• Connect with us

    Enter Books

    สยบฟ้า พิชิตปฐพี

    ทดลองอ่านนิยายสยบฟ้าพิชิตปฐพี เล่ม 22 ตอนที่ 3

    บทที่ 3 เดินกลางแสงพุทธะ

     
    ผู้คนที่มาเที่ยวชมงานกับบรรดาพ่อค้าเร่ที่ร้องขายขนมน้ำตาลแท่งต่างก็ติดตามขบวนแห่เข้าไปในตัวเมืองกันหมด ส่วนเหล่าทูตจากแคว้นต่างๆ และคณะนางรำหงซิ่วเจาก็ถูกหลวงจีนในวัดพาลงเขาไปเที่ยวชมทิวทัศน์ วัดส่วนหน้าจึงค่อยๆ กลับคืนสู่ความสุขสงบสมกับเป็นดินแดนของนิกายพุทธอีกครั้ง

    มีเพียงเหล่าผู้ฝึกฌานจากค่ายสำนักต่างๆ เท่านั้นที่ยังคงรอฟังข่าวจากวิหารด้านหลัง เพียงแต่เดิมทีพวกมันก็มิได้มีความกังวลเกี่ยวกับตำนานโลกแห่งความมืดเข้ารุกรานอยู่แล้ว จึงถือโอกาสนี้ออกไปเดินเล่นรอบๆ เจอวิหารก็เข้าไปชมดู เจอรูปปั้นอรหันต์ก็เข้าไปกราบไหว้

    หน้าวิหารที่เงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวหลังหนึ่ง รัชทายาทแคว้นหนานจิ้นกำลังตะเกียกตะกายจะลุกจากพื้น สายตามองอย่างหวาดหวั่นพรั่นพรึงไปยังประตูวิหารที่ตอนนี้พังยับเยิน เซี่ยเฉิงอวิ้นจะเข้ามาช่วยพยุง แต่มันกลับผวารีบถอยหนีอย่างสติไม่อยู่กับตัว

    เซี่ยเฉิงอวิ้นมิรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พอคว้าตัวรัชทายาทเอาไว้ได้ก็มองเข้าไปในตัววิหาร ตวาดเสียงกร้าว

    “บังอาจ พวกเจ้าเป็นใครกัน รัชทายาท กระหม่อมจะให้คนจับพวกมันมาลงโทษ”

    แคว้นหนานจิ้นถูกยกย่องว่าเป็นแคว้นที่มีแสนยานุภาพเป็นอันดับสองรองจากแคว้นต้าถัง โดยเฉพาะรัชทายาทของแคว้นองค์นี้ ปกติมีนิสัยเย่อหยิ่งจองหอง ขนาดตอนเผชิญหน้ากับเซียนเซิงสิบสามของสถานศึกษาก็ยังไม่ยอมอ่อนข้อให้ ทว่าคิดไม่ถึง พอได้ยินคำพูดของเซี่ยเฉิงอวิ้น มันกลับหน้าซีดตัวสั่น ละล่ำละลักส่ายหน้า

    “ไม่…ไม่ต้อง! รีบพยุงข้าออกไปเร็ว!”

    ภายในวิหารค่อนข้างมืดสลัว หากมิใช่เป็นเพราะประตูพังจนแสงสว่างจากข้างนอกส่องลอดเข้ามา ก็คงยากที่จะเห็นการเคลื่อนไหวภายในได้อย่างชัดเจน

    ที่นี่มีอรหันต์ศิลาอยู่สององค์

    และตอนนี้ก็มีคนสองคนกำลังยืนมองอยู่

    หนึ่งในนั้นเป็นบุรุษสวมชุดขาว ไว้ผมทรงนักพรต บนหลังสะพายกระบี่ไม้ แน่นอน มันก็คือเยี่ยซูศิษย์สัญจรทั่วปฐพีของนิกายเต๋า ส่วนอีกหนึ่งเป็นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่กำยำ สวมชุดที่ทำจากหนังสัตว์ซึ่งพบเห็นได้น้อยในแถบจงหยวน คนผู้นี้จะเป็นใครได้อีกนอกเสียจากถังศิษย์สัญจรทั่วปฐพีของพรรคมาร

    คิดว่าเมื่อครู่รัชทายาทแคว้นหนานจิ้นคงถูกหนึ่งในสองคนนี้จับโยนออกมา มิน่าเล่า คนที่หยิ่งผยองถือดีอย่างมันถึงได้ตัวสั่นงันงก เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศิษย์สัญจรทั่วปฐพีพร้อมกันทีเดียวสองคน จะมีใครบ้างเล่าไม่อกสั่นขวัญแขวน สามารถทำใจดีสู้เสือได้อีก

    เยี่ยซูกล่าว

    “เจ้าไม่ได้ฆ่ามัน ฉะนั้นวันนี้ข้าจะไม่ต่อยตีกับเจ้า”

    เสียงทุ้มหนักดังขึ้น

    “ข้าไม่รู้สึกสนุกกับการฆ่าคน แต่ขอถามหน่อย พวกราชนิกุลในจงหยวนล้วนเป็นสุนัขที่อาศรมเทพเลี้ยงไว้ไม่ใช่รึ สุนัขของพวกเจ้ามีอยู่มากมาย จะต้องสนใจไปไยว่าสุนัขตัวหนึ่งจะอยู่หรือจะตาย”

    เยี่ยซูยิ้มน้อยๆ

    “นิกายเต๋ากับแคว้นต่างๆ ในจงหยวนต่างก็ต้องพึ่งพาอาศัยกัน เจ้าไม่รู้หรอกว่าอารามจือโส่วต้องเลี้ยงดูผู้คนเป็นจำนวนมากเท่าไร ที่สำคัญคือคนเหล่านั้นยังจู้จี้พิถีพิถันเกี่ยวกับการกินการอยู่ ดังนั้นพวกเราจึงจำเป็นต้องให้ราชนิกุลเหล่านี้ช่วยหาเงินให้”

    ถังเหลียวหน้ามองอีกฝ่าย เลิกคิ้วอย่างคาดไม่ถึง

    “ไม่เลว สามารถยอมรับว่านิกายเต๋าของเจ้าเสื่อมโทรมลง เดี๋ยวนี้เจ้าพูดจาตรงไปตรงมาดี ไม่ขัดหูเหมือนอย่างแต่ก่อน จริงสิ กระบี่ไม้ของเจ้ามีฝักตั้งแต่เมื่อไหร่”

    เยี่ยซูตอบ

    “ตอนยังหนุ่มแน่น ข้ารู้สึกว่าทั่วหล้าไม่มีที่ใดที่ไปไม่ได้ ไม่มีศัตรูคนไหนที่เอาชนะไม่ได้ จองหองอวดดีอย่างถึงที่สุด จึงไม่ยอมพันธนาการกระบี่ให้อึดอัดคับข้อง บัดนี้อายุมากขึ้น เริ่มเข้าใจเหตุและผลของเรื่องราว จึงรู้สึกว่ากระบี่ที่อยู่ในฝักถึงอย่างไรก็ยังคงเป็นกระบี่ เก็บงำประกายเอาไว้บ้างก็ไม่เห็นจะสูญเสียความคม”

    “เจ้าไปเมืองฉางอันมาคราวนี้ดูท่าจะเก็บเกี่ยวประโยชน์มาได้ไม่น้อยเลยจริงๆ”

    “เจ้าเองก็ควรจะลองไปอยู่ที่นั่นสักระยะหนึ่ง”

    “มีโอกาสข้าต้องไปแน่”

    เยี่ยซูหันไปมองอีกฝ่ายบ้าง

    “แม้แต่เมืองฉางอันก็ยังไม่กล้าไป แล้วไฉนวันนี้เจ้าถึงกล้ามาวัดลั่นเคอ”

    “ก็แล้วเจ้าเล่า เมื่อก่อนพบเห็นข้าทีไรเป็นต้องเอากระบี่ไล่แทง ไฉนวันนี้กลับไม่ลงมือ”

    เยี่ยซูตอบ

    “เพราะพอมาถึงที่นี่แล้วข้าจึงค่อยเข้าใจ หลายสิบปีก่อน หลังจ้าวบัลลังก์เหลียนเซิงใช้โลหิตล้างที่นี่ พรรคมารก็ถูกทำลายจนราบคาบ ปล่อยให้เจ้ามีชีวิตรอดอยู่สักคนก็คงจะเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว”

    “เจ้าคิดว่าวันนี้จะเหมือนกับวันนั้นอย่างนั้นหรือ”

    เยี่ยซูส่ายหน้า

    “สมัยนั้นจ้าวบัลลังก์เหลียนเซิงกับเคอเซียนเซิงเด่นผงาดอยู่เหนือคนทั่วหล้า ไม่มีผู้ใดต้านทานได้ แต่วันนี้คนสองคนนั่นต่อให้มีศักยภาพมากมายไร้ขีดจำกัด โดยเฉพาะหนึ่งในนั้น แต่ถึงอย่างไรพวกมันก็ยังเป็นแค่ดอกบัวที่เพิ่งหลุดพ้นจากโคลนตม”

    ถังถาม

    “เจ้าแน่ใจหรือว่าสถานศึกษาจะไม่ลงมือ”

    “ที่นี่คือดินแดนของนิกายพุทธ ผู้ที่ต้องกังวลคือเจ้าใบ้ ไม่ใช่พวกเรา”

    “ดังนั้นเจ้าจึงไม่ไปที่วิหารด้านหลัง แต่มายืนมองอรหันต์ศิลาอยู่ตรงนี้”

    เยี่ยซูปรายตามองถัง

    “เจ้าก็เช่นกัน”

    ถังยักไหล่

    “ข้าเคารพนับถือสถานศึกษา จึงไม่อยากให้มือตัวเองเปื้อนเลือด”

    เยี่ยซูเงียบไปครู่หนึ่งค่อยกล่าวว่า

    “ส่วนข้าเป็นเพราะยังดูไม่ออก”

    ถังเลิกคิ้ว

    “ยังมีเรื่องที่นิกายเต๋าดูไม่ออกอีกหรือ”

    เยี่ยซูตอบ

    “ปีนั้นแม้แต่จ้าวบัลลังก์แสงสว่างยังดูผิด แล้วนับประสาอะไรกับข้า”

    ถังเปรยขึ้น

    “ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าหนิงเชวียจะทำถึงขั้นใด”

    “มันเป็นคนเห็นแก่ตัวและอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงอย่างถึงที่สุด มันไม่มีความกล้าที่จะทำสงครามกับคนทั้งแผ่นดินหรอก”

    ถังส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย

    “แม้ตอนนี้เจ้าจะมีกลิ่นอายของความเป็นคนขึ้นมาบ้าง แต่นั่นเป็นเพราะเจ้าไปคลุกคลีตีโมงอยู่กับผู้คนในเมืองฉางอันจนติดเขม่าน้ำมันจากบ้านเรือนของพวกมันมาเท่านั้น จริงๆ แล้วหลังจากผ่านด่านเป็นตาย เจ้าก็ไม่เคยเข้าใจความคิดของปุถุชนคนธรรมดาอีก”

    เยี่ยซูขบคิดอยู่อึดใจก่อนพยักหน้า

    “คำพูดนี้มีเหตุผล”

    ทันใดนั้น เสียงระฆังก็ดังขึ้นจากทุกทิศทุกทาง

    เยี่ยซูหลับตา พยายามค้นหาเสียงกระดิ่งจากเสียงระฆังที่ดังอย่างต่อเนื่องไม่ขาดหู

    “เริ่มแล้ว”

    กล่าวจบมันก็เดินออกจากวิหารตรงไปที่ด้านหลังของวัดทันที

    ถังยังคงมองอรหันต์ศิลาตรงหน้าเงียบๆ อยู่อีกครู่หนึ่ง ก่อนเดินตามไป

    เหล่าผู้ฝึกฌานที่อยู่ในวิหารส่วนกลางล้วนตื่นตระหนกเพราะเสียงระฆัง จึงพากันเดินออกมาที่ระเบียงแล้วมองขึ้นไปบนเขา

    เยี่ยซูกับถังเดินฝ่าคนกลุ่มนี้เข้าไป ไม่มีผู้ใดสนใจพวกมัน เพราะใครจะคาดคิดว่าศิษย์สัญจรทั่วปฐพีจะมาเดินเบียดเสียดกับผู้คนอยู่แถวนี้

    ตลอดทาง เสียงระฆังยังคงก้องกังวาน ไม่มีวี่แววว่าจะหยุดลง

    แสงแห่งพุทธะค่อยๆ สว่างไสว พลังปฐมแห่งฟ้าดินจำนวนมากมายมหาศาลถูกเรียกมาผนึกอยู่เหนือวัดส่วนหลัง คล้ายปราการที่มองไม่เห็นแต่สามารถสัมผัสรับรู้ได้ ภายในแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายพุทธะเข้มข้นที่น่าเกรงขามไร้เทียมทาน

    กระบี่ไม้เริ่มส่งเสียงฮึ่มๆ คล้ายมีปฏิกิริยาตอบสนอง เยี่ยซูแหงนหน้ามองฟ้า ขมวดคิ้วกล่าวว่า

    “นิกายพุทธเอาแต่เก็บตัวเงียบ คิดไม่ถึงที่แท้ก็ยังมีเคล็ดวิชาที่มีความมหัศจรรย์เยี่ยงนี้ซุกซ่อนอยู่ ปราการนี้แข็งแกร่งนัก กระบี่ของข้าสามารถผ่านเข้าไปได้ แต่ตัวข้าผ่านเข้าไปไม่ได้”

    ถังก้มลงมองพื้นศิลาเบื้องล่าง กล่าวเสียงทุ้มหนัก

    “ข้าจะลองไปทางใต้ดิน”

    อึดใจต่อมาทั้งสองก็มาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าประตูหลังของวัดลั่นเคอ

    เยี่ยซูมองบานประตูสีดำที่ปิดสนิท พอรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นข้างใน สีหน้าก็แปรเปลี่ยน พึมพำอย่างงุนงงสับสน

    “อาจารย์ข้ารู้สึกสังหรณ์ใจบางอย่าง จึงให้ข้าเดินทางมาที่นี่ แต่เกรงว่าแม้แต่ท่านผู้เฒ่าก็คงคิดไม่ถึงว่าเรื่องราวที่แท้จริงจะเป็นเช่นนี้”

     

    ภายในวิหารด้านหลัง

    ตอนกระดิ่งส่งเสียง นิ้วของหนิงเชวียยังวาดขีดกลางอากาศไม่เสร็จ ดังนั้นมันจึงตัดสินใจหยุดวาด เปลี่ยนเป็นยืนอยู่กับที่รวบรวมสมาธิเฝ้าระวังห้วงแห่งความนึกคิด เตรียมเสี่ยงชีวิตกับพลังของปฐมพุทธะที่ทิ้งเอาไว้ในตัวกระดิ่ง

    กระดิ่งพิสุทธิ์มิเสียทีที่เป็นเวทอาวุธประจำกายของปฐมพุทธะ พอส่งเสียง กลิ่นอายพุทธะที่ทรงพลังและเต็มไปด้วยความเมตตาการุณย์หอบหนึ่งก็เคลื่อนผ่านหูเข้าไปยังห้วงแห่งความนึกคิดของหนิงเชวียทันที

    เพียงชั่วพริบตา ภาพลวงตาจำนวนนับไม่ถ้วนก็ผุดขึ้นในความคิดของหนิงเชวีย มีทั้งภาพอสูรที่น่าเกลียดน่ากลัว ทั้งภาพเทพธิดาที่งดงามน่าหลงใหล สลับกันไปมา บัดเดี๋ยวอยู่ห่าง บัดเดี๋ยวอยู่ใกล้ ทั้งหมดพยายามหลอกล่อให้มันเดินไปหาดินแดนอันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ก็โลกแห่งความมืดอันเป็นนิรันดร์

    ห้วงแห่งความนึกคิดของหนิงเชวียถูกฉีกทึ้งอย่างรุนแรง สร้างความเจ็บปวดทรมานให้มันอย่างแสนสาหัส แต่โชคดีที่มันยังมีเศษเสี้ยวความทรงจำของเหลียนเซิงต้าซือ จึงสามารถสะดุ้งตื่นจากภาพลวงตาเหล่านั้นได้ในระยะเวลาอันสั้น

    เมื่อแน่ใจว่ากระดิ่งพิสุทธิ์ของปฐมพุทธะมิได้มีอานุภาพร้ายกาจอย่างที่คิด มันก็คิดจะยุติเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด

    หนิงเชวียมองเป่าซู่ต้าซืออย่างหมายมั่น เตรียมเล่นงานอีกฝ่ายให้ต้องร้องหามารดา ทว่าเป่าซู่กลับมองมาทางมันด้วยสายตาประหลาดพิกล เห็นชัดว่าทั้งตื่นตกใจและหวาดสะพรึง

    ไม่เพียงเป่าซู่ต้าซือ คนอื่นๆ ในวิหารต่างก็มีสีหน้าแบบเดียวกัน พวกมันมองมาทางหนิงเชวียราวกับกำลังมองดูภูตผีปีศาจก็มิปาน

    หนิงเชวียก้มหน้าสำรวจร่างกายตัวเอง แต่ก็ไม่พบเห็นสิ่งใดงอกเงยออกมา และก็ไม่พบว่าที่กลางหน้าอกมีโพรงโลหิตเหมือนของหลงชิ่งแต่อย่างใด มันเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากล จึงเงยหน้ามองไปทางทุกคนอีกครั้ง

    ทันใดนั้น หนิงเชวียก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะในที่สุดมันก็เห็นแล้วว่าสายตาทุกคู่ไม่ได้มองมาที่มัน แต่มองไปทางด้านหลังของมันต่างหาก

    หนิงเชวียหันขวับ

    ที่นั่น ซังซังยังคงนั่งอยู่บนเบาะ ทว่าใบหน้าของนางตอนนี้ขาวซีด พื้นตรงหน้ามีคราบเลือดเป็นหย่อมๆ ย่อมมิใช่คราบเลือดจากการไอ แต่เป็นคราบเลือดจากการกระอักออกมา

    เสียงระฆังยังคงดังเหง่งหง่าง

    ซังซังโก่งคอกระอักเลือดออกมาอีกคำ คราวนี้ราดรดเสื้อกับพื้นตรงหน้าเป็นหย่อมใหญ่

    แสงแห่งพุทธะลำหนึ่งพลันลอดเข้ามาในวิหาร ส่องลงมาที่ตัวนาง

    แสงนั้นเต็มไปด้วยความเมตตาการุณย์ แต่ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิต

    ใต้แสงแห่งพุทธะ ใบหน้าซังซังยิ่งดูขาวซีด ร่างเล็กๆ ยิ่งดูบอบบางลงกว่าเดิม นางหลั่งน้ำตาเงียบๆ มองหนิงเชวียอย่างโศกเศร้าอาดูร

    ทุกคนในวิหารไม่ว่าจะเป็นเป่าซู่ต้าซือ ชวีนีหม่าตี้ เฉิงจื่อชิง หรือเฉิงลี่เสวี่ย ต่างก็เบิกตากว้างมองซังซังอย่างตื่นตะลึง มีเพียงฉีซานต้าซือที่ถอนใจยาวด้วยความเวทนา

    เป่าซู่ต้าซือพึมพำเสียงเบา

    “ปฐมพุทธะทรงเมตตา ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”

    ฉีซานต้าซือกล่าวกับหนิงเชวีย

    “ความจริงเป็นดั่งที่เจ้าเห็น เจ้าไม่ใช่บุตรของหมิงหวัง นางต่างหากที่เป็นบุตรีของหมิงหวัง”

    เห็นซังซังเจ็บปวดทรมานอยู่กลางแสงแห่งพุทธะ หนิงเชวียพลันรู้สึกคล้ายตัวเองถูกโลกนี้ทอดทิ้ง สภาพเหมือนกับเมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนมันยืนอยู่ในห้องเก็บฟืน

    หากมันเลือกอย่างที่มันต้องการเลือก มันจะถูกคนทั้งแผ่นดินทอดทิ้ง และที่ตอนนี้มันรู้สึกคล้ายตัวเองถูกโลกนี้ทอดทิ้งก็เพราะมันรู้อยู่แก่ใจว่ามันจะเลือกสิ่งใด เหมือนกับเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่สุดท้ายมันยังคงเลือกที่จะหยิบมีดผ่าฟืนเล่มนั้นขึ้นมา

    อันที่จริงจะบอกว่าโลกนี้ทอดทิ้งมันก็ไม่ถูก เพราะมันเป็นคนเลือก ที่ถูกคือต้องบอกว่ามันเป็นฝ่ายทอดทิ้งโลกนี้ต่างหาก!

    มันเดินเข้าไปใต้แสงแห่งพุทธะแล้วกางร่มให้ซังซัง

    อากัปกิริยาของหนิงเชวียดูเป็นธรรมชาติ มันทำเหมือนกับที่เคยทำมาตลอดสิบกว่าปีนี้ คือช่วยบังลมบังฝนให้ซังซัง นี่มิใช่เรื่องที่ต้องขบคิดให้มากความ

    นี่คือความเคยชิน และความเคยชินนี้เมื่อเทียบกับแสงแห่งพุทธะแล้วยังยิ่งใหญ่กว่า

    คนในวิหารยังอยู่ในสภาพตกตะลึงจังงัง จึงมิได้ขัดขวางหรือห้ามปราม พวกมันยังไม่ทันคิดด้วยซ้ำว่าการกระทำของหนิงเชวียนั้นหมายความว่าอะไร

    โดยเฉพาะเป่าซู่ต้าซือ แม้มันจะเป็นคนสั่นกระดิ่ง แต่ก็ไม่เคยคิดว่าผลจะออกมาเป็นแบบนี้ การที่มันเดินทางจากวัดเสวียนคงมาเขาหว่าซาน อีกทั้งคิดแผนการทั้งหมดออกมา ก็เพราะมันมั่นใจว่าบุตรของหมิงหวังคือหนิงเชวีย ไหนเลยจะคิดว่าเรื่องจะกลับตาลปัตรเช่นนี้

    ในบรรดาคนที่ยืนตะลึงทำอะไรไม่ถูก ที่อาการหนักสุดน่าจะเป็นเฉิงลี่เสวี่ย ใบหน้ามันในตอนนี้ยังขาวกว่าเส้นผมบนศีรษะเสียอีก ในฐานะหัวหน้าหน่วยโองการฟ้าของอาศรมเทพแห่งซีหลิง มันคิดอย่างไรก็หาเหตุผลไม่ได้ว่าเหตุไฉนเทวีแห่งแสงสว่างที่อาศรมเทพยอมรับจึงกลายเป็นบุตรีของหมิงหวังไปได้

    ทันทีที่ความจริงปรากฏก็ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องที่หนิงเชวียเข้าสู่วิถีแห่งมารอีก เพราะแม้พรรคมารจะเสื่อมโทรมจนแทบสาบสูญไปจากโลกนี้แล้ว แต่ก็ยังมีผู้ฝึกฌานที่ถลำตัวเข้าสู่วิถีแห่งมารให้พบเห็นเป็นประจำ ทว่าเรื่องของซังซังนั้นกลับแตกต่าง เพราะนางคือต้นเหตุที่โลกอาจจะต้องดับสูญ!

    แสงแห่งพุทธะที่ส่องลงมาจากพระพุทธรูปศิลาบนยอดเขาคล้ายไม่พบเจอสิ่งกีดขวางใดๆ แม้แต่น้อย จึงทะลุหลังคาวิหารเข้ามาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ลักษณะของลำแสงคล้ายเอาผงทองคำผสมกับผงไข่มุก จากนั้นจุดให้ลุกไหม้ด้วยแสงตะวัน ทั้งเรืองรองทั้งเป็นประกาย เปี่ยมไปด้วยความงดงามน่าเกรงขาม

    ที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งกว่านั้นคือแสงแห่งพุทธะพอส่องลงมาถูกผิวร่มก็กลับสาดกระจายออกรอบด้าน เกิดเป็นภาพอันน่าตื่นตาตื่นใจ แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้ผู้ที่พบเห็นเกิดความครั่นคร้าม จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

    มิรู้ว่าทำไม แสงแห่งพุทธะจึงไม่สามารถส่องทะลุร่มดำลงมา ยามตกกระทบผิวร่มจึงมีสภาพดั่งที่เห็น คล้ายเม็ดฝนกระเซ็นซ่านไปทั่ว เพียงแต่แสงแห่งพุทธะหมื่นจั้งนั้นมีอานุภาพไร้ขอบเขต มากเกินกว่าที่ฝนห่าหนึ่งจะเปรียบเทียบด้วยได้ มองไปจึงคล้ายกับน้ำตกตกกระแทกใส่ร่มมากกว่า

    ร่มดำบัดนี้มีสภาพดั่งก้อนหินที่อยู่ใต้ม่านน้ำตก ถูกมวลน้ำกระแทกใส่อยู่ตลอดเวลา ต่อให้มีความแข็งแกร่งทนทานเพียงใดก็ยังต้องเริ่มสั่นคลอน

    มือขวาของหนิงเชวียที่ถือร่มสั่นน้อยๆ มันไม่รับรู้ถึงพลังอันไร้ขอบเขตจากด้ามร่ม แต่รับรู้ถึงอานุภาพอันน่ากลัวของพลังแห่งพุทธะที่โอบล้อมอยู่รอบตัว กระดูกทุกท่อนในตัวมันเริ่มส่งเสียงลั่นดังกึกๆ

    ที่ทำให้มันรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่งก็คือ ฝุ่นดินและคราบมันๆ ที่จับตัวหนาอยู่บนผิวร่มมานานสิบกว่าปี ไม่ว่าจะถูกสายฝนชะล้างมากี่ครั้งกี่หนก็ไม่เคยหลุดลอก วันนี้ภายใต้แสงแห่งพุทธะกลับเริ่มบางลง หากเป็นเช่นนี้ต่อไปอาจจะถูกชะล้างจนหมดไปเลยก็เป็นได้

    อารามแตกตื่น มือที่สั่นกระดิ่งของเป่าซู่ต้าซือจึงหยุดชะงัก เสียงระฆังในวัดยังสะท้อนสะท้านไปมา ทว่าเสียงกระดิ่งกลับเงียบหายไป

    หนิงเชวียแบกซังซังขึ้นหลัง

    ซังซังซบหน้าขาวเผือดลงกับไหล่มัน แม้จะไร้ซึ่งเรี่ยวแรง นางก็ยังเอื้อมมือไปคิดช่วยมันถือร่มเหมือนเช่นที่เคยทำ

    หนิงเชวียดึงเอาไว้ไม่ยอมปล่อย เพราะมันรู้ว่าสภาพร่างกายของนางในตอนนี้ย่ำแย่เต็มที แต่ซังซังยังคงดื้อดึงแย่งไปจนได้ ที่น่าแปลกคือพอร่มอยู่ในมือนางกลับมีความมั่นคงแข็งแรงมากกว่าเมื่อครู่ ทั้งยังทนรับการชะล้างจากแสงแห่งพุทธะได้ดีขึ้นกว่าเดิม

    หนิงเชวียยกดาบขึ้นขวางอยู่กลางอก แบกซังซังเดินออกจากแสงแห่งพุทธะ โดยมีคันธนูและกระบอกใส่ลูกธนูสะพายไว้บนไหล่ สายตากวาดมองทุกคนอย่างดุร้าย คล้ายแม่เสือกำลังปกป้องลูกน้อย

    คนในวิหารล้วนมีด่านฌานไม่ต่ำเตี้ย ทว่ากลับไม่มีใครอยากสบตากับมัน

    แต่แล้วเรื่องประหลาดก็เกิดขึ้น จิตใจของคนในวิหารพลันผ่อนคลายลงทันที ทั้งนี้เพราะไม่ว่าหนิงเชวียจะเดินไปทางไหนก็หนีออกจากแสงแห่งพุทธะไม่ได้ แสงแห่งพุทธะดูเหมือนจะเคลื่อนตามมันไปเป็นเงาตามตัว

    พูดให้ถูกก็คือแสงนี้คล้ายรับรู้ถึงตำแหน่งของซังซัง ตามติดนางทุกย่างก้าว!

    “ฮ่าๆๆ…”

    ลู่เฉินจยาเห็นภาพตรงหน้าก็ได้สติตื่นจากภวังค์ นางหัวร่ออย่างเป็นบ้าเป็นหลัง หัวร่อจนน้ำตาไหลอาบแก้ม

    “คนสำคัญที่สุดในชีวิตของเจ้ากลายเป็นบุตรีของหมิงหวังไปแล้ว…หนิงเชวีย ตอนนี้เจ้าจะทำอย่างไร เจ้า…คงเข้าใจแล้วสินะ…ว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาข้ามีความรู้สึกอย่างไร”

    หนิงเชวียมองนางด้วยสายตาเหยียดหยามระคนสมเพช

    เสียงหัวร่อพลันขาดหาย สีหน้าของลู่เฉินจยาเปลี่ยนเป็นอับอายและสิ้นหวัง นางเข้าใจความรู้สึกที่ฉายชัดอยู่ในสายตาของหนิงเชวีย และยังจำคำพูดที่มันกล่าวกับนางเมื่อครู่ได้ดี แต่คนสำคัญที่สุดในชีวิตมันเป็นถึงบุตรีของหมิงหวังมิใช่รึ! หรือมันไม่คิดถึงจุดนี้แม้แต่น้อย

    “อมิตาภพุทธ เซียนเซิงสิบสาม วางนางลงเถิด”

    เป่าซู่ต้าซือกล่าวกับมันด้วยสีหน้าเปี่ยมเมตตา

    เฉิงจื่อชิงเดินไปนั่งขวางอยู่หน้าประตูวิหาร กระบี่ถูกชักออกจากฝักมาวางพาดอยู่บนตัก

    หนิงเชวียมองกระดิ่งในมือเป่าซู่ มองกระบี่บนตักเฉิงจื่อชิง แล้วเงยหน้ามองร่มดำ

    เป่าซู่คือเจ้าคณะหอวินัยวัดเสวียนคง เป็นผู้รู้แจ้ง ด่านฌานจึงเทียบได้กับด่านรู้ชะตาขั้นกลางหรือสูงกว่า กระดิ่งในมือมันคือเวทอาวุธของปฐมพุทธะที่แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายพุทธะอันบริสุทธิ์เข้มข้น จึงเป็นดาวข่มซังซัง

    เฉิงจื่อชิงคือศิษย์น้องของเทพกระบี่หลิ่วไป๋ เป็นยอดคนด่านรู้ชะตา หลายวันมานี้แม้สุขุมเยือกเย็นไม่โฉ่งฉ่าง แต่กระบี่บนตักมันจะต้องมีอานุภาพถึงขั้นตัดทะเลเฉือนภูผาได้อย่างแน่นอน

    ร่มดำเมื่ออยู่ในมือซังซังแม้จะสามารถสำแดงอานุภาพได้ถึงขีดสุด แต่ภายใต้การชะล้างอย่างรุนแรงของแสงแห่งพุทธะ คราบฝุ่นคราบมันบนผิวร่มก็ยังคงหลุดลอกไม่หยุด จนหนิงเชวียเริ่มรู้สึกถึงความโหดเหี้ยมอำมหิตที่ปะปนอยู่ในความเมตตาการุณย์ของแสงแห่งพุทธะได้

    เมื่อต้องเผชิญหน้ากับยอดคนจากวัดเสวียนคงและศาลากระบี่ ต่อให้ลำพังตัวคนเดียว หนิงเชวียก็ยังไม่มีความมั่นใจว่าจะหนีไปได้ สำมะหาอะไรกับตอนนี้ที่มันยังต้องแบกซังซังโดยมีแสงแห่งพุทธะคอยติดตามและกดดันใส่พวกมันอยู่ตลอดเวลา

    “ในเมื่อหาตัวบุตรีของหมิงหวังพบแล้ว คนทั้งแผ่นดินก็ต้องไม่มีทางปล่อยให้นางหนีรอดไปได้ อีกอย่าง ต่อให้พวกเจ้าหนีลึกเข้าไปในทุ่งร้าง หรือหนีลงทะเลคลั่ง ก็ยังคงหนีแสงแห่งพุทธะหมื่นจั้งไม่พ้นอยู่ดี”

    เป่าซู่ต้าซือยกกระดิ่งในมือขึ้น

    “ยอมแพ้เสียเถอะ”

    ฉีซานต้าซือกล่าวด้วยสีหน้าหม่นหมอง

    “ในเมื่อพวกมันหมดทางหนีแล้ว เจ้าก็อย่าสั่นกระดิ่งอีกเลย”

    หนิงเชวียมองเป่าซู่เงียบๆ มือขวาผละจากด้ามดาบเปลี่ยนเป็นตบฝักดาบเบาๆ

    ทุกคนเข้าใจว่าการที่มันเงียบไปเป็นเพราะจิตใจกำลังวุ่นวายสับสน เฉิงจื่อชิงถอนใจยาว คิดในใจ นางคือบุตรีของหมิงหวัง เจ้ายังจะทำอะไรได้อีก

    มีเพียงฉีซานต้าซือเท่านั้นที่รู้ว่าตอนนี้หนิงเชวียกำลังคิดอะไรอยู่

    หนิงเชวียหันไปมองฉีซาน พบว่าอีกฝ่ายแม้จะมีสีหน้าเศร้าหมอง แต่ก็ไม่ตื่นกลัว จึงมั่นใจว่าฉีซานต้าซือต้องรู้แต่แรกแล้วว่าซังซังคือบุตรีของหมิงหวัง

    ตอนอยู่ฉางอัน เมื่อรู้ว่าจะต้องมาที่นี่ จิตใจมันก็เริ่มไม่สงบ มีความไม่สบายใจอยู่ลึกๆ บัดนี้พอมองย้อนกลับไปจึงค่อยเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นอาการป่วยของซังซัง หมากล้อมสามกระดานของเขาหว่าซาน หรือการฝึกพุทธในช่วงหลายวันมานี้ ทั้งหมดล้วนเผยให้เห็นถึงความจริงของเรื่องราว นิกายพุทธชอบพูดถึงเรื่องมหันตภัย วัดลั่นเคอก็คือมหันตภัยที่ถูกลิขิตไว้แล้วสำหรับมันกับซังซังนั่นเอง

    มันมองย้อนกลับไปไกลกว่านั้น แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกเนื้อตัวเย็นเฉียบ การมาวัดลั่นเคอเพื่อขอรับการรักษาของซังซังเป็นความคิดของจอมปราชญ์ ส่วนการเตรียมการต่อจากนั้นล้วนเป็นศิษย์พี่ใหญ่เขียนเอาไว้ในจดหมายที่มีถึงฉีซานต้าซือ

    “เป็นไปไม่ได้”

    หนิงเชวียส่ายหน้าบอกกับตัวเองเงียบๆ พยายามขับไล่ความคิดโหดร้ายรับไม่ได้นี้ออกจากสมอง แต่สุดท้ายแล้วมันก็ยังต้องการความจริง แม้ว่าความจริงนั้นจะทำให้มันต้องเจ็บปวดใจสักเพียงใดก็ตาม ดังนั้นมันจึงจ้องหน้าฉีซานต้าซือเขม็ง

    ฉีซานต้าซือรู้ว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่ แต่กลับถามขึ้นว่า

    “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่านางคือบุตรีของหมิงหวัง”

    หนิงเชวียตอบ

    “ก่อนหน้านี้พวกท่านบอกว่านางคือเทวีแห่งแสงสว่าง แต่ตอนนี้กลับบอกว่านางคือบุตรีของหมิงหวัง ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าควรเชื่ออย่างไหน ข้ารู้แต่เพียงว่านางคือเด็กทารกที่ข้าเก็บมาเลี้ยง ข้าป้อนน้ำข้าวนางทีละคำๆ จนนางเติบใหญ่ หากจะบอกว่านางคือบุตรีของผู้ใด เช่นนั้นก็ควรต้องบอกว่านางคือบุตรีของข้าเท่านั้น”

    ฉีซานต้าซือสีหน้าเต็มไปด้วยความเห็นใจ

    “แต่นี่คือความจริง ตอนอยู่ในถ้ำ เจ้าให้อาตมาช่วยรักษาอาการป่วยให้นาง พออาตมาจับชีพจรและรับรู้ถึงไอเย็นเหล่านั้น อาตมาก็รู้ว่า…นั่นคือรอยประทับที่หมิงหวังทิ้งไว้บนตัวนาง หรือเจ้าไม่เอะใจ ไอเย็นที่แม้แต่จอมปราชญ์กับวิชาเทพก็ยังขับไล่ไปไม่ได้ จะเป็นไปได้หรือที่จะเป็นแค่อาการเจ็บป่วยธรรมดาๆ ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด จะเป็นไปได้หรือที่จะเกิดจากการถูกความเย็นทำร้ายตอนเป็นทารกเท่านั้น”

    หนิงเชวียสงสัยมานานแล้วเกี่ยวกับไอเย็นแปลกๆ ในตัวซังซัง เพียงแต่มันพยายามไม่ขบคิดถึง เข้าใจว่าหากไม่คิดก็จะสามารถลืมได้ บัดนี้ได้ยินอีกฝ่ายพูดแทงใจดำก็เงียบงันไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวอย่างไม่ยอมแพ้

    “พวกท่านล้วนคาดเดา จะแน่ใจได้อย่างไรว่านี่เป็นเรื่องจริง อาจารย์เคยบอกว่า โลกนี้ไม่มีคนที่ล่วงรู้ทุกสิ่งอย่าง”

    “ถูกต้อง ดังนั้นจอมปราชญ์จึงให้พวกเจ้ามาที่นี่ เพื่อต้องการดูให้แน่ชัดว่าอาการป่วยในตัวนางที่แท้คืออะไรกันแน่ มีเพียงทำเช่นนี้ พวกเราจึงจะรู้ความจริง และสามารถหาวิธีรักษาได้”

    กล่าวถึงตรงนี้ฉีซานต้าซือก็ถอนใจ

    “หมากล้อมสามกระดานนั้นจริงๆ ถูกจัดเตรียมไว้เพื่อแม่นางซังซัง ตอนอยู่ริมลำธารพยัคฆ์กระโจน ไม่ว่าเจ้าจะมุทะลุบุ่มบ่ามเพียงใด อาตมาก็ต้องคิดหาวิธีให้นางเล่นหมากล่วนเคอนั้นให้ได้”

    “เพื่ออะไร”

    หนิงเชวียในใจนึกหวาดหวั่น แต่ก็ยังถามออกไป

    “เพื่อพิสูจน์ว่านางเป็นใคร วิธีที่นางใช้แก้หมากล่วนเคอคือวิธีฟ้าคำนวณ ไม่มีทางที่คนเราจะสามารถคิดคำนวณได้ถึงขั้นนั้นอย่างแน่นอน ดังนั้นแค่หมากกระดานแรกก็พิสูจน์ได้แล้วว่านางมิใช่คนในโลกนี้”

    เห็นหนิงเชวียไม่ได้กล่าวกระไร ฉีซานต้าซือก็กล่าวต่อ

    “ในศาลา นางเล่นหมากกระดานที่สองกับต้งหมิง นางเลือกหมากดำตั้งแต่แรก สิ่งที่ต้งหมิงถนัดที่สุดคือดูปรากฏการณ์ของดวงดาวจากมรรคาแห่งหมากล้อม หมากกระดานนั้นจบลงโดยที่หมากขาวหมากดำเฝ้าระวังกัน ยากที่จะบอกได้ว่าใครแพ้ใครชนะ เฉกเช่นเดียวกับที่แสงสว่างกับความมืดคุมเชิงกันอยู่บนท้องฟ้า และนี่ก็คือนิมิตที่ชี้ถึงฐานะบุตรีของหมิงหวังของนาง”

    หนิงเชวียค้าน

    “ตอนนั้นต้งหมิงต้าซือบอกว่าขาวดำอยู่ที่ใจ”

    ฉีซานต้าซือมองซังซังที่อยู่บนหลังมัน ก่อนถอนใจอีกครั้ง

    “เพราะโองการฟ้าขึ้นอยู่กับเจตนารมณ์ของนางอย่างไรเล่า”

    ต้งหมิงต้าซือซึ่งนั่งเงียบอยู่ตรงมุมวิหารมาตลอด ได้ยินฉีซานต้าซือเอ่ยถึงตรงนี้ก็ประนมมือกล่าวอมิตาภพุทธ ดูท่าแม้แต่มันก็ล่วงรู้ฐานะที่แท้จริงของซังซังอยู่ก่อนแล้ว

    ฉีซานต้าซือเลื่อนสายตากลับมาที่หนิงเชวีย

    “เจ้าเองก็ร่วมเล่นหมากกระดานที่สามด้วย แม้จะไปถึงช้ากว่าเล็กน้อย แต่คิดว่าเจ้าเองก็คงจะรู้ว่าที่นั่นได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง

    กฎของโลกทั้งในและนอกกระดานหมาก แม้จะมีความแตกต่างกัน แต่ทั้งหมดก็ยังอยู่ใต้กฎของเฮ่าเทียน ซังซังสามารถทำลายกฎสูงสุดที่อยู่เหนือกาลเวลาได้ ซึ่งก็คือความตาย เจ้าก็รู้ ในโลกของเฮ่าเทียน มีเพียงเฮ่าเทียนเท่านั้นจึงจะสามารถกำหนดหรือก้าวข้ามกฎเกณฑ์ที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้

    ในเมื่อซังซังสามารถทำลายกฎเกณฑ์ที่ว่านี้ แต่นางไม่ใช่เฮ่าเทียน เช่นนั้นนางก็จะต้องไม่ใช่คนบนโลกนี้ นางจึงต้องมาจากโลกแห่งความมืดที่มีแต่ความดับสูญและความทุกข์ทรมานตลอดกาลอย่างไม่ต้องสงสัย

    หมากสามกระดานของเขาหว่าซานคือหนึ่งในวิธีการมากมายที่ปฐมพุทธะเตรียมไว้ก่อนละสังขารไป ทั้งยังเป็นวิธีสำคัญที่ใช้ค้นหาร่องรอยบุตรของหมิงหวังด้วย เช่นเดียวกับกระดิ่งอวี๋หลัน

    ศิษย์น้องเหลียนเซิงปีนั้นก็เคยฝ่าด่านหมากทั้งสามกระดาน แต่วิธีที่มันใช้กับวิธีที่ซังซังใช้แตกต่างกัน ความสามารถในการคำนวณที่ซังซังแสดงออกมิใช่สิ่งที่มนุษย์เราจะสามารถทำได้ กอปรกับความไม่เห็นกฎเกณฑ์ใดๆ อยู่ในสายตา ทั้งหมดล้วนเผยให้เห็นข้อเท็จจริงที่น่ากลัวเกี่ยวกับนาง”

    ฉีซานต้าซือกล่าวปิดท้าย

    “ซึ่งก็คือนางเองที่เป็นบุตรีของหมิงหวัง”

    หนิงเชวียขมวดคิ้ว

    “เรื่องทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่พวกท่านหลวงจีนพูดกันขึ้นมาเอง อย่าลืม นี่คือโลกของเฮ่าเทียน หากซังซังเป็นบุตรีของหมิงหวังจริง ไฉนนิกายเต๋าจึงไม่รู้ มิหนำซ้ำยังยกย่องนางเป็นเทวีแห่งแสงสว่าง ข้าหมดปัญญาจะเข้าใจจริงๆ ดังนั้นพวกท่านพูดอย่างไรข้าก็ไม่มีทางยอมรับแน่”

    ฉีซานต้าซือกล่าว

    “ในเมื่อหมิงหวังทอดเงาลงมาที่โลกของเฮ่าเทียน ก็ย่อมต้องมีการเตรียมการเอาไว้มากมายให้กับบุตรและบุตรีของมัน นิกายเต๋าเป็นเป้าหมายแรกที่พวกมันจะโจมตี ดังนั้นแทนที่จะรู้ก่อน กลับเห็นไม่ชัดเท่านิกายพุทธเรากับสถานศึกษา”

    ความจริงหนิงเชวียแน่ใจในฐานะที่แท้จริงของซังซังแล้ว แต่มันยังคงดึงดันไม่ยอมรับ เพราะมันตระหนักดีว่าการยอมรับจะนำมาซึ่งความยุ่งยากมากเพียงใด

    “ข้าต้องการหลักฐานมากกว่านี้”

    ฉีซานต้าซือถอนใจ

    “วันนั้นอาตมาเคยบอกว่าจุดที่น่าสนใจที่สุดของเจ้าคือเจ้าอยากเข้าใจก็สามารถเข้าใจ เจ้าไม่อยากเข้าใจก็สามารถทำตัวให้โง่งมคิดอะไรไม่ออก…นี่ไม่ใช่ปริศนาธรรมอันใด แต่เป็นความจริงที่สัมผัสรับรู้ได้ เจ้ากับซังซังอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เล็ก หากเจ้ายอมขบคิดสักหน่อย จะคิดไม่ออกได้อย่างไร”

    หนิงเชวียเงียบไม่กล่าวกระไร

    ฉีซานต้าซือชี้ไปที่ร่มดำ

    “ร่มดำคันนี้สามารถตัดขาดจากทุกสิ่ง แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถเหนี่ยวนำทุกสิ่งทุกอย่างเข้ามา รวมถึงแสงสว่าง โดยพื้นฐานร่มดำคันนี้ไม่ควรมีอยู่ในโลก ตอนที่เจ้าได้มันมา ไม่รู้สึกประหลาดใจหรือรู้สึกสงสัยเลยหรือ”

    ตอนหนิงเชวียเก็บร่มดำคันนี้ได้ไม่มีปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้นแม้แต่น้อย ทุกอย่างดูเป็นปกติ หากมิใช่เพราะซังซังร้องไห้สะอึกสะอื้น เกรงว่ามันคงโยนทิ้งไปแต่แรกแล้ว ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ร่มดำก็ค่อยๆ แสดงคุณสมบัติที่พิเศษพิสดารออกมามากมาย

    ร่มที่ดูธรรมดาไม่มีอะไรโดดเด่นสะดุดตาคันนี้สามารถกันน้ำกันไฟ ดาบหอกฟันแทงไม่เข้า แม้ผิวร่มจะสกปรกกระดำกระด่าง แต่กลับมีความบริสุทธิ์ใสกระจ่างเช่นเดียวกับซังซัง เพราะสามารถเหนี่ยวนำหรือแผ่ขยายพลังจิตรวมถึงแสงเจิดจรัสของผู้ถือได้ ตามที่จดบันทึกไว้ในคัมภีร์โบราณและตามคำเล่าลือของโลกผู้ฝึกฌาน ไม่เคยปรากฏอาวุธที่มีความสามารถในการป้องกันภัยได้สารพัดแบบเยี่ยงนี้มาก่อนบนโลก เทียบกับกระดิ่งอวี๋หลันในมือเป่าซู่ต้าซือแล้ว ยังมีความน่าอัศจรรย์ใจยิ่งกว่า

    การต่อสู้ตรงปากทางเข้าดินแดนเป่ยซาน คืนที่ฆ่าจอมกระบี่เหยียนซู่ชิง วันที่สู้กับซย่าโหวบนทะเลสาบน้ำแข็ง และสมัยที่ยังอยู่บนเขาหมินซานกับตัดฟืนที่ริมทะเลสาบซูปี้ หากไม่มีร่มคันนี้ มิรู้ว่ามันต้องตายไปแล้วกี่ครั้ง

    ถึงตอนนี้มันจึงค่อยเข้าใจ ที่แท้ร่มดำก็คืออาวุธที่หมิงหวังประทานไว้ให้แก่ซังซัง และภายหลังดูเหมือนร่มดำจะมีความมั่นใจว่าตัวมันคือผู้ปกป้องคุ้มครองซังซัง ดังนั้นจึงเริ่มให้การคุ้มครองมันด้วย

    วันแรกที่หนิงเชวียกลายเป็นศิษย์สถานศึกษาอย่างเป็นทางการ มันได้พบกับบัณฑิตที่ห้อยกระบวยไม้ไว้ที่เอวและถือคัมภีร์เล่มหนึ่งไว้ในมือ

    บัณฑิตคนนั้นต้องการเอากระบวยไม้มาแลกกับร่มดำของหนิงเชวีย แต่หนิงเชวียไม่ยอมแลก บัณฑิตคนนั้นก็ไม่ว่าอะไร สนทนาจบก็เดินออกทางประตูข้างแล้วขึ้นรถเทียมวัวจากไป

    ต่อมาหนิงเชวียจึงค่อยรู้ บัณฑิตคนนั้นก็คือศิษย์พี่ใหญ่ ส่วนคนที่นั่งอยู่ในรถเทียมวัวก็คือจอมปราชญ์ และนั่นคือเรื่องที่จอมปราชญ์ทำเป็นเรื่องสุดท้ายก่อนออกเดินทางท่องเที่ยวไปยังแคว้นต่างๆ

    บัดนี้หนิงเชวียรู้แล้วว่าที่มันปฏิเสธการแลกเปลี่ยนในวันนั้น ตัวเองได้พลาดโอกาสอะไรไปบ้าง เพียงแต่ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะสายไปแล้ว

    “ตกลงร่มดำคืออะไรกันแน่”

    “คือราตรีผืนหนึ่ง”

    คำตอบของฉีซานต้าซือฟังดูลึกลับเข้าใจยาก แต่หนิงเชวียเข้าใจ

    ฉีซานต้าซือกล่าวต่อ

    “เมื่อสิบหกปีก่อน ศิษย์สัญจรทั่วปฐพีของพุทธ เต๋าและมารไปปรากฏตัวพร้อมกันในทุ่งร้าง ได้ยินว่าเซียนเซิงใหญ่ก็ไปที่นั่นเช่นกัน ที่เป็นเช่นนี้เพราะมีนิมิตจากฟ้าว่าบุตรของหมิงหวังได้ลงมาจุติ และในวันเดียวกันนั้นเอง ภายในจวนทงอี้ต้าฟู ซังซังก็ได้ลืมตาออกมาดูโลก”

    ซึ่งก็เป็นวันที่หนิงเชวียหนีเข้าห้องเก็บฟืนของจวนทงอี้ต้าฟู และถือมีดผ่าฟืนเล่มนั้นไว้!

    หนิงเชวียนึกถึงที่มันพูดกับเฉิงลี่เสวี่ยกับชวีนีหม่าตี้ในวันนี้…ต้าเสินกวนหน่วยแสงสว่างก็ย่อมมีเวลาที่มองผิดพลาดได้ ใช่แล้ว…เรื่องทั้งหมดเป็นแค่การมองผิดพลาดจริงๆ

    ขณะที่ฮูหยินต้าเสวียซื่อในปัจจุบันซึ่งก็คืออนุภรรยาของทงอี้ต้าฟูในตอนนั้นตั้งครรภ์ซังซัง ต้าเสินกวนหน่วยแสงสว่างผู้เป็นที่เคารพยำเกรงของทุกคนเกิดเห็นเงาของรัตติกาลตกลงมาที่ซอยของจวนแม่ทัพเซวียนเวยในเมืองฉางอัน

    ต้าเสินกวนหน่วยแสงสว่างมิได้มองเห็นซังซัง เพราะซังซังในตอนนั้นยังไม่มีทางถูกพบเห็น ที่มันมองเห็นเป็นเด็กชายคนหนึ่งในจวนแม่ทัพ

    มันเห็นผู้ที่ล่วงรู้ทุกสิ่งทุกอย่างมาตั้งแต่เกิด ดังนั้นมันจึงเข้าใจว่าตัวเองได้เห็นบุตรของหมิงหวัง

    ตลอดเวลาซังซังซบหน้าฟังอยู่กับไหล่ของหนิงเชวีย ใบหน้าของนางยิ่งนานยิ่งขาวซีด ยิ่งนานยิ่งหม่นหมอง เพราะนางนึกถึงเรื่องราวได้มากมาย และเริ่มเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง

    นางจำวันนั้นได้ ชายชราสวมเสื้อบุใยฝ้ายเลอะเทอะสกปรกตัวหนึ่งเดินเข้ามาในร้านเหล่าปี่ไจ กล่าวกับนางว่า

    ‘เจ้าเชื่อเรื่องโชคชะตาหรือไม่’

    และก่อนชายชราจะตาย นางยังจำได้ว่ามันหันมามองนางซึ่งอยู่ใต้ต้นไม้ ท่าทางเหมือนเกิดความลังเลขัดแย้งในใจอย่างมหันต์ แต่ในที่สุดก็ยิ้มน้อยๆ สีหน้าคล้ายได้หลุดพ้นและรู้แจ้ง กล่าวกับนางว่า

    ‘ที่แท้เจ้าจึงจะเป็นโชคชะตาของข้า’

    “นางคือบุตรีของหมิงหวัง นางกำลังจะตื่น สายตาของหมิงหวังกำลังจะทอดลงมาที่นาง ดังนั้นเจ้าจึงรู้สึกว่านางใกล้ตาย เพราะเจ้ากับนางเดิมทีก็อยู่กันคนละโลกอยู่แล้ว

    หมากสามกระดานของเขาหว่าซานจริงๆ เตรียมไว้ให้นาง แต่ก็เตรียมไว้ให้เจ้าได้เห็นกับตาตัวเอง เพราะหมากกระดานแรกต้องการให้หมากขาวสละอำนาจ หมากกระดานที่สองเป็นการเผชิญหน้ากันของแสงสว่างกับความมืด ส่วนหมากกระดานที่สามคือภาพที่โลกต้องดับสูญไป ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้เจ้าเข้าใจและคิดจะวางมือ

    แต่น่าเสียดาย หมากสองกระดานแรกไม่มีความหมายใดๆ สำหรับเจ้า และภาพที่โลกกำลังจะพังพินาศในหมากกระดานที่สามก็ไม่สามารถทำให้เจ้าเปลี่ยนใจได้ เช่นนั้นหากเป็นโลกแห่งความเป็นจริงเล่า”

    ฉีซานต้าซือจ้องตาหนิงเชวียเขม็งขณะถาม

    “หากโลกที่พวกเรายืนอยู่กำลังจะดับสลายเพราะสาวน้อยที่เจ้าแบกไว้บนหลัง เจ้าจะเลือกทำเช่นไร”

     

     

    (หมายเหตุ*** เนื้อหานิยายที่นำมาให้ทดลองอ่านยังไม่ผ่านกระบวนการไฟนอล)

    ติดตามต่อได้ในหนังสือสยบฟ้า พิชิตปฐพี เล่ม 22 ฉบับเต็ม

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in สยบฟ้า พิชิตปฐพี

    นิยายยอดนิยม

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ยอดสถาปนิกผู้พิทักษ์อาณาจักร เล่ม 1 ครั้งที่ 1

      บทที่ 1 กลายเป็นเศษสวะในนิยาย     เหตุการณ์ที่เหมือนนิยายกำลังเกิดขึ้นกับผม เมื่อลืมตาก็พบว่าตัวเองหลุดมาอยู...

    Facebook