• Connect with us

    Enter Books

    ครึ่งปีศาจซือเถิง

    ทดลองอ่านนิยาย ครึ่งปีศาจซือเถิง เล่ม 1 บทที่ 1

    บทที่ 1

     

    เดือนธันวาคม ปี 2013 ณ เขตทิเบตชิงไห่ อำเภอหนางเชียน ใกล้หมู่บ้านไป๋จา

    แม้แสงอาทิตย์จะสว่างสดใส แต่อุณหภูมิกลับลดต่ำจนพานให้พูดไม่ออก เท้าสองข้างซึ่งยัดอยู่ในรองเท้าบูตขนแกะแท้ที่ว่ากันว่ากันหนาวได้ของอันมั่นแทบจะแข็งจนกลายเป็นก้อนน้ำแข็งที่ไร้ความรู้สึก แต่ถึงกระนั้น เธอก็ยังคงพิงประตูรถชูโทรศัพท์มือถือในมือขึ้นและโยกซ้ายย้ายขวาอย่างดื้อด้าน คล้ายตามหาสัญญาณจากฝ่ายศัตรู

    ไม่รู้ว่าเพราะยกมือถือถูกจุดหรือเมื่อครู่นี้แค่อินเตอร์เน็ตขัดข้อง จู่ๆ สัญญาณก็เต็มขีด

    ติ๊งๆๆ

    เสียงวีแชตหลายข้อความที่รอมานานทยอยส่งเข้ามาไม่ขาดสาย ภาพสองสามภาพแรกกำลังดาวน์โหลด ข้อความตัวอักษรที่ส่งมาข้อความสุดท้ายปรากฏขึ้นมาก่อน

     

    ‘คุณลูกค้า…รูปยังแต่งอยู่ ส่งมาให้ลองดูก่อนไม่กี่ภาพ มีปัญหาตรงไหนแจ้งได้นะ’

     

    รออีกครู่หนึ่งรูปแรกก็เปิดขึ้น เป็นรูปตะวันตกดินที่ริมทะเลและตัวเธอกับชุดเจ้าสาว สตูดิโอถ่ายภาพแห่งนี้เชื่อใจได้จริงๆ ภาพที่แต่งออกมานั้นงดงามราวกับภาพฝัน

    อันมั่นน้ำตารื้นทันใด

    อีกหลายรูปก็เป็นภาพของเธอเช่นกัน ภาพเธอเท้าคางครุ่นคิด ก้มหน้าดมดอกไม้ที่อยู่ในมือ ปล่อยตัวหัวเราะร่าบนถนนใต้ร่มไม้ ถือร่มเอียงตัวพิงสะพานท่ามกลางสายหมอก เธอโพสต์รูปสองสามรูปลงใน Moments เพิ่มๆ ลดๆ คำในข้อความประกอบ เปลี่ยนแล้วก็ใส่ใหม่ สุดท้ายข้อความที่โพสต์ลงไปก็คือ

     

    ‘บนโลกใบนี้ย่อมมีใครสักคนเฝ้าคอยคุณอยู่ เมื่อถึงตอนนั้นคุณจะเข้าใจว่าทำไมถึงไม่ลงเอยกับคนที่ไม่ใช่เหล่านั้น เขาคนนั้นจะยินดีที่ได้พบคุณ ได้เลือกคุณท่ามกลางผู้คนนับพันหมื่น และยินดีเดินไปกับคุณ 1314*’

     

    หลังโพสต์เสร็จ เธอก็ยัดมือถือกลับไปในกระเป๋าเสื้อ ยกมือสองข้างป้องตรงปากแล้วพ่นไอ จากนั้นก็ออกแรงถู พยายามย่ำเท้า ขณะไม่รู้ว่าย่ำไปเป็นครั้งที่เท่าไหร่ ฉินฟั่งก็กลับมา

    ตอนกลับมาฉินฟั่งพูดกึ่งสัพยอกว่า “สมใจแล้วสิ”

    เขาคงเห็นวีแชตอันนั้นแล้ว อันมั่นเตรียมตัวแต่แรกแล้วจึงเชิดหน้าตอบกลับว่า “ฉันตั้งใจ พวกทุเรศที่มองไม่เห็นข้อดีของฉันจะได้รู้สึกเลี่ยน”

    ฉินฟั่งไม่ได้ว่าอะไร เพียงยกนิ้วโป้งให้เธอ ดูจากสีหน้าจืดเจื่อนของเขา อันมั่นก็รู้ว่าเรื่องที่ไปสอบถามไม่ได้ความ “ยังหาไม่เจอเหรอ”

    “แย่กว่านั้นอีก เขาบอกว่าปีสองพันสิบอวี้ชู่เกิดแผ่นดินไหว หนางเชียนเองก็เป็นเขตประสบภัย ภูเขาใกล้ๆ ถล่มไปหลายลูก บางหมู่บ้านถูกกลืนไปทั้งหมู่บ้าน คาดว่าคงหาไม่เจอแล้วล่ะ”

    แน่ล่ะว่าต้องหาไม่เจอ นี่เป็นเรื่องของบ้านฉินฟั่ง เห็นว่าเป็นความปรารถนาของคนเฒ่าคนแก่ อันมั่นไม่ได้ซักถามมากนัก แต่ก่อนออกเดินทางเธอก็เตรียมใจไว้แล้ว เวลาตั้งเจ็ดแปดสิบปีแล้ว เหตุการณ์บนโลกแปรเปลี่ยนรวดเร็ว แค่สิบปีฟ้าดินก็พลิกกลับ เวลาเจ็ดสิบปีภูเขากลายเป็นที่ราบ แม่น้ำแห้งเหือดได้ การตามหาคนที่เสียชีวิตไปแล้วนั้นยากเย็นเกินไป

    ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 7.1 ริกเตอร์ไม่คาดฝันเพิ่มเข้ามาอีกต่างหาก

    อันมั่นเอ่ยหยั่งเชิงว่า “งั้น…พวกเรากลับหางโจว?”

    คนเรานั้นย่อมมีความดันทุรังอยู่ไม่มากก็น้อย ทั้งที่เป็นเรื่องซึ่งไม่ได้คาดหวังอะไร แต่อยู่ๆ มาบอกว่าหมดหวังร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วก็จะไม่พอใจขึ้นมาทันที ฉินฟั่งคือตัวอย่างที่ดี หลังขึ้นรถเขาก็หมุนพวงมาลัยพลางเอ่ยว่า “ลองหาดูก่อนเถอะ กว่าจะมาได้รอบหนึ่งไม่ง่าย แถมก็เป็นความปรารถนาหนึ่งเดียวในชีวิตคนแก่คนหนึ่ง ยังไงก็ต้องไปคุกเข่าคำนับหน้าหลุมศพผู้มีพระคุณ” ทั้งยังบอกอีกว่า “ถือซะว่ามาเที่ยวเล่นสิ แถบนี้วิวสวย เธอชอบไม่ใช่เหรอ หัวใจเธอได้รับการชะล้างจนเป็นคริสตัลแล้วมั้งเนี่ย”

    แซะเธออีกแล้ว อันมั่นมองค้อนฉินฟั่งหนึ่งที หลายวันนี้เธอเอาแต่โพสต์วีแชตเวยป๋อ เธอไม่เคยมานี่นา เห็นภูเขาหิมะ ชาวทิเบต วัดลามะอะไรก็ล้วนแปลกใหม่เลยมักจะรายงานการเดินทางอยู่เสมอ พอมีอารมณ์ก็จะโพสต์ความรู้สึกทำนอง ‘จิตใจได้รับการชะล้างให้สะอาดแล้ว คนเราควรมีชีวิตอย่างบริสุทธิ์แบบนี้’ หลายข้อความ ก็แค่พิมพ์ไปอย่างนั้นเอง เขาดันคิดจริงๆ ว่าเธอชอบที่นี่ เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง แค่รังสียูวีบนที่ราบสูงซึ่งทำให้ผิวหนังเหี่ยวก็เกินกว่าเธอจะรับไหวแล้ว

    เธอหัวเราะคิกตอบกลับไปว่า “นายยังไม่รู้จักตัวฉันดีเลย”

    ฉินฟั่งส่งเสียงอืม “จริงอยู่”

    เธอรู้ว่าฉินฟั่งชอบฟังอะไรและรู้ว่าเขาเอือมกับอะไร อันมั่นยอมรับว่าการอยู่กับฉินฟั่งและไปไหนมาไหนกับเขา ตนต้องมีเล่ห์เหลี่ยมไว้เอาใจนิดหน่อย…แต่แล้วอย่างไรล่ะ ที่ผู้ชายมอบดอกไม้ให้ผู้หญิงและจัดเตรียมเดตโรแมนติกก็กำลังเล่นเล่ห์อยู่ไม่ใช่หรือ สิ่งสำคัญคือผลลัพธ์ ไม่ว่ารักแรกของฉินฟั่งจะเป็นใครหรือรักใครที่สุด ตอนนี้เธอก็จะใช้ฐานะแฟนสาว อ๊ะไม่สิ ว่าที่ภรรยามาจัดการธุระทางบ้านที่หนางเชียนเป็นเพื่อนเขา และในอนาคตก็จะมีแค่เธอด้วยเช่นกัน

    ตอนตกลงเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งสอง ฉินฟั่งเคยพูดว่า ‘อันมั่น ฉันชอบที่เธอเป็นคนฉลาดนี่แหละ’

    เพราะอย่างนั้นอันมั่นเลยรู้ว่าการอยู่กับฉินฟั่งไม่ต้องคิดให้มากมาย ทำตัวเป็นคนฉลาดไว้ก็พอ

    ‘อันมั่น ฉันชอบที่เธอเป็นคนฉลาดนี่แหละ’

    ประโยคนี้สำคัญมาก

     

    ทั้งสองพักอยู่ในละแวกนั้นสองวัน หัวข้อวีแชตด้านล่างที่เกี่ยวกับชุดเจ้าสาวมีคนกดไลค์กันอย่างล้นหลาม ทั้งยังมีคนแนะนำเธอว่าห้ามพลาดสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของชิงไห่ เช่นเขาอาหนีหม่าชิงซึ่งเป็นหนึ่งในภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ ยอดเขาปาเหยียนคาลา และอำเภอกุ้ยเต๋อซึ่งเป็นจุดที่แม่น้ำฮวงโหใสที่สุดในโลก

    ดังนั้นสิ่งที่เธอทำบ่อยสุดนอกจากการแปะรูปอวดการเดินทางก็คือพลิกแผนที่ดูเส้นทาง ถึงได้รู้ว่าที่แท้ถัดลงไปจากหนางเชียนก็คือเขตชางตูของทิเบต เดินทางถัดไปทางตะวันออกอีกนิดคือโรงพิมพ์พระไตรปิฎกเต๋อเก๋อซึ่งเลื่องลือไปทั่วทิเบต อันมั่นพยายามคะยั้นคะยอให้ฉินฟั่งไปทางนั้น แต่ฉินฟั่งปฏิเสธ

    “ไม่ไป ได้ยินว่าพระไตรปิฎกทั้งหมดของทิเบตล้วนพิมพ์มาจากเต๋อเก๋อ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แบบนั้น ร่างกายและจิตใจเธอไม่ถูกชะล้างจนกลายเป็นเพชรหรือ”

    อันมั่นซ่อนความผิดหวังไว้ ระหว่างรถเลี้ยวออกจากไป๋จา อันมั่นก็คิดถึงคำพูดฉินฟั่งที่ว่าเธอเป็นคริสตัลและเพชร ก่อนจะพลันรู้สึกเศร้าขึ้นมานิดหน่อย เธอรำพึงในใจว่า ไม่ว่าจะล้างยังไง ฉันก็เป็นแค่ก้อนถ่านเท่านั้น

     

    เย็นวันที่สาม ทั้งคู่กินข้าวตรงร้านอาหารทิเบตในเมืองหนางเชียน ตอนนั้นเองที่ฉินฟั่งเล่าเหตุผลที่ต้องเดินทางมาที่นี่ให้อันมั่นฟังคร่าวๆ

    ย่าทวดของฉินฟั่งเป็นคนอำเภอจิ้งฮว่า มณฑลเสฉวน อำเภอจิ้งฮว่าได้ทิ้งบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ไว้มากมายเนื่องจากปี 1936 ถึง 1937 เกิดความอดอยากครั้งใหญ่ มีคดีฆาตกรรมคนอำเภอจิ้งฮว่าหลายคดี คนกินเนื้อคนกันเอง ทำเอานายอำเภออวี๋จูจวินซึ่งเป็นผู้ตัดสินคดีหวาดกลัวจนเป็นบ้าไป

    ย่าทวดของเขาลี้ภัยความอดอยากครั้งใหญ่มาพร้อมครอบครัว ตอนนั้นคนส่วนใหญ่ล้วนไปทางตะวันออก เนื่องจากตอนใต้ของลุ่มแม่น้ำแยงซีเป็นสถานที่อุดมสมบูรณ์มาแต่โบราณจึงคิดว่าจะมีข้าวกิน ทว่าก็มีคนกลุ่มเล็กๆ เดิมพันทรัพย์สมบัติกับเขตทิเบตตะวันตก…เสี่ยงเดินทางมาทางตะวันตกซึ่งสภาพแวดล้อมเลวร้าย คนมาน้อยก็หมายความว่าปากแย่งกินข้าวจะน้อยลง

    ครั้นอพยพมาถึงแถบอำเภอหนางเชียน มณฑลชิงไห่ คนในครอบครัวย่าทวดที่ตายก็ตายไป ที่กระจัดกระจายก็กระจัดกระจายไป เหลือเพียงย่าทวดคนเดียว ในตอนที่เกือบหิวตายก็โชคดีได้พบคนใจดีรับไปเลี้ยงจึงรักษาชีวิตไว้ได้

    ครอบครัวของผู้มีพระคุณมีลูกสาวอายุมากกว่าย่าทวดหนึ่งปี ทว่าป่วยตายด้วยโรคระบาดตามฤดูกาล ในครอบครัวจึงเลี้ยงดูย่าทวดเหมือนลูก และยังให้หมั้นหมายแทนลูกสาวตนซึ่งดองกันไว้แต่เล็ก

    ตามธรรมเนียมท้องถิ่น หากหญิงที่ยังไม่ออกเรือนเสียชีวิต อนาคตจะไร้ผู้คุกเข่าคำนับเซ่นไหว้หน้าหลุมศพ ต้องจ่ายเงินนับญาติเลี้ยงบุตรบุญธรรม ย่าทวดของฉินฟั่งรับปากเรื่องนี้ไว้ว่า ‘ขอแค่ฉันมีลูกหลานมาคุกเข่าคำนับเซ่นไหว้ สุสานของพี่ก็จะไม่ขาดคนปัดกวาด ลูกชายของฉันก็คือลูกชายของพี่ และจะจัดการธุระให้พี่เสมือนมารดาผู้ให้กำเนิด’

    เรื่องราวบนโลกนั้นให้คำมั่นง่ายแต่รักษายากเสมอ ต่อมาย่าทวดได้ตามสามีมาใช้ชีวิตทำธุรกิจทางตะวันออก และด้วยความวุ่นวายยามสงคราม หนทางกลับไปจึงเลือนราง จวบจนสิ้นลมก็ไม่ได้เห็นบ้านเกิดอีก

    ฉินฟั่งเล่าว่า “เดิมระบุไว้ว่าเป็นคุณปู่ฉัน แต่ตอนนั้นปู่เร่งไปทำสงครามสร้างชาติและเคลื่อนไหวอย่างเกรียงไกร เดิมชีวิตก็ไม่ได้ดี ใครมันจะวิ่งมาทิเบตกัน ตอนนั้นเลยไม่ถูกหยิบยกมาเป็นหน้าที่พิเศษน่ะ พ่อฉันแต่งงานตอนปีแปดศูนย์ สมัยนั้นยากจน เข้าทำงานในโรงงานหนึ่งคือเป็นชามข้าวเหล็กไปตลอดชีวิต ขนาดเงินหนึ่งเฟิน ยังอดออมไว้ไม่ใช้ จะมีเงินเหลือใช้ให้ออกเดินทางได้ยังไง ทั้งยังไม่ใช่เรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ แค่คุกเข่าคำนับจะเมื่อไหร่ก็ได้ไม่ใช่เหรอ เลยเลื่อนมาปีแล้วปีเล่าจนพ่อฉันเสียก็ยังไม่ได้ทำเรื่องนี้”

    หัวข้อค่อนข้างหนัก อันมั่นจึงไม่ปริปาก เธอรินชาเนยให้ฉินฟั่งหนึ่งถ้วย

    “พ่อบอกเรื่องนี้กับฉันก่อนเสีย ฉันถึงรู้ว่าบ้านเราได้รับความกรุณาจากผู้หญิงคนนี้ ฉันเลยบอกว่าจะมาที่นี่สักรอบและช่วยคุกเข่าคำนับแทนปู่กับพ่อทีเดียว พ่อบอกว่าอย่าเลย ลูกหาภรรยาก่อนค่อยไปเถอะ ไปเป็นคู่ คิดถึงผู้หญิงผู้อยู่ใต้ดินคนนั้นบ้าง ลูกไปคนเดียวมันเรื่องอะไรกัน”

    อันมั่นยิ้ม “เพราะงั้นเลยมาหาฉัน?” เธอคิดนิดหนึ่งก่อนเอ่ยเพิ่มอีกว่า “ที่จริงคนเราก็ประหลาด หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เรื่องตั้งเจ็ดแปดสิบปี ห่างกันมาหลายรุ่น คงขี้เกียจไม่ยอมมาไปแล้ว แต่ก็มักมีบางคนเห็นเป็นเรื่องสำคัญ ทำตามคำมั่นสัญญาจากขุนเขาห่างไกล”

    ฉินฟั่งเห็นด้วยกับคำพูดนี้อย่างยิ่ง “ถึงสองวันนี้ฉันจะตามหาสุสานพี่สาวย่าทวดมาตลอด แต่บางครั้งตัวฉันเองก็ไม่แน่ใจ บางครั้งก็เบื่อหน่ายมาก เหมือนแค่หาเรื่องทรมานเปล่าๆ หาเจอจริงแล้วอย่างไร ไม่ว่าจะคุกเข่าคำนับหรือไม่ พระอาทิตย์ก็ยังส่องแสงอยู่ไม่ใช่เหรอ”

    ทั้งสองเงียบกันนานพักใหญ่ แล้วอันมั่นก็ถามเขา “ดื่มเหล้ามั้ย เดี๋ยวฉันดื่มเหล้าชิงเคอเป็นเพื่อน”

    ฉินฟั่งคลี่ยิ้ม ขณะคิดจะพูดอะไรบางอย่าง นอกประตูก็มีเสียงรถเบรกดังขึ้น

    รถยนต์หลายคันล้วนเป็นแลนด์โรเวอร์ ผู้ลงจากรถต่างเป็นชายสูงวัย คนที่เป็นผู้นำกลุ่มศีรษะล้านเลี่ยนรูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ ทว่าเสื้อผ้าซึ่งสวมใส่บนตัวนั้นดูดีไม่เลว ทุกชิ้นเป็นแบรนด์ระดับท็อป คะเนด้วยสายตาก็หลายหมื่นหยวน หลายคนนั้นคงมาจอดรถกินข้าว เข้ามาก็แข่งกันพูดเสียงดังโหวกเหวก ทั้งยังทักทายพวกฉินฟั่งด้วยความดีใจอย่างคาดไม่ถึง “คนฮั่นสินะ มาเที่ยวเหรอ เห็นรถพวกเธอเป็นป้ายทะเบียนจีนแผ่นดินใหญ่ พวกเรายังพูดอยู่เลยว่าต้องมีนักท่องเที่ยวอยู่ที่นี่แน่”

    หากเป็นคนจากชายฝั่งทะเลตะวันออกเฉียงใต้โดยมากจะไม่สนิทสนมเป็นมิตรแบบนี้ ทว่าที่หนางเชียนชาวฮั่นน้อย หากพบเจอบนถนนมากน้อยอย่างไรก็ต้องทักทายกันครู่หนึ่ง ฉินฟั่งก้มตัวเล็กน้อยถือเป็นการทักทาย หัวหน้ากลุ่มคนนั้นเป็นกันเองมาก เมื่อเห็นว่ายังพอมีเวลาก่อนน้ำชามาเสิร์ฟก็เข้ามาคุยเล่นกับพวกเขาโดยไม่สนว่าพวกฉินฟั่งจะเต็มใจหรือไม่

    เขาแนะนำว่าตนเองแซ่หม่า ทำธุรกิจเครื่องเคลือบอยู่ที่นครเครื่องเคลือบของมณฑลเจียงซี ขับรถมาเที่ยวกันเองกับเพื่อน ฉินฟั่งถามว่าเขาจะขึ้นเขาหรือไม่ เถ้าแก่หม่าก็เบิกตากว้างตอบว่า “ปีนเขาอะไรล่ะ ไข่ฉันได้แข็งกันพอดี!”

    เสื้อผ้าที่เขาสวมเป็นชุด SV ของแบรนด์ ARCTERYX ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นผู้นำของแบรนด์เสื้อผ้ากลางแจ้งโดยเฉพาะ แต่ตลอดทางยังนั่งหนาวสั่นในรถ ให้คนอื่นขับรถพา ‘เที่ยว’ ยังมาพูดติดตลกเกินจริง แต่เพราะไม่ใช่คนที่มาด้วยกัน ฉินฟั่งจึงไม่อยากพูดมากนัก แต่อีกฝ่ายกลับยิ่งพูดยิ่งมัน คุยจ้อออกทะเลไปเรื่อย เล่าถึงธุรกิจของตัวเอง บ่นว่าตลอดทางของกินไม่อร่อย ชมว่าฉินฟั่งกับอันมั่นหน้าตาดีเหมาะสมกัน ซ้ำยังถามอันมั่นอย่างเป็นห่วงเป็นใยว่า “น้องสาวสีหน้าไม่ดีเลย เมารถรึเปล่า หรือป่วยเพราะว่าเกิดอาการแพ้ที่สูง?”

    พวกฉินฟั่งอดทนจนกระทั่งน้ำชาโต๊ะเขามาเสิร์ฟ และคนที่มาด้วยกันร้องเรียกเขาไปกินข้าว แต่เถ้าแก่หม่าผู้นี้ก็ยังคงพูดกับฉินฟั่งอย่างอาลัยอาวรณ์ว่า “น้องชาย คืนนี้ไปคุยกันที่ที่พักของฉันเถอะ ฉันรู้สึกถูกชะตากับนาย ถึงเพิ่งพบก็รู้สึกเหมือนเป็นเพื่อนเก่า คุยได้ไม่จบไม่สิ้น ฉันพักอยู่ที่โรงแรมจินหม่าที่อยู่กลางเมือง ห้องหมายเลขหนึ่งแปดแปด นายต้องมานะ พวกเรามาคุยกัน”

    เถ้าแก่หม่าคนนี้ตลกมาก กระทั่งก่อนนอนตอนกลางคืนฉินฟั่งก็ยังขำไม่หยุด พูดกับอันมั่นว่าพิลึกจริง ตัวเขาพูดไม่ถึงสองประโยค แต่คนแซ่หม่ากลับบอกว่า ‘เพิ่งพบก็รู้สึกเหมือนเป็นเพื่อนเก่า’ ไปได้

    อันมั่นฝืนคลี่ยิ้มด้วยสีหน้าอิดโรย ฉินฟั่งก้าวเข้ามากอด จุมพิตลงบนขมับเธอแล้วเอ่ยว่า “เถ้าแก่หม่าพูดถูกอยู่ประโยคหนึ่ง สีหน้าเธอไม่ดีเลย สองวันนี้เมารถเลยเหนื่อยเกินไปเหรอ”

    อันมั่นพยักหน้า แล้วก็ชี้ขอบตาตัวเอง “หลังเข้าทิเบตมาก็หลับไม่ค่อยสนิท กลางคืนกินยานอนหลับได้มั้ย”

    “เดิมทีเธอก็ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง อย่ากินมากไป แค่เม็ดเดียวก็พอนะ”

    อันมั่นพูดอย่างซุกซนว่า “ถ้าร่างกายแข็งแรงแล้วกินเยอะๆ ได้รึไง ถ้าเป็นนายต้องกินกี่เม็ดกัน”

    ฉินฟั่งแสร้งทำเคร่งขรึม “จะล้มผู้ชายแข็งแรงบึกบึนอย่างฉันอย่างน้อยก็ต้องสอง…ไม่สิ สามเม็ดถึงจะรับประกันได้”

    อันมั่นหัวเราะคิกคัก ดิ้นออกจากอ้อมแขนฉินฟั่ง เดินไปด้านข้างเปิดกระเป๋าเดินทางหยิบยา เธอเปิดฝาขวดยา เทออกมาก่อนหนึ่งเม็ด นิ่งอยู่สองวินาทีก่อนเทออกมาอีกสองเม็ด

    เธอกำยานอนหลับสามเม็ดไว้ในฝ่ามือ เหงื่อออกเป็นน้ำ หัวใจอันมั่นเต้นรัวเร็ว เธอหันกลับไปมองฉินฟั่ง เขากำลังเปิดโทรทัศน์และปรับเสียง ปรับไปปรับมาจู่ๆ ก็หัวเราะพรวด พูดว่า “หวังต่าวคนนี้ล้อเล่นเก่งไปแล้ว”

    ดูเหมือนจะเป็นรายการ ‘พ่อจ๋า เราจะไปไหนกัน’ เมืองหิมะบนหน้าจอขาวโพลนจนตาพร่า หลายครอบครัวกำลังแย่งชิงห้องกัน ริมฝีปากอันมั่นแห้งผาก เธอเลียมันอย่างกระวนกระวายพลางว่า “ฉินฟั่ง ฉันรินน้ำมะนาวให้นายนะ”

     

    ‘ฉันพักอยู่ที่โรงแรมจินหม่าที่อยู่กลางเมือง ห้องหมายเลขหนึ่งแปดแปด นายต้องมานะ พวกเรามาคุยกัน’

    ประโยคนี้ไม่ได้พูดให้ฉินฟั่งฟัง

    อันมั่นยืนอยู่ตรงประตูห้องหมายเลขหนึ่งแปดแปด ฝ่ามือมีเหงื่อผุดซึมไม่หยุด ตั้งแต่เด็กเธอมีนิสัยเสียอยู่อย่างหนึ่ง พอตื่นเต้นฝ่ามือก็จะเหงื่อออก คืนนี้ตั้งแต่ตอนเธอวางยาลงในแก้วของฉินฟั่ง เหงื่อบนฝ่ามือก็ยังไม่หยุดไหล

    ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจยื่นมือไปเคาะประตู ก่อนจะพบว่าประตูไม่ได้ปิดสนิท แค่ผลักเบาๆ ก็เปิดออก

    เครื่องปรับอากาศเปิดไว้เต็มที่ อากาศอบอุ่นพัดเข้าใส่ใบหน้า แสงในห้องมืดสลัวอย่างยิ่ง ห้องนั่งเล่นเปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้ ฟังจากท่วงทำนองรื่นเริงก็ยังคงเป็นรายการ ‘พ่อจ๋า เราจะไปไหนกัน’ ซึ่งฉายซ้ำรอบดึก เถ้าแก่หม่าที่พบเมื่อกลางวันสวมชุดคลุมอาบน้ำนั่งอยู่บนโซฟา ขาท่อนล่างซึ่งมีขนอ่อนยุบยับทั้งสองข้างพาดอยู่บนโต๊ะน้ำชาหน้าโทรทัศน์ กำลังหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง

    “โอ๊ย ขำจะตายแล้ว เจ้าพ่องี่เง่าพวกนี้นี่ ทิ้งลูกสาวไปแย่งห้องซะงั้น…”

    อันมั่นเดินเข้าไปด้วยขาที่สั่นอยู่ตลอด เธอหยุดอยู่ข้างโซฟาและเอ่ยเรียก “พี่จ้าว”

    แน่นอนว่าเขาไม่ได้แซ่หม่าและก็ไม่ได้ทำธุรกิจเครื่องเคลือบอย่างที่คุยฟุ้งอะไรนั่น ถ้อยคำเหล่านั้นล้วนเป็นคำพูดเรื่อยเปื่อยไว้พูดให้ฉินฟั่งฟัง…อันที่จริงตัวเธอควรขอบคุณเขาหรือเปล่านะที่ไม่ได้เปิดโปงภูมิหลังเธอต่อหน้าฉินฟั่ง

    จ้าวเจียงหลงถือโอกาสปิดโทรทัศน์ ควานหาบุหรี่บนโต๊ะน้ำชา เสียงจุดไฟแช็กฟังบาดหูเป็นพิเศษในห้องซึ่งเงียบสงัดลงกะทันหัน เมื่อเปลวไฟลุกพึ่บ เขาก็เหลือบมองเธอข้ามเปลวไฟ

    “อัน…เสี่ยว…ถิง เปลี่ยนชื่อแล้ว?”

    อันมั่นไม่พูดอะไร จ้าวเจียงหลงหัวเราะฮึๆ แหงนหน้าพ่นควันมาทางเธอ หยิบโทรศัพท์มือถือมากดไม่กี่ครั้ง กระแอมให้คอโล่งอีกสองทีก็เริ่มอ่านข้อความตอนหนึ่งด้วยน้ำเสียงประหลาด

    “บนโลกใบนี้ย่อมมีใครสักคนเฝ้าคอยคุณอยู่ เมื่อถึงตอนนั้นคุณจะเข้าใจว่าทำไมถึงไม่ลงเอยกับคนที่ไม่ใช่เหล่านั้น”

    อันมั่นหน้าซีดเผือดทันใด

    ก่อนหน้านี้เธอคิดมาตลอดว่าตัวเองโชคร้าย โลกกว้างใหญ่เพียงนี้ ถนนหนทางมากมายเพียงนั้น แต่กลับมาพบกันบนทางแคบ นี่ไม่ใช่สวรรค์ตั้งใจให้เธอลำบากหรอกหรือ บัดนี้เธอถึงรู้ว่าไม่ได้มีการพบกันโดยบังเอิญมากขนาดนั้น

    “อันเสี่ยวถิงเอ๋ยอันเสี่ยวถิง สามปีที่เลี้ยงดูเธอ พี่จ้าวของเธอคนนี้ไม่นับว่าขี้เหนียว สูญเงินไปกับเธอไม่ใช่แค่ห้าหกแสน แต่เธอมันนังคนไม่ซื่อ ตอนนั้นตำรวจมาสอบสวนฉัน เธอคิดว่าฉันจะซวยแล้วเลยหอบข้าวของหนีไปไม่แม้แต่จะล่ำลา โอ้โห…ตอนฉันกลับไปดู เธอหอบไปได้แบบหมดจด กระทั่งหม้อไหจานชามก็ไม่เหลือไว้เลยนะอันเสี่ยวถิง มันทำให้พี่จ้าวของเธอปวดใจมาก”

    อันมั่นยืนตัวแข็งปล่อยให้เขาพูด หนังศีรษะชาหนึบอยู่ตลอดเวลา ชายแซ่จ้าวเป็นพยัคฆ์หน้ายิ้ม ยิ่งพูดจาสบายๆ ก็ยิ่งลงมือหนัก เรื่องในวันนี้ไม่มีทางจบลงด้วยดี เธอต้องขอร้องเขา ต่อให้เข่าจะอ่อนเป็นเส้นหมี่ก็ต้องพยายามอ้อนวอนสุดชีวิต

    “เธอนี่อยู่ไม่เป็นเลย ถ้าเป็นฉันคงเก็บตัวเงียบไปชั่วชีวิต เก็บตัวเงียบน่ะเธอเข้าใจมั้ย ที่เรียกกันว่าเป็นคนให้หัดม้วนหางน่ะ เธอรู้ไหมว่าฉันได้ข่าวเธอมาจากไหน มีคนแคปภาพส่งมาให้ฉันแถมยังปิดชื่อตัวเอง เธอต้องล่วงเกินคนไว้มากสินะ คนเขาถึงได้ลอบแทงเธอจากด้านหลังแบบนี้”

    ที่แท้ก็เพราะสร้างศัตรูไว้ อันมั่นรู้สึกสับสน ในสมองผุดรายชื่อใน Moments ขึ้นมาทีละชื่อ ใครกันนะ คล้ายจะเป็นทุกคน แต่ก็คล้ายจะไม่ใช่ใครเลย

    “โสเภณีไร้รักนางงิ้วไร้คุณธรรม แต่เรื่องมันแล้วไปแล้ว พี่จ้าวของเธอใจกว้าง ไม่คิดถือสาหาความ แต่บังเอิญเธออยู่ใกล้มาก และนังผู้หญิงอย่างเธอทำคนเจ็บนัก แถมยังมีประโยคที่ว่า ‘ไม่ลงเอยกับคนที่ไม่ใช่เหล่านั้น’ อีก สิ่งที่ฉันจ่ายไปล้วนเป็นเงินทองของมีค่า เป็นเงินจากความเหนื่อยยาก ไม่ได้ตกลงมาจากฟ้า ตกน้ำยังมีเสียง ฝากธนาคารยังมีดอก แต่มาถึงเธอกลับกลายเป็น ‘คนที่ไม่ใช่’ ไหนเธอลองอธิบายมาสิ พี่จ้าวของเธอไม่ใช่ตรงไหน”

    เขาพูดด้วยรอยยิ้มทว่าสีหน้าก็ค่อยๆ ดุร้ายขึ้น และม้วนนิตยสารซึ่งทางโรงแรมไว้ให้ลูกค้าอ่านฟรีตีศีรษะกับแก้มเธอครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับจะระบายความโมโหในอดีตใส่เธอ เอ่ยทีละคำว่า “ไหนลองอธิบายดู อธิบายมาซิว่าไม่ใช่ตรงไหน”

    ริมฝีปากอันมั่นสั่นระริก เธอคุกเข่าให้เขาดังตุบ จ้าวเจียงหลงคาดไม่ถึงจึงถอยไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว

    เพิ่งจะอ้าปาก น้ำตาอันมั่นก็ร่วงพรู เธอโขกศีรษะให้จ้าวเจียงหลง พูดจากระท่อนกระแท่นมากมายหลายประโยค “พี่จ้าวปล่อยฉันไปเถอะ แล้วฉันจะขอบคุณบุญคุณยิ่งใหญ่ของพี่ไปชั่วชีวิต ฉันรู้ว่าฉันใช้เงินพี่แต่ฉันจะพยายามหามาใช้คืนพี่แน่นอน กว่าฉันจะเจอฉินฟั่งได้มันไม่ง่ายเลย กระทั่งรูปแต่งงานของฉันกับเขาก็ถ่ายเอาไว้แล้ว ขอแค่พี่จ้าวยกมือให้อภัย ฉันก็จะมีวันที่ดีไปชั่วชีวิต ขอร้องอย่าพูดเรื่องนี้กับฉินฟั่งเลย…”

    เธอร้องไห้อย่างน่าเวทนายิ่ง จ้าวเจียงหลงดึงกระดาษทิชชูให้เธอเช็ดหน้าหลายแผ่น ทั้งยังเปลี่ยนมาพูดคุยกับเธอด้วยสีหน้าอ่อนโยน อันมั่นนิ่งอึ้งมองปากจ้าวเจียงหลงอ้าๆ หุบๆ เธอตะลึงจนฟังอะไรไม่เข้าหู ในสมองมีแต่ฉินฟั่ง

    ฉินฟั่งหน้าตาหล่อเหลา มีความสามารถ บริษัทที่บริหารร่วมกับเพื่อนก็เจริญรุ่งเรือง สิ่งสำคัญกว่านั้นคือเขาเป็นคนรักเดียวใจเดียวอย่างแท้จริง หกปีหลังเฉินหวั่นแฟนสาวผู้เป็นรักแรกจมน้ำตายด้วยอุบัติเหตุ ข้างกายเขาก็ไม่มีผู้หญิงคนอื่น ตอนฉินฟั่งเป็นฝ่ายโทรศัพท์มาหาเธอ ความรู้สึกอันมั่นก็เหมือนมีเงินทองหล่นลงมาจากฟ้าตกใส่ศีรษะเธอพอดิบพอดี

    นี่คือผู้ชายแสนดีที่สุดที่เธอจะได้พบในชีวิตนี้แล้ว อันมั่นจึงอยากคว้าไว้เหลือเกิน เธอมุ่งมั่นตั้งใจขัดเกลาทักษะการแสดงทั้งกลางวันกลางคืนยิ่งกว่านักแสดงทุกคน ยัดอันเสี่ยวถิงผู้ไม่อาจสู้แสงตะวันใส่ไว้ก้นหีบ สร้างอันมั่นที่ฉินฟั่งชอบออกมา เหนื่อยนั้นเหนื่อยจริง แต่เธอก็ยินดีรับมันดุจน้ำตาลหวาน…เหนื่อยนิดหน่อยจะเป็นอะไรไป สงครามแย่งชิงความรักของผู้หญิงในตำหนักในสมัยก่อนซับซ้อนกว่าเธอนัก ทว่าก็ยังแบ่งได้แค่เศษเสี้ยวของฮ่องเต้ แต่ที่เธอได้คือฉินฟั่งที่สมบูรณ์ทั้งตัว

    แน่นอนว่ามีคนริษยาเธอ ผู้หญิงไม่น้อยเฝ้าคิดถึงฉินฟั่ง เขาเองก็รอดูว่าเธอจะรับมืออย่างไร เธอจึงคลี่ยิ้มหวานตอบหนึ่งประโยคว่า ‘ฉันตั้งใจ พวกทุเรศที่มองไม่เห็นข้อดีของฉันจะได้รู้สึกเลี่ยน’

    ฉินฟั่งชอบนิสัยนี้ เขาไม่ชอบผู้หญิงอ่อนแอและยอมรับชะตากรรมเกินไป หากมีคนตบหน้าคุณ จงตบกลับไปเป็นเท่าตัว

    เธอสร้างเขื่อนพันลี้ขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย อีกแค่นิดเดียวก่อนถึงความภาคภูมิใจสุดท้าย สวรรค์ก็ส่งคนแซ่จ้าวมาทำให้เขื่อนของเธอพังทลาย ไม่ยุติธรรมเกินไปแล้ว จะให้ยินยอมได้อย่างไร ถึงตายก็ตายตาไม่หลับ

    จ้าวเจียงหลงมองอันมั่นด้วยสีหน้าไร้ยางอาย ความคิดชั่วช้าในสมองราวกับเปลวไฟที่ลุกโชน อันเสี่ยวถิงคนนี้ตอนแรกก็เป็นแค่หนึ่งในชู้รักหลายคนที่เขาเลี้ยงไว้ นอกจากอายุน้อยและหน้าตาสะสวยแล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่าพิเศษอันใด ทว่าวันนี้นั้นต่างออกไป ไม่รู้ว่าสามปีนี้เธอกินอะไรมา อุปนิสัยที่เปลี่ยนไปช่างเหมือนความแตกต่างระหว่างชื่ออันมั่นกับอันเสี่ยวถิง อีกอย่างตอนนี้เธอก็เป็นผู้หญิงของฉินฟั่ง ความสุขของการแย่งอาหารจากปากคนอื่นเย้ายวนจนหัวใจคันยิบ

    เขาเอื้อมมือไปประคองอันมั่น มืออีกข้างลูบไปบนเอวเธอตามอำเภอใจ “เธอคิดไปถึงไหนแล้ว เป็นสามีภรรยากันวันเดียวยังรักใคร่กันไปร้อยวัน เห็นพี่จ้าวของเธอเป็นคนที่บีบคั้นให้คนอื่นจนหนทางเหรอ”

    อันมั่นตัวแข็งทื่อ ในสมองขาวโพลน

    ความจริงเธอเตรียมใจไว้แต่แรกแล้ว ระหว่างจ้าวเจียงหลงกับเธอยังจะมีอะไรให้ ‘คุยเล่น’ กันอีก ตั้งแต่ก่อนจะเคาะประตู ตั้งแต่ที่เขาคลี่ยิ้มพูดว่า ‘นายต้องมานะ’ เมื่อกลางวัน เธอก็รู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอเชื่อมั่นสุดใจว่าตนเองรับมือได้ ใช่จะไม่เคยทำกับเขาเสียเมื่อไหร่ ถือซะว่าถูกผีอำหนึ่งครั้งแล้วกัน จากนั้นจะได้จบๆ ไป

    ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าแล้วถึงรู้ว่าไม่ได้ เธอทุ่มเทเรี่ยวแรงมากมายยกเครื่องเปลี่ยนตัวเองเป็นอันมั่นจนปรนนิบัติคนอย่างจ้าวเจียงหลงเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้จริงๆ…อันมั่นยึดมือจ้าวเจียงหลงไว้แน่น ปากพูดอึกอักว่า “พี่จ้าว นอกจากเรื่องนี้…นอกจากเรื่องนี้พวกเราว่ากันได้ทุกเรื่อง จริงๆ นะ คุยกันได้หมด…”

    จ้าวเจียงหลงโมโหแล้ว เขาตบอันมั่นหนึ่งฉาดจนเบื้องหน้ามืดดับไปวูบหนึ่ง

    “แม่งเอ๊ย! อันเสี่ยวถิงตัวเธอเป็นของเล่นแบบไหนเธอไม่รู้รึ ไว้หน้าให้ทำไมยังไม่รับอีก!”

    เขาด่าทอทุบตี ตบดังเพียะๆๆ อีกหลายครั้ง จ้าวเจียงหลงเป็นคนมือหนัก ซ้ำยังฟาดลงตรงศีรษะและใบหน้าซึ่งเป็นส่วนเปราะบาง เลือดอันมั่นจึงอาบเต็มศีรษะ แต่เธอก็อารมณ์ร้ายอยู่บ้างเช่นกัน ระหว่างปล่อยให้จ้าวเจียงหลงตบตีอยู่อย่างนี้ จากที่ยังลังเลเธอก็เปลี่ยนเป็นถึงตายก็ไม่ยอมจำนน ดิ้นรนเตะต่อยทึ้งกัด สู้ขาดใจไม่ให้เขาทำตามอำเภอใจ

    ระหว่างยื้อยุด ทันใดนั้นจ้าวเจียงหลงก็ร้องด้วยความเจ็บปวด กุมท้องถอยหลังไปหลายก้าว

    ใต้จมูกอันมั่นเต็มไปด้วยเลือด ยามหายใจจึงคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาว เธอตัวสั่นเทิ้มเงยหน้าขึ้น และก็สบเข้ากับสายตาไม่อยากเชื่อของจ้าวเจียงหลงเข้าพอดี

    ท้องน้อยเขามีมีดปักอยู่หนึ่งเล่ม โลหิตสีแดงฉานกำลังไหลอาบชุดคลุมอาบน้ำสีขาวอย่างรวดเร็ว

    อันมั่นอึ้งงันไป เธอแทงงั้นเหรอ เอามาจากไหน ช่วงเวลาไม่กี่นาทีก่อนประหนึ่งก่อขึ้นจากความว่างเปล่าผืนใหญ่ เธอจำไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

    อันมั่นตัวสั่นก้มหน้ามองมือตนเอง นิ้วทั้งสิบขาวผ่องเรียวยาว นิ้วมือข้างซ้ายสวมแหวนหมั้น แหวนวงนี้ซื้อมาจากร้าน แต่กลับพอดิบพอดีราวกับสั่งทำมาเพื่อเธอโดยเฉพาะ

    เสียงทึบดังขึ้น จ้าวเจียงหลงล้มฟาดลงบนพื้นโดยแรง

     

    อันมั่นบอกไม่ถูกว่าตนเองกลับมายังที่พักได้อย่างไร เธอเดินจิตหลุดขึ้นตึก หยิบคีย์การ์ดห้องมาเปิดประตูด้วยมือสั่นระริก ภายในห้องมืดสนิท หลังทำใจให้สงบก็ได้ยินเสียงลมหายใจขณะหลับสนิทของฉินฟั่ง ในความมืดนั้นอันมั่นยืนพิงหลังเข้ากับกำแพงอยู่นาน จนกระทั่งบนถนนห่างออกไปมีเสียงแตรรถบาดหูดังกะทันหัน เธอถึงได้ตัวสั่น โซเซพุ่งไปคุกเข่าเขย่าตัวฉินฟั่งตรงข้างเตียง

    คราแรกเธอเขย่าแผ่วเบา แต่ต่อมาก็ร้องห่มร้องไห้เรียกเขาอย่างเสียการควบคุม “ฉินฟั่งๆ นายตื่นสิ”

    ฉินฟั่งหลับสนิทมาก ฤทธิ์ยานอนหลับดึงเขาเข้าสู่ห้วงนิทรา ทว่าในความฝัน เขากำลังตกอยู่ท่ามกลางฉากฝันร้ายอันยาวนานฉากหนึ่ง

    ที่นั่นเป็นเวทีงิ้วเก่าแก่แบบสมัยก่อน ผ้าม่านสีแดงสองด้านชักขึ้น คณะดีดเครื่องสายและขานบทเพลงด้านหลังแสนคึกคักมีชีวิตชีวา มีทั้งฆ้อง กลอง ซอหูฉิน และซอจิงเอ้อร์หู บนเวทีตัวพระ ตัวนาง ตัวหน้าลายและตัวตลกกำลังร้อง พูด รำ และต่อสู้ เสื้อผ้าสีสันต่างๆ ทั้งชุดพิธีการ ชุดคลุม ชุดลำลอง ชุดเกราะ และแถบพู่ไหมต่างรวมอยู่ด้วยกัน เขาตัวเล็กนิดเดียวคล้ายย้อนกลับไปสมัยเด็ก แม้ยืนเกาะอยู่ตรงเวทีงิ้วและพยายามแหงนหน้ามองสุดชีวิตก็เห็นเพียงรองเท้าบูตพื้นหนา รองเท้าพื้นบาง รองเท้าปัก และรองเท้าลายเมฆาด้านล่างโฉบขึ้นโฉบลงตามจังหวะกลองเร่งเร้าอึกทึกชวนให้ลานตา

    จากนั้นจู่ๆ เขาก็พบว่าตรงตำแหน่งชิดด้านในสุดของเวที ท่ามกลางรองเท้างิ้วแบบต่างๆ ซึ่งขยับขึ้นลงใต้อาภรณ์สะบัดพลิ้วหลากสีสันปรากฏรองเท้าส้นสูงผ้าซาติน หัวรองเท้าฝังไข่มุกเม็ดหนึ่ง เท้าเรียวสะอาดเกลี้ยงเกลา ปลีน่องกลมกลึงมีน้ำมีนวล ผืนผ้าด้านหน้าและด้านหลังของกี่เพ้าพะเยิบไหวเล็กน้อย

    สรรพเสียงมากมายของการแสดงงิ้วค่อยๆ เลือนหาย จนกระทั่งสุดท้ายจากเงาร่างมากมายบนเวทีงิ้วขนาดใหญ่ก็เหลือเพียงเสียงรองเท้าส้นสูงเพียงเสียงเดียว

    กึก กึก กึก…

     

    ตีสองกว่า ลั่วหลงเอ๋อร์จย่าเวรกะดึกผู้กำลังสัปหงกตรงเคาน์เตอร์โรงแรมถูกอันมั่นปลุก เนื่องจากกลางคืนอากาศหนาว เธอจึงแต่งตัวมิดชิด สวมทั้งหมวกและผ้าปิดปาก เผยแค่ดวงตาบวมแดง เธอบอกเขาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่าได้รับโทรศัพท์จากที่บ้านว่ามารดาป่วยหนักเข้าโรงพยาบาล ต้องรีบกลับไปในคืนนี้

    เวลาเจอคนโชคร้ายควรช่วยเหลือสุดความสามารถ ลั่วหลงเอ๋อร์จย่าลืมความขุ่นใจที่ถูกปลุกกลางดึกไปอย่างรวดเร็ว เขาช่วยอันมั่นชำระค่าห้อง หิ้วสัมภาระมาใส่รถ สุดท้ายก็ช่วยเธอพยุงฉินฟั่งผู้ที่ทั้งร่างคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหล้าเข้าไปในรถ

    ระหว่างอันมั่นขับรถจากไป ลั่วหลงเอ๋อร์จย่าก็ยืนโบกมือให้รถอยู่ตรงข้างถนนตลอด พร้อมทอดถอนในใจว่าหญิงสาวชาวฮั่นช่างเก่งกาจ ขนาดรถยังขับเป็น แต่ครั้นนึกขึ้นได้ว่าต่อไปต้องขับบนถนนเลียบผาชันซึ่งพันวนรอบเขาเกือบหนึ่งชั่วโมงก็เป็นห่วงเธอขึ้นมาเล็กน้อย

    ขอให้พระพุทธองค์คุ้มครอง

    เขายืนอยู่พักใหญ่ถึงพ่นลมหายใจแล้ววิ่งเหยาะๆ กลับโรงแรม แทบจะในเวลาเดียวกับที่เขาปิดประตู รถเก๋งสีดำคันหนึ่งก็แล่นฉิวผ่านถนนด้านหน้าโรงแรม ทิศทางที่ไฟรถสีส้มส่องไปไกลก็คือทางที่อันมั่นขับจากไป

     

    ต่อให้สมองอันมั่นสับสนยุ่งเหยิงกว่านี้ก็รู้ว่าการขับรถตอนกลางคืนอันตราย โดยเฉพาะการขับบนถนนวนรอบเขาซึ่งคนท้องถิ่นเรียกว่า ‘ถนนเก้าสิบเก้าโค้ง กระทั่งผียังเดินลำบาก’ ขับไปบนโค้งหนึ่งก็ชันขึ้นขั้นหนึ่ง ถนนพันอ้อมภูเขาสิบกว่าลูกขึ้นไปเป็นลายก้นหอย จะเรียกถนนด้านบนสุดว่าหน้าผาหมื่นจั้งก็ไม่เกินไปสักนิด

    เมื่อมาถนนเส้นที่สามสิบกว่า อันมั่นก็เปิดหน้าต่างรถทุกบาน สายลมเย็นเฉียบพัดหวีดหวิวอยู่ในรถ หนาวจนหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง ต้นไม้ที่งอกเฉียงจากหน้าผามองเผินๆ เหมือนผู้ไม่หวังดีซ่อนอยู่ในเงามืด

    ภูเขากลางดึกเงียบสงัดยิ่ง เนื่องจากเป็นปลายเดือนธันวาคม รูปร่างพระจันทร์จึงเริ่มเปลี่ยนจากเต็มดวงเป็นครึ่งดวงลอยห่างอยู่กลางฟ้า ดุจดวงตาเย็นชาซึ่งลืมอยู่ ไม่ว่าจะเลี้ยวกี่โค้ง ขับผ่านถนนกี่สาย เมื่อแหงนหน้ามอง สายตาของมันก็ยังคงอยู่บนร่าง ปราศจากที่ให้หลบซ่อน

    ในที่สุดความเงียบสงบผิดปกติเสมือนอยู่จุดสิ้นสุดของโลกก็ทำให้สมองอันมั่นค่อยๆ หลุดจากความสับสนทีละน้อย

    ขณะยางล้อรถเสียดสีกับถนนขรุขระบนเขา เธอก็เริ่มนึกย้อนถึงทุกสิ่งทุกอย่างในค่ำคืนนี้โดยละเอียด

    หลังดื่มน้ำมะนาวใส่ยานอนหลับบดละเอียดลงไป ฉินฟั่งก็หลับตาลงช้าๆ…

    เธอลังเลแล้วลังเลอีก ก่อนยื่นมือไปเคาะประตูห้องหนึ่งแปดแปด…

    จ้าวเจียงหลงหยิบนิตยสารที่ม้วนไว้ฟาดศีรษะและใบหน้าเธอครั้งแล้วครั้งเล่า พลางพูดว่า ‘พี่จ้าวของเธอไม่ใช่ตรงไหน…ไหนลองอธิบายดู อธิบายมาซิว่าไม่ใช่ตรงไหน’

    เธอถูกจ้าวเจียงหลงทุบตีจนไร้เรี่ยวแรงตอบโต้ ขดตัวป้องศีรษะกับใบหน้าปล่อยให้เขาเตะต่อย กระดูกซี่โครงถูกเตะอยู่สองที จนตอนนี้ก็ยังเจ็บแปลบๆ อยู่…

    ทันใดนั้นอันมั่นก็สะท้านไปทั้งร่างและกระทืบเบรกโดยแรง รถไถลไปด้านหน้าหลายเมตรตามแรงเฉื่อย ล้อรถส่งเสียงครูดกับพื้นถนนแสบหู ไม่กี่เมตรด้านหน้าคือหน้าผา นอกหินผามืดครึ้มคืออากาศบางเบาอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต

    ตั้งแต่ต้นจนจบ เธอไม่เคยแตะมีดเลย!

    ตอนถูกจ้าวเจียงหลงตีแบบกะให้ตาย เธอเคยลองใช้ฟันกัด ใช้เล็บข่วน ตอนถึงที่สุดยังคิดจะเหวี่ยงโต๊ะน้ำชาฟาดจ้าวเจียงหลง แต่ไม่มีมีดจริงๆ ไม่มีจริงๆ นะ!

    ตอนนั้นเธอตกใจ ในห้องมีแค่เธอกับจ้าวเจียงหลงสองคน จ้าวเจียงหลงถูกมีดแทงแล้วยังทำสีหน้าแบบนั้น เธอเข้าใจว่าตัวเองพลั้งมือขณะชุลมุนจึงขับรถหนีมากลางดึกด้วยความตระหนกสับสน

    จะหนีไปไหน ทำแบบนี้หนีปัญหาได้หรือ อีกอย่างการหนีไปเพราะกลัวความผิดแบบนี้ก็ยิ่งทำให้ผิดจริงไม่ใช่รึไง

    อันมั่นสังหรณ์ใจไม่ดี

    ไม่ได้ ต้องกลับไป

    เธอสูดลมหายใจเข้าลึก บังคับตัวเองให้เยือกเย็น เตรียมจะสตาร์ตรถใหม่อีกครั้ง

    ตอนนี้เองกระจกมองหลังก็พลันมีแสงไฟสว่างจ้า อันมั่นยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนองก็ได้ยินเสียงโครมดังสนั่น แรงกระแทกทำให้รถไหลไปด้านหน้าสี่ห้าเมตร หัวรถลอยคว้างอยู่กลางอากาศในพริบตา อันมั่นหวีดร้องเสียงแหลมไม่หยุด ด้วยกลัวว่านาทีถัดไปจะตกหน้าผา

    ประตูรถถูกกระชากเปิดโดยแรง ชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งกระชากเส้นผมเธออย่างหยาบคายแล้วลากตัวลงมาบนพื้น หนังศีรษะอันมั่นเจ็บแสบ เธอดิ้นรนคิดจะลุกขึ้น คนคนนั้นจึงเหยียบตรงท้ายทอยเธอ ขยี้หนักๆ บดใบหน้าเธอเข้าไปในดินโคลนพลางตวาดถามด้วยความโมโหว่า “นังโสเภณีน่ารังเกียจ ของล่ะ!”

     

    ฉินฟั่งรู้สึกหนาวเป็นพิเศษ

    คล้ายมีคนตั้งพัดลมหลายตัวไว้บนหัวเตียงและเปิดแรงสุดพัดใส่เขา ผ้าห่มเองก็ไม่รู้ว่าหายไปไหนถึงได้คลำหาไม่เจอ เสียงพัดลมดังวิ้วๆ และด้านหลังเสียงนี้คล้ายมีเสียงร้องโหยหวนของอันมั่นดังมาจากที่ไกลลิบ…

    ฉินฟั่งสะดุ้งเฮือก ลืมตาพึ่บ สภาพแวดล้อมรอบตัวทำให้เขาอึ้งไปโดยสมบูรณ์ ในสมองเจ็บแปลบเป็นพักๆ เหมือนมีเข็มทิ่มแทง เขาตะกายลุกขึ้นนั่งตรงเบาะหลัง แทบจะเบือนหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างโดยไม่รู้ตัว

    ห่างไปไม่ไกลอันมั่นขดร่างกระตุกอยู่บนพื้น เท้าของชายคนหนึ่งเหยียบอยู่บนตัวเธอและวางมือยันหัวเข่าไว้ คนสวมหมวกแก๊ปอีกคนเตะท้องเธออย่างแรง ตะคอกเสียงดังว่า “ไม่ใช่แกแล้วจะเป็นใคร ของล่ะ!”

    จิตใต้สำนึกของฉินฟั่งคิดว่านี่คือความฝัน ทว่าต่อให้อยู่ในฝันก็ปล่อยให้คนอื่นรังแกอันมั่นเช่นนี้ไม่ได้ เขาเรียกชื่ออันมั่น ยันเก้าอี้คิดจะไปเปิดประตูรถ แต่ครั้นขยับตัว รถก็พลันส่งเสียงลั่นเอี๊ยด จากนั้นก็ค่อยๆ โอนเอียงแบบชวนสังหรณ์ใจไม่ดี

    แผ่นหลังฉินฟั่งหนาวเยือก เขาไม่กล้าขยับตัวแล้ว หลังจากตัวแข็งอยู่ครู่หนึ่งก็เงยหน้ามองไปด้านหน้าอีกทาง

    ตรงนั้นไม่ใช่แผ่นดิน แต่เป็นอากาศสีน้ำเงินเข้มดุจเดียวกับท้องทะเลกว้าง ตรงสุดปลายอันไร้จุดสิ้นสุด มีดวงดาวซึ่งลอยต่ำลงมาเล็กน้อย หัวรถเริ่มเอียงลงอย่างชัดเจน ความโชคดีคือมันยังรักษาสมดุลไว้ได้ในสภาพง่อนแง่น

    เห็นได้ชัดว่าสองคนทางด้านนั้นสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวทางนี้แล้ว ชายผู้เอามือยันเข่าคนนั้นหัวเราะเยาะสองทีแล้วชักขาเดินมาทางนี้ แต่เพิ่งเดินได้สองก้าวขาเขาก็กระตุกกะทันหันจึงก้มลงมอง ที่แท้อันมั่นกอดขาเขาเอาไว้แน่นและเอ่ยอ่อนแรงว่า “อย่านะ…ไม่เกี่ยวกับเขา ไม่เกี่ยวจริงๆ”

    คนคนนั้นหัวเราะพลางมองไปทางคนสวมหมวกแก๊ปฝั่งตรงข้ามคล้ายทำเป็นตลก “โห นายดูยัยผู้หญิงไม่คำนึงถึงชีวิตตัวเองคนนี้สิ คิดว่ากำลังเล่นละครอยู่แน่ะ”

    เพราะเป็นคู่หูกันมานานและไม่ได้จัดการเรื่องพรรค์นี้แค่ครั้งสองครั้ง คนสวมหมวกแก๊ปจึงเหยียดยิ้ม ก้าวยาวๆ เดินไปด้านหน้ารถ ยกขาเหยียบลงบนกันชนหลังรถ ท่าทางเหมือนจะถีบในวินาทีต่อไป

    ผู้ชายคนก่อนหน้าก้มหน้ามองอันมั่น กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่สุดว่า “พวกเราจับตามองห้องนั้นมาตลอด นอกจากแกแล้วไม่มีคนอื่นเข้าออก…จะให้โอกาสแกอีกครั้ง ของล่ะ”

    ของ? ของอะไร ของที่จ้าวเจียงหลงซื้อขายเหรอ

    อันมั่นตัวสั่นเทิ้ม จ้องเขม็งไปยังเท้าของคนสวมหมวกแก๊ปซึ่งเหยียบอยู่บนกันชนด้านหลังรถ หากเธอไม่พูด ฉินฟั่งต้องตายแน่…

    อย่างมากก็แค่ยอมรับ ถ่วงเวลาได้หนึ่งนาทีก็หนึ่งนาที ไม่แน่ว่าในนาทีนี้สถานการณ์อาจพลิกผันกลายเป็นดีก็ได้

    อันมั่นพูดเสียงสั่นว่า “ฉันไม่ได้คืนห้อง ของ…ฉันวางไว้ในตู้ของโรงแรม…”

    ริมฝีปากถูกตบจนแตกทั้งยังถูกลมพัดจนแห้งผาก ยามเอ่ยปากพูดจึงตึงจนเจ็บนิดๆ คนคนนั้นเผยรอยยิ้มพึงพอใจ เชิดคางให้คนสวมหมวกแก๊ป อีกฝ่ายเข้าใจความหมายและกระแอมคอให้โล่งอย่างดูชั่วร้าย จากนั้นก็ออกแรงถีบ

    ไม่ว่าจะพูดหรือไม่พูด ผลลัพธ์ก็เป็นเช่นเดียวกัน

    ท่ามกลางเสียงหวีดร้องโหยหวนปิ่มว่าจะขาดใจของอันมั่น รถก็พลิกคว่ำเสียงดังสนั่น ท้ายรถพัดฝุ่นผงบนถนนตลบฟุ้ง ตามด้วยเสียงกระแทกดังลั่น คงกระแทกเข้ากับก้อนหินที่ยื่นออกมาตอนหล่นลงไปด้านล่าง ต่อจากนั้นก็ไม่มีเสียงใดๆ อีก

    ทั้งสองลากอันมั่นที่แข้งขาอ่อนปวกเปียกอยู่บนพื้นขึ้นรถ ขณะปิดประตูก็พลันรู้สึกว่าภูเขาทั้งลูกเหมือนจะสั่นสะเทือนเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่งถึงได้เงียบสงบแท้จริง

    คนสวมหมวกแก๊ปจุปาก เอ่ยว่า “โห หน้าผานี้ลึกสุดๆ เลย”

    อีกคนเองก็สัมผัสได้อย่างแรงกล้าเช่นกัน “เพราะงั้นถึงบอกไงว่าขับรถในที่แบบนี้ต้องระวังความปลอดภัย ดูสิขนาดจะช่วยยังหมดทางช่วยเลย”

     

    อันที่จริงขณะที่รถร่วงตกหน้าผา ฉินฟั่งก็ยังแยกได้ไม่ชัดว่านี่คือความฝันรึไม่ ด้านหนึ่งเป็นผลของยา อีกด้านหนึ่งเขาไม่อาจเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้ในช่วงเวลาสั้นๆ เขาจำได้ว่าตนเองกำลังนอนหลับอยู่ในห้องชัดๆ

    หลายปีก่อนฉินฟั่งไปดูหนังเรื่อง ‘Let the Bullets Fly’ ของเจียงเหวินในโรงภาพยนตร์กับเพื่อน ในฉากออกจากเมืองไปปราบโจร ที่ปรึกษาซึ่งแสดงโดยเก๋อโยวได้หยิบโทรโข่งออกมาร้องตะโกน บรรยายถึงความจำเป็นในการกวาดล้างโจร โดยพูดทั้งน้ำตาว่า ‘โจรไพ่นกกระจอกนั้นไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ต้องปราบ! ไม่ปราบไม่ได้! ลองคิดดูสิ คุณพาภรรยานั่งรถไฟ กินหม้อไฟร้องเพลง แต่ทันใดนั้นก็ถูกโจรไพ่นกกระจอกปล้น!’

    ตอนนั้นเขาหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง ตบบ่าตานจื้อกังผู้เป็นเพื่อนแล้วพูดว่า ‘ดูสิ ชีวิตคนนี่ไม่แน่นอนเลยนะ’

    ทำไมเรื่องแบบนี้ถึงได้เกิดกับเขา

    ก่อนหลับเขาดูรายการวาไรตี้โชว์ ดื่มน้ำมะนาว ทำไมพอลืมตาก็แต่งตัวมานอนอยู่บนรถในเขารกร้างเรียบร้อย แถมวินาทีต่อมายังตกหน้าผากันล่ะ

    ดวงจันทร์ยังคงลอยอยู่บนผืนนภา รัตติกาลยังมืดมิด ในช่วงเวลาสั้นๆ ฟ้าดินเกิดพลิกผันอะไรขึ้น

    ไม่มีเบาะแสใดๆ ทั้งสิ้น มีเพียงเสียงร้องโหยหวนของอันมั่นกับประโยคเดียวที่เขาได้ยิน

    ‘ไม่ใช่แกแล้วจะเป็นใคร ของล่ะ!’

    ฉินฟั่งหลับตาลงด้วยความอ่อนล้า

    โกหก ไม่จริง ผีอำ ฝันร้าย ก็เหมือนกับผู้หญิงบนเวทีงิ้วซึ่งค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้แต่ยังไงก็มองไม่เห็นใบหน้าคนนั้น ทั้งหมดล้วนเป็นความฝัน

    พรุ่งนี้เมื่อพระอาทิตย์ฉายแสง พอลืมตาขึ้นอันมั่นก็จะนอนอยู่ข้างกายเขาอย่างปลอดภัยไร้อันตราย

    พรุ่งนี้ต้องเป็นวันที่ดีอย่างแน่นอน

     

    รถยนต์อัดกระแทกเข้ากับพื้นอย่างแรง เสียงโครมดังกึกก้อง ตรงก้นหุบเขาไม่รู้มีเหล็กปลายแหลมหรือเสาที่ถูกผ่าจนหักตั้งอยู่ เนื่องจากปะทะด้วยแรงมหาศาล เสาแหลมจึงเสียบทะลุตัวรถทันที มันแทงเข้าด้านหลังหัวใจ ทะลุออกมาตรงแผ่นอกด้านหน้าเขา

    เสียงกระแทกดังสนั่นหวั่นไหวพาให้นกกาในป่าก้นหุบเขาร้องลั่นบินพล่านแตกตื่นจนมืดฟ้ามัวดิน ประหนึ่งเกิดหมอกควันดำบดบังสีสันรัตติกาลกะทันหัน

    นี่คือช่วงประมาณวันที่ยี่สิบของเดือนธันวาคม และเป็นวันที่สิบแปดเดือนสิบเอ็ดตามปฏิทินจันทรคติ ดวงจันทร์เพิ่งเริ่มเปลี่ยนจากจันทร์เต็มดวงเป็นจันทร์ครึ่งดวง ผ่านไปอีกไม่กี่วัน พอถึงวันที่ยี่สิบสามเดือนสิบเอ็ดของปฏิทินจันทรคติ จันทร์เต็มดวงจะแหว่งหายไปครึ่งหนึ่งกลายเป็นจันทร์แรมครึ่งดวง

     

    ตกลงตัวเขาตายแล้วหรือยังไม่ตายกันแน่

    สามัญสำนึกบอกว่าน่าจะตายแล้ว ยังไงก็ตกลงมาจากหน้าผาสูงขนาดนั้น แถมยังถูกเสาแหลมเสียบทะลุหัวใจด้วย

    กระนั้นหากกล่าวจากแง่มุมวิทยาศาสตร์ เขายังไม่ตาย

    เพราะตั้งแต่ต้นจนจบ หัวใจก็ยังเต้นขึ้นลงอย่างอ่อนแรง

    นี่น่าจะเป็นอาการบาดเจ็บเจียนตายที่มักเขียนถึงในหนังสือ ไม่ก็อาการดีขึ้นก่อนสิ้นใจ สวรรค์ไม่ได้แล้งน้ำใจถึงให้เขามีเวลาได้หวนคิดถึงชีวิตนี้…หากไม่ได้อยู่ในภูเขารกร้าง เขาคงมีโอกาสได้กำชับเรื่องงานศพและฝากฝังคำสั่งเสีย

    เขาเฝ้าคอยความตายที่จะมาถึงอย่างสงบ

    ภายในภูเขาเงียบสงัด บางครั้งก็จะได้ยินเสียงรถแล่นผ่านไปตรงทางบนเขาซึ่งอยู่สูง

    หลังจากตายแล้วจะยังมีสติแบบนี้รึเปล่า

    คำถามนี้เมื่อคิดให้ลึกก็ชวนให้ขนลุก แบบนั้นจะน่ากลัวขนาดไหนกันนะ บนโลกธรรมดาอันกว้างใหญ่แออัด รอบด้านรายล้อมไปด้วยดวงตานับไม่ถ้วนลอบจ้องมองอย่างเย็นชา จับตามองทุกความเคลื่อนไหวของคุณ ยามคุณเอ่ยด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่า ‘มีแค่ฟ้าดินและฉันกับเธอที่รู้’ ก็มีคนจ้องมองตาไม่กะพริบ ยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มเย้ยหยันอยู่ริมข้อศอกคุณ

    รอยยิ้มของคนตาย

    ช่วงเวลาที่กำลังจะตายช่างยาวนานราวไร้จุดสิ้นสุด เมื่อแรกฉินฟั่งยังกระสับกระส่ายและเป็นกังวล…

    อันมั่นเป็นยังไงบ้างแล้ว ไอ้ทุเรศสองคนนั้นจะกลั่นแกล้งรังแกเธอรึเปล่า อาทิตย์หน้ายังมีโปรเจ็กต์สำคัญต้องเจรจา นี่ก็ปลายเดือนแล้วต้องชำระค่าบัตรเครดิต หากประวัติเครดิตไม่ดี ต่อไปตอนยื่นเรื่องกู้เงินก้อนใหญ่จะยุ่งยากมาก…

    เย็นวันที่สามหรือวันที่สี่ มีหมาป่าตัวหนึ่งออกมาหาอาหารบริเวณใกล้ๆ มันดมรอบรถ แต่ที่น่าแปลกใจก็คือสุดท้ายมันก็ไม่ได้เข้ามา ต่อมามันหยุดยืนอยู่ห่างไปไม่ไกล ตวัดลิ้นสีแดงเลียอะไรบางอย่าง สายลมรอบด้านพัดโชยอ่อน ต้นหญ้าส่งเสียงดังซ่าๆ

    ฉินฟั่งปล่อยวางทุกเรื่องที่เขากังวลลงในเวลานี้เอง กังวลไปแล้วยังไงล่ะ เขาใกล้จะตายแล้ว ไร้กำลังจะทำอะไร

    นาทีนี้เขาพลันรู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมา

    หัวใจในอกยังคงเต้นขึ้นลงแผ่วเบา

    ยังต้องรออีกนานเท่าไหร่ ทำไมถึงยังไม่ตายเสียที

     

    ปลายเดือนธันวาคมปี 2013 แถบภูเขาชิงเฉิง เมืองเสฉวน

    เหยียนฝูรุ่ยที่ไว้ผมทรงนักพรตพาหว่าฝางลูกศิษย์ตัวน้อยอายุหกขวบเข็นรถเข็นคันเล็กซึ่งหอมด้วยกลิ่นช่วนช่วนเซียงกลับบ้าน เพิ่งมาถึงตีนเขาก็มองเห็นคนกลุ่มหนึ่งยืนอัดอยู่ตรงทางบนเขาด้านหน้า คนรูปร่างผอมแห้งด้านข้างหลายคนกางแบบแปลนวิศวะอย่างนอบน้อม ส่วนคนพุงยื่นอกล้ำ ชุดสูทปริออกครึ่งหนึ่งซึ่งมองดูแบบอยู่ก็พยักหน้าหงึกหงักด้วยความพึงพอใจ แขนเขาประเดี๋ยวก็ลากอยู่ด้านใน ประเดี๋ยวก็วาดมาด้านนอก

    เหยียนฝูรุ่ยโกรธจนไฟลุก ก้าวยาวๆ เข็นรถเข้าไปจนช้อนซุปกับชามซุปกระทบกันเป็นเสียงดังเคร้งๆ เมื่อเข้าไปใกล้ถึงส่งเสียงทักตรงไปยังคนหลายคนนั้นว่า “หลีกๆ! หลีกๆ! หลีกไปให้หมด!”

    เส้นผมของหว่าฝางยังยาวไม่มากพอจึงมวยผมเป็นทรงนักพรตน้อยไม่ได้ ทำได้เพียงถักเป็นเปียไว้บนศีรษะ เขาทำท่าทางดุร้าย พูดเสียงดุดันน่ากลัวอยู่ด้านหลังเหยียนฝูรุ่ย “หลีก! หลีกไปให้หมด!”

    คนหลายคนรีบกระโดดไปด้านข้างด้วยกลัวว่าน้ำซุปจะกระเด็นใส่เสื้อผ้า เหยียนฝูรุ่ยก้าวเดินฉับๆ เพิ่งจะทิ้งกลุ่มคนไว้ด้านหลังก็มีคนร้องเรียกเขาว่า “นักพรตเหยียน!”

    เหยียนฝูรุ่ยด่าอยู่ในใจ ไอ้สุนัขรับใช้ของนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์!

    ต้องเรียกว่าอาจารย์ศิษย์ใจสื่อถึงกัน ถ้อยคำหยาบคายของเหยียนฝูรุ่ยยังไม่ทันหลุดออกมา หว่าฝางก็เปล่งเสียงด่าแล้ว “ไอ้คนแซ่กวา ข้าจะล่อโคตรเหง้าบรรพบุรุษเอ็ง!”

    ไม่ได้การล่ะ หว่าฝางต้องไปเรียนมาจากเด็กเกเรตอนขายของข้างทางแน่

    เหยียนฝูรุ่ยฟาดฝ่ามือตรงท้ายทอยหว่าฝางแล้วเอ่ยว่า “กิริยา! ระวังกิริยาด้วย!”

    เวลานี้ซ่งกงผู้ร้องเรียกเขาไว้ม้วนแบบแปลนแล้วยื่นบุหรี่ให้เหยียนฝูรุ่ยก่อนด้วยใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้ม เหยียนฝูรุ่ยเอ่ยด้วยสีหน้าอวดดีว่า “ข้าไม่สูบบุหรี่”

    ซ่งกงผู้นี้เริ่มติดต่อเขาตั้งแต่เดือนที่แล้ว ทว่าตั้งแต่รู้ความตั้งใจของซ่งกง เหยียนฝูรุ่ยเห็นเขาทีไรในอกก็อัดแน่นด้วยความโมโห

    ทุกคนต่างรู้ว่าภูเขาชิงเฉิงอุดมสมบูรณ์ ขนาดคำขวัญท่องเที่ยวยังกล่าวไว้ว่า ‘ดูแม่น้ำต้องเขื่อนตูเจียง ถามถึงลัทธิเต๋าต้องภูเขาชิงเฉิง’ และเพราะในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออกจางเทียนซือได้ก่อกระท่อมเผยแผ่ลัทธิเต๋าอยู่ที่นี่ นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จึงได้ตั้งสโลแกนว่า ‘ดื่มด่ำกับความพิเศษสุดระดับห้าดาว ความสวยงามและเงียบสงบของเขาชิงเฉิงในบ้านคุณ’ เรื่องอยากสร้างรีสอร์ตไว้ที่นี่จึงเป็นเรื่องเข้าใจได้…

    แต่!

    มีสิทธิ์อะไรมารื้อที่ของเขา!

    ศาลาเทียนหวงของเขาคืออารามเต๋าซึ่งสืบทอดมาจากท่านอาจารย์ชิวซาน คิดจะรื้อหรือ ไม่มีทางเสียล่ะ! วันนี้ตอนขายช่วนช่วนเซียงเพื่อนที่ขายเนื้อแพะย่างเสียบไม้ได้เสนอวิธีให้เขา สหายเหล่านั้นบอกว่า ‘ไม่ว่าเมื่อไหร่ การบังคับรื้อถอนก็เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้! นักพรตเหยียน คุณต้องสู้ตาย! ต้องรวบรวมกำลังพรรคพวก ว่ากันว่านักพรตใต้หล้าล้วนคือพี่น้อง ฉันช่วยคุณเรียกร้องความเป็นธรรมบนเวยป๋อได้ รีโพสต์เกินห้าร้อยครั้งเดี๋ยวก็เรียกความสนใจได้เอง! คุณไปอดข้าวประท้วงที่เทศบาลได้ หรือไม่งั้นก็ไปร้องเรียนที่เมืองเยี่ยนจิง ไปพบท่านประธานาธิบดีสี!’

    ให้บุหรี่ก็ไม่เอา พูดดีๆ ก็ไม่ชอบต้องให้บังคับ ซ่งกงเองก็โมโหแล้ว คิดว่าเขาไม่เคยตรวจสอบมาก่อนเรอะ

    เขากระแอมให้คอโล่ง “คุณเหยียน คุณก็อย่าทำให้พวกเราทำงานลำบากเลย หากราคาไม่เหมาะสมก็คุยกันได้ไม่ใช่เหรอ ผมตรวจสอบมาแล้ว เดิมทีคุณก็ไม่ใช่นักพรต คุณว่าคุณทำผมทรงนี้วิ่งไปวิ่งมาทั้งวัน ถ้าผมรายงานคุณขึ้นมาจริงๆ คุณจะทำลายภาพลักษณ์นักพรตของประเทศจีนเรารึเปล่า แล้วยังศาลาเทียนหวงของคุณนั่น ด้านหน้าเป็นแค่อารามเล็กๆ ด้านหลังเป็นบ้านมุงหลังคากระเบื้อง ยังมาบอกผมว่าจะยื่นขอเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของโลก คืนให้ประเทศดูแลรักษา ผมตรวจสอบมาแล้ว บ้านหลังคากระเบื้องหลังนั้นของคุณสร้างขึ้นใหม่ในปีศูนย์เจ็ด ส่วนอารามสร้างขึ้นหลังปลดแอก แค่คุณเขียนคำว่าศาลาเทียนหวงสามคำนี้ไว้ด้านบนมันก็เป็นศาลาเทียนหวงแล้ว? แน่จริงคุณก็เขียนว่าจงหนานไห่สิ” เขาว่าพลางมองไปยังหว่าฝางผู้ทำท่าทางเหมือนไก่ชนตัวน้อย ถือโอกาสเล่นงานไปพร้อมกัน “อีกอย่างที่มาของหว่าฝางก็น่าสงสัย ลักพาตัวมารึเปล่าก็ไม่รู้…”

    เหยียนฝูรุ่ยโกรธจนควันออกหู “ข้าขอสู้ตายกับเอ็ง!”

    เขาอุ้มหม้อช่วนช่วนเซียงขว้างไปทางซ่งกง เสียดายที่หม้อหนักเกินไป โยนไปได้ครึ่งทางก็ร่วงลงพื้น พอซ่งกงเห็นเขาตั้งท่าลงไม้ลงมือก็หันหน้าเผ่นแน่บลงเขาไปทันที หม้อเหล็กกลิ้งกลุกๆ ไล่ตามอยู่ด้านหลัง หว่าฝางถลึงตาโต ร้องว่า “ข้าจะล่อโคตรเหง้า…”

    ทันใดนั้นเขาก็นึกได้ว่าอาจารย์บอกให้เขาระวังกิริยาจึงรีบกลืนประโยคครึ่งหลังกลับไป แต่เหยียนฝูรุ่ยกลับฟาดฝ่ามือใส่ท้ายทอยเขา “กลัวมันทำแป๊ะอะไร! ด่าสิ! ด่าให้เต็มที่!”

     

    เหยียนฝูรุ่ยเอาเนื้อย่างที่เหลือจากการขายคลุกกับข้าวสวยเป็นมื้อเย็น หว่าฝางหิวแล้วจริงๆ จึงตั้งหน้าตั้งตากินดังจั๊บๆ ทว่าเหยียนฝูรุ่ยกลับกลืนลำบากเนื่องจากกังวลอยู่สองเรื่องใหญ่

    อย่างแรกคือศาลาเทียนหวงไม่ใช่ร่องรอยประวัติศาสตร์ที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรมอะไรจริงๆ ทั้งอิฐร้าวกระเบื้องแตก จะขายไปยังต้องออกค่าขนส่งเพิ่ม แต่นี่คือสิ่งที่ท่านอาจารย์ชิวซานเหลือไว้ก่อนสิ้นลม หรือเขาผู้เป็นศิษย์ไม่ควรช่วยอาจารย์รักษาสถานที่แห่งนี้ไว้? อีกอย่างตัวเขาก็อยู่ที่นี่มาแต่เล็ก หากรื้อถอนจริงเขาจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ

    อย่างที่สองคือปัญหาเรื่องการศึกษาของหว่าฝาง หว่าฝางเป็นเด็กที่เขาเก็บมา บังเอิญว่าตอนนั้นกำลังสร้างบ้านหลังคากระเบื้องด้านหลังอยู่พอดีเลยเผลอเรียกอีกฝ่ายด้วยชื่อนี้ ตอนแรกเขาคิดไว้ว่าผ่านไปอีกสองปีค่อยให้หว่าฝางเข้าเรียน แต่ดูจากกิริยาและการแสดงออกต่างๆ ในช่วงนี้ของหว่าฝาง เรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วน…

    หว่าฝางกินไปได้ครึ่งหนึ่งก็นึกถึงเรื่องเมื่อครู่ขึ้นมากะทันหัน “อาจารย์ ผมไม่ใช่เด็กที่ลักพาตัวมาใช่มั้ย ผมเป็นเด็กที่อาจารย์เก็บมาไม่ใช่เหรอ เหมือนที่อาจารย์ปู่เก็บอาจารย์มา”

    เหยียนฝูรุ่ยพยักหน้า “ใช่”

    ครั้นนึกถึงเรื่องที่นักพรตชิวซานดูแลตน เหยียนฝูรุ่ยก็ถอนใจ “ตอนนั้นฉันก็โตเท่าเธอ…”

    เขาพูดถึงตรงนี้ก็ชะงักไปนิดหนึ่ง พอก้มหน้ามองตาตี่ๆ จมูกเล็กๆ ของหว่าฝางแล้วก็อดรังเกียจนิดๆ ไม่ได้ จึงเสริมอีกประโยคว่า “แต่ดูดีกว่าเธอมาก”

    หว่าฝางตักข้าวหนึ่งคำพลางครุ่นคิด แล้วถามอีกว่า “งั้นทำไมตอนนี้ถึงอัปลักษณ์แบบนี้ล่ะครับ”

    บ้าเอ๊ย นี่เข้าใจการเคารพครูบาอาจารย์รึเปล่าเนี่ย ปัญหาด้านการศึกษาจะชักช้าไม่ได้แล้วจริงๆ!

    เพราะถูกสองเรื่องข้างต้นรุมเร้า เหยียนฝูรุ่ยจึงกลัดกลุ้มจนตื่นขึ้นมากลางดึก เขาหยิบมือถือข้างหมอนมาดูเวลา ใกล้เที่ยงคืนแล้ว

    เขาถอนหายใจพลิกตัวหันไปด้านนอก ตรงกระจกมัวสลัว ดวงจันทร์ด้านนอกเพิ่งจะขึ้น บังเอิญเป็นจันทร์ครึ่งดวงพอดี เหยียนฝูรุ่ยคำนวณวันอยู่ในใจ จันทร์แรมครึ่งดวง น่าจะเป็นวันที่ยี่สิบสองหรือยี่สิบสามตามปฏิทินจันทรคติ…

    ยังไม่ทันคำนวณเวลาให้รู้ชัด ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว

    อารามมืดมิดหลังเล็กนอกหน้าต่างพลันหายวับไป เศษหินน้อยใหญ่นับไม่ถ้วนกระแทกผนังบ้านเป็นเสียงดังปังๆ เหยียนฝูรุ่ยตัวแข็งทื่ออยู่ห้าวินาทีเต็มถึงได้กระเด้งตัวกระโดดขึ้นจากเตียง

    ไอ้นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์น่าสับพันครั้ง มันต้องฉวยโอกาสช่วงพวกเขาไปขายช่วนช่วนเซียงติดตั้งระเบิดเวลาไว้ในอารามเล็กแน่! ไอ้คนแซ่กวา ข้าขอสู้ตายกับพวกเอ็ง!

     

    ว่ากันว่าวันที่หนึ่งเดือนหนึ่ง พระอาทิตย์กับพระจันทร์จะขึ้นในเวลาเดียวกัน และเมื่อถึงวันที่สิบห้าตามปฏิทินจันทรคติ พระจันทร์จะขึ้นตอนพระอาทิตย์ตกดิน จากนั้นทุกครั้งที่ผ่านไปหนึ่งวัน เวลาที่พระจันทร์ขึ้นก็จะช้าไปห้าสิบสองนาทีจากการโคจรของดวงจันทร์

    ปลายเดือนธันวาคม วันที่ยี่สิบสามเดือนสิบเอ็ดตามปฏิทินจันทรคติ จันทร์แรมครึ่งดวง ช่วงเวลาที่ดวงจันทร์ลอยขึ้นคือตอนเที่ยงคืน

    เมื่อจันทร์เสี้ยวลอยสูงอยู่บนท้องฟ้า ทันใดนั้นหัวใจเขาก็เต้นแรงอีกครั้ง

    เดิมทีกล้ามเนื้อหัวใจเพียงแค่หดตัว บีบรัด และคลายออกทีละนิด จากนั้นในหูก็ได้ยินเสียงดังตุบๆ รวมทั้งเสาแหลมซึ่งแทงทะลุหัวใจก็ขยับไหวเล็กน้อย

    ผืนดินใต้ร่างโยกไหวแผ่วเบา บนผิวดินชั้นนอกปรากฏรอยร้าวแผ่ไปรอบด้าน มดแมลงมากมายในพุ่มไม้ใบหญ้าพากันแตกฮือไปทั่วทุกสารทิศ กระทั่งอสรพิษซึ่งจำศีลอยู่ใต้ดินยังเลื้อยร่างลื่นยาวผ่านหญ้าแห้งเข้าร่วมกลุ่มหลบหนีด้วยความตื่นตระหนก

    บริเวณป่าทึบห่างออกไปมีเสียงกระพือปีกพึ่บพั่บลนลานดังแว่วมา นกหากินตอนกลางคืนบินแตกตื่นพุ่งชนเข้าใส่ลำต้นไม้อย่างไม่รู้ทิศทาง

    ฉินฟั่งนิ่งฟังอย่างสงบ

    เสียงหัวใจที่ดังขึ้นไม่ได้มีเพียงของเขา

    ตรงใต้ดินเบื้องหลังเขายังมีอีกหนึ่ง

    ฉินฟั่งไม่รู้สึกตึงเครียดหรือหวาดกลัว เขานิ่งฟังเสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะด้านล่าง ทันใดนั้นความคิดประหลาดก็ผุดขึ้นมา

    ความเข้าใจที่มนุษย์เรามีต่อโลกใบนี้ช่างน้อยนัก

    ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาได้ประสบพบเจอในช่วงหลายวันนี้ไม่ว่าหยิบเรื่องไหนมาพูดก็จะต้องถูกคนหาว่า ‘เหลวไหล’ ‘มโน’ ‘งมงาย’ ตกหน้าผาจะไม่ตายได้ไง อวัยวะที่ใกล้หยุดทำงานจะกลับมาทำงานโดยไม่มีสาเหตุได้ที่ไหน ใต้ดินจะไปมีหัวใจเต้นได้ยังไง นายมีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์มั้ย มีหลักฐานสมเหตุสมผลมารองรับรึเปล่า

    เพราะเอาแต่ต้องการวิทยาศาสตร์กับความสมเหตุสมผลจึงพลาดไปหลายสิ่งหลายอย่าง ทุกคนต่างคิดว่าโลกของคนใกล้ตายเป็นแค่ความเงียบเหงายาวนานจากการนอน ใครจะเชื่อว่าจะมีเรื่องไม่คาดฝันและแปรผันขึ้นลงมากมายขนาดนี้

    ฉินฟั่งเหยียดมุมปากคิดจะยิ้ม ตอนนี้เองด้านหลังก็พลันมีเสียงถอนหายใจของผู้หญิงดังขึ้น

    จะว่าถอนหายใจก็ไม่ถูกนัก มันเหมือนเสียงครางยามใกล้ตื่นที่แฝงด้วยความโกรธเกรี้ยวและปวดร้าวมากกว่า

    ฉินฟั่งยังนึกว่าตัวเองหูฝาด ขณะคิดจะตั้งใจเงี่ยหูฟังอีกครั้ง กระแสลมมหาศาลด้านหลังก็โหมอัดใส่เขาจนลอยคว้างอยู่กลางอากาศทั้งรถและคน จากนั้นก็ร่วงตกเสียงดังสนั่นหวั่นไหวห่างไปหลายเมตร

    เขากระแทกและกลิ้งอยู่ในรถหลายตลบ สุดท้ายก็ชนประตูรถพังกลิ้งกลุกออกมา ดาวทองหมุนติ้วอยู่ตรงหน้า นกหากินกลางคืนในป่าบินว่อนดังพึ่บพั่บ เสียงจากการปะทะสะท้อนก้องอยู่บนหน้าผา หมุนวนขึ้นไปด้านบนทีละรอบ

    เสาแหลมซึ่งแทงทะลุหัวใจเขาอยู่ห่างไปไม่ไกล มันสูงประมาณครึ่งเมตร พื้นดินรอบด้านแตกร้าวนูนขึ้นคล้ายเพิ่งผ่านแผ่นดินไหวขนาดย่อม ฉินฟั่งพลันรู้สึกตึงเครียด เขาจ้องมองไปยังผิวดินซึ่งนูนขึ้นมา…

    ก้อนดินเล็กจิ๋วชั้นนอกสุดแตกล่อนหลุดร่วงลงอย่างเชื่องช้า เสาแหลมสั่นคลอนไปทางซ้ายขวาเล็กน้อย และคนคนหนึ่งก็ผุดลุกขึ้นนั่งจากใต้ดิน

    เทียบกับ ‘คน’ แล้ว ฉินฟั่งอยากเรียกเธอว่า ‘โครงกระดูก’ มากกว่าทว่าก็ไม่แน่ใจนัก ที่บอกได้แน่นอนคือบนโครงกระดูกมีหนังมนุษย์หุ้มอยู่หนึ่งชั้นต่างจากโครงกระดูกจัดแสดงในห้องทดลองทั่วไป และที่เรียกมันว่า ‘เธอ’ ก็เพราะมีลักษณะพิเศษของเพศหญิงเด่นชัดสองอย่าง

    อย่างแรก เธอไว้ผมยาวเหยียดถึงบั้นเอว แม้ว่าเส้นผมนั้นจะแห้งกรอบจนดูคล้ายต้นหญ้าชี้ฟู

    อย่างที่สอง ชุดที่เธอสวมคือ…กี่เพ้า แม้ว่าหลายจุดบนชุดกี่เพ้าจะเปื้อนคราบเลือดจนกลายเป็นสีดำ และตรงขอบเปื่อยขาดมีด้ายรุ่ย แต่ก็ยังเป็นกี่เพ้าผ่าสูงตัวหนึ่ง

    กี่เพ้าแบบนี้เมื่อสวมอยู่บนเรือนร่างอ้อนแอ้นของหญิงสาวควรจะเซ็กซี่มาก แต่ถ้าเนื้อหนังซึ่งเผยออกมาตรงจุดผ่าสูงเป็นกระดูกต้นขาคลุมด้วยผิวหนังนั้นก็…

    ฉินฟั่งได้แต่ลอบถอนหายใจให้ความอัปลักษณ์นั้น

    ทว่าความสนใจของเขาก็ถูกสิ่งอื่นบนร่างเธอดึงดูดไปอย่างรวดเร็ว

    บนร่างของผู้หญิงคนนี้มีเสาแหลมเสียบอยู่สามอัน เป็นเสาสั้นใต้ชายโครงข้างซ้ายขวาสองอัน ส่วนเสาด้านบนตรงตำแหน่งที่ตรงกับหัวใจเป็นเสายาว เมื่อเธอดิ้นรนลุกขึ้น กระดูกอันเปราะบางก็ถูกเสาแหลมรั้งจนเกือบหัก และเห็นได้ชัดว่ามันทำให้เธอหัวเสียสุดๆ…ลำคอเธอเปล่งเสียงกรีดร้องแหลมก่อนเอื้อมมือไปจับเสาใต้ชายโครงทางซ้ายแล้วกระชากออก

    ฉินฟั่งมองจนรู้สึกหนังศีรษะชาหนึบ การดึงเสาแหลมพวกนั้นออกคงเป็นเรื่องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรง…หลังดึงเสาแหลมทั้งหมดออกผู้หญิงคนนั้นก็คุกเข่าหมดแรงอยู่บนพื้น เธอยันร่างด้วยแขนสองข้างอยู่นิ่งๆ ไม่ขยับเนิ่นนาน

    ฉินฟั่งอดคิดไม่ได้ว่าตกลงแล้วนี่คือ ‘สิ่งมีชีวิต’ ชนิดไหน

    ‘ศพหลอก’ รึ? ตายมาจนแทบจะเหลือแต่กระดูกก็น่าจะตายมานานหลายปีแล้วล่ะมั้ง เขาเคยเห็นพวกที่ตายไปนานหลายปีแต่ยังคลานออกมาแบบนี้ในหนังซอมบี้อย่างเรื่อง Resident Evil เพราะงั้นจึงไม่น่าใช่ผี ตามแนวคิดที่สืบทอดกันมาผีนั้นไม่มีร่าง…

    คิดได้ดังนี้ฉินฟั่งก็มองดูเธออีกรอบ แสงจันทร์กำลังส่องสว่าง ลำแสงสีเงินยวงลูบไล้ผ่านเส้นผมยาวประหนึ่งแพรไหมสีดำของเธอ

    เดี๋ยวก่อน แพรไหม? เมื่อครู่นี้ยังเป็นเส้นผมชี้ฟูยุ่งเหยิงเหมือนหญ้าเหี่ยวๆ อยู่เลยไม่ใช่เหรอ

    ฉินฟั่งมองผู้หญิงคนนั้นลุกขึ้นอีกครั้ง ทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่าแค่แป๊บเดียวที่เขาใจลอย หลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นดึงเสาแหลมในร่างออก รูปร่างภายนอกของเธอก็เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง

    ที่มองเห็นอยู่ตรงหน้าคือสาวน้อยผู้เรียกได้ว่างามจนตะลึง แต่ในเมื่อเธอไม่ใช่คน ดังนั้นจะสวยอย่างไรก็ไม่น่าแปลกใจ…ไม่ใช่ผีดิบ ไม่ใช่ผี หรือว่าจะเป็น…ปีศาจ?

    ฉินฟั่งรู้ได้โดยจิตใต้สำนึกว่าเธอต้องเป็นตัวละครที่ร้ายกาจมากและผ่านการตายอันไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง เสาแหลมสามอันเหมือนจะเป็นผนึกหรือการป้องกัน ถ้าหากหลังจากคนคนหนึ่งตายไปแล้วยังทำให้ผู้คนหวาดกลัวและลำบากลำบนขนาดนี้ได้ คนคนนั้นต้องไม่ใช่ธรรมดาแน่ นอกจากนี้เป็นไปได้ว่าเธออาจมีนิสัยเย่อหยิ่งและอยู่ด้วยยาก ดูจากท่ายืน สีหน้าบนใบหน้ากับคางที่เชิดขึ้นเล็กน้อยของเธอก็พอมองออกหลายส่วน

    เธอไม่แม้แต่จะมองฉินฟั่งสักแวบ สายตาเอาแต่มองขึ้นไปพิจารณาหน้าผาโอบล้อมเป็นวงกลมเล็กจิ๋วด้านบน ผู้หญิงคนนั้นจ้องมองอย่างเย็นชาอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็กระโดดบินขึ้นไปราวกับวิหคยักษ์ พริบตาเดียวก็กลายเป็นจุดดำๆ ที่ยิ่งบินไปก็ยิ่งเล็กลงในสายตาฉินฟั่ง

    ฉินฟั่งสูดลมหายใจ

    เธอบินได้ด้วย? จะบินไปไหนกัน พอถึงยอดหน้าผาก็คือถนนวนรอบเขา ตรงนั้นคือสังคมมนุษย์อย่างแท้จริง เธอจะทำร้ายคนรึเปล่า จะกินคนมั้ย จะสร้างความหวาดผวาให้คนอื่นหรือไม่…

    ข้อสงสัยหลายข้อยังไม่ทันกระจ่างเขาก็ได้ยินเสียงลมประหลาด ฉินฟั่งเอียงศีรษะโดยไม่รู้ตัว

    ตอนนี้เองก็มีเสียงโครมดังสนั่น ผู้หญิงคนนั้นตกลงมาอีกครั้ง

    ไม่ได้พูดเกินจริงแต่อย่างใด เธอร่วงกระแทกลงมาห่างจากบริเวณด้านหน้าไปไม่ไกลอย่างแรงจนฝุ่นดินฟุ้งตลบ เสียงดังสนั่นหวั่นไหวยิ่งกว่าตอนรถกระแทกลงมาเมื่อครู่เสียอีก ทำเอาพื้นดินยุบลงเป็นรูปคน เพราะครั้งนี้ตกลงมาไม่เบา แขนขาอะไรจึงหักหมด แถมตอนร่วงลงมายังได้ยินเสียงกระดูกคอหักชัดเจน ที่สำคัญกว่านั้นคือ…เธอเอาหน้าทิ่มดิน

    เหตุการณ์หลังจากนั้นกระทั่งตัวฉินฟั่งเองยังไม่เข้าใจ เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ปฏิกิริยาแรกของเขาหาใช่การตกใจ หวาดกลัวหรือเห็นใจ แต่เป็น…

    เขารู้สึกขำเป็นพิเศษเลยหัวเราะฮ่าๆ ดังออกมาแบบควบคุมไม่อยู่

    ตอนแรกเธอวางท่าเสียเต็มที่ แบบที่ภาษาบนอินเตอร์เน็ตว่า ‘สูงส่งงดงามเย็นชา’ ตอนเหาะทะยานขึ้นฟ้าเขายังนึกว่าเธอจะบินขึ้นไปถึงดวงจันทร์ได้ ผลกลับตบมือได้แปะเดียวก็ร่วงดิ่งลงมา แถมยังเอาหน้าทิ่มดิน อีกเดี๋ยวตอนเงยขึ้นมาหน้าคงกลายเป็นกระทะก้นแบนไปแล้วมั้ง

    ตลกสุดยอด! นี่นับเป็นเรื่องสนุกเรื่องแรกที่หาเจอในหลายวันนี้ ฉินฟั่งหัวเราะจนเกือบน้ำตาไหล ทว่าหัวเราะไปสักพักเขาก็ชักหัวเราะไม่ออกแล้ว

    ผู้หญิงคนนั้นลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง ต้องขอชมว่าหัวเธอแข็งจริงๆ แม้แขนกับคอจะหักหมด แต่ใบหน้านั้นก็ยังไม่เป็นไร เธอบิดแขนขาที่ตกลงมาหักให้กลับมาตรงท่ามกลางเสียงหัวเราะของฉินฟั่งที่ชักจะขำไม่ออกขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็ใช้สองมือประคองศีรษะ บิดให้หันหน้ามาทางฉินฟั่งดังกร๊อบ

    สายตานั้นเย็นชามาก ดวงตาวาวเรืองราวกับผสมด้วยเพชรเม็ดเล็กๆ ฉินฟั่งถูกเธอมองจนเริ่มรู้สึกอึดอัด ทั้งยังรู้สึกว่าตัวเองหัวเราะได้ไม่ถูกจังหวะเอามากๆ เขาร้อนตัวจนคิดเบนสายตาหลบ

    ผู้หญิงคนนั้นพูดขึ้นแล้ว

    “อย่าหยุด หัวเราะต่อสิ”

    ฉินฟั่งไม่ได้หัวเราะ เขารู้สึกกระอักกระอ่วนมาก ว่ากันตามตรง ผู้ชายหัวเราะผู้หญิงเป็นบ้าเป็นหลังแบบนั้นก็ไม่ได้ดูดีมีเกียรติเท่าไหร่

    “ปีหมินกั๋วที่เท่าไหร่” เธอถาม

    ฉินฟั่งไม่เข้าใจ ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่พูดซ้ำ เอาแต่มองเขาอยู่แบบนั้นจนกระทั่งเขามีท่าทีตอบสนอง

    “พวกเราไม่ได้ใช้ปีหมินกั๋วแล้ว”

    “ปีที่คนญี่ปุ่นก่อความวุ่นวายตรงสะพานมาร์โคโปโลในเซี่ยงไฮ้คือปีอะไร”

    ฉินฟั่งไม่ค่อยแน่ใจเรื่องปีหมินกั๋ว แต่ก็มีความรู้ทั่วไปทางประวัติศาสตร์ “เธอหมายถึงเหตุการณ์ที่สะพานมาร์โคโปโล? วันที่เจ็ดกรกฎาคม ปีหนึ่งพันเก้าร้อยสามสิบเจ็ด”

    “ตอนนี้ปีอะไร”

    “ปีสองพันสิบสาม…แต่อีกไม่กี่วันก็จะข้ามปีแล้ว เธอถือซะว่าเป็นปีสองพันสิบสี่ละกัน”

    ผู้หญิงคนนั้นเงียบไป เธอลุกขึ้นยืน ขมวดคิ้วเล็กน้อยคล้ายกำลังขบคิดอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นฉินฟั่งก็คล้ายเข้าใจอะไรขึ้นมาจึงถามด้วยความลังเลว่า “เธอ…ตายปีสามเจ็ดใช่รึเปล่า”

    ผู้หญิงคนนั้นไม่สนใจเขา หากเป็นยามปกติฉินฟั่งคงไม่เป็นฝ่ายชวนเธอคุยเช่นกัน แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เหนือความคาดหมายเกินไป ในโรงเรียนไม่เคยสอน เขาเองก็ไม่รู้ว่าตนเองเป็น ‘สิ่งมีชีวิต’ ชนิดไหน ผู้หญิงคนนี้ตายมานานกว่าเขา ไม่แน่อาจเป็นรุ่นพี่ก็ได้

    “ฉันชื่อฉินฟั่ง ตกลงมาเมื่อสองวันก่อน…”

    เริ่มพูดก็ติดขัดเสียแล้ว เขาไม่รู้จริงๆ ว่าต่อไปควรพูดอะไรต่อ แต่เรื่องคาดไม่ถึงก็คือคำพูดเขาเรียกความสนใจจากผู้หญิงคนนั้น

    “ตกลงมาเมื่อสองวันก่อน?”

    ฉินฟั่งพยักหน้า

    “ตายรึยัง”

    นับว่าตายหรือยังไม่ตายกันนะ

    ฉินฟั่งเล่าสถานการณ์คร่าวๆ ครู่หนึ่ง เธอไม่สนใจเรื่องการตกหน้าผาอะไรก่อนหน้านี้เลย เพียงซักถามด้วยความประหลาดใจว่า “เสาแหลมแทงทะลุหัวใจงั้นเหรอ”

    ฉินฟั่งขานรับส่งๆ แล้วรีบยืนยันอีกเรื่อง “อย่างพวกเรานี่ยังนับว่าเป็นคนธรรมดาอยู่รึเปล่า พวกเรา…ควรซ่อนตัวหรือไปใช้ชีวิตท่ามกลางผู้คน”

    ผู้หญิงคนนั้นมองเขา สายตาฉายแววเหยียดหยามเล็กน้อย ฉินฟั่งค่อนข้างกระวนกระวาย คิดจะพูดให้ชัดเจนอีกครั้ง ทว่าผู้หญิงคนนั้นกลับอ้าปากพูดขึ้น

    “ใครเป็น ‘พวกเรา’ กับนาย”

    ฉินฟั่งงงไปวูบหนึ่ง “พวกเราไม่เหมือนกันเหรอ”

    “ต้องไม่เหมือนอยู่แล้ว นายเป็นมนุษย์ ส่วนฉัน…เป็นปีศาจ”

    แต่ดูแล้วก็ไม่ต่างกันมากนี่ ทำไมเธอถึงเป็นปีศาจล่ะ เพราะเธอบินได้?

    ฉินฟั่งไม่เข้าใจ

    ผู้หญิงคนนั้นมองออกว่าเขาไม่เข้าใจ เธอจึงพยักพเยิดไปทางเสาแหลมอันนั้น “ยังไม่เข้าใจเหรอ ฉันเป็นปีศาจ เพราะก่อนหน้าที่จะถูกฆ่าก็เป็นปีศาจ การสังหารปีศาจนั้นยากมาก แต่ขั้นตอนสำคัญที่สุดขั้นตอนหนึ่งก็คือต้องรีดเลือดให้แห้ง ฉันตายมานานมากแล้วและไม่น่าจะคืนชีพกลับมาได้อีก แต่โชคดีมากที่นายตกลงมา เสาแหลมนั่นแทงทะลุหัวใจของฉันกับนาย เลือดนายไหลลงมาตามเสาแหลม หยดเข้ามาในหัวใจฉัน เพราะงั้นฉันเลยคืนชีพกลับมา พร้อมกันนั้นไอปีศาจของฉันก็ยื้อชีวิตนายไว้ไม่ให้ตาย”

    พูดถึงตอนท้ายเธอก็หัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี

    “นายชื่อฉินฟั่งสินะ นายถามฉันว่าคนอย่างพวกเรามีเยอะมั้ย ไม่เยอะ ฉันอาจจะเป็นปีศาจผู้ฟื้นคืนชีพได้เพียงตนเดียว ส่วนนายก็เป็นมนุษย์คนเดียวที่อาศัยไอปีศาจต่อชีวิตเช่นกัน”

    ปีศาจ? ต่อชีวิต? ฟังดูเหมือนเป็นหัวข้อสนทนาในโลกแฟนตาซี ฉินฟั่งมึนงงอยู่นานสองนาน “หลังฟื้นคืนชีพยังเหมือนกับเมื่อก่อนรึเปล่า”

    ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ตอบทันที เธอแหงนหน้ามองไปบนที่สูง ฉินฟั่งได้ยินเสียงเธอเอ่ยคล้ายละเมอว่า “ไม่เหมือน หากเป็นแต่ก่อนฉันไม่มีทางตกลงมา…ตอนนี้ฉันเป็นแค่ครึ่งปีศาจอย่างที่คิด”

    ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็ก้มหน้าลงมองฉินฟั่ง “จากนี้ไปนายต้องฟังที่ฉันสั่งให้ทำ ฉันชื่อซือเถิง”

    ฉินฟั่งคิดจริงๆ ว่าตัวเองฟังผิดไป เขาเงยหน้ามองเธอ รู้สึกโมโหจนกลายเป็นขำ

    ผู้หญิงคนนี้ช่างสำคัญตัวผิดเสียจริง มีเหตุผลอะไรที่เขาต้องฟังเธอสั่งกัน

     

    ลั่วหลงเอ๋อร์จย่าจำอันมั่นได้แม่นมาก พอฉินฟั่งสอบถามก็นึกออกทันที เขาโบกไม้โบกมือเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นให้ฉินฟั่งฟังว่าอันมั่นได้รับโทรศัพท์ด่วนว่ามารดาป่วยหนักจึงมาคืนห้อง และตัวเขาก็ช่วยพยุงฉินฟั่งผู้ดื่มเหล้าจนเมามายเข้าไปในรถ…

    เล่าถึงช่วงท้าย ในน้ำเสียงเขาก็ฉายแววไม่พอใจมาก ผู้ชายชาวทิเบตพูดจาตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม จึงถามฉินฟั่งแบบสุดแสนจะไม่เกรงใจว่า “ทำไมคุณถึงได้พาผู้หญิงอีกคนกลับมาล่ะ”

    ฉินฟั่งก็โคตรอยากถามคำถามนี้กับตัวเองเหมือนกัน เหตุผลของเรื่องนั้นมีเพียงสองข้อ

    หนึ่งคือหาเรื่องใส่ตัว

    สองคือตัวเขานิสัยดีเกินไป มีความเป็นสุภาพบุรุษมากเกิน บนภูเขารกร้างอากาศหนาวเย็นแทบจับเป็นน้ำแข็ง ต่อให้เป็นปีศาจก็ไม่ได้หน้าตาดุร้ายน่ากลัว สวมใส่แค่กี่เพ้าเปื่อยยุ่ย กระทั่งเท้ายังเป็นเท้าเปล่า ตายครั้งหนึ่งก็กินเวลาถึงเจ็ดสิบแปดสิบปี ขนาดเบอร์ฉุกเฉินยังโทรไม่เป็น เป็นคุณจะจากมาโดยไม่ไยดีได้เหรอ

    และความเห็นอกเห็นใจนี้ก็ทำให้ฉินฟั่งเสียใจสุดซึ้ง ซูสีไทเฮาผู้เรียกตัวเขากลับมายังชาตินี้คือปีศาจสาวจากยุคสาธารณรัฐผู้ปล่อยไวรัสโรคเจ้าหญิงออกมาจากทั่วทุกรูขุมขนบนร่าง

    หลังเก็บกวาดบัตรสำคัญและกระเป๋าเดินทางในรถตรงก้นหุบเขาเสร็จ เขาลังเลแล้วลังเลอีกถึงได้หยิบชุดของอันมั่นให้เธอเปลี่ยน ซือเถิงใช้ปลายนิ้วสองนิ้วคีบไป ดมๆ ดูแล้วก็โยนกลับใส่อ้อมแขนเขา เท่านี้ยังไม่พอ เธอยังสะบัดนิ้วคล้ายมันทำให้เธอสกปรกพลางเอ่ยอย่างเย็นชาว่า ‘เสื้อเน่าๆ’

    เสื้อเน่าๆ?

    ฉินฟั่งนับว่าเป็นคนอารมณ์ดี แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าซือเถิง อีกนิดเขาก็เกือบจะโมโหขึ้นมา คนที่ขุดตัวเองออกมาจากใต้ดิน บนตัวไม่รู้ว่ามีไวรัสมีแบคทีเรียมากน้อยขนาดไหนอย่างเธอให้เสื้อใส่ก็ถือว่าบุญแล้ว แม้อันมั่นจะไม่ใช่ประเภทใช้จ่ายฟุ่มเฟือยแบบจ่ายเงินก้อนโตในคราวเดียว แต่เสื้อผ้าทุกชุดก็มียี่ห้อมีรสนิยม เสื้อเน่าๆ งั้นเหรอ สู้เสื้อเปื่อยขาดวิ่นเหมือนผ้าขี้ริ้วบนร่างเธอตัวนั้นไม่ได้หรอกมั้ง

    ไม่รู้จริงๆ ว่าสิ้นเปลืองพลังงานมากเท่าไหร่ถึงกดไฟโกรธลงไปได้ เขาชี้กระเป๋าเดินทางพลางบอกซือเถิงว่ามีเสื้อผ้าแค่นี้ เธอจะใส่หรือไม่ใส่

    ซือเถิงตอบ ‘งั้นก็ไม่ใส่’

    เธอไม่สนใจจริงๆ ร่างกายของปีศาจต่างจากคนธรรมดา ต่อให้อุณหภูมิติดลบเธอก็ไม่มีท่าทีจะกลัวหนาวเลยสักนิด…แต่ฉินฟั่งช่างมันไม่ได้ เขาต้องพาเธอออกไป เธอสวมเสื้อผ้าแบบนี้จะพานให้คนมอง ไม่แน่อาจคิดว่าตัวเขาทำอะไรเธอก็เป็นได้

    เขาทั้งอัดอั้นตันใจและหงุดหงิด นี่มันเรื่องอะไรกัน เขาขอร้องอ้อนวอนให้เธอไปเลือกเสื้อผ้าของอันมั่น ทว่าซือเถิงกลับไม่ซาบซึ้งในบุญคุณเลยแม้แต่น้อยนิด เธอคีบเสื้อขึ้นมาพลิกดูทีละตัวด้วยท่าทางจองหองถือดี จากนั้นก็โยนทิ้งไว้ด้านข้าง ชุดเดียวที่มองนานหน่อยก็คือ…

    เสื้อในลูกไม้คอวีเว้าลึกของอันมั่น

    ฉินฟั่งฉกไปอย่างไว

    มือซือเถิงยังค้างอยู่ในท่าคีบเสื้อใน เธอมองฉินฟั่งอย่างมีนัยล้ำลึก ฉินฟั่งกัดฟันกรอด ‘ของใช้ส่วนตัว!’

    ซือเถิงร้องอ่อ เธอค้นต่อประหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉินฟั่งผ่อนลมหายใจโล่งอก ขณะครุ่นคิดว่าจะยัดไว้ตรงไหนดี เธอก็เอ่ยเนิบนาบว่า ‘ดวงความรักแรงไม่เบานี่’

    ฉินฟั่งหาใช่เด็กน้อยหัวเกรียน ตอนอยู่กันเองกับเพื่อนก็พูดหยอกล้อเรื่องความรักเหมือนกัน ทว่ากลับถูกประโยคนี้ของเธอพูดใส่จนเขิน แดงตั้งแต่หน้ายันคอ

    บ้าฉิบ ปีศาจก็คือปีศาจจริงๆ ฉินฟั่งคิดด้วยความขุ่นเคือง

    การเดินลุยขึ้นเขาจากก้นหุบเขาใช้เวลาเกือบหนึ่งวัน ถึงฉินฟั่งจะมีร่างกายแข็งแรงและคุ้นเคยกับการออกกำลังกายแต่ก็ไม่ใช่นักกีฬากลางแจ้งมืออาชีพ ระหว่างทางจึงเหนื่อยจนกระทั่งลมหายใจยังไม่สม่ำเสมอ เขาลองถามหยั่งเชิงซือเถิงว่าบินอีกครั้งได้มั้ย…เขารู้ว่าเธอบินได้ไม่สูง เพราะงั้นแค่พาบินไประยะทางสั้นๆ ก็ได้

    ซือเถิงไม่สนใจเขา ฉินฟั่งต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ถึงรู้ว่าเธอบินไม่ได้แล้ว คาดว่าเธอคงเหมือนแบตเตอรี่ที่ใช้จนหมดและวางทิ้งไว้นาน ตอนเพิ่งฟื้นยังมีพลังปีศาจเหลือให้หยิบยืมอยู่เล็กน้อย ช่วยให้เธอหน้าทิ่มดินได้หนึ่งรอบ

    ฉินฟั่งยังไม่ถอดใจ เขาถามอีกว่าตกลงแล้วเธอมีพลังแบบไหน ทะลุกำแพงหรือว่าล่องหนหายตัว เจาะรูหรือดำดิน แต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับใดๆ สุดท้ายฉินฟั่งก็พลันตระหนักอะไรได้บางอย่าง เขาถามเธอว่า ‘คงไม่ใช่ว่าหลังเธอตายมาหนึ่งครั้ง บาดเจ็บสาหัสเกินไป เลยไม่ต่างจากคนธรรมดาหรอกนะ’

    คราวนี้ในที่สุดซือเถิงก็ตอบเขา ‘นายมีปัญหาเหรอ’

    ฉินฟั่งจ้องเธออยู่สองวินาทีเต็ม จากนั้นถึงส่ายหน้า ‘เปล่า’

    เขาแฮปปี้สุดๆ แฮปปี้แบบขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ถามอยู่ครึ่งค่อนวันความสามารถดันใช้การไม่ได้ หากเธอเจ๋งจริง เขายังจะนับถือเธอสามส่วน หรือถ้าทำตัวน่ารักก็ยินดีช่วย แต่ตอนนี้กลับทำตัวน่ารำคาญที่สุด สลัดทิ้งได้ในเสี้ยววินาทีโดยไม่ต้องว่ากันเลย

     

    เมื่อกลับมาถึงโรงแรม ฉินฟั่งก็เปิดห้องแล้วทิ้งซือเถิงให้ดูโทรทัศน์อยู่ข้างใน เพราะระหว่างทางเธอถามว่าทำยังไงถึงจะเข้าใจโลกในอีกเจ็ดสิบกว่าปีให้หลังได้เร็วที่สุด…การอ่านหนังสือหรือหนังสือพิมพ์นั้นเห็นผลช้า อีกทั้งตัวหนังสือที่เธออ่านออกคือจีนตัวเต็ม จึงไม่มีอะไรเหมาะไปกว่าการดูโทรทัศน์ มีทั้งภาพทั้งเสียงและชีวิตอันหลากหลาย ค่อยๆ ขัดเกลาเอาเองก็แล้วกัน

    เขาใช้ช่วงนี้สอบถามเหตุการณ์วันเกิดเรื่อง เขาลังเลอยู่นานมากแต่สุดท้ายก็ไม่ได้แจ้งความ หนึ่งเพราะสองคนที่เห็นในคืนนั้นคล้ายอันธพาลตามท้องถนน ที่นี่อยู่ห่างไกลจากตัวเมือง อาจปกครองโดยอำนาจมืด แจ้งความไปกลับจะเป็นภัย สองเพราะหากว่ากันอย่างจริงจังแล้ว ประสบการณ์สองวันนี้ของเขาคือเรื่องอัศจรรย์เกินคาดฝัน หากจะให้เขาเล่าเหตุการณ์ก็ไม่รู้ว่าควรกลบเกลื่อนยังไง

    ฉินฟั่งตัดสินใจกลับไปเมืองหางโจวก่อน เขาคุ้นเคยกับที่นั่น ทั้งยังมีมิตรสหายหลายคนสะดวกแก่การฝากฝังหาเส้นสาย โอกาสสำเร็จสูงกว่าเที่ยวหาอย่างหัวเดียวกระเทียมลีบอยู่ที่นี่

    เขากลับห้องไปหาซือเถิง รายการโทรทัศน์กำลังฉายละครรักหลังข่าว พระเอกหนุ่มหล่อร่างสูงใหญ่มองดูแฟนสาวจอมป่วนด้วยสีหน้ารักใคร่ แล้วพูดแบบทั้งรักทั้งชังว่า “เธอมันปีศาจน้อยจอมยุ่ง…”

    ฉินฟั่งสยองจนขนลุกเกรียวไปทั้งตัว ซือเถิงกลับไม่แสดงสีหน้าอะไร หลังมองดูอย่างเย็นชาครู่หนึ่งก็เปลี่ยนช่องก่อนเอ่ยว่า “ก็เหมาะจะเรียกว่าปีศาจ”

    เหมาะจะเรียกว่าปีศาจงั้นเหรอ แล้วเธอเป็นปีศาจแบบไหนเนี่ย ในความคิดเธอปีศาจควรเป็นแบบไหนกัน

    ฉินฟั่งกระแอมให้คอโล่ง ซือเถิงมองเขา ใช้รีโมตคอนโทรลเปลี่ยนเป็นโหมดปิดเสียง ถามเขาว่า “มีอะไร”

    ฉินฟั่งไม่ได้ตอบทันที สายตาเขาหยุดอยู่ที่รีโมตคอนโทรลครู่หนึ่ง เขาไม่เคยสอนเธอว่าใช้ยังไง หลังเปิดโทรทัศน์ให้ก็ไปยุ่งเรื่องของตัวเอง ในเวลาสั้นๆ แค่นี้เธอก็จับจุดเรียนการควบคุมพื้นฐานเป็นแล้ว

    ซือเถิงเป็นปีศาจที่ไม่แสดงสีหน้า แต่จะคอยสังเกตด้วยดวงตาเย็นชาอยู่เสมอและปรับตัวได้รวดเร็วยิ่ง เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกถึงแรงกดดันและการข่มขู่อย่างประหลาด

    “ฉันอยากไปตามหาอันมั่นว่าที่ภรรยาของฉัน เธอล่ะมีแผนยังไง”

    “ฉันมีธุระของตัวเองที่ต้องทำ”

    นั่นดีแล้ว ฉินฟั่งระบายลมหายใจอย่างโล่งอก ถึงไม่ใช่พวกเดียวกันแต่ก็ร่วมทางกันมาระยะหนึ่ง จึงออกจะเห็นใจจากการประสบชะตากรรมเดียวกันอยู่บ้าง เขาหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาดึงธนบัตรหนึ่งพันหยวนส่งให้เธอ

    “ในเมื่อเธอเป็นปีศาจก็ต้องมีที่ไปของตัวเอง พวกเราไม่ได้ไปทางเดียวกัน นี่คือเงินที่มีตอนนี้ มันมากพอให้เธอใช้ชีวิตได้หลายวัน ฉันให้เลือดเธอหลายหยด ส่วนเธอก็คืนฉันด้วยไอปีศาจ นับว่าพวกเราไม่ติดค้างกัน”

    เนื่องจากมีประโยค ‘จากนี้ไปนายต้องฟังที่ฉันสั่งให้ทำ’ ของเธอปูพื้นไว้ ฉินฟั่งเลยจงใจเน้น ‘ติดค้าง’ สองคำนี้เป็นพิเศษ

    ซือเถิงส่งเสียงอืม

    ‘อืม’ หมายความว่า…เธอยอมรับเหรอ

    ฉินฟั่งค่อนข้างรู้สึกเหลือเชื่อ กระนั้นเขาก็ไม่คิดจะยืนยันกับเธออีกครั้งเพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาใหม่ สำหรับเขาไม่มีผลลัพธ์ไหนดีไปกว่านี้แล้ว “งั้นก็…ดีใจมากที่ได้รู้จักเธอ ขอให้จากนี้ไปเธอ…ร่างกายแข็งแรงสมหวังดั่งใจทุกเรื่อง”

    ซือเถิงไม่สนใจเขา เธอเปิดเสียงของโทรทัศน์อีกครั้ง ย้ายความสนใจไปยังรายการโทรทัศน์อย่างรวดเร็ว คราวนี้เป็นรายการช็อปปิ้งทางโทรทัศน์ พิธีกรชายกล่าวเสียงดังด้วยความตื่นเต้นว่า “แปดร้อยแปดสิบแปดหยวน พลอยแท้จากแอฟริกาใต้ เพียงแปดร้อยแปดสิบแปดหยวนเท่านั้น รีบหยิบโทรศัพท์ของคุณขึ้นมาโทรสั่งซื้อเลย…”

    ฉินฟั่งเดินออกจากห้อง พึมพำอวยพรให้เธอพอมีสมองอยู่บ้าง อย่าได้ถูกใจเจ้าแปดร้อยแปดสิบแปดหยวนอะไรนั่นเลย

     

    รถรับส่งนั้นกำหนดสถานที่และเวลาไว้แน่นอน เพื่อเร่งไปให้ทันเวลา ฉินฟั่งจึงเหมารถตู้คันหนึ่งไปอวี้ชู่ หลังแผ่นดินไหวที่อวี้ชู่ทุกฝ่ายต่างก็ลงทุนไม่น้อย แม้แต่สนามบินก็สร้างเสร็จเรียบร้อย ฉินฟั่งวางแผนว่าจะเดินทางจากอวี้ชู่ไปยังเมืองหลวงของมณฑลก่อน เมืองหลวงเป็นเมืองชุมทางขนาดใหญ่ของภาคตะวันตก หลังไปถึงที่นั่นจะไปไหนก็ง่าย

    เขาโทรศัพท์ออกไปสองสาย

    สายแรกโทรหาตานจื้อกังเพื่อนสนิทและหุ้นส่วนบริษัท การมาครั้งนี้ของฉินฟั่งเลยวันลามาแล้ว แต่เพราะเป็นการพาอันมั่นออกเดินทาง เรื่องสำคัญในชีวิตเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ ตานจื้อกังจึงไม่ได้สงสัยใดๆ เพียงพูดหยอกว่าทำไมอันมั่นไม่ส่งวีแชตโพสต์เวยป๋อแล้วล่ะ วันก่อนพวกเขายังพูดกันอยู่เลยว่าอย่าถูกแดนหิมะบนที่ราบสูงชำระล้างหนักเกินจนหุนหันบวชเป็นชีซะล่ะ

    สายที่สองเขาโทรหาพ่อแม่ของอันมั่น พ่อแม่อันมั่นอาศัยอยู่ไกลถึงบ้านเกิดในอำเภอหลี ฉินฟั่งจึงไม่เคยพบ ปกติแค่ติดต่อกันทางโทรศัพท์ ตอนแรกพวกเขาตกลงกันไว้ดิบดีว่าจะไปเยี่ยมหลังหมั้น คิดไม่ถึงว่า…

    แม่ของอันมั่นรับโทรศัพท์ หลังพูดจาตามมารยาทหลายประโยค ฉินฟั่งก็มั่นใจว่าทางนั้นยังไม่รู้ข่าวอันมั่น…เธอถามเขาอย่างกระตือรือร้นว่าเขาจะมาเมื่อไหร่ พร้อมทั้งกำชับให้เขาต้องโทรหาเธอก่อนมา พวกเธอจะได้เตรียมตัวล่วงหน้า

    เพิ่งผ่านวันเกิดเหตุเพียงสองสามวัน จึงยังไม่มีใครแจ้งความคนหายและไม่มีใครสงสัยว่าเสียชีวิต

    ตอนออกจากหนางเชียนเป็นช่วงเวลาประมาณบ่ายสองโมง

    เจ้าของรถตู้เป็นชายชาวทิเบตอายุสามสิบกว่าปี ชื่อวั่งตุย เขาบอกว่าจะไปเยี่ยมญาติที่อวี้ชู่จึงพาจินจูผู้เป็นภรรยามาด้วย จินจูพูดภาษาจีนไม่เป็นและค่อนข้างขี้อายจึงนั่งก้มหน้าอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับ ตุ้มหูทองซึ่งแขวนอยู่ตรงหูห้อยลงมา

    เมื่อรถขับออกจากเขตเมือง ฉินฟั่งก็นึกถึงซือเถิง และอดหันกลับไปมองทางทิศที่ตั้งโรงแรมไม่ได้

    ความจริงเขากังวลมากว่าการอาศัยไอปีศาจต่อชีวิตจะมีตรงไหนต่างไปจากคนธรรมดาหรือไม่ ทั้งยังเคยเอ่ยถามซือเถิง เธอตอบกลับอย่างเย็นชาว่า ‘ฉันจะไปรู้ได้ยังไง ฉันไม่เคยเป็นมนุษย์’

    ก็จริง เธอบอกไว้ชัดเจนแต่แรกแล้วว่าเป็นปีศาจที่ตายและฟื้นคืนชีพ ส่วนเขาเป็นมนุษย์ผู้มีชีวิตรอดโดยอาศัยไอปีศาจ บางทีอาจมีแค่คนเดียวบนโลกใบนี้ ไม่มีตัวอย่างก่อนหน้าให้เจริญรอยตาม

    แต่สองวันนี้ก็ปกติดี การกินการนอนไม่มีอะไรผิดปกติ ประสาทสัมผัสทั้งห้าอย่างรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็ยังอยู่ ยามตากแดดก็ไม่ได้แปลกไป ไม่เหมือนกับแวมไพร์ในโทรทัศน์ที่พอเจอแสงอาทิตย์ก็ต้องหนีหัวซุกหัวซุนเหมือนปล่องควันเคลื่อนที่

    คิดได้ดังนี้เขาก็ไม่ได้เกลียดซือเถิงถึงขั้นนั้นอีก ว่ากันอย่างใจเย็น หากไม่มีเธอ ตัวเขาก็คงตายอยู่ก้นเหวไปแล้ว

    เมื่อรถแล่นขึ้นไปบนถนนบนเขา ถนนหนทางก็ค่อยๆ คดเคี้ยว ความง่วงงุนแล่นเข้าจู่โจมฉินฟั่ง เขาหลับตาสัปหงกไปแบบสะลึมสะลือ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ อยู่ๆ รถก็หักเลี้ยวกะทันหันเขาเลยสะดุ้งตื่น ภายในรถเปิดเพลง ‘Above the Moon’ ของ Phoenix Legend เสียงดังกระหึ่ม ถนนหนทางบนเขานั้นขับยาก ฉินฟั่งค่อนข้างกังวลที่วั่งตุยขับรถเร็วขนาดนั้นจึงเอื้อมมือไปตบไหล่ คิดจะให้เขาขับช้าลงหน่อย

    มือเขาเพิ่งจะแตะถูกไหล่วั่งตุย ทั้งร่างก็พลันแข็งทื่อ

    มือของเขาข้างนั้นขาวซีด เหี่ยวลีบ และผอมแห้ง ปลายนิ้วงุ้มลงเล็กน้อย เล็บแห้งแข็งจนเป็นสีดำคล้ายกรงเล็บสัตว์ปีก วั่งตุยโยกร่างไปตามจังหวะเพลงอย่างเมามันโดยไม่สังเกตว่าฉินฟั่งกำลังตบไหล่เขาอยู่ ทั้งยังมองไปทางจินจูอยู่บ่อยๆ แล้วร้องว่า “ตะวันออกเลี้ยงม้าตะวันตกปล่อยแกะในทุ่ง ขับขานเพลงรักเร่าร้อนจวบจนฟ้าสาง…”

    จินจูฟังไม่เข้าใจแต่ก็พอเดาเนื้อหาส่วนใหญ่ได้ จึงเพียงก้มหน้าเม้มปากยิ้ม

    ฉินฟั่งตัวสั่นเทาหดมือกลับมา ค่อยๆ หันไปมองหน้าตนเองตรงกระจก

    ผิวหนังเหี่ยวแห้งห่อหุ้มกะโหลกศีรษะไว้ราวกับใบหน้าของโครงกระดูก!

     

    ตรงเคาน์เตอร์โรงแรมตั้งโซนขายของเล็กๆ ไว้ตรงมุม ขายของจำพวกผ้าเช็ดตัว แปรงสีฟัน และบะหมี่ถ้วย พูดถึงบะหมี่ถ้วย ลั่วหลงเอ๋อร์จย่าขายมันไปไม่รู้กี่ลังแล้ว แต่เจอเข้ากับสถานการณ์เช่นนี้เป็นครั้งแรก

    เขามองคังซือฟู่ซึ่งเปิดถ้วยแล้วด้านหน้า จากนั้นก็มองซือเถิงผู้อยู่ฝั่งตรงข้าม อธิบายกับเธออย่างมีน้ำอดน้ำทนว่า “บะหมี่ถ้วยทุกยี่ห้อก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น บะหมี่ถ้วยที่ขายในร้านค้าในเมืองใหญ่ของพวกคุณชาวฮั่นก็เป็นแบบนี้ โอ๊ย ผมทำการค้าสุจริตนะ”

    “ในโฆษณาไม่ใช่แบบนี้”

    ลั่วหลงเอ๋อร์จย่าโกรธแล้ว ชายชาวทิเบตทนไม่ได้และเกลียดเวลาคนสงสัยว่าเขาโกงที่สุด เขาตบเคาน์เตอร์ดังปังๆๆ

    “โฆษณา! โฆษณาก็เป็นโฆษณาที่พวกคุณชาวฮั่นถ่าย! โอ๊ย คิดว่าไอ้เนื้อชิ้นโตๆ ในโฆษณามันจะมีอยู่จริงรึไง ในโฆษณาบอกว่าใช้ครีมอะไรนั่นแล้วจะเด็กลงสิบปี ภรรยาผมใช้มาสองขวดแล้วอายุเท่าไหร่ก็ยังเท่านั้นอยู่เลย!”

     

    โปรดติดตามตอนต่อไป…

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ครึ่งปีศาจซือเถิง

    นิยายยอดนิยม

    Facebook