• Connect with us

    Enter Books

    เพลงกลอนคลั่งยุทธ์

    ทดลองอ่านนิยาย เพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 19 บทที่ 1

    บทที่ 1

    นำทัพ

     

    เฉียนหนิงกางแขนทั้งสองออกขณะยืนเบื้องหน้ากระจกสำริดขนาดใหญ่แวววาว ให้ข้ารับใช้สองคนสวมใส่เกราะศึกให้มัน

    ชุดเกราะนี้สร้างอย่างประณีตยิ่ง การประดับตกแต่งแต่ละส่วนแม้ไม่มาก แต่หากเป็นผู้ชำนาญอาวุธย่อมมองออกว่าเป็นของขั้นสูง จุดเชื่อมต่อมากมายระหว่างแผ่นเกราะล้วนมีใยเหล็กถักทอป้องกันแนบแน่น ส่วนที่ถูกโจมตีได้ง่ายดายที่สุดบนผิวเกราะก็เพิ่มความหนาได้อย่างยอดเยี่ยม รูปแบบเกราะศึกทั้งชุดสร้างตามรูปร่างของเฉียนหนิง ทำให้หลังสวมใส่มันจึงมีท่วงท่าคล้ายสูงโปร่งกว่าเดิม

    บนชุดเกราะมีลายเมฆสลักธรรมดาเพียงไม่กี่จุด มิได้ฝังเงินหรือทอง และมิได้ประดับด้วยสัตว์เทพหรือสัตว์ร้ายอะไร นี่ย่อมมิใช่เพราะเฉียนหนิงจ่ายไม่ไหว แต่ในขณะที่มันสวมชุดเกราะนี้ต้องอยู่ข้างกายคนผู้หนึ่ง และไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้าสวมใส่ของหรูหรากว่าคนผู้นั้นอย่างแน่นอน

    ข้ารับใช้สวมใส่ชุดเกราะแต่ละส่วนให้เฉียนหนิง และมอบหมวกติดพู่แดงฉูดฉาดให้ในมือมัน

    มือข้างหนึ่งของเฉียนหนิงจับหมวกเอาไว้ มืออีกข้างหนึ่งยื่นไปลูบหน้าอกและสีข้าง มันขยับร่างอีกหลายทีเพื่อให้แน่ใจว่าเกราะศึกแน่นหนาดี

    ยังคงพอดีตัวอย่างยิ่ง เฉียนหนิงพริ้มดวงตาเรียวเล็ก มองกระจกสำริดพลางยิ้มน้อยๆ หลายปีนี้แม้ใช้ชีวิตอย่างสุรุ่ยสุร่าย ซ้ำยังยุ่งกับการชิงความโปรดปรานจากจักรพรรดิและจัดการงานขององครักษ์เสื้อแพรทุกเช้าค่ำ แต่มันยังคงเจียดเวลาว่างขี่ม้ายิงเกาทัณฑ์เป็นประจำเพื่อฝึกฝนร่างกาย นี่ย่อมมิใช่เพื่อสวมเกราะลงสนามทำสงคราม แต่ต้องรักษาลักษณะเก่งกล้าสามารถเพื่อให้ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท เจียงปินที่อาจหาญกว่ามัน บัดนี้อยู่ข้างพระวรกายจักรพรรดิตลอดเวลา มันยิ่งมิอาจแพ้มากเกินไปนัก จุดที่เฉียนหนิงชนะเจียงปินมีเพียงมิตรภาพกับจักรพรรดิที่ยาวนานกว่า ด้วยเหตุนี้ทุกครั้งที่เข้าเฝ้า มันจะทำให้จักรพรรดิจดจำว่ามันยังคงเป็นบุตรบุญธรรมที่รูปร่างแข็งแรง ยิงเกาทัณฑ์ได้ทั้งซ้ายและขวาผู้นั้น

    เฉียนหนิงสวมหมวกศึก ข้ารับใช้หยิบกระบี่ประจำตัวมาห้อยไว้บนสายคาดเอวให้ สุดท้ายจึงสวมผ้าคลุม เมื่อชุดเกราะทั้งชุดครบครันแล้ว มือซ้ายเฉียนหนิงก็จับด้ามกระบี่ข้างเอว หมุนไปหมุนมาซ้ายขวาหน้ากระจก ชมดูท่วงท่าสง่างามของตนเอง

    มันไม่เคยเป็นทหารและไม่เคยอ่านพิชัยสงครามสักหน้าเดียว ที่มีตำแหน่งในวันนี้ได้ทั้งหมดอาศัยความทะเยอทะยานและโชคดีอันไร้เทียบเทียม…ที่ได้พบเจอจักรพรรดิจูโฮ่วจ้าวที่ชอบทำสงครามพระองค์นี้

    และบัดนี้จักรพรรดิก็จะเคลื่อนพลแล้ว

    สิบห้าวันก่อน ข่าวการยกทัพก่อกบฏของหนิงอ๋องจูเฉินเหาถ่ายทอดมาถึงเมืองหลวง ทำให้ราชสำนักสั่นคลอน แต่ผู้ที่สมควรเดือดดาลเพราะเหตุนี้ที่สุดกลับหัวเราะหลังได้รับข่าว ดวงตาทั้งสองเปล่งประกายเหมือนเด็กที่พบการละเล่นใหม่

    จูโฮ่วจ้าวสั่งการขุนนางให้ร่างราชโองการโดยไม่รีรอ สั่งให้เจิ้นกั๋วกงจูโซ่วผู้บัญชาการทัพแม่ทัพใหญ่เกรียงไกรยุทธ์…ซึ่งก็คือตัวพระองค์เอง…ยกทัพลงใต้ปราบกบฏ

    จักรพรรดิมีพระประสงค์จะเสด็จลงเจียงหนานนานแล้ว และครั้งนี้ใครก็ไม่อาจห้ามปรามพระองค์ไม่ให้ยกทัพด้วยพระองค์เองได้อีก…ขุนนางราชสำนักทั้งหมดที่ตักเตือนจักรพรรดิให้เลิกล้มการยกทัพล้วนถูกจับเข้าคุกภายใต้การปลุกปั่นของเจียงปิน

    ด้วยเหตุนี้เฉียนหนิงจึงต้องกลับมาสวมชุดเกราะที่เก็บไว้เนิ่นนานนี้เพื่อเตรียมพร้อม

    “ใต้เท้าน่าเกรงขามอย่างยิ่ง!” ข้ารับใช้คนหนึ่งในนั้นกล่าวเยินยอ อีกคนหนึ่งเผยสีหน้าชื่นชมยินดีออกมา

    เฉียนหนิงที่เดิมทีเป็นขุนนางคนโปรดของจักรพรรดิจะมองไม่ออกได้เช่นไรว่านี่คือการสอพลอ เพียงแต่มันชมชอบการสอพลอเช่นนี้…ผู้ที่ยึดถือการประจบผู้อื่นเป็นชีวิตจิตใจย่อมชอบให้ผู้อื่นประจบเช่นกัน เพื่อชดเชยปมด้อยที่สะสมอยู่ในใจ

    เฉียนหนิงชักกระบี่ข้างเอวออกมาดังชิ้ง ประกายเยียบเย็นสาดส่องทั่วทั้งห้อง

    ผนังรอบห้องนี้ล้วนเรียงเต็มไปด้วยสมบัติล้ำค่าหลากประเภท มีเครื่องเงินเครื่องทองเนื้องานประณีต มีหยกและของตกแต่งแปลกประหลาดแวววาวหลากสีสัน ภาพอักษรของจิตรกรผู้มีชื่อเสียงหลากหลายขนาด ยังมีสิ่งของหายากที่มาจากต่างแดน ข้างกระจกสำริดตั้งไว้ด้วยชุดเกราะพร้อมโล่กลมแปลกประหลาดที่มาจากแดนตะวันตกชุดหนึ่ง ชั้นวางอาวุธหน้าชุดเกราะเรียงรายไปด้วยดาบยาวแคว้นวอฝีมือประณีตหกเล่ม แต่ละจุดยังวางกองไปด้วยลังไม้หนักอึ้งหลายใบ ภายในต่างก็อัดเต็มไปด้วยเงินทองทรัพย์สมบัติ

    ห้องเก็บสมบัติเช่นนี้ในคฤหาสน์เมืองหลวงของเฉียนหนิงมีสามห้อง และมีสถานที่เก็บซ่อนสมบัติเพื่อเตรียมไว้ใช้ยามคับขันอยู่ตามที่ต่างๆ ในเมืองหลวงอีกสิบกว่าแห่ง

    เฉียนหนิงกุมกระบี่ กวาดมองสิ่งของล้ำค่าในห้อง ทรัพย์สินที่สะสมมาโดยอาศัยตำแหน่งขุนนางคนโปรดในหลายปีนี้แม้ใช้อีกสามชาติก็คงใช้ไม่หมด และเมื่อได้อยู่กลางกองสมบัติเหล่านี้มันมักรู้สึกมั่นคงไร้เทียบเทียม

    มันยกกระบี่ขึ้น ข้ารับใช้สองคนตกใจเล็กน้อย แต่เฉียนหนิงเพียงชี้ปลายกระบี่ไปยังสมบัติเหล่านั้น กวาดไปทีละอัน

    เฉียนหนิงที่จิตใจคับแคบจำได้แม่นยำว่าทรัพย์สินทุกชิ้นของตนเองได้มาอย่างไร มอบให้ใครไปเท่าใด เงินทองชุดใดอาศัยธุรกิจมืดใดได้มา

    ปลายกระบี่ของเฉียนหนิงหยุดอยู่บนป้านสุราหยกขาวประณีตใบหนึ่ง มันจำได้ว่านี่เป็นสิ่งของที่จูเฉินเหาส่งคนมามอบให้

    มิเพียงแต่ป้านสุรา ทรัพย์สินประมาณสามส่วนในห้องนี้ล้วนเป็นสินบนในหลายปีที่ผ่านมาจากหนิงอ๋อง บ้างเป็นกำไรที่มาจากการลอบลำเลียงอาวุธปืนค่ายพลเสินจีค้าขายให้หนิงอ๋อง

    เมื่อคิดถึงตรงนี้ความรู้สึกมั่นคงในใจเฉียนหนิงพลันเลือนหาย กระบี่ในมือสั่นไหวเล็กน้อย มันเก็บกระบี่คืนในฝักช้าๆ

    เฉียนหนิงที่มีเส้นสายข่าวสาร ความจริงเรื่องที่หนิงอ๋องก่อกบฏมันรู้ก่อนจักรพรรดิหลายวัน การตอบสนองแรกของมันคือการคิดว่าต้องหนีออกจากเมืองหลวง แต่มันยังคงตัดใจทิ้งทรัพย์สินกับตำแหน่งทั้งหมดนี้มิได้ สุดท้ายจึงตัดสินใจอยู่ต่อ

    ห้าวันถัดมาหลังผ่านความตื่นตระหนกตกใจ ข่าวการก่อกบฏก็แพร่หลายในราชสำนัก มันรอคอยสืบต่อ แต่ยังคงไม่มีผู้ใดกล่าวหาว่ามันสมคบกับจูเฉินเหา แม้กระทั่งเจียงปินศัตรูคู่แค้นก็ไร้ซึ่งความเคลื่อนไหว

    เฉียนหนิงรู้ว่าสาเหตุหลักข้อหนึ่งคือผู้ที่รับสินบนหนิงอ๋องในราชสำนักมิได้มีแค่มันคนเดียว ยังมีคนมากมาย รวมถึงคนที่มีอำนาจใหญ่หลวงหลายคนที่ล้วนไม่อยากให้ถังอุจจาระนี้เปิดออก หากสืบหา ‘กบฏสมคบคิด’ รากฐานของทั้งราชสำนักก็อาจสั่นคลอน

    แต่เฉียนหนิงเองก็กังวลว่าความแน่นแฟ้นในการสมคบคิดกันของตนเองกับหนิงอ๋อง มิใช่ผู้อื่นจะเทียบได้ ขุนนางราชสำนักมากมายรับสินบนหนิงอ๋อง อย่างมากก็แค่เพื่อปิดตาข้างหนึ่ง หรือกล่าวเยินยอจูเฉินเหาเบื้องพระพักตร์สองสามประโยค หากแต่เฉียนหนิงกลับเป็นผู้นำข่าวสารข้อมูลขององครักษ์เสื้อแพรมาให้ตำหนักหนิงอ๋อง ‘เช่ายืม’ ใช้ประโยชน์มาตลอด ทั้งยังนำศัสตราวุธและปืนใหญ่มาให้พวกมัน ถึงขั้นพยายามหลอกล่อจักรพรรดิให้ใช้ ‘พระราชหัตถเลขาต่างสี’ แต่งตั้งทายาทหนิงอ๋องเป็นผู้สืบบัลลังก์ เรื่องเหล่านี้หากถูกเปิดโปง มันก็ยากจะหลุดรอด

    บัดนี้จะบอกว่าเสียใจก็สายเกินไปเสียแล้ว เฉียนหนิงจ้องตัวเองในกระจก พยายามทำให้จิตใจสดชื่นสุดความสามารถ มันตัดสินใจจะข้ามผ่านพายุลูกนี้

    ไม่เป็นไร…สวรรค์ให้ข้าได้ทั้งหมดนี้ คงไม่เอาไปโดยง่ายอีก…

    ข้าจะอยู่ที่นี่ต่อไปให้นานกว่าผู้ใด

    เฉียนหนิงปลดกระบี่ประจำตัวและถอดหมวกเกราะมอบให้ข้ารับใช้ ในใจมันเร่งเร้าให้ตนเองคิดแต่ในทางดีอยู่ตลอด ครั้งนี้ฝ่าบาทมิได้ออกด่านแต่เดินทางลงใต้ ในที่สุดเฉียนหนิงก็จะได้ปรนนิบัติอยู่ด้านข้างตลอดการเดินทาง ไม่ถูกเจียงปินยึดครองจักรพรรดิไว้ผู้เดียวอีกต่อไป มันได้สั่งการลูกน้องให้ตระเตรียมอาหารหายากทุกอย่างล่วงหน้าบนเส้นทางที่ราชองครักษ์จะเคลื่อนผ่าน เสาะหาสาวงามท้องถิ่น และเตรียมของเล่นแปลกใหม่ที่ไม่มีในเรือนเป้าฝาง

    ต้องเอาชนะพระทัยฝ่าบาทกลับมาให้ได้

    เพียงเท่านี้ผู้ใดก็แตะต้องข้ามิได้

    ยามนี้เฉียนหนิงเดินไปหน้าผนังด้านหนึ่งของห้องเก็บสมบัติ เลือกเกาทัณฑ์ชั้นดีสี่คันจากสิบกว่าคันที่แขวนอยู่และสั่งการให้ข้ารับใช้พกไปเพื่อให้มันมีโอกาสแสดงฝีมือเบื้องพระพักตร์ จักรพรรดิตัดสินใจเคลื่อนพลออกจากเมืองหลวงวันมะรืน เรื่องที่เฉียนหนิงยังต้องเตรียมมีมากอย่างยิ่ง จึงใช้ข้ารับใช้ปลดเกราะศึกให้มัน

    ขณะเพิ่งถอดออกเพียงท่อนบน พลันมีข้ารับใช้ในคฤหาสน์อีกคนหนึ่งวิ่งเข้ามาจากเรือนด้านใน เฉียนหนิงมองเห็นมันเหงื่อท่วมศีรษะใบหน้าขาวซีดก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง

    “มีอะไร…”

    “มีคน…เข้ามา”

    สุ้มเสียงของข้ารับใช้ผู้นั้นกำลังสั่นเครือ เห็นได้ชัดว่าไม่ปกติอย่างยิ่ง…ใครกันกล้าบุกที่อาศัยของเฉียนหนิงผู้เป็นบุตรบุญธรรมของฝ่าบาท

    เฉียนหนิงที่ยังคงสวมเกราะศึกท่อนล่าง บันดาลโทสะหยิบดาบแคว้นวอเล่มหนึ่งบนชั้นวางอาวุธมาชักออก กำลังจะพุ่งออกไปด้านนอกเพื่อหาความจริง สุ้มเสียงทรงพลังเสียงหนึ่งกลับถ่ายทอดมาจากภายนอก

    “เฉียนหนิง ออกมาคุยกันสักหน่อยเถอะ!”

    เมื่อได้ยินสุ้มเสียงนี้แผ่นหลังของเฉียนหนิงเย็นเยียบราวน้ำแข็งเกาะกุม

    ผู้คุ้มกันบ้านเรือนที่จัดไว้ปกติในคฤหาสน์หลังนี้มีสามสิบกว่าคน กอปรกับองครักษ์เสื้อแพรจำนวนมากที่มักเดินอยู่ที่นี่ การป้องกันแน่นหนาจนเหมือนป้อมปราการ

    แต่คนที่กล่าวคำผู้นี้เข้ามาถึงส่วนลึกของคฤหาสน์หลังนี้ได้โดยไม่มีเค้าลางสักนิด

    มีความเป็นไปได้เพียงข้อเดียว คนผู้นี้นำคำสั่งที่ไม่มีผู้ใดบังอาจฝ่าฝืนมาด้วย

    ใบหน้าของเฉียนหนิงซีดเผือดยิ่งกว่าช่วงเวลาใดๆ ในอดีต มันลดดาบแคว้นวอลง ถ่อร่างซึ่งฝีเท้าหนักหน่วงเดินออกจากห้องเก็บสมบัติช้าๆ

    เมื่อถึงเรือนด้านในอันกว้างขวาง เฉียนหนิงก็มองเห็นผู้ที่กล่าวคำนั่งอยู่บนเก้าอี้ประธานแล้ว

    แม้เจียงปินจะนั่งอยู่ แต่ดูมันราวกับสูงใหญ่กว่าเฉียนหนิงเสียอีก ใบหน้าที่แผลเป็นฝังลึกของมันยิ้มน้อยๆ อย่างกระหยิ่มใจ ในมือโยนจดหมายฉบับหนึ่งเล่น

    เฉียนหนิงที่เคยอยู่ข้างพระวรกายจักรพรรดิเช้าค่ำ เคยเห็นจดหมายล้ำค่านี้นับครั้งไม่ถ้วน ย่อมรู้ว่าคืออะไร

    ทุกอย่างล้วนจบสิ้นแล้ว

    ในเรือนยังยืนเต็มไปด้วยทหารสวมเกราะที่ถือดาบขวานหลายสิบนาย ล้วนเป็นทหารคนสนิทที่เจียงปินนำเข้าสู่เมืองหลวงมาจากด่านชายแดนด้วยตัวเอง ทั้งหมดใช้สายตาคล้ายพยัคฆ์หมาป่าจ้องเฉียนหนิง

    ขณะเฉียนหนิงเดินออกมา เจียงปินมองเห็นมันสวมเกราะศึกครึ่งชุดและถือดาบแคว้นวอในมือก็อดมิได้ที่จะขมวดคิ้วส่ายหน้า

    “ถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าคงไม่คิดต่อต้านกระมัง”

    เฉียนหนิงสีหน้าซึมเซา กลืนน้ำลาย ดาบยาวในมือตกลงบนพื้น

    เจียงปินมองดูสภาพสลดหดหู่ของเฉียนหนิงอย่างไม่รีบร้อนประกาศราชโองการสักนิด มันรอวันนี้มาเนิ่นนานแล้ว ย่อมต้องค่อยๆ เสพสุข

    เหมือนเช่นมองเห็นเหยื่อที่รอคอยมานานตกลงในกับดัก มันต้องชื่นชมท่วงท่าดิ้นรนนั้นอย่างเต็มที่

    “ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่” เจียงปินกล่าว “เจ้าเสียใจยิ่งนักที่ในวันนั้นพาข้าเข้าเฝ้าฝ่าบาทกระมัง แต่เจ้ามิอาจโทษข้า ข้าบีบให้เจ้าสมคบคิดกับตำหนักหนิงอ๋องเสียเมื่อไร ที่ข้าทำก็แค่ให้ฝ่าบาทสนใจข้ามากขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น”

    มันลูบรอยแผลเป็นอันแสนภาคภูมิบนหน้าตนเอง ซ้ำยังมองดูเฉียนหนิง

    “แต่ข้าคิดไม่ถึงว่าคนที่เป็นคู่ต่อสู้ของข้ากลับโง่ถึงเพียงนี้”

    ยามนี้เฉียนหนิงคล้ายค่อยๆ ฟื้นคืนมาจากอาการตกตะลึง ใบหน้าของมันมีสีเลือดมากขึ้นเล็กน้อย และลงมือถอดเกราะศึกช่วงล่างออก

    หลังจากรับรู้เรื่องแล้ว หัวใจของเฉียนหนิงกลับสงบลง อย่างไรมันก็คลุกคลีอยู่ในราชสำนักหลายปี มิใช่ไม่เข้าใจว่านี่คือป่ากินคนแห่งหนึ่ง ตนเองก็ต้องเตรียมถูกกินทุกเมื่อ

    การตอบสนองอย่างสงบของเฉียนหนิงทำให้เจียงปินผิดคาดยิ่งนัก ก่อนหน้านี้มันยังจินตนาการว่าเฉียนหนิงจะร่ำร้องวิงวอนเช่นไร หรือตกใจจนเผยกิริยาท่าทางทุเรศทุรังอะไรออกมาบ้าง

    “เจ้าจะทำอะไรก็รีบลงมือเถอะ” เฉียนหนิงกล่าวเสียงเย็นชา “ถึงอย่างไรทุกอย่างก็จบสิ้นแล้ว เจ้าอยากฟังข้าพูดอะไรหรือ ข้าแพ้แล้ว ได้ยินคำพูดประโยคนี้เจ้าพอใจแล้วกระมัง”

    เจียงปินกลับมิอาจกล่าวต่อไป มันโบกมือบอกให้ลูกน้องนำเชือกเอ็นวัวมามัดเฉียนหนิง เฉียนหนิงให้ทหารไขว้สองมือผูกมัดไปพลางยังคงเพ่งมองเจียงปินไปพลาง

    “เจ้ารู้หรือไม่ ข้ากับเจ้าเหมือนกัน”

    เจียงปินได้ยินคำพูดประโยคนี้ของเฉียนหนิงโทสะวูบหนึ่งก็ผุดขึ้นในอก

    “เจ้ายังกล่าวคำพูดเหลวไหลอะไรอีก”

    “เจ้ากับข้าเหมือนกัน” เฉียนหนิงกล่าวอย่างสงบ “ทุกสิ่งที่พวกเราได้รับล้วนมิได้อาศัยตัวเอง แต่เป็นรางวัลที่เกิดขึ้นชั่วครู่จากผู้อื่น สิ่งที่ได้มาเช่นนี้จะสูญหายไปในชั่วข้ามคืนอย่างง่ายดายเช่นกัน บนโลกนี้แม้แต่จักรพรรดิก็ต้องเปลี่ยน เจ้าคิดว่าตำแหน่งที่ตัวเองยืนในวันนี้จะคงอยู่ตลอดไปหรือ”

    ขณะเจียงปินฟังอยู่โทสะบนหน้าก็ค่อยๆ เลือนหาย มันฟังออกว่าคำพูดนี้ของเฉียนหนิงมิใช่การตอบโต้สุดท้ายอะไร แต่เป็นความรู้สึกปลงขณะสูญเสียทุกสิ่งไป

    เจียงปินที่ใบหน้าเขียวคล้ำโบกมือไม่กล่าวคำ สั่งการไพร่พลคุมตัวเฉียนหนิงไป แต่ตัวมันเองกลับยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ใช้มือเท้าคางขบคิดคำพูดเมื่อครู่ของเฉียนหนิง

    ไม่ ข้าไม่มีทางเหมือนกับเจ้า

    ให้ตายก็ไม่มีทาง

     

    เฉียนหนิงถูกจำคุกและยึดทรัพย์ในวันนั้นเพราะต้องโทษสมคบคิดก่อกบฏ ในคฤหาสน์ตรวจพบสายคาดหยกสองพันห้าร้อยเส้น ทองคำสิบกว่าหมื่นตำลึง ทองขาวสามพันหีบ พริกไทยหลายพันตั้น

    เนื่องจากจักรพรรดิเจิ้งเต๋อเสียพระทัยที่ก่อนหน้าสั่งการทำลายล้างสำนักอู่ตัง เป็นเหตุให้ทรงเกิดเมตตาจิตต่อเฉียนหนิงที่เคยโปรดปรานอยู่บ้าง จึงหาได้ออกราชโองการประหารทันทีไม่ เพียงคุมขังมันเอาไว้ รอหลังยกทัพลงใต้ปราบกบฏค่อยตัดสินพระทัย

     

    ซ่งหลียังมิได้เดินไปในห้องของหม่าตี๋ก็ได้ยินเสียงคนนอกห้องเอะอะคล้ายเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว

    ซ่งหลีขมวดคิ้วโก่ง รีบเดินเข้าไปกับสาวใช้สามคน ร้อนใจอยากรู้ว่าเกิดเรื่องอันใด

    หมู่นี้จักรพรรดิเตรียมยกทัพลงใต้เป็นการใหญ่ กอปรกับความหวั่นไหวจากการก่อกบฏของจูเฉินเหา ทำให้ราชสำนักตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย เฉียนหนิงขุนนางคนโปรดพลันถูกยึดทรัพย์จำคุก ยิ่งชวนให้ประหลาดใจ ช่วงเวลาเช่นนี้เรื่องอะไรก็อาจเกิดขึ้นได้ ซ่งหลีจึงต้องระวังและรอบคอบ

    เมื่อบรรลุถึงหน้าห้องนั้นซ่งหลีจึงโล่งอก ที่แท้ผู้ที่รวมตัวอยู่นอกและในประตูล้วนเป็นนางกำนัลและขันทีของเรือนเป้าฝางซึ่งกำลังยุ่งอยู่กับการจัดเก็บเสื้อผ้าข้าวของหลากชนิดลงในหีบเพื่อขนย้าย

    บรรดาคนนอกประตูเห็นคนงามแซ่ซ่งก็ล้วนหยุดลงและแสดงมารยาท ซ่งหลีโบกมือเบาๆ ให้พวกมันทำงานสืบต่อแล้วจึงเดินเข้าไปในห้อง

    เมื่อเข้าไปซ่งหลีก็มองเห็นหม่าตี๋ยืนเท้าเอวอยู่กึ่งกลางห้อง กำลังยุ่งอยู่กับการสั่งการและชี้แนะบริวารจำนวนมากว่าต้องขนสิ่งใดไปบ้าง ขณะเดียวกันอาเจี๋ยที่เป็นเด็กน้อยก็หมอบอยู่เบื้องหน้าหีบไม้ใบใหญ่ที่เปิดอยู่ใบหนึ่ง หยิบเสื้อผ้าที่พับอย่างเป็นระเบียบแต่เดิมโยนออกไปทีละชุด

    “อาเจี๋ย!” หม่าตี๋จับได้ก็โมโหจนตะโกน “เจ้ากำลังทำอะไร”

    อาเจี๋ยได้ยินก็มองดูมารดาพลางหัวเราะคิกๆ มันหยิบชุดกระโปรงสีแดงสดตัวหนึ่งคลุมบนศีรษะตนเอง ทว่ากลับเสียสมดุลแล้ว ทั้งร่างล้มเข้าไปในหีบ ศีรษะคว่ำขาชี้ซุกอยู่ในกองเสื้อ ขาที่สวมรองเท้าเล็กๆ ปักลายดอกไม้ทั้งสองข้างเตะอากาศไม่หยุด

    ซ่งหลีเห็นแล้วร้องอุทานรีบวิ่งไปอุ้มอาเจี๋ยขึ้นมา อาเจี๋ยยังคงมุดชุดกระโปรงสีแดงตัวนั้นพลางโอบกอดซ่งหลีหัวเราะ

    หม่าตี๋เดินมาด้วยความเดือดดาล เลิกชุดกระโปรงแดงนั้นออกไป ถลึงตามองดูบุตรของตนเอง แต่เห็นท่าทางน่ารักและไร้เดียงสาของอาเจี๋ยความเดือดดาลของนางก็เลือนหายในทันใด อดมิได้ที่จะหัวเราะ

    “พี่สาว…” ซ่งหลีเหลียวซ้ายแลขวา “นี่กำลังทำอันใด…”

    “พวกเราต้องติดตามฝ่าบาทยกทัพลงใต้ ย่อมต้องเตรียมพร้อม”

    หม่าตี๋ใช้ชุดกระโปรงแดงนั้นเช็ดเหงื่อบนหน้าอาเจี๋ยพลางกล่าว “เจ้าล่ะ จัดเก็บสิ่งของที่ต้องพกไปแล้วหรือยัง”

    ซ่งหลีมองดูหม่าตี๋อย่างรู้สึกผิดปกติเล็กน้อย ก่อนหน้าพวกนางสองคนล้วนกังวลว่าไม่นานจูโฮ่วจ้าวก็จะทนไม่ไหวขึ้นราชรถออกจากเมืองหลวง พวกมันต้องถูกบีบให้นำอาเจี๋ยเดินทางไกลไปด้วยอีกครั้ง ทว่าหม่าตี๋ในขณะนี้กลับกระตือรือร้นผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด คล้ายรอไม่ไหวอยากจะลงใต้ในบัดดล

    สองปีมานี้หม่าตี๋กับซ่งหลีฝ่าฟันความลำบากมาด้วยกัน ผูกไมตรีลึกซึ้งอย่างยิ่งแล้ว พอเห็นท่าทางไม่กล่าวคำของซ่งหลีก็เดาออกว่านางคิดอะไรอยู่ในใจ

    “ใช่แล้ว น้องสาว” หม่าตี๋ปัดจอนผมของซ่งหลี “ข้าเปลี่ยนแปลงความคิดแล้ว ตอนนี้ข้าถึงกับอยากออกเดินทางให้เร็วขึ้นหนึ่งวัน ออกจาก…” นางมองดูข้าหลวงของเรือนเป้าฝางและลดสุ้มเสียงกล่าว “…ที่นี่”

    “เพราะเหตุใด” ซ่งหลีถามอย่างไม่เข้าใจ เมื่อนึกถึงวันเวลาที่ต้องกระเสือกกระสนอยู่นอกด่านนางก็กลัวขึ้นมา แม้เจียงหนานมิได้แร้นแค้นขมขื่นเหมือนนอกด่าน แต่นางยังคงเบื่อหน่ายที่จะติดตามจักรพรรดิที่ไม่รู้จักโตพระองค์นั้นขึ้นเหนือลงใต้ ยังต้องร่วมดื่มสุราขับลำนำทุกเมื่อ…

    หม่าตี๋ดึงซ่งหลีไปที่มุมหนึ่งของห้องเพื่อให้ห่างจากเหล่าบริวาร ตรงนั้นวางไว้ด้วยเตียงเล็กที่อาเจี๋ยใช้นอน พวกนางยืนอยู่ด้วยกันหลังมุ้ง

    “ข้าตัดสินใจแล้ว” หม่าตี๋มองดูซ่งหลีด้วยสีหน้าตึงเครียด นางยังมองดูอาเจี๋ยก่อนหายใจเฮือกหนึ่งอย่างเต็มปอดแล้วจึงกล่าวเสียงแผ่วเบาสืบต่อ “ข้าต้องฉวยโอกาสขณะออกจากเมืองหลวงลงใต้ครั้งนี้ ส่งอาเจี๋ยไป”

    “อะไรนะ…” ซ่งหลีอุทานเบาๆ พลันคิดได้ว่ามิอาจให้พวกบริวารตื่นตระหนกจึงป้องปากตนเองทันที รอหลังแน่ใจว่าพวกมันหาได้สนใจไม่ นางจึงกล่าวคำอีกครั้ง “เจ้าจะพาอาเจี๋ย…หนีไปหรือ”

    หม่าตี๋ส่ายหน้า “หากนางสนมคนโปรดของฝ่าบาทพลันหายสาบสูญไป ต้องนำมาซึ่งความโกลาหลเป็นแน่ ฝ่าบาทก็คงไม่เลิกแล้วต่อกัน แต่หากเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่งหายไป พระองค์คงไม่ถึงขั้นเคลื่อนพันขุนศึกหมื่นอาชาไปตามกลับมากระมัง”

    ซ่งหลีพอได้ฟังก็เข้าใจความหมายที่แท้จริงของหม่าตี๋ว่าต้องการฉวยโอกาสหาครอบครัวสักครอบครัวหนึ่งฝากฝังอาเจี๋ยไว้ ขอบตานางแดงก่ำขึ้นมาทันที

    “จะได้อย่างไร…นั่นไยมิใช่…เจ้ากับอาเจี๋ย…”

    สีหน้าของหม่าตี๋กลับสงบอย่างยิ่ง ดูเหมือนคิดตกเรื่องนี้นานแล้ว นางลูบผมดำอันอ่อนนุ่มของอาเจี๋ย

    “หากอยู่ในสถานที่เช่นนี้นานปี เมื่อเติบใหญ่เด็กคนนี้รังแต่จะกลายเป็นตัวประหลาด” นางลดสุ้มเสียงกล่าว “เหมือนเช่นฝ่าบาท คนเหล่านั้นที่ห้อมล้อมอยู่ข้างพระวรกายฝ่าบาทก็เช่นกัน ไม่มีสักคนเดียวที่มีหัวใจเป็นปกติ อาเจี๋ยต้องไม่กลายเป็นเช่นนั้น ข้าตัดสินใจแล้ว”

    “แต่…แต่ว่า…” น้ำตาไหลลงมาจากสองตาของซ่งหลี “เช่นนี้…พวกเจ้าก็จะไม่ได้พบหน้ากันอีกนับจากนั้น…”

    “จนปัญญา” หม่าตี๋แค่นยิ้ม “ชีวิตบางครั้งก็เป็นเช่นนี้ เพื่อคนที่รักก็ต้องปล่อยมันไป”

    นางจับแขนของซ่งหลี มองตรงไปยังดวงตาของนางพลางกล่าวอีก

    “รับปากข้า เมื่อถึงยามจำเป็น ต้องใช้พลังทั้งหมดของเจ้าช่วยข้าสำเร็จเรื่องนี้”

    ซ่งหลีถลึงดวงตาชุ่มฉ่ำ งงงันทำตัวไม่ถูก ยามนี้อาเจี๋ยมองเห็นซ่งหลีกำลังร้องไห้จึงบุ้ยปากยื่นมือน้อยๆ ออกไปเช็ดหยดน้ำตาบนปรางแก้มของนาง

    มองดูอาเจี๋ยที่ใสซื่อบริสุทธิ์และนึกถึงอนาคตของมัน ซ่งหลีก็พยักหน้าอย่างนิ่งเงียบ

     

    ในชีวิตยี่สิบเก้าพรรษาของจักรพรรดิเจิ้งเต๋อไม่เคยตื่นเต้นเหมือนเช่นวันนี้

    ความรู้สึกว่าโลหิตพลุ่งพล่านนั้นยิ่งกว่าในพิธีราชาภิเษกเมื่อสิบห้าปีก่อน หรือวันที่เรือนเป้าฝางอันโปรดปรานสร้างแล้วเสร็จ หรือขณะนำทัพด้วยพระองค์เองพิชิตชัยในมหาศึกอิงโจว

    พระองค์ทรงสวมใส่ชุดเกราะ แต่หาใช่ชุดเกราะหรูหราที่เคยสวมขณะอยู่นอกด่านไม่ แต่เป็นเกราะศึกทหารม้าที่ภายนอกเรียบง่ายแต่กลับเหี้ยมหาญยิ่งกว่า เกราะสำริดที่ไหล่ทั้งสองกับหน้าอกเปล่งประกายสีแดงทอง ใหม่เอี่ยมไร้ซึ่งรอยบุบ เกราะคันฉ่องตรงกลางอกล้อมด้วยลายสลักรูปเมฆมงคล นอกจากนี้เกราะศึกทั้งชุดก็ไม่มีการตกแต่งอื่นใดอีก แต่ละส่วนล้วนสร้างขึ้นเพียงเพื่อต่อสู้ หมวกศึกที่จักรพรรดิถือแนบไว้ข้างลำตัวก็เรียบง่ายเช่นเดียวกัน เพียงปักไว้ด้วยขนนกยาวๆ หลากสีมัดหนึ่งบนยอด ใช้เป็นสิ่งจำแนกของแม่ทัพ

    แม่ทัพใหญ่เกรียงไกรยุทธ์เจิ้นกั๋วกงจูโซ่ว

    จูโฮ่วจ้าวถือหมวกเกราะไว้ในมือขวา มือซ้ายจับด้ามกระบี่ข้างเอว ก้าวออกจากห้องท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นและเสียงเพลง เท้าทั้งสองเหยียบย่างด้วยฝีเท้าเบาสบาย ผ้าคลุมสีเหลืองด้านหลังปลิวไสวตาม

    ภายใต้การติดตามของขันทีสูงสง่ารูปร่างล่ำสันที่พกดาบทวนแปดคน จักรพรรดิเดินผ่านเฉลียงทางเดินยาวอันกว้างขวางสายหนึ่งของเรือนเป้าฝาง ผู้ที่ขนาบอยู่สองฝั่งเฉลียงทางเดินคือนักแสดงและลามะนับร้อยคน กำลังกวัดแกว่งธงหลากสีและร้องเล่นเต้นรำดุจงานเฉลิมฉลองครั้งใหญ่

    ยิ่งเดินเข้าใกล้ปลายทางของเฉลียงทางเดิน จูโฮ่วจ้าวก็ยิ่งได้กลิ่นแปลกประหลาดและซับซ้อนมาจากด้านนอก พระองค์คุ้นเคยกับกลิ่นนี้อย่างยิ่ง มันปะปนไปด้วยกลิ่นเหงื่อที่แผ่ออกมาจากคนและสัตว์นับไม่ถ้วน กลิ่นสาบที่ลอยออกมาจากอาวุธหนังฟอกจำนวนมาก กลิ่นของความร้อนที่ระอุขึ้นจากในพื้นทรายประหนึ่งกลิ่นหญ้าแห้งถูกเผาไหม้…

    จูโฮ่วจ้าวดอมดม หัวใจเต้นเร็วกว่าเดิม พระองค์เผยยิ้มน้อยๆ อย่างพึงพอพระทัยออกมา

    เช่นนี้ต่างหากคือการมีชีวิตอยู่

    เมื่อเดินออกจากปลายเฉลียงทางเดิน จูโฮ่วจ้าวก้าวเข้าพื้นดินทรายของลานประลองใหญ่กลางแจ้งแห่งเรือนเป้าฝาง เบื้องหน้าล้วนสว่างไสวจนพระองค์ลืมตาไม่ขึ้นชั่วขณะ

    ทหารม้าห้าวหาญเกือบพันนายขี่ม้าเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบอยู่บนลานประลอง ไม่มีม้าสักตัวก่อความวุ่นวายให้ไม่สบายพระทัย รูปขบวนสงบเงียบเรียบร้อย

    ชุดเกราะที่สวมอยู่บนร่างบรรดาทหารม้ามีรูปแบบเหมือนกันกับของจักรพรรดิ อีกทั้งต่างก็ทำขึ้นใหม่เอี่ยมเช่นกัน ตะวันยามบ่ายเคลื่อนคล้อยเหนือลานประลอง เกราะสำริดแต่ละแถวนั้นเปล่งประกายสีแดงทองเสมือนประกายคลื่นกลางห้วงมหรรณพ สรรพอาวุธที่ตั้งราวกับดงไม้สะท้อนแสงสีเงินแวววาว ทั้งกองทัพมองผ่านๆ เหมือนอาบไล้ด้วยรัศมีเทพเทวา ราวกับไม่มีอยู่ในโลกมนุษย์

    ใต้หมวกเกราะที่ปิดบังใบหน้าของเหล่าทหารต่างลอดผ่านไอสังหารอันห้าวหาญออกมา มีไม่กี่นายที่ใบหน้ามีผิวหนังสมบูรณ์ดี ส่วนใหญ่ต่างเต็มไปด้วยบาดแผลจากการต่อสู้ในอดีต ทั้งหมดล้วนเป็นผู้กล้าที่ผ่านการรบมาแล้วทั้งสิ้น ม้าศึกทุกตัวพละกำลังเต็มเปี่ยม แต่กลับยังถูกผู้ขี่ควบคุมจนว่านอนสอนง่าย เพียงพอที่จะเห็นได้ว่าทั้งหมดล้วนผ่านการคัดเลือกและฝึกฝนอย่างพิถีพิถัน ขบวนม้ากลุ่มใหญ่ทั้งขบวนไม่มีจุดให้ติติงได้สักนิด

    หลังจูโฮ่วจ้าวปรับตัวกับประกายแสงได้ก็เบิกตาชมดูรูปขบวนนั้นด้วยความตื่นเต้น มือที่ถือหมวกเกราะของพระองค์สั่นไหวเล็กน้อย…เรื่องที่ทำให้จักรพรรดิมีปฏิกิริยาเช่นนี้ได้ บนโลกมีไม่เท่าใดนัก

    นี่คือกองทัพไร้ผู้ต่อต้าน

    มีพวกมัน ข้าก็จะวิ่งตะบึงไปทุกแห่งในแดนดินได้อย่างอิสระ

    เจียงปินนักรบห้าวหาญที่พระองค์โปรดปรานและไว้วางพระทัยที่สุด ยามนี้ขี่ม้าเดินมา ในมือถือเชือกบังเหียนจูงม้าศึกขนสีขาวโพลนที่ผ่านการคัดเลือกตัวหนึ่งมาด้วย เจียงปินนั่งอยู่บนอานม้า ก้มศีรษะแสดงมารยาทต่อจูโฮ่วจ้าว

    หากเป็นสถานการณ์ปกติ กิริยานี้ของเจียงปินเรียกได้ว่าเสียมารยาทอย่างยิ่ง แต่ตอนนี้ต่างกัน บนลานประลองแห่งนี้จูโฮ่วจ้าวมิใช่เพียงจักรพรรดิ

    จูโฮ่วจ้าวพยักหน้าให้เจียงปินและมอบหมวกเกราะให้ขันทีข้างพระวรกายโดยไม่รีรอ มันเหยียบขึ้นอานม้าของม้าขาวภายใต้การประคองของอีกสองคน พระองค์รับหมวกเกราะคืนมาสวม หลังปรับจนเข้าที่ค่อยจัดเสื้อผ้า จากนั้นจึงควบม้าติดตามเจียงปิน เดินเข้าสู่ขบวน ตรวจตราทหารม้าจำนวนมาก

    ทหารเด่นล้ำค่ายกองหนุนเวยอู่ขบวนนี้ เดิมทีมิได้มีภูมิหลังเป็นราชองครักษ์ แต่เป็นทหารชายแดนที่เจียงปินนำเข้าเมืองหลวงมาจากเหลียวตง เซวียนฝู่ ต้งถง และเหยียนสุย ก่อนคัดเลือกมาและตั้งกลุ่ม ทั้งหมดล้วนเคยมีประสบการณ์โชกโชนในศึกอันดุเดือดที่ชายแดนกับชาวต๋าต๋า ความห้าวหาญของพวกมันมิใช่ราชองครักษ์เมืองหลวงจะเทียบเทียมได้

    จูโฮ่วจ้าวผ่านเบื้องหน้าขบวนทหาร ชื่นชมรูปลักษณ์กับเครื่องแบบต่อสู้ของเหล่าทหารอย่างละเอียด ในใจรู้สึกตื่นเต้นยินดีเป็นล้นพ้นและผงกศีรษะไม่หยุด สิ่งที่ทำให้จักรพรรดิรู้สึกภาคภูมิคือขณะนี้พระองค์สวมใส่เครื่องแบบเหมือนกันกับทหารกล้าเหล่านี้แล้ว

    พระองค์ที่เคยประจัญบานในศึกอิงโจว ตัดศีรษะข้าศึกด้วยพระองค์เอง โอ่ประโคมว่าเป็นขุนศึกห้าวหาญที่ผ่านการต่อสู้เป็นตายมาแล้วเช่นกัน วันนี้ได้มาอยู่ในขบวนรบโดยมิใช่เพียงเพราะพระองค์เป็นจักรพรรดิ แต่เป็นเพราะผลงานที่สร้างมา ย่อมสมควรสวมชุดเกราะชุดเดียวกัน

    เจียงปินมองดูรอยยิ้มของจักรพรรดิอยู่ด้านข้างอย่างภาคภูมิใจยิ่ง

    นำทัพลงใต้ด้วยพระองค์เองครานี้ จูโฮ่วจ้าวยอมสละราชองครักษ์เมืองหลวงแต่เดิม และเลือกใช้ค่ายกองหนุนเวยอู่ขบวนนี้เป็นกองทัพรักษาพระองค์ เจียงปินที่เป็นแม่ทัพ ตำแหน่งยิ่งมั่นคงดุจเขาไท่ซานอย่างเห็นได้ชัด

    อนึ่งค่ายกองหนุนนี้ภายนอกแม้ให้จักรพรรดิเป็นผู้บัญชาการหลัก แต่ความจริงถวายความจงรักภักดีให้ใต้เท้าเจียงปินที่เลื่อนขั้นพวกมัน ภายหลังทุกวันระหว่างทางลงใต้ ความเป็นความตายและความปลอดภัยของจูโฮ่วจ้าวกล่าวได้ว่าถูกควบคุมอยู่ในเงื้อมมือของเจียงปินทั้งหมด เจียงปินรู้สึกว่านี่เหมือนความจริงแล้วตนเองควบคุมอำนาจในแผ่นดินก็มิปาน…

    ค่ายกองหนุนเวยอู่ทั้งกองทัพที่ผลัดเปลี่ยนเครื่องแบบต่อสู้เรียบร้อยใหม่เอี่ยมก็เกิดจากความเห็นของเจียงปินเช่นกัน ประการแรกทำเพื่อเอาใจจักรพรรดิ ถึงแม้กองทัพคือของเล่นในสายพระเนตรจูโฮ่วจ้าว แต่แน่นอนว่ายิ่งงดงามแพรวพราวยิ่งดี ประการที่สองเจียงปินเองก็ตักตวงผลประโยชน์จากการจัดซื้อยุทธภัณฑ์ใหม่ชุดนี้

     

    (หมายเหตุ*** เนื้อหานิยายที่นำมาให้ทดลองอ่านยังไม่ผ่านกระบวนการไฟนอล)

    โปรดติดตามตอนต่อไป…

     

     

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in เพลงกลอนคลั่งยุทธ์

    นิยายยอดนิยม

    Facebook