• Connect with us

    Enter Books

    ฉางอันสิบสองชั่วยาม

    ทดลองอ่านนิยาย ฉางอันสิบสองชั่วยาม เล่ม 3 ตอนที่ 2

    บทที่สิบแปด

    ต้นยามหยิน

     

    รัชศกเทียนเป่าปีที่สาม เดือนอ้าย วันที่สิบห้า ต้นยามหยิน

    เมืองฉางอัน อำเภอวั่นเหนียน สี่แยกฉางเล่ออันอี้

     

    หลี่ปี้ติดตามอยู่หลังรถม้าหลวงของวังตะวันออกคันนั้นมาตลอดทางตั้งแต่ที่ผู้ชนะป้ายไผ่แดงยอดโคมโยนคบไฟออกไปแล้ว มันมิได้รีบร้อนเปิดเผยตัว หากแต่ทิ้งระยะห่างช่วงหนึ่ง ติดตามไปอย่างเงียบๆ

    มือหลี่ปี้กุมสายบังเหียน ลำตัวเอนไปด้านหน้า สองเท้าหนีบท้องม้า รักษาท่วงท่าที่สามารถเพิ่มความเร็วได้ทุกขณะ ทว่ามันมิกล้าเข้าใกล้มากเกินไป เนื่องจากมีความคาดการณ์ที่น่าสะพรึงประการหนึ่งกำลังผุดขึ้น ความคิดนี้คือสิ่งที่นักพรตเรียกว่าปีศาจร้ายในใจ ยิ่งต่อต้านมันยิ่งรุนแรง พลันที่มีช่องว่างก็จู่โจมเข้ามา คล้ายเถาหวายพันรัดหัวใจ ทำให้มันหายใจลำบาก จิตใจหนาวเหน็บ

    หลังจากที่รถม้าแล่นออกจากพระราชวังซิงชิ่ง ผ่านสี่แยกฉางเล่ออันอี้ มุ่งหน้าทิศใต้ตลอดเส้นทาง ทิศทางนี้ประหลาดนัก เพราะว่าฉางเล่อฟางอันเป็นที่ประทับของรัชทายาทนั้นอยู่ภายในวังสิบองค์ชาย ณ อุทยานหลวงด้านตะวันออกของวัดอันกว๋อ ขณะนี้กลับมุ่งลงทิศใต้ ย้อนทางอย่างชัดเจน

    ทั้งไม่ร่วมงานเลี้ยงวสันต์ อีกทั้งมิได้กลับจวนอ๋องที่ประทับ ราตรีอันประเสริฐเยี่ยงนี้รัชทายาทคิดจะไปที่ใดกันแน่

    ถนนสายนี้เต็มไปด้วยราษฎรที่ออกมาชมดูโคมไฟแน่นขนัด ผู้คนกำลังดื่มด่ำกับความงดงามตระการตาของหอโคมที่อยู่ไกลออกไป ย่อมมิยอมก้มหัวเปิดทางให้เพียงเพราะเป็นรถสี่เยี่ยมยลที่ตั้งธงเจี้ยงอิ่น รถม้าแล่นร้อนรนฝ่าท่ามกลางกลุ่มคนแน่นขนัด ชนชาวบ้านอย่างป่าเถื่อน ก่อเกิดเสียงร้องก่นด่าเดือดแค้นมิขาดสาย หากกล่าวว่าป่าเถื่อนมิสู้กล่าวว่าคล้ายกำลังหนีภัยอย่างไม่เลือกเส้นทางจะเหมาะสมกว่า

    ทหารราชองครักษ์ติดตามประกบสองข้างของราชรถเพียงไม่กี่นาย จัดขบวนไม่สมแก่พระบารมี มือข้างที่วางบนขอบหน้าต่างนั้นยังคงเคาะด้วยท่าทีกังวลกลัดกลุ้มมิได้หยุดเลยสักขณะ

    หลี่ปี้หมอบอยู่บนหลังม้า หันหน้ากลับไปบางครั้ง เห็นห้องโคมบนหอโคมไท่ซั่งเสวียนหยวนทยอยสว่างขึ้นทีละห้อง ชาวบ้านทั้งหลายที่อยู่ข้างกายส่งเสียงโห่ร้องตื่นเต้นยินดีเป็นระยะ แต่ในใจมันกลับฟังแล้วยิ่งกังวล รอให้ห้องโคมทั้งยี่สิบสี่ห้องเปล่งแสงพร้อมกันเมื่อใด เชว่เล่อฮั่วตัวก็จะฟื้นคืนชีพ ถึงเวลานั้นเกรงว่าฉางอันต้องตกอยู่ในมหันตภัยแล้ว

    ก่อนสะกดรอยตามรถม้ามันได้แจ้งต่อแม่ทัพเฉินเสวียนหลี่ เตือนอีกฝ่ายแล้วว่าในหอโคมซุกซ่อนเหมิ่งหั่วเหลยเอาไว้ ขอให้มันรีบนำผู้คนออกจากหอฉินเจิ้งอู้เปิ่น ส่วนเฉินเสวียนหลี่จะเชื่อหรือไม่ก็อยู่เหนือการควบคุมของหลี่ปี้ พูดอีกอย่างคือต่อให้รีบนำผู้คนออกแต่แรกก็นับว่าช้าเกินไป แขกเหรื่อบนหอฉินเจิ้งอู้เปิ่นจำนวนร่วมร้อย ในลานพระราชวังซิงชิ่งก็ยังมีราษฎรอีกเรือนหมื่น ยามกะทันหันย่อมมิอาจหนีออกจากรัศมีระเบิด

    เพียงหวังว่าจางเสี่ยวจิ้งจะสามารถหยุดยั้งการจุดชนวนระเบิดของหอโคมได้ทัน นั่นเป็นความหวังสุดท้ายของฉางอัน

    พลันที่คิดถึงเรื่องนี้หลี่ปี้ก็ขมวดหัวคิ้วเล็กน้อย พยายามสะกดข่มปีศาจร้ายในใจ ทว่าครั้งนี้อาคมวิชาพรตใดๆ ล้วนไร้ผล ปีศาจในใจขยายใหญ่อย่างว่องไวนัก แทบจะครอบคลุมความคิดทั้งหมดของหลี่ปี้ บีบคั้นให้ต้องคิดไปตามทิศทางที่ตนเองไม่ยินยอมพร้อมใจเลย

    ห้วงเวลาแปลกแยกเยี่ยงนี้ ผู้ใดก็ตามที่ออกมาจากหอฉินเจิ้งอู้เปิ่นล้วนแล้วแต่ต้องสงสัยอย่างยิ่ง

    รัชทายาทไฉนจึงออกจากพระราชวังซิงชิ่งเวลานี้ ใช่เพราะรู้ล่วงหน้าแล้วหรือไม่ว่าในหอโคมมีเหมิ่งหั่วเหลย ดังนั้นจึงออกจากงานเลี้ยงแต่เนิ่นๆ

    เมื่อความคิดแล่นมาถึงจุดนี้ก็คล้ายเปิดประตูน้ำ น้ำป่าไหลทะลักมิอาจหยุดอีก ขอเพียงเหมิ่งหั่วเหลยระเบิด หอฉินเจิ้งอู้เปิ่นทั้งหลังย่อมกลายเป็นผุยผง จากจักรพรรดิถึงเสนาบดีหลี่ มิมีผู้ใดรอดชีวิต ชนชั้นสูงแห่งราชสำนักทั้งหมดทั้งปวงล้วนกลายเป็นอากาศธาตุ

    …นอกจากรัชทายาท ไม่สิ เมื่อถึงเวลานั้นพระองค์ย่อมกลายเป็นจักรพรรดิโดยปริยาย

    ใจหลี่ปี้เครียดเขม็งทันทีทันใด เล็บมือจิกสายบังเหียนหนังวัวจนเป็นรอยลึก มันมิอาจคิดสืบต่อไปอีกแล้ว ยิ่งคิดใจยิ่งหนาวยะเยือก หลี่ปี้รู้จักรัชทายาทมานานปี ไม่อาจเชื่อว่ารัชทายาทผู้สัตย์ซื่อ อ่อนแอขี้ขลาด จะกระทำเรื่องราวเยี่ยงนี้ได้

    ทว่า…หลี่เฮิงเป็นลูกหลานราชสกุลหลี่ สายเลือดของคนตระกูลนี้แต่ไรมาก็แฝงสัญชาตญาณอำมหิตกระหายเลือดต่อพวกพ้องญาติพี่น้อง คราบโลหิตหน้าประตูเสวียนอู่ยังเช็ดล้างไม่สะอาดเสียด้วยซ้ำ คิดมาถึงตรงนี้ร่างหลี่ปี้บนหลังม้าพลันโอนเอนไปมา ความเชื่อมั่นโยกคลอน

    รถม้าที่ด้านหน้าค่อยๆ พ้นจากย่านฝูงคนแออัด ความเร็วเพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก หลี่ปี้ขบปลายลิ้น ฝืนบังคับตนเองให้ใจเย็น มันกระตุกสายบังเหียน เร่งความเร็วของม้ามิให้ถูกสลัดทิ้ง

    รถสี่เยี่ยมยลแล่นผ่านฟางต่างๆ เช่น ฉางเล่อฟาง จิ้งกงฟาง ซินชางฟาง เซิงต้าวฟาง หัวรถมุ่งไปทางทิศใต้ตลอดเส้นทาง หลี่ปี้พบว่ารถม้าแล่นมุ่งหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว ขณะผ่านทางแยกสารถีมิลังเลแม้แต่น้อย นี่แสดงว่ารถคันนี้มีเป้าหมายอย่างชัดเจน

    โคมไฟบนถนนยังคงสว่างเจิดจ้า ทว่าถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นเขตใต้ ความครึกครื้นมิอาจเปรียบเทียบกับเขตเหนือ ด้านตะวันออกของย่านนี้เป็นกำแพงเมืองฟากตะวันออกของฉางอัน ฟากตะวันตกคือเนินสูงของที่ราบเล่อโหยว ลักษณะเป็นช่องทางยาวในเมืองที่ปีกสองข้างสูง ตรงกลางลุ่มต่ำ ชาวเมืองฉางอันต่างเรียกถนนช่วงตอนนี้เป็น ‘ร่องบัง’ กลางวันเป็นสถานที่เหมาะแก่การท่องเที่ยว ทว่าพอตกกลางคืนสองฟากถนนล้วนมืดทะมึนเป็นผนังสูง บรรยากาศครึ้มวังเวง

    รถสี่เยี่ยมยลแล่นถึงในร่องบังก็ชะลอความเร็วเอื่อยเฉื่อย จนกระทั่งเมื่อรถถึงปากทางที่จะแยกไปยังสี่แยกเซิงต้าวซิวสิง ทันใดนั้นพลันเลี้ยวขวา เลียบเชิงด้านใต้ของที่ราบเล่อโหยวพอดี

    หลี่ปี้ลอบติดตามอยู่ด้านหลัง ครุ่นคิดอย่างรวดเร็วว่าละแวกนี้มีสิ่งใดน่าสงสัย ยังมิทันให้มันขบคิดเสร็จสิ้นรถสี่เยี่ยมยลก็จอดนิ่งอยู่ไกลๆ

    ชาวบ้านละแวกนี้ไม่มาก ไม่มีโครงโคมขนาดใหญ่ มีเพียงโคมไฟชนิดหนาที่กันลมได้จำนวนหนึ่งแขวนตามจุดสำคัญ แสงสว่างไม่มากนัก ตำแหน่งที่รถม้าจอด ด้านใต้เห็นยอดเจดีย์แหลมสูงใหญ่ นั่นเป็นเจดีย์วัดทงฝ่าในซิวสิงฟาง ฟากทิศเหนือคือกำแพงฟางสีดำสูงใหญ่แถบหนึ่ง บนกำแพงฟางมีประตูป้ายหินแนวนอนขนาดเล็ก ประตูชนิดนี้ยามใช้งานมิใช่เปิดผลักออกทางซ้ายขวา หากแต่บานประตูทั้งบานทอดนอนราบเรียบลงไปตามพื้นด้านหน้า สองข้างมีโซ่เหล็กรั้งดึง สามารถชักเก็บขึ้น เนื่องจากลักษณะคล้ายป้ายหินวางทอดนอน จึงได้ชื่อนี้มา

    ในฉางอันการสร้างประตูกำแพงฟางเปิดสู่ถนนมีเพียงสองเงื่อนไข นั่นคือเพื่อเชิดชูคุณงามความดีของขุนนางใหญ่จึงมีพระบรมราชานุญาตให้สร้างประตู หรือเพื่อความจำเป็นยามใช้งาน เฉกเช่นโรงอิฐที่ชางหมิงฟางซึ่งพวกนักรบสุนัขป่าทูเจวี๋ยใช้ซ่อนตัว เนื่องจากสินค้าเข้าส่งโรงเก็บมีปริมาณมาก จำต้องใช้วิธีสร้างประตูเพิ่ม

    ด้วยเหตุนี้ที่นี่เป็นสถานที่ใดหนอจึงสามารถสร้างประตูป้ายหินนอนที่กำแพงฟางได้ สายตาของหลี่ปี้กวาดมองไป สังเกตเห็นลวดลายแกะสลักอันซับซ้อนบนส่วนโค้งเหนือประตู มีทั้งช่อเหริ่นตง ว่านชางผู พุ่มชิงมู่ หญ้าซือเฉ่าจื่อ ต่างเป็นลวดลายของดอกไม้ใบหญ้า ล้วนแล้วแต่เป็นสมุนไพรสำหรับเข้ายาจีน

    หลี่ปี้คิดออกแล้ว ที่นี่คือเซิงผิงฟาง ภายในนั้นมีอุทยานโอสถแห่งหนึ่งปลูกพืชสมุนไพรสารพัดชนิดสำหรับวังตะวันออก อุทยานโอสถต้องใช้ปุ๋ย ดิน และต้นไม้จำนวนมาก อีกทั้งรัชทายาทใช้งาน การเปิดประตูสู่ถนนจึงเป็นเรื่องปกติยิ่ง หลี่ปี้จำได้ หลี่เฮิงเคยพระราชทานยาสมุนไพรจำนวนหนึ่งให้ อีกทั้งยังอวดอย่างภาคภูมิใจว่าปลูกเองปรุงเองผสมเอง ที่แท้ก็เป็นตัวยาที่ได้มาจากอุทยานแห่งนี้

    ทว่ารัชทายาทเร่งรีบมาอุทยานโอสถเป็นระยะทางไกลถึงเพียงนี้เพื่อสิ่งใดเล่า

    หลี่ปี้งุนงงยิ่ง ครุ่นคิดจนลืมตัว ลืมรั้งสายบังเหียน เมื่อม้าเห็นด้านหน้ามีแสงสว่าง คนขี่เองก็มิได้ห้ามปราม สัตว์สี่เท้าจึงเดินเข้าไปใกล้เอง

    ผู้คนที่สัญจรละแวกนี้บางตายิ่ง ราชองครักษ์รอบๆ รถม้าได้ยินเสียงเกือกม้าก็พบร่องรอยของหลี่ปี้ทันที พวกมันตื่นตัวระแวดระวัง ส่งเสียงตวาดเตือน สำแดงอาวุธ มือข้างนั้นที่เกาะอยู่บนขอบหน้าต่างของรถสี่เยี่ยมยลคล้ายกระต่ายที่ได้รับความตระหนก ชักหดกลับเข้าไปในบัดดล

    หลี่ปี้ได้ยินเสียงตวาด รู้ว่าการสะกดรอยของตนถูกพบเห็นจึงพลิ้วกายลงจากหลังม้า ตะโกนว่า “ข้าคือผู้บัญชาการจิ้งอันซือหลี่ปี้!” ราชองครักษ์เหล่านั้นล้วนคุ้นเคยกับหลี่ปี้เป็นอย่างดี พลันที่ได้ยินว่าเป็นมันจึงพากันเก็บอาวุธในมือ มิได้สังเกตเห็นว่าตัวรถม้าโคลงเคลงเล็กน้อย

    “ข้าต้องการเข้าเฝ้ารัชทายาท” หลี่ปี้เดินไปข้างหน้าพลางประกาศเสียงดัง ราชองครักษ์เหล่านั้นได้แต่มองหน้ากันและกัน มิทราบสมควรรับมือเยี่ยงไร รัชทายาทประทับในรถม้าหลวง ได้ยินคำพูดด้านนอกชัดเจนอย่างยิ่ง ทว่าในรถกลับยังคงเงียบงัน มิได้มีคำสั่งใดๆ ออกมา

    “กระหม่อม ผู้บัญชาการจิ้งอันซือหลี่ปี้ ขอเข้าเฝ้ารัชทายาท!” เสียงหลี่ปี้ดังขึ้นกว่าเดิม เท้าไม่ยอมหยุด เข้าใกล้รถสี่เยี่ยมยลอีกหลายช่วงตัว มันตื่นเต้นรุ่มร้อน รู้สึกว่าต้องทำเรื่องนี้กระจ่างให้จงได้ แม้ต้องจ่ายค่าตอบแทนแสนสาหัสที่สุดก็ตาม

    ในรถสี่เยี่ยมยลปราศจากการตอบสนอง ทันใดนั้นฝีเท้าของหลี่ปี้หยุดลง ขมวดคิ้วหันหน้าไปทิศเหนือ ม้าที่ด้านข้างรถม้าต่างขยับใบหูพร้อมกัน พ่นลมออกจมูกอย่างกระวนกระวาย ราชองครักษ์เหล่านั้นต่างพากันลืมเลือนปลอบม้าของตน พวกมันก็ต่างพากันหันหน้าไปทิศเหนือพร้อมเพรียงเช่นกัน

    ไม่ว่ามนุษย์หรืออาชาล้วนสัมผัสได้ เสียงกัมปนาทแว่วมาจากที่ไกลแสนไกล ที่ติดตามมาทันทียังมีแรงสั่นสะเทือนใต้ฝ่าเท้า แม้ว่าสถานที่นี้ถูกที่ราบเล่อโหยวบดบังสายตาหมดสิ้น มิอาจเห็นด้านเหนือ ทว่าหลี่ปี้รู้ดี หอโคมไท่ซั่งเสวียนหยวนเกิดเรื่องใหญ่แล้วแน่นอน

     

    ห้องโคมทั้งยี่สิบสี่ห้องของหอโคมไท่ซั่งเสวียนหยวนแบ่งออกได้สามส่วนหลัก คือ ส่วนโคมไฟ ส่วนหุ่นโคมและส่วนกลไก ส่วนกลไกซ่อนอยู่ชั้นล่างสุดของหอโคม ด้านนอกใช้เปลือกไม้และแพรต่วนปิดทับ ด้านในเป็นแกนเกี่ยวหุ่นโคม ฟันเฟืองประกบ เป็นวิชาลับของอาจารย์เหมาซุ่น

    หลังจากอวี๋ฉางดันแกนยาวสีแดงเข้มบนแท่นควบคุม แรงขับถูกถ่ายทอดต่อกันเข้าไปยังกลไกของห้องโคมทั้งยี่สิบสี่ห้องทันที ทว่าเฟืองล้อทองแดงอันหนึ่งขบปีกกิเลนที่อยู่ด้านข้างผิดพลาดไปหนึ่งเฟือง เสียงดังแกร๊ก ความผิดพลาดเล็กน้อยนี้ทำให้เทียนแท่งหนึ่งเลื่อนไปถึงใต้กลางปีกกิเลน เปลวไฟพอดีเผาถูกชนวนน้ำมันที่เปลือยอยู่ด้านนอก

    ชนวนน้ำมันติดไฟทันที ด้วยความยาวเพียงไม่กี่นิ้ว ประกายไฟวิ่งเข้าไปในปีกกิเลนอย่างรวดเร็ว เผาไหม้อยู่ภายใน

    วงล้อยักษ์บนหอโคมยังคงหมุนต่อเนื่องเปล่งแสงจ้ากระจ่าง พราวพร่างสวยงาม ในนครฉางอันบัดนี้ไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดดึงดูดสายตายิ่งกว่ามันอีกแล้ว บรรดาผู้ล้อมชมต่างดื่มด่ำอยู่กับบรรยากาศยากพรรณนา มิอาจถ่ายถอนกลับสู่ความเป็นจริง

    หลังผ่านชั่วดีดนิ้วหลายสิบครั้ง ด้านล่างของห้องโคมเรื่อง ‘ยุทธ์เกรียงไกร’ ก็ระเบิดขึ้น ก่อเกิดลูกไฟเจิดจ้า ท่ามกลางเสียงกึกก้องปานฟ้าผ่า ลูกไฟกลายเป็นกระจุกเกสรดอกไม้สีแดงกลุ่มหนึ่งก่อนแล้วเปลี่ยนเป็นก้านเกสรดอกไม้ จากนั้นก้านเกสรดอกไม้พุ่งกระจายออกทุกทิศทุกทางอย่างรวดเร็ว ขยายออกไปเป็นกลีบดอกไม้เพลิงกลีบแล้วกลีบเล่า มองแต่ไกลเหมือนดอกโบตั๋นเบ่งบานด้วยความเร็วหลายสิบเท่า เพียงพริบตาก็กลืนกินฉากหุ่นโคมไปเสียสิ้น

    ไม่มีผู้ชมสักคนเลยที่ตระหนักว่าเกิดเรื่องผิดปกติ พวกมันล้วนเข้าใจว่านี่คือส่วนหนึ่งของการแสดง โห่ร้องยินดีสุดชีวิต สนุกสนานจนคล้ายวิกลจริต

    หอโคมไท่ซั่งเสวียนหยวนไม่ทำให้พวกมันผิดหวัง ผ่านไปไม่นานโบตั๋นสีเพลิงจากห้องโคมอื่นๆ ก็ทยอยบานต่อเนื่องกันไปทีละห้อง คล้ายมวลบุปผาพร้อมใจเบ่งบาน เพริศแพร้วสุดเปรียบปาน ฟากฟ้าราตรีทั้งแผ่นผืนพลันสว่างจ้า เสียงระเบิดสั่นสะท้านปานจะทำให้แก้วหูฉีกขาดดังต่อเนื่องมิขาดสาย ดุจดังเทพสายฟ้ากำลังเคาะจังหวะฆ้องกลองอสนีระรัว

    แรงระเบิดต่อเนื่องนี้ก่อเกิดกระแสลมรุนแรงกระจายออกรอบทิศ การบรรเลงของคณะมโหรีหยุดลงทันที บนหอฉินเจิ้งอู้เปิ่นบังเกิดเสียงหวีดร้องด้วยความหวาดกลัวอย่างต่อเนื่อง ขุนนางและบ่าวไพร่หลายคนที่ยืนใกล้ราวระเบียงมากเกินไปถูกกระแทกล้ม งานเลี้ยงโกลาหลวุ่นวาย ชาวบ้านบนลานจัตุรัสหน้าพระราชวังซิงชิ่งก็ถูกกระแทกล้มไม่น้อย บังเกิดความวุ่นวายสับสนเป็นวงแคบ ทว่ายังคงหาได้ทำให้กลุ่มราษฎรหวั่นกลัวไม่ คนจำนวนมากหัวเราะร่า ตื่นเต้นรอคอยฉากตระการตาที่จะมาถึงต่อจากนี้ไป

    หลังการระเบิดครั้งแรกยุติ ห้องโคมทั้งหมดก็แปรเปลี่ยนเป็นคบเพลิงยักษ์จำนวนยี่สิบสี่อัน ลุกไหม้รุนแรง ทำให้ด้านหน้าพระราชวังซิงชิ่งสว่างดุจกลางวัน หุ่นโคมหลายสิบตัวตกอยู่ท่ามกลางเพลิงผลาญ สีทาภายนอกหลุดออกอย่างรวดเร็ว แขนขาดำเกรียม เปลวไฟพุ่งออกจากช่องว่างบนลำตัว แต่พวกมันยังคงเคลื่อนไหว เป็นรูปลักษณ์พิกลพิสดารยิ่งนัก หากเฉาเฟินอยู่ในสถานที่แห่งนี้ด้วยคงปลื้มเปรมไปกับทัศนียภาพปานนรกนี้อย่างยิ่งกระมัง

    ด้านในของหอโคม อวี๋ฉางจ้องมองจางเสี่ยวจิ้งอย่างสาแก่ใจ มองดูแมลงน่าเวทนาที่ใกล้ร่วงตกลงในหุบลึกอย่างมีความสุข มันเปิดกลไกแล้ว พิธีการจบสิ้นแล้ว อีกเพียงชั่วเวลาดีดนิ้วหลายสิบครั้งเท่านั้น เชว่เล่อฮั่วตัวก็จะตื่นโดยสมบูรณ์

    บรรดาเหมิ่งหั่วเหลยที่ซ่อนอยู่ในห้องโคมล้วนปรับแต่งมาอย่างละเอียด การระเบิดเป็นเรื่องรอง เรื่องหลักคือพลังที่หนุนส่งให้ระเบิดต่างหาก บัดนี้ความร้อนรุนแรงยี่สิบสี่สายกระหนาบเพลายักษ์จากทุกทิศทาง เพลายักษ์ยังหมุนเคลื่อน คล้ายลูกแกะหมุนเชื่องช้าอยู่บนเตาหมุน เมื่อความร้อนสะสมเพียงพอแล้ว เหมิ่งหั่วเหลยยักษ์ภายในเพลายักษ์ก็จะระเบิดอย่างรุนแรง ถึงเวลานั้นระยะหลายลี้รอบบริเวณนี้ล้วนต้องกลายเป็นเถ้าธุลี

    เจ้าหนอนแมลงที่น่าเวทนานั้นได้แต่มองดูสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งปวงต่อหน้าต่อตา มิอาจยับยั้ง

    อวี๋ฉางเบิกบานใจยิ่งนัก น้อยครั้งที่มันจะแสดงอารมณ์ให้เห็นอย่างเปลือยเปล่าเช่นนี้ มันเริ่มนึกตัดใจสังหารจางเสี่ยวจิ้งไม่ลงเสียแล้ว สีหน้าสิ้นหวังที่ผุดขึ้นบนใบหน้าเจ้าคนผู้นี้ช่างหมดจดงดงามเสียนี่กระไร เฉกเช่นกรอกเมรัยรสเลิศเข้มข้นบริสุทธิ์จากซินเฟิงเข้าปาก คิดชมดูอย่างสำราญใจอีกครู่หนึ่งเสียจริง

    น่าเสียดาย ความปรารถนานี้ลิขิตไว้แล้วว่าไม่อาจเป็นจริง เมื่อเปิดกลไกแล้วมันกับเซียวกุยต่างไม่ติดค้างกันอีก จากนี้ไปมันต้องหนีออกจากหอโคมให้เร็วที่สุดก่อนจะระเบิด ยังต้องคิดบัญชีกับเซียวกุยตัวสารเลวนั้น

    ส่วนจางเสี่ยวจิ้งก็ปล่อยให้มันกับหอโคมถูกเชว่เล่อฮั่วตัวกลืนกินไปพร้อมกันเสียเถิด

    อวี๋ฉางด้านหนึ่งคิดการเช่นนี้ ด้านหนึ่งตระเตรียมก้าวเท้าลงจากแท่นไม้ ส้นเท้ามันยังมิทันยกพ้นจากพื้น ทันใดนั้นรู้สึกฝ่าเท้าบังเกิดความร้อนลวกสายหนึ่งแล่นขึ้น อวี๋ฉางก้มหน้าหมายจะดูให้ชัดๆ แรกสุดเป็นแสงเจิดจ้าสายหนึ่งปรากฏสู่สองตาของมัน จากนั้นเปลวเพลิงระเบิดจากด้านล่างขึ้นมาด้านบน พริบตาเดียวก็ห้อมล้อมตัวมันเอาไว้

    จางเสี่ยวจิ้งแขวนร่างอยู่กับขอบวงล้อไม้ เห็นอวี๋ฉางกลายเป็นคบเพลิงมนุษย์ ถูกแรงมหาศาลกระแทกลอยขึ้นกลางอากาศ จากนั้นพุ่งเป็นสายแสงสว่างจ้า ร่วงหล่นลงไปในปล่องมืด ตกสู่ชั้นล่างของหอโคม

    เซียวกุยเคยว่าไว้ มิอาจปล่อยให้มือสังหารผู้นี้มีชีวิตสืบต่อไป จางเสี่ยวจิ้งเข้าใจว่าสหายจะเด็ดหัวอวี๋ฉางระหว่างหนีออกจากหอโคม คิดไม่ถึงว่าจะเป็นวิธีการดิบเถื่อนง่ายดายปานนี้ ใต้แท่นไม้คงฝังเหมิ่งหั่วเหลยเอาไว้ลูกหนึ่ง เมื่ออวี๋ฉางเปิดกลไก มิเพียงปลุกห้องโคมทั้งยี่สิบสี่ห้อง แต่ยังจุดชนวนเหมิ่งหั่วเหลยลูกที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของมันเองด้วย มันเป็นคนส่งตัวเองไปสู่เส้นทางมรณะ

    ร่างจางเสี่ยวจิ้งแขวนอยู่ใต้วงล้อไม้ จึงเคราะห์ดีรอดพ้นจากคลื่นกระแทกส่วนใหญ่ มันไม่มีเวลาสะทกสะท้อนใจ ได้แต่กัดฟันกรอด ฝืนทนเกร็งพลังพลิกร่างกลับขึ้นมาบนวงล้อไม้ก่อนที่กล้ามเนื้อแขนจะหดตัวสิ้นเรี่ยวแรง

    ลูกไฟร้อนแรงยี่สิบสี่ลูกโอบล้อมรอบด้านในเวลานี้ ราวกับดวงตะวันยี่สิบสี่ดวงขึ้นพร้อมกัน ส่องหอโคมสว่างจ้าน่าสะพรึง จางเสี่ยวจิ้งสามารถเห็นทุกสิ่งอย่างในหอได้ชัดเจน เปลวเพลิงสีดำและสีแดงลามเข้ามาในหอโคมตามแขนหมุน คล้ายพลส่งสารกลุ่มหนึ่งชูธงสัญญาณขึ้นสูง ที่ที่พวกมันไปถึง มิว่าแพรปิดโคม โครงย่อย แผ่นไม้แขวน เชือกเชื่อมต่อหรือวงล้อไม้ ล้วนพากันตอบรับคำบัญชา ชูธงเทพเจ้าหงส์เพลิงแดงฉาน

    ผ่านไปไม่นานนักทั้งในและนอกหอโคมล้วนบานสะพรั่งไปด้วยโบตั๋นอัคคีสีแดงส้ม พวกมันห้อมล้อมรอบเพลายักษ์ ประกายไฟเต้นระยิบดั่งร่ายระบำหน้ากากหนังประกอบเสียงสิ่งของติดไฟ รอคอยการเบ่งบานครั้งสุดท้าย

    จางเสี่ยวจิ้งพิงแท่นไม้ สิ้นเรี่ยวแรง จ้องมองเพลิงนรกรอบด้านทวีความรุนแรงขึ้น ความสิ้นหวังและความเศร้าไร้เปรียบปานประดังขึ้นในใจ

    มันแหวกพงสะบั้นหนาม ฟันฝ่าอุปสรรคมากมายนับไม่ถ้วน ในที่สุดก็มาถึงเบื้องหน้าเชว่เล่อฮั่วตัว ทว่าใกล้สุดได้เพียงเท่านี้ มิอาจคืบหน้าอีกแม้แต่ก้าวเดียว สุดท้ายแล้วความทุ่มเทพยายามบากบั่นต่อสู้ทั้งปวงมิอาจหยุดยั้งมหันตภัย มันล้มลง ณ สถานที่ซึ่งใกล้ความสำเร็จมากที่สุด เพียงช้าไปก้าวเดียว ทว่าเบื้องหน้าก้าวเดียวนี้กลับเป็นอุปสรรคดุจเหวลึก

    เพลายักษ์หมุนมั่นคงไม่หวั่นไหวอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิง ยอดเสาชี้ขึ้นฟ้าไปยังขั้วเหนือ ดั่งคำกล่าว ‘ฟ้าเวียนหมุนนิรันดร์ สามแสงเปล่งประสาน เพียงดาวขั้วมิเคลื่อน’ ทว่าจางเสี่ยวจิ้งเข้าใจดี ใต้เปลวเพลิงระอุร้อนผืนใหญ่นี้เหมิ่งหั่วเหลยที่ซุกซ่อนไว้ในเพลายักษ์ล้วนตื่นจากนิทราหมดสิ้น สามารถระเบิดเมื่อใดก็ได้ ทำลายล้างฉางอันจนมิอาจฟื้นคืน

    นี่เป็นเรื่องอำมหิตโหดเหี้ยมปานใดกัน ให้ผู้กอบกู้ซึ่งสูญสิ้นความหวังต้องเบิกตามองทุกสิ่งอย่างจมหายเข้าในห้วงลึกไร้ที่สุดสิ้น ธาตุแท้ของจางเสี่ยวจิ้งมิใช่คนยอมถอดใจพ่ายแพ้โดยง่าย ทว่าถึงเวลานี้ทำอย่างไรมันก็คิดไม่ออกว่ายังมีหนทางใดที่จะหยุดยั้งหายนะนี้ได้

    ครั้งนี้มันอับจนหนทางอย่างแท้จริง

     

    ขณะที่ห้องโคมยี่สิบสี่ห้องทยอยลุกไหม้ หยวนไจ่นำกลุ่มทหารออกพ้นเขตระวังป้องกันของหอโคมไท่ซั่งเสวียนหยวนพอดี กำลังวิ่งกระหืดกระหอบออกไปด้านนอก

    คลื่นกระแทกที่ระเบิดปลดปล่อยออกมาคล้ายเคียวไร้สภาพกวาดผ่านพื้นหญ้า หยวนไจ่รู้สึกแผ่นหลังของตนถูกแรงกระแทกมหาศาลกระแทกล้มคะมำกับพื้น เห็นดาวทองระยิบระยับ ทหารหลงอู่กับทหารหลี่ว์เปินรอบด้านล้มระเนระนาด มีบางคนเคราะห์ร้ายอยู่ใกล้หอโคม แผดเสียงโหยหวน กุมขากลิ้งเกลือกไปตามพื้น

    หยวนไจ่กระเสือกกระสนลุกจากพื้น หูอื้อเพราะเสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหว มันวิ่งล้มลุกคลุกคลานออกไปหลายสิบก้าว ตรงไปซ่อนหลังกำแพงเตี้ย หลังพิงกำแพงค่อยรู้สึกปลอดภัยมากพอ หยวนไจ่หอบหายใจหนักหน่วง หน้าผากกว้างทะลักเต็มไปด้วยเหงื่อกาฬเย็นเฉียบ

    ในใจของมันหวาดหวั่นสุดขีด เมื่อสักครู่หากมิใช่ตัดสินใจเด็ดขาด ออกคำสั่งให้ทุกคนถอยทันที บัดนี้อาจถูกระเบิดตายหรือถูกไฟคลอกตายบนหอโคมแล้ว

    พวกชาวบ้านโง่เขลาที่มาชมโคมไฟเหล่านั้นไม่ทราบว่าเกิดเหตุบาดเจ็บล้มตาย ยังคงกู่ร้องเฮฮาอยู่ไกลๆ หยวนไจ่เงยหน้าอีกครั้ง เห็นทั้งหอโคมตกอยู่กลางเปลวเพลิงเจิดจ้ายิ่งนัก ลูกไฟยี่สิบสี่ลูกแผ่เปลวพิโรธพลุ่งพล่าน เผาท้องนภาแดงฉาน นี่ย่อมมิใช่การแสดงที่ออกแบบไว้ก่อนแล้วแน่นอน แม้เป็นนายช่างเทพปานใดก็ย่อมไม่เผาทำลายโครงสร้างหลักอย่างแน่นอน เปลวเพลิงลามถึงแขนหมุนแล้ว ต้องเป็นอุบัติเหตุ อีกทั้งยังเป็นอุบัติเหตุที่เจตนาให้เกิดขึ้น!

    นี่ก็คือเหมิ่งหั่วเหลยที่จางเสี่ยวจิ้งว่าไว้กระมัง

    พลันที่คิดถึงชื่อนี้ สมองของหยวนไจ่ก็ปวดแปลบทันควัน เห็นชัดแจ้งว่าจางเสี่ยวจิ้งยัดเหมิ่งหั่วเหลยลูกหนึ่งเข้าที่เครื่องขับเคลื่อน นี่มิใช่จะกระทำเรื่องชั่วร้ายอย่างชัดแจ้งหรอกหรือ บัดนี้แผนชั่วบรรลุผล ในที่สุดหอโคมระเบิดจนได้ ไม่ว่าจะมองเช่นไรเรื่องทั้งหมดนี้ก็เป็นฝีมือของจางเสี่ยวจิ้ง ทว่าหยวนไจ่ไม่เข้าใจการกระทำที่ขัดแย้งกันมากของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ขณะที่บุกเข้าหอโคมคนผู้นี้ยังจงใจกำชับหยวนไจ่รีบไปแจ้งเตือน ยังจะมีโจรร้ายใดกันที่จิตใจดีงามเช่นนี้

    หยวนไจ่สะบัดหัว พยายามสลัดความข้องใจเหล่านี้ออกจากสมอง มันถูกระเบิดเมื่อสักครู่กระแทกจนโง่งมแล้วหรือไร จางเสี่ยวจิ้งแล้วจะอย่างไร เกี่ยวข้องอันใดกับมัน บัดนี้หลักฐานชัดแจ้ง โทษทัณฑ์ทั้งปวงมีคนแบกรับแล้ว ไฉนยังต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไปอีก ยังมีเรื่องสำคัญอีกมากต้องกระทำ

    หยวนไจ่เกิดลางสังหรณ์รุนแรง เรื่องนี้ยังมิจบสิ้น ภยันตรายร้ายแรงยิ่งกว่ายังมีอยู่ สิ่งที่ต้องรีบกระทำยามนี้คือสมควรรีบไปแจ้งเตือน การแจ้งเตือนครั้งนี้มิอาจใช้ผู้อื่น หยวนไจ่จำเป็นต้องไปด้วยตนเอง เช่นนี้แล้วจึงสามารถแสดงความจงรักภักดีขั้น ‘ถวายชีพเป็นราชพลี’

    หยวนไจ่ยกสองมือขึ้นถูใบหน้า ปลุกให้ตนเองมีสติแจ่มใสขึ้นมาโดยเร็วที่สุด

    ในเวลานี้บริเวณเขตป้องกันของกองกำลังหลงอู่ที่ใกล้หอโคมโกลาหลยิ่ง ทหารกว่าครึ่งถูกแรงระเบิดเมื่อสักครู่กระแทกล้มระเนระนาดอยู่ที่พื้น ทหารที่เหลือไม่กี่นายลนลานทำอันใดไม่ถูก กวัดแกว่งอาวุธห้ามมิให้ผู้ใดเข้าใกล้ อีกทั้งไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าช่วยเหลือคนเจ็บ

    หยวนไจ่ไม่แยแสความโกลาหลนี้ มันยกชายชุดยาวเหน็บยัดกับสายรัดเอว วิ่งตะบึงไปบนทางติดต่อฉุกเฉินที่กองกำลังหลงอู่เปิดขึ้น ตรงไปยังประตูจินหมิง ระหว่างวิ่งไปหยวนไจ่เห็นบนหอฉินเจิ้งอู้เปิ่นสับสนอลหม่าน เงาวูบวาบวุ่นวาย ผู้คนวิ่งสับสน กระทั่งเสียงดนตรีไพเราะต่อเนื่องก็เงียบหายไปเสียแล้ว

    หยวนไจ่คุ้นเคยกับกฎระเบียบในวัง นี่เป็นงานเลี้ยงวสันต์ที่สำคัญที่สุดประจำปี การที่ดนตรีซึ่งยังบรรเลงไม่จบเพลงพลันหยุดชะงักกลางคันย่อมถูกมองว่าเป็นลางอัปมงคลยิ่ง นักดนตรีในวงมโหรีแม้มือหักก็ต้องบรรเลงให้จบ บัดนี้แม้แต่เสียงดนตรีก็ไม่มีแล้ว เห็นได้ชัดว่าประสบกับหายนะครั้งใหญ่

    มันวิ่งมาถึงเชิงกำแพงของประตูจินหมิงในอึดใจเดียว เห็นเฉินเสวียนหลี่ยืนอยู่บนกำแพงเมือง สิ้นความเยือกเย็นองอาจน่าเกรงขามเช่นในยามปกติแล้ว กำลังกระซิบพูดคุยกับผู้ช่วยหลายคนที่อยู่รอบกาย ทหารวิ่งเข้ามารายงานมิขาดสาย

    ภาพพระเพลิงลุกโหมที่หอโคมเมื่อครู่ เฉินเสวียนหลี่ประจักษ์ต่อสายตาแล้ว ข่าวงานเลี้ยงวสันต์กลับกลายโกลาหลถูกรายงานมาถึงประตูจินหมิงทันทีที่เกิดเหตุ ถึงกระนั้นเฉินเสวียนหลี่เป็นคนรอบคอบ มิได้เคลื่อนกำลังทหารหลงอู่ทันที แม้หลังจากได้รับคำเตือนจากหลี่ปี้แล้วก็ตาม มันก็ไม่เคลื่อนพล

    กองกำลังหลงอู่เป็นราชองครักษ์ ฐานะอ่อนไหว ปราศจากคำสั่งมิอาจเคลื่อนพล การแก่งแย่งชิงอำนาจในวังหลวงแห่งต้าถังล้วนมีเงาของทหารราชองครักษ์ ยังมิต้องกล่าวถึงอดีตจักรพรรดิทั้งหลาย ลำพังจักรพรรดิองค์ปัจจุบันนี้ทั้งเหตุการณ์เปลี่ยนโค่นถังหลง และกบฏเซียนเทียน ทรงวางแผนด้วยพระองค์เอง ล้วนควบคุมทหารราชองครักษ์เสียก่อนจึงสามารถประหารมเหสีเหวยและองค์หญิงไท่ผิง ทั้งสองเหตุการณ์นี้เฉินเสวียนหลี่ล้วนประสบมาด้วยตนเอง รู้ดีว่าจักรพรรดิไม่โปรดสิ่งใด

    ทดลองคิดดู มันเฉินเสวียนหลี่บังอาจยกพลเข้าไปกลางงานเลี้ยงวสันต์โดยไร้บัญชาจากจักรพรรดิจะมีผลลัพธ์เช่นไร แม้กล่าวว่ากระทำเพื่ออารักขา พระองค์อาจทรงเห็นว่าครั้งนี้ไม่มีคำสั่ง เจ้าบังอาจเคลื่อนพล ครั้งหน้าก็อาจบังอาจเคลื่อนพลโดยพลการอีก ต่อจากนั้น…อาจจะไม่มีต่อจากนั้นอีกต่อไป

    ดังนั้นเฉินเสวียนหลี่จำเป็นต้องรู้ชัดเจนเสียก่อนว่าเมื่อครู่หอโคมเกิดเหตุใดกันแน่ ใช่เป็นการแสดงที่ออกแบบไว้ก่อนแล้วหรือว่าอุบัติเหตุ? หรือเป็นจริงดังคำของหลี่ปี้ที่ว่าด้านในมีคนร้ายเจตนาซุกซ่อนระเบิดเหมิ่งหั่วเหลย? พลิกแพลงตามสถานการณ์ กองกำลังหลงอู่จึงสามารถเลือกกระทำสิ่งที่ถูกต้องที่สุด

    ขณะเฉินเสวียนหลี่สับสนลังเล พลันเห็นด้านล่างกำแพงเมืองมีคนผู้หนึ่งกำลังวิ่งมาทางประตูจินหมิง ยิ่งกว่านั้นยังร่ำร้องเสียงดัง คล้ายมีเรื่องด่วนต้องการรายงาน ดูจากชุดคลุมตัวยาวสีเข้มของคนผู้นี้ เป็นขุนนางระดับล่าง ทว่าทั้งเนื้อทั้งตัวล้วนขะมุกขะมอมสกปรก แม้แต่หมวกผ้าที่สวมก็เบี้ยว

    “หยวนไจ่จากจิ้งอันซือ ขอเข้าพบ” มีทหารส่งข่าวมาอย่างรวดเร็ว

    เฉินเสวียนหลี่รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง จิ้งอันซือ? หลี่ปี้เพิ่งจากไป ไฉนจึงมีอีกคนปรากฏขึ้นอีก หยวนไจ่หอบหายใจวิ่งขึ้นบนกำแพง ทันทีที่พบเฉินเสวียนหลี่ก็มิสนใจขนบมารยาทร้องตะโกนว่า “แม่ทัพเฉินโปรดสลายฝูงชนในงานเลี้ยงวสันต์ประจำเทศกาลซั่งหยวนโดยด่วน!”

    เฉินเสวียนหลี่ตะลึงงัน เมื่อครู่หลี่ปี้ก็พูดเช่นนี้ ไฉนคนผู้นี้จึงกล่าวเยี่ยงเดียวกัน มันย้อนถามว่า “หรือว่าท่านกำลังจะบอกว่าภายในหอโคมไท่ซั่งเสวียนหยวนมีเหมิ่งหั่วเหลยยักษ์”

    “ไม่ทราบแน่ชัด แต่ตามข่าวที่หน่วยข้าได้รับ หอโคมถูกพวกปลวกแทรกซึมเข้าไป ย่อมต้องมีแผนการปองร้ายต่อจักรพรรดิ!” หยวนไจ่ไม่เข้าใจสถานการณ์ชัดเจนเท่าหลี่ปี้ ได้แต่พยายามพูดจาให้กว้างๆ คลุมเครือเข้าไว้

    เฉินเสวียนหลี่ซักไซ้มันว่า “เหตุเกิดแล้ว หรือว่ายังไม่เกิด”

    หากเป็นอย่างแรก กลับมิต้องรีบร้อน งานเลี้ยงวสันต์เพียงวุ่นวายระยะหนึ่งเท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นบาดเจ็บล้มตาย หากเป็นอย่างหลังก็ยุ่งยากมาก

    หยวนไจ่ตอบ “ผู้น้อยเพิ่งออกมาจากในหอโคม เห็นกับตาตนเองว่าเหมาซุ่นถูกโยนออกจากหอโคม คนร้ายถือเหมิ่งหั่วเหลยขึ้นไป เกรงว่าเป็นพรรคพวกของปลวก นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเพียงแค่ห้องโคมไฟไหม้เท่านั้น”

    เฉินเสวียนหลี่ลูบเคราแผ่วเบา ยังคงลังเลมิอาจตัดสินใจ หยวนไจ่ก้าวมาด้านหน้าหนึ่งก้าว กระซิบว่า “ไม่ต้องใช้ทหารจำนวนมาก อารักขาส่งเสด็จออกไปก่อน คนอื่นๆ สามารถรอให้ทยอยกลับออกไปได้”

    มันเข้าใจดีว่าเฉินเสวียนหลี่กังวลคำครหา ดังนั้นจึงแนะนำว่าไม่จำเป็นต้องจัดขบวนใหญ่โต เพียงส่งทหารสองสามนายคุ้มกันจักรพรรดิไปยังสถานที่ปลอดภัยอย่างเงียบๆ กระทำดังนี้สามารถคุ้มกันฝ่าบาทและไม่ทำให้ผู้คนสงสัย

    เฉินเสวียนหลี่จ้องหน้าหยวนไจ่ เจ้าคนผู้นี้บังอาจยิ่งนัก ในวาจามันมิว่าในนอก ไยมิใช่กำลังลอบเอ่ยเป็นนัยว่าขอเพียงจักรพรรดิปลอดภัย คนอื่นๆ จะล้มตายก็ช่าง? ที่นั่นยังมีเชื้อพระวงศ์ใหญ่น้อย เสนาบดีผู้ใหญ่ ขุนนางชั้นสูงขั้นห้าขึ้นไป มีราชทูตจากนานาดินแดนที่มาเยือน ฟังจากวาจาหยวนไจ่ คนเหล่านี้ตายก็ตายไปเช่นนั้นหรือ? อย่างไรก็ตามเฉินเสวียนหลี่ย้อนครุ่นคิดอีกคราก็มิอาจหาวิธีที่ดีกว่าได้

    เงียบงันไปชั่วขณะแม่ทัพเฉินจึงตัดสินใจในที่สุด คนของจิ้งอันซือทั้งสองล้วนแจ้งเตือนด้วยข่าวสารเดียวกัน ไม่ว่าในหอโคมมีเหมิ่งหั่วเหลยหรือไม่ล้วนไม่เหมาะจะให้จักรพรรดิประทับบนหอฉินเจิ้งอู้เปิ่นอีกต่อไป

    มันรีบเรียกระดมผู้ใต้บังคับบัญชาสั่งการให้ปิดประตูทางเข้าออกพระราชวังซิงชิ่ง ห้ามเปิดจนมีโอกาสให้ผู้ใดบุกโจมตี จากนั้นถอดหมวกเกราะออก “ข้าไปเข้าเฝ้าเอง” ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ไม่ควรถอดเกราะก็จริง ทว่าหากมันสวมชุดเกราะบุกเข้าไปกลางงานเลี้ยงวสันต์ย่อมสะดุดตาเกินไปจริงๆ

    หยวนไจ่ประสานมือกล่าว “เช่นนั้นผู้น้อยขอตัว…”

    “ท่านไปกับข้า” เฉินเสวียนหลี่เอ่ยอย่างเยือกเย็น ไม่รู้เพราะเหตุใดขุนพลพลอยรู้สึกไม่ถูกชะตากับเจ้าขุนนางผู้นี้อย่างยิ่งด้วยอีกฝ่ายพูดจาวางท่ามีเหตุผลมีหลักการ

    หยวนไจ่สีหน้าแปรเปลี่ยนรุนแรง “ไม่ๆ ผู้น้อยเป็นขุนนางระดับต่ำต้อยเกินไป บุ่มบ่ามขึ้นหอ ผิดกฎราชสำนัก”

    “ท่านไม่ต้องขึ้นไป แต่ต้องรั้งอยู่ใกล้ตัวข้า” เฉินเสวียนหลี่ยืนกราน มันไม่มีเวลาตรวจสอบฐานะของหยวนไจ่และข่าวของมัน จึงเลือกพาติดตามไปด้วย หากเกิดปัญหาอันใดก็สามารถจัดการได้ทันที

    หยวนไจ่ปั้นสีหน้าจนปัญญา ทว่าในใจลอบพองโตด้วยความยินดี มันคะเนว่าเฉินเสวียนหลี่เป็นคนรอบคอบ จึงวางแผน ‘แสร้งถอยแต่รุก’ หากได้ติดตามเฉินเสวียนหลี่ย่อมมีโอกาสเข้าเฝ้า ให้จักรพรรดิทรงเกิดความทรงจำที่ดีต่อมัน นี่เป็นโอกาสฟ้าประทานดีงาม ทุ่มเทเงินทองมากเท่าไรก็มิอาจได้มา

    แน่นอน การไปครั้งนี้เสี่ยงอันตรายใหญ่หลวง ไม่ทราบว่าหอโคมจะระเบิดเมื่อไร ทว่าหยวนไจ่ตัดสินใจเสี่ยงอันตรายครั้งนี้ ลาภยศไยมิใช่ได้มาจากการเสี่ยงอันตรายเล่า?

    เฉินเสวียนหลี่ไม่สนใจความคิดของหยวนไจ่ มันยืนอยู่บนกำแพงเมืองมองไปทางจัตุรัส หอโคมกลายเป็นคบเพลิงมหึมาไปแล้ว แผ่ความร้อนกับแสงจ้า แม้อยู่ที่ประตูจินหมิงนี้ยังรู้สึกได้ถึงอานุภาพของมัน พลังเพลิงโหมครอบฟ้านั้นคล้ายเข้าใกล้ขีดสุดแล้ว มาถึงเวลานี้ฝูงคนต่างเริ่มรู้สึกผิดปกติ

    หอโคมไท่ซั่งเสวียนหยวนจะงดงามตระการตาเช่นไรก็ไม่ควรเผาไหม้รุนแรงปานนี้

    เฉินเสวียนหลี่ขมวดคิ้ว ตวาดเสียงดัง “ไป!” พาตัวหยวนไจ่และทหารราชองครักษ์จำนวนหนึ่งรีบลงจากกำแพงเมือง

     

    จางเสี่ยวจิ้งเอียงพิงอยู่หน้าแท่นไม้ เหม่อมองกำแพงไฟรอบด้านที่กำลังเคลื่อนโอบเข้าหา

    เรื่องที่สามารถกระทำได้ล้วนกระทำครบถ้วน ทางหนีเอาชีวิตรอดก็ถูกพระเพลิงกลืนกินหมดสิ้น คิดลงไปชั้นล่างก็มิอาจเป็นไปได้ มันเลือกหนทางที่สามารถกระทำได้ทุกหนทางแล้ว บัดนี้มีเพียงนั่งรอเวลาสุดท้ายมาถึง

    มีคำกล่าวว่าในยามสุดท้ายเมื่อใกล้ตายจะเห็นภาพชีวิตของตนหวนย้อนกลับ ทว่าภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าสายตาจางเสี่ยวจิ้งกลับเป็นใบหน้าของแต่ละคน ใบหน้าเซียวกุย ใบหน้าเหวินอู๋จี้ ใบหน้าเหล่าพี่น้องกองแปด ใบหน้าหลี่ปี้ ใบหน้าสวีปิน ใบหน้าเหยาหรู่เหนิง ใบหน้าอีซือ ใบหน้าถานฉี ใบหน้าเหวินหรั่น…ใบหน้าของทุกคนคล้ายว่ากำลังพูดอะไรบางอย่างกับมัน ทว่าใบหน้าปรากฏอยู่สั้นมาก พลันสลายหายไปในเปลวเพลิงอย่างรวดเร็ว

    จางเสี่ยวจิ้งรวบรวมสมาธิเพ่งมองเนิ่นนานจึงพอจะจับใจความวาจาของพวกมัน ความจริงมีเพียงประโยคเดียว…เจ้าสำนึกเสียใจหรือไม่…เจ้าสำนึกเสียใจหรือไม่…เจ้าสำนึกเสียใจหรือไม่

    นี่เป็นคำถามอันแหลมคมมาก จางเสี่ยวจิ้งหลับตา ในห้วงความคิดผุดภาพช่วงเวลาปลายยามซื่อของเมื่อวาน ภาพตนเองเดินออกจากคุกนักโทษประหาร หากย้อนเวลากลับไปได้อีกครั้ง มันจะตัดสินใจเลือกเช่นเดิมหรือไม่

    จางเสี่ยวจิ้งยิ้มแล้ว มันขยับริมฝีปากอันแห้งผาก พ่นวาจาแผ่วเบา “ไม่เสียใจ”

    มันมิได้นึกเสียใจต่อการตัดสินใจเลือกของตนในวันนี้ นี่มิใช่เพื่อจักรพรรดิหรือราชสำนัก หากแต่เพื่อเมืองฉางอันแห่งนี้กับคนธรรมดาสามัญมากมายที่อาศัยอยู่ในนี้

    จางเสี่ยวจิ้งเพียงรู้สึกว่ายังมีเรื่องน่าเสียดายอีกมาก มิอาจหยุดยั้งแผนชั่วร้ายนี้ ผิดต่อความเชื่อใจของผู้บัญชาการหลี่ ยังมิได้เห็นเหวินหรั่นปลอดภัย ยังไม่มีโอกาสให้พวกที่ย่ำยีสหายศึกกองแปดได้รับโทษที่พวกมันสมควรรับ ซ้ำยังทำร้ายสวีปิน เหยาหรู่เหนิงกับอีซือ…ใช่แล้ว ยังผิดสัญญาต่อถานฉี ตนเองอวดโอ้รับปากนางว่าจะแก้ไขเรื่องนี้เอง ผลสุดท้ายกลับตกอยู่ในสภาพเยี่ยงนี้ ไม่ทราบว่าบัดนี้นางจะเป็นเช่นไร

    คิดถึงตรงนี้เงาร่างของงดงามของคนผู้หนึ่งลอยเลื่อนอยู่ในดวงตา จางเสี่ยวจิ้งทอดถอนใจอย่างจนปัญญาแล้วส่ายหน้า เงานั้นลับเลือนในทันที

    ย้อนคิดถึงเรื่องที่กระทำมาตลอดทั้งวัน จางเสี่ยวจิ้งรู้สึกว่าแท้จริงแล้วตนเองทำเรื่องผิดพลาดง่ายๆ มากมายเหลือเกิน ถ้าให้โอกาสมันอีกสักครั้ง บางทีสถานการณ์อาจแตกต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง หากสามารถไปถึงชางหมิงฟางเร็วกว่านี้ น้ำมันเพลิงทมิฬจะไม่มีโอกาสได้ขนย้ายออกไปจากที่นั่นแน่นอน หากจับตัวอวี๋ฉางได้ตั้งแต่ที่ผิงคังฟาง ย่อมทำให้แผนการของพวกปลวกถูกเปิดโปงเร็วขึ้น หากเหมิ่งหั่วเหลยที่ติดบนเครื่องขับเคลื่อนมิแตกรั่ว สามารถระเบิดขึ้นได้ ก็ย่อมปลอดความยุ่งยากตามติดมามากมาย…

    จางเสี่ยวจิ้งครุ่นคิดเลื่อนลอยอยู่ในวงล้อมของเปลวเพลิง ทันใดนั้นหนังตาเต้นระริก มันแปลกใจเล็กน้อยว่าตนเองเป็นอะไรไป ถูกความร้อนรมจนเลอะเลือนแล้วหรือ มันรวบรวมความคิดทั้งหมด ย้อนทบทวนตั้งแต่แรกอีกคำรบ หนังตากระตุกอีกครั้งจริงๆ

    เป็นเช่นนี้ถึงสามคำรบ มันเบิกตาทันที คว้าจับแท่นไม้ลุกขึ้นยืน พลังชีวิตที่เดิมกำลังแตกกระจายรวมตัวกลับคืนมาทันใด

    มิผิด! ถ้าผนึกเหมิ่งหั่วเหลยถูกทำลาย พลังระเบิดรั่วไหลย่อมไม่ระเบิด! มิว่าใหญ่หรือเล็กหลักการนี้ล้วนใช้ได้!

    เหตุที่เหมาซุ่นคิดระเบิดเครื่องขับเคลื่อนให้เอียงก็เพราะต้องการอาศัยมุมเอียงบดอัดส่วนฐานของเพลายักษ์ให้แตกออก น้ำมันดิบจะได้รั่ว บัดนี้มาตรว่าไม่มีเครื่องขับเคลื่อนสำหรับใช้งานอีกแล้ว ทว่าเพลายักษ์ก็หมุนอยู่ด้านข้างนี้เอง เนื้อไม้ไผ่นี้ใช้แรงคนทำลายมิอาจบดแตก หากแต่ก็ยังสามารถใช้ดาบฟัน เปิดรอยกรีดสักหลายแผล ปล่อยน้ำมันดิบไหลออก

    จางเสี่ยวจิ้งมิได้คำนวณว่าต้องฟันสักกี่แผล น้ำมันดิบต้องไหลออกจำนวนเท่าไร จึงจะทำให้เหมิ่งหั่วเหลยมหึมาสูญเสียพลังระเบิดภายในหมดสิ้น มันเพียงรู้ว่ามีทางเป็นไปได้ มิคิดตายไปพร้อมกับความสำนึกเสียใจ ดังนั้นจึงขอเสี่ยงเป็นครั้งสุดท้าย

    ทันทีที่บังเกิดความหวัง ทั่วร่างจางเสี่ยวจิ้งพลันประจุพลังชีวิตระลอกใหม่ มันกวาดตามองซ้ายขวา เห็นข้างแท่นไม้มีหีบสาน ด้านในบรรจุเครื่องมือต่างๆ นี่เป็นสิ่งที่บรรดานายช่างปลวกทิ้งไว้หลังจากติดตั้งปีกกิเลนเสร็จสิ้น จางเสี่ยวจิ้งฉวยขวานหลายเล่มจากหีบสาน ด้ามขวานถูกเผาร้อนลวกเกือบกุมมิได้

    จางเสี่ยวจิ้งคว้าขวานเหล่านี้ปราดมาที่เพลายักษ์ เพลายักษ์ยังคงหมุนแกรกกราก คล้ายโลกนี้มิมีอันใดมีค่าแก่การให้มันหยุดหมุน แสงจ้าจากเพลิงร้อนแรงรอบด้านทำให้มองเห็นรูเล็กรูน้อยบนผิวเพลาสีเขียวชัดเจน

    เพลายักษ์สูงเท่าหอโคม ในโลกนี้มิอาจมีต้นไผ่สูงถึงปานนี้ เหมาซุ่นออกแบบใช้ท่อนไผ่ใหญ่แข็งแรงหลายท่อนต่อเชื่อมกัน จุดต่อเชื่อมใช้ปลอกเหล็กย้ำครอบ หากจะกล่าวว่าจุดอ่อนของมันอยู่ที่ใด นั่นสมควรเป็นจุดใกล้ปลอกเหล็ก

    จางเสี่ยวจิ้งไม่เกรงใจแม้แต่น้อย กระหน่ำขวานใหญ่ลงไป น่าเสียดายผิวหน้าเพลายักษ์เสริมความแข็งแรง คมขวานทิ้งไว้เพียงรอยสีขาวตื้นๆ หนึ่งรอย จางเสี่ยวจิ้งกระหน่ำลงอีกครั้ง ครั้งนี้จึงพอจะเปิดรอยแยกได้หนึ่งรอย มีน้ำมันดิบสีดำซึมออกมา เหมือนคนบาดเจ็บมีเลือดไหลออก จางเสี่ยวจิ้งกระหน่ำขวานครั้งที่สามลงที่เดิม ทุ่มเทเรี่ยวแรงสุดกำลัง ครั้งนี้จึงเปิดออกเป็นรูใหญ่

    น้ำมันดิบสีดำเหนียวข้นพ่นออกมาจากรอยแตกแคบเล็ก คล้ายน้ำพุพ่นลงบนวงล้อไม้ ในเวลานี้รอบด้านมีความร้อนสูงมาก น้ำมันดิบพ่นกระทบผิววงล้อไม้ ลุกไหม้ก่อเกิดเปลวไฟผืนใหญ่ทันที เพียงครู่เดียวไฟลามไปตามพื้นผิววงล้อไม้ กลายเป็นวงล้อไฟ

    จางเสี่ยวจิ้งรู้ว่านี่ยังมิเพียงพอ สำหรับเพลายักษ์ที่สูงเกือบเท่าหอโคมแล้ว รอยแยกเล็กน้อยนี้มิอาจนับเป็นอันใด ยังไม่สามารถระบายพลังระเบิดได้หมดสิ้น มันยังต้องเจาะรูมากกว่านี้ ระบายน้ำมันดิบออกมากกว่านี้

    ทว่าในเวลานี้วงล้อไม้ถูกน้ำมันดิบพ่นใส่ติดไฟลุกไหม้ทั้งวงแล้ว ปราศจากที่วางเท้า จางเสี่ยวจิ้งได้แต่ถือขวาน ปีนป่ายขึ้นไปตามโครงไผ่ที่หลงเหลืออยู่ ปีนขึ้นไปแต่ละช่วงมันก็กระหน่ำฟาดขวานอย่างบ้าคลั่ง กระทั่งเปิดเป็นรูใหญ่ มีน้ำมันดิบพ่นออกมา จึงปีนขึ้นด้านบนต่อไป

    น้ำมันดิบที่พ่นออกมาเหล่านี้ทำให้เพลิงในหอโคมโหมไหม้รุนแรงมากขึ้น ยิ่งเร่งให้เพลายักษ์ระเบิดเร็วกว่าเดิม จางเสี่ยวจิ้งมิเพียงแข่งกับเวลา หากแต่ในระหว่างเคลื่อนที่ขึ้นไปยังช่วยเพิ่มความเร็วแก่คู่ต่อสู้อีกด้วย ดังนั้นในหอโคมไฟนรกนี้จึงมีเงาร่างเด็ดเดี่ยวร่างหนึ่งกำลังเคลื่อนที่ไปท่ามกลางเปลวเพลิงกับควันหนาทึบ มันเข้าหาเพลายักษ์ที่กำลังจะระเบิดครั้งแล้วครั้งเล่า ทุ่มเทสุดกำลังช่วงชิงความเป็นไปได้ที่น้อยมากจนสามารถปัดทิ้งได้

    ไฟนรกรุนแรงขึ้นไม่หยุดหย่อน เปลวไฟแดงฉานดั่งทุ่งหญ้าป่าปลายฤดูใบไม้ผลิครอบคลุมทุกหนแห่ง ความร้อนในหอร้อนถึงระดับสามารถเทียบเท่าเตาย่างเนื้อแพะต้มเส้นหมี่ คิ้วจางเสี่ยวจิ้งถูกเผาไหม้หมดสิ้นอย่างรวดเร็ว หนังหัวถูกลวกจนใกล้ลุกเป็นไฟ เสื้อผ้าบนล่างต้านทานมิได้ ทยอยเป็นรูไหม้รูแล้วรูเล่า กลายเป็นเถ้าถ่าน ทั่วร่างถูกลวกโดยเฉพาะแผ่นหลัง ก่อนหน้านี้มันถูกไฟลวกที่จิ้งอันซือ ในเวลานี้เผชิญไฟร้อนแรงอีกครั้ง เจ็บปวดทรมานสิ้นดี

    ทว่าจางเสี่ยวจิ้งหาได้เคลื่อนที่ช้าลงแม้แต่น้อย มันปีนป่ายอย่างคล่องแคล่วไปตามหมู่โครงไผ่โครงไม้ เข้าประชิดเพลายักษ์เป็นระยะ ฟาดขวานอย่างรุนแรง ที่ที่มันไปถึงต้องมีน้ำมันดิบสีดำพ่นออกมาผืนใหญ่ ทำให้เปลวเพลิงด้านล่างยิ่งโหมรุนแรงมากขึ้น

    ปัง! ปัง! แกร๊ก! ซู่…!

    บนเพลายักษ์มีรูเพิ่มอีกหนึ่งรู น้ำมันสีดำพ่นกระจาย

    จางเสี่ยวจิ้งไม่ทราบว่าเจาะเป็นรูที่เท่าไรแล้ว ยิ่งกว่านั้นยังคำนวณไม่ออกว่าแท้จริงแล้วต้องระบายน้ำมันดิบออกกี่ชั่ง มันเพียงอาศัยพลังเฮือกสุดท้าย หวังว่าก่อนตัวเองตายจะสามารถลดทอนอานุภาพทำลายล้างยามหอโคมระเบิดได้มากที่สุด มันโยนขวานที่คมขวานม้วนพับยับเยินแล้วทิ้งไป ดึงขวานเล่มสุดท้ายออกจากเอว

    มันเงยหน้า พยายามแยกแยะเส้นทางขึ้นด้านบน บริเวณนี้เข้าใกล้ยอดสุดของหอโคมแล้ว ชั่วเวลาสั้นๆ นี้เปลวเพลิงยังมิลามขึ้นมา ทว่าควันหนาแน่นถึงที่สุด ควันหนาทึบทั้งหมดในหอโคมล้วนลอยขึ้นมารวมอยู่ที่นี่ จากนั้นลอยออกไปกลางฟ้า ตาข้างเดียวของจางเสี่ยวจิ้งถูกรมจนแดงก่ำ หายใจเกือบมิได้ ไอรุนแรง ปีนขึ้นด้านบน

    เท้ามันถีบส่ง พลิกร่างขึ้นไปอีกชั้นอย่างรวดเร็ว ชั้นนี้พื้นที่แคบเล็กกว่าด้านล่าง มีขนาดเพียงช่องดาดฟ้าบ้านเรือนสามัญ ด้านในนอกจากเพลายักษ์แล้วมีเพียงโครงไม้สอดประสานไม่กี่ท่อน ไม่มีเชือกห้อยกับแผ่นไม้แขวน จางเสี่ยวจิ้งฝืนมองรอบด้าน ทว่าควันหนาทึบจนไม่เห็นสิ่งใด

    ขึ้นบนต่อไปคล้ายไม่มีทางไปต่ออีกแล้ว จางเสี่ยวจิ้งรู้สึกได้ว่าร่างกำลังส่ายไหวเล็กน้อย…ไม่ มิใช่ร่างกาย แต่เป็นพื้นที่ทั้งชั้นกำลังส่ายไหว ยิ่งกว่านั้นยังโยกเอนส่ายไหวรุนแรงมาก มันยื่นมือซ้ายออกไปด้านหน้า คลำถูกเพลายักษ์ พบว่าถึงกับเป็นยอดสุด

    ที่แท้จางเสี่ยวจิ้งปีนขึ้นมาถึงยอดสูงสุดของหอโคมแล้ว เพลายักษ์สิ้นสุดเพียงนี้ ส่วนยอดสุดครอบด้วยผนึกครอบปลายยื่นออก หลอมสร้างจากทองแดง ส่วนบนของมันรองรับโครงคร่อมรูปบุตรมังกรซวนหนี บนโครงมีแผ่นปัดทรงลิ้นหย่อนเอียงลง เมื่อเพลายักษ์เคลื่อนหมุน ห้องโคมซึ่งเคลื่อนที่จะลอดผ่านใต้โครงคร่อมมังกรซวนหนี ทำให้แผ่นปัดเคลื่อนปัดปากกรวยเหลี่ยมบรรจุน้ำมันบนหลังคาเปิดออก จุดไฟด้วยกลไก

    จางเสี่ยวจิ้งยกขวานฟันปลายยอดเพลายักษ์หลายครั้ง ทำลายผนึกครอบปลายที่สร้างจากทองแดงเสียก่อน จากนั้นเจาะอีกหนึ่งรู ที่ความสูงนี้แม้ด้านในเพลายักษ์ยังมีน้ำมันดิบก็มิอาจไหลขึ้นมา จางเสี่ยวจิ้งกระทำเช่นนี้เพื่อความสบายใจ คล้ายเป็นพิธีปิดอันจำเป็นต้องมี

    กระทำทั้งหมดทั้งปวงนี้แล้วจางเสี่ยวจิ้งขว้างขวานทิ้งลงหอไปไกลมาก รู้สึกทั่วร่างร้อนราวใกล้สุก มันใช้แรงเฮือกสุดท้ายปีนขึ้นโครงคร่อมมังกรซวนหนี หลังพิงแผ่นปัด อ่อนระทวยทรุดลงไปกับพื้น

    ครั้งนี้ยุติโดยสิ้นเชิงจริงๆ แล้ว มันกระทำทุกสิ่งที่สามารถกระทำได้ทั้งหมดแล้ว จากนี้ไปก็ขึ้นอยู่กับเจตจำนงสวรรค์

    หอโคมไท่ซั่งเสวียนหยวนสูงกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบฉื่อ จากยอดสูงสุดสามารถทอดตาชมทั่วทั้งฉางอัน น่าเสียดายเวลานี้เป็นยามราตรี รอบด้านล้วนคลุ้งไปด้วยควันไฟ มองไม่เห็นอันใด จางเสี่ยวจิ้งให้นึกเสียดาย ยากยิ่งนักที่จะปีนขึ้นมาสูงเพียงนี้ แต่ยังคงไม่อาจเห็นภาพเมืองที่ตนพยายามคุ้มครองรักษาสุดกำลังเป็นครั้งสุดท้าย

    ควันไฟพวยพุ่งสี่ทิศ กลุ่มควันหนาหนักห้อมล้อม หอโคมที่ด้านล่างทั้งหอตกอยู่ในทะเลเพลิงหมดสิ้นแล้ว ไอร้อนพวยพุ่งขึ้นมาไม่ขาดสาย บนยอดหอเวลานี้เป็นพื้นที่เดียวที่ยังมิถูกเปลวอัคคียึดครอง จางเสี่ยวจิ้งทิ้งร่างระทวยพิงแผ่นปัดใต้โครงคร่อม เอียงศีรษะ จิตใจกลับสงบ

    สิบเก้าปีก่อนมันก็พิงร่างกับเสาธงของป้อมสัญญาณหอควันเช่นนี้ รอคอยผลสุดท้ายที่กำลังจะมาถึงอย่างเงียบงัน สิบเก้าปีให้หลังชะตากลับซ้ำรอย เพียงแต่ครั้งนี้ไร้กองหนุนใดๆ อีกต่อไปแล้ว

    จางเสี่ยวจิ้งความคิดเลอะๆ เลือนๆ ไปเช่นนี้ ทันใดนั้นรู้สึกว่าในหอโคมด้านล่างคล้ายโยกไหวเล็กน้อย ครางครืนครันแผ่วเบา

     

    สระหลงฉือของพระราชวังซิงชิ่งเป็นทิวทัศน์พิสดารของนครฉางอัน

    ย้อนกลับไปรัชสมัยจักรพรรดินีอู่เจ๋อเทียน ที่นี่เป็นเพียงฟางธรรมดาของอำเภอวั่นเหนียน เรียกว่าหลงชิ่งฟาง ในหลงชิ่งฟางมีบ่อน้ำแห่งหนึ่ง อยู่มาวันหนึ่งพลันเกิดน้ำผุดน่าอัศจรรย์ น้ำใสสะอาดพวยพุ่งต่อเนื่องมิขาดสาย เพียงราตรีเดียวก็ท่วมพื้นที่รอบบริเวณหลายหมู่ สถานที่นี้กลายเป็นผืนน้ำกว้างใหญ่ ยามอาทิตย์อุทัยมักบังเกิดไอหมอกอ้อยอิ่งงดงามยิ่ง ผู้ทรงความรู้ชื่อเสียงเลื่องลือของฉางอันเห็นว่าที่นี่เป็นทำเลมงคล อีกทั้งเล่าลือในหมู่ชาวบ้านว่าแผ่นน้ำปรากฏรังสีมังกรแผ่ขึ้น ดังนั้นเชื้อพระวงศ์สกุลหลี่จึงพากันย้ายมาพำนักรายรอบบึงน้ำแห่งนี้ รวมถึงองค์ชายหลี่หลงจีผู้เป็นจักรพรรดิองค์ปัจจุบันด้วย

    กาลต่อมาเมื่อถวัลย์ราชย์ เปลี่ยนชื่อสระหลงชิ่งเป็นสระหลงฉือ (สระมังกร) ถือมงคลแห่งมังกรปรากฏ เมื่อเป็นเช่นนี้บรรดาราชนิกุลต่างมิกล้าพำนักข้างสระหลงฉืออีกต่อไป พากันถวายที่ดินคฤหาสน์ จักรพรรดิจึงสร้างพระราชวังซิงชิ่งโดยยึดสระหลงฉือเป็นใจกลาง รวมเอาเนื้อที่ของอีกหลายฟางเข้าด้วยกัน ส่วนสระหลงฉือเนื่องจากเป็นสระหลวงจึงได้ขยายหลายครั้ง กลายเป็นทะเลสาบกว้างใหญ่ หมอกคลื่นระยิบระยับ สามารถพายเรือยาวหลากหลาย ริมตลิ่งมีหอมีศาลานับไม่ถ้วน ปลูกโบตั๋น บัว และหลิวห้อยย้อยมากมาย อีกทั้งยังเลี้ยงนกอีกมิใช่น้อย

    ริมสระหลงฉือมีหอฉินเจิ้งอู้เปิ่นและหอฮวาเอ้อเซียงฮุย หอทั้งสองห่างกันเพียงราวร้อยกว่าก้าว เวลานี้หอฉินเจิ้งอู้เปิ่นตามไฟสว่างไสวอลังการ ครึกครื้นไร้เปรียบปาน งานเลี้ยงกำลังร่ำดื่มสรวลเสสนุกสนาน ย้อนมองสระหลงฉือ ศาลาเฉินเซียง ศาลาหลงถิงต่างๆ รายรอบเลียบตลิ่งมีโคมไฟประดับประปรายเท่านั้น ผิวทะเลสาบส่วนใหญ่มืดมิดสงบนิ่ง

    กระเรียนเซียนหงอนแดงตัวหนึ่งยืนอยู่บนภูเขาจำลองกลางทะเลสาบ ซุกหัวในปีก กำลังหลับสนิท ทันใดนั้นเองมันกระชากคอยาวๆ ยืดขึ้น มองไปรอบด้านอย่างระมัดระวัง ความมืดรอบด้านนั้นหามีสิ่งผิดปกติใดไม่ ทว่านกกระเรียนสะบัดขนอย่างกระวนกระวาย สุดท้ายแล้วยังคงสยายปีกโผบินผ่านผิวน้ำจากไปไกล

    ครืด…

    ตำแหน่งที่กระเรียนเซียนยืนอยู่เมื่อสักครู่ หินก้อนหนึ่งบนภูเขาจำลองขยับเล็กน้อย ก้อนหินเหล่านี้ล้วนเป็นศิลาพิสดารที่รวบรวมมาจากในป่าลึกของขุนเขาจงหนาน รูปทรงต่างกัน ผ่านมือบรรดานายช่างสกัดแต่งอย่างวิจิตรนำมาซ้อนเรียง ระหว่างแต่ละก้อนประสานกันมิมั่นคง เวลาผ่านไปไม่นานก้อนศิลาขยับเขยื้อน ถึงกับถูกผลักออก

    บนภูเขาจำลองปรากฏถ้ำมืดให้เห็น เซียวกุยซึ่งเปียกปอนไปทั้งตัวงอเอวมุดออกมาจากถ้ำ แววตาที่ประกบสองข้างของจมูกงองุ้มดั่งเหยี่ยวแฝงความตื่นเต้น ที่นี่คือพระราชวังซิงชิ่ง คือหัวใจของต้าถัง คือศูนย์กลางของฉางอัน คนที่ได้รับเกียรติเข้ามาเยือนที่แห่งนี้มีน้อยมาก บัดนี้มันได้มาอยู่ในที่แห่งนี้แล้ว

    ภูเขาจำลองอยู่ใกล้กับตลิ่ง เซียวกุยหมอบอยู่ข้างภูเขาอย่างระมัดระวัง มองไปรอบด้าน ละแวกนี้ไม่มีทหารราชองครักษ์ ความสนใจทั้งมวลของกองกำลังหลงอู่ล้วนอยู่ที่หอฉินเจิ้งอู้เปิ่น จัตุรัสทักษิณ และการรักษาความปลอดภัยรอบนอกตำหนักของพระราชวังซิงชิ่ง ผู้ใดล้วนไม่ใส่ใจสระหลงฉือที่กว้างขวางและไม่สลักสำคัญเป็นพิเศษ

    เมื่อเซียวกุยมั่นใจว่าปลอดภัยจึงเลียนเสียงจิ้งหรีดแผ่วเบาไปทางถ้ำดำมืด ทหารห้าวหาญกร้าวแกร่งยี่สิบกว่านายเรียงแถวออกมาจากในถ้ำอย่างรวดเร็ว พวกมันแต่ละคนสวมชุดดำน้ำหนังปลารัดรูป ศีรษะเทินห่อผ้าน้ำมัน รังสีสังหารแผ่ออกทั่วร่าง

    เพื่อให้หอโคมไท่ซั่งเสวียนหยวนหมุนเคลื่อนได้ง่าย เหมาซุ่นจึงอาศัยแหล่งน้ำจากต้าวเจิ้งฟางชักมาถึงใต้หอโคมไท่ซั่งเสวียนหยวน แต่พลังน้ำมหาศาลนี้จำเป็นต้องมีที่ระบายออก หากขุดคูระบายน้ำใหม่ย่อมเป็นเรื่องยุ่งยากเกินไป ระบายลงสระหลงฉือโดยตรงเป็นทางเลือกดีที่สุด สระหลงฉือทั้งกว้างทั้งลึก รองรับน้ำปริมาณเล็กน้อยนี้ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด

    สำหรับองค์จักรพรรดิแล้วสระหลงฉือมีน้ำเพิ่มมากขึ้นย่อมทรงยินดี ดังนั้นงานก่อสร้างนี้จึงผ่านการอนุมัติ กองกำลังหลงอู่แม้เป็นทหารองครักษ์ชั้นยอด ทว่าความคิดของพวกมันตายตัว มันจับตาเฉพาะพื้นที่แห้งจำพวกประตู ทางเดิน มิเคยคาดคิดว่าคูระบายน้ำในวังหลวงจะถูกปลวกใช้ประโยชน์

    เซียวกุยนำคนยี่สิบกว่าคนลงสระน้ำเทินห่อผ้าน้ำมันไปอีกระยะสิบกว่าก้าว จากนั้นขึ้นฝั่งที่ก่อด้วยหินกรวด หินกรวดเหล่านี้ขนาดไล่เลี่ยกัน การคัดเลือกย่อมสิ้นเปลืองเวลาและแรงงานมิน้อย เซียวกุยจุปากสองครั้ง ซ่อนตัวอยู่ในหมู่ต้นหลิวกับพุ่มไม้

    คนยี่สิบกว่าคนทยอยถอดชุดดำน้ำ แกะห่อผ้าน้ำมัน หยิบชิ้นส่วนหน้าไม้กับดาบข้างในออกมา เสียงประกอบหน้าไม้ดังกุกกักในหมู่ต้นหลิวอันเงียบสงบ ไม่มีผู้ใดกล่าววาจาแม้สักคนเดียว

    เซียวกุยประกอบเสร็จคนแรก มันยกหน้าไม้เล็งไปที่ต้นหลิวด้านหน้าแล้วยิง ศรปักจมหายเข้ากิ่งหลิว เหลือเพียงปลายหางขนนก เซียวกุยพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ดูท่ากลไกยืดหดมิเสียหายจากการแช่น้ำ อีกสักครู่พวกมันจะได้พบองค์จักรพรรดิ หากหน้าไม้มีข้อผิดพลาด ย่อมถือเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

    มันตระเตรียมเสร็จสิ้น เดินไปถึงขอบพุ่มไม้ ยกกิ่งหลิวขึ้นมองไปทิศใต้ มองผ่านกำแพงเมืองสามารถเห็นหอโคมสูงเสียดฟ้าหลังนั้นเปลี่ยนเป็นคบเพลิงขนาดมหึมา เปลวเพลิงร้อนแรงลุกไหม้จากทุกส่วน ลูกไฟยี่สิบสี่ลูกยังคงเต้นเร่า ผลงานของเหมาซุ่นแข็งแรงทนทานมิใช่ธรรมดาสามัญ

    แผนดำเนินไปราบรื่นมาก เชื่อว่าอวี๋ฉางคงถูกไฟคลอกตายแล้ว น่าเสียดายไม่ทราบว่าบัดนี้จางเสี่ยวจิ้งอยู่ที่ใด มันหลบหนีลงมาถึงโถงใต้ดินได้หรือไม่ ทว่าความคิดนี้หยุดอยู่ในห้วงความคิดของเซียวกุยเพียงชั่วแวบ บัดนี้ตัวมันอยู่ในพระราชวังซิงชิ่ง อีกไม่ช้าต้องไปกระทำการใหญ่ที่มิเคยมีผู้ใดกระทำมาก่อน มันจำต้องมีสมาธิ สลัดความกังวลทั้งหมดทิ้งไป

    “ต้าโถวเอ๋ย แล้วจะได้เห็นเองว่าข้าล้างแค้นให้เหวินอู๋จี้อย่างไร” เซียวกุยรำพึงกับตัวเองเงียบๆ

    เสียงครวญทุ้มต่ำดังออกมาจากหอโคมไท่ซั่งเสวียนหยวนในเวลานี้คล้ายเกิดระเบิดด้านใน “เริ่มแล้ว!” เซียวกุยเบิกตา เฝ้ามองด้วยความหวังเต็มเปี่ยม เหล่าบริวารที่ข้างกายก็ห้อมล้อมอยู่รอบด้าน กลั้นลมหายใจ มองไกลออกไป

    ชั่วเวลาดีดนิ้วหลายครั้งให้หลังลูกไฟเจิดจ้าใหญ่กว่าเปลวเพลิงรอบด้านสิบเท่าระเบิดออกจากส่วนกลางของหอโคม เชว่เล่อฮั่วตัวพิโรธเหยียดแขนขาออกจากด้านใน ยื่นมือมหึมาออกมา หอโคมหักกลางแยกออกเป็นสองท่อนในพริบตา ร่างมหึมาบิดกลางอากาศกลายเป็นรูปร่างน่าสยดสยอง พอจะมองเห็นโครงหลักถล่มทลายลง ลมกระโชกเหนือเวหาของพระราชวังซิงชิ่งทันทีทันใด เสียงอสนีบาตแผดกวาดรอบด้าน เสียงนกร้องระงมรอบริมสระหลงฉือ หมู่นกที่หลับใหลบินพรูขึ้นฟ้า

    ทว่ายามนี้ไม่มีผู้ใดจะมองมายังพวกมัน เพลิงแดงกับกลุ่มควันพวยพุ่งแผ่ออกจากตำแหน่งที่หอโคมหักกลางอย่างบ้าคลั่ง สีแดงฉานดุจโบตั๋นแรกแย้ม เจิดจ้าปานเทพเจ้าหงส์ชาดจุติสู่โลก กลืนกินหอฉินเจิ้งอู้เปิ่น หอฮวาเอ้อเซียงฮุยกับจัตุรัสทักษิณไปในพริบตา

    เมืองฉางอันห้วงเวลานี้จากเสียงอึกทึกพลันกลับกลายเป็นสงบงันทันที ไม่ว่าจะเป็นราษฎรที่มาชมโคมในเหยียนโซ่วฟาง ชนชั้นสูงซึ่งชุมนุมฉลองบนที่ราบเล่อโหยว นักพรตนักบวชสมณะที่ประกอบศาสนกิจในอาราม ร้านค้าชาวหูแห่งตลาดตะวันตกที่กำลังสรวลเสร้องรำดื่มกิน หรือว่าเหล่าเจ้าหน้าที่จิ้งอันซือผู้วุ่นเป็นระวิงในกวงเต๋อฟาง พากันเงยหน้ามองทันที ฟากฟ้ารัตติกาลที่เดิมมืดมิดถูกแสงจ้าที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันทิ่มแทง จากนั้นเมืองทั้งเมืองคล้ายถูกอสูรร้ายคร่ากุมวิญญาณ แสงโคมทั้งหมดดับมืดลงพร้อมกัน

    เซียวกุยบีบกิ่งหลิวแน่น ตื่นเต้นเสียจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง แฝงกายเหนื่อยยากลำบากมายาวนาน พวกปลวกในที่สุดก็คืบคลานถึงยอดไม้เสียดฟ้า ความเจ็บปวดที่เคยได้รับมาในอดีตก็สมควรถึงคราวให้อีกฝ่ายลิ้มรสบ้าง

    ทว่าทันใดนั้นเองมันพบว่าคล้ายเกิดสิ่งผิดปกติ เพลายักษ์ของหอโคมไท่ซั่งเสวียนหยวนระเบิดแล้วจริงๆ ทว่าพลังทำลายล้างของระเบิดกลับห่างไกลจากที่เซียวกุยคาดคะเน

    ควรรู้ว่าพลังสังหารที่สำคัญที่สุดของเชว่เล่อฮั่วตัวมิใช่ไฟ หากแต่เป็นพลังระเบิดทำลายล้างในพริบตา มันไร้ร่างไร้รูป แต่แรงพอจะทลายกำแพงเมืองที่แข็งแกร่งที่สุด ตามการคำนวณก่อนหน้าปริมาณของน้ำมันดิบเหล่านั้นต้องฉีกกระชากหอโคมทั้งหอจนย่อยยับ พลังทำลายล้างเพียงพอถล่มหอฉินเจิ้งอู้เปิ่นกลายเป็นที่ราบ แต่บัดนี้หอโคมไท่ซั่งเสวียนหยวนเพียงถูกระเบิดหักกลางเท่านั้น มองดูเหมือนไฟควันพลุ่งพล่าน เสียงดังกึกก้อง ทว่าพลังทำลายล้างกลับลดทอนลงมาก

    การระเบิดเยี่ยงนี้เห็นชัดว่าเพลายักษ์ระเบิดไม่สมบูรณ์ ระเบิดเพียงท่อนกลางท่อนเดียว ดวงตาของเซียวกุยเบิกโพลง เงาหอฉินเจิ้งอู้เปิ่นยังคงตั้งตระหง่านท่ามกลางควันหนาทึบ แม้ถูกระเบิดเสียหายหนัก ทว่าโครงสำคัญยังมิเสียหาย

    “บัดซบ หรือว่าคำนวณผิด” เซียวกุยกัดฟันกรอด กระชากกิ่งหลิวในมือหักสะบั้น

    เวลาผ่านไปไม่นานหอโคมท่อนบนส่งเสียงครวญครางเนื่องจากถูกบดอัดถึงขีดสุด หลุดออกจากฐานล่างที่บิดเบี้ยว เอียงเข้าหาพระราชวังซิงชิ่ง หอครึ่งท่อนยาวเจ็ดสิบกว่าฉื่อที่เพลิงโหมร้อนแรงนี้ก็ล้มหวีดหวิวนำพาความรู้สึกถูกกดอัดไร้เปรียบปานลงจากกลางฟ้าเช่นนี้เอง อานุภาพมิน้อยไปกว่าขุนเขาไท่ซานถล่มทลาย

    มันกำลังล้มเข้าหาหอฉินเจิ้งอู้เปิ่น หลังคางอนกว้างใหญ่ตั้งตระหง่านอย่างทระนง รอรับการท้าทายครั้งใหญ่นับแต่ถือกำเนิดมา นี่คือการปะทะระหว่างยักษ์สองตน มนุษย์ได้แต่ชมดู มิอาจขัดขวางไม่ให้หอใหญ่ถล่มทลาย

    หอโคมท่อนบนทับลงบนหลังคาหอฉินเจิ้งอู้เปิ่นโดยมิลังเล บังเกิดเสียงกึกก้องกัมปนาท ทันใดนั้นเศษไม้พุ่งกระจัดกระจาย กระเบื้องหลังคาสีดำถล่มลง หอโคมสร้างจากไม้ อีกทั้งถูกไฟโหมเผาจนอ่อนตัว ในพริบตาที่ปะทะหออันสร้างจากหินและอิฐก็แตกกระจายทันที ในขณะที่โครงหลักของหอฉินเจิ้งอู้เปิ่นยังคงตั้งเด่น ทว่าหอโคมกลับมิได้ล้มโดยสิ้นเชิง เศษแตกหักมากมายนับไม่ถ้วนล้วนกำลังติดไฟ กระจายออกทุกทิศทุกทาง ร่วงตกลงบนคานบนเสา พุ่งเข้าอกไก่จันทัน แทรกเข้าในรอยแยกของแผ่นกลมปิดปลายกระเบื้องหลังคาทุกรู

    หากไม่รีบดับไฟ เกรงว่าหอฉินเจิ้งอู้เปิ่นจะกลายเป็นนรกเพลิงไปในเวลาอันรวดเร็ว

    “ลงมือ!”

    เซียวกุยโยนกิ่งหลิวทิ้งแล้วออกเดิน ดวงตาฉายแววเหี้ยมเกรียม แม้พลังทำลายล้างไม่รุนแรงดั่งหวัง แต่เมื่อทั้งระเบิดทั้งล้มทับถึงขั้นนี้ ในหอฉินเจิ้งอู้เปิ่นคงกำลังโกลาหล กองกำลังหลงอู่เกรงว่ายังไม่เข้าใจว่าเกิดอันใดกันแน่ นี่เป็นช่วงเวลาที่การป้องกันพระราชวังซิงชิ่งอ่อนแอที่สุด

    มันยกมือชี้นิ้วชี้ไปที่ด้านนั้น กำหมัดแน่นอีกครา เหล่าทหารด้านหลังก้าวออกมาพร้อมเพรียงกัน ยกหน้าไม้ขนานพื้น ตามติดอยู่ด้านหลัง

    การโจมตีครั้งสุดท้าย…ครั้งที่โหดเหี้ยมที่สุดของปลวก…เริ่มต้นแล้ว

     

    แม้มีที่ราบเล่อโหยวสูงใหญ่ขวางกั้น ในอุทยานโอสถของวังตะวันออกก็สามารถได้ยินเสียงกึกก้องที่มาจากทางพระราชวังซิงชิ่ง สีหน้าหลี่ปี้ซีดขาว ตัวสั่นโงนเงนราวกับจะทรงตัวไม่อยู่

    เสียงนี้แสดงว่าจางเสี่ยวจิ้งสุดท้ายแล้วยังคงล้มเหลว และหมายความว่าหอฉินเจิ้งอู้เปิ่นคงถูกเชว่เล่อฮั่วตัวกลืนกินเสียแล้ว คนในหอจุดจบเป็นเช่นใดคงมิต้องถาม หากเฉินเสวียนหลี่พาฝ่าบาทเสด็จหนีไม่ทัน ผลลัพธ์ต่อจากนี้ เหตุการณ์น่าสะพรึงกลัวมากมายต่อจากนี้…เส้นเลือดในสมองหลี่ปี้แทบระเบิดรอมร่อ

    ม่านรถสี่เยี่ยมยลเลิกขึ้นช้าๆ เผยให้เห็นใบหน้าตระหนก ชะเง้อมองไปทางเสียงระเบิดนั้นคล้ายลนลานมิรู้ควรกระทำเช่นไร

    “รัชทายาท!” หลี่ปี้ก้าวมาด้านหน้าหนึ่งก้าว ตะโกนเสียงหลงอย่างไร้มารยาทถึงขีดสุด

    “ฉางหยวนหรือ…” การตอบสนองแรกของหลี่เฮิงคือแปลกใจระคนยินดี ลงจากรถโผกอดร่างหลี่ปี้ทันที ตะโกนอย่างดีอกดีใจว่า “ยังมีชีวิตอยู่!!!”

    หลี่ปี้แปลกใจอย่างยิ่งกับท่าทีของรัชทายาท เดิมคาดว่าเมื่อหลี่เฮิงพบตนเองจะต้องละอายใจ หรือไม่ก็เย็นชา หรือมิฉะนั้นก็สาแก่ใจที่แผนร้ายสำเร็จ คาดคิดไม่ถึงว่าถึงกับเป็นท่าทีเช่นนี้ จากไมตรีที่ทั้งสองมีต่อกันนานปี หลี่ปี้สัมผัสได้ว่าความเบิกบานของรัชทายาทออกมาจากใจจริง มิได้แฝงเล่ห์มารยาแม้แต่น้อย

    นี่มิคล้ายท่าทีของคนเป็นรัชทายาทที่เพิ่งปล่อยให้คนร้ายระเบิดสังหารบิดาตนเอง ควรรู้ว่าตามเหตุผล หลี่เฮิงบัดนี้คือจักรพรรดิแล้ว

    หลี่ปี้ผลักหลี่เฮิงออก ถอยหลังหนึ่งก้าว คุกเข่าข้างเดียว “ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องไม่เข้าใจ” หลี่เฮิงใช้สองมือยื่นออกไปประคองมันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทว่าหลี่ปี้กลับดึงดันอยู่ในท่าเดิมไม่ยอมลุกขึ้น

    “เหตุใดพระองค์จึงเสด็จออกจากงานเลี้ยงกะทันหัน” หลี่ปี้เงยหน้าถาม

    ทันทีที่หลี่เฮิงได้ยินคำถามนี้ก็งงงวย “แน่นอนว่าเพื่อมาหาฉางหยวนอย่างไรเล่า!”

    “เอ๊ะ?”

    เป็นคำตอบที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายอีกประการ หลี่ปี้หัวคิ้วขมวดแน่น เพียงจ้องมองหลี่เฮิงนิ่งงัน หลี่เฮิงรู้ดี เมื่อหลี่ปี้บังเกิดความกังขามักจะมีท่าทีเช่นนี้ รู้สึกกระวนกระวายแล้ว ได้แต่เปิดปากอธิบาย

    ก่อนหน้านี้ถานฉีเคยทูลหลี่เฮิงเรื่องจิ้งอันซือถูกบุก หลี่ปี้ถูกจับตัวไป รัชทายาทกระวนกระวายอยู่ในงานเลี้ยง ต่อมาถานฉียังก่อกวนจนเรื่องนี้ล่วงรู้ไปถึงจักรพรรดิ ทำให้ถูกเสด็จพ่อบริภาษหนหนึ่ง เวลาต่อมาได้รับจดหมายลับ จดหมายนี้มิใช่มีผู้ส่งให้ หากแต่หลังจากเพลง ‘พลิ้วอาภรณ์พรายรุ้ง’ สิ้นสุดลง มิทราบผู้ใดใช้จอกแก้วทับเอาไว้

    ในจดหมายกล่าวว่าพวกมันคือปลวก บัดนี้ชีวิตของหลี่ปี้อยู่ในกำมือ หากรัชทายาทมิเชื่อให้เดินมาดูที่ระเบียง

    เมื่อได้ฟังถึงตรงนี้หลี่ปี้จึงเข้าใจในบัดดลว่าเหตุใดเซียวกุยยามนั้นจึงคุมตัวมันมายืนในห้องโคมครู่หนึ่ง ที่แท้มีเจตนาให้รัชทายาททอดพระเนตรเห็น จำได้ว่าเวลานั้นห้องโคมที่ขนาบสองข้างล้วนมีไฟสว่างขึ้น ที่แท้มิใช่เพื่อทดสอบไฟ แต่เพื่อให้รัชทายาทแยกแยะใบหน้าของมันชัดเจนต่างหาก

    “แล้วจากนั้นเล่า”

    “หลังจากข้าแน่ใจว่าเจ้าตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกมันก็หามีใจอยู่ร่วมงานเลี้ยงต่อ คิดแต่จะหาวิธีช่วยเจ้า ข้าเกรงขว้างมุสิกทำลายภาชนะ หากไล่ล่าบีบเค้นเกินไปจะทำให้เจ้าต้องประสบชะตากรรมเลวร้าย ในเวลานี้จดหมายฉบับที่สองก็ปรากฏขึ้นอย่างลึกลับอีก” หลี่เฮิงอธิบาย “ในจดหมายเขียนว่าข้าต้องไปอุทยานโอสถของวังตะวันออกทันที ที่นั่นจะบอกเรื่องที่ข้าต้องกระทำ แลกเปลี่ยนกับชีวิตของเจ้า ซ้ำยังขู่ข้าว่าหากบอกผู้อื่น เจ้าตายแน่”

    “หมายความว่าเพื่อชีวิตของกระหม่อม พระองค์ก็ไม่นำพาเหตุผลใดๆ ผลุนผลันออกจากงานเลี้ยงวสันต์หรือ”

    “แน่นอน!” หลี่เฮิงตอบโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ฉางหยวน นี่เป็นเรื่องคอขาดบาดตายถึงชีวิตเจ้าเชียวนะ งานเลี้ยงวสันต์ไม่สำคัญแม้แต่น้อย เสด็จพ่อจะทรงตำหนิเช่นไรก็ช่างเถิด”

    สีหน้าขององค์รัชทายาทไม่เหมือนเสแสร้งแม้แต่น้อย ยิ่งกว่านั้นจากน้ำเสียงก็ฟังออกว่าถึงกับไม่ทราบระแคะระคายว่าเสียงดังสนั่นเมื่อครู่นั้นหมายถึงอะไร

    ใจหลี่ปี้รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย สหายวัยเยาว์ของมันผู้นี้มิใช่คนชั่วช้าใจอำมหิตไร้น้ำใจพรรค์นั้นจริงๆ ทว่าความสงสัยที่หนักหนายิ่งกว่าก็ประดังมาเป็นระลอก ถ้าหากหลี่เฮิงมิได้กล่าวเท็จ แล้วเซียวกุยกระทำเช่นนี้มีแผนอันใดกันแน่ ทุ่มเทกำลังลักพาตัวหลี่ปี้ก็เพื่อล่อลวงให้หลี่เฮิงออกจากหอฉินเจิ้งอู้เปิ่นกระนั้นหรือ อีกทั้งเมื่อพิจารณาตามคำบอกเล่าของหลี่เฮิง มีไส้ศึกของปลวกอย่างน้อยผู้หนึ่งที่แฝงเร้นเข้าสู่หอฉินเจิ้งอู้เปิ่นได้สำเร็จ ปลวกชายหรือปลวกหญิงผู้นั้นเป็นใคร

    เหล่าปลวกยังมีแผนร้ายอื่นตามมาภายหลังอีกหรือไม่

    จิตใจของหลี่ปี้ที่เพิ่งผ่อนคลายลงจู่ๆ พลันเคร่งเครียดขึ้นอีกครา หลี่เฮิงจับจ้องมองหน้าหลี่ปี้ เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายเครียดคล้ำร้อนรนจึงซักถามเป็นการใหญ่ว่าที่แท้เกิดเรื่องอะไร หลี่ปี้อ้าปากค้าง มิทราบสมควรตอบอย่างไร

    จะให้มันตอบว่าหอโคมระเบิด หอฉินเจิ้งอู้เปิ่นพังทลาย เสด็จพ่อของพระองค์กลายเป็นผุยผงแล้ว บัดนี้พระองค์คือจักรพรรดิแห่งต้าถังหรือ

    เรื่องราวดำเนินมาถึงสถานการณ์เลวร้ายที่สุด บัดนี้ทั้งเมืองวุ่นวายสับสน เปี่ยมภยันตราย ก่อนที่จะเข้าใจสถานการณ์ทั้งปวงชัดเจน หลี่ปี้มิกล้าสรุปเรื่องราวต่างๆ อย่างง่ายดายเกินไป รัชทายาทผู้นี้เป็นคนอ่อนแอ อีกทั้งอารมณ์อ่อนไหวง่าย ได้ยินข่าวน่าแตกตื่นนี้จะลนลานถึงระดับใดก็มิอาจคาดคะเน

    เวลาวิกฤตเยี่ยงนี้ก้าวผิดหนึ่งก้าว ส่งผลถึงย่อยยับไร้หนทางกอบกู้

    เมื่อประสบมหันตภัยอันมิเคยปรากฏมาก่อน บางคนอาจร้องไห้คร่ำครวญ บางคนขวัญเสียขาดสติ ทว่าหลี่ปี้มิเป็นเช่นนั้น ในเมื่อเชว่เล่อฮั่วตัวบังเกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าตกใจเสียใจอย่างไรก็ไม่อาจย้อนเวลากลับคืน สิ่งสำคัญที่สุดบัดนี้คือจากนี้ไปสมควรกระทำเช่นไร

    หลี่ปี้พยายามสลัดความตื่นตระหนกกับความโกรธแค้นทิ้งจากสมอง สั่งตัวเองให้เยือกเย็น

    “จดหมายยังอยู่หรือไม่”

    “อยู่” หลี่เฮิงส่งจดหมายทั้งสองฉบับให้ หลี่ปี้คว้ามาอ่านลวกๆ อักษรที่เขียนเป็นอักษรแบบเสี่ยวข่ายหัวแมลงวัน เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยไม่ว่าคนใดก็เขียนอักษรชนิดนี้เป็น

    หลี่ปี้ยัดจดหมายเข้าอกเสื้อ ทูลหลี่เฮิงว่า “องค์รัชทายาท ทรงรู้หรือไม่ว่าพวกปลวกต้องการให้พระองค์มาที่อุทยานโอสถวังตะวันออกทำอะไร”

    หลี่เฮิงส่ายหน้า “ยังมิทราบ ข้าเพิ่งมาถึงที่นี่ เจ้าก็มาแล้ว เฮ้อ แต่ในเมื่อเจ้ารอดพ้นวิกฤตได้ ข้าก็มิต้องถูกข่มขู่ กระทำเรื่องตามคำสั่งพวกมันอีกแล้ว”

    หลี่ปี้ฝืนยิ้ม “เกรงว่าพวกมันมิเคยคิดจะให้พระองค์กระทำอันใดแต่ต้นแล้ว”

    “อา…”

    “ที่ให้เสด็จออกจากหอฉินเจิ้งอู้เปิ่นก็คือเป้าหมายใหญ่ที่สุดของพวกมัน” หลี่ปี้เอ่ยถึงตรงนี้พลันตะลึงตัวแข็งนิ่งคล้ายกับคิดบางสิ่งได้ ถามอย่างร้อนรนว่า “นอกจากพระองค์แล้วยังมีผู้ใดออกจากงานเลี้ยงหรือไม่”

    หลี่เฮิงครุ่นคิดเนิ่นนานมากแล้วส่ายหน้า ในงานเลี้ยงวสันต์ผู้คนมากมาย รัชทายาทเองก็รีบร้อนออกจากงาน ย่อมมิมีแก่ใจสังเกตว่ายังมีผู้ใดไม่อยู่ประจำที่นั่ง หลี่ปี้ขมวดคิ้วด้วยความผิดหวัง สายตาเย็นเยียบมองไปทางที่ราบเล่อโหยว พยายามมองทะลุเนินไปให้ถึงพระราชวังซิงชิ่งที่อีกฟาก

    ในเวลานี้เองสารถีรถม้าก็ยื่นหน้ามา “ผู้…ผู้น้อยทราบ…”

    หลี่เฮิงปรายตามองมันอย่างไม่พอใจ “งานเลี้ยงวสันต์ประจำเทศกาลซั่งหยวน ขุนนางยศต่ำกว่าขั้นห้ายังไม่มีคุณสมบัติพอเข้าร่วมงาน นับประสาอะไรกับเจ้า”

    ทว่าหลี่ปี้กลับห้ามหลี่เฮิง “ว่ามา”

    สารถีรถม้าประสานมือ เสียงขลาดกลัว “ผู้น้อยก็เพียงคาดเดา…เพียงคาดเดาเท่านั้น”

    “ว่ามาตามตรง รัชทายาทไม่ทรงตำหนิถือโทษ” หลี่ปี้กล่าว สารถีรถม้ามองหลี่เฮิง หลี่เฮิงส่งเสียงพ่นลมออกทางจมูกอย่างเย็นชา แสดงว่ายอมรับวาจาของหลี่ปี้ สารถีรถม้าจึงค่อยพูดอย่างตะกุกตะกัก

    ในพระราชวังซิงชิ่งห้ามขี่ม้าหรือนั่งรถ ดังนั้นผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงเมื่อมาถึงประตูจินหมิงต้องเดินเท้าเข้าไปทุกคน รถเทียมโคเทียมม้าที่พวกอาคันตุกะนั่งมาต้องจอดไว้ที่ลานโล่งไม่ไกลจากพระราชวังซิงชิ่งเท่าใด ตลอดช่วงเวลาของการจัดงานเหล่าสารถีล้วนรอรับคำสั่งอยู่ที่นี่

    รถสี่เยี่ยมยลสถานะสูงส่งเด่นล้ำ มีพื้นที่สำหรับจอดรถเป็นพิเศษ ที่ใกล้เคียงล้วนเป็นรถม้าของเหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางขั้นสามขึ้นไปจอดเรียงรายหนาแน่น หลังจากต้นยามหยิน สารถีได้รับพระบัญชาจากรัชทายาทว่าจะออกไปที่อื่นก็รีบผูกเครื่องม้าเตรียมรถ มันจำได้ว่ามีรถม้าเจ็ดสุคนธ์หรูหราคันหนึ่งจอดขวางอยู่หน้าถนน ต้องย้ายรถก่อนมันจึงจะออกรถได้ เมื่อมันเงยหน้ามองไปอีกครั้ง รถคันนั้นหายไปตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ มันยังนึกดีใจที่ไม่ต้องเสียเวลายุ่งยาก

    “รถคันนั้นเป็นของบ้านผู้ใด” หลี่ปี้ซักถาม

    “ของเสนาบดีหลี่ขอรับ บ้านท่านผู้นั้นโปรดปรานสิ่งหรูหราฟุ่มเฟือยเยี่ยงนี้ที่สุด” บรรดาสารถีรถม้าก็มีกลุ่มสหายของตน บ้านใดใช้รถประเภทใด ใช้ม้าพันธุ์ใด ชมชอบตกแต่งลักษณะใด เกี่ยวกับเรื่องประดานี้พวกมันล้วนทราบดี

    มิรอสารถีรถม้าพูดจบ หลี่ปี้กระโดดขึ้นหลังม้าอีกครั้ง เน้นทีละคำแก่หลี่เฮิง “ขอให้รัชทายาทพักผ่อน ณ ที่แห่งนี้สักครู่ จำไว้ นับแต่บัดนี้ไปอย่าออกไปที่ใดทั้งสิ้น อย่าได้เชื่อคำพูดของผู้ใดนอกจากตัวกระหม่อมเอง”

    หลี่เฮิงได้ยินน้ำเสียงเครียดเคร่งสุดขีดของสหายก็มิอาจไม่ตกใจ รีบถามว่าจะไปที่ใด หลี่ปี้บนหลังม้าประกายตาลึกล้ำ

    “จิ้งอันซือ”

     

     

    ติดตามต่อได้ในหนังสือ ฉางอันสิบสองชั่วยาม เล่ม 3 ฉบับเต็ม

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ฉางอันสิบสองชั่วยาม

    นิยายยอดนิยม

    Facebook