• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่านนิยาย สยบฟ้าพิชิตปฐพี เล่ม 25 ตอนที่ 2

    3 of 3หน้าถัดไป

    ซังซังย่อตัวลงเก็บร่มดำขึ้นมาแล้วกางออก

    ไอเย็นยังคงปล่อยออกมาจากร่างกายของนางสู่ทุ่งร้าง เมื่อไอเย็นที่ไร้รูปลักษณ์ปะทะกับธรรมชาติที่เป็นจริงจึงกลายเป็นลมหมุนสีดำอันหนาวเย็น ม้วนกรวดทรายบนพื้นขึ้นมาล้อมรอบตัวนาง เกิดเป็นฝุ่นควันสีดำกลุ่มหนึ่งที่หมุนวนและร้องหวีดหวิว

    ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในบ้านร้างที่เมืองเฉาหยางของแคว้นเยวี่ยหลุน อีกาสีดำก็ตามซังซังมาตลอด บินวนอยู่บนท้องฟ้าเหนือศีรษะ ตอนนี้หลังจากซังซังเกิดการเปลี่ยนแปลง อีกาสิบกว่าตัวนั้นราวกับสัมผัสอะไรบางอย่างได้จึงร้องกาๆ อย่างโหวกเหวกแล้วกระพือปีกบินสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ราวกับว่ายิ่งอยู่ห่างจากนางได้ยิ่งดี กระทั่งสุดท้ายบินเข้าไปในชั้นเมฆมืดครึ้มจนหมด

    เมฆก้อนนั้นตามซังซังมานานยิ่งกว่า ตามมาตลอดตั้งแต่ทุ่งร้างตะวันตก ยิ่งตามก็ยิ่งมากยิ่งหนาแน่น แสงสว่างยากจะส่องลอดได้ มันจึงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเมฆดำทั้งที่เดิมทีแล้วเมฆควรจะเป็นสีขาว

    หลังจากอีกาสิบกว่าตัวบินเข้าไปในชั้นเมฆแล้วก็เปลี่ยนเป็นจุดสีดำเล็กๆ เหมือนมีคนหยดหมึกข้นๆ ลงไปในแก้วที่ใช้ล้างพู่กันที่มีน้ำสีดำอ่อนๆ สีของชั้นเมฆดำขึ้นเรื่อยๆ

    ที่พื้นของทุ่งร้าง ฝุ่นควันสีดำยังคงหมุนวนรอบตัวซังซัง ไอเย็นสายนั้นไหลไปตามร่มดำในมือนาง พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า

    ถ้าเปรียบคทาเทพในมือของเจ้านิกายเป็นไส้ตะเกียง เปลี่ยนแสงและความร้อนที่วิชาเทพปล่อยออกมาเป็นเปลวเพลิงที่แท้จริง ส่องท้องฟ้าทางทิศใต้ให้สว่าง เช่นนั้นร่มดำในมือซังซังก็คือพู่กัน จุ่มไอเย็นในร่างของนางจนชุ่ม ระบายชั้นเมฆทางทิศเหนือให้ดำมืด

    อีกาสิบกว่าตัวเป็นเพียงหยดน้ำหมึกที่หยดลงก่อนจรดพู่กัน ส่วนสีดำที่แท้จริงมาจากตัวซังซังเอง

    ชั้นเมฆที่ดำทะมึนหมุนวนอย่างรุนแรง จากนั้นก็หยุดอย่างกะทันหัน รับไอเย็นที่ส่งมาจากร่มดำ หากมองด้วยสายตาจะเห็นว่าสีของเมฆดำขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งมองก็ยิ่งเหมือนกระดาษที่ชุ่มน้ำหมึกแผ่นหนึ่ง จนสุดท้ายกลายเป็นหมึกแข็ง นอกจากสีดำแล้วก็ไม่มีอย่างอื่น

    อะไรที่เรียกว่าสีดำ สีดำคือไม่มีแสง ท้องฟ้าทางทิศเหนือในตอนนี้ทั้งแถบคือสีดำที่ไม่มีแสง นอกจากไม่มีดาวแล้วยังดูเหมือนรัตติกาลด้วย

    รัตติกาลไม่ควรปรากฏในตอนกลางวัน ท้องฟ้าเวลากลางคืนก็ต้องมีดาว เช่นนั้นแล้วรัตติกาลที่ปรากฏในตอนกลางวันและไม่มีดาวย่อมไม่ใช่รัตติกาลธรรมดา หรือว่าจะมีชื่ออื่น

    “นี่มันเกิดอะไรขึ้น”

    “ทำไมท้องฟ้าที่นั่นจึงดำมืด”

    “หรือนี่คือราตรีนิรันดร์?”

    ผู้คนในทุ่งร้างมองท้องฟ้าที่ถูกแสงสว่างและความมืดแบ่งแยกอาณาเขต พวกมันไม่ได้ร้องตะโกนด้วยความตกใจ ไม่ได้กรีดร้อง มีแต่พึมพำกับตัวเอง พวกมันตกใจมาก มากจนแม้แต่ความรู้สึกหวาดกลัวก็ลืมไปแล้ว สีหน้าเหม่อลอยทำอะไรไม่ถูก คล้ายวิญญาณไม่อยู่ในร่าง

    กองทัพร่วมอาศรมเทพยืนอยู่ใต้ฟ้าสว่างทางทิศใต้ มองรัตติกาลทางทิศเหนือ

    ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดผู้คนก็ได้สติ เริ่มตะโกนอย่างตกใจ เริ่มกรีดร้อง เริ่มร้องไห้ฟูมฟาย มีบางคนตั้งใจจะหนี แต่ม้าศึกทุกตัวล้วนหวาดกลัวจนวิ่งไม่ออก พากันล้มลงกับพื้น ทำให้เกิดความชุลมุน

    ชาวฮวงยืนอยู่ใต้รัตติกาลทางทิศเหนือ มองแสงสว่างทางทิศใต้ ทุกคนต่างคุกเข่าลงอีกครั้ง กำหมัดทาบกับหน้าอก หลับตาอธิษฐานอย่างสงบและศรัทธา รอการมาของหมิงหวัง

    หนิงเชวียลุกขึ้นอย่างยากลำบาก เดินไปหาซังซังที่อยู่ด้านหน้าอีกครั้ง

    ก่อนที่จะตัดสินใจออกจากค่ายของชาวฮวงแล้วลงใต้มาที่นี่มันก็รู้ว่าร่างกายของซังซังอาจก่อเกิดเรื่องบางอย่าง ถึงขนาดอาจเป็นเรื่องที่น่ากลัวกว่าตาย เพราะนางอาจตื่นขึ้น อาจถูกหมิงหวังมองเห็น

    มันไม่สนใจการมาเยือนของโลกแห่งความมืด หรือการมาเยือนของราตรีนิรันดร์ มันสนใจแต่ว่าตอนนี้ซังซังเป็นอย่างไร

    ซังซังตอนนี้สบายดี…

    แสงที่ส่องมาจากท้องฟ้าทางทิศใต้พวกนั้นส่องลงบนตัวนางไม่ได้อีกแล้ว แสงที่ร้อนระอุเป็นเส้นๆ พวกนั้นพอส่องมาถึงบริเวณที่ห่างจากเบื้องหน้านางพอสมควรจะถูกไอเย็นดำมืดตัดทิ้ง และไอเย็นในร่างของนางก็ไม่สามารถทำให้นางเจ็บปวดอีก

    ซังซังตอนนี้ไม่สบาย…

    นางมองไปทางทิศใต้ แม้ห่างกันไกลมาก แต่ตอนนี้นางสามารถมองเห็นภาพในกองทัพร่วมอาศรมเทพได้อย่างชัดเจน ถึงขนาดสามารถมองเห็นทุกรายละเอียด รวมถึงสีหน้าของแต่ละคน

    นางมองเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ความไม่สบายใจ ความอ่อนแอ ความเกลียดชัง ความเศร้า และอารมณ์แง่ลบต่างๆ กล่าวก็คือมองไม่เห็นความชอบเลย

    ผู้คนในตอนนี้ไม่มีใครชอบนางแล้ว

    ซังซังก้มหน้ามองปลายเท้าที่โผล่พ้นชายกระโปรง มองดอกบัวน้ำแข็งสองดอกที่บานอยู่ใต้ฝ่าเท้า กล่าวเบาๆ ว่า

    “ก่อนที่อาจารย์จะตายเอาแต่มองทิศเหนือ ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วว่าที่แท้สิ่งที่อาจารย์มองในตอนนั้นก็คือข้าในตอนนี้ ที่แท้ตอนนั้นอาจารย์แน่ใจแล้วว่าข้าคือเงาแห่งรัตติกาล”

    หนิงเชวียเดินไปข้างหลังนาง ยื่นมือไปจูงมือนาง

    เท้าของซังซังเหยียบอยู่บนดอกบัวที่เกิดจากน้ำแข็ง คล้ายสัมผัสกับพื้นแต่ไม่สัมผัส ตอนนี้ร่างกายของนางราวกับว่าไม่มีน้ำหนักแล้ว เป็นเพียงร่างโปร่งแสงเท่านั้น

    “ตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง”หนิงเชวียถาม

    ซังซังตอบเสียงเบาว่า

    “รู้สึก…แข็งแกร่งมาก”

    “ชอบไหม”หนิงเชวียถาม

    ซังซังส่ายหน้า ตอบว่า

    “ไม่ชอบ”

    หนิงเชวียบอกว่า

    “อดทนไว้”

    ซังซังบอกว่า

    “ทนไม่ไหว”

    หนิงเชวียถามว่า

    “ทำไมถึงไม่ชอบ”

    ซังซังเงยหน้าขึ้น มองไปทางทิศใต้พลางกล่าวว่า

    “เพราะไม่มีใครชอบข้าแล้ว”

    หนิงเชวียกล่าวว่า

    “มองโลกในแง่ดีสิ”

    ซังซังถามว่า

    “อย่างไร”

    หนิงเชวียตอบว่า

    “เจ้าหน้าตาอัปลักษณ์อย่างนี้ นิสัยก็ไม่ดี นอกจากข้าโลกนี้ก็ไม่มีใครชอบเจ้าอยู่แล้ว ตอนนี้ต่อให้ไม่มีใครชอบเจ้า แค่ข้ายังชอบเจ้า เช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับเมื่อก่อน”

    ซังซังคิดไปคิดมาแล้วกล่าวว่า

    “ดูเหมือนจะเป็นเช่นนี้จริงๆ”

    3 of 3หน้าถัดไป

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook