• Connect with us

    Enter Books

    เพลงกลอนคลั่งยุทธ์

    ทดลองอ่านนิยาย เพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 21 บทที่ 1

    บทที่ 1

    เป็นตาย

     

    เดิมทีจิงเลี่ยผู้นี้ไม่เคยมีอยู่บนโลก

    หากสนธยาวันนั้นจิงเจ้าพยัคฆ์วชิระคำรนไม่คิดจะหาสตรี

    จิงเจ้านั่งเปลือยเปล่าทั่วร่างอยู่บนหาดหินที่หันหาอาทิตย์อัสดง เสียงเกลียวคลื่นที่ค่อยๆ สูงขึ้นโอบล้อมรอบตัว มันหลับตาเงยหน้าขึ้นฟ้า เผยสีหน้าพึงพอใจและอ่อนเพลียออกมา

    มันค่อยๆ สวมขาอันหยาบหนาทั้งสองข้างเข้าในกางเกง ผูกเชือกมัดเอว ลมหายใจรุนแรงแต่เดิม ขณะนี้ยังมิได้กลับสู่ปกติทั้งหมด แผ่นอกอันแข็งแรงจนเหมือนหินผาชายฝั่งทะเลของจิงเจ้าขยับขึ้นลงต่อเนื่อง รอยสักรูปพยัคฆ์บนหน้าอกขวา มองผ่านๆ คล้ายกับมีชีวิตขึ้นมาและกำลังคำรามเสียงแผ่วเบา

    ก้อนหินยักษ์ที่ราบเรียบราวกับเตียงด้านข้างมันมีหญิงชาวประมงคนหนึ่งฟุบหมอบอยู่บนชุดคลุมที่แผ่ออก เรือนร่างที่ดูแข็งแรงและทรวดทรงโค้งเว้างดงามของนางเปิดเผยภายใต้อาทิตย์เหลืองทองที่สาดส่อง เม็ดเหงื่อขนาดใหญ่แต่ละเม็ดเปล่งประกายระยิบระยับบนแผ่นหลังกับสะโพก สองขาของนางห้อยอยู่ข้างก้อนหินใหญ่ เพราะผ่านการร่วมรักอันร้อนแรงจึงยังคงสั่นอยู่ ผมยุ่งที่เปียกซึมไปด้วยเหงื่อปกปิดใบหน้าของนางกว่าครึ่ง เผยออกมาเพียงริมฝีปากที่หายใจเข้าออกอย่างสั้นกระชั้นด้วยความกระหาย

    จิงเจ้ามิได้มองดูนางสักแวบเดียว ช่วงเวลาเช่นนี้มันคิดเพียงอยากดื่มสุรา หลังปรับเปลี่ยนลมหายใจมันก็หาถุงสัมภาระที่วางอยู่ด้านข้าง หยิบขวดสุราออกมาและถือโอกาสหยิบเหรียญสำริดพวงหนึ่ง นับจนได้ยี่สิบเหรียญก็วางไว้บนหิน

    สุรารสเผ็ดร้อนไหลเข้าสู่ลำคอทิ้งกลิ่นหอมหวานเล็กน้อยไว้บนลิ้น

    สุราท้องถิ่นนี้ไม่เลวจริงๆ จิงเจ้าคิดในใจ

    มันชอบสุราและนารีตั้งแต่เยาว์วัย แต่มันรู้ดีว่าหากจะตั้งใจฝึกวิทยายุทธ์สองสิ่งนี้ล้วนต้องหยุดไว้ แต่ตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่เฉวียนโจวซึ่งเป็นบ้านเกิด มันจึงคิดว่าปล่อยตัวสักหน่อยคงดีกว่าและดื่มอีกหนึ่งอึก

    หญิงชาวประมงลุกขึ้นมาโดยห่มชุดคลุมเก่าๆ ของจิงเจ้าตัวนั้นเอาไว้และสยายผมยุ่งออก ความจริงใบหน้านั้นหาได้สวยงามไม่ เนื่องจากทำงานท่ามกลางแดดแรงกับลมทะเลเป็นเวลานานผิวหนังจึงทั้งหยาบและดำคล้ำ รอยตีนกาปรากฏมานานแล้ว แต่เพราะใช้ชีวิตยามปกติอย่างลำบาก ร่างกายของนางจึงถูกฝึกฝนจนแข็งแรงยิ่งนัก อีกทั้งส่วนโค้งเว้าก็เด่นชัด รูปร่างเยาว์วัยและแข็งแรงเช่นนี้แผ่ความดึงดูดไม่ธรรมดา

    นางเข้าไปหยิบเงินสำริดบนก้อนหินขึ้นมานับคำนวณอย่างละเอียดสองครั้งแล้วจึงไปสวมเสื้อผ้าที่ถอดออกกลับคืน ใส่เงินลงในถุงผ้าปักลายดอกไม้อย่างระมัดระวัง

    ยามนี้จิงเจ้าดื่มสุราหมดขวดแล้ว มันคิดในใจว่าไม่ควรเสียเวลาจึงปิดฝาขวดและเช็ดปาก

    หญิงชาวประมงจ้องมองร่างท่อนบนที่ยังคงเปลือยเปล่าของจิงเจ้า กล้ามเนื้อที่นูนขึ้นมาแต่ละมัดนั้น ทำให้นางหวนนึกถึงช่วงเวลาเมื่อครู่ นางใช้ชีวิตอยู่ริมทะเลตั้งแต่เด็ก คุ้นตากับเรือนร่างบุรุษอันแข็งแกร่งนานแล้ว แต่เรือนร่างตรงหน้าต่างจากเรือนร่างของบุรุษที่พายเรือตกปลาเหล่านั้นอย่างมาก เส้นลายและสัดส่วนของกล้ามเนื้อนี้สะสมความยืดหยุ่นไว้ภายใน เป็นกล้ามเนื้อที่หาได้เกิดจากการทำงานทั่วไป แต่ฝึกฝนให้ได้มาเพื่อเป้าหมายพิเศษบางอย่าง…

    ‘เจ้ามาทำอะไรที่เลี่ยอวี่’ หญิงชาวประมงอดมิได้ที่จะถาม ‘อย่าบอกนะว่ามาเที่ยว ที่นี่ไม่มีอะไรทั้งสิ้น’

    จิงเจ้ามิได้ตอบคำ มันเพียงจ้องดวงตาของนาง จากสายตาอันตรายนี้หญิงชาวประมงพลันรู้ว่าตนเองถามเรื่องที่ไม่ควรถาม นางจึงยักไหล่ก้มหน้าสวมเสื้อผ้าสืบต่อ พยายามทำตัวเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง สายตาประหนึ่งพยัคฆ์จับจ้องของจิงเจ้าเนิ่นนานจึงละจากนาง ขณะมันเก็บขวดสุรากลับคืนถุงสัมภาระ ขวดกระเบื้องเคลือบนั้นชนกับวัตถุโลหะหนักอึ้งชิ้นหนึ่งภายใน แม้หญิงชาวประมงรู้แก่ใจว่ามีความผิดปกติ แต่ยังแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

    นางไม่มีวันรู้ว่าแขกแปลกพิลึกและน่ากลัวอยู่บ้างผู้นี้คือบุคคลมีชื่อเสียงเช่นไรที่อีกฟากหนึ่งของช่องแคบสมุทร และยังดำรงตำแหน่งเจ้าสำนักหู่จุนแห่งหนานไห่หนึ่งในสี่สำนักใหญ่ของยุทธภพเฉวียนโจวด้วยอายุสามสิบต้นๆ

    จิงเจ้ามาครั้งนี้ย่อมมิใช่เพื่อเที่ยวเล่น…มันกล่าวกับอาจารย์และสหายร่วมสำนักเช่นนี้

    มันมาเพื่อเสาะหาคนผู้หนึ่งและสังหาร

    คนผู้นั้นนับว่าเป็นอาของจิงเจ้า มันหนีไปหลังเป็นชู้กับพี่สะใภ้และสังหารพี่ชายในหมู่บ้านเมื่อหลายปีก่อน เรื่องนี้คือความอัปยศที่ไม่เคยมีผู้ใดในตระกูลจิงยอมกล่าวถึง และเมื่อห้าวันก่อนจิงเจ้าได้ยินว่ามีคนเห็นศัตรูคู่แค้นผู้นี้หลบซ่อนอยู่ในหมู่บ้านประมงเล็กๆ แถบเลี่ยอวี่ มันจึงพกดาบโดยสารเรือมาโดยไม่แม้แต่จะคิด

    มันหาหมู่บ้านแห่งนั้นจนพบ และหาคนที่ผู้แจ้งข่าวบอกจนเจอ แต่คนผู้นี้หาใช่ศัตรูที่จิงเจ้าตามหาไม่ เป็นเพียงชาวก่วงตงที่รูปร่างลักษณะและอายุใกล้เคียงกับอาของมันเท่านั้น

    ความรู้สึกว่างเปล่าเมื่อพลาดโอกาสแก้แค้นกอปรกับจิตสังหารที่สั่งสมหลายวันแต่มิอาจระบายกระตุ้นให้จิงเจ้ากระหายใคร่หาสตรี ในที่สุดก็นำนางมาที่หาดหินชายฝั่งตะวันตกที่ไม่มีอะไรเลยผืนนี้

    หญิงชาวประมงสวมเสื้อผ้าเสร็จก็คืนชุดคลุมนั้นให้จิงเจ้า นางมองดูอาทิตย์ลับขอบฟ้าพลางกล่าว ‘เรารีบกลับกันเถอะ ฟ้ามืดแล้ว น้ำก็เริ่มขึ้นแล้ว…’

    จิงเจ้าที่ยังคงถือชุดคลุมโบกมือขัดจังหวะนางและใช้นิ้วมือกดริมฝีปากตนเองเป็นนัยให้นางห้ามส่งเสียง

    จิงเจ้าสดับฟังในเสียงเกลียวคลื่นอย่างตั้งใจครู่หนึ่งก่อนสืบเท้าเดินไปยังด้านในของหาดหิน ฝีเท้าของมันช้ายิ่งนัก เหมือนกำลังจ้องจับสิ่งของที่ละเอียดอ่อนบางอย่างในอากาศ

    หญิงชาวประมงติดตามไปอย่างประหลาดใจ ในใจเต็มไปด้วยคำถาม แต่ก็มิกล้าเอ่ยปาก หลังเดินไปได้หลายสิบก้าว แม้กระทั่งนางเองก็เริ่มได้ยินเสียงประหลาดอันแผ่วเบานั้นในเสียงคลื่น

    ยามนี้จิงเจ้าจ้ำอ้าวไปก่อนแล้ว มันกระโดดพลางวิ่งบนหินผา แน่ใจว่าตนเองได้ยินอะไรบางอย่าง

    เมื่อหญิงชาวประมงเร่งตามไปก็มองเห็นจิงเจ้ายืนอยู่เบื้องหน้าถ้ำหินเล็กๆ ที่แอบซ่อนอยู่ ในมือถือทารกที่ใช้ผ้าห่อหุ้มเอาไว้ นางปรี่เข้าไปมองดูอย่างประหลาดใจ เป็นทารกแรกกำเนิดคนหนึ่งกำลังเปล่งเสียงร้องไห้ ใบหน้าที่มีขนอ่อนเส้นเล็กๆ ขึ้นอยู่ย่นเป็นก้อน ดวงตายังมิได้ลืมขึ้นทั้งหมด

    หญิงชาวประมงเจ็บแปลบวูบหนึ่งในใจ นางมิอาจจินตนาการได้อย่างแท้จริงว่าเป็นผู้ใดทอดทิ้งเด็กที่ออกจากร่างมารดาได้ไม่ถึงครึ่งวันไว้บนหาดหินไร้ผู้คนเช่นนี้

    ‘เป็นผู้ชาย’ จิงเจ้ากล่าว ใช้ปลายนิ้วลูบไล้ใบหน้าที่ย่นจนเหมือนคนชราของทารกเบาๆ มันย่อมมิได้กอดเด็กเป็นครั้งแรก…จิงเยวี่ยบุตรชายปีนี้อายุแปดปีแล้ว

    ความรู้สึกประหลาดผุดขึ้นในใจจิงเจ้าเหมือนกระแสน้ำ

    ข้ามาฆ่าคนที่เลี่ยอวี่ ผลสุดท้ายกลับเก็บชีวิตหนึ่งได้

    ‘เคราะห์ดีท่านได้ยินมันร้อง…’ หญิงชาวประมงกล่าว น้ำตาที่คลอเบ้าไหลลงมา ‘หากช้าไปอีกสักหนึ่งชั่วยาม มันคงจมน้ำตายแล้ว’

    จิงเจ้าฟังแล้วพยักหน้าซ้ำยังพินิจมองดูทารกที่ร้องไห้โฮ มันตัดสินใจได้ทันทีว่าจะนำเด็กคนนี้กลับเฉวียนโจว

    มันปลอบขวัญทารกอย่างอ่อนโยน กระทั่งทารกร้องจนเหนื่อยจึงหลับไป จิงเจ้ากอดมันไว้พลางเดินไปตามหาดหิน ดวงตาทอดมองทะเลซัดสาดที่มืดมิดเข้าไปทุกที โลหิตของมันกำลังพลุ่งพล่าน

    ความหวังกับความฝันในชีวิต ไม่เคยรู้ว่าเมื่อไรจะพลันสิ้นสุด อาจถึงขั้นแทบจะไม่มีแม้โอกาสก้าวเดินเหมือนเช่นเด็กคนนี้

    แต่เด็กคนนี้มิได้ตายไป อีกทั้งผู้ที่เก็บมันได้มิใช่ชาวประมงหรือคนแจวเรือทั่วไป

    กลับเป็นนักสู้ที่มาไกลเช่นข้า

    จิงเจ้าหาได้เชื่อในโชคชะตาไม่ ขณะนี้มันยังคงเลือกโยนทารกลงในทะเลได้ หรือโยนให้สตรีนางนั้นที่อยู่ด้านหลังแล้วหนีไปโดยไม่แยแสก็ได้…ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของมัน

    มันจ้องมองใบหน้าของทารกอีกครั้ง จิงเจ้าไม่รู้ว่าภายหน้าจะมีอะไรรอเด็กคนนี้อยู่ และไม่รู้ว่าในร่างเล็กๆ นี้มีพรสวรรค์เรียนวิชายุทธ์แอบแฝงหรือไม่ ยังมีเรื่องที่วันนี้ไม่รู้อีกมากมาย

    ไม่มีสักเรื่องที่ถูกลิขิตไว้

    ที่เรียกว่า ‘โชคชะตา’ เป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่ย้อนกลับไปเห็นหลังกลายเป็นเรื่องจริง จิงเจ้าเชื่อเช่นนี้

    ตอนนี้มันจึงจะขีดเขียนโชคชะตาของทารกกำพร้าผู้นี้

    นำเด็กกลับสำนักหู่จุนหนานไห่

    จิงเจ้าและหญิงชาวประมงเดินไปทางทิศใต้ตามหาดหิน ค่อยๆ ไกลจากบริเวณนั้นมากขึ้น พวกมันไม่รู้ว่าขณะเดียวกันทางทิศเหนือของชายหาดผืนนี้มีชีวิตของสตรีนางหนึ่งกำลังเดินไปสู่จุดจบ

    หลายชั่วยามก่อน สตรีนางนี้ลอบให้กำเนิดเด็กที่จะมีนามว่าจิงเลี่ยในภายหลัง และยามนี้นางกำลังจะตายในมือสามีของตนเอง

    สตรีนางนี้คือหญิงสาวชาวประมงคนหนึ่ง เดิมทีนางมีเรี่ยวแรงไม่น้อย แต่ขณะนี้นางมิอาจต่อต้านสามีที่ตกอยู่ในอาการคลุ้มคลั่งได้อย่างสิ้นเชิง เล็บของนางข่วนแขนและใบหน้าของมันเป็นรอยเลือดหลายขีด แต่หยุดยั้งมันที่กำลังบีบลำคอนางและกดศีรษะลงในทะเลสืบต่อมิได้

    บุรุษผู้นั้นยังคงกระทำต่อนาง ดวงตาที่เบิกถลนถลึงมองใบหน้าของภรรยาที่ทรมานอยู่ในน้ำ ปากมันท่องพึมพำไม่ขาด

    ‘มารหัวขน…มารหัวขน…ซ่อนอยู่ที่ใด…ซ่อนอยู่ที่ใด…’

    สุดท้ายปากและจมูกของสตรีที่อยู่ใต้น้ำทะเลก็มิได้พ่นฟองอากาศออกมาอีก สองมือนางห้อยจมอยู่ในน้ำ ทรวงอกหยุดขยับแล้ว

    หลังเห็นว่าภรรยาสิ้นลม บุรุษผู้นั้นจึงได้สติกลับมาจากความบ้าคลั่ง สิ่งที่แทนที่ความโกรธเกรี้ยวคือความเสียใจกับความหวาดกลัว เดิมทีมันเพียงจะเค้นถามว่าทารกที่หาใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของมันผู้นั้นอยู่ที่ใด

    เมื่อครู่นั่นไม่ใช่ข้า…ไม่ใช่ข้า…

    บุรุษผู้นั้นโอบภรรยาขึ้นมาจากน้ำลูบไล้ใบหน้าที่เริ่มเย็นเฉียบของนาง

    ไม่ถึงครู่หนึ่ง มันก็วางภรรยาลงในน้ำและผลักไปในส่วนลึกของทะเลพลางเดินตามไป ประจันหน้าหาอาทิตย์อัสดงเข้าสู่คลื่นทีละก้าว กระทั่งตนเองกับภรรยาล้วนถูกกระแสน้ำกลืนกิน

     

    สามสิบเอ็ดปีให้หลัง ในจวนของแม่ทัพตรวจการทหารห้ากองทัพแห่งหนานจิงอันงดงามยิ่งใหญ่ต่อหน้าผู้มีอำนาจสูงสุดของแคว้นผู้นี้ จิงเลี่ยจวนจะสิ้นใจ

    นับตั้งแต่เกิดมา โอกาสกับโชคชะตาทั้งหมดที่จิงเลี่ยประสบ ความพยายามและความศรัทธาทั้งหมดที่ทุ่มเท สุดท้ายกลับนำมันมาสู่จุดจบที่ไร้ซึ่งความหมายเช่นนี้

    แต่มันยังไม่ทันรู้ว่าเดิมทีตนเองอาจได้ตัดสินแพ้ชนะกับเหยาเหลียนโจวอริเก่าอย่างที่ใฝ่ฝันได้ที่พระราชวังต้องห้ามเพื่อบรรลุปณิธานชั่วชีวิต

    ในขณะที่เยียนเหิงหลั่งน้ำตาสวมกอดด้านหลังของจิงเลี่ยที่ถูกเกาทัณฑ์สามดอกเอาไว้ องครักษ์เสื้อแพรอีกแถวหนึ่งก็สับเปลี่ยนขึ้นมาแล้ว ในมือถือหน้าไม้ที่พาดสายไว้เล็งไปยังจิงเลี่ยกับเยียนเหิง

    แต่ก่อนที่พวกมันจะยิงนั้นเอง องครักษ์เสื้อแพรสิบคนนั้นต่างตกใจจนคลายปลายนิ้วบนไกออก ชูหน้าไม้ขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็วเพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ทำร้ายคนผู้นี้

    เจียงปินเดิมจะสั่งการองครักษ์เสื้อแพรยิงหน้าไม้แถวที่สองอีกทันที แต่ยังไม่ทันเค้นสุ้มเสียงออกมา เงาร่างนั้นก็กระโดดมาอยู่เบื้องหน้ามันแล้ว

    จักรพรรดิเจิ้งเต๋อจูโฮ่วจ้าวทรงเปล่งเสียงตะโกนด้วยความพิโรธ อาศัยท่ากระโดดง้างแขนต่อยด้วยกระบวนท่ามวยยาวอู่ตังที่เรียนจากซือซิงเฮ่ารองเจ้าสำนักอู่ตังในปีนั้น พระหัตถ์ที่ขอเพียงแกว่งเบาๆ ก็ชี้ขาดความเป็นตายของคนนับหมื่นได้ในยามปกติ ขณะนี้กำเป็นหมัดอันแข็งแกร่งโจมตีบนปรางแก้มเจียงปินอย่างแรง

    องครักษ์ ขันที สนมชายา กับนักดนตรีและนักแสดงทั้งหมดในตำหนักล้วนตื่นตะลึงไร้เทียบเทียม นี่คือฉากที่พวกมันไม่เคยเห็น แม้จักรพรรดิจะทรงชื่นชมการต่อสู้และกระทำการตามพระทัย แต่ไม่เคยเฆี่ยนตีขุนนางคนใดด้วยพระหัตถ์มาก่อน

    เจียงปินที่รูปร่างกำยำคือทหารกล้าที่หาได้ยากในบรรดาแม่ทัพชายแดน ยามยืนอยู่เบื้องหน้าจูโฮ่วจ้าว ความแตกต่างของรูปร่างนั้นดั่งเสือเผชิญหน้าลิงค่าง แต่หมัดแห่งความเดือดดาลของจักรพรรดิปล่อยออกกะทันหัน ซ้ำยังใช้วิธีปล่อยพลังของสำนักอู่ตัง เจียงปินถูกต่อยจนทั้งร่างหมุนครึ่งรอบ ฝ่าเท้าซวนเซ ไม่ง่ายนักกว่าจะยืนนิ่งได้

    จักรพรรดิหาได้สนพระทัยเจียงปินที่ตกตะลึงไม่ พระองค์ทรงหันกายเดินไปเบื้องหน้าจิงเลี่ยและเยียนเหิง ครั้นทอดพระเนตรเห็นโลหิตสดของจิงเลี่ยที่พุ่งออกจากบริเวณที่ถูกเกาทัณฑ์พระเนตรก็ถลึงกว้างจนเหมือนจะฉีกออก ยื่นพระหัตถ์กดปากแผลตรงข้างท้องของจิงเลี่ยเอาไว้ โลหิตร้อนย้อมฝ่าพระหัตถ์กับแขนพระภูษาของพระองค์เป็นสีแดงในทันที

    “ห้ามตาย!” จูโฮ่วจ้าวตะโกน “ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าตาย!”

    จิงเลี่ยหลับตา มิได้ตอบสนองใดๆ

    “มานี่ทั้งหมด! พวกเจ้ามาช่วยห้ามเลือดทั้งหมด!” ฝ่าพระหัตถ์ของจักรพรรดิยังคงกดบนข้างท้องเอาไว้ หันพระพักตร์ตะโกน “เรียกหมอหลวงมา! เร็วเข้า!”

    มีขันทีหลายคนวิ่งไปเรียกหมอหลวงทันที นางสนมจำนวนมากวิ่งเข้ามาพร้อมกัน ในนั้นหม่าตี๋ว่องไวที่สุด นางฉีกกระโปรงทอสีเขียวบนร่างออกเป็นผืนใหญ่ กดบริเวณแผลที่หัวใจของจิงเลี่ยก่อนเป็นคนแรก

    สาวงามคนอื่นเรียนรู้จากนาง ต่างฉีกแขนเสื้อยาวหรือชายกระโปรงของอาภรณ์หรูหรางดงามออก ผ้าไหมสีสดแต่ละผืนล้วนอุดอยู่บริเวณแผลเกาทัณฑ์ที่หน้าอก ท้อง และต้นขาของจิงเลี่ย ผ้าเหล่านั้นล้วนกลายเป็นสีแดงเข้มอย่างรวดเร็ว

    ยามนี้เยียนเหิงคืนสู่ความเยือกเย็น นิ้วมือของมันสั่นไหวยื่นไปยังจมูกของพี่จิง

    มันหลับตา ใช้ลมปราณที่ฝึกหนักมาทั้งชีวิตปรับเปลี่ยนและผ่อนคลายลมหายใจ รับรู้ผ่านผิวหนังปลายนิ้วด้วยสมาธิทั้งหมด

    จูโฮ่วจ้าวเคร่งเครียดสุดขีด จ้องเขม็งไปยังใบหน้าของเยียนเหิง

    เยียนเหิงรับรู้ได้ว่าบนนิ้วมือมีลมหายใจรวยรินกำลังไหลเวียนไปมา มันลืมตาขึ้นในฉับพลัน

    จากสีหน้านี้ของเยียนเหิง จูโฮ่วจ้าวรู้ว่าเป็นเรื่องอันใด

    จิงเลี่ยยังคงมีลมหายใจ

    แต่ทว่าลมหายใจนั้นแผ่วเบาอย่างยิ่ง เยียนเหิงขมวดหัวคิ้วแน่นตั้งใจตรวจสอบลมหายใจของจิงเลี่ยสืบต่อ

    ทุกครั้งที่มีอากาศผ่านนิ้วมือล้วนทำให้เยียนเหิงสบายใจเล็กน้อย แต่ทุกครั้งที่ลมหายใจหยุดชะงักก็ทำให้มันกังวลว่ายังมีลมหายใจเฮือกต่อไปหรือไม่

    ชีวิตของจิงเลี่ยขณะนี้ราวกับแขวนอยู่บนเส้นด้าย

    “พวกเจ้าทั้งหมดระวัง! อย่าแตะถูกก้านเกาทัณฑ์!” หม่าตี๋เตือนน้องสาวแต่ละคนไม่ให้พวกนางแตะถูกเกาทัณฑ์ที่เสียบอยู่ในเนื้อหนังของจิงเลี่ยขณะช่วยมันห้ามเลือดเพื่อมิให้ปากแผลขยาย หม่าตี๋เดิมเป็นบุตรีตระกูลนักสู้ ย่อมมีความรู้เรื่องการรักษาแผลค่อนข้างมากกว่าสาวงามคนอื่นๆ

    ฝ่ามือเรียวเล็กบอบบางแต่ละข้างของพวกนางถือผ้าไหมสวยหรูที่สุดอุดบนปากแผลของจิงเลี่ย ฝืนหยุดยั้งโลหิตสดมิให้หลั่งไหล มีสาวงามที่กลัวเลือดจำนวนหนึ่งยืนอยู่วงนอกคอยฉีกผ้าไหมเข้าไปเพิ่ม

    จูโฮ่วจ้าวประทับยืนอยู่ในหมู่สตรีที่ทรงโปรดปรานกลุ่มนี้ แต่หาได้มองดูพวกนางสักแวบไม่ พระองค์ทรงจับจ้องเพียงใบหน้าของจิงเลี่ยอย่างห่วงใย

    ขณะนี้หัวใจของเยียนเหิงสงบลงแล้ว และมองเห็นจักรพรรดิองค์ปัจจุบันอยู่ใกล้เพียงเอื้อม เยียนเหิงยามนี้แม้ไม่มีอาวุธสักชิ้น แต่ด้วยพลังยุทธ์ของมันที่เป็นจอมกระบี่แห่งยุค นิ้วมือก็ไม่ต่างกับอาวุธร้าย จะสังหารจูโฮ่วจ้าวนั้นใช้เวลาเพียงชั่วพริบตา

    เจียงปินเองก็รู้ว่าขณะนี้จักรพรรดิอยู่ในตำแหน่งที่อันตรายเพียงไร มันไม่สนใจปรางแก้มที่ปูดบวม นำองครักษ์เสื้อแพรที่ถือหน้าไม้เร่งเข้าไป หน้าไม้หลายคันเล็งศีรษะและหน้าอกของเยียนเหิงระยะประชิดด้วยตำแหน่งที่ไม่ประทุษร้ายจักรพรรดิ นิ้วมือขององครักษ์แต่ละคนคล้องไกเอาไว้แล้ว

    เยียนเหิงราวกับเห็นแต่ไม่สนใจหน้าไม้ที่เล็งตนเองเหล่านี้ เพียงรักษาท่วงท่าตรวจสอบลมหายใจจิงเลี่ยสืบต่อ ดวงตาไม่ห่างจากจูโฮ่วจ้าวแม้แต่น้อย

    หากพี่จิงสิ้นใจ มันก็ต้องตาย

    ไอสังหารเสมือนสัตว์ร้ายของเยียนเหิง ไม่ว่าผู้ใดในตำหนักก็รับรู้ได้ เจียงปินและเหล่าองครักษ์เสื้อแพรล้วนผุดเหงื่อเย็นทั่วร่าง ทว่าพวกมันมิกล้าเป็นฝ่ายสยบศัตรูก่อน เมื่อครู่พวกมันได้เห็นยอดวิชาเหนือมนุษย์ที่สกัดลูกเกาทัณฑ์ออกไปของจิงเลี่ยกับตา นักสู้ที่เดินทางร่วมกับจิงเลี่ยผู้นี้แม้อายุน้อย แต่ก็ยากรับประกันว่าจะไม่มีฝีมือใกล้เคียงกัน พวกเจียงปินมิได้มั่นใจเต็มเปี่ยมว่าจะสามารถปล่อยลูกเกาทัณฑ์ก่อนเข้าปกป้องฝ่าบาทมิให้ได้รับบาดเจ็บแม้เส้นเกศาได้

    ในจวนแม่ทัพตรวจการทหารห้ากองทัพเกิดสถานการณ์ประหลาดเช่นนี้ สิ่งที่ผูกมัดความปลอดภัยของคนทั้งหมดไว้มีเพียงลมหายใจแผ่วเบาแต่ละหอบนั้นที่ลอดออกมาจากจมูกของจิงเลี่ย

    “อย่า…อย่าฆ่ามัน…”

    สุ้มเสียงคร่ำครวญเสมือนสัตว์ตัวเล็กเสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลังกลุ่มคน

    จูโฮ่วจ้าวและเยียนเหิงหันสายตาไปพร้อมกัน หัวใจของคนทั้งสองพลันเต้นเร็วขึ้น

    น้ำตาของซ่งหลีหลอมละลายแป้งชาด นางคุกเข่าอยู่บนพื้น ใบหน้าเงยขึ้นเล็กน้อย ในมือถือลูกเกาทัณฑ์ที่ถูกจิงเลี่ยปัดตกเมื่อครู่ จ่อปลายเกาทัณฑ์อันแหลมคมไว้บนเส้นเลือดใหญ่ข้างคอตนเอง

    “อย่าฆ่าเสี่ยวลิ่ว…ฝ่าบาท ขอร้องท่าน…”

    หม่าตี๋หันหน้ามา นางมองเห็นลักษณะนี้ของซ่งหลีก็ตื่นตะลึงอย่างยิ่ง ใครคือเสี่ยวลิ่ว หม่าตี๋มองเยียนเหิงที่อายุไล่เลี่ยกับซ่งหลี ซ้ำยังนึกได้ว่าซ่งหลีเคยเปิดเผยต่อนางว่าตนเองมาจากสำนักกระบี่ชิงเฉิงแห่งซื่อชวน จึงเดาได้คร่าวๆ ถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง อีกทั้งเข้าใจว่าเมื่อครู่ไฉนเยียนเหิงจึงกระทำพฤติการณ์อุกอาจเจตนาล่วงเกินจักรพรรดิออกมา

    “น้องสาว อย่า…” หม่าตี๋ยื่นมือที่ย้อมเต็มไปด้วยโลหิตสดไปยังซ่งหลีหมายหยุดยั้งนาง ทว่าซ่งหลีมิได้มองดูหม่าตี๋เลย นางมองเพียงเยียนเหิง

    เยียนเหิงกับซ่งหลีสบประสานสายตา แลกเปลี่ยนความรู้สึกเร่าร้อนรุนแรง

    ขณะที่พบกันอีกครั้งเมื่อครู่ เดิมทีซ่งหลีละอายจนอยากตายเสียตรงนั้น ถูกเยียนเหิงมองเห็นตนเองตกต่ำ กลายเป็นสตรีที่ถูกจักรพรรดิครอบครองอยู่ในสถานที่เช่นนี้ ซ่งหลีรู้สึกเพียงความบริสุทธิ์ที่มีอยู่ในใจถูกบดขยี้ ซ่งหลีในอดีตผู้นั้นในที่สุดก็ดับสิ้นไป

    หากชาตินี้มิได้พบกันอีก อย่างน้อยเสี่ยวหลีผู้นั้นก็ยังมีชีวิตอยู่ในใจเสี่ยวลิ่ว…

    ทว่าช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ซ่งหลีมิได้คิดถึงเรื่องของตนเองเลย เรื่องเหล่านั้นล้วนไม่สำคัญอีกแล้ว ขณะนี้นางรู้เพียง มิอาจให้เสี่ยวลิ่วตายเพราะข้าเป็นอันขาด มิอาจ

    เยียนเหิงมองออกว่าความมุ่งมั่นที่จะฆ่าตัวตายของซ่งหลีในขณะนี้แน่วแน่อย่างยิ่ง ที่ผ่านมามันไม่เคยเห็นนางเผยความมุ่งมั่นเช่นนี้ หลายปีที่ผ่านมานางเผชิญความเจ็บปวดอะไรกันแน่จึงหล่อหลอมกลายเป็นเช่นวันนี้ เยียนเหิงอดมิได้ที่จะคิด มันรู้สึกถึงความเจ็บปวดเสมือนเหล็กหมาดทิ่มแทงหัวใจ

    หากมิใช่ข้าทิ้งนางไปในตอนแรก…

    มันคิดว่าตนเองลืมไปแล้ว แต่ความรู้สึกขณะโอบกอดซ่งหลีที่วัดไท่อันตอนอายุสิบเจ็ดปีในวันนั้นผุดขึ้นในใจอย่างชัดเจนไร้เทียบเทียม ร่างอรชรอ่อนนุ่มนั้นเหมือนเพิ่งออกจากอ้อมแขนมันได้ไม่นานเท่าใดนัก

    ข้าติดค้างนางเพื่อเดินบนเส้นทางของตัวเอง

    ข้าติดค้างนางทั้งชีวิต

    มันยังนึกถึงจิงเลี่ยที่บาดเจ็บหนักอยู่ในอ้อมกอดมันตอนนี้ จิงเลี่ยที่ยืดอกพุ่งเข้ามาเพื่อปกป้องมัน

    พวกมันสองคนล้วนปกป้องชีวิตของข้าเอาไว้โดยไม่สนใจสิ่งใด

    มองเห็นซ่งหลีผู้น่าสงสาร ในอ้อมกอดมันยังมีจิงเลี่ยที่แน่นิ่ง ไอสังหารในใจเยียนเหิงค่อยๆ ลดน้อยลง

    เจียงปินและเหล่าองครักษ์เสื้อแพรรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของเยียนเหิง แต่พวกมันยังคงมิกล้าผ่อนคลายแม้แต่น้อย

    จูโฮ่วจ้าวเองก็รับรู้ได้ว่าจิตสังหารที่เยียนเหิงมีต่อมันสลายไปแล้ว ยามนี้พระองค์จ้องมองซ่งหลี ถึงแม้ครอบครองสตรีนางนี้หลายปี จูโฮ่วจ้าวกลับไม่เคยเห็นซ่งหลีงามเช่นตอนนี้ ลักษณะท่าทางที่อาจฆ่าตัวตายได้ทุกเมื่อนี้แผ่ความงดงามอันบริสุทธิ์ผุดผ่องออกมา

    แต่จากทิศทางของสายตานาง จูโฮ่วจ้าวกระจ่างยิ่งนักว่าซ่งหลีที่งดงามเช่นนี้ไม่เคยเป็นของพระองค์เลย ในพระทัยบังเกิดความเสียใจกับความเคียดแค้นริษยา

    จักรพรรดิเจิ้งเต๋อไม่เคยระงับอารมณ์และความปรารถนาของตนเองมาก่อนในชีวิต แต่ขณะนี้กระทั่งพระองค์เองก็หวั่นไหวต่อซ่งหลี พระองค์กลืนก้อนความเจ็บแปลบนั้นไป เอ่ยพระโอษฐ์ตรัส “ข้ารับปากเจ้า”

    เจียงปินมิอาจเชื่อหูของตัวเอง แม้จูโฮ่วจ้าวมิใช่ทรราช แต่ก็ไม่เคยพระทัยกว้างถึงขั้นนี้ นี่ไม่สอดคล้องกับนิสัยในหลายปีที่ผ่านมาของจักรพรรดิเลย

    หรือว่า…คนผู้นี้เริ่มเปลี่ยนไปแล้ว…

    นี่ทำให้เจียงปินสั่นคลอนยิ่งกว่าหมัดของจักรพรรดิเมื่อครู่เสียอีก

    ซ่งหลีได้รับคำสัญญาจากพระโอษฐ์จักรพรรดิก็คลายใจ มือที่ถือลูกเกาทัณฑ์อ่อนยวบลดลงมา หม่าตี๋วิ่งเข้าไปตรวจสอบปากแผลของซ่งหลีทันที เมื่อแน่ใจว่าคมเกาทัณฑ์เพียงแทงผิวหนังเล็กน้อยก็โล่งอก

    จู่ๆ ก็มีคนกลุ่มใหญ่จ้ำอ้าวผ่านมาทางตำหนัก เป็นเหล่าขันทีที่ออกไปเมื่อครู่ ภายใต้การเปิดทางของพวกมัน หมอหลวงแห่งราชสำนักที่ติดตามลงใต้มาสามคนหอบหายใจวิ่ง ด้านหลังยังติดตามด้วยหมอผู้ช่วยที่ถือกล่องยาและเครื่องมือสิบกว่าคน พวกหมอหลวงพอมองเห็นฝ่าบาทก็รีบหยุดฝีเท้าแสดงมารยาทจากไกลๆ

    “มาให้หมด!” จูโฮ่วจ้าวกระวนกระวายจนสุ้มเสียงแหลมเล็กรีบโบกมือให้ไม่ต้องแสดงมารยาท “รีบช่วยมัน!”

    ยามนี้เหล่าสนมชายาหลบทางให้หมอหลวงเข้าไปสำรวจดูจิงเลี่ย เยียนเหิงมองดูจักรพรรดิ ซ้ำยังมองหมอหลวง ครั้นเห็นผู้ช่วยและยาที่พวกมันนำมาก็รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะช่วยชีวิตพี่จิงจึงวางจิงเลี่ยลงอย่างเบามือ ให้มันนอนอยู่บนพื้นกระดาน ส่วนตนเองถอยหลังออกไปสามก้าว หน้าไม้ขององครักษ์เสื้อแพรยังคงตามติดเล็งเยียนเหิงอยู่

    หมอหลวงทั้งหมดไม่รู้ว่าบุรุษแปลกประหลาดที่ถูกเกาทัณฑ์ผู้นี้คือผู้ใด แต่เห็นฝ่าบาทเคร่งเครียดเช่นนี้ก็รู้ว่ามิอาจเฉยชา รีบเข้าไปสำรวจดูและย้ายผ้าไหมย้อมโลหิตที่เหนียวติดบนปากแผลออกไปอย่างระมัดระวัง

    หลังตรวจสอบรอบหนึ่ง หมอหลวงจึงออกคำสั่งไปยังหมอด้านหลัง หมอผู้ช่วยหลายคนรีบเปิดกล่องยาออก หยิบผ้าไหมสีขาวม้วนใหญ่มาทำความสะอาดคราบเลือด หมอผู้ช่วยที่เหลือหยิบผงยารักษาแผลออกมานานแล้วและใช้สุราเก่าปรุงเป็นยาห้ามเลือดยื่นให้อาจารย์ หมอหลวงสองคนทายารอบก้านเกาทัณฑ์ด้วยความชำนาญและระมัดระวัง ขณะเดียวกันก็สำรวจดูสภาพแผลเกาทัณฑ์ทั้งสามจุดอย่างละเอียด หมอหลวงอีกคนหนึ่งยื่นมือแตะบนลำคอจิงเลี่ยเบาๆ เพื่อวัดลมหายใจและชีพจรของมัน

    คนทั้งหมดรอบด้านล้วนมองดูพวกหมอเยียวยารักษาจิงเลี่ยอย่างร้อนรน ขณะนี้แม้แต่จักรพรรดิก็อดทนมิกล้าส่งเสียงด้วยกลัวว่าจะส่งผลต่อการรักษา

    ขณะหมอหลวงชราคนหนึ่งทายาที่หน้าอกให้จิงเลี่ย มันพลันหยุดมือลงและเขยิบเข้าไปมองดูอย่างละเอียดอีกหลายแวบ จากนั้นร้องเรียกอนุชนสองคนมาดู คนทั้งสามล้วนเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา อีกทั้งกระซิบกระซาบพูดคุยกัน

    “เรื่องอันใด” จูโฮ่วจ้าวอดมิได้ที่จะเอ่ยพระโอษฐ์

    หมอหลวงชราผู้นั้นรีบเข้าไปรับผ้าไหมที่ผู้ช่วยยื่นมาให้ทำความสะอาดสองมือไปพลางก้มศีรษะกล่าวไปพลาง “ทูลฝ่าบาท อาการประหลาดนี้…กระหม่อมไม่เคยเห็น และไม่เคยอ่านเจอในตำราแพทย์…”

    “พูดมาตามตรง!” จูโฮ่วจ้าวเร่งเร้าอย่างหมดความอดทน

    “เป็น…ผู้บาด…ผู้บาดเจ็บท่านนี้บนร่างถูกเกาทัณฑ์สามดอก ดอกหนึ่งในนั้นอยู่ที่หัวใจ ตามหลักทั่วไปเดิมควรทะลุหัวใจสิ้นลมแล้ว…” หมอหลวงชราตอบด้วยความหวาดหวั่น “แต่เมื่อครู่กระหม่อมตรวจดู พบว่าบริเวณทรวงอกที่ถูกเกาทัณฑ์ของผู้บาดเจ็บกล้ามเนื้อโดยรอบกลับหดเกร็งแข็งกล้าจนเหมือนเหล็กหิน และหัวลูกศรนั้นเพียงเสียบเข้าเนื้อหนึ่งชุ่น คล้ายมิได้ทำร้ายถึงหัวใจ…หากมิใช่ชีพจรสมบูรณ์ดี ขณะนี้ผู้บาดเจ็บคงไม่อาจหายใจอยู่ได้”

    พวกเยียนเหิง จักรพรรดิ และเจียงปินฟังแล้วล้วนประหลาดใจอย่างมาก องครักษ์เสื้อแพรที่ถือหน้าไม้เหล่านั้นก็ถลึงมองจิงเลี่ยอย่างตะลึงลาน

    “เมื่อครู่กระหม่อมได้พูดคุยกับพวกพ้องทั้งสองคนแล้ว ความเห็นล้วนตรงกัน” หมอหลวงชรากล่าวสืบต่อ “พวกกระหม่อมคาดเดาว่านี่เป็นเพราะชั่วขณะที่ถูกเกาทัณฑ์…ร่างของนักสู้ท่านนี้เกิดการตอบสนองขึ้นเอง กล้ามเนื้อหน้าอกหดเกร็งขึ้นอย่างฉับไวไร้เทียบเทียม หนีบลูกเกาทัณฑ์ที่จะปักเข้าเนื้อเอาไว้แนบแน่น หยุดยั้งมิให้หัวลูกศรเจาะเข้าไป!”

    ตัวหมอหลวงชราเองก็รู้สึกเหลวไหลขณะกล่าวออกไปเพราะนี่ขัดกับความรู้เรื่องสมรรถภาพร่างกายมนุษย์ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาของมันอย่างสิ้นเชิง…คนเราจะใช้วิธีเช่นนี้หยุดยั้งลูกเกาทัณฑ์ที่ยิงออกมาได้อย่างไร แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือเรื่องจริงและนี่คือคำอธิบายที่สมเหตุสมผลที่สุดที่มันกับพวกพ้องทั้งสองจะจินตนาการได้

    การคาดเดาของหมอหลวงทั้งสามคือความจริง ในชั่วขณะที่ลูกเกาทัณฑ์ยิงเข้าหน้าอก จิงเลี่ยใช้วิชายืมภาวะจินตนาการว่าบริเวณที่ถูกเกาทัณฑ์แปรเป็นหินผา กล้ามเนื้อเหมือนกลายเป็นมือเหล็กข้างหนึ่ง ‘จับ’ ลูกเกาทัณฑ์นี้เอาไว้ดื้อๆ ไม่ให้มันปักลึกเข้าทำร้ายหัวใจที่เปราะบางที่สุด

    ทว่าปฏิกิริยาป้องกันอันน่าอัศจรรย์เช่นนี้อย่างไรก็มีขีดจำกัดคือทำได้เพียงหดเกร็งไว้ที่จุดเดียว ด้วยเหตุนี้จิงเลี่ยจึงมิอาจต้านทานลูกเกาทัณฑ์ที่ยิงต่อเนื่องถูกท้องและต้นขาได้อีก ลูกเกาทัณฑ์ทั้งสองล้วนเข้าสู่ร่างกายลึกอย่างยิ่ง

    และนี่ก็กล่าวได้ว่าเป็นโชคดีอันใหญ่หลวงของจิงเลี่ยเช่นกัน ลูกเกาทัณฑ์ที่มันถูกสามดอกนี้ หากลำดับเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ปฏิกิริยาป้องกันของจิงเลี่ยก็จะเปลี่ยนเป็นต้านทานอีกสองดอกที่สำคัญรองลงมา เช่นนั้นต้องถูกลูกเกาทัณฑ์ทะลุหัวใจสิ้นชีวิตเป็นแน่ และเวลาก่อนหลังที่ลูกเกาทัณฑ์ทั้งสามนี้พุ่งเข้ามาความจริงห่างกันเพียงชั่วลัดนิ้วมือ

    จูโฮ่วจ้าวได้ยินว่าจิงเลี่ยมีความสามารถพิเศษเช่นนี้ก็รู้สึกเสียดายยิ่งนัก ยิ่งมิอาจให้จิงเลี่ยตายไปเช่นนี้

    “มันจะรอดหรือไม่” จูโฮ่วจ้าวจับแขนเสื้อของหมอหลวงชราพลางถาม ความรู้สึกห่วงใยถ่ายทอดผ่านสีหน้าและวาจา หมอหลวงชราหาได้ประหลาดใจต่อสิ่งนี้ไม่ เพียงเพราะปกติจักรพรรดิเจิ้งเต๋อกระทำการไร้สาระ ชมชอบคบหาคนประหลาด…เหมือนเช่นเจียงปินที่วันนี้ได้รับการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพและบัญชาการองครักษ์เสื้อแพรควบคู่ ในตอนแรกยังเป็นเพียงแม่ทัพชายแดนเล็กๆ คนหนึ่งมิใช่หรือ ผู้บาดเจ็บคนนี้ที่นอนอยู่บนพื้นดูจากเสื้อผ้าเครื่องประดับแม้เป็นเพียงคนรากหญ้า แต่หมอหลวงชรารู้ว่าฝ่าบาทให้ความสำคัญกับมันอย่างยิ่ง จึงต้องเพิ่มความรอบคอบในการตอบด้วยเช่นกัน

    “ทูลฝ่าบาท นักสู้ท่านนี้แม้ต้านการโจมตีหัวใจไว้ได้ แต่บาดแผลของเกาทัณฑ์อีกสองดอกหนักอย่างยิ่ง ดอกนั้นที่ต้นขา ดูจากปริมาณเลือดที่ไหลคล้ายมิได้ฉีกกระชากต้นขา ส่วนปากแผลบริเวณท้อง ตอนนี้ดูจากภายนอกยังคงมิอาจสรุปได้ว่าอวัยวะภายในเลือดออกมากหรือน้อย จะมีชีวิตรอดหรือไม่ ขณะนี้กระหม่อมยังมิกล้ากล่าว…”

    “ช่วยสุดความสามารถ! หากช่วยได้ข้าจะให้รางวัลอย่างงามแก่พวกเจ้าทุกคน!” จูโฮ่วจ้าวตบหัวไหล่ของหมอหลวงชรา เร่งเร้าให้มันกลับไปรักษาจิงเลี่ยสืบต่อ

    เจียงปินมองดูสีหน้าท่าทางทุกอย่างของจักรพรรดิจากด้านข้าง ถึงแม้กลายเป็นบุตรบุญธรรมของจักรพรรดิ ยามปกติร่วมอยู่อาศัยที่เรือนเป้าฝาง หลายปีมานี้เจียงปินก็ไม่เคยได้รับความห่วงใยด้วยใจจริงเช่นนี้จากจูโฮ่วจ้าว

    ราวกับพระองค์คือสหายระดับเดียวกับคนแซ่จิงผู้นี้

    แต่ข้ากลับเป็นเพียงขุนนางตลอดกาล…

    ความริษยารุนแรงพุ่งขึ้นในทรวงของเจียงปิน

    เยียนเหิงมองดูเหล่าหมอหลวงแห่งราชสำนักล้อมวงรักษาจิงเลี่ยคนละไม้คนละมือ ส่วนตนเองกลับช่วยเหลือมิได้สักนิด ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกหมดแรง ตอนนี้มันมือเท้าอ่อนระทวย ความรู้สึกผิดรุนแรงจู่โจมหัวใจ จิงเลี่ยรับเคราะห์เช่นนี้เพียงเพราะมันควบคุมตนเองมิได้ชั่วขณะ

    การฝึกปรือหลายปีนี้ล้วนเสียเปล่า

    เยียนเหิงแทบอยากจะเปลี่ยนผู้ที่นอนอาบเลือดอยู่ในตำหนักเป็นตนเอง

    ยามนี้มันจึงมีอารมณ์มองดูซ่งหลี หม่าตี๋กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นโอบกอดซ่งหลีที่สะอึกสะอื้นไว้แนบแน่น ให้ใบหน้าของนางซุกอยู่ระหว่างไหล่และคอของตนเองพลางลูบไล้แผ่นหลังที่สะท้อนขึ้นลงของนางไม่หยุด

    ความจริงยามนี้ซ่งหลีอยากมองดูเยียนเหิงอีกครั้ง แต่นางมิกล้า ใช้ชีวิตอยู่ที่เรือนเป้าฝางเนิ่นนาน ซ่งหลีย่อมเข้าใจนิสัยของจักรพรรดิ นางมิกล้าแลกเปลี่ยนสายตาใดๆ กับเยียนเสี่ยวลิ่วด้วยกลัวว่าจะกระตุ้นความอิจฉาของจักรพรรดิ จนอาจเก็บคำสัญญาที่หาได้ยากเมื่อครู่กลับคืนได้ทุกเมื่อ

    ต้องทำให้เสี่ยวลิ่วออกจากตำหนักนี้อย่างปลอดภัยให้ได้…

    ผงยารักษาแผลล้ำค่าของหมอหลวงคล้ายเห็นผลแล้ว แผลเกาทัณฑ์หลั่งเลือดไม่ร้ายแรงเท่าก่อนหน้าอีก ครั้งนี้เหล่าหมอผู้ช่วยหยิบน้ำมันหมูขวดหนึ่งออกมาจากกล่องยา นำมาผสมกับผงรักษาแผล ทำออกมาเป็นของเหลวที่เข้มข้นยิ่งกว่าก่อนใช้ช้อนไม้ทาบนปากแผลหนาๆ หมอหลวงสามคนกำลังปรึกษาหารือกันว่าจะถอนลูกเกาทัณฑ์บนร่างของจิงเลี่ยเช่นไรจึงไม่อันตรายถึงชีวิต

    “ฝ่าบาท…” ยามนี้เจียงปินออกความเห็นต่อจักรพรรดิ “ตามที่กระหม่อมดู อาการบาดเจ็บของมันทรงตัวแล้ว…หมอหลวงจำนวนมากจะช่วยมัน เชื่อว่ายังต้องใช้เวลาอีกพักหนึ่ง มิสู้ฝ่าบาทกลับห้องบรรทมเปลี่ยนพระภูษาพักผ่อนก่อน กระหม่อมจะทิ้งองครักษ์คนสนิทกลุ่มหนึ่งจับตาดูอยู่ที่นี่ หากมีความคืบหน้าต้องรายงานไปยังฝ่าบาทโดยเร็วอย่างแน่นอน”

    ผ่านอารมณ์ขึ้นลงรอบนี้ จูโฮ่วจ้าวพลันรู้สึกอ่อนเพลียสุดขีด พระองค์หันหน้าจ้องเจียงปิน โทสะยังไม่สลายไปทั้งหมด แต่เปลี่ยนใจคิดดูอีกครั้ง เมื่อครู่เยียนเหิงมีเจตนาไม่ดีต่อตนเองจริงๆ เจียงปินสั่งการองครักษ์เสื้อแพรยิงเกาทัณฑ์ก็แค่รีบคุ้มกัน หาใช่ละเว้นหน้าที่ไม่ พระองค์จึงพยักพระพักตร์ เจียงปินมองเห็นจักรพรรดิไม่ถือสาแล้วก็รู้สึกคลายใจอย่างมาก

    “แต่คนผู้นี้…” เจียงปินมองดูเยียนเหิงพลางกล่าวอีก “ไม่อาจให้มันเข้าออกที่นี่โดยพลการได้ กระหม่อมคิดว่าควรกักขังมันไว้ที่คุกหลวงก่อน”

    เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเจียงปิน ซ่งหลีก็เงยหน้าขึ้นทันที นางรีบดึงหม่าตี๋ยืนขึ้น เผยสีหน้าวิงวอนต่อจักรพรรดิ

    จูโฮ่วจ้าวโบกมือ ยับยั้งมิให้ซ่งหลีกล่าวคำ เมื่อก่อนพระองค์ชมชอบสีหน้าท่าทางน่าเอ็นดูสงสารของซ่งหลีอย่างยิ่ง แต่ขณะนี้เห็นแล้วรู้สึกเพียงเอือมระอา

    “ข้ารับปากแล้ว ไม่มีทางคืนคำ” จักรพรรดิตรัส จับจ้องเยียนเหิงอย่างเย็นชาหลายแวบ จากนั้นกำชับต่อเจียงปิน “เพียงกักไว้ อย่าทำร้ายแม้แต่น้อย ให้มันกินดีอยู่ดี”

    พระองค์มองดูเยียนเหิงแวบหนึ่ง ซ้ำยังมองซ่งหลี แล้วจึงนำองครักษ์คนสนิทกับขันทีผละไป ขณะจักรพรรดิทรงพระดำเนิน ในพระทัยกลับมิอาจสลัดภาพที่ซ่งหลีใช้ความตายวิงวอนเมื่อครู่ไปได้

    จูโฮ่วจ้าวอดมิได้ที่จะคิดว่า บนโลกจะมีคนที่ตายเพื่อข้าได้เช่นนี้หรือไม่ มิใช่กลัวอำนาจของข้า มิใช่กลัวต้องรับผลที่จะตามมา แต่รักข้าด้วยใจจริงและอุทิศชีวิตให้…มีหรือไม่

    สองพระหัตถ์เกาะเต็มด้วยโลหิตของจิงเลี่ย จักรพรรดิต้าหมิงทรงพระดำเนินผ่านห้องโถงของจวนแม่ทัพตรวจการที่เหล่าขุนนางเบียดเสียดกัน ในพระทัยกลับรู้สึกเพียงเปลี่ยวเหงาไร้เทียบเทียม

     

    (หมายเหตุ*** เนื้อหานิยายที่นำมาให้ทดลองอ่านยังไม่ผ่านกระบวนการไฟนอล)

    โปรดติดตามตอนต่อไป…

     

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in เพลงกลอนคลั่งยุทธ์

    นิยายยอดนิยม

    Facebook