• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่านนิยาย สยบฟ้าพิชิตปฐพี 24_2

    ทว่ามันก็ต้องพบกับเรื่องที่น่าประหลาดใจอีกครั้ง

    ไม่ว่าพลังจิตของมันจะปลดปล่อยออกมามากแค่ไหน ไม่ว่าการวาดปลายนิ้วของมันจะมั่นคงทรงพลังเพียงใดก็ล้วนไม่สามารถทำให้ยันต์ที่วาดออกมากลางอากาศเกิดเจตนารมณ์แห่งยันต์ใดๆ ได้ หนำซ้ำยังทำให้มันเกิดข้อสันนิษฐานที่น่าตื่นตระหนกว่าต่อให้สามารถวาดยันต์เทวะออกมาได้ก็ไม่สามารถทำให้ลมหายใจแห่งฟ้าดินเกิดการเปลี่ยนแปลง

    พระสูตรที่เจ้าคณะฝ่ายเทศนาท่องออกมาทำให้พลังปฐมแห่งฟ้าดินในวัดไป๋ถ่าสงบนิ่งลงจนถึงขั้นไม่เคลื่อนไหว เฉกเช่นเดียวกับทะเลสาบ เจดีย์ ผู้คนในวัด ลม ฝน หิมะ และสิ่งต่างๆ ตามธรรมชาติ

    พระสูตรดังเข้าหูทีละคำๆ ห้วงความคิดของหนิงเชวียเริ่มสงบลง ไม่คิดจะใช้พลังจิตอีกต่อไป ร่างกายค่อยๆ ผ่อนคลาย เพียงอยากนั่งฟังพระสูตร แม้แต่ลมปราณสุดไพศาลในร่างกายก็สงบลงมากของเหลวใสส่องแสงสีทองซึ่งหมุนเวียนไม่หยุดอยู่กึ่งกลางท้องน้อยก็เริ่มช้าลง

    หนิงเชวียมองเจ้าคณะฝ่ายเทศนาที่นั่งขัดสมาธิอยู่ แตกตื่นจนพูดไม่ออก คิดในใจว่านี่มันเคล็ดวิชาอะไรกันจึงสามารถส่งผลกระทบเข้าไปถึงภายในร่างกายของตนได้ ช่างร้ายกาจนัก!

    ศิษย์พี่ใหญ่มองเจ้าคณะฝ่ายเทศนา กล่าวด้วยอาการตกใจอย่างสุดขีดว่า

    “คาถาวาจาสิทธิ์!”

    “ดังได้สดับมา…สามโลกล้วนเป็นอนิจจังและล้วนเป็นทุกข์ สิ่งที่มีมรรค แก่นฐาน สภาวะ และรูปลักษณ์ล้วนไร้ตัวตน ไม่มีลมไม่มีละอองน้ำ ไม่มีหมอก ไม่มีสายฟ้า ควรใช้ทัศนะที่สงบและบริสุทธิ์เช่นนี้มองสิ่งต่างๆ”

    พระสูตรของเจ้าคณะฝ่ายเทศนาดังกังวานไม่หยุดอยู่ในวัดไป๋ถ่า กังวานไกลคล้ายเสียงระฆัง สงบนิ่งคล้ายเสียงมู่อวี๋ เล็กละเอียดคล้ายเสียงธูปเผาไหม้ ส่งลึกเข้าไปในใจคนคล้ายเสียงแห่งพุทธะ

    เมื่อทุกสิ่งล้วนไม่มีตัวตน ลม ละอองน้ำ หมอก สายฟ้า ฝน และหิมะก็ล้วนไม่มี และในบรรพกาลแรกเริ่มของโลกมนุษย์ก็ไม่มีลมหายใจแห่งฟ้าดิน เช่นนั้นจะเอาลมหายใจแห่งฟ้าดินจากที่ไหนมาควบคุม

    เจ้าคณะฝ่ายเทศนาคือบุคคลระดับสูงสุดของวัดเสวียนคง ศิษย์ของมันต่อให้เป็นแค่หลวงจีนธรรมดาๆ ก็ยังมีฐานะสูงกว่าบุคคลระดับสูงอย่างเจ้าคณะหอวินัย ที่เป็นเช่นนี้เพราะวัดเสวียนคงคือสถานที่ที่เทศนาธรรมแทนปฐมพุทธะ

    และเจ้าคณะฝ่ายเทศนาอยู่สูงกว่าด่านทั้งห้า มันมีด่านฌานนิกายพุทธของตนเอง ดังนั้นมันจึงเป็นพุทธะในโลกมนุษย์ พระสูตรที่มันบรรยายในโลกมนุษย์จึงเป็นพระสูตรแห่งพุทธะ วาจาของมันก็คือพุทธวจนะ

    พุทธวจนะก็คือกฎเกณฑ์บนโลกใบนี้ของมัน

    โลกที่ไม่มีลม เสื้อนวมเก่าๆ เคลื่อนไหวโดยไม่มีลม ศิษย์พี่ใหญ่หน้าซีดเผือดมองเจ้าคณะฝ่ายเทศนา ถามด้วยความสงสัยว่า

    “อาจารย์บอกว่าท่านไม่สามารถลงมือ”

    เจ้าคณะฝ่ายเทศนามองมันแล้วกล่าวว่า

    “เมื่อหลายปีก่อนอาตมาให้สัญญาไว้กับจอมปราชญ์จริง หากว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ถึงขั้นโลกาวินาศก็จะไม่ลงมือ แต่บุตรีของหมิงหวังจุติลงมายังโลกมนุษย์ เรื่องนี้ถึงขั้นโลกาวินาศ อีกอย่างตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาอาตมาอ่านคัมภีร์ทุกคืนอย่างไม่รู้จักเหนื่อยหน่าย สุดท้ายฝึกพุทธวจนะได้สำเร็จ กล่าวได้ว่าอาตมาไม่ได้ลงมือ อาตมาเพียงเอ่ยวาจา”

    ศิษย์พี่ใหญ่ได้ฟังก็ตะลึงงัน ส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า

    “จวินโม่พูดถูกจริงๆ”

    เจ้าคณะฝ่ายเทศนาไม่รู้ว่าวาจานี้หมายความเช่นไร จึงพนมมือแล้วสวดท่องต่อไป

    ในที่นั้นมีเพียงหนิงเชวียและชีเหมยเท่านั้นที่รู้จักวาจานี้…หลวงจีนล้วนสมควรตาย สีหน้าชีเหมยพลันแปรเปลี่ยน แต่ไม่ปรากฏอารมณ์โกรธ เพียงแต่นิ่งขรึม

    ส่วนหนิงเชวียเดือดดาลจนสุดทน หากก็หวั่นเกรงและหวาดกลัวจนเกินบรรยาย

    เจ้าคณะฝ่ายเทศนาท่องพระสูตรไม่กี่ประโยคก็สามารถส่งผลถึงลมหายใจแห่งฟ้าดินรอบวัดไป๋ถ่าที่มีอาณาเขตกว้างขวางเช่นนี้ ใช้พุทธวจนะเปิดโลกใหม่ขึ้นอีกใบ พลังฌานที่แสดงออกมาช่างน่าพรั่นพรึงจริงๆ

    หนิงเชวียไม่อาจไม่ยอมรับอีกครั้งว่าหลวงจีนชราที่นั่งขัดสมาธิถือไม้เท้าอยู่ตรงหน้านี้คือผู้ฝึกฌานที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่ตนเคยเจอมา แข็งแกร่งยิ่งกว่ากระบี่ปริศนาของหลิ่วไป๋ที่เหมือนพุ่งแทงมาจากนอกโลกเสียอีก

    เสียงสวดท่องดังต่อเนื่อง ทะเลสาบหยุดนิ่ง แสงบนเจดีย์ถูกผนึก

    วัดไป๋ถ่าเหมือนกลายเป็นแดนสุขาวดีของโลกบรรพกาล ลมหายใจแห่งฟ้าดินสงบนิ่ง คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเชื่อมต่อกับด่านฌานด่านใดด่านหนึ่งที่อยู่เหนือกว่าด่านทั้งห้าของนิกายเต๋าซึ่งแฝงพลังสยบที่ทรงอานุภาพ ในโลกเช่นนี้ผู้ฝึกฌานไม่สามารถควบคุมพลังปฐมแห่งฟ้าดินได้จึงไม่ต่างจากคนธรรมดา

    ชาวแคว้นเยวี่ยหลุนหลายหมื่นคนไม่รู้ว่าที่นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกมันไม่ได้ยินและมองไม่เห็น แต่ต่อให้ได้ยินและมองเห็นก็ไม่มีทางเข้าใจ สัญชาตญาณของพวกมันสัมผัสได้เพียงว่ากำลังเกิดเรื่องที่มหัศจรรย์ ยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามจึงก้มหมอบลงตามๆ กัน กราบกรานเจ้าคณะฝ่ายเทศนาอีกครั้ง เคารพยำเกรงจนไม่กล้าลุกขึ้น

    ลมหายใจแห่งฟ้าดินหยุดนิ่ง ผู้ฝึกฌานไม่สามารถใช้กระบี่บิน หลวงจีนนิกายพุทธก็ไม่สามารถใช้เคล็ดวิชาใดๆ แต่พวกมันยังเดินได้ โดยเฉพาะหลวงจีนบำเพ็ญทุกรกิริยาที่เคี่ยวกรำร่างกายและจิตใจทั้งวันทั้งคืนอยู่ในดินแดนหิมะของทุ่งร้าง รวมถึงเหล่าองครักษ์เทพแห่งซีหลิงที่ล้วนเป็นผู้ฝึกฌานในมรรคาแห่งยุทธ์ยังพอมีพลังเหลืออยู่ส่วนหนึ่ง

    ชีเหมยต้าซือนำหลวงจีนหลายสิบรูปเข้ามาในที่นั้น องครักษ์เทพสิบกว่าคนภายใต้การนำของเสินกวนชุดแดงสองคนเดินเข้ามาในฝูงชน ดูจากความเร็วแล้วน่าจะมาถึงเบื้องหน้าหนิงเชวียในอีกไม่ช้า

    หนิงเชวียเกร็งข้อมือ ตวัดมือกระชับด้ามดาบไว้แน่น เห็นพวกคนที่ล้อมเข้ามาก็ขมวดคิ้ว ลมปราณสุดไพศาลในร่างมันแม้ถูกพุทธวจนะของเจ้าคณะฝ่ายเทศนาควบคุมไว้ แต่หลังจากเข้าสู่วิถีมารร่างกายมันก็แข็งแกร่งขึ้นมาก แม้อาศัยเพียงกายเนื้อต่อสู้มันก็ไม่หวั่นเกรงผู้ใด

    แต่ชีเหมยต้าซือที่กายเนื้อเป็นพุทธะก็เป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งเช่นกัน ในสถานการณ์เช่นนี้มันไม่มีความมั่นใจว่าจะชนะฝ่ายตรงข้ามได้ สิ่งที่ยิ่งทำให้มันรู้สึกกังวลใจคือตอนนี้ร่างกายของศิษย์พี่ใหญ่และซังซังอ่อนแอเหมือนคนธรรมดา มันจะปกป้องศิษย์พี่ใหญ่กับซังซังไม่ให้ได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร

    ในแดนสุขาวดีบนโลกมนุษย์ พุทธวจนะดังกังวานไกลไม่หยุดดุจเสียงระฆัง ไม่ว่าหนิงเชวียจะแข็งแกร่งขนาดไหนก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากแดนสุขาวดีได้ ไม่ว่าจิตใจจะแน่วแน่แค่ไหนตอนนี้ก็รู้สึกสิ้นหวังหน่อยๆ แล้ว

    ทันใดนั้นเอง ศิษย์พี่ใหญ่ก็เอ่ยวาจา

    มันถูกพุทธวจนะบีบให้ออกจากสภาวะไร้ระยะ ใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ ร่างกายที่บอบบางคล้ายต้นหลิวริมทะเลสาบลอยค้างอยู่กลางอากาศ แต่คนยังคงสะอาดบริสุทธิ์ ไม่แปดเปื้อนฝุ่นธุลีแม้แต่น้อย

    มันมองเจ้าคณะฝ่ายเทศนา ในดวงตาที่บริสุทธิ์จู่ๆ ก็ฉายแววแข็งกร้าวและเด็ดเดี่ยว ศิษย์พี่ใหญ่กล่าวช้าๆ ว่า

    “จอมปราชญ์เคยกล่าวว่าบัณฑิตที่อาลัยอาวรณ์ชีวิตที่สุขสบายไม่คู่ควรเป็นบัณฑิต สมณะที่อาลัยอาวรณ์โลกไม่คู่ควรเป็นสมณะ”

    ศิษย์พี่ใหญ่พูดช้ามาก แสดงออกถึงความสุภาพ เสียงของมันยังคงอ่อนโยนให้ความรู้สึกน่าสนิทสนม แต่ความแข็งกร้าวและเด็ดเดี่ยวในน้ำเสียงแสดงออกถึงความแน่วแน่

    คำพูดประโยคนี้อาจารย์สอนมันเมื่อหลายปีก่อน มันก็เหมือนศิษย์คนอื่นๆ ที่ภูเขาหลังสถานศึกษา ไม่เคยสงสัยในถ้อยคำของอาจารย์ ดังนั้นจึงคิดว่าถ้อยคำของอาจารย์ต้องมีเหตุผลแน่นอน

    เพราะมีเหตุจึงเกิดผลลัพธ์ นี่ก็คือความสมควรแก่เหตุผลที่สถานศึกษาปรารถนา

    หนิงเชวียไม่เข้าใจว่าเหตุใดศิษย์พี่ใหญ่จู่ๆ ก็กล่าววาจาเช่นนี้ในตอนนี้ ชีเหมยต้าซือก็ไม่เข้าใจ พวกหลวงจีนบำเพ็ญทุกรกิริยาและองครักษ์เทพที่แทรกตัวเข้ามาในที่นั้นต่างหยุดเท้าตามจิตใต้สำนึก

    ในที่นั้นมีเพียงเจ้าคณะฝ่ายเทศนาจึงจะมีปัญญาและประสบการณ์เพียงพอที่จะเข้าใจเจตนาในวาจานี้ของศิษย์พี่ใหญ่ สีหน้าของมันเคร่งขรึมขึ้นวูบหนึ่ง มองศิษย์พี่ใหญ่ด้วยความประหลาดใจ มือขวาหลุดจากไม้เท้า

    บัณฑิตที่อาลัยอาวรณ์ชีวิตที่สุขสบายไม่คู่ควรเป็นบัณฑิต สมณะที่อาลัยอาวรณ์โลกไม่คู่ควรเป็นสมณะ!

    หลังจากศิษย์พี่ใหญ่กล่าวถ้อยคำนี้ออกมาฟ้าดินที่เงียบสงบและหยุดนิ่งก็พลันเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าอัศจรรย์ สามารถได้ยินเสียงแตกร้าวอย่างถี่ยิบ

    วัดไป๋ถ่ายังคงเป็นวัดไป๋ถ่า สิ่งที่มองเห็นได้ในทัศนวิสัยล้วนปกติ ทว่าคล้ายมีบางสิ่งบางอย่างถูกฉีกทำลาย

    เริ่มมีลมพัดที่ผิวทะเลสาบ น้ำในทะเลสาบที่นิ่งแข็งเริ่มกระเพื่อมเป็นวงเล็กๆ ต้นหลิวริมทะเลสาบคล้ายถูกเส้นด้ายที่มองไม่เห็นดึงให้โน้มเอียงแล้วปล่อยกลับจึงเริ่มสั่นไหว

    ที่แท้โลกแห่งแดนสุขาวดีถูกทำลายแล้ว

    สีหน้าของเจ้าคณะฝ่ายเทศนาดูซับซ้อนยิ่ง มันคิดไม่ถึงว่าเซียนเซิงใหญ่เพียงเอ่ยวาจาออกมาท่อนหนึ่งก็สามารถทำลายคาถาวาจาสิทธิ์ของตน ตามด้วยทำลายโลกแห่งแดนสุขาวดี

    ในโลกของการฝึกฌานแม้เซียนเซิงใหญ่แห่งสถานศึกษาคือบุคคลระดับสุดยอด แต่อย่างไรมันก็เป็นเพียงศิษย์ของจอมปราชญ์ จะทำเรื่องน่าอัศจรรย์ถึงขนาดนี้ได้อย่างไร และเมื่อใดกันที่มันเรียนรู้เคล็ดวิชานี้

    ลมที่ผิวทะเลสาบพัดอีกครั้ง ต้นหลิวสั่นไหวอีกครั้ง การกระเพื่อมของน้ำในทะเลสาบค่อยๆ แผ่กว้าง สีหน้าของเจ้าคณะฝ่ายเทศนาเคร่งขรึมกว่าเดิม มันยื่นมือขวาออกไป ชี้นิ้วไปที่ศิษย์พี่ใหญ่แล้วกล่าวอย่างรวดเร็วว่า

    “ดังได้สดับมา…มีภูเขานามปอเหร่อ (ปรัชญา) หนักกว่าเขาเทียนชี่แสนแปดพันเท่า สามารถต้านพายุและถมทะเล สามารถสยบปีศาจมารร้ายทั้งมวล”

    พลังปฐมแห่งฟ้าดินในวัดไป๋ถ่าที่ก่อนหน้านี้เงียบสนิทหมุนวนอย่างรุนแรงในชั่วพริบตา คนธรรมดาย่อมมองไม่เห็น แต่ผู้ฝึกฌานสามารถสัมผัสได้ถึงการหมุนวนที่เหมือนเมฆฝนหนาแน่นนี้ และสัมผัสได้ถึงพลังที่น่ากลัวซึ่งแฝงอยู่ในนั้นทำให้เกิดความหวาดกลัวอย่างรุนแรงตามสัญชาตญาณ ถึงขนาดอยากหลบเลี่ยงไป

    พลังปฐมแห่งฟ้าดินที่หมุนวนอย่างรุนแรงพลันถูกบีบอัดอย่างรวดเร็ว จากนั้นเปลี่ยนเป็นยอดเขาเสมือนจริงที่ใหญ่อย่างไร้ขอบเขตลูกหนึ่งแหวกอากาศออกมาตกใส่ร่างของศิษย์พี่ใหญ่ที่กำลังจะหลุดพ้นจากพันธนาการของพุทธวจนะ

    ในวัดยังคงเงียบสนิทไม่มีสุ้มเสียงใด แต่ศิษย์พี่ใหญ่กลับรู้สึกว่าหูของตนได้ยินเสียงก้อนหินขนาดมหึมาจำนวนนับไม่ถ้วนกลิ้งลงมา และรู้สึกคล้ายมีมหาบรรพตลูกหนึ่งทับลงบนบ่าทั้งสองของตน

    เดิมร่างกายของมันก็เป็นเพียงร่างของคนธรรมดาอยู่แล้ว มิควรเอาไปเทียบกับจวินโม่หรือหนิงเชวีย บ่าทั้งสองดูเหมือนจะรับน้ำหนักอะไรไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้จึงส่ายโงนเงนทำท่าจะล้ม เท้าสัมผัสพื้น สองเข่าค่อยๆ งอ แต่ไม่ยอมล้มลงไป

    ศิษย์พี่ใหญ่กระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง จ้องตาเจ้าคณะฝ่ายเทศนาแล้วกล่าวด้วยเสียงหนักแน่นว่า

    “จอมปราชญ์กล่าวไว้ มนุษย์โลกร่วมรถเดินทาง ไม่ว่อกแว่กมองหลัง!ไม่เอะอะพูดโพล่ง!ไม่ชี้มือชี้ไม้!”

    ตอนนี้แม้กล่าวเป็นเชิงสั่งสอนเสียงของมันก็ยังอ่อนโยนอยู่เช่นเดิม ทำให้ผู้คนรู้สึกสนิทสนมจึงมีพลังในการโน้มน้าวสูงและแฝงไว้ด้วยพลังอำนาจที่แข็งแกร่ง

    เมื่อเอ่ยว่าไม่ว่อกแว่กมองหลัง เจ้าคณะฝ่ายเทศนาพลันรู้สึกปวดตา

    เมื่อเอ่ยว่าไม่เอะอะพูดโพล่ง พระสูตรที่เจ้าคณะกำลังสวดท่องอย่างรวดเร็วก็หยุดลงทันที

    และเมื่อศิษย์พี่ใหญ่เอ่ยว่าไม่ชี้มือชี้ไม้ เจ้าคณะฝ่ายเทศนาพลันรู้สึกว่าภูเขามหึมาลูกนั้นย้อนกลับมาที่หว่างนิ้วของตน แขนตกลงจนไม่สามารถชี้ฝ่ายตรงข้ามได้อีก

    สีหน้าของเจ้าคณะฝ่ายเทศนาเคร่งเครียดเงียบขรึมกว่าเดิม คิ้วยาวสีเงินกระพือไม่หยุด ริมฝีปากเผยอ สวดท่องพระสูตรอีกครั้ง ครั้งนี้ความเร็วในการท่องเชื่องช้ายิ่ง หากแต่ละคำๆ กลับมีเสียงดังประดุจสายฟ้าฟาดที่น่าเกรงขาม!

    “ดังได้สดับมา…พลังแห่งสมาธิสามารถทำให้ทุกสิ่งในดินแดนนามว่าซานถีหลัน (ศาณฑิลย) เมื่อครั้งบรรพกาล ทั้งบรรพต พฤกษาและปฐพีกลายเป็นมณีเจ็ดประการ ทำให้ชนทั้งหลายได้เรียนรู้จนประจักษ์แจ้งด้วยตนเอง ได้สดับธรรมอันประเสริฐเบื้องหน้าพุทธะ

    ด้วยการพิจารณาไตร่ตรอง บ้างเห็นสีคราม สีเหลือง สีขาว สีม่วง สีแดง และสีดำในตน บ้างเห็นคล้ายลม บ้างเห็นคล้ายไฟ บ้างเห็นคล้ายความว่างเปล่า บ้างเห็นคล้ายเปลวระอุขณะรุมร้อน บ้างเห็นคล้ายน้ำ บ้างคล้ายฟอง บ้างคล้ายภูผา บ้างคล้ายประมุขสวรรค์ บ้างคล้ายดอกบัว บ้างคล้ายพญานก บ้างคล้ายหมู่ดาว บ้างเห็นคล้ายช้าง บ้างคล้ายจิ้งจอก!”

    พุทธวจนะดังไม่หยุดประดุจสายฟ้าฟาดอยู่ในวัด น้ำในทะเลสาบพลันหวาดกลัวอยู่ไม่เป็นสุข ต้นหลิวริมฝั่งหักร่วงลง เจดีย์ขาวปลดปล่อยลำแสงเจ็ดสี!

    สาธุชนหลายหมื่นที่คุกเข่าหมอบกรานอยู่ในที่สุดก็ได้ยินเสียงแห่งพุทธะที่ดังเหมือนฟ้าร้องจึงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าตามจิตใต้สำนึก แต่กลับไม่เห็นร่องรอยของสายฟ้า

    ลมหายใจแห่งฟ้าดินมากมายไหลมาจากทุ่งร้างรอบแคว้นเยวี่ยหลุนเป็นพายุนำพาฝุ่นละอองมา ทำให้ต้นไม้หัก ทำให้สัตว์ต่างๆ หวาดกลัว พายุฝุ่นหมุนพัดสู่เมืองเฉาหยาง พัดไปทางวัดไป๋ถ่า

    ชั้นเมฆบนฟ้าปกคลุมเมืองเฉาหยางมาแล้วหนึ่งเหมันต์เต็ม ในหนึ่งเหมันต์นี้นอกจากมารวมตัวกันหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอื่นใด ทว่าตอนนี้แม้แต่ชั้นเมฆประหลาดนี้ก็คล้ายสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวในพุทธวจนะของเจ้าคณะฝ่ายเทศนาจึงเริ่มหมุนวนไม่หยุด

    ชั้นเมฆมืดครึ้มหมุนวนอย่างรุนแรงดูแล้วเหมือนมีงูสีดำหลายพันตัวเลื้อยวนอยู่ข้างใน บางครั้งกลุ่มเมฆก็แยกออกเป็นช่อง แสงอาทิตย์ส่องผ่านลงมา แล้วปุยเมฆก็กระจายแสงทำให้เกิดสีสันมากมาย แสงสีถูกบิดเบือนจนปรากฏเป็นรูปร่างต่างๆ

    แสงเหล่านั้นทอดลงมายังวัดไป๋ถ่า บ้างครามบ้างขาวบ้างดำ ผู้คนเห็นสีสันต่างๆ บนร่างกายตนก็ตะลึงงัน แต่ในสายตาของผู้ฝึกฌานแสงจากฟ้าที่ถูกบิดเบือนจนกลายเป็นรูปร่างต่างๆ นั้นน่ากลัวยิ่ง เพราะในสมองของพวกมันแสงจากฟ้าเหล่านั้นบ้างกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของนิกายพุทธที่ถือกระบองวัชระ บ้างกลายเป็นสัตว์ประหลาดของนิกายพุทธที่ดุร้ายน่ากลัว บ้างกลายเป็นวารีและอัคคีมากมายมหาศาลถาโถมลงมา!

    หนิงเชวียรู้ว่านี่ไม่ใช่ภาพมายาและไม่ใช่ห้วงแห่งความนึกคิดของเจ้าคณะฝ่ายเทศนา แต่เป็นลมหายใจแห่งฟ้าดินจริงๆ เป็นเจ้าคณะฝ่ายเทศนาที่ใช้มหิทธานุภาพแห่งพุทธะเปลี่ยนลมหายใจแห่งฟ้าดินให้กลายรูปเป็นสิ่งต่างๆ เต็มท้องฟ้า

    เลือดซึมออกมาจากมุมปากของหนิงเชวีย ภายใต้มหิทธานุภาพแห่งพุทธะ ต่อหน้าอภินิหารบนท้องฟ้า มันไม่มีพลังที่จะต้านทาน ได้แต่คุกเข่าลงช้าๆ เจ็บปวดจนหน้าซีดเผือด ราวกับว่าในอีกไม่ช้าชี่ไห่เสวี่ยซานจะถูกทำลาย

    ส่วนซังซังที่มันแบกอยู่ยิ่งมีสภาพเลวร้ายกว่า ตอนที่แสงจากฟ้าส่องลอดชั้นเมฆลงมาบนตัว ร่างกายนางพลันถูกฉาบทาด้วยสีดำชั้นหนึ่ง ใบหน้าแม้ขาวซีดแต่กลับเผยให้เห็นสีดำเทาที่ไม่เป็นมงคลอยู่รำไร เลือดที่กระอักออกมาไม่หยุดกลายเป็นสิ่งที่คล้ายน้ำหมึกเหมือนตอนที่อยู่วิหารหลังวัดลั่นเคอ

    ตอนนี้ในวัดไป๋ถ่าผู้ที่สามารถต่อต้านพุทธวจนะของเจ้าคณะฝ่ายเทศนาได้มีเพียงหนึ่งเดียวคือศิษย์พี่ใหญ่แห่งสถานศึกษา มันย่อมเป็นเป้าหมายหลักในการโจมตีของมหิทธานุภาพแห่งพุทธะ

    ในสายตาของศิษย์พี่ใหญ่ไม่มีสีสันมากมาย ไม่มีจิ้งจอก ไม่มีช้าง ไม่มีอัคคีหรือวารีที่รุนแรง มันเห็นแต่เทพเทวาเคียงคู่กับดวงดาวเต็มท้องนภาพุ่งเข้ามาหาตน

    เทพแต่ละองค์ล้วนมีมหิทธานุภาพแห่งเทวะ พุทธะในตำนานของนิกายพุทธแต่ละองค์ล้วนมีมหิทธานุภาพแห่งพุทธะ ดาวแต่ละดวงล้วนมีอานุภาพแห่งฟ้าดินที่มิอาจสั่นคลอน

    กระดูกในร่างของศิษย์พี่ใหญ่เริ่มส่งเสียงแตกร้าว หางตาเริ่มมีเลือดซึมออกมา ใบหน้าซีดขาวลงเรื่อยๆ แม้แต่ด่านฌานก็ใกล้พังทลายแล้ว

    ทว่าสีหน้าของมันยังคงแน่วแน่

    ศิษย์พี่ใหญ่เงยหน้าขึ้นมองชั้นเมฆดำทะมึนที่หมุนวนอย่างบ้าคลั่ง มองแสงเจ็ดสีที่ส่องลงมาจากฟ้า เทพและพุทธะโบราณ รวมทั้งฝนแห่งดวงดาว แล้วตวาดว่า

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook