อย ดูไปคล้ายเด็กกำลังดีดลูกหิน ทว่าทันทีที่นิ้วถูกดีดออกไป กลิ่นอายพุทธะที่เต็มไปด้วยความเมตตาปรานีทว่าน่าเกรงขามหอบหนึ่งก็พุ่งเข้าโจมตีหนิงเชวียทันที

    เป่าซู่ต้าซือคือเจ้าคณะหอวินัยของวัดเสวียนคง ด่านฌานอย่างน้อยต้องอยู่ในระดับด่านรู้ชะตาขั้นกลาง นอกจากเฉิงจื่อชิง ไม่มีใครในวิหารรวมถึงหนิงเชวียสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของมัน แต่สาเหตุที่หนิงเชวียสามารถข่มขวัญเป่าซู่ได้ตอนอยู่บนเขาเป็นเพราะตอนนั้นในมือมันมีปฐมธนูสิบสามดอกที่สะสมพลังและความกระเหี้ยนกระหือรือเอาไว้เต็มเปี่ยม ไม่ว่าใครย่อมไม่อยากเผชิญหน้ากับอานุภาพและพลังคุกคามที่ยากจะหยั่งถึงหากไม่จำเป็น

    ทว่าวันนี้ที่อยู่ในมือมันมิใช่ธนู หากแต่เป็นดาบ แต่ถึงกระนั้นใบหน้าของหนิงเชวียก็ไม่ปรากฏวี่แววของความครั่นคร้ามแม้แต่น้อย ยังคงเดินหน้าต่อโดยไม่แยแสการจู่โจมจากทางด้านหลัง พร้อมกับเงื้อดาบขึ้น

    “เพ้ย!”

    ชวีนีหม่าตี้ตวาดลั่น ฝืนเขวี้ยงไม้เท้ามา ก่อนกระอักเลือดออกมาอีกกองใหญ่

    หนิงเชวียวาดดาบลงอย่างไร้ความปรานี

    ไม้เท้าคู่กายของชวีนีหม่าตี้ปะทะเข้ากับตัวดาบคราวนี้ถึงกับหักสะบั้น กระเด็นกระดอนไปไกล ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่มุทราของเป่าซู่ต้าซือมาถึงแผ่นหลังของหนิงเชวีย

    หนิงเชวียเลิกคิ้วสูง พลิกข้อมือซ้ายที่ไม่ได้ถือดาบทำท่าจะงอยปากนกตวัดไปทางด้านหลังทันที การเคลื่อนไหวนี้ทำให้ปลายดาบของมันที่กำลังจู่โจมใส่ลู่เฉินจยาต้องพลาดเป้า แต่ก็ทำให้พลังจู่โจมจากมุทราของเป่าซู่ชะงักงันไปเช่นกัน จากนั้นมันก็อาศัยเวลาเพียงชั่วประกายไฟแลบพลิ้วตัวกลับไปยืนอยู่หน้าซังซัง ถึงตอนนี้พลังจู่โจมของมุทราจึงค่อยตกสู่พื้น พื้นศิลาแกร่งถึงกับยุบตัวลง!

    ผมที่ตกระแก้มลู่เฉินจยาขาดกระจาย ข้างแก้มขาวเผือดปรากฏบาดแผลเลือดไหลเป็นทาง

    ลู่เฉินจยารู้สึกว่าข้างแก้มคล้ายมีของเหลวไหลหยาดลงมา จึงยกมือขึ้นลูบดู พอเห็นเป็นเลือดก็มองอย่างซึมเซา ก่อนยกสองมือขึ้นปิดหน้าร้องไห้โฮออกมา

    ที่นางร่ำไห้สะอึกสะอื้นมิใช่เพราะกลัวว่าหน้าตัวเองจะมีแผลเป็นจนต้องเสียโฉม แต่เป็นเพราะนางตระหนักแล้วว่าหนิงเชวียในวันนี้มิใช่หนิงเชวียในวันวานอีกต่อไป นางจะไม่มีทางแก้แค้นให้หลงชิ่งได้ด้วยตัวเอง

    คนในวิหารมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยใจที่สั่นสะท้าน สาเหตุที่สถานศึกษามีฐานะสูงส่งยิ่งในโลกของผู้ฝึกฌาน นั่นเป็นเพราะสถานศึกษามีจอมปราชญ์ มีเซียนเซิงใหญ่กับเซียนเซิงรอง น้อยคนนักที่จะให้ราคากับหนิงเชวีย ถึงขั้นเคยมีคำกล่าวว่าหนิงเชวียคือศิษย์สัญจรทั่วปฐพีของสถานที่ที่เป็นปริศนาที่ไม่ได้เรื่องที่สุดในประวัติศาสตร์ จนเป็นที่เล่าลือกันไปทั่ว มิทราบว่าผู้กล่าวคำพูดนี้เป็นผู้งมงายยุทธ์หรือผู้งมงายอักษรกันแน่

    แม้ปีที่แล้วหนิงเชวียจะสามารถฆ่าซย่าโหวได้สำเร็จในการประลองบนทะเลสาบน้ำแข็ง แต่ในความคิดของยอดผู้ฝึกฌานทั้งหลาย สาเหตุหลักที่ทำให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นเช่นนั้นก็เพราะซย่าโหวได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ก่อนแล้วจากการต่อสู้กับถังศิษย์สัญจรทั่วปฐพีของพรรคมาร อีกทั้งเทวีแห่งแสงสว่างก็ยังสำแดงฝีมืออันน่ากลัวเป็นครั้งแรกคอยช่วยเหลืออยู่ด้านข้าง ความสำเร็จนี้จึงไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพรสวรรค์และสติปัญญาของหนิงเชวีย

    ด้วยเหตุนี้พวกมันจึงไม่เข้าใจ หนิงเชวียที่เพิ่งเข้าเรียนในสถานศึกษาได้เพียงสองปีกว่า แม้จะประสบโชควาสนาติดต่อกันจนสามารถบรรลุด่านรู้ชะตา แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น แล้วเหตุไฉนเมื่อเผชิญหน้ากับมหาเถระจากวัดเสวียนคงที่มีด่านฌานสูงส่งลึกล้ำจึงไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และยังสามารถทำร้ายชวีนีหม่าตี้ให้ได้รับบาดเจ็บรวมถึงกรีดหน้าผู้งมงายบุปผาได้หนึ่งแผลในขณะเบี่ยงหลบ หรือนี่ก็คือความสามารถที่แท้จริงของเซียนเซิงสิบสามของสถานศึกษา?

    ทุกคนไม่เพียงตกใจไปกับความจริงนี้ หัวใจยังหนาวเหน็บกับความเลือดเย็นที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า

    ทั้งนี้เพราะลู่เฉินจยาคือผู้งมงายบุปผาที่ได้ชื่อว่ามีรูปโฉมงดงามที่สุดในบรรดาสามผู้งมงายในปฐพี ทว่าเซียนเซิงสิบสามกลับลงมืออย่างเหี้ยมโหด ไม่คิดจะถนอมบุปผาแม้แต่น้อย!

    หนิงเชวียไม่สนใจความรู้สึกนึกคิดของคนอื่น หลักการของสถานศึกษานั้นรวบรัดยิ่ง นั่นคือนอกจากกำปั้นใครใหญ่สุดคนนั้นเสียงดังสุดแล้ว ที่สำคัญอีกข้อคือตาต่อตา ฟันต่อฟัน

    เจ้าคิดฆ่าข้า ข้าจะฆ่าเจ้าก่อน เจ้าคิดฆ่าซังซัง ข้ายิ่งต้องฆ่าเจ้าก่อน เมื่อครู่หากมิใช่เพราะมุทราของเป่าซู่ต้าซือมีความลึกล้ำน่ากลัว คมดาบของมันคงตัดศีรษะลู่เฉินจยาหลุดจากบ่าไปแล้ว ไหนเลยจะแค่กรีดหน้านางเป็นแผลเท่านั้น

    “วัดเสวียนคงคิดจะสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของสถานศึกษาอย่างนั้นรึ”

    หนิงเชวียหันไปถามเป่าซู่ นับตั้งแต่เห็นเสลี่ยงพุทธบนเขาหว่าซาน มันก็เกิดความตื่นตัวระมัดระวังต่อมหาเถระรูปนี้ มันตระหนักดีถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างนิกายพุทธกับแคว้นเยวี่ยหลุน เพียงแต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะทำถึงขั้นใด

    เป่าซู่ต้าซือไม่ตอบ สายตาตกลงที่มือซ้ายของหนิงเชวียซึ่งห้อยอยู่ข้างเอว

    เมื่อครู่มันใช้มุทรานิกายพุทธจู่โจม แต่กลับถูกมือซ้ายของหนิงเชวียทำท่าจะงอยปากนกตวัดออกมา ส่งผลให้อานุภาพของมุทราชะงักงันไปเล็กน้อย

    เป่าซู่ต้าซือไม่รู้ความเป็นมาของกระบวนท่าที่หนิงเชวียใช้ออก จึงเดาว่าน่าจะเป็นเคล็ดวิชาสุดยอดของสถานศึกษา แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังรู้สึกงุนงง เพราะเหตุใดหนิงเชวียจึงดูเหมือนจะเข้าใจท่ามุทราของนิกายพุทธเป็นอย่างดี สามารถคลี่คลายการจู่โจมได้อย่างไม่กินแรง

    ชวีนีหม่าตี้ดึงลู่เฉินจยาเข้ามากอด พอเห็นใบหน้าขาวผ่องของหลานสาวเต็มไปด้วยเลือด ใจก็อดนึกถึงบุตรชายที่ตายอย่างน่าอนาถในเมืองฉางอันไม่ได้ ความอาฆาตแค้นจึงยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ

    นางถลึงตาจนปูดโปน ตะโกนสาปแช่งเสียงดังลั่น

    “เจ้าเดรัจฉาน! สังหารเต้าสือแล้วยังทำร้ายเฉินจยาจนเป็นอย่างนี้ แคว้นเยวี่ยหลุนเราจะไม่ขออยู่ร่วมโลกกับเจ้า! ปฐมพุทธะก็จะไม่ละเว้นเจ้า!”

    ภายในวิหารเงียบกริบ ทุกคนในที่นี้ล้วนรู้เรื่องราวการต่อสู้ระหว่างหนิงเชวียกับเต้าสือต้าซือ แต่นั่นคือการท้าสู้ที่นิกายพุทธมีต่อผู้เข้าสู่โลกิยะของสถานศึกษา ไม่ว่าจะมองจากแง่มุมใด ล้วนเอาผิดหนิงเชวียมิได้ และในความเป็นจริงพวกมันต่างก็รู้อยู่แก่ใจว่าเพราะเหตุใดชวีนีหม่าตี้ถึงได้เจ็บปวดเสียใจถึงเพียงนี้

    “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน”

    หนิงเชวียกล่าวก่อนหันไปมองหน้าทุกคน

    “หลงชิ่งทรยศต่อเฮ่าเทียน อาศรมเทพแห่งซีหลิงยังมีโองการให้ทุกคนจับตายได้ แล้วองค์หญิงลู่เฉินจยาเล่า นางถึงกับพยายามลอบสังหารเทวีแห่งแสงสว่างเพื่อแก้แค้นให้มัน ข้าลงโทษนางแทนอาศรมเทพ มีอันใดไม่ถูกต้อง”

    สายตาทุกคู่เลื่อนไปยังหัวหน้าหน่วยโองการฟ้าเฉิงลี่เสวี่ยซึ่งเป็นตัวแทนของอาศรมเทพ

    เฉิงลี่เสวี่ยสีหน้าเรียบเฉย ไม่กล่าววาจาใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ผู้งมงายบุปผาเพิ่งกระทำการประหนึ่งเป็นปฏิปักษ์กับอาศรมเทพ ต่อให้ไม่มีเรื่องนี้ หนิงเชวียก็ยังมีอีกฐานะหนึ่ง นั่นคือว่าที่สามีของเทวีแห่งแสงสว่าง อาศรมเทพจึงย่อมไม่คิดจะทำการใดๆ เป็นการหักหน้ามัน

    หนิงเชวียหันไปมองชวีนีหม่าตี้

    “ส่วนเรื่องที่เต้าสือตายด้วยน้ำมือข้า หากท่านต้องการแก้แค้นแทนบุตรชาย ก็ลงมือได้เลย ไยต้องลากนิกายพุทธกับแคว้นเยวี่ยหลุนเข้ามาเกี่ยวข้อง ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าตกลงปฐมพุทธะจะไม่ละเว้นข้าหรือไม่ละเว้นชีเฒ่าที่ละเมิดศีลอย่างท่านกันแน่”

    ได้ยินเช่นนี้ เป่าซู่ต้าซือก็มีสีหน้าเย็นยะเยียบ

    หนิงเชวียหันมามองเป่าซู่อีกครั้ง ถามย้ำ

    “วัดเสวียนคงคิดจะสอดมือในเรื่องนี้ใช่หรือไม่”

    “ที่ผ่านมาน้อยครั้งนักที่วัดเราจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวทางโลก จริงๆ แล้วความแค้นระหว่างเจ้ากับองค์หญิงเฉินจยา อาตมาไม่ควรใส่ใจ”

    กล่าวถึงตรงนี้ สายตาของเป่าซู่ต้าซือก็ตกลงที่เท้าทั้งคู่ของหนิงเชวีย ก่อนเปล่งเสียงดังกังวาน

    “แต่ในเมื่อเซียนเซิงสิบสามเข้าสู่วิถีแห่งมาร วัดเสวียนคงเราคงมิอาจนิ่งเฉยต่อไปได้ อาตมาเห็นทีต้องขอยุ่งเกี่ยวเสียแล้ว”

    ทุกคนในวิหารต่างก็ตกตะลึงจังงัง พากันมองตามสายตาของเป่าซู่ต้าซือไป

    หนิงเชวียก้มหน้ามอง เห็นตรงเท้ามันมีเศษหินที่แตกเป็นเสี่ยงๆ อยู่มากมาย นอกจากนี้ ชุดสถานศึกษาบนร่างบริเวณเอวยังเปรอะเปื้อนไปด้วยรอยคล้ายถูกก้อนหินกระเด็นใส่

    มันจึงค่อยเข้าใจ ท่ามุทราของเป่าซู่ที่เมื่อครู่มีลักษณะแปลกตา คือมือขวาแบขนานไปกับพื้น นิ้วชี้งอเล็กน้อย ดูแล้วเหมือนเด็กกำลังเล่นดีดลูกหิน ที่แท้ก็คือท่าดีดก้อนหินจริงๆ

    สังขารของผู้ฝึกฌานนั้นตามปกติมิได้แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป แม้จะเป็นยอดคนด่านรู้ชะตา หากไม่ทำการตอบโต้ก็ยังสามารถถูกคนขายเนื้อผ่าหน้าอกแหวะท้องได้

    ในโลกนี้มีผู้ฝึกฌานเพียงสองประเภทเท่านั้นที่มีสังขารแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป ทว่าเมื่อครู่ไม่มีผู้ใดสัมผัสได้ว่าหนิงเชวียใช้พลังจิตเรียกพลังปฐมแห่งฟ้าดินมาคุ้มครองกายเหมือนผู้ฝึกฌานแนวทางยุทธ์ นี่จึงบอกได้ว่าข่าวลือที่ว่ามันฝึกยันต์ยุทธ์สองประสานอะไรนั่นต้องไม่เป็นความจริง เพราะจริงๆ แล้วที่มันฝึกกลับเป็นวิชาของพรรคมารต่างหาก!

    ภายในวิหารยังคงไร้สุ้มเสียงใดๆ ทุกคนต่างก็เป็นเบื้อใบ้กันไปหมด

    เฉิงลี่เสวี่ยมองหนิงเชวียอย่างตกตะลึง หากยึดตามคำกล่าวที่ว่าเต๋ากับมารไม่อยู่ร่วมโลกเดียวกัน มันในฐานะหัวหน้าใหญ่หน่วยโองการฟ้า เมื่อพบเห็นผู้ฝึกฌานที่เข้าสู่วิถีแห่งมาร ตามหลักต้องลุกขึ้นจัดการอีกฝ่ายทันทีด้วยกระบี่ที่อยู่ในมือโดยไม่คำนึงถึงความเหลื่อมล้ำของด่านฌาน…

    ทว่าหนิงเชวียมิใช่ผู้ฝึกฌานทั่วไป มันคือเซียนเซิงสิบสามของสถานศึกษา เป็นศิษย์คนเล็กของจอมปราชญ์

    อย่าว่าแต่เฉิงลี่เสวี่ย ต่อให้เจ้านิกายอยู่ที่นี่ก็ต้องรู้สึกว่าเรื่องนี้ตึงมือยิ่ง

    ระหว่างที่เฉิงลี่เสวี่ยกำลังสับสนละล้าละลัง มิรู้ว่าควรทำอย่างไรดี สายตามันก็บังเอิญเหลือบไปทางซังซัง จิตใจพลันสงบลงทันที

    มีเทวีแห่งแสงสว่างอยู่ที่นี่ทั้งคน ไหนเลยจะถึงรอบให้มันแสดงท่าทีแทนอาศรมเทพ และหากเทวีแห่งแสงสว่างไม่คิดจะส่งสายฟ้าลงมาเพื่อลงโทษหนิงเชวีย เช่นนั้นเกี่ยวข้องอันใดกับมัน

    ผ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุดก็มีคนแสดงท่าที มิหนำซ้ำยังเป็นท่าทีที่เด่นชัดมากเป็นพิเศษอีกด้วย

    ชวีนีหม่าตี้กูกูหัวร่อไปกระอักเลือดไป น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสาแก่ใจระคนคลุ้มคลั่ง

    “ฮ่าๆๆ ข้าอยากดูสักหน่อยว่าสุดท้ายแล้วปฐมพุทธะจะให้อภัยเจ้าหรือไม่!”

    หนิงเชวียจ้องหน้าเป่าซู่ต้าซือ วัดเสวียนคงสมแล้วที่เป็นสถานที่ที่เป็นปริศนา เจ้าคณะรูปนี้ฝีมือร้ายกาจไม่เบา ถึงกับซัดก้อนหินใส่มันได้โดยที่มันไม่รู้ตัว ในที่สุดมันก็เข้าใจ มหาเถระจากวัดเสวียนคงรูปนี้จะต้องเตรียมการเกี่ยวกับเรื่องในวันนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว

    นึกถึงคำพูดของจอมปราชญ์แล้วหนิงเชวียก็ต้องก่นด่าตัวเองอยู่ในใจ จอมปราชญ์เคยกล่าวไว้ หลังอาจารย์อาฝึกลมปราณสุดไพศาลก็ไม่ยอมให้ศัตรูคนใดได้สัมผัสตัวอีก ดังนั้นแม้ผู้ฝึกฌานทั่วทั้งแผ่นดินจะเดาว่าอาจารย์อาเข้าสู่วิถีแห่งมารแล้ว ก็ไม่มีใครกล้ากล่าวออกมาซึ่งๆ หน้า

    ตัวมันหลังบรรลุด่านรู้ชะตาก็มีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น คิดไม่ถึงนี่กลับเป็นจุดอ่อนให้มหาเถระจากวัดเสวียนคงจับพิรุธได้

    ทว่า…แล้วจะทำไม

    อาจารย์อาเข้าสู่วิถีแห่งมาร คนทั้งแผ่นดินรู้แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยถึง ถึงแม้มันจะสู้อาจารย์อาในตอนนั้นไม่ได้ แต่ก็มีบางเรื่องที่มันร้ายกาจกว่าอาจารย์อา แล้วอย่างนี้มันยังต้องกลัวคนเหล่านี้อีกหรือ

    “ข้ามิได้เลื่อมใสศรัทธาในนิกายพุทธ ยังจะต้องกังวลไปทำไมว่าปฐมพุทธะจะให้อภัยข้าหรือไม่ อีกอย่าง แค่ท่านบอกว่าข้าเข้าสู่วิถีแห่งมาร ข้าก็ต้องเข้าสู่วิถีแห่งมารตามที่ท่านกล่าวหาหรือ”

    หนิงเชวียย้อนถาม

    ชวีหนีหม่าตี้ตะลึงงันไป คล้ายคิดไม่ถึงว่าในสถานการณ์เช่นนี้หนิงเชวียยังปฏิเสธหน้าตาย จึงตวาดเสียงกราดเกรี้ยว

    “คนในวิหารล้วนมองเห็นกันหมด!”

    “แค่มองเห็นก็เข้าใจว่าเป็นความจริงแล้วอย่างนั้นรึ ต้าเสินกวนหน่วยแสงสว่างมีสายตาคมกริบ สมัยนั้นก็ยังดูผิดได้ อีกอย่าง ต่อให้เป็นจริง แต่หากข้าไม่ยอมรับ…”

    หนิงเชวียหยุดเล็กน้อย ก่อนเลิกคิ้วถาม

    “ท่านจะพิสูจน์อย่างไร”

    มันหันไปกวาดตามองทุกคน ถามซ้ำด้วยคำถามเดียวกัน

    “พวกท่านจะพิสูจน์อย่างไร”

    น้ำเสียงของหนิงเชวียเต็มไปด้วยความท้าทาย

    “หรือถ้าพิสูจน์ไม่ได้ อยากจะลงมือลงไม้ก็เข้ามา แต่ถ้าประเดี๋ยวขาของข้าถูกกระบี่ของพวกท่านแทงทะลุ ใครจะรับหน้าที่ไปบอกกล่าวกับอาจารย์ของข้า”

    เป่าซู่ต้าซือเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนถามขึ้น

    “นี่คือการข่มขู่กระมัง”

    หนิงเชวียยักไหล่ตอบ

    “จะเข้าใจอย่างนั้นก็ได้”

    ชวีนีหม่าตี้แค่นเสียง

    “เพ้ย! สถานศึกษาทำไมถึงได้มีคนป่าเถื่อนเช่นเจ้าได้!”

    หนิงเชวียยิ้มหยัน

    “พูดถึงเรื่องป่าเถื่อน หากมีการจัดอันดับในสถานศึกษา ข้าคงถูกจัดอยู่ในอันดับหนึ่ง แม้แต่อาจารย์อาในสมัยนั้นก็ยังสู้ข้าไม่ได้ ดังนั้นกับเรื่องไร้สาระเยี่ยงนี้ข้ายิ่งไม่คิดจะทน”

    เป่าซู่ต้าซือพลันหัวร่อขึ้นมา

    “ศิษย์สถานศึกษายังโอหังอวดดีเหมือนเดิม ขอถาม ในความคิดของจอมปราชญ์และสถานศึกษา เรื่องประเภทใดจึงจะนับว่ามีสาระ”

    ฉีซานต้าซือที่เอาแต่นั่งเงียบมาตลอดพลันเงยหน้าใช้สายตาปรามเป่าซู่

    “เรื่องโลกแห่งความมืดเข้ารุกรานนับเป็นเรื่องที่มีสาระหรือไม่”

    เป่าซู่คล้ายไม่รับรู้ถึงสายตาของฉีซานต้าซือ ยังคงจ้องหน้าหนิงเชวียเขม็ง รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ เลือนหาย ถามเสียงเย็นยะเยียบ

    “ยังมีเรื่องที่เจ้าเป็นบุตรของหมิงหวังอีก นับว่ามีสาระด้วยหรือไม่เล่า

    ในโลกนี้คนที่เข้าสู่วิถีแห่งมารมีไม่น้อย เจ้าคงไม่คิดใช่ไหมว่าเพราะเรื่องนี้เจ้าคณะหอวินัยอย่างอาตมาจึงถึงกับต้องออกจากวัดเสวียนคงมาจัดการด้วยตัวเอง เซียนเซิงสิบสาม เรื่องที่สามารถทำให้อาตมาออกจากวัดได้ มีอยู่เพียงแค่เรื่องเดียวเท่านั้น

    นั่นคืออาตมาต้องการมาดูว่าเจ้าคือบุตรของหมิงหวังใช่หรือไม่! เห็นเจ้ามีนิสัยโหดเหี้ยมอำมหิต อีกทั้งยังถลำตัวเข้าสู่วิถีแห่งมารแล้ว อาตมาก็ยิ่งแน่ใจว่าเจ้าต้องเป็นบุตรของหมิงหวัง หากเป็นเช่นนี้จริง แม้แต่จอมปราชญ์ก็ไม่มีทางปกป้องเจ้า!”

    หนิงเชวียจ้องตาที่เป็นประกายดุจอัญมณีของเป่าซู่อย่างเงียบงัน

    ปีก่อนตอนฤดูเหมันต์ มันเคยประกาศความเป็นมาของตัวเองให้คนทั้งแผ่นดินรู้ที่หน้าวังหลวง และก่อนหน้านั้นไม่นาน กรมทหารก็สืบพบแล้วว่ามันมีความสัมพันธ์กับจวนแม่ทัพ ดังนั้นในแผ่นดินจึงปรากฏข่าวลือว่าต้าเสินกวนหน่วยแสงสว่างดูออกว่ามันคือบุตรของหมิงหวังตั้งแต่เมื่อสิบหกปีก่อน ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ชวีนีหม่าตี้เอามาเอ่ยอ้างเมื่อครู่

    หนิงเชวียเคยกลัดกลุ้มแทบตายกับข่าวลือนี้ แต่หลังได้สนทนากับจอมปราชญ์ มันก็ค่อยๆ คลายความกังวล กอปรกับเป็นเพราะมีสถานศึกษาคอยค้ำจุนอยู่เบื้องหลัง ที่ผ่านมาจึงไม่มีใครกล้าพูดถึงเรื่องนี้ต่อหน้ามัน

    และด้วยสาเหตุนี้ ตอนชวีนีหม่าตี้กล่าวหาว่ามันเป็นบุตรของหมิงหวัง มันจึงมิได้สนใจสักเท่าใด มิหนำซ้ำยังยึดถือวาจาของแม่ชีเฒ่าเป็นเพียงแค่การโจมตีเพื่อระบายโทสะ ทว่าวาจาของเป่าซู่นั้นผิดกัน วาจาของเป่าซู่กลับทำให้หัวใจของมันกระตุกวูบ

    เป่าซู่ต้าซือมาจากวัดเสวียนคง มิใช่เด็กอมมือ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะอาศัยเพียงแค่ข่าวลือมากล่าวหามันผู้เป็นศิษย์ชั้นสองของสถานศึกษาว่าเป็นบุตรของหมิงหวัง เพราะนี่คือคำกล่าวหาที่ร้ายแรงที่สุดในแผ่นดิน

    หรือลางสังหรณ์ตอนแรกเห็นเสลี่ยงพุทธบนเขาหว่าซานก็คือคำกล่าวหาเหล่านี้?

    “นี่ก็คือวิธีเดิมๆ ที่สำนักเที่ยงธรรมอย่างพวกท่านใช้เป็นข้ออ้างเพื่อแก้แค้นส่วนตัว”

    หนิงเชวียพูดเยาะๆ

    “โชคดีที่สถานศึกษามีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้า หากข้าเป็นผู้ฝึกฌานธรรมดาๆ คงถูกพวกท่านกล่าววาจาให้ร้ายถล่มจนไม่เหลือซากแล้ว”

    เป่าซู่ต้าซือเลิกคิ้ว

    “ในเมื่ออาตมากล้าบอกว่าเจ้าคือบุตรของหมิงหวัง ก็ย่อมต้องพิสูจน์ได้”

    หนิงเชวียทำใจเย็นถาม

    “ข้าก็อยากรู้นักว่าท่านจะพิสูจน์อย่างไร”

    จริงๆ แล้วมันมิได้อยากรู้ หรือใจเย็นอย่างที่พยายามแสร้งทำแม้แต่น้อย เพราะจนบัดนี้ผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งว่าเป็นบุตรของหมิงหวังยังคงเป็นมัน ในขณะที่องค์ชายหลงชิ่งซึ่งเป็นอันดับสองตอนนี้ได้หายตัวไปในทุ่งร้างแล้ว เพียงแต่ในเวลาเช่นนี้ มันมิอาจแสดงความตระหนกตกใจให้ใครเห็นได้

    เป่าซู่ต้าซือมองมันเงียบๆ ก่อนล้วงกระดิ่งทองแดงออกมาจากแขนเสื้อ สีสันของกระดิ่งดูปกติ แต่รูปทรงกลับแตกต่างจากกระดิ่งทั่วไปตรงที่มีลักษณะกลมมน จึงดูคล้ายระฆังขนาดเล็กเสียมากกว่า

    ฉีซานต้าซือพอเห็นกระดิ่งสีหน้าก็แปรเปลี่ยน รีบร้องห้าม

    “เป่าซู่! วางกระดิ่งลง!”

    เป่าซู่วันนี้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ให้ความเคารพอาจารย์อาของตัวเอง มือขวาจึงยังยกกระดิ่งขึ้นขณะกล่าวกับหนิงเชวียด้วยสีหน้าเรียบเฉย

    “กระดิ่งนี้มีชื่อว่าอวี๋หลัน และก็มีอีกชื่อว่ากระดิ่งพิสุทธิ์”

    เฉิงจื่อชิงพลันนึกได้ว่าศิษย์พี่ของมันเคยเอ่ยถึงเวทอาวุธชิ้นหนึ่งของนิกายพุทธ ม่านตามันหดเล็ก กล่าวพึมพำขึ้นว่า

    “นี่น่ะหรือคือกระดิ่งอวี๋หลัน”

    ต้งหมิงต้าซือพอเห็นกระดิ่ง แม้จะพอเดาออก แต่ก็ยังอดแตกตื่นมิได้ มีเพียงชวีนีหม่าตี้เท่านั้นที่กลับมีสีหน้าตื่นเต้นระคนยินดี คล้ายล่วงรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเป่าซู่ต้าซือจะหยิบกระดิ่งออกมา

    ลมหอบหนึ่งพัดเข้ามาในวิหาร กระทบเข้ากับกระดิ่งในมือเป่าซู่ต้าซือเล็กน้อย เสียงติงตังสดใสให้ความรู้สึกอ่อนโยนมีเมตตาดังขึ้นเบาๆ

    หนิงเชวียจำได้ หลายวันก่อนตอนอยู่บนทางขึ้นเขาหว่าซาน เสลี่ยงพุทธยังมาไม่ถึง เสียงกระดิ่งกลับดังนำมาก่อน ตอนนั้นนกกระเต็นพากันกระโดดโลดเต้นเข้าไปต้อนรับ ดูแล้วเป็นที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่ง

    มันขมวดคิ้วมุ่น สังหรณ์ใจว่าความยุ่งยากกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว

    เป่าซู่กล่าวต่อ

    “ดอกอวี๋หลันงอกเงยในดินแดนพุทธสุดขอบฟ้าทางทิศตะวันตก สามารถระบุมารสยบความชั่วร้าย ทองแดงที่ใช้หล่อกระดิ่งกำเนิดอยู่ในดงของต้นอวี๋หลันมาเป็นเวลานานไม่รู้ว่ากี่หมื่นปี จึงมีความบริสุทธิ์ผ่องแผ้วอย่างถึงที่สุด ต่อมาเมื่อถูกนำมาหล่อหลอมเป็นกระดิ่งก็ได้ติดสอยห้อยตามปฐมพุทธะบำเพ็ญทุกรกิริยาอยู่เป็นเวลานาน จึงค่อยๆ บ่มเพาะกลิ่นอายความเป็นพุทธะขึ้นมา”

    หนิงเชวียหรี่ตาถาม

    “จากที่ต้าซืออธิบายเสียยืดยาวและสีหน้าของทุกคน ข้าพอจะเดาออกแล้วว่าคำพูดต่อไปของท่านก็คือ กระดิ่งอันนี้สามารถระบุตัวบุตรของหมิงหวังได้”

    ใบหน้าเป่าซู่ปรากฏรอยยิ้มเย็นเยียบ

    “ไม่ผิด”

    หนิงเชวียส่ายหน้าถามกลับ

    “หากกระดิ่งนี้สามารถระบุได้จริง แล้วเพราะเหตุใดเพื่อค้นหาตัวบุตรของหมิงหวัง อาศรมเทพจึงต้องให้ร้ายเข่นฆ่าผู้คนไปมากมาย ไยต้าเสินกวนหน่วยแสงสว่างจึงต้องถูกจับขังนานสิบกว่าปี”

    “นั่นเป็นเพราะตอนนั้นบุตรของหมิงหวังเพิ่งจะลงมาจุติ ยังไม่ตื่น”

    หนิงเชวียถามต่อ

    “แล้วท่านรู้ได้อย่างไรว่ามันตื่นแล้ว”

    เป่าซู่ตอบ

    “เมื่อบุตรของหมิงหวังตื่นจะมีลางบอกเหตุจากฟ้า ไม่อย่างนั้นจ้าวบัลลังก์แสงสว่างจะหลบหนีออกจากที่กักขังไปฉางอันเพื่อค้นหาเจ้าทำไม”

    หนิงเชวียยิ้มเยาะ

    “ล้วนเป็นท่านพูดเองเออเอง ใครจะรู้ว่ากระดิ่งในมือท่านใช่กระดิ่งอวี๋หลันจริงหรือไม่ ท่านอาจเก็บมาจากห้องนั่งวิปัสสนาห้องใดห้องหนึ่งก็ได้ หากเป็นเช่นนั้นก็รีบเอาไปคืนเถอะ เพราะหากหลวงจีนที่เป็นเจ้าของตื่นขึ้นมากลางดึกพบว่ากระดิ่งที่ผูกไว้ตรงสายรัดเอวหายไป จะตกใจตายไปเสียเปล่าๆ”

    วาจาล้อเลียนของมันบ่งบอกชัดว่าไม่ให้ความเคารพต่อนิกายพุทธ อีกทั้งยังดูถูกหลวงจีนในวัดลั่นเคออย่างร้ายกาจ ทำให้บางคนถึงกับวางหน้าไม่ถูก

    เป่าซู่ต้าซือถาม

    “หากคิดว่านี่เป็นเพียงแค่กระดิ่งธรรมดา แล้วทำไมเจ้าถึงไม่ลองฟังดู”

    หนิงเชวียย้อนถาม

    “ก็แล้วทำไมข้าจะต้องฟังเล่า”

    เป่าซู่ต้าซือตอบเสียงราบเรียบ

    “หากเสียงของกระดิ่งพิสุทธิ์ทำอะไรเจ้าไม่ได้ เจ้าก็ย่อมไม่ใช่บุตรของหมิงหวัง ถึงตอนนั้นวัดเสวียนคงจะคืนความบริสุทธิ์ให้แก่เจ้าเอง”

    หนิงเชวียโคลงศีรษะอย่างระอาใจ ก่อนล้วงผ้าเช็ดหน้าออกจากแขนเสื้อ กล่าวกับเป่าซู่ด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมเป็นการเป็นงาน

    “นี่คือผ้าตาข่ายฟ้าของวิเศษของสถานศึกษา สามารถสยบความชั่วร้ายที่มีอยู่ในโลกได้ทั้งหมด ข้าชักสงสัยแล้วสิว่าปฐมพุทธะก็คือบุตรของหมิงหวังที่ซ่อนตัวอยู่บนโลก ท่านช่วยขุดอัฐิของปฐมพุทธะออกมาให้ข้าลองใช้ผ้าโบกสักสองสามทีได้หรือไม่”

    เป่าซู่ต้าซือใบหน้ายังคงสงบนิ่ง คล้ายไม่ได้ยินคำเยาะเย้ยถากถางอย่างเจ็บแสบของหนิงเชวียแม้แต่น้อย

    “เจ้าสามารถลองใช้กับตัวของอาตมา”

    หนิงเชวียส่ายหน้า

    “ข้าไม่ได้สงสัยต้าซือ ข้ากำลังสงสัยปฐมพุทธะ”

    เป่าซู่ต้าซือมองมันพลางกล่าวยิ้มๆ

    “เซียนเซิงสิบสาม เจ้ากลัวแล้ว”

    หนิงเชวียนึกเถียงในใจ ข้ากลัวเสียที่ไหน ข้าก็แค่ระมัดระวังตัวไว้ก่อนเท่านั้น แต่พริบตาต่อมามันก็ต้องยอมรับ มันกำลังกลัวจริงๆ เพราะข่าวลือที่ว่ามันเป็นบุตรของหมิงหวังคือสิ่งที่ทรมานใจมันที่สุด กอปรกับตอนได้ยินเสียงกระดิ่งดังบนทางขึ้นเขา มันยังเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีกับเสลี่ยงพุทธขึ้นมาทันทีโดยไม่มีเหตุผล

    หนิงเชวียเหลือบมองไปทางซังซัง

    เป่าซู่ต้าซือถามดักคอ

    “เจ้าคิดจะหนีหรือ”

    หนิงเชวียกำลังจะโต้กลับอย่างเผ็ดร้อน ก็พอดีได้ยินเสียงที่ทั้งเบาทั้งอ่อนล้าดังอยู่ข้างหู

    “อย่าให้เสียงกระดิ่งดังขึ้นเป็นอันขาด”

    มันจำได้ว่านั่นคือเสียงของฉีซานต้าซือ ร่างจึงเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อ

    ฉีซานต้าซือนั่งตัวงองุ้มอยู่บนเบาะ ริมฝีปากแห้งผากขยับเล็กน้อย เสียงที่ดังลอดออกมามีเพียงหนิงเชวียเท่านั้นที่ได้ยิน

    “ต่อให้ต้องฆ่าเป่าซู่ ก็จะให้เสียงกระดิ่งดังขึ้นมาไม่ได้อย่างเด็ดขาด”

    หนิงเชวียหัวใจกระตุกวูบ กระดิ่งอันนี้จะต้องไม่ธรรมดา จึงสามารถทำให้ฉีซานต้าซือตื่นเต้นร้อนใจได้ถึงเพียงนี้ ที่สำคัญคือ มันนึกถึงคำสนทนากับฉีซานต้าซือที่ริมลำธารในป่าสนคืนนั้นขึ้นมาได้

    ‘ดังนั้น…เพื่อช่วยโลก ต้องสังหารบุตรของหมิงหวังก่อนใช่หรือไม่’

    ‘นอกจากสังหาร ความจริงแล้วยังมีวิธีอื่น’

    ‘วิธีใด’

    ‘อย่างเช่นให้มันฝึกพุทธเพื่อชำระจิตใจให้สงบ จากนั้นใช้แสงสว่างทำให้บริสุทธิ์…’

    ‘ต้าซือ…เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าท่านกำลังพูดถึงข้า’

    หรือมันก็คือบุตรของหมิงหวังจริงๆ? หัวใจหนิงเชวียบัดนี้เย็นเฉียบไปทั้งดวง แต่ยังคงปั้นสีหน้าไม่อนาทรร้อนใจ ถามว่า

    “ในเมื่อแค่สั่นกระดิ่งก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าใครคือบุตรของหมิงหวัง แล้วเพราะเหตุใดหลายวันมานี้ท่านถึงไม่ลงมือ ต้องรอมาจนถึงป่านนี้”

    เป่าซู่ตอบ

    “กระดิ่งพิสุทธิ์คือเวทอาวุธของปฐมพุทธะ ย่อมมีเงื่อนไขในการใช้ที่เข้มงวด นั่นก็คือผู้ฟังกับตัวกระดิ่งต้องอยู่ใกล้กันในระยะที่กำหนด ส่วนผู้ใช้ยังต้องสงบจิตใจท่องคัมภีร์ไปด้วย”

    หนิงเชวียถาม

    “เช่นนั้นขอเพียงข้าอยู่ห่างจากกระดิ่งเก่าๆ นี่สักหน่อย ท่านก็ทำอะไรข้าไม่ได้แล้วใช่หรือไม่”

    เป่าซู่ตอบ

    “หากเจ้าไม่กล้าฟังก็เท่ากับพิสูจน์ว่าคำเล่าลือนั้นเป็นจริง อีกอย่าง เจ้าคิดว่าวันนี้จะก้าวเท้าออกจากวัดลั่นเคอไปได้อย่างนั้นหรือ”

    หนิงเชวียหัวร่อฮาๆ

    “ข้าก็อยากดูสักหน่อยว่าใครจะกล้าขวางข้า”

    พูดจบมันก็เอามือไพล่หลังเชิดคางอย่างสง่างาม แต่ในความเป็นจริงมันกำลังรอรับของจากมือคนผู้หนึ่ง

    ซังซังซึ่งถูกตัวมันบังไว้รีบปลดกล่องออกจากตัวลงมือประกอบคันธนู

    “แน่นอน เพื่อล้างมลทินให้สถานศึกษา ข้าจะยอมลดตัวลงมาฟังก็ได้”

    หนิงเชวียผายมือ

    “เชิญต้าซือสวดคัมภีร์ได้ ข้าจะรอฟังว่าเสียงกระดิ่งนี้มีความประหลาดมหัศจรรย์สักเพียงใด”

    มันคิดคำนวณไว้เสร็จสรรพ ทันทีที่ซังซังยัดธนูใส่มือ มันก็จะน้าวธนูยิงออกไปโดยไม่ลังเล มันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าอีกฝ่ายจะตายด้วยลูกธนูเพียงดอกเดียว แต่ถ้าไม่ มันก็จะยิงจนหมดกระบอกแล้วพาซังซังหนีไปจากที่นี่ ไม่หวนกลับมาอีกตลอดกาล

    ทว่าเป่าซู่ต้าซือคล้ายคาดเดาความคิดของมันได้ จึงกล่าวยิ้มๆ

    “แม้อาตมาจะไม่ได้ฝึกฌานผนึกโอษฐ์อย่างชีเนี่ยน แต่ก็พอเข้าใจในวิชาสวดเงียบอยู่บ้าง”

    หนิงเชวียได้ยินเช่นนั้นก็ร้องย่ำแย่อยู่ในใจ

    การสวดเงียบย่อมหมายถึงการสวดให้สำแดงอานุภาพโดยไม่เปล่งเสียงออกมา เมื่อครู่ตอนมันแสร้งทำเป็นพูดคุยรอรับธนูจากซังซัง เป่าซู่ต้าซืออาจจะสวดบทพุทธคุณในการใช้กระดิ่งจบไปแล้วก็ได้

    หนิงเชวียรู้ว่ามันจำเป็นต้องลงมือแล้ว ทว่าธนูยังประกอบไม่เสร็จ มันจึงได้แต่ต้องพลิกข้อมือวูบ ฟันดาบซึ่งอัดแน่นไปด้วยแสงเจิดจรัสของเฮ่าเทียนเข้าใส่เป่าซู่ต้าซือซึ่งอยู่ห่างออกไป พร้อมทั้งยื่นนิ้วชี้ข้างซ้ายวาดลายเส้นขึ้นกลางอากาศ

    เป่าซู่ต้าซือสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน รีบประนมมือข้างเดียว กลิ่นอายพุทธะเข้มข้นสายหนึ่งแปลงเป็นมุทราที่เห็นได้รางเลือนขวางอยู่ตรงหน้า สกัดกั้นพลังดาบอันน่ากลัวของหนิงเชวียเอาไว้ได้อย่างทันท่วงที

    พลังดาบถูกทำลาย มุทราสลายไปอย่างไร้ร่องรอย ทว่ากระดิ่งในมือเป่าซู่กลับเริ่มสั่นเบาๆ

    เสียงติงๆ ตังๆ ของกระดิ่งที่ดังขึ้นในวิหารต่างไปจากเสียงที่ได้ยินบนทางขึ้นเขา เพราะแม้เสียงนี้จะเปี่ยมไปด้วยเมตตา แต่หาได้มีความอ่อนโยนไม่ ตรงกันข้ามกลับดุดันน่าเกรงขาม คล้ายต้องการสยบความดำมืดและความชั่วร้ายทั้งมวลให้หายไปจากโลกนี้

    เสียงกระดิ่งดังสะท้อนสะท้านไปทั่วทุกซอกทุกมุมของวัด ในวัดลั่นเคอมีระฆังโบราณอยู่สิบเจ็ดใบ บ้างอยู่ในศาลา บ้างอยู่ในวิหารด้านหลัง บ้างอยู่ใต้ระเบียงทางเดิน บ้างอยู่ข้างต้นเหมย บัดนี้ทั้งหมดต่างพากันส่งเสียงขึ้นพร้อมๆ กัน เกิดเป็นเสียงดังเหง่งหง่างสะท้อนกลับไปกลับมาอยู่ภายในวัด แต่แทนที่จะกลบเสียงของกระดิ่ง ตรงกันข้าม กลับช่วยถ่ายทอดเสียงกระดิ่งให้แว่วไปไกลถึงยอดเขาหว่าซาน

    และแล้ว พระพุทธรูปศิลาที่ยืนสงบนิ่งอยู่ท่ามกลางปุยเมฆก็ค่อยๆ เปล่งแสงพุทธะอันศักดิ์สิทธิ์ออกมา

     

     

    (หมายเหตุ*** เนื้อหานิยายที่นำมาให้ทดลองอ่านยังไม่ผ่านกระบวนการไฟนอล)

    โปรดติดตามตอนต่อไป…

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in สยบฟ้า พิชิตปฐพี

    นิยายยอดนิยม

    Facebook