• Connect with us

    Enter Books

    เพลงกลอนคลั่งยุทธ์

    ทดลองอ่านนิยายเพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 20 บทที่ 1

    บทที่ 1

    ความฝันกษัตริย์

     

    ‘สามัญชนเหล่านั้นหาใช่คนระดับเดียวกับเจ้า’

    นับตั้งแต่รู้ความ ทุกคนรอบตัวล้วนกล่าวกับจูเฉินเหาเช่นนี้

    ความจริงจูเฉินเหามิอาจเข้าใจความหมายของประโยคนี้อย่างแท้จริง อะไรเรียกว่า ‘สามัญชน’ มันไม่เคยสัมผัสสามัญชนคนธรรมดาอย่างแท้จริงเลยในชีวิต มันเป็นท่านอ๋องแซ่จู ใช้ชีวิตอยู่ในโลกอีกใบหนึ่งที่ถูกตัดขาดจากภายนอกมาชั่วนาตาปี

    เพียงแต่จูเฉินเหาได้ยินคำกล่าวเช่นนี้มามากแล้ว จึงเกิดความคิดฝังรากลึกมาตั้งแต่วัยเยาว์

    ข้าคือคนพิเศษ…

    ข้าจะมีชะตาชีวิตไม่ธรรมดา…

     

    ในวันนี้สิ่งที่มันคิดเป็นจริงแล้วโดยไร้ข้อกังขาแม้แต่น้อย

    ขณะนี้หนิงอ๋องจูเฉินเหากำลังยืนอยู่บนห้องเรือของเรือรบใหญ่ ทอดมองเหตุการณ์ริมทะเลสาบกับบนฝั่งแถบตำบลเฉียวเซ่อ เรือรบใหญ่น้อยนับร้อยลำที่เพิ่งหนีรอดมาจากความพ่ายแพ้ราบคาบต่างแล่นผ่านเข้าจอดเทียบเวิ้งทะเลสาบที่สะท้อนแสงอาทิตย์เหลืองนวล ผสานกันเป็นขบวนเรือที่ป้องกันซึ่งกันและกันอย่างลนลาน ขณะเดียวกันในค่ายบนฝั่งต่างจุดโคมไฟและคบเพลิงส่องสว่าง คนนับไม่ถ้วนเดินไปมาบนที่ตั้งค่าย ยุ่งอยู่กับการขนย้ายเสบียงและสิ่งของหลากประเภท

    ถึงแม้อยู่ไกลบนห้องเรือแห่งนี้ จูเฉินเหาก็รับรู้ได้ถึงบรรยากาศตึงเครียดในขบวนทหารด้านล่างทั้งทางน้ำและทางบก ทหารทั้งหมดกระจ่างยิ่งนักแล้วว่านี่คือฐานที่มั่นในการต่อต้านสุดท้ายของพวกมัน

    ศัตรูที่ยิ่งใหญ่เหนือความคาดหมายรอคอยอยู่ฝั่งตรงข้ามทะเลสาบผอหยาง

    จูเฉินเหาหรี่ตาลง มองดูทุกอย่างเงียบๆ รอยย่นรอบดวงตาของมันลึกยิ่งขึ้น ริมทะเลสาบผอหยางเดิมทีเคยเขียวขจี แต่ยามนี้ในสายตามัน ทุกสิ่งกลับคล้ายปกคลุมด้วยขี้เถ้าชั้นหนึ่ง ธงบนเสากระโดงเรือนับไม่ถ้วนปลิวเบาๆ อย่างอ่อนแรง เรือรบที่เสียหายแม้ดับไฟแล้วก็ยังคงเต็มไปด้วยควันไหม้จางๆ จับตัวอยู่กลางอากาศเนิ่นนานไม่สลายหายไป

    เรือทุกลำล้อมรอบเรือแม่ทัพของจูเฉินเหาเอาไว้ ประกอบเป็นรูปขบวนแน่นหนา ปกป้องมันไว้เป็นชั้นๆ ขบวนเรือทั้งหมดเหมือนเช่นป้อมปราการลอยน้ำป้อมหนึ่ง ถึงแม้เรือรบที่เหลือจะมีจำนวนไม่ถึงครึ่งหนึ่งของกองทัพหนิงอ๋องในตอนแรก แต่รูปขบวนนี้ก็ยังคงใหญ่โตโอ่อ่า

    ภาพเหตุการณ์เช่นนี้อย่างไรก็กล่าวมิได้ว่า ‘ธรรมดา’ ชั่วชีวิตคนมากมายล้วนมิอาจเห็นกับตาแม้สักครั้งเดียว ยิ่งมิต้องกล่าวถึงการได้เป็นบุคคลสำคัญผู้อยู่ศูนย์กลาง

     

    จูเฉินเหาสร้างชะตาชีวิตไม่ธรรมดาให้ตัวเอง

    เพียงแต่มันในตอนนี้ยินยอมให้ทุกสิ่งไม่เกิดขึ้นเสียจะดีกว่า

    ในตำหนักอ๋องจูเฉินเหาเคยได้ยินผู้อาวุโสบอกเล่าถึงเกียรติภูมิของบรรพชนตั้งแต่เด็ก จูเฉวียนโอรสองค์ที่สิบเจ็ดของจักรพรรดิไท่จู่ สิบห้าพรรษาก็รับบัญชาจากบิดาไปเฝ้าปกปักเมืองต้าหนิงที่ตั้งอยู่แนวชายแดน บัญชาการทหารเด่นล้ำแปดหมื่นนาย ทหารม้าเกราะเหล็กเผ่าเมิ่งกู่ที่อยู่ในสังกัดยิ่งเป็นทหารเด่นล้ำที่กล้าหาญที่สุด หนิงอ๋องยุคแรกสร้างความดีความชอบมากมายอย่างยิ่ง ในปีนั้นได้รับเกียรติคุณยอดแม่ทัพอันดับหนึ่ง ในบรรดาองค์ชายของไท่จู่ เพียงพอที่จะเทียบเคียงชื่อเสียงกับเยียนอ๋องจูตี้ผู้ห้าวหาญ

    ภายหลังคือเหตุการณ์ที่รุ่นลูกรุ่นหลานหนิงอ๋องโกรธแค้นเพราะไม่ได้รับความเป็นธรรม เพื่อที่จะปราบปรามจักรพรรดิเจี้ยนเหวินชิงอำนาจ จูตี้ใช้แผนนำทหารม้าเกราะเหล็กของจูเฉวียนกลับคืนภายใต้อาณัติตนเอง จี้ตัวจูเฉวียนกักขังไว้ในกองทัพเยียนอ๋อง แล้วแต่งตั้งให้จูเฉวียนไปยังเมืองอู่ชาง ลิดรอนอำนาจจนหมดสิ้น นับจากนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัยจากราชสำนัก จูเฉวียนทำได้เพียงฝากความรู้สึกเกี่ยวกับบ้านเมืองไว้ในตัวอักษร ใช้ชีวิตอยู่อย่างโศกสลดจนแก่เฒ่า

    จูเฉินเหาที่ฟังวีรกรรมบรรพชนเหล่านี้ทุกวันตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ ค่อยๆ เกิดความฝันมากมายขึ้นและความฝันเหล่านั้นก็เรียงร้อยเข้ากันเป็นปณิธานอันแน่วแน่โดยไม่รู้ตัว จูเฉินเหาเดิมทีคือบุตรที่เกิดจากหญิงคณิกาคนหนึ่ง มันคิดจะลบล้างเงามืดเหล่านั้น วิธีการเพียงหนึ่งเดียวก็คือกลายเป็นหนิงอ๋องที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ มันตั้งปณิธานอันใหญ่ยิ่งของตัวเองในวัยยี่สิบปี

    ฟื้นฟูเกียรติภูมิของบรรพชนด้วยมือข้า! ข้าจะทวงทุกสิ่งกลับมาจากลูกหลานของจูตี้เพื่อวงศ์ตระกูล!

    จูเฉินเหาชักกระบี่ประจำตัวหรูหราที่ฝังเต็มไปด้วยเงินทองสลักตรงข้างเอวออกมาดังชิ้ง ประกายเย็นยะเยียบทั่วห้องทำให้ข้ารับใช้สองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังมันตกใจ คนทั้งสองอดมิได้ที่จะถอยหลังหนึ่งก้าวพลางก้มศีรษะต่ำลงกว่าเดิม แผ่นหลังพวกมันล้วนถูกเหงื่อเย็นเปียกซึม แม้ยามปกติหนิงอ๋องมิใช่คนที่โหดร้าย แต่เข้าตาจนเช่นนี้ผู้ใดก็มิอาจล่วงรู้ได้ว่ามันจะใช้วิธีการใดระบายแค้นในใจ พวกมันกลัวว่าคมกระบี่สามฉื่อในมือหนิงอ๋องจะเสือกแทงมาทุกเมื่อ…

    เมื่อมองเห็นกระบี่ยาวในมือ จูเฉินเหาจึงตระหนักได้ว่าตนเองชักกระบี่ออกมา เมื่อครู่พอหวนนึกถึงปณิธานชั่วชีวิตมันก็ตื่นเต้นจนโลหิตเดือดพล่าน โกร่งกระบี่ของกระบี่ประจำตัวเล่มนี้นอกจากสลักรูปมังกรและเมฆพลิ้วแล้ว ตรงกลางยังมีสัญลักษณ์หยินหยางไท่จี๋ที่แสดงถึงสำนักอู่ตังซึ่งจูเฉินเหาสั่งให้คนหลอมตีเพิ่มเข้าไปโดยเฉพาะ

    หลังจากได้ยินเรื่องราวของสำนักอู่ตังจากปากหลี่จวินหยวนครั้งแรกจูเฉินเหาก็หลงใหลในอู่ตังยิ่งนัก จึงสั่งการหลี่จวินหยวนคิดหาวิธีรวบรวมยอดฝีมืออู่ตังเข้าตำหนักอ๋องและสุดท้ายก็สมหวังดังตั้งใจ…ถึงแม้ในขั้นตอนนี้มันจะชักนำความพินาศมาสู่สำนักอู่ตังก็ตาม ตั้งแต่เด็กจูเฉินเหาไม่ชอบอ่านหนังสือและไม่เคยครุ่นคิดอย่างจริงจังมาก่อนว่าการเป็นจักรพรรดิปกครองแผ่นดินคือเรื่องเช่นไร มันค่อยๆ บรรลุความทะเยอทะยานทีละก้าวเพียงเพราะความยึดมั่น ‘ไม่ยอมอยู่ภายใต้ผู้ใด’ และมันรู้สึกว่าสิ่งนี้กับ ‘ใต้หล้าไร้เทียมทาน’ ที่สำนักอู่ตังแสวงหามิได้แตกต่าง ซ้ำยังสอดคล้องกัน

    ในห้องโถงของห้องเรือ ประกายกระบี่ที่สะท้อนวูบไหวไม่หยุดบนผนังชวนให้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นการสะท้อนจากน้ำ นั่นเป็นเพราะมือที่กุมกระบี่ของจูเฉินเหากำลังสั่นเทา มันวางมือซ้ายบนข้อมือขวา ออกแรงจับไว้หมายหยุดยั้ง แต่อาการสั่นกลับหาได้หยุดลง

    เป็นความหวาดกลัวที่มาจากส่วนลึกของก้นบึ้งหัวใจ

    จวบจนอายุสี่สิบปีจูเฉินเหาไม่เคยกลัวสิ่งใด…ตลอดมา ‘ความหวาดกลัว’ เป็นของสามัญชน มิใช่สำหรับมัน แต่ในที่สุดมันในตอนนี้ก็รู้สึกกลัวแล้ว

    วันพรุ่งนี้ทุกสิ่งในชีวิตของจูเฉินเหาอาจหายไป ชีวิตที่กินอยู่สุขสบายมีบริวารห้อมล้อมมาตั้งแต่กำเนิด ตำแหน่งเชื้อพระวงศ์อันสูงศักดิ์ สายเลือดที่นำมาซึ่งความภาคภูมิใจในตนเอง…ทั้งหมดล้วนจะอันตรธานไป มิเพียงเท่านี้ มันถึงขั้นเทียบมิได้แม้กระทั่ง ‘สามัญชน’ จะใช้สถานะเชื้อพระวงศ์ดำเนินชีวิตสืบต่อก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้

    เมื่อถึงช่วงเวลานี้จูเฉินเหาจึงรู้จักความกลัวอย่างแท้จริง มันเข้าใจแล้วว่าการละเล่นที่ตนเองเล่นมาหลายปีที่แท้หาได้สนุกเพียงนั้น ใช่แล้ว ตอนนี้มันเพิ่งรู้ว่าตนเองกำลังเล่นการละเล่นที่มิอาจหยุดลงได้แล้ว มิใช่กล่าวว่า ‘ไม่นับ’ ก็ล้มโต๊ะเริ่มหมากกระดานใหม่หรือการประลองใหม่ได้…

    “สุรา!” จูเฉินเหาตะโกนและทิ้งกระบี่ลงบนพื้นดังเคร้ง ข้ารับใช้ที่อยากหนีเอาชีวิตรอดเห็นท่านอ๋องทิ้งกระบี่แล้วก็รีบหยิบป้านสุราและจอกสุรามา จูเฉินเหาไม่รอให้ข้ารับใช้รินสุรา มันชิงป้านสุรามากรอกใส่ปาก กระเซ็นเปียกชุดคลุมต่อสู้ที่ทอจากผ้าแพรหรูหรา

    หลังดื่มหลายอึก ดวงตาแดงก่ำของจูเฉินเหามองดูข้ารับใช้เบื้องหน้า ซ้ำยังมองดูเรือและทหารนอกหน้าต่าง คนที่ยังคงอยู่ข้างกายมันเหล่านี้ มิใช่เพราะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับตำหนักหนิงอ๋องจึงไม่ไปไหน แต่เป็นนักพนันที่ยินยอมเดิมพันอีกสักตา ก่อนหน้านี้จูเฉินเหาได้สั่งการให้แจกเงินทองที่พกมาด้วยทั้งหมดแก่ทหารที่เหลือเป็นรางวัลปลุกใจสำหรับทำศึกตัดสินในวันพรุ่งนี้

    พลิกสถานการณ์ทั้งหมดกลับมาสักครั้ง หรือไม่ก็สูญเสียทุกสิ่งไป

    จูเฉินเหารู้ดีว่าความจริงตรงหน้าเหลือเพียงเส้นทางสองสายนี้ แต่มันยังคงมิอาจสลัดความหวาดกลัวและความเสียใจไปได้ มันมิอาจไม่คิดว่าหากขณะนี้มีอำนาจเลือก จะไม่ให้ทุกสิ่งเกิดขึ้น จะกลับไปเป็นท่านอ๋องที่ตำหนักอ๋องแห่งหนานชางสืบต่อ กินดื่มฟังเพลงดูการละเล่นทุกวันไปจนแก่…

    ตอนนี้มันรับรู้ได้อย่างลึกซึ้งว่าจูเฉินเหาคือผู้ที่อ่อนแอกว่าที่ตนเองจินตนาการ

    หลังดื่มสุราจนหมดมันก็โยนป้านสุราทิ้งไปและจ้องกระบี่ยาวบนพื้น ข้ารับใช้มองเห็นสายตาของมันก็เข้าไปหมายเก็บกระบี่ขึ้น แต่จูเฉินเหากลับยื่นมือห้ามไว้ มันมองดูกระบี่สืบต่อ รู้สึกเพียงกระบี่นั้นประหนึ่งหนักพันชั่ง ตนเองมิอาจถือได้แล้ว

    ขึ้นชื่อว่าท่านอ๋อง เดิมทีคือเรื่องที่น่ากลัวอย่างหนึ่ง

    บุรุษที่ถือกำเนิดและได้รับตำแหน่ง ‘อ๋อง’ ช่างน่าทอดถอนใจเช่นนี้

     

    ชีวิตของเหยาเหลียนโจวไม่เคยสลดหดหู่เหมือนเช่นวันนี้

    ถึงแม้เป็นตอนที่ถูกพิษในหออิ๋งฮวาที่ซีอาน ตอนที่ถูกราชองครักษ์ยิงปืนใหญ่เกลื่อนฟ้าที่อารามอวี้เจิน หรือตอนที่อินเสี่ยวเหยียนทอดทิ้งมัน ความศรัทธาต่อตนเองของเหยาเหลียนโจวก็ไม่เคยสั่นคลอน แต่หลังผ่านความปราชัยสนามนี้ มันกลับคิดถึงคุณค่าของตัวเองเป็นครั้งแรก

    มันเดินอยู่บนที่ตั้งค่ายชายฝั่งทะเลสาบตำบลเฉียวเซ่อเพียงลำพัง ผมเผ้ายุ่งเหยิง เส้นผมหลายเส้นถูกเปลวไฟเผาไหม้จนหงิกงอ ชุดคลุมต่อสู้สีครามปักลายหงส์อันวิจิตรสวยหรูอย่างยิ่งของมันล้วนปกคลุมด้วยเถ้าถ่านแผ่กลิ่นอายดุจฟืนไหม้

    กระบี่สันเดียวที่ร่วมเป็นร่วมตายกับมันมาหลายปีห้อยอยู่ข้างเอว กระทบต้นขาทุกฝีเท้าที่ก้าวเดิน แต่มันคล้ายไม่รู้สึกถึง ยังคงลากฝีเท้าหนักอึ้งเดินหน้าอยู่ในที่ตั้งค่าย

    ลูกน้องทหารปีกเขียวของมันครึ่งหนึ่งไม่อยู่ข้างกายแล้ว เรือรบรองถูกลูกปืนใหญ่ฝ่ายศัตรูยิง จากนั้นถูกปืนและเกาทัณฑ์เพลิงโจมตีอย่างต่อเนื่อง ทหารปีกเขียวที่มันนำอยู่แต่เดิมเสียหายครึ่งหนึ่ง ที่เหลือถูกขบวนเรือเร็วของอูจี้หงช่วยไว้พร้อมกับมัน หลังโดยสารเรือกลับถึงตำบลเฉียวเซ่อ เหยาเหลียนโจวไม่อยากให้พวกมันเดินตามไป จึงให้กินข้าวพักผ่อนตามอัธยาศัยทั้งหมด ส่วนมันเข้าสู่กระโจมเพียงลำพัง

    บริเวณที่มันผ่าน ทหารทุกนายพอมองเห็นยอดขุนพลหงส์เหินก็ล้วนอดมิได้ที่จะจับจ้องมองดูด้วยความยำเกรง แต่เหยาเหลียนโจวกลับก้มศีรษะหลบเลี่ยงสายตาของพวกมัน

    หมิ่นเนี่ยนซื่อแม่ทัพใหญ่กองทัพเรือถูกศัตรูจับตัวไปแล้ว ข่าวนี้สั่นคลอนทั้งกองทัพหนิงอ๋อง บัดนี้ขุนพลหลักในกองทัพเหลือไม่กี่คนแล้ว นอกจากหลิงสืออีแม่ทัพใหญ่กองทัพเรือที่ค่อนข้างมีประสบการณ์ในการทำศึกแล้ว พวกโหลวป๋อเจียงและหวังชุนก็แค่พวกที่อาศัยความสัมพันธ์ไต่ขึ้นสู่ตำแหน่งขุนพล ไม่มีความรู้ความสามารถที่แท้จริง และเมื่อนับต่อไปก็เหลือเพียงซางเฉิงอวี่ เหยาเหลียนโจว และอูจี้หงยอดฝีมืออู่ตังทั้งสามที่ค่อนข้างได้รับความไว้ใจจากทหาร

    แต่เหยาเหลียนโจวหาเชื่อไม่ว่าสายตาโดยรอบในค่ายที่ทอดมายังมันล้วนเป็นสายตาแห่งความเลื่อมใส กลับกันมันคิดว่าส่วนลึกของสายตาเหล่านี้ล้วนพกพาความไม่เชื่อและหยามเหยียด

    กระทั่งวันนี้เหยาเหลียนโจวยังไม่เคยสังหารศัตรูแม้แต่คนเดียว ในสงครามต่อต้านราชสำนักสนามนี้ เรื่องเดียวที่มันได้กระทำคือนำเรือรบขนาดใหญ่ที่มีอานุภาพที่สุดลำหนึ่งของฝ่ายตนเองเคลื่อนไปหน้ากระบอกปืนใหญ่ฝ่ายตรงข้าม ส่งเรือรบและลูกน้องมากมายไปพบจุดจบในทะเลสาบ เพราะตนเองยึดมั่นวิถียุทธ์ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญที่สุดของศึกตัดสินเช้าวันนี้

    เหยาเหลียนโจวรู้สึกว่าทหารทุกนายในที่ตั้งค่ายล้วนกระจ่างยิ่งนักว่ามันทำอะไรลงไป และทั้งหมดกำลังใช้สายตาตำหนิมองตนเองอยู่ มันเดินอยู่เพียงลำพังและรู้สึกไร้ที่พึ่งอย่างรุนแรง

    โดยเฉพาะเยี่ยเฉินยวนที่ตามอยู่ด้านหลังมันเหมือนเงาตามตัวก็ไม่อยู่แล้ว…

    เหยาเหลียนโจวเดินไปหน้ากระโจมของซางเฉิงอวี่ ก่อนหน้านี้มันใช้ให้อูจี้หงไปรายงานก่อนแล้ว ทหารภูผาเหล็กสองนายที่เฝ้าอยู่หน้ากระโจมล่วงรู้ว่ามันจะมาจึงหาได้สกัดขัดขวางไม่

    มันผ่านทหารอีกแถวหนึ่ง แหวกม่านผ้าประตูกระโจมแล้วก้มศีรษะเข้าไป

    ในกระโจมมืดยิ่งนัก จุดเพียงตะเกียงดวงหนึ่ง แวบเดียวเหยาเหลียนโจวก็มองเห็นว่าซางเฉิงอวี่ที่รูปร่างสูงใหญ่กำลังนั่งขัดสมาธิหันหลังให้มันอยู่เงียบๆ บนพื้นบริเวณส่วนลึกที่สุดในกระโจมมืดสลัว ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดผมยาวหยักศกนั้นมิได้กระดิกไหวแม้แต่น้อย

    ท่วงท่านี้ของซางเฉิงอวี่มิได้แตกต่างจากตอนนั่งอยู่ในคุกศิลาที่เขาด้านหลังอารามอวี้เจิน เพียงแต่เปลี่ยนจากเสื้อผ้าเก่าขาดเป็นเสื้อขนสัตว์หนาๆ ตัวหนึ่ง เหยาเหลียนโจวมองเห็นแล้วอดมิได้ที่จะทอดถอนใจ

    ผู้ที่นั่งย่อตัวอยู่ข้างกายซางเฉิงอวี่เสมือนสุนัขซื่อสัตย์คืออูจี้หงที่ทั่วร่างปกคลุมด้วยเถ้าถ่านเช่นเดียวกับเหยาเหลียนโจว หลังมันนำขบวนเรือเร็วกลับสู่ตำบลเฉียวเซ่อก็ถามความปลอดภัยและที่อยู่ของซางเฉิงอวี่อย่างรีบร้อนและเร่งมาทันที ถึงตอนนี้ก็มิได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า สำหรับมันแล้วไม่มีเรื่องที่สำคัญไปกว่าความปลอดภัยของศิษย์พี่ซาง

    อูจี้หงที่ด้านหลังยังคงพกกระบอกไม้ไผ่ปิดสนิทลึกลับใบนั้นจ้องเหยาเหลียนโจวที่เดินเข้ามา ดวงตากลมโตประหลาดของมันกลับต้องออกแรงยันหนังตาขึ้น มิอาจถลึงโตเหมือนยามปกติ หลังผ่านการต่อสู้ดุเดือดครึ่งวัน อูจี้หงเองก็อ่อนล้าเกินทน แสงไฟสะท้อนจนรอยย่นและรอยสักบนหน้าของมันลึกอย่างยิ่ง

    “จี้หงบอกข้าว่าเจ้ามีคำพูดจะกล่าวกับข้า” ซางเฉิงอวี่กล่าวพลางยันพื้นเบาๆ ด้วยสองมือ ทั้งร่างหันมาโดยท่วงท่าไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงรักษาท่านั่งขัดสมาธิหันหน้าไปยังเหยาเหลียนโจว “ว่ามาเถอะ”

    เหยาเหลียนโจวจ้องมองซางเฉิงอวี่พักหนึ่ง มันพยายามหวนนึกถึงทุกอย่างในอดีต นึกว่าตนเองกลายเป็นศัตรูกับศิษย์พี่ซางตั้งแต่เมื่อใด

    ตั้งแต่เด็กมันพูดคุยกับซางเฉิงอวี่น้อยยิ่งนัก คนทั้งสองล้วนเป็นศิษย์ที่กงซุนชิงรักและฝากความหวัง แต่บนเขาอู่ตังกลับไม่เคยผูกสัมพันธ์ สหายในสำนักอู่ตังของซางเฉิงอวี่เดิมทีก็ไม่มากนัก ผู้ที่สนิทสนมกับมัน ทั้งหมดล้วนเป็นคนประหลาดสุดขีดเช่นอูจี้หง หรือเป็นศิษย์ที่เพิ่งเข้าร่วมอู่ตังหลังอยู่ในวัยฉกรรจ์เช่นเหมยซินซู่ หลังจากพวกมันรวมกลุ่มกัน และหลังจากซางเฉิงอวี่หลงใหลในเคล็ดวิชาลัทธิอู้อี๋จนท่าทีผิดแผกไปก็ยิ่งเกิดความห่างเหินกับสหายร่วมสำนักส่วนใหญ่มากขึ้น

    ความห่างเหินนี้ความจริงคือสิ่งที่ซางเฉิงอวี่สร้างขึ้นโดยมิได้ตั้งใจ ในตอนนั้นมันมีปณิธานที่ต่างกันกับกงซุนชิงและลอบปลูกฝังความคิดของตนเองสู่สหายร่วมสำนักที่ใกล้ชิดกับมัน ด้วยเหตุนี้พวกมันจึงออกห่างจากศิษย์อู่ตังคนอื่นๆ โดยปริยาย…

    แต่ระหว่างพวกมันยังไม่จบเพียงเท่านี้ เมื่อก่อนมันกับศิษย์พี่ซางรับรู้ได้ถึงความไม่ลงรอยกัน เพราะซางเฉิงอวี่ริษยาที่มันได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากอาจารย์หรือ สังหรณ์ว่ามันจะกลายเป็นคู่ต่อสู้ในวันหน้าหรือ เหยาเหลียนโจวไม่รู้ และอาจเป็นเพียงนิสัยที่เข้ากันไม่ได้ตามธรรมชาติของคนทั้งสองเท่านั้น ส่วนมันกลับไม่เคยเกลียดแค้นซางเฉิงอวี่ กระทั่งการต่อสู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนัก คนทั้งสองจึงกลายเป็นศัตรูกันในที่สุด

    แต่ผ่านเรื่องราวมากมาย วันนี้พวกมันยังอยู่ร่วมห้องกันภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ทุกสิ่งในอดีตเหมือนไม่สำคัญอีกแล้ว…แม้เหยาเหลียนโจวรู้ว่าความอัปยศกับความเคียดแค้นเหล่านั้นซางเฉิงอวี่ไม่มีวันลืม

    เหยาเหลียนโจวใช้เรี่ยวแรงมากยิ่งนักกว่าจะอ้าริมฝีปากที่แห้งแตกออก กล่าวคำพูดประโยคหนึ่งที่มิได้กล่าวมาหลายปี

    “ข้าแพ้แล้ว”

    เมื่อได้ยินสามคำนี้ดวงตาใหญ่เหมือนไข่นกกระทาคู่นั้นของอูจี้หงที่อยู่ด้านข้างก็ถลึงขึ้นในฉับพลันทันใด

    เจ้าสำนักอู่ตังที่หมางเมินทั่วหล้าผู้นี้กลับยอมแพ้ต่อหน้าศัตรูชั่วชีวิต!

    และดวงตาทั้งสองที่ถุงใต้ตาดำคล้ำห้อยอยู่นานปีของซางเฉิงอวี่ก็ทอประกายจากส่วนลึก

    “จากที่ข้าเห็น เจ้าบอกว่าตนเอง ‘แพ้แล้ว’ หาใช่ด้านวรยุทธ์ไม่” ซางเฉิงอวี่ตอบ ในสุ้มเสียงมิได้แฝงความตื่นเต้นดังคาด

    “ที่ข้าว่าคือบนทางสายนี้ข้าแพ้แล้ว” เหยาเหลียนโจวยื่นมือทั้งสองชี้รอบๆ กระโจมแม่ทัพหลังนี้ “ในวันนั้นที่ทำสงครามกับราชองครักษ์ ข้าฝังศพศิษย์อู่ตังทั้งหมดแล้ว ครั้งนั้นยังกล่าวได้ว่าเป็นเพราะความต่างด้านกำลังทหาร มิใช่เพราะสู้มิได้ และพวกเราก็ลากศัตรูจำนวนมากกว่าเราหลายเท่าไปลงนรกเช่นกัน”

    เหยาเหลียนโจวลดแขนทั้งสองลงขณะกล่าว

    “ขณะข้าเข้ามาในตำหนักหนิงอ๋องและเดินบนทางที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงสายนี้ ข้าคิดว่าทุกอย่างล้วนจะเปลี่ยนแปลง แต่ผลสุดท้ายข้าทำให้ซีเสี่ยวเหยียนออกไป ข้าทำให้เยี่ยเฉินยวนสู้จนตัวตาย ข้าส่งเรือรบและทหารให้ศัตรู ข้าไม่มีความสามารถบัญชาการเหมือนที่ตนเองคิดเลย ข้าเพียงต่อสู้ตัวคนเดียวตั้งแต่แรก เพียงแต่มีคนกลุ่มหนึ่งยินยอมติดตามข้าเท่านั้น และพวกมันล้วนจากไปด้วยเหตุนี้ ข้าไม่เคยเป็นผู้นำที่แท้จริง”

    ซางเฉิงอวี่ฟังอยู่เงียบๆ กระทั่งหลังเหยาเหลียนโจวกล่าวคำพูดในใจเหล่านี้ออกมาทั้งหมดมันจึงตอบ “แต่ข้าเองก็ไม่เคยรบชนะสักสนาม”

    “ผู้ที่สืบสานสำนักอู่ตังต่อไปได้ก็เหลือเพียงข้ากับท่าน” เหยาเหลียนโจวมิได้มองอูจี้หงสักแวบขณะกล่าว หมายถึงไม่เคยพิจารณาอูจี้หงเลย “และเมื่อผ่านมาจนวันนี้ ข้าเชื่อว่าความสามารถในการเป็นผู้นำของตัวเองหาเทียบท่านได้ไม่ เพื่ออู่ตัง ข้ายอมอยู่ภายใต้ท่าน”

    เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ กลางฝ่ามืออูจี้หงพลันผุดเหงื่อออกมา ความสลดหดหู่ที่เกิดขึ้นเพราะพ่ายแพ้สงครามแต่เดิมมลายหายไปในทันใด

    ในที่สุดก็มาถึงวันนี้! เหยาเหลียนโจวจำนนต่อศิษย์พี่ซาง!

    ทุกสิ่งที่ข้าทำในหลายปีนี้ล้วนมีคุณค่า!

    แต่สิ่งที่ทำให้อูจี้หงรู้สึกผิดคาดอย่างมากคือหลังซางเฉิงอวี่ได้ยินคำพูดยอมแพ้ของเหยาเหลียนโจว กลับหาได้เผยสีหน้าลิงโลดออกมาตามคาดการณ์ไม่

    มิเพียงเท่านี้ ใบหน้าของซางเฉิงอวี่ยังสงบเสงี่ยมเสียนี่กระไร แม้กระทั่งประกายที่จุดขึ้นในสองตาก็มืดมนลง

    “น่าเสียดาย สายเกินไปแล้ว”

    คำพูดของซางเฉิงอวี่ทำให้อูจี้หงสั่นสะท้าน เหยาเหลียนโจวเองก็เผยสีหน้าตะลึงลานที่พบเห็นได้ยากออกมา

    “ข้าอายุมากเกินไปแล้ว” ซางเฉิงอวี่กล่าวอีก

    เหยาเหลียนโจวขมวดคิ้ว ในความทรงจำของมันปีนี้ศิษย์พี่ซางเพิ่งอายุเพียงประมาณสี่สิบเจ็ดสี่สิบแปดปี สำหรับนักสู้ที่ฝึกปรือจนสูงล้ำผู้หนึ่งแล้วยังมิอาจกล่าวได้ว่าถึงอายุที่ ‘มากเกินไป’

    “ข้ารู้” ซางเฉิงอวี่มองออกว่าเหยาเหลียนโจวคิดอะไรอยู่ “สิ่งที่ข้าว่าไม่ใช่ตอนนี้ แต่เป็นตอนที่ยกทัพครั้งต่อไป”

    “แต่ว่าพรุ่งนี้…”

    “พวกเราต่างรู้ว่าโอกาสชนะในวันพรุ่งนี้มีเท่าใด” ซางเฉิงอวี่แค่นยิ้ม “พวกเราล้วนต้องเริ่มคิดถึงก้าวต่อไป แน่นอนว่าด้วยความสามารถของพวกเราจะหนีออกไปและมีชีวิตอยู่ต่อก็มิใช่เรื่องยากอะไร แต่ครั้งนี้การอาศัยพลังของหนิงอ๋องยุติด้วยความล้มเหลว จะสร้างโอกาสเช่นนี้ครั้งต่อไปเจ้าคิดว่าต้องใช้เวลากี่ปี่ สามปี? ห้าปี? สิบปี?”

    “ผ่านไปหลายปี ศิษย์พี่ซาง ท่านยังไม่นับว่าชรา…” อูจี้หงกล่าวแทรกอยู่ด้านข้าง

    ซางเฉิงอวี่ดึงเสื้อขนสัตว์บนร่างจนแน่นตึงพลางลูบไล้ขนขาวบนปกเสื้อ ในกระโจมปิดสนิทกลางคิมหันตฤดูนี้แผ่นหลังเหยาเหลียนโจวและอูจี้หงล้วนเสื้อผ้าเปียกซึม แต่ซางเฉิงอวี่ที่สวมเสื้อขนสัตว์อยู่กลับไม่มีเม็ดเหงื่อบนหน้าผากแม้แต่น้อย

    “ข้ากระจ่างเรื่องร่างกายของตนเองยิ่งนัก” ซางเฉิงอวี่หลับตาลงเบาๆ กล่าว “โรคภัยไข้เจ็บที่สั่งสมขณะถูกคุมขังตอนนี้ข้ายังระงับยับยั้งได้ แต่อีกไม่กี่ปี…อาจกำเริบออกมาทั้งหมดได้ทุกเมื่อ”

    “เรื่องนี้มิอาจวางใจ!” อูจี้หงรีบกล่าว “ข้าจะปรุงยาที่ดีที่สุดมารักษาศิษย์พี่! ข้าจะถวายศีรษะคนหนึ่งร้อยคน หนึ่งพันคนให้ดวงวิญญาณในดินแดนสัตย์จริง เพื่อรับรองว่าศิษย์พี่จะอายุยืนร้อยปี!” มันกล่าวด้วยความสะเทือนใจ มุมปากมีน้ำลายย้อยออกมาดังบ้าคลั่ง มันกลับคืนสู่สีหน้าเสียสติของจอมเวทปัวหลงในอดีตอีกครั้ง

    แต่ซางเฉิงอวี่ส่ายหน้า “ข้าฝันเป็นกษัตริย์ครอบครองแผ่นดิน หากไม่มีร่างกายและวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป อาศัยเพียงกินยาต่อชีวิตจะเป็นจริงได้เช่นไร”

    มันลืมตาขึ้นมองดูเหยาเหลียนโจวพลางกล่าว “เจ้าไม่เหมือนกัน เจ้าอายุน้อยกว่าข้าเจ็ดปี อีกทั้งดูจากลักษณะคงมีชีวิตอยู่ได้นานกว่าข้ามาก”

    ปีนี้เหยาเหลียนโจวอายุสี่สิบปีแล้ว ซ้ำยังผ่านมหันตภัยรอบหนึ่ง แต่โฉมหน้าและร่างกายของมันกลับยังคงรักษาลักษณะของคนอายุสามสิบต้นๆ นี่ไม่รู้เป็นเพียงผลลัพธ์จากการฝึกปรือวิทยายุทธ์ หรือว่าเกี่ยวข้องกับยาประหลาดที่มันเสพในวัยเยาว์

    เหยาเหลียนโจวมองดูศิษย์พี่โดยมิกล่าวคำ

    ซางเฉิงอวี่เงยหน้า สายตาคล้ายมองทะลุผ่านยอดกระโจมได้และชมดูท้องฟ้าที่จวนจะพลบค่ำ

    “ติดตามหนิงอ๋องก่อกบฏคือโอกาสสุดท้ายที่ข้าจะทำให้ฝันเป็นจริงแล้ว แต่ศิษย์น้องเหยา เจ้ายังมีความหวังครั้งต่อไป หากพรุ่งนี้รบแพ้ อนาคตของอู่ตังก็อยู่กับตัวเจ้า”

    เหยาเหลียนโจวลืมไปแล้วว่าได้ยินซางเฉิงอวี่เรียกขานมันว่า ‘ศิษย์น้องเหยา’ ครั้งล่าสุดเมื่อไร มันมิอาจเชื่อว่าซางเฉิงอวี่จะกล่าวเช่นนี้

    “มิได้!”

    อูจี้หงเดือดดาล ฝ่ามือใหญ่ของมันจับด้ามกระบี่ข้างเอว ขายาวเปลี่ยนจากนั่งขัดสมาธิเป็นคุกเข่า ลูกตาที่เหมือนจะถลนออกมาทั้งสองถลึงมองเหยาเหลียนโจวคล้ายจะชักกระบี่ฟาดฟันใส่มันได้ทุกเมื่อ

    “เป็นมัน! มันคือศัตรูที่ชิงวันเวลาและความแข็งแรงของท่านไปมิใช่หรือ หากฝันของศิษย์พี่มิอาจทำได้อีกจริงๆ ล่ะก็ มันคือต้นเหตุ! แต่ท่านกลับยังจะฝากฝังความฝันแก่มัน?”

    เหยาเหลียนโจวหลุบตาลง อูจี้หงกล่าวมิผิด

    “แค้นที่ข้ามีต่อศิษย์น้องเหยามิได้เลือนหายสักนิด” ซางเฉิงอวี่มองตรงไปยังเหยาเหลียนโจว สองตาปรากฏความฮึกเหิมอีกครั้ง “แต่ต่อให้ตัดศีรษะมันลงมาในขณะนี้ สิ่งที่ข้าเสียไปล้วนไม่มีทางกลับมา สิ่งที่ข้าเฝ้ารอก็จะไม่เกิดขึ้นอีก และมีเพียงมันคนเดียวที่สืบสานความฝันของข้าต่อไปได้”

    มันหันหน้ามองอูจี้หงและแค่นยิ้ม

    “ศิษย์น้องอู ขออภัย วันที่เพิ่งพบกันอีกครั้งข้าหลอกเจ้า ข้าเคยบอกกับเจ้าว่าอู่ตังไม่สำคัญอีกแล้วในใจข้า แต่หลังข้ารับกระบวนท่าดาบอันแข็งแกร่งของจิงเลี่ยก็ถูกสั่นคลอนจนโรคเก่ากำเริบ เป็นเหตุให้พลาดโอกาสสังหารหกกระบี่บ้านแตก ข้าจึงรู้สึกว่าตนเองยังมีความยึดมั่นต่ออู่ตัง”

    เมื่อเหยาเหลียนโจวได้ยินนามของจิงเลี่ย คิ้วทั้งสองก็ขยับยกขึ้น นี่คือครั้งแรกที่มันได้ยินซางเฉิงอวี่กล่าวถึงประสบการณ์ลอบโจมตีหกกระบี่บ้านแตกล้มเหลวในครานั้นและกระบวนท่าดาบของจิงเลี่ย ต้องเป็นท่าฟองคลื่นตัดเหล็กที่มันเห็นกับตาบนทะเลสาบในวันนี้อย่างมิต้องสงสัย

    ซางเฉิงอวี่หันสายตากลับมามองดูเหยาเหลียนโจว

    “ด้วยเหตุนี้ผู้ที่ให้ข้าฝากฝังความฝันได้ บนโลกไม่มีคนที่สอง”

    เหยาเหลียนโจวมิอาจเชื่อหูของตนเอง แต่ไรมาในใจของมันซางเฉิงอวี่เป็นเพียงผู้ที่ถูกกิเลสครอบงำคนหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าที่แท้มันกลับมีจิตใจเช่นนี้

    และความแตกต่างในตอนแรกของพวกเรา ก็แค่เดินบนเส้นทางที่ต่างกันเท่านั้น

    “จี้หง” ซางเฉิงอวี่กวักมือสั่งการ “มอบสิ่งของบนหลังเจ้าให้มัน”

    บนศีรษะล้านเลี่ยนของอูจี้หงปรากฏเส้นเลือดหลายเส้น ตาขาวกระจายเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย ทว่าคำพูดของซางเฉิงอวี่สำหรับมันแล้วเท่ากับบัญชาจากทวยเทพ มันปลดเชือกตรงหน้าอกโดยไม่กล่าวคำ ถอดกระบอกไม้ไผ่ปิดสนิทนั้นลงมายื่นให้เบื้องหน้าเหยาเหลียนโจว

    เหยาเหลียนโจวรับกระบอกไม้ไผ่ลึกลับใบนั้นมาอย่างระมัดระวัง มันเคยเห็นอูจี้หงพกกระบอกไม้ไผ่นี้ไว้ตลอดไม่ห่างตัวบนสมรภูมิ คาดเดาได้ว่าสิ่งของที่เก็บซ่อนอยู่ภายในมีความสำคัญเพียงใด อาจเป็นวัตถุที่เพียงพอจะรักษาชีวิตหรือพลิกสถานการณ์ต่อสู้ยามวิกฤตได้ แต่เหยาเหลียนโจวก็รู้ดีว่าอูจี้หงที่หลงใหลเคล็ดวิชาลัทธิอู้อี๋ชำนาญการใช้พิษอย่างยิ่ง มันอดมิได้ที่จะคาดเดาว่าสิ่งที่บรรจุอยู่ในกระบอกไม้ไผ่คือพิษร้ายหรืออาวุธบางชนิด

    “ไม่มีพิษ” ท่วงท่าของเหยาเหลียนโจวถูกซางเฉิงอวี่มองออกอีกครั้ง “นี่คือสิ่งของที่ข้าสั่งให้จี้หงขโมยมาจากห้องนอนหนิงอ๋องก่อนยกทัพออกจากหนานชาง

    “ภายในคือสมุดบันทึกความเคลื่อนไหวในเมืองหลวงของตำหนักหนิงอ๋อง” อูจี้หงกล่าวอธิบาย “ชี้แจงทรัพย์สมบัติทุกรายการที่หนิงอ๋องมอบให้ขุนนางสำคัญแห่งราชสำนักในหลายปีนี้ เส้นทางสินบนแต่ละรายการ และมีหัวข้อบันทึกว่าขุนนางเหล่านี้วิ่งเต้นอะไรให้ตำหนักอ๋องบ้าง รายชื่อในสมุดยังรวมถึงขุนนางที่มีลำดับขั้นสูงสุดจำนวนหนึ่ง หากสืบสวนจับพวกมันเข้าคุก หึๆ…ราชสำนักกว่าครึ่งคงจะโหรงเหรง”

    เหยาเหลียนโจวฟังแล้วจึงเข้าใจว่าสมุดเล่มนี้มีค่าเพียงใด หนิงอ๋องยกทัพก่อกบฏ และขุนนางขั้นสูงกลุ่มใหญ่นี้เคยรับสินบนหนิงอ๋องกระทำการ แต่ละคนล้วนมีความผิดใหญ่หลวงโทษฐานช่วยเหลือกบฏ ไม่มีที่เหลือให้อภัยโทษหรือกลับตัว หากสมุดรายชื่อนี้ถูกเปิดเผยราชสำนักคงสั่นสะเทือน

    “สิ่งของนี้ก็กล่าวได้ว่าเป็นพิษ” ซางเฉิงอวี่กล่าว “เป็นพิษร้ายที่เพียงพอจะสั่นคลอนและทำลายรากฐานราชสำนัก ข้ายังไม่รู้ว่าสมควรใช้มันอย่างไร แต่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อพกสิ่งของเช่นนี้ไว้มักมีประโยชน์ บัดนี้ข้ามอบมันให้เจ้า ส่วนจะใช้ประโยชน์เช่นไร เวลาใดจำเป็นต้องใช้มัน พรุ่งนี้หลังสงครามเจ้าค่อยไตร่ตรองดีกว่า”

    เหยาเหลียนโจวก้มหน้ามองกระบอกไม้ไผ่ในมือ เนิ่นนานไม่กล่าวคำ

    “เป็นอะไร” ซางเฉิงอวี่เชิดมุมปากขึ้นข้างหนึ่ง “เจ้ายังคิดถึงเรื่องที่ข้าบอกเมื่อครู่? เหยาเหลียนโจวที่เป็นเช่นนี้ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน”

    เหยาเหลียนโจวตกอยู่ในความสับสนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มันในอดีตมักมุ่งหน้าไปด้วยความกล้าหาญ มั่นใจในตนเองไม่ไหวหวั่น แม้กระทั่งสังหารกงซุนชิงผู้เป็นอาจารย์ก็ไม่เคยเสียใจ มันรู้เพียงเป็นก้าวหนึ่งที่จำเป็น

    มันหวนนึกว่าความสงสัยในใจวันนี้ความจริงเริ่มบ่มเพาะตั้งแต่วันที่ซีเสี่ยวเหยียนออกไป ตอนอยู่ที่เขาอู่ตังมันไม่เคยบีบบังคับศิษย์ให้ไปทำเรื่องราวที่ไม่ยินยอม เรื่องของซีเสี่ยวเหยียนเป็นหนามแท่งหนึ่งในใจมัน เพราะมันรู้ดีว่าซีเสี่ยวเหยียนถูกตนเองบีบให้ไป…

    “เจ้าบอกว่าตัวเองไม่มีความสามารถในการนำทัพหรือ” ซางเฉิงอวี่ส่ายหน้า “ไม่ นั่นไม่เกี่ยวกับความสามารถ เป็นใจของเจ้าที่ยังมิได้บอกลาอย่างเด็ดขาดกับเจ้าสำนักอู่ตังผู้นั้นในอดีต”

    เหยาเหลียนโจวฟังคำพูดนี้แล้วดั่งถูกอสนีบาต

    “ยังจำตอนที่เจ้าพูดคุยกับข้าวันที่เข้าตำหนักหนิงอ๋องได้หรือไม่” ซางเฉิงอวี่กล่าวสืบต่อ “ในตอนนั้นข้าเปลี่ยนมุมมองต่อเจ้าใหม่อย่างแท้จริง ข้าไม่คาดว่าเจ้าจะเปลี่ยนแปลงมาถึงขั้นนั้นได้ แต่ในความเป็นจริงเจ้ายังมิได้ละทิ้งตนเองในอดีตทั้งหมด เจ้าได้ตัดสินใจครั้งใหญ่ยิ่งนักว่าจะเดินบนทางแห่งใต้หล้าไร้เทียมทานอีกสายหนึ่งนี้ แต่ส่วนลึกในใจกลับยังระลึกถึงใต้หล้าไร้เทียมทานที่กงซุนชิงปลูกฝังให้เจ้า”

    เหยาเหลียนโจวนึกถึงขณะตนเองถูกท่าฟองคลื่นตัดเหล็กของจิงเลี่ยดึงดูดบนสมรภูมิ จนบัญชาการเรือรบออกจากขบวนโดยพลการทำให้เกิดเป็นความผิดมหันต์ ซางเฉิงอวี่คงจะไม่รู้เรื่องนี้ แต่กลับกล่าวตรงกับความสับสนของมัน

    “เจ้าหาได้เห็นสงครามสนามนี้เป็นสงครามของตนเองอย่างแท้จริง มูลเหตุความล้มเหลวของเจ้าอยู่ตรงนี้” ซางเฉิงอวี่ยกนิ้วมือสองนิ้วแสดงต่อเหยาเหลียนโจว “เจ้าลองใช้โอกาสคืนนี้คิดดูให้ดีๆ ว่าตกลงแล้วเจ้าจะเป็นเหยาเหลียนโจวคนใด จะเป็นเหยาเหลียนโจวกษัตริย์ผู้กุมอำนาจทั้งหมดของแผ่นดิน สร้าง ‘ราชสำนักอู่ตัง’ หรือว่าเหยาเหลียนโจวเจ้าสำนักยุทธ์ที่หมางเมินใต้หล้า ออกอาละวาดด้วยกระบี่เล่มเดียวเช่นในอดีต ถ้าหากเป็นอย่างแรก พรุ่งนี้หากหนิงอ๋องพ่ายแพ้ ข้าซางเฉิงอวี่จะมอบชีวิตที่เหลืออยู่ให้เจ้า แต่หากเป็นอย่างหลัง พรุ่งนี้เจ้าก็นำสมุดรายชื่อเล่มนี้คืนให้ข้า”

    เมื่อได้ซางเฉิงอวี่บ่งชี้ภาวะลำบากใจให้ เหยาเหลียนโจวก็รู้สึกว่าความกลัดกลุ้มที่มีอยู่แต่เดิมมลายหายไป แม้ยังต้องเลือก แต่อย่างน้อยมันก็รู้แล้วว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าคืออะไร

    มันกับซางเฉิงอวี่สบประสานสายตากัน นักสู้อู่ตังที่ยึดถือใต้หล้าไร้เทียมทานเป็นปณิธานสองคน กลับเชื่อมต่อกันแน่นแฟ้นอย่างไม่เคยเป็นเพราะสถานการณ์พ่ายแพ้ตรงหน้า

    “ประเสริฐ ข้าจะให้คำตอบท่าน”

    เหยาเหลียนโจวกอดกระบอกไม้ไผ่ไว้ในอ้อมแขน ก้าวด้วยฝีเท้าที่ปลอดโปร่งยิ่งกว่าก่อนหน้า ออกจากกระโจมไป

     

    เรือเล็กลำหนึ่งเทียบท่าช้าๆ ข้างค่ายกองทัพหนิงอ๋องที่ตำบลเฉียวเซ่อ ไม่มีผู้ใดสนใจมัน เพียงเพราะการต่อสู้ครั้งสุดท้ายกำลังจะมาถึง ทหารบนฝั่งล้วนยุ่งอยู่กับการขนย้าย รวบรวม และนับคำนวณอาวุธยุทโธปกรณ์หลากประเภทก่อนบรรทุกลงเรือเล็กต่างๆ แล้วขนส่งไปยังเรือรบใหญ่ในทะเลสาบเพื่อเติมเต็มเรือที่สูญเสียไปหลังการต่อสู้อันดุเดือดวันนี้

    เรือเล็กลำนั้นมีคนโดยสารอยู่เพียงคนเดียว มันพายด้วยแรงมือซึ่งไม่รู้มาจากที่ใด ผ้าคลุมสีแดงเพลิงที่ห่อหุ้มอยู่บนร่างแม้จะสกปรกเสียหายมีฝุ่นเกาะ แต่ยังคงมองออกในแวบเดียวว่าเป็นอาภรณ์ของทหารเพลิงอัสนีนักสู้เด่นล้ำในกองทัพหนิงอ๋อง ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีทหารนายใดสงสัยในสถานะของคนผู้นี้

    ผู้ที่ไปมาริมฝั่งนอกจากทหารที่ขนส่งสิ่งของและเสบียง ยังมีทหารบาดเจ็บที่ทยอยขึ้นฝั่งมา ในจำนวนนั้นผู้ที่บาดเจ็บสาหัสมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย เกือบทั้งหมดล้วนเดินเหินเองได้ ส่วนใหญ่บาดเจ็บเพียงเบาๆ ผิวหนังฉีกขาด ฟกช้ำหรือไฟลวก หรือเพราะสำลักควันจนหายใจไม่สะดวก การต่อสู้ดุเดือดที่ทะเลสาบผอหยางวันนี้ กองทัพหนิงอ๋องหนีตายอย่างตะลีตะลาน ทหารที่บาดเจ็บหนักล้วนถูกทอดทิ้ง ผู้ที่ตามเรือหนีกลับมาตำบลเฉียวเซ่อได้มีเพียงผู้บาดเจ็บเล็กน้อย พวกมันถูกส่งไปรักษาและพักผ่อน ณ ที่ตั้งค่ายบนฝั่ง เตรียมเข้าร่วมการต่อสู้วันพรุ่งนี้อีกครั้ง…นี่คือการตัดสินเป็นตายสนามสุดท้าย กำลังรบเล็กน้อยก็มิอาจเสียเปล่า

    ทหารเพลิงอัสนีที่พายเรือมาเองผู้นั้น ทุกแห่งบนร่างล้วนพันด้วยผ้า แขนขวามัดห้อยอยู่ตรงหน้าอก แม้แต่ใบหน้าก็ถูกปกปิดอยู่ภายใต้แถบผ้ารัดพัน เผยออกมาเพียงดวงตาสุกสกาวคู่หนึ่ง มันเดินไปยังที่ตั้งค่ายช้าๆ แฝงเข้าไปในหมู่ทหารบาดเจ็บอย่างแนบเนียน

    รูปร่างของทหารเพลิงอัสนีผู้นี้ไม่สูงใหญ่แต่ล่ำสันอย่างยิ่ง และมีฝีเท้าทรงอำนาจที่มิอาจซ่อนเร้น เพียงแต่ทุกคนในที่ตั้งค่ายต่างรู้ว่าทหารเพลิงอัสนีเดิมทีก็ก่อตั้งขึ้นจากมือดียุทธภพ จะมีท่วงท่าอาจหาญเช่นนี้ก็หาได้ชวนให้ผิดคาดไม่ เพียงแต่อำนาจที่มันแผ่ออกมารุนแรงจนดึงดูดความสนใจทหารหนิงอ๋องจำนวนมาก…พวกมันประหลาดใจเป็นพิเศษว่าไฉนอาวุธยาวที่คนผู้นี้สะพายเฉียงต้องใช้ซองผ้าปิดบัง

    ทหารเพลิงอัสนีผู้นี้เดินตามกลุ่มทหารบาดเจ็บไปอย่างเป็นระเบียบ หลังเข้าสู่ประตูค่ายก็เดินไปยังกระโจมรักษาอาการบาดเจ็บ ยามนี้มีทหารกลุ่มหนึ่งยกเสบียงกรังมา หนึ่งในนั้นคือทหารที่ประจำการอยู่จิ่วเจียงก่อนหน้าไม่นาน ครั้นประจันหน้ากับทหารเพลิงอัสนีผู้นั้นก็รู้สึกคุ้นตาอีกฝ่ายยิ่งนัก จนอดมิได้ที่จะมองดูหลายแวบ กระทั่งทหารเพลิงอัสนีผู้นั้นผ่านมันไป

    ยามนี้ความทรงจำของทหารผู้นั้นจึงปรากฏขึ้นจากหัวสมอง

    “อ๊ะ!” มันร้องออกมาเสียงแผ่วเบา พวกพ้องข้างกายล้วนชายตา

    มัน…คือแม่ทัพท่านนั้นมิใช่หรือ…

    แต่มันจากไปนานแล้วชัดๆ เหตุใดยังกลับมาสู้ศึกนี้อีก…

    ความจริงในใจทหารผู้นี้ยังไม่แน่ใจเต็มเปี่ยมว่าทหารเพลิงอัสนีที่เดินผ่านผู้นั้นคือคนที่มันจำได้ จึงมิได้กล่าวกับพวกพ้อง อนึ่งเสบียงกรังถุงใหญ่ในมือมิได้เบาสักนิด รีบเร่งไปวางริมฝั่งจะดีกว่า…

    เมื่อถึงหน้ากระโจมจ่ายยารักษาแล้ว ทหารบาดเจ็บกลุ่มใหญ่ก็กรูกันเข้าไปหมายรับยาหรือพันแผลก่อน ทหารเพลิงอัสนีผู้นั้นอาศัยความชุลมุนนี้ยื่นมือซ้ายออกไปหยิบน้ำและเสบียงกรังที่วางอยู่หน้ากระโจม แล้วจึงเดินไปอยู่ในหมู่ทหารบาดเจ็บที่นอนอยู่อย่างแน่นขนัดและนั่งคุกเข่าบนพื้น

    มันแหวกผ้าที่ปิดใบหน้าครึ่งล่างเผยปากที่เต็มไปด้วยหนวดเคราออกมา และค่อยๆ กินแป้งทอดแห้งแข็งจนเหมือนก้อนหินเหล่านั้น ทหารนายอื่นๆ ล้วนต้องใช้น้ำทำให้แป้งทอดนุ่มลงจึงกัดเข้าไปได้ แต่ทหารเพลิงอัสนีผู้นี้กลับใช้ขากรรไกรอันทรงพลังอย่างยิ่งกับฟันอันแข็งแรงของมันเคี้ยวกลืนแป้งทอดทีละคำ

    สองตาของมันสงบนิ่งยิ่งนัก มิได้เผยความไม่สบายใจเพราะเสบียงกรังกินยากนี้สักนิด

    ขอเพียงมันให้เรี่ยวแรงแกว่งดาบแก่ข้าก็พอแล้ว

    มันดื่มน้ำหลายอึกหลังกินแป้งทอดหมด จากนั้นนั่งขัดสมาธิเงียบๆ มิได้มองดูคนใดข้างกาย และมิได้พูดคุยกับใคร ทหารบาดเจ็บรอบด้านทีแรกก็รู้สึกว่าคนผู้นี้แปลกประหลาดยิ่งนัก แต่มันนั่งบนพื้นค่ายนานแล้วเสมือนพระพุทธรูปหิน ผู้คนจึงมิได้สนใจมัน

    บางครั้งมันจะมองดูท้องฟ้าที่จวนจะมืดมิดผืนนั้น

    มันกำลังเฝ้ารอการมาถึงของไฟสงครามในวันพรุ่งนี้อย่างเร่าร้อน ไม่เหมือนกับทหารทั้งหมดรอบกาย

     

     

     

    โปรดติดตามตอนต่อไป…

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in เพลงกลอนคลั่งยุทธ์

    นิยายยอดนิยม

    Facebook