• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่านนิยาย สยบฟ้าพิชิตปฐพี เล่มที่ 27 ตอนที่ 1

    องครักษ์หลายสิบคนสังเกตความเคลื่อนไหวโดยรอบด้วยความตื่นตัว

    ในตำหนักด้านหลังของพวกมันเงียบสงัดไม่ได้ยินเสียงใด แตกต่างโดยสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับความคึกคักตอนที่องค์หญิงเรียกประชุมเหล่าขุนนางและทหารในช่วงที่ผ่านมาก่อนหน้านี้

    องครักษ์ประจำตัวจากดินแดนทุ่งหญ้าที่ภักดีที่สุดต่อหลี่อวี๋ เข้าร่วมกองกำลังอวี่หลินมานาน เมื่อได้ยินว่าในวังเกิดการเปลี่ยนแปลงจึงตั้งใจจะบุกเข้าวัง แต่ถูกกองกำลังอวี่หลินปราบปราม หลายคนสู้รบจนตัวตาย บางคนยังไม่ทันได้เคลื่อนไหวก็ถูกจับไปเข้าคุกของกรมทหาร

    คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนรู้จักของหนิงเชวีย หลายปีก่อนระหว่างทางจากเมืองเว่ยมาฉางอันมันและชายฉกรรจ์แห่งดินแดนทุ่งหญ้าเหล่านี้เคยสู้รบร่วมเป็นร่วมตายด้วยกัน มีมิตรภาพต่อกัน แต่นั่นก็ผ่านมาหลายปีแล้ว พอได้ยินข่าวนี้มันเพียงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วไม่สนใจเรื่องนี้อีก

    สิ่งของที่ทำจากทองและของแหลมคมทั้งหมดในห้องบรรทม กระทั่งกระจกทองแดงล้วนถูกนำออกไป ผ้าห่มนุ่มๆ จำนวนนับไม่ถ้วนถูกปูไว้ทั่วห้อง แม้อยากเอาศีรษะโขกผนังตายก็ยากจะทำได้

    ใบหน้าของหลี่อวี๋ซูบเซียวและขาวซีดลงมาก ดูอ่อนแอยิ่งนัก ราวกับว่าจะล้มลงได้ทุกเมื่อ

    ดวงตาที่เคยสดใสของนางคล้ายมีน้ำค้างแข็งปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง ไร้ประกายใดๆ แผ่ความหนาวเย็นเสียดกระดูกออกมา นางมองหนิงเชวียพลางเอ่ยเสียงสั่นเครือว่า

    “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะหลอกข้า”

    “ถ้าท่านหมายถึงการสนทนาครั้งสุดท้ายในห้องทรงพระอักษรล่ะก็…ข้าไม่ได้หลอกท่าน ตอนนั้นข้าเพียงนิ่งเงียบ ท่านพูดว่าไม่ว่าซังซังจะทำผิดอย่างไรข้าก็ไม่อาจหักใจทำร้ายนาง คำพูดนี้ถูกต้อง ท่านไม่อาจหักใจทำร้ายหลี่ฮุยหยวน เรื่องนี้ข้าก็เข้าใจ แต่เข้าใจกับเห็นด้วยเป็นคนละอย่างกัน”

    หนิงเชวียมองนางพลางเอ่ยต่อไปว่า

    “ความรักความสงสารและความเสียใจที่ท่านมีต่อมันไม่เกี่ยวอะไรกับข้า เหมือนความรักที่ข้ามีต่อซังซังก็ไม่เห็นว่าคนทั้งโลกจะยอมรับ ยิ่งไปกว่านั้นข้าไม่ชอบน้องชายท่าน”

    “แต่เจ้าเคยคิดบ้างไหมว่าคนที่เจ้าฆ่าคือสายเลือดของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อจะเห็นด้วยกับการกระทำของเจ้าหรือ”

    หลี่อวี๋จ้องตามันพลางเอ่ยอย่างคับแค้นใจ

    หนิงเชวียมองนางพลางเอ่ยเสียงเรียบว่า

    “แล้วท่านเคยคิดบ้างไหมว่าเหตุใดพันปีที่ผ่านมาไม่เคยมีใครสามารถสังหารราชนิกุลแซ่หลี่ในวังหลวง ถูกแล้ว เพราะค่ายกลสยบเทวะคุ้มครองวังหลวงมาตลอด

    เมื่อครู่ในตำหนัก ตอนที่ข้าฟันดาบ พวกสัตว์ร้ายบนชายคาล้วนมีปฏิกิริยา เพียงแต่พอพวกมันรู้ว่าเป็นข้าก็ระงับกระแสปราณ

    นี่เป็นเพราะอะไรน่ะหรือ เพราะฝ่าบาทมอบค่ายกลสยบเทวะให้ข้าซึ่งหมายถึงมอบทุกชีวิตของพวกเจ้าตระกูลหลี่ให้ข้า แล้วแต่ข้าจะจัดการ”

    หลี่อวี๋ร่างสั่นสะท้าน หน้าซีดลงกว่าเดิม

    “ที่แท้เป็นเช่นนี้ ที่แท้เสด็จพ่อเชื่อใจสถานศึกษา แต่ไม่เชื่อใจพวกเราที่เป็นลูก ในความเห็นของเสด็จพ่อมีเพียงสถานศึกษาเท่านั้นสินะที่ปกป้องต้าถังได้อย่างแท้จริง…”

    นางมองหนิงเชวียพลางกล่าวเย้ยหยัน

    “ต้าถังจะล่มสลายอยู่รอมร่อ สถานศึกษากลับไม่เคลื่อนไหว เอาแต่หลบอยู่ในภูเขาเยี่ยงมุสิกขี้ขลาด ไม่รู้เสด็จพ่อจะสำนึกเสียใจหรือไม่ที่ตัดสินใจแบบนี้”

    หนิงเชวียสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เอ่ยว่า

    “นี่คือจุดที่ท่านเทียบพระอัครมเหสีไม่ได้ นางจะไม่สงสัยการตัดสินใจของฝ่าบาทโดยเด็ดขาด อีกอย่างสมัยก่อนนางเคยประสบเรื่องราวของอาจารย์และสถานศึกษามาด้วยตนเอง ดังนั้นแม้ข้ากับนางจะมีความแค้นฝังลึกต่อกัน แต่ตอนที่นางเลือกที่จะเชื่อใจข้ากลับไม่มีความลังเลใดๆ และไม่มีการเผื่อใจแม้แต่น้อย

    มีแต่คนหน้ามืดตามัวเท่านั้นที่มองข้ามภูเขาหลังสถานศึกษา ที่คิดจริงๆ ว่าสถานศึกษาเลือกที่จะหลบลี้หนีหายเพราะขี้ขลาด แม้ข้าไม่รู้ว่าสภาพการณ์ที่แท้จริงในตอนนี้เป็นเช่นไร แต่ข้าบอกท่านได้ว่าตอนนี้บรรดาศิษย์พี่ของข้ากำลังเตรียมการสู้รบอยู่อย่างแน่นอน สู้รบเพื่อต้าถังและเพื่อสถานศึกษา”

    หลี่อวี๋ก้มหน้าเงียบไป ไม่รู้จะเชื่อคำพูดของหนิงเชวียได้หรือไม่

    แต่หนิงเชวียไม่สนใจเรื่องนี้ มองนางพลางกล่าวสืบไปว่า

    “เป้าหมายที่ข้ากลับมาฉางอันก็คือการสู้รบเช่นกัน ข้าต้องทำให้ความวุ่นวายในฉางอันสงบลงโดยเร็ว มาดูให้แน่ใจว่าค่ายกลสยบเทวะไม่เกิดปัญหา จากนั้นไปเอาดวงตาค่ายกล ขอเพียงทำเรื่องเหล่านี้สำเร็จ ต่อให้อาศรมเทพแข็งแกร่งขนาดไหนก็บุกเข้ามาไม่ได้”

    หนิงเชวียบรรยายแผนของตนอย่างจริงจังเหมือนไขข้อข้องใจ เพียงแต่เวลานี้ไม่มีความจำเป็นต้องไขข้อข้องใจให้หลี่อวี๋ฟังเลย พฤติกรรมของมันจึงน่าแปลกใจอยู่บ้าง

    “ข้าพูดเรื่องพวกนี้เพราะอยากบอกท่านว่าต้าถังจะไม่ล่มสลายอย่างแน่นอน”

    หนิงเชวียมองตานาง มองสีเทาที่ไม่เป็นมงคลในดวงตานาง แล้วพยายามคลี่คลายความคิดฆ่าตัวตายของนางต่อไปโดยเอ่ยอย่างเฉยชาว่า

    “ถ้าท่านต้องการแก้แค้นข้าหรือสถานศึกษา เช่นนั้นก่อนอื่นก็ต้องมีชีวิตอยู่”

    ในที่สุดแววตาของหลี่อวี๋ก็พอจะมีประกายขึ้นมาบ้าง

    ตอนนี้นางเดาเจตนาของหนิงเชวียได้แล้ว

    “เหตุใดเจ้าจึงอยากให้ข้ามีชีวิตอยู่”

    “เพราะถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่ พวกขุนนางและกองทัพที่ภักดีต่อท่านและหลี่ฮุยหยวนจะมีจิตใจที่หนักแน่น การดำเนินการในราชสำนักทั้งด้านการทหารและการปกครองจะมีประสิทธิภาพมากกว่า ในช่วงเวลาคับขันเช่นนี้ส่วนประกอบใดที่มีประโยชน์ข้าจะไม่ทิ้งไป ดังนั้นข้าจึงอยากให้ท่านอยู่เพื่อทุ่มเทพลังของท่านให้ต้าถังต่อไป”

    หลี่อวี๋จ้องตามันพร้อมเอ่ยเสียงเย็นชาว่า

    “ความจริงเจ้าเปลี่ยนวิธีพูดได้”

    “พูดว่ายามนี้ต้าถังต้องการให้ท่านมีชีวิตอยู่น่ะรึ ข้าไม่เห็นว่าการตกแต่งคำพูดให้สวยหรูจะมีประโยชน์อะไรในตอนนี้ องค์หญิงเป็นผู้มีสติปัญญา เข้าใจความหมายของข้าก็ดีแล้ว”

    หลี่อวี๋สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง เหมือนมองเห็นคนที่แปลกหน้ากันโดยสิ้นเชิง

    “เจ้าเลือดเย็นเกินไปแล้ว”

    “ที่นอกเมืองฉางอัน ต่อหน้าพวกขุนนางชราที่ท่านส่งไป ข้าพูดว่าพวกท่านไม่รู้หรอกว่าเวลาที่ข้าเลือดเย็นนั้นเป็นอย่างไร แต่ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่พวกท่านจะมีโอกาสได้เห็น”

     

    หลายปีให้หลัง ในบันทึกประวัติศาสตร์เกี่ยวกับสงครามครั้งยิ่งใหญ่นี้ การตอบโต้ครั้งแรกสุดของต้าถังเริ่มตั้งแต่หนิงเชวียคุ้มครองพระอัครมเหสีและองค์ชายหกกลับถึงฉางอันแล้วสังหารหลี่ฮุยหยวน

    แต่ความจริงการตอบโต้ครั้งแรกสุดของต้าถังไม่ได้เริ่มที่หนิงเชวีย ไม่ใช่กองกำลังปราบแดนเหนือที่สู้รบกับเผ่าจินจั้ง ไม่ใช่เฉาเสี่ยวซู่ที่พาทหารค่ายเซียวฉีออกจากฉางอันไปต้านข้าศึกนับหมื่นในเขตชายแดนตะวันออกเพียงลำพัง และไม่ใช่กองทัพเรือที่สาบานว่าแม้ตายก็ไม่ยอมจำนนที่ย้อมแม่น้ำชิงเหอจนเป็นสีแดง แต่เริ่มที่ชาวนาคนหนึ่ง

    ณ ที่ราบอันอุดมสมบูรณ์ทางทิศใต้ของต้าถังมีหมู่บ้านอยู่แห่งหนึ่ง

    ข้างหมู่บ้านมีลำธาร ริมลำธารมีโรงโม่หิน ฝั่งตรงข้ามกับโรงโม่หินเป็นทุ่งหญ้า บนทุ่งหญ้ามีร้านองุ่นปลูกไว้แน่นขนัด องุ่นบนร้านถูกเด็ดไปนานแล้ว เหลือเพียงองุ่นที่เติบโตได้ไม่ดีถูกทิ้งไว้ที่เดิม น้ำค้างแข็งฤดูสารทและฝุ่นละอองปกคลุมดูไม่โดดเด่น

    จริงอยู่ที่นี่เป็นหมู่บ้านที่สวยงาม แต่ไม่ได้แตกต่างจากหมู่บ้านอื่นๆ ของต้าถังมากนัก ดูแล้วไม่โดดเด่นเช่นเดียวกับพวงองุ่นเล็กๆ ใต้ร้านองุ่นบนทุ่งหญ้า

    ในหมู่บ้านมีชาวนาคนหนึ่งชื่อหยางเอ้อร์สี่ แม้มันยืนกรานว่าตนคือช่างทาสี แต่ในสายตาของชาวบ้าน คนผู้นี้ที่ใช้คราดได้อย่างคล่องแคล่วและเลี้ยงดูสุกรได้อ้วนพีย่อมเป็นชาวนา ทั้งเป็นชาวนาที่เก่งมากด้วย หยางเอ้อร์สี่ไม่อาจปฏิเสธคำชมทำนองนี้จึงได้แต่นิ่งเงียบยอมรับ

    หยางเอ้อร์สี่เคยเป็นทหารมาก่อนเช่นเดียวกับชาวบ้านส่วนใหญ่ตามชนบทของต้าถัง เคยสู้รบกับชาวเยี่ยนที่ด่านชายแดน เคยสังหารทหารม้าดินแดนแห่งทุ่งหญ้า แม้แต่ความสามารถด้านการทาสีก็เรียนรู้มาจากตอนที่อยู่ในกองทัพชายแดน

    หลังปลดประจำการมันแต่งภรรยาและมีลูก ทำงานหาเลี้ยงชีพ ดูแลครอบครัว ใช้ชีวิตอย่างสุขสงบ นอกจากเรื่องทะเลาะเบาะแว้งเล็กๆ น้อยๆ ที่พบได้เป็นปกติของแต่ละบ้านแล้วก็ไม่มีเรื่องกวนใจอื่นใด

    ชีวิตที่ตื่นเต้นและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนถูกทิ้งไว้ที่ด่านชายแดนเมื่อหลายปีก่อน นอกจากการได้พบเจ้าม้าดำตัวใหญ่ที่ชอบกินโจ๊กข้าวโพดแล้วในชีวิตก็ไม่มีเรื่องอะไรแปลกใหม่ที่น่าตื่นเต้นอีก

    บางครั้งหยางเอ้อร์สี่ก็คิดถึงวันเวลาที่อยู่ด่านชายแดน

    วันหนึ่งมันถือถังสีทาสีกำแพงอยู่ในสถานศึกษาหลวง จู่ๆ ก็มีมือปราบเดินเข้ามาติดกระดาษสีขาวบนกำแพงแล้วจากไปอย่างรีบร้อน

    หยางเอ้อร์สี่โวยวายมาสองปี สุดท้ายทางการยังไม่ยอมขึ้นค่าจ้างทาสีให้ มันถูกบิดาตี ซ้ำบุตรียังร้องไห้งอแงจึงได้แต่ตกลงมาทาสีให้สถานศึกษาหลวง เดิมอารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งโมโหหนัก ใจคิด เจ้าพวกนี้ไม่เห็นหรือว่าข้าทาสีอยู่ถึงได้เอากระดาษมาติด แล้วตอนนี้จะทาสีอย่างไร

    แน่นอนมันคงไม่ยอมรับว่าที่ตนโมโหความจริงแล้วเพราะอ่านข้อความบนกระดาษไม่ออก

    ชาวถังส่วนใหญ่อ่านหนังสือออก แต่ตอนเด็กมันดื้อและซุกซน หลังไปเกณฑ์ทหารก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง ยอมโดนโบยแต่ไม่ยอมเข้าชั้นเรียนหนังสือ ด้วยเหตุนี้ตอนนี้จึงเป็นคนไม่รู้หนังสือเพียงไม่กี่คนในหมู่บ้าน ถูกเด็กข้างบ้านล้อเลียนอยู่บ่อยๆ เรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องที่มันสำนึกเสียใจมากที่สุด

    ดีที่ครู่ต่อมาในสถานศึกษาหลวงมีการตีระฆัง ชาวบ้านในหมู่บ้านได้ยินเสียงระฆังก็มารวมตัวกัน รอฟังเซียนเซิงกฎหมายอธิบายว่าราชสำนักประกาศกฎหมายอะไร

    เซียนเซิงกฎหมายของสถานศึกษาหลวงยังไม่ออกมา ชาวบ้านที่รู้หนังสือก็อ่านเข้าใจเนื้อหาบนกระดาษแล้ว เพราะที่เขียนอยู่บนนั้นไม่ใช่กฎหมายใหม่อะไร แต่เป็นข่าวเรื่องสงคราม

    ทุกคนต่างนิ่งเงียบ มีสีหน้าตกใจ

    หยางเอ้อร์สี่ยังไม่รู้ว่าบนกระดาษเขียนว่าอะไร พอเห็นหน้าทุกคนแล้วก็ยิ่งร้อนใจขึ้นอีก จับเด็กคนหนึ่งที่กำลังจะกลับบ้านไปบอกบิดามารดามาเค้นถามจึงรู้คำตอบ

    “กองกำลังชายแดนตะวันออกเฉียงเหนือถูกซุ่มโจมตีที่แคว้นเยี่ยน พ่ายแพ้แล้ว”

    ในประกาศของราชสำนักยังมีเนื้อหาอีกมาก โดยเฉพาะต่อชาวบ้านในหมู่บ้านหรือในอำเภอเขตชายแดนตะวันออก ขอให้พวกมันอพยพโดยเร็วที่สุด กองทหารประจำการในแต่ละเขตให้ตั้งแนวป้องกันในเขตของตน เรียกระดมชายฉกรรจ์ที่มีประสบการณ์การเกณฑ์ทหาร…

    ไม่มีผู้ใดสนใจเนื้อหาเหล่านี้เพราะที่นี่ห่างไกลจากแคว้นเยี่ยนมากพอสมควร คำพูดเหล่านี้ก็ไม่ได้พูดให้พวกมันฟัง ทุกคนเพียงตกใจและโกรธเคืองต่อความพ่ายแพ้จึงวิจารณ์กันไปต่างๆ นานา

    บางคนถามอย่างกังวลใจว่ากองทัพของแคว้นเยี่ยนจะบุกมาถึงที่นี่ไหมจึงเกิดเสียงหัวเราะเยาะขึ้นมาในทันใด ไม่มีใครกังวลเรื่องนี้เลย ทุกคนต่างเชื่อมั่นว่าขอเพียงราชสำนักส่งกองทัพใหญ่มา ชายแดนตะวันออกต้องปลอดภัยแน่นอน

    หยางเอ้อร์สี่นิ่งเงียบมาตลอด พอทุกคนแยกย้ายไปแล้วมันจึงดึงตัวเซียนเซิงกฎหมายในสถานศึกษาหลวงมาขอคำชี้แนะอย่างจริงจังเกี่ยวกับเนื้อหาในตอนท้ายของประกาศ

    มันไม่มีแก่ใจจะทาสีแล้ว ถึงอย่างไรค่าจ้างที่ทางการให้ก็ไม่ได้มากมายนัก

    พอมันกลับถึงบ้านก็กินขาหมูครึ่งจานกับผักดองหนึ่งกระจาดและดื่มสุรา ยิ่งกินอารมณ์ยิ่งหม่นหมอง

    ภรรยามันนั่งยองอยู่นอกบ้าน แยกเปลือกและกากองุ่นออกจากในถังไม้เตรียมบ่มสุรา พบว่าไม่ได้ยินเสียงสามีพูดเป็นเวลานานจึงถามว่า

    “เป็นอะไร”

    “ไม่มีอะไร”

    “กินข้าวสักหน่อยสิ ดื่มสุราตอนท้องว่างไม่ดีนะ”

    หยางเอ้อร์สี่รับว่าอืมแล้วดื่มสุราต่อ ยิ่งดื่มก็ยิ่งเงียบ แต่ดวงตากลับวาวโรจน์

    จู่ๆ มันก็เอ่ยกับภรรยาว่า

    “ข้าจะจากบ้านไปไกล”

    “ทำไมล่ะ”

    ภรรยาเงยหน้าถามอย่างสงสัย

    “ชายแดนตะวันออกเกิดเรื่อง”

    หยางเอ้อร์สี่เล่าเนื้อหาในประกาศของทางการให้ฟังรอบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า

    “ข้าอยากไปดูสักหน่อย”

    ภรรยาอึ้งไปครู่ก่อนหัวเราะออกมา น้ำองุ่นในมือกระเด็นไปทั่ว กล่าวเสียดสีว่า

    “ชายแดนตะวันออกเกิดเรื่อง…ชายแดนของคอกหมูหรือชายแดนของร้านองุ่น? พูดอย่างกับว่าต้าถังเป็นบ้านเจ้า เจ้าเป็นจักรพรรดิหรือพระอัครมเหสีกันล่ะ เจ้าเป็นแค่ชาวนานะ”

    หยางเอ้อร์สี่กล่าวอย่างเดือดดาลว่า

    “ข้าเป็นช่างทาสี ไม่ใช่ชาวนา!”

    ภรรยาไม่ใส่ใจคำพูดของมัน คิดว่ามันกำลังเมาสุราจึงก้มหน้าทำงานต่อไป บ่นอุบอิบว่า

    “ดื่มสุราทีไรพูดจาเหลวไหลทุกที”

    หยางเอ้อร์สี่เงียบไปครู่ก่อนเอ่ยว่า

    “ข้าไม่ได้เมา ประกาศของราชสำนักเขียนไว้ ชายฉกรรจ์ที่เคยเกณฑ์ทหารขอเพียงอายุไม่เกินสี่สิบจะต้องถูกเรียกระดมพล”

    ตอนนี้ภรรยาจึงพบว่าที่แท้สามีไม่ได้พูดเพราะเมา นางยกสองมือขึ้นจากถังไม้เช็ดกับเสื้อผ้า ถามอย่างร้อนใจว่า

    “คำสั่งเรียกระดมพลคือประกาศให้ชายแดนตะวันออกเกี่ยวอะไรกับพวกเรา”

    “พวกเราอยู่ใกล้กับฉางอัน ชายแดนตะวันออกนั้นอยู่ไกล ประกาศของราชสำนักคงอีกหลายวันกว่าจะไปถึง ไม่แน่ว่าตอนนั้นชาวเยี่ยนและชาวหมานที่เลวทรามพวกนั้นอาจบุกเข้ามาแล้วก็ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นจะมีประโยชน์อะไร”

    “ต่อให้ราชสำนักจะเรียกระดมพล…ก็ต้องรอให้ทางการดำเนินการ ตอนนี้ยังไม่มีความเคลื่อนไหวมิใช่หรือ”

    หยางเอ้อร์สี่กล่าวเสียงเข้มว่า

    “ถ้ารอทางการดำเนินการก็ไม่ทันแล้ว”

    “แต่…เจ้าไปคนเดียวจะมีประโยชน์อะไร”

    ภรรยาพูดเสียงสั่น

    หยางเอ้อร์สี่ตอบว่า

    “ชายแดนตะวันออกถูกรุกราน ราชสำนักต้องตั้งจวนว่าการในยามสงครามที่นั่นอย่างแน่นอน พอไปถึงที่นั่นข้าจะไปเข้าร่วมกับพวกมัน”

    ภรรยายิ่งฟังยิ่งไม่สบายใจ จึงตะโกนเสียงแหลมเข้าไปด้านใน

    “ท่านพ่อ ท่านรีบมา!”

    หยางเอ้อร์สี่ตบโต๊ะอย่างแรง ผักดองและขาหมูที่เหลืออยู่ล้วนกระเด็นลงพื้น มันกล่าวอย่างมีโทสะว่า

    “จะตะโกนทำไม! ปกติให้เจ้าตะโกนเรียกท่านพ่อมากินข้าว ไม่เห็นตะโกนดังขนาดนี้เลย!”

    ประตูห้องด้านในเปิดออก ชายชราหลังค่อมเดินเข้ามา

    หยางเอ้อร์สี่ลุกขึ้นยืนถามว่า

    “ท่านพ่อ ท่านกินข้าวหรือยัง”

    ชายชราเห็นความเลอะเทอะบนพื้นก็เอ่ยว่า

    “ยัง”

    “อย่างนั้นให้สะใภ้เฉือนขาหมูมาให้ดีไหม”

    ภรรยาน้ำตาหยดแหมะ มองพ่อสามี ใจคิด ปกติข้าไม่เคยให้ท่านผู้เฒ่าต้องอดอยาก เพียงแต่ขาหมูตุ๋นครั้งก่อนไม่ได้เรียกท่าน ท่านคงไม่เพราะเรื่องนั้นจึงพาลโกรธกระมัง ถ้าท่านรั้งเจ้าคนเมานี่ให้อยู่บ้านได้ อย่าว่าแต่ขาหมูตุ๋น ข้าจะเฉือนขาตัวเองตอบแทนท่าน

    ชายชราเงียบอยู่ครู่หนึ่ง

    หยางเอ้อร์สี่เกิดอาการร้อนใจ

    “แม้มีผนังกั้นอยู่ แต่พวกเจ้าทะเลาะกันเสียงดังขนาดนี้ข้าจะไม่ได้ยินได้อย่างไร”

    ชายชราเอ่ย

    หยางเอ้อร์สี่รูปร่างกำยำสูงใหญ่ ยามนี้กลับก้มหน้าอย่างเชื่อฟังเหมือนตอนเป็นเด็กที่ทำความผิด พูดตะกุกตะกักว่า

    “ข้า…ปลดประจำการมาจากกองทัพชายแดน เวลานี้ไม่ไปร่วมรบจะใช้ได้หรือ…”

    ไม่รอให้หยางเอ้อร์สี่พูดจบ ชายชราก็ถลึงตาตวาดว่า

    “เคยเป็นทหารแล้วแน่นักหรือ ข้าก็เคยเป็นทหาร!จะโอ้อวดทำไมที่นี่!”

    ภรรยาได้ยินดังนั้นจึงหยุดร้องไห้ มองพ่อสามีอย่างมีความหวัง

    ชายชราเงียบไปอีกครู่ แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยว่า

    “อยากไปก็ไปสิ ถ้าตอนนี้ข้าไม่ได้อายุหกสิบ แต่เป็นสี่สิบ ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook