• Connect with us

    Enter Books

    เพลงกลอนคลั่งยุทธ์

    ทดลองอ่านนิยาย เพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 21 บทที่ 2

    บทที่ 2

    ฝากสาร

     

    สองชั่วยามให้หลัง หวังโส่วเหรินจึงรู้ข่าวว่าจิงเลี่ยบาดเจ็บสาหัสและเยียนเหิงถูกจับเข้าคุก

    หลังมันเข้าเฝ้าฝ่าบาทก็กลับที่พักที่ได้รับการจัดสรรในเมืองชั้นในของหนานจิง แต่ล้วนมิได้นอนหลับ มันรอคอยจิงเลี่ยและเยียนเหิงกลับมา การเดินทางสู่หนานจิงครานี้หวังโส่วเหรินมีลางสังหรณ์ไม่ดีตั้งแต่แรก ด้วยเหตุนี้ขณะถูกขุนนางกังฉินขัดขวางให้เดินหน้าถอยหลังมิได้จนต้องเร้นกายเข้าเขาจิ่วหวา มันจึงเกิดความคิดออกจากราชการไปบำเพ็ญเต๋า ภายหลังกลับพลิกผัน ในที่สุดก็ได้เข้าเฝ้าและรับคำสรรเสริญจากจักรพรรดิ หลีกพ้นจากการข่มเหงของพวกทรชนเจียงปิน มันคิดว่าในที่สุดก็ถึงวันที่ฟ้าสดใส

    ไหนเลยจะคาดคิดว่าเรื่องร้ายได้เกิดขึ้นแล้ว…

    หวังโส่วเหรินคิดไม่ออกว่าจิงเลี่ยและเยียนเหิงล่วงเกินจักรพรรดิอย่างไรจึงประสบเหตุเช่นนี้ หลังมันได้รับข่าว อันดับแรกมิใช่ไปถามสาเหตุ แต่ต้องการรู้เรื่องความเป็นตายของจิงเลี่ยขณะนี้และสภาพความเป็นอยู่ของเยียนเหิงในคุกหลวง

    เคราะห์ดีที่หลายปีก่อนหวังโส่วเหรินเคยรับราชการที่หนานจิงจึงพอมีเส้นสายอยู่บ้าง มันพยายามไปไหว้วานคนให้สอบถามในทันใด จนทราบว่ายามนี้จิงเลี่ยมีหมอหลวงคอยรักษาดูแล อาการบาดเจ็บคล้ายทรงตัวแล้ว แต่ยังคงมิได้หลุดพ้นจากวิกฤตแห่งความตายอย่างสิ้นเชิง เยียนเหิงแม้ถูกกักขัง แต่ได้รับการคุ้มครองจากฝ่าบาทเอง จึงได้รับการดูแลอย่างดีในคุก องครักษ์เสื้อแพรมิกล้าใช้เครื่องมือลงโทษกับมัน หวังโส่วเหรินรู้เช่นนี้จึงคลายใจเล็กน้อย

    นี่ก็หมายความว่าฝ่าบาทหาได้เห็นพวกมันทั้งสองเป็นศัตรูไม่ เพียงแต่ระหว่างนั้นเกิดอุบัติเหตุหรือความเข้าใจผิดอะไรขึ้น เรื่องราวยังคงมีที่ว่างให้แก้ไข…

    หวังโส่วเหรินรู้ดีว่าพระราชวังหนานจิงในยามนี้ถูกควบคุมโดยขุนนางคนโปรดอย่างพวกเจียงปินและสวี่ไท่ทั้งหมด แผนการที่มันเลือกใช้ได้มีไม่มาก ยิ่งมิต้องกล่าวถึงจะเข้าเฝ้าฝ่าบาทขอร้องเพื่อพวกมันสองคน แต่มันย่อมไม่มีทางยอมแพ้เช่นนี้ รอให้ฟ้าสว่าง หวังโส่วเหรินจึงใช้ทรัพย์สินเงินทองที่พกมาทั้งหมดมอบให้ลูกน้องไปซื้อของขวัญล้ำค่าจำนวนหนึ่งในเมืองเพื่อใช้เบิกทางในวงราชการ…ตลอดมามันเกลียดการติดสินบนเข้าไส้ แต่ในช่วงคับขันนี้จะไม่ให้มันพลิกแพลงคงมิได้ อนึ่งมันก็มิได้ทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว

    จอมยุทธ์ทั้งสองท่านสร้างความชอบยิ่งใหญ่ในศึกปราบจลาจล ช่วยเหลือชาวประชานับไม่ถ้วน ต่อให้ข้าต้องทำเรื่องที่ไม่สมัครใจมากกว่านี้ ก็ไม่อาจให้พวกมันตายที่หนานจิงเป็นอันขาด!

    สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือในราชสำนักและจวนว่าการหนานจิง ที่แท้ผู้ที่เคารพหวังโส่วเหรินด้วยใจจริงมีอยู่ไม่น้อย พวกมันต่างสำนึกว่าหากมิใช่หวังโส่วเหรินใช้ทหารดั่งเทพ เอาชนะกองทัพกบฏตำหนักหนิงอ๋องอย่างรวดเร็วมิให้จูเฉินเหามุ่งตรงสู่หนานจิงล่ะก็ ชีวิตคนในครอบครัวจำนวนมากของพวกมันคงรักษาไว้มิได้นานแล้ว หรืออาจถูกบีบให้ก่อกบฏตามหนิงอ๋อง หายนะที่ตามมาจะไร้สิ้นสุด ด้วยเหตุนี้พอหวังโส่วเหรินออกหน้าไหว้วาน ขุนนางใหญ่น้อยจำนวนมากแห่งหนานจิงจึงล้วนยินยอมวิ่งเต้นให้มัน ของขวัญที่หวังโส่วเหรินเตรียมไว้ถูกส่งคืนทั้งหมด

    ด้วยเหตุนี้หวังโส่วเหรินจึงสืบจนรู้สถานการณ์โดยละเอียดของจิงเลี่ยว่ามันถูกเกาทัณฑ์สามดอก บริเวณท้องและต้นขาสองดอกถูกถอนสำเร็จแล้ว จิงเลี่ยยังคงสลบไสลไม่ได้สติ แม้มีการกระอักเลือด แต่ปริมาณเลือดไม่มาก หมอหลวงวินิจฉัยว่าอวัยวะภายในท้องมันไม่ได้เสียหายร้ายแรงจนเกินไป ภายใต้คำชี้แนะของฝ่าบาท พวกมันได้รีบส่งจิงเลี่ยไปในพระราชวังค่อยดำเนินการรักษา

    ‘ร่างกายคนผู้นั้นแข็งแรงจนเหมือนสัตว์ป่า คล้ายต้านผลจากเกาทัณฑ์สองจุดนั้นไว้ได้’ ขุนนางชั้นผู้น้อยถ่ายทอดคำพูดของหมอผู้ช่วยคนหนึ่งที่รับหน้าที่รักษาจิงเลี่ย ‘แต่ดอกที่สามกลับจัดการยากเป็นอย่างมาก กระทั่งตอนนี้บรรดาหมอหลวงต่างก็คิดวิธีนำออกมามิได้’

    จิงเลี่ยอาศัยการตอบสนองอันน่าอัศจรรย์ที่ได้จากการฝึกฝนอย่างเข้มงวด เปิดฉากวิชายืมภาวะผนึกหินผาขณะเผชิญวิกฤตอันตราย หยุดยั้งลูกเกาทัณฑ์ที่เดิมทีควรสังหารมันได้ไว้ตรงหน้าอก แต่ก็เพราะการตอบสนองช่วยชีวิตนี้รุนแรงสุดขีด กล้ามเนื้อรอบแผลเกาทัณฑ์จนบัดนี้ยังคงหดเกร็งแข็งทื่อ มันเสียเลือดมากอย่างยิ่งจนตกอยู่ในอาการสลบไสล มิอาจเป็นฝ่ายคลายกล้ามเนื้อเองได้ ลูกเกาทัณฑ์ที่ปักเข้ากล้ามเนื้อหน้าอกดอกนั้นถูกเลือดเนื้อรัดแน่นเหมือนเช่นต้นไม้มีรากงอก ไม่อาจขยับแม้แต่น้อย หมอหลวงเคยทดลองใช้มีดสั้นไปคว้านแผลเกาทัณฑ์ออก ไหนเลยจะคาดคิดว่าวิชายืมภาวะผนึกหินผาของจิงเลี่ยร้ายกาจอย่างยิ่ง กล้ามเนื้อแข็งจนคมมีดคว้านเข้าไปไม่ง่าย แต่ดูจากมุมลึกของลูกเกาทัณฑ์ที่ปักเข้ากล้ามเนื้อ หัวลูกศรอยู่ภายในใกล้กับหัวใจอย่างยิ่ง หมอหลวงเกรงว่าหากใช้กำลังคว้านปากแผล ขอเพียงผิดพลาดเล็กน้อยก็อาจทำร้ายหัวใจจิงเลี่ยได้และทำให้ดับสิ้นโดยพลัน จนกระทั่งตอนนี้พวกมันยังคงมิกล้าไปขยับลูกเกาทัณฑ์ดอกนั้น

    ‘หากรอเช่นนี้ต่อไป แม้บาดแผลอาจไม่ถึงชีวิตในทันที แต่มิใช่จะอยู่ยาวได้’ หมอคนนั้นกล่าวอีก ‘หัวลูกศรเหล็กหลอมปักอยู่ในเนื้อเนิ่นนานต้องเกิดเลือดพิษเป็นแน่ ยิ่งแผลอยู่ใกล้หัวใจเช่นนี้ หากเลือดพิษไหลเข้าสู่หัวใจ เทพเซียนก็มิอาจช่วยได้!’

    ตอนนี้หมอหลวงทำได้เพียงพยายามกรอกสุราโอสถกำจัดพิษและห้ามเลือดรอบๆ แผลเกาทัณฑ์เพื่อถ่วงเวลามิให้หัวลูกศรเกิดพิษ ในขณะเดียวกันก็คิดหาวิธีถอนลูกเกาทัณฑ์ พวกมันเองก็มิอาจแน่ใจว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้จิงเลี่ยจะยื้อไว้ได้อีกกี่วัน

    หวังโส่วเหรินฟังข่าวแล้วกลุ้มใจอย่างยิ่ง แต่รักษาแผลช่วยคนมิใช่สิ่งที่ความรู้ความสามารถของมันจะเอื้อมถึง ทั้งช่วยมิได้และทำได้เพียงภาวนาให้สวรรค์คุ้มครองผู้มีคุณธรรม แต่ตอนนี้มิใช่เวลาสิ้นหวังท้อใจ…นอกจากจิงเลี่ย มันยังพยายามช่วยเหลือเยียนเหิง

    เทียบกับสอบถามอาการบาดเจ็บของจิงเลี่ย จะรู้สถานการณ์ของเยียนเหิงยังลำบากยากเย็นยิ่งกว่า แรกเริ่มหวังโส่วเหรินหวังว่าจะไปเยี่ยมเยือนเยียนเหิงด้วยตัวเองได้ แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้จะเข้าคุกหลวงเยี่ยมเยียน มิอาจอาศัยไมตรีของขุนนางเบิกทางได้ จำต้องได้รับคำอนุญาตจากฝ่าบาทและมีเพียงขุนนางคนโปรดกลุ่มหนึ่งของจักรพรรดิที่มีอำนาจเช่นนี้

    หวังโส่วเหรินคิดไปคิดมา มีเพียงคนผู้เดียวที่ไหว้วานได้ คือจางหย่งมหาขันทีที่ช่วยมันจากความลำบากสองครั้งก่อนหน้า

     

    ขณะก้าวไปบนทางเดินของคุก จางหย่งแค่นหัวเราะในใจอย่างเย็นชาอยู่ตลอด มันที่บัญชาการราชองครักษ์ต้าหมิงและมีตำแหน่งอำนาจ กลับต้องเข้ามาในสถานที่เช่นนี้เพื่อมาพบนักโทษธรรมดาคนหนึ่ง เรื่องนี้ช่างเหลวไหลอย่างยิ่ง

    ที่จางหย่งยินยอมทำเช่นนี้ ทั้งหมดเพราะหวังโส่วเหรินมาไหว้วานด้วยตัวเอง นับจากพบกันและได้ตัวจูเฉินเหาหัวหน้ากบฏที่หางโจวในครานั้น จางหย่งเลื่อมใสต่อความมีน้ำใจของหวังโส่วเหรินอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงยินยอมช่วยเหลืออีกครั้ง

    แต่ก้นบึ้งหัวใจจางหย่งเองก็อยากรู้ว่านักสู้หยาบคายคนหนึ่งที่ทำให้หวังโส่วเหรินเคร่งเครียดเช่นนี้คือคนเช่นไรกันแน่

    จากศึกอันดุเดือดที่เขาอู่ตัง กอปรกับเรื่องฝ่าบาทถูกเจ้าสำนักอู่ตังจี้ตัวก่อนหน้านี้ทำให้จางหย่งประหลาดใจยิ่งต่อคนในยุทธภพ

    รอบนี้มันต้องมาด้วยตัวเอง เยียนเหิงคือนักโทษที่เจียงปินจับได้ หากจางหย่งส่งลูกน้องมาคุกหลวงก็รังแต่จะถูกลูกน้องเจียงปินขวางอยู่นอกประตู มีเพียงจางหย่งมาเยี่ยมเยือนด้วยตัวเอง เจียงปินจึงมิกล้าสั่งการขัดขวาง…อย่างไรพวกมันสองคนก็มีตำแหน่งพอๆ กันเบื้องพระพักตร์จักรพรรดิ

    คิดเสียว่าให้หวังโส่วเหรินติดค้างน้ำใจข้าสักครั้งแล้วกัน นี่ก็ยังทำให้เจียงปินเสียหน้าได้ด้วย…

    ทว่าขณะมองเห็นเยียนเหิง จางหย่งกลับโยนแผนการเหล่านี้ทิ้งไปทั้งหมด

    ห้องขังด้านหลังลูกกรงอันแข็งแรงทนทานนั้นคับแคบอย่างยิ่ง ภายในย่อมไม่มีแสงตะเกียง มีเพียงหน้าต่างเล็กๆ บานหนึ่งบนผนังสูงด้านขวา กับแสงจันทร์สายหนึ่งที่ทอดเข้ามา

    แสงจันทร์ที่ดูเย็นเยือกสายนั้นส่องเยียนเหิงที่นั่งโดดเดี่ยวอยู่กลางห้องขัง เงาร่างที่นั่งขัดสมาธิของมันแน่วนิ่งประหนึ่งรูปปั้นหิน ใบหน้าที่หลับตาแฝงเร้นอยู่ในเงามืด

    จางหย่งที่คลุกคลีอยู่ในราชสำนักหลายสิบปีเห็นเยียนเหิงแวบแรกก็อดมิได้ที่จะตกตะลึงหยุดฝีเท้า

    เพียงเพราะชั่วขณะอันแสนสั้นนี้ จางหย่งเข้าใจผิดว่าลูกกรงของคุกที่กั้นระหว่างพวกมันพลันเลือนหายไป

    เยียนเหิงในสายตาจางหย่งไม่คล้ายนักโทษสักนิด บุคลิกกับสง่าราศีนั้นเหมือนจะเดินออกมาจากห้องขังนี้ได้ทุกเมื่อ

    จางหย่งเคยได้ยินว่าเมื่อวานขณะเจียงปินคุมตัวส่งคนผู้นี้มายังคุกหลวงมันเคร่งเครียดอย่างยิ่งและร้องเรียกทหารเด่นล้ำค่ายกองหนุนเวยอู่เกือบร้อยนายมาสมทบ แต่ผลสุดท้ายเยียนเหิงหาได้ต่อต้านอันใดไม่ ยอมติดตามพวกมันเดินเข้าห้องขังแต่โดยดี

    ผู้คุมที่นำทางและขันทีที่ติดตามขณะนี้ล้วนสงสัย มองดูจางหย่งที่จู่ๆ ก็หยุดนิ่ง จางหย่งพลันได้สติกลับมาจึงเดินไปหน้าห้องขังสืบต่อ

    โคมไฟในมือผู้คุมยามนี้ส่องใบหน้าของเยียนเหิงผ่านลูกกรงจนเห็นชัดเจน จางหย่งมองดูอย่างละเอียดก็รู้สึกแปลกใจอีกครั้ง แม้เยียนเหิงผ่านความยากลำบาก ทุกแห่งบนหน้ามีบาดแผลจากการต่อสู้ที่สะสมมาหลายปี แต่ใบหน้านั้นดูเหมือนยังคงเยาว์วัยอย่างยิ่ง

    มือกระบี่ที่อายุเพียงยี่สิบกว่าปีคนหนึ่งกลับมีอำนาจสยบผู้คนเช่นนี้ จางหย่งสำรวจนักสู้ขั้นสุดยอดอย่างใกล้ชิดเป็นครั้งแรก มันเข้าใจแล้วว่าเหตุใดขณะบัญชาการราชองครักษ์บุกโจมตีอู่ตังในวันนั้นจึงสูญเสียหนักหน่วงเช่นนั้น

    เยียนเหิงรับรู้ได้ว่าพวกจางหย่งมาแต่แรกแล้ว ยามนี้มันจึงหยุดทักษะและลืมตาขึ้นช้าๆ นี่คือทักษะนั่งสมาธิขณะมันฝึกปรือก้นหอยภูผา ช่วยให้มันสำรวมและสงบจิตใจได้ทุกเมื่อแม้ในสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายและลำบากยากเข็ญ

    มันมองตรงไปยังมหาขันทีที่กุมอำนาจผู้นี้ แววตาปรากฏความเย็นชา ในสายตาของเยียนเหิง คนในพระราชวังหนานจิงแห่งนี้ล้วนเป็นศัตรูทั้งหมด

    “ใต้เท้าหวังให้ข้ามาพบเจ้า” จางหย่งถูกสายตาเสมือนกระบี่คมนี้จ้องจนอึดอัดอย่างยิ่งจึงรีบกล่าวทันที มันที่ปรนนิบัติรับใช้จักรพรรดิสามรุ่นไม่เคยจินตนาการมาก่อนว่ายามตนเองอยู่เบื้องหน้าสามัญชนคนหนึ่งจะอ่อนแอได้เช่นนี้

    เยียนเหิงฟังมันกล่าวแล้วก็แววตาอ่อนลงทันที อีกทั้งยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว จางหย่งรู้สึกได้ว่าบุคลิกที่ไม่มีช่องโหว่สักนิดแต่เดิมของเยียนเหิงปรากฏรอยปริในชั่วขณะ

    “พี่จิง…” เยียนเหิงริมฝีปากสั่นเทาเล็กน้อยขณะกล่าวคำ “…ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่”

    เดิมมันคิดว่าจางหย่งผู้นี้คือคนที่เจียงปินส่งมาหมายใช้แผนร้ายอะไรสอบปากคำและข่มเหงรังแกมัน พอได้ยินว่าที่แท้จางหย่งคือคนที่หวังโส่วเหรินขอให้มาถ่ายทอดคำพูด มันก็กระวนกระวายขึ้นทันทีด้วยกังวลว่าอีกฝ่ายจะนำข่าวร้ายมาหรือไม่

    จางหย่งพยักหน้า เยียนเหิงจึงโล่งอก มันสรุปอาการของจิงเลี่ยในตอนนี้ให้ฟัง เยียนเหิงยิ่งฟังหัวคิ้วก็ยิ่งขมวดแน่น ก้มหน้าเดินทอดน่องไปมาอยู่ในห้องขัง

    “…เช่นนี้มันจะอยู่ได้อีกกี่วันก็ไม่มีผู้ใดรู้ได้” จางหย่งมองดูเยียนเหิงพลางกล่าว “ไม่กี่วันนี้หมอหลวงคงตัดสินใจว่าจะเสี่ยงอันตราย ฝืนถอนลูกเกาทัณฑ์ออกมาหรือไม่”

    เยียนเหิงยังคงก้มหน้าครุ่นคิดเงียบๆ จางหย่งรออยู่ครู่หนึ่ง เห็นมันมิได้ตอบสนองจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ส่วนเจ้า…ตอนนี้ยังไม่ได้ยินว่าฝ่าบาทจะลดโทษ เจ้าอดทนอยู่ที่นี่ ข้ากับใต้เท้าหวังจะหาจังหวะที่เหมาะสม…”

    “เหยียนโหย่วฝอ”

    เยียนเหิงกล่าวสามพยางค์นี้ออกมาขัดจังหวะคำพูดของจางหย่ง ทว่าจางหย่งฟังไม่เข้าใจ

    “เหยียนโหย่วฝอหมอเทวดา” เยียนเหิงกล่าวอีก “มันเคยรักษาพี่จิงหาย ตามมันมาช่วย”

    จางหย่งพลันเข้าใจว่าเยียนเหิงไม่ได้ฟังคำพูดตอนหลังของมันเลยและไม่สนใจเรื่องที่ตนเองถูกคุมขังแม้แต่น้อย ตั้งใจคิดเพียงจะช่วยจิงเลี่ยอย่างไร จางหย่งเคยผ่านการต่อสู้ไร้น้ำใจมากมายในราชสำนัก ครั้นมองเห็นลักษณะเคร่งเครียดนี้ของเยียนเหิงก็อดมิได้ที่จะประทับใจอยู่บ้าง

    หวังโส่วเหรินสำเร็จผลงานการรบนี้ได้ก็เพราะข้างกายล้วนมีผู้กล้าเช่นนี้หรือ…

    “ได้ ข้าจะบอกใต้เท้าหวัง” จางหย่งตอบ

    เยียนเหิงมองดูมันพลางพยักหน้า ในสายตาเปี่ยมด้วยความซาบซึ้ง เยียนเหิงบอกรายละเอียดของเหยียนโหย่วฝอในความทรงจำออกมาทั้งหมด จางหย่งหลังฟังจบก็กำลังจะจากไป ทว่าเยียนเหิงยังเอ่ยถามมันจากด้านหลัง

    “ท่าน…รู้หรือไม่ว่าซ่งหลีเป็นอย่างไร”

    คำพูดประโยคนี้ทำให้จางหย่งหยุดฝีเท้าลงและเลิกคิ้วโก่ง ก่อนหน้ามันหาได้สอบถามมาก่อนไม่ ที่แท้เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับคนงามแซ่ซ่ง แต่ไม่ว่าอย่างไรการกล่าวถึงสตรีของจักรพรรดิคือข้อห้ามของราชสำนัก ยิ่งมิต้องกล่าวถึงว่าขณะนี้มีผู้คุมฟังอยู่ด้านข้าง จางหย่งมิได้แสดงท่าทีใดๆ ถึงขั้นมิได้หันหน้ามองดูเยียนเหิงสักแวบเดียวและสาวเท้าจากไปอีกครั้ง

    ขณะเดินออกจากประตูคุกหลวงจางหย่งจึงนึกขึ้นได้ว่าแต่ต้นจนจบมันล้วนลืมแสดงสถานะตำแหน่งของตนเองต่อเยียนเหิง จางหย่งที่อยู่ในโลกแห่งอำนาจมาทั้งชีวิตรู้สึกว่ามิอาจเข้าใจเรื่องนี้ได้

     

    วันถัดมา ข่าว ‘จิงเลี่ยบาดเจ็บสาหัส ตามหาเหยียนโหย่วฝอโดยด่วน’ เริ่มแพร่สะพัดจากหนานจิงไปยังแม่น้ำทะเลสาบทุกสารทิศอย่างรวดเร็ว

    นี่คือการตัดสินใจของหวังโส่วเหริน หลังจางหย่งส่งคนมาถ่ายทอดคำพูดของเยียนเหิง หวังโส่วเหรินก็มีสองทางเลือก หนึ่งคือกราบทูลฝ่าบาทโดยตรง ขอร้องให้ใช้กำลังของราชสำนักเสาะหาที่อยู่ของเหยียนโหย่วฝอ สองคือสืบหาด้วยตนเอง มันเลือกอย่างหลังด้วยความเฉียบขาด ระบบเว่ยสั่วของราชสำนักหนาแน่น หูตาแพร่กระจายทุกแห่งหน จะหาคนผู้หนึ่งให้ได้อย่างรวดเร็วนั้นมีโอกาสอย่างยิ่ง แต่ในขณะเดียวกันหวังโส่วเหรินมิอาจประเมินได้ว่าจะมีขุนนางเท่าใดขัดขวาง อีกทั้งเหยียนโหย่วฝอผู้นี้คือคนในยุทธภพ หากได้ยินว่าตนเองถูกทางการสืบหาก็อาจหลบซ่อนไม่ยอมออกมา หวังโส่วเหรินคิดว่าเรื่องนี้ต้องไม่ผ่านราชสำนัก

    หูตากองทัพคุณธรรมที่สร้างความชอบในศึกปราบจลาจลบัดนี้ยังสำแดงประโยชน์ได้อีก ตามที่เยียนเหิงกล่าว เหยียนโหย่วฝอผู้นี้ส่วนใหญ่เคลื่อนไหวแถบฮุยโจวและหูเป่ย ห่างจากหนานจิงหาได้ไกลไม่ นี่คือโชคดีอย่างหนึ่ง ก่อนหน้าเพื่อที่จะตรวจตราสถานการณ์การบุกโจมตีตามแม่น้ำของกองทัพกบฏหนิงอ๋อง หวังโส่วเหรินได้จัดสายลับไม่น้อยกระจายอยู่ในแถบหนานจิง ในนั้นความจริงหลายคนคือคนในพื้นที่ หลังการศึกสิ้นสุดยังคงอยู่ที่เดิม หวังโส่วเหรินรีบติดต่อพวกมันทันที สั่งการให้กระจายข่าวสุดความสามารถ ช่วยเหลือกำลังคนบนแม่น้ำและทะเลสาบหาตัวเหยียนโหย่วฝอออกมา

    ในขณะเดียวกันหวังโส่วเหรินก็เขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้ผู้ส่งสารคนสนิทควบม้าตะบึงไปยังฮุยโจว มอบให้อิ่นอิงเฟิงเจ้าสำนักปากว้าสหายของเหยียนโหย่วฝอ

    เหล่าหูตาพอกระจายข่าวออกไป ทั่วทั้งยุทธภพก็ราวกับลุกเป็นไฟ

    ชื่อเสียงของจิงเลี่ยกับหกกระบี่บ้านแตกในหมู่ชน ความจริงเกินกว่าที่หวังโส่วเหรินประเมินมาก แม้พวกมันมีสถานะนักโทษ หลายปีมานี้ล้วนต้องปิดบังชื่อแซ่ขณะกระทำการ แต่วีรกรรมอันห้าวหาญหลากหลายยังคงเล่าลือในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด

    โดยเฉพาะจิงเลี่ยยังเป็นวีรบุรุษที่บุคคลในแต่ละมณฑลแถบเจียงหนานลอบยกย่องสรรเสริญ ทลายโจรที่หลูหลิง ปราบผู้ร้ายที่ก่วงซี ประลองและสังหารเหลยจิ่วตี้เจ้าสำนักมี่จงที่เซียงถาน ปั่นป่วนตำหนักหนิงอ๋องแห่งหนานชาง…กอปรกับมีคนเจ้ากี้เจ้าการแต่งเติมเรื่องราวไม่หยุด สร้างวีรกรรมที่มีสีสันลวงโลกไม่น้อย บรรยายจิงเลี่ยจนราวกับเทพภายใต้ข้อเท็จจริงที่ปะปนกัน จวบจนบัดนี้แถบเซียงถานยังมีวณิพกหยิบเอาศึกของมันกับเหลยจิ่วตี้แสดงออกมาเป็นละครหุ่นหรือละครเพลง เพียงแต่เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงราชสำนักจึงเปลี่ยนชื่อเรียกมันเป็น ‘จิ้นหนานหู่ (พยัคฆ์แดนใต้แซ่จิ้น)’

    และเมื่อไม่กี่เดือนมานี้ หลังสงครามสิ้นสุดผู้กล้ากองทัพคุณธรรมมากมายกลับสู่ภูมิลำเนาเดิม พวกมันยังนำวีรกรรมที่ได้ยินกับหูเห็นกับตาเช่นจิงเลี่ยนำทัพหน้าบุกโจมตีเมืองหนานชางและทหารกองกำลังสายฟ้าฟาดทำลายข้าศึกในศึกทะเลสาบผอหยางไปเผยแพร่ในแต่ละพื้นที่ ในทัศนะของนักสู้กับชาวยุทธภพนับไม่ถ้วน จิงเลี่ยเปรียบดั่งเทพสงครามในตำนานที่จุติสู่โลกิยะ

    ด้วยเหตุนี้หลังข่าวจิงเลี่ยได้รับบาดเจ็บสาหัสเผยแพร่ออกไปในยุทธภพ ผลตอบกลับจึงมากมายอย่างยิ่ง คนในแต่ละพื้นที่ต่างช่วยกันตามหาเหยียนโหย่วฝอ คนที่ช่วยตามหาไม่ได้ก็ช่วยถ่ายทอดข่าวออกไปอีก เพียงวันเดียวข่าวนั้นก็แพร่สะพัดน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง แพร่หลายไปยังเมืองใหญ่น้อยทุกที่ตามแม่น้ำคูคลองกับท้องถนน ไม่นานแม้กระทั่งเด็กที่เล่นกันข้างถนนของเมืองต่างๆ ก็เรียกชื่อของเหยียนโหย่วฝอไปทั่วทุกแห่ง

    หลังจากช่วยเหลือหกกระบี่บ้านแตกคราวก่อน อิ่นอิงเฟิงก็ได้รับหนังสือไหว้วานของหวังโส่วเหรินเป็นครั้งที่สอง แน่นอนว่าสำหรับอิ่นอิงเฟิงแล้วต่อให้ไม่มีคำขอร้องจากหวังโส่วเหรินมันก็ยินดีช่วยเหลือจิงเลี่ยอนุชนที่มันเลื่อมใสอย่างยิ่งผู้นี้โดยไม่ปฏิเสธ บรรดาศิษย์สาขาหลักสำนักปากว้ายกกำลังคนกันออกไปตามคำสั่งทันที พร้อมนำจดหมายที่เขียนด้วยตัวเองของเจ้าสำนักเร่งไปยังแต่ละจุดที่เหยียนโหย่วฝออาจปรากฏตัวเพื่อเสาะหามัน

    หูตาในสังกัดหวังโส่วเหรินเองก็ปล่อยพิราบส่งสาร เรียกตัวพวกพ้องในมณฑลเจียงซีและหูก่วงเพื่อขยายขอบเขตหาคนให้กว้างขึ้น พลบค่ำวันเดียวกันผางเทียนซุ่นกับสิงอิงสามีภรรยาที่เซียนถาน หร่วนเสาสยงในเมืองหลินเจียง เสิ่นเฟิงที่อยู่ผิงเจียง…สหายร่วมทางยุทธภพที่เคยคบหากับหกกระบี่บ้านแตกจำนวนมากพอได้รู้ข่าวแล้วก็เข้าร่วมเสาะหาเหยียนโหย่วฝอ

    พิราบเทาตัวหนึ่งในนั้นซึ่งข้างขามัดไว้ด้วยจดหมายที่มีรายละเอียดมากกว่าตัวอื่นฉบับหนึ่งบินไปถึงเมืองหนานชาง

     

    เลี่ยนเฟยหงขึ้นบันไดจากท้องเรือสู่ดาดฟ้าเรือ ลมแม่น้ำเร่งร้อนหอบหนึ่งพลันพัดมาปะทะใบหน้า มันอดมิได้ที่จะหนาวสั่นและดึงผ้าพันคอขึ้นปิดปากกับจมูก บดบังใบหน้าซูบผอมและแก่ชราไว้ครึ่งหน้า

    มันยันไม้เท้าสืบต่อ ค่อยๆ ก้าวขึ้นบันไดขั้นที่เหลือสู่ดาดฟ้าเรือ เอวของเลี่ยนเฟยหงมิได้เหยียดตรงเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป มองผ่านๆ เหมือนทั้งร่างต่ำเตี้ยลงแล้ว สิ่งที่มันถืออยู่ในมือเป็นเพียงไม้เท้าธรรมดาอันหนึ่ง มิใช่แส้พลองที่ไม่ห่างกายในวันวาน…อาวุธที่สันทัดเล่มนั้นใช้ไม้อันหนักอึ้งและแข็งแรงมาเหลา วันนี้จะให้มันถืออีกคงกินแรงเล็กน้อย เลี่ยนเฟยหงจับผ้าพันคอบนจมูกเอาไว้ไม่ให้มันถูกลมพัดไป หรี่ตาทอดมองทิวทัศน์ของทะเลสาบผอหยางนอกเรือ

    แม้สงครามสิ้นสุดได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่สมรภูมิหลายแห่งบนทะเลสาบยังมิได้ถูกเก็บกวาด น่านน้ำที่เรือใบใหญ่ลำนี้ผ่าน ตลอดเวลาล้วนปรากฏซากเรือรบที่ลอยอยู่ ลูกเรือและผู้คุมหางเสือล้วนต้องเพิ่มความระมัดระวังในการหลบหลีก ยังได้ยินลูกเรือกล่าวว่าจนบัดนี้ชายฝั่งทั้งสี่ของทะเลสาบผอหยางยังคงมีซากศพเน่าเปื่อยซัดขึ้นมา คนเร่ร่อนที่สูญเสียชีวิตความเป็นอยู่เพราะสงครามก็มารวมตัวอยู่แถบชายฝั่งทะเลสาบไม่น้อย อาศัยอาวุธที่ช้อนขึ้นมาจากทะเลสาบขายประทังชีวิต

    ใบเรือใหญ่โต้ลมเต็มผืนทำให้เรือแล่นได้เร็วอย่างยิ่ง ลมแม่น้ำโฉบผ่านข้างหูและใบหน้าเลี่ยนเฟยหงไม่ขาดสาย พัดผมเผ้าขาวโพลนที่เผยออกมานอกผ้าโพกศีรษะของมัน เลี่ยนเฟยหงกระจ่างยิ่งนักว่า ความรู้สึกเช่นนี้ต่อไปมันจำต้องโดยสารรถและเรือจึงรับรู้ได้อีกครั้ง มันสูญเสียความสามารถในการวิ่งและกระโดดของเฟิงซวนหนีในวันวานไปแล้ว ถึงขั้นไม่มีกระทั่งความมั่นใจในการขี่ม้าห้อตะบึง อิสรภาพที่ได้ตะลุยทั่วหล้าในอดีตถูกกาลเวลาชิงไปแล้ว

    ทั้งหมดล้วนมอดไหม้ไปในศึกโจมตีเมืองหนานชาง เลี่ยนเฟยหงรู้สึกว่าตนเองในวันนี้ดุจดั่งเปลือกกลวง

    แต่สวรรค์กลับมิได้ให้ข้าตายไปในศึกนั้น ไม่ยินยอมให้จุดจบที่พึงมีแก่นักสู้คนหนึ่งอย่างข้า

    ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีสักวันที่เลี่ยนเฟยหงไม่อาฆาตแค้นต่อสวรรค์

    มันมองไปยังหัวเรือ มองเห็นเงาหลังของหู่หลิงหลันที่นั่งอยู่บนดาดฟ้าเรือจากไกลๆ จึงยันไม้เท้าเดินไป

    คลื่นบนผิวทะเลสาบไม่ใหญ่นัก แต่ฝีเท้าของเลี่ยนเฟยหงไม่ค่อยมั่นคง เข่าเหมือนจะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ มีลูกเรือคนหนึ่งอดมิได้ที่จะเข้าไปถาม “นายท่าน ให้ข้าช่วยดีหรือไม่”

    เลี่ยนเฟยหงไม่แม้แต่จะมองดูสักแวบ มันโบกมือปฏิเสธอย่างเอือมระอา ดวงตาจ้องดาดฟ้าเรือด้วยความตั้งใจ เดินไปอย่างระมัดระวังสืบต่อทีละก้าว ลูกเรือผู้นั้นจนปัญญา ได้แต่มองเลี่ยนเฟยหงเดินไปอย่างเงียบๆ

    หากมันรู้ว่าคนชราผู้นี้ตรงหน้าคือผู้มีความชอบมากที่สุดในศึกพิชิตเมืองหนานชางในคืนเดียวของกองทัพคุณธรรมต้องตกใจจนคางหลุดลงมาเป็นแน่

    ในที่สุดก็เดินถึงข้างกายหู่หลิงหลัน เลี่ยนเฟยหงโล่งอก ยืนพิงเสากระโดงเรือ มันก้มมองหู่หลิงหลันที่นั่งขัดสมาธิ นางวางดาบเหยี่ยไท่ไว้ข้างขา อกเสื้อถูกดึงลงมาด้านหนึ่ง กอดบุตรป้อนนมอยู่

    ทารกที่กำเนิดออกมาไม่ถึงสองเดือนและถึงตอนนี้ยังมิได้ตั้งชื่อผู้นี้ถูกผ้าอ้อมห่อหุ้มแนบแน่น นอนอยู่ในอ้อมแขนอันแข็งแกร่งของมารดาอย่างมั่นคง ใบหน้าเล็กๆ ซุกอยู่บนหน้าอกของหู่หลิงหลันพลางออกแรงดูด ใครก็มองออกว่าเด็กคนนี้ล่ำสันกว่าทารกแรกคลอดเป็นพิเศษ ผมเผ้าก็ดำหนาอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดถึงพลังชีวิตแข็งแกร่ง

    หู่หลิงหลันที่เพิ่งคลอดบุตร รูปร่างและใบหน้าย่อมอวบกว่าเมื่อก่อน แต่ก็แผ่ความอบอุ่นของมารดาที่ไม่เคยมีมาก่อนออกมาเช่นกัน นางเปิดเผยหน้าอกป้อนนมบุตรโดยไม่สนใจลูกเรือบนดาดฟ้าเรือแม้แต่น้อย แต่บุรุษจำนวนมากไม่มีสักคนเกิดความคิดชั่วร้ายหรือฝันกลางวันด้วยเหตุนี้ รู้สึกเพียงมารดาที่พกดาบให้นมผู้นี้ตรงหน้ามีความงามอันน่าเกรงขามชนิดหนึ่ง

    เรือใบใหญ่ลำนี้เดิมเป็นเรือรบของกองทัพคุณธรรม บัดนี้ถูกรื้อปืนใหญ่และยุทธภัณฑ์ต่างๆ ออกแล้ว คนคุมเรือก็เป็นทหารเด่นล้ำของทัพเรือใต้อาณัติหวังโส่วเหริน เพราะรู้ว่าจิงเลี่ยและเยียนเหิงเกิดเรื่องที่หนานจิง จึงเชื้อเชิญและรับพวกหู่หลิงหลันรุดหน้าไป

    จดหมายเล็กๆ ที่พิราบส่งสารนำมาอย่างไรก็มิอาจเขียนได้ละเอียดนัก เหล่าลูกเรือรู้เพียงจิงเลี่ยวีรบุรุษแห่งสงครามผู้ห้าวหาญบาดเจ็บสาหัส สถานการณ์จริงเป็นเช่นไรกลับไม่กระจ่างแจ้ง พวกมันได้แต่ภาวนาเงียบๆ ในใจและพยายามแล่นเรือให้เร็วที่สุด

    อย่างน้อยก็ต้องส่งเด็กคนนี้ให้จอมยุทธ์จิงพบหน้าสักครั้ง…

    หู่หลิงหลันเห็นบุตรกินอิ่มแล้วก็ดึงเสื้อขึ้น จากนั้นตบหลังของบุตรเบาๆ เพื่อไล่ลมออกมา นางจัดผ้าอ้อมที่ห่อบุตรเล็กน้อยจึงเงยหน้ามองดูเลี่ยนเฟยหง

    “ท่านจะอุ้มมันหรือ” นางยื่นบุตรให้เลี่ยนเฟยหง

    เลี่ยนเฟยหงแค่นยิ้มส่ายหน้า อยู่บนดาดฟ้าเรือของเรือใหญ่นี้ มันยิ่งไม่มั่นใจว่าจะกอดทารกได้มั่นคงเช่นยามปกติ จึงเพียงดึงผ้าพันคอบนจมูกและปากของตนเองลงมา ฉีกยิ้มยิงฟันให้ทารก ในวันเวลาช่วงนี้ มีเพียงบุตรของจิงเลี่ยที่ทำให้จิตใจของเลี่ยนเฟยหงดีขึ้นเล็กน้อย

    หู่หลิงหลันอุ้มบุตรพลางส่ายเบาๆ กล่อมมันเข้านอน ใบหน้าของนางสงบนิ่งผิดปกติ แต่เป็นพวกพ้องกันหลายปีมานี้ เลี่ยนเฟยหงกระจ่างยิ่งนักว่าหู่หลิงหลันเพียงระงับความขุ่นเคืองกับความสับสนเอาไว้ หกกระบี่บ้านแตกผ่านเรื่องราวมากมาย เรียนรู้นานแล้วว่าขณะอันตรายจะมาถึงต้องรักษาปณิธานเยือกเย็นเอาไว้ แต่เลี่ยนเฟยหงรู้ว่าวันนี้ความทุกข์ที่หู่หลิงหลันได้รับมากเกินกว่าครั้งใดๆ ที่ผ่านมา มันอดมิได้ที่จะเลื่อมใสความเข้มแข็งของภรรยานักสู้ผู้นี้

    มองดูหู่หลิงหลันเนิ่นนาน มันเองก็คิดคำพูดปลอบใจที่มีความหมายไม่ออกสักประโยค ในเมื่อคิดไม่ออก เช่นนั้นก็สู้ไม่พูดจะดีกว่า

    ถงจิ้งนอนอยู่ในท้องเรือด้านล่าง เพื่อที่จะเตรียมเดินทางไปยังหนานจิงทันทีเมื่อคืนนางจึงไม่ได้นอน เลี่ยนเฟยหงชราภาพแล้ว หู่หลิงหลันก็ต้องดูแลบุตร ถงจิ้งตระเตรียมทุกอย่างคนเดียว ในจดหมายที่พิราบส่งสารนำมาก็กล่าวว่าเยียนเหิงถูกคุมขังอยู่ในคุกหลวง หากเป็นคุณหนูใหญ่ถงเมื่อหลายปีก่อน เมื่อวานต้องลนลานจนไม่ทำอะไรเป็นแน่ ผลสุดท้ายถงจิ้งกลับจัดการทุกอย่างอย่างรวดเร็ว เรือใหญ่ถอนสมอขณะแสงอรุณแรกปรากฏ

    ในช่วงเวลานั้นเลี่ยนเฟยหงได้ยินถงจิ้งพึมพำกับตัวเองเพียงครั้งเดียว

    ‘ไม่เป็นไร…พวกเราผ่านอะไรมาได้ทั้งสิ้น…ครั้งนี้ก็จะไม่เป็นไร…’

    เลี่ยนเฟยหงยืนกรานจะติดตามมาด้วย ‘หากข้าเป็นตัวถ่วงทุกคนในการเดินทาง พวกเจ้าทิ้งข้าไว้แล้วไปก่อนได้’ เมื่อคืนมันกล่าวกับหู่หลิงหลันและถงจิ้งเช่นนี้ ‘แต่พวกเจ้ามิอาจขัดขวางมิให้ข้าตามมาได้ พวกเรายังคงเป็นหกกระบี่บ้านแตก’

    แม้มันกล่าวเช่นนี้ แต่กลับไม่รู้ว่าตนเองติดตามมาแล้วจะทำอะไรได้กันแน่ มันทำไม่ได้แม้กระทั่งปลอบใจให้พวกนางสงบ จากเมื่อคืนถึงตอนนี้มันกับถงจิ้งยังแทบไม่ได้คุยกัน

    เรือใหญ่แล่นผ่านเศษซากเรือรบกองทัพกบฏอีกลำหนึ่งที่ลอยอยู่ในทะเลสาบ ไม้ที่ลุกไหม้จนเหมือนถ่านหินแต่ละท่อนนั้นชี้ไปยังท้องฟ้าประหนึ่งป้ายหลุมศพกองหนึ่งตั้งอยู่ในน้ำ เลี่ยนเฟยหงมองดูมันลอยจากริมเรืออย่างเงียบๆ มันไม่เคยเห็นสงครามดุเดือด ณ ทะเลสาบผอหยางในวันนั้นด้วยตาตัวเอง…วันที่มันลงจากเตียง สงครามก็สิ้นสุดนานแล้ว

    ในหลายเดือนนี้ กระทั่งเมื่อวันก่อนได้รับข่าวร้าย ทุกวันถงจิ้งล้วนตั้งใจดูแลเลี่ยนเฟยหง แต่เลี่ยนเฟยหงมิได้กลับสู่เฒ่าทารกที่ล้อเล่นกับทุกสิ่งได้ผู้นั้นอีกแล้ว ขณะเผชิญหน้าถงจิ้งแม้มันอ่อนโยนอย่างเห็นได้ชัด แต่กลับพูดคุยกับนางน้อยยิ่งนัก

    มีเรื่องหนึ่งที่เลี่ยนเฟยหงไม่เคยบอกถงจิ้งเลย ในวันเวลาช่วงนี้มันเคยคิดจะฆ่าตัวตาย

    เลี่ยนเฟยหงเคยคิดว่าไม่ว่าร่างกายของตนเองจะเสื่อมโทรมถึงขั้นใด ขอเพียงมองดูถงจิ้งแข็งแกร่งยิ่งขึ้นสืบต่อก็มีความหมายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป

    แต่ถึงตอนนี้มันสูญเสียพลังยุทธ์ไปหมดแล้ว จึงรู้อย่างแท้จริงว่านี่เจ็บปวดเพียงไร

    และสิ่งที่รออยู่เบื้องหน้าคือความหวาดกลัวที่มากกว่าเดิม มันไม่รู้ว่าสองขาของตนเองจะมิอาจเดินเหินได้เวลาใด มิอาจกินข้าวด้วยตัวเองเวลาใด ดวงตามิอาจมองเห็น หูมิอาจได้ยิน…สมรรถนะทั้งหมดล้วนจะสูญเสียไปเร็วขึ้นเรื่อยๆ

    มันยังมิได้ตัดสินใจจบสิ้นทุกสิ่ง แต่ความคิดอยากตายเฉกเช่นเมฆดำลอยอยู่เหนือศีรษะ ให้มันรับรู้ถึงเงามืดอันน่าสะพรึงกลัวตลอดเวลา

    เศษซากเรือรบค่อยๆ เลือนหายไปเบื้องหลัง เลี่ยนเฟยหงยืนหลังค่อมอยู่บนดาดฟ้าเรือ จ้องมองคลื่นทะเลสาบถาโถมถูกเรือแหวกออกที่เบื้องล่าง

    ถ้าหากใช้ชีวิตนี้ของข้าไปแลกให้จิงเลี่ยแคล้วคลาดปลอดภัย เช่นนั้นจะดีเพียงใด…

    เลี่ยนเฟยหงแค่นหัวเราะอย่างเย็นชาในใจ…หัวเราะที่ตนเองมีชีวิตอยู่จนปูนนี้เหตุใดยังไร้เดียงสา หากใช้ชีวิตแลกเปลี่ยนได้เช่นนี้ ความโศกเศร้าเสียใจมากมายบนโลกคงหลีกเลี่ยงได้…

    ชีวิตก็เป็นเช่นนี้

    หู่หลิงหลันอุ้มบุตรที่นอนหลับแล้วเอาไว้ มิได้พูดคุยกับเลี่ยนเฟยหง ทั้งคู่เพียงมองดูคลื่นด้วยกัน รับโชคชะตาที่รอคอยอยู่เบื้องหน้าเงียบๆ

     

    กระทั่งรุ่งเช้าวันถัดมา ถงจิ้งยังคงมิได้นอนอย่างแท้จริง

    นางนอนอยู่บนเตียงไม้คับแคบในท้องเรือพลางกอดกระบี่ผึ้งผาดเอาไว้แนบแน่น ได้แต่หลับตางีบหลับพักผ่อน กายใจถงจิ้งล้วนเหนื่อยล้าสุดขีดแล้ว ในทรวงอกเหมือนมีก้อนหินหนักอึ้งก้อนหนึ่งกดจนนางแทบจะหายใจไม่ออก ความเจ็บปวดที่หนีไม่พ้นนั้นทำให้นางมิอาจหลับสนิท

    หูฟังสุ้มเสียงเกลียวคลื่นกระทบตัวเรือ ภาพเหตุการณ์แต่ละภาพค่อยๆ ปรากฏในหัวสมองถงจิ้ง เป็นฉากเรือใหญ่แล่นบนน้ำเช่นเดียวกัน ทว่านั่นหาใช่ทะเลสาบไม่ แต่เป็นแม่น้ำ ทัศนียภาพสองฟากฝั่งให้ความรู้สึกคุ้นเคยและสุขสบายอย่างยิ่ง

    นางจำได้แล้ว เป็นแม่น้ำหมินเจียงบ้านเกิด

    ‘กลับซื่อชวน’ สามพยางค์นี้ดังก้องในใจนางอยู่เนืองๆ ช่วงเวลาที่หนานชาง ทุกวันถงจิ้งล้วนภาวนาให้เยียนเหิงกลับมาจากหนานจิง จากนั้นกลับเขาชิงเฉิงด้วยกันกับมัน

    นั่นคือนัดหมายที่ตกลงไว้นานแล้ว สงครามที่ใหญ่ที่สุดจบลงแล้ว ศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดก็พิชิตแล้ว เภทภัยนานัปการก็ผ่านไปแล้ว ไม่มีอะไรขัดขวางพวกมันได้อีก

    ถงจิ้งคิดเช่นนี้

    ทำผิดอะไรกันแน่ พวกเราเพียงอยากอยู่ด้วยกันเท่านั้น หรือว่านี่ก็นับว่าละโมบหรือ หรือว่าพวกเราจริงใจไม่พอหรือ สวรรค์ยังจะทดสอบพวกเรามากเพียงใด…

    ถงจิ้งรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยเหลือเกินจริงๆ

    ถงจิ้งไม่อยากคิดอีก หัวใจของนางหนีไปอยู่ในเรือใบที่แล่นอยู่บนแม่น้ำหมินเจียงในจินตนาการแล้ว เรือนั้นแล่นไปยังซื่อชวนสืบต่อ เสียงคลื่นคอยปลอบโยนนางจนค่อยๆ ผ่อนคลายลง

    ในขณะที่ถงจิ้งจวนจะเข้านอนได้ในที่สุด เรือใหญ่ก็หยุดลง ถงจิ้งที่อยู่ในอาการสะลึมสะลือแรกเริ่มยังไม่รู้ตัว แต่ดาดฟ้าเรือด้านบนเริ่มถ่ายทอดเสียงคนตะโกนออกมา นางลุกขึ้นนั่งบนเตียงด้วยความตื่นตัวและเช็ดน้ำตาที่ยังคงอุ่นอยู่บนหน้าก่อนถือกระบี่จ้ำอ้าวขึ้นไป

    เรือใหญ่ข้ามทะเลสาบผอหยางแล้วและแล่นไปถึงตำบลหูโข่วหน้าด่านปากทางเข้าแม่น้ำ ถงจิ้งทอดสายตามองไปยังหัวเรือด้านหน้า กลับเห็นบนแม่น้ำนั้นจอดเทียบไว้ด้วยเรือขุนนางสิบกว่าลำ เรียงกันเป็นด่านด่านหนึ่งขวางผิวน้ำเอาไว้ เรือใหญ่จึงหยุดลงเบื้องหน้า

    คนคุมเรือทั้งแปดคนล้วนรวมตัวอยู่บนหัวเรือ หู่หลิงหลันและเลี่ยนเฟยหงก็ขึ้นมาบนดาดฟ้าเรือนานแล้ว พวกมันยืนอยู่ในฝูงชนและก้มมองเรือเล็กที่จอดเทียบอยู่ลำหนึ่งเบื้องล่าง

    ถงจิ้งเข้าไปมองดู เห็นเพียงบนเรือเล็กเบื้องล่างยืนไว้ด้วยคนเจ็ดแปดคน ทั้งหมดสวมเครื่องแบบกองทัพ พกดาบคาดเอวสำหรับทำศึกทางน้ำอันกว้างและสั้น คนหนึ่งในนั้นยืนตะโกนขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าเป็นหัวหน้าของกองพล

    “สรุปแล้วพวกเจ้ามิอาจผ่านไป!” หัวหน้าผู้นั้นกล่าวไปพลาง สังเกตกลุ่มคนบนเรือไปพลาง และสนใจหู่หลิงหลันที่รูปร่างสูงใหญ่ซึ่งอุ้มทารกอยู่เป็นพิเศษ รวมถึงดาบแคว้นวอยาวที่นางถืออยู่ในมือขวา

    “ท่านแม่ทัพ!” ผู้บังคับการเรือพยายามลดอารมณ์ถามอย่างมีมารยาท “เส้นทางน้ำสายนี้ไม่เคยเห็นว่ามีการตั้งด่าน มิทราบว่านี่เกิดด้วยสาเหตุอันใด”

    “นี่คือคำสั่งมาจากราชองครักษ์หนานจิง” หัวหน้าผู้นั้นกล่าว “ข้าได้ยินว่าสองวันนี้คนว่างงานกรูกันไปยังหนานจิงมากเหลือเกิน ทัพใหญ่ราชสำนักที่กรีธาลงใต้ด้านโน้นออกคำเตือน เหมือนว่าแม้แต่ประตูเมืองก็ปิดด้วย!”

    ที่แท้หวังโส่วเหรินขอความช่วยเหลือให้กำลังทางแม่น้ำและทะเลสาบตามหาเหยียนโหย่วฝอ แต่กลับเกิดผลลัพธ์ที่มันมิอาจหยั่งรู้ได้ มีพวกเจ้ากี้เจ้าการที่เลื่อมใสจิงเลี่ยจำนวนหนึ่งได้ยินข่าวจิงเลี่ยบาดเจ็บจึงออกเดินทางมาสอบถามและก่อความวุ่นวายที่หนานจิง นี่ยังลามไปยังคนอื่นๆ มีคนเร่ร่อนและชาวยุทธภพจำนวนมากกรูกันไปยังเมืองหนานจิงจากทั่วสารทิศ นำมาซึ่งความโกลาหลในพื้นที่ ทหารราชสำนักที่ประจำการอยู่แต่ละเมืองวงนอกหนานจิงสังเกตเห็นสถานการณ์ผิดปกติ จึงรายงานไปยังเจียงปินและสวี่ไท่ผู้บัญชาการทั้งสอง คนทั้งสองจึงถ่ายทอดคำสั่งให้ปิดช่องทางที่ผ่านไปยังหนานจิง ขับไล่ผู้ที่เข้าใกล้เมืองหนานจิงโดยไม่มีเหตุผลทั้งหมดไป ซ้ำยังตั้งด่านบนแม่น้ำสกัดกั้นเรือน่าสงสัย

    ความปลอดภัยของจิงเลี่ยกลับก่อความวุ่นวายมากเช่นนี้ในพื้นที่ได้ หลังเจียงปินสืบรู้ก็อดมิได้ที่จะประหลาดใจอย่างมาก แต่มันมิได้ฉวยโอกาสนี้โจมตีจิงเลี่ยและหวังโส่วเหรินเบื้องพระพักตร์ ทว่ากลับให้ลูกน้องปิดบังฝ่าบาท

    จิงเลี่ยผู้นี้กลับมีพลังเรียกระดมระดับนี้บนแม่น้ำ! หากเด็กน้อยจักรพรรดิรู้เข้า มิใช่จะยำเกรงมัน แต่อาจชมชอบกว่าเดิม…วันนั้นเป็นข้าสั่งการให้ยิงจิงเลี่ยบาดเจ็บ หากมันยื้อไม่ไหวตายไป จักรพรรดิรังแต่จะอาฆาตแค้นข้า…

    ผู้บังคับการเรือฟังคำอธิบายของหัวหน้าทหารกองพลผู้นั้นแล้วก็รีบกล่าวทันที “พวกเราคือลูกน้องของใต้เท้าหวังผู้ตรวจการเจียงซีใต้! การไปหนานจิงครั้งนี้เพื่อที่จะรวมตัวกับใต้เท้าหวัง!”

    หัวหน้ากองพลและลูกน้องพอได้ยินก็อดมิได้ที่จะยักไหล่ ศึกปราบกบฏกองทัพคุณธรรมทางน้ำของหวังโส่วเหรินไร้ผู้ต่อต้าน ขุนนางบนชายฝั่งทั้งสี่ของทะเลสาบผอหยางและทั่วทั้งแม่น้ำล้วนเห็นมันเป็นเทพแห่งการศึก รู้สึกเลื่อมใสไร้เทียบเทียม

    แต่คำสั่งที่มาจากกองทัพราชองครักษ์หนานจิงก็มิใช่เรื่องล้อเล่น หัวหน้าผู้นั้นจำต้องซักถามอย่างรอบคอบ “พวกเจ้าคงมีคำสั่งที่เขียนด้วยมือหรือจดหมายประทับของผู้ตรวจการหวัง?”

    คนบนเรือใหญ่ได้แต่จับจ้องมองหน้ากัน

    หัวหน้าทหารเรือรู้ว่าพวกมันไม่มีหลักฐาน จึงถอนหายใจส่ายหน้า “ถ้าหากไม่มี อย่าโทษที่ข้ามิอาจปล่อยไป คำสั่งกองทัพดุจขุนเขา โปรดนำเรือ…”

    ประกายสายหนึ่งส่องเข้าม่านตาทำให้หัวหน้าผู้นั้นหยุดกล่าวคำ

    มันเงยหน้าขึ้น เห็นเพียงมารดาที่งดงามและสูงใหญ่ผู้นั้นยืนอยู่หน้าสุดของหัวเรือ ขาข้างหนึ่งเหยียบกราบเรือเอาไว้ มือซ้ายนางยังคงอุ้มบุตรที่เพิ่งคลอดไม่นาน ดาบใหญ่แคว้นวอในมือขวาออกจากฝักเงียบๆ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด คมดาบทั้งยาวและโค้งสะท้อนแสงแดดกับประกายคลื่น

    สายตาที่หู่หลิงหลันก้มมองเหล่าทหารบนเรือเล็กหาได้มีความเคียดแค้นหรือไอสังหารไม่ แต่ความเยือกเย็นนั้นยิ่งทำให้เหล่าทหารหวาดกลัว

    “ไม่มีผู้ใดขัดขวางข้ามิให้ไปพบสามีได้”

    ขณะกล่าวหู่หลิงหลันสุ้มเสียงไม่มีความสะเทือนใจสักนิด เหมือนเพียงกำลังบอกเล่าเรื่องจริงที่มิอาจฝ่าฝืนเรื่องหนึ่ง

    “ไม่มีผู้ใด”

     

    (หมายเหตุ*** เนื้อหานิยายที่นำมาให้ทดลองอ่านยังไม่ผ่านกระบวนการไฟนอล)

    โปรดติดตามตอนต่อไป…

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in เพลงกลอนคลั่งยุทธ์

    นิยายยอดนิยม

    Facebook