• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่านยอดเชฟเทพนักปรุงเล่ม 3 ตอนที่ 2

    หน้าที่แล้ว1 of 3

    2

    รายการสดของพวกเขา

    หลังจากที่คาย่าทักทายทุกคนเสร็จเรียบร้อย มาร์ตินก็พูดว่า

    “ผมขออธิบายอีกครั้งว่าวันนี้พวกคุณไม่ได้แค่มากินอาหารที่โอลีฟไอส์แลนด์เฉยๆ เท่านั้น เพราะภาพทุกภาพจะถูกถ่ายทอดสดผ่านอินเตอร์เน็ตซึ่งผู้คนมากมายกำลังรอดูพวกคุณอยู่”

    “ก็ไม่น่าจะมีอะไรต้องกังวลนี่”

    “ขอแค่ไม่ใช้คำหยาบและทำตัวปกติเพื่อให้รายการออกมาสนุกนะครับ”

    เมื่อคำแนะนำสั้นๆ จบลงทุกคนก็พากันเข้าไปในร้านโอลีฟไอส์แลนด์ เรเชลทำท่าจะนั่งลง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจเมื่อเห็นรูปภาพที่วางอยู่บนชั้น มันเป็นรูปภาพของอลันตอนหนุ่มที่กำลังยืนอยู่ตรงกลางระหว่างเธอกับผู้ชายอีกคนหนึ่ง ความละเอียดของรูปภาพนั้นต่ำกว่ารูปภาพที่ถ่ายจากกล้องมือถือในสมัยนี้มาก แต่ยังคงชัดเจนพอที่จะทำให้ย้อนนึกถึงความทรงจำในอดีต เจเรมี่เหลือบมองเรเชลก่อนจะส่ายหน้าพร้อมพูดว่า

    “คิดจะผูกมัดตัวเองกับคนตายไปถึงเมื่อไหร่กัน”

    “ก็เขาเป็นสามีของฉันนี่”

    “ตอนมีชีวิตอยู่เขาทำให้เธอปวดใจอยู่ตลอด ตายไปแล้วก็ยังทำแบบนั้นอยู่ ฉันเคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าถ้าแต่งงานกับแดเนียลชีวิตเธอจะต้องยุ่งเหยิง”

    “แม้ว่าจะยุ่งเหยิงขนาดไหน แต่มันก็มีทั้งความสุขและความสนุก แค่นี้ก็พอแล้ว”

    เรเชลตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ละสายตาจากรูปภาพนั้น แม้แววตาจะยังอาลัย แต่รอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นมาตอนเธอนั่งลงช่างงดงามจริงๆ

    “ไม่เจอกันนานเลย คาย่า พอคิดดูแล้วฉันยังไม่ได้แสดงความยินดีเป็นการส่วนตัวกับคุณเลย ดีใจด้วยนะ”

    “ขอบคุณค่ะ”

    คาย่ายิ้มแล้วตอบออกไป ระหว่างนั้นมินจุนก็คอยมองคาย่าด้วยสายตาแปลกใจ เขาไม่ได้เจอเธอมาพักใหญ่ก็จริง แต่ก็ไม่ได้นานมากขนาดนั้น เธอเปลี่ยนไปมาก นิสัยดื้อดึงและบุ่มบ่ามหายไป ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นและดูเป็นผู้หญิงมากขึ้นด้วย เซร่ากระแอมและพูดว่า

    “เราเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก คุณสวยเหมือนในทีวีเลยค่ะ หรืออาจเป็นเพราะคุณยังเด็กอยู่มั้ง ก็เลยดูไม่ต่างจากในทีวี”

    “ถ้าเธอพูดเรื่องอายุแบบนั้น แล้วฉันล่ะ”

    เอมิลี่ที่อยู่ข้างๆ บ่นด้วยน้ำเสียงหดหู่ เจเรมี่จึงถามด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์เหมือนทุกครั้ง

    “เมื่อคืนอยู่ด้วยกันทั้งคืนเลยนี่ ไม่รู้เหรอว่าวันนี้จะได้มาเจอกัน”

    “ไม่รู้ค่ะ ต้นสังกัดของฉันก็แสบไม่ใช่เล่น”

    คาย่าตอบพลางหันไปจ้องทีมงานที่ดูแลเธอ มิน่าล่ะ เมื่อคืนตอนที่เธอบอกว่าจะออกไปเจอมินจุน ทีมงานถึงยิ้มกันแปลกๆ

    “ลำบากเลยนะ”

    “นายก็เหมือนกัน”

    แล้วทั้งสองคนก็ยกแก้วน้ำเปล่าขึ้นมาชนก่อนจิบ พอเห็นแอนเดอร์สันส่ายหน้า เซร่าก็ยิ้ม

    “สองคนนั้นเป็นแบบนี้ตลอดเลยเหรอ”

    “ก็เป็นแบบนี้แหละครับ”

    “ฉันเคยคิดว่าเป็นการแสดงซะอีก”

    เซร่ารู้สึกเหมือนกำลังดูละครวัยรุ่น ทั้งสองคนดูมีชีวิตชีวามาก แต่ก็แอบรู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อย

    “แอนเดอร์สัน เรามาลองเลียนแบบสองคนนั้นบ้างดีมั้ย”

    “ผมชอบอยู่เป็นโสด”

    “ฉันไม่ได้ขอคุณเป็นแฟนจริงๆ ซะหน่อย แค่ชวนเล่นสนุกๆ เท่านั้นเอง”

    แล้วระหว่างนั้นมาร์ตินก็เดินเข้ามา

    “อย่างที่บอกไปว่าอาหารมื้อนี้จะถูกถ่ายทอดสดผ่านอินเตอร์เน็ต และตอนนี้ก็มีจำนวนผู้ชมที่รอชมอยู่เกินหนึ่งแสนสองหมื่นคนแล้ว เตรียมตัวกันพร้อมแล้วใช่มั้ยครับ”

    “เดี๋ยวนะคะ ขอเช็กหน้าก่อน”

    เซร่าหยิบกระจกขึ้นมาสำรวจใบหน้าของตัวเอง แต่คาย่ากลับหันไปมองมินจุนแทนที่จะหยิบกระจก

    “หน้าฉันโอเคแล้วใช่มั้ย”

    “อือ”

    “งั้นก็โอเค”

    คาย่าพยักหน้าอย่างมั่นใจ แล้วมาร์ตินก็ตะโกนว่า

    “เริ่มการถ่ายทอดสดครับ ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง!”

    “สวัสดีครับท่านผู้ชม ขอต้อนรับเข้าสู่รายการฮังเกอร์ทริป”

    เพราะไม่ได้มีคนมาดูอยู่ที่นี่จึงไม่มีทางที่จะได้ยินเสียงปรบมือหรือโห่ร้อง แต่บนหน้าจอทีวีกำลังปรากฏคอมเมนต์มากมาย

     

    ‘อ๊ะ เริ่มแล้วๆ’

    ‘นานมากแล้วที่ไม่ได้เห็นเรเชล โรส’

    ‘ว่าแต่ทำไมคาย่า โลตัสถึงได้ไปอยู่ที่นั่นได้ล่ะ’

    ‘เห็นบอกว่ามาเป็นแขกรับเชิญพิเศษน่ะ’

    ‘ตระเวนออกงานเดี่ยวมาพักใหญ่ พอเห็นมาอยู่กับโชมินจุนแบบนี้อีกครั้ง แทบไม่อยากจะเชื่อเลย’

     

    ในขณะที่คอมเมนต์พรั่งพรูเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย พนักงานก็นำเชียบัตต้า*มาเสิร์ฟโดยมีอลันเดินตามออกมา

    “นี่เป็นสิ่งแรกที่ร้านอาหารของเราภูมิใจนำเสนอ เชียบัตต้าที่ปาติซิเย่ผู้มีประสบการณ์สี่สิบปีเป็นคนอบ โดยจะคอยตรวจวัดความชื้นและอุณหภูมิที่เหมาะสม เนยสีเขียวตรงฝั่งนี้คือการนำเนยมาผสมกับเบซิลแล้วปั่น ส่วนทางขวาคือโกตชีสการ์ลิกบัตเตอร์ที่เราทำขึ้นมาเองโดยการนำนมแพะมาผสมกับเนยกระเทียม ส่วนที่อยู่ในจานคือซอสที่ทำจากน้ำส้มสายชูบัลซามิกผสมกับน้ำมันมะกอก”

    “รูปทรงของเนยสวยจัง”

    คาย่าพูดพร้อมทำตาเป็นประกาย เนยที่เสิร์ฟมานั้นมีรูปร่างเหมือนแพะ ไม่รู้ว่าใช้แป้นพิมพ์หรือปั้นขึ้นมาเอง ส่วนเนยสีเขียวมีรูปร่างเหมือนใบไม้ แล้วตอนนั้นเองเซร่าก็ใช้มีดหั่นลงไปตรงส่วนที่เป็นคอของแพะ คาย่าที่กำลังมองเนยอย่างชื่นชมจึงหันมองเซร่าด้วยความช็อก เซร่าที่กำลังเอาโกตชีสการ์ลิกบัตเตอร์ทาลงไปบนเชียบัตต้าจึงชะงักแล้วหันไปถาม

    “เอ่อ…ฉันทำอะไรผิดเหรอ”

    “เปล่าค่ะ”

    คาย่าลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบมีดขึ้นมาทาโกตชีสการ์ลิกบัตเตอร์ลงไปที่เชียบัตต้า แต่เธอก็ทำหน้าเศร้าอยู่แค่ครู่เดียวเท่านั้น เพราะหลังจากที่เชียบัตต้าเข้าไปอยู่ในปาก รอยยิ้มของเธอก็ปรากฏ พร้อมพึมพำด้วยน้ำเสียงที่เป็นสุข

    “อร่อยจัง…”

    “ขนมปังกับเนยดีมากเลย”

    มินจุนพึมพำเบาๆ เช่นกัน คะแนนของเชียบัตต้าคือเจ็ดคะแนน และเนยก็ได้เจ็ดคะแนนเหมือนกัน แต่หลังจากที่ทามันลงไปบนเชียบัตต้าแล้วรายละเอียดบนหน้าต่างระบบก็เปลี่ยนไป

     

    [เชียบัตต้าที่ทาด้วยโกตชีสการ์ลิกบัตเตอร์]

    ความสดใหม่ : 98%

    แหล่งที่มา : (เนื่องจากใช้วัตถุดิบหลายชนิดจึงไม่เปิดเผยแหล่งที่มา)

    คุณภาพ : สูง

    คะแนน : 8/10

     

    เพียงแค่ทาเนยก็ทำให้คะแนนเพิ่มขึ้น ซึ่งนั่นก็หมายความว่าทั้งสองอย่างเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์แบบ เนยเบซิลเองก็ได้ผลลัพธ์ไม่ต่างกัน ในขณะที่ซอมเมอลิเยร์*เดินเข้ามารินไวน์แดงให้กับทุกคน อลันก็หันมาทางมินจุน

    “มินจุน เนยนี่เป็นไงบ้าง พอจะรู้มั้ยว่าใส่อะไรลงไปและทำออกมายังไง”

    “ขอเถอะครับ อลัน ช่วงนี้มีแต่คนถามคำถามพวกนี้ตลอดเลย”

    “พลังที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง เหมือนที่ลุงของสไปเดอร์แมนพูดเอาไว้ไงล่ะ ในเมื่อพระเจ้าประทานพรสวรรค์ให้คุณ คุณก็คงต้องทำใจรับความรำคาญพวกนั้น ขนาดผมเองยังยอมรับความเสี่ยงที่คุณจะรู้สูตรอาหารของผมเลย”

    “ผมขอบอกเป็นอัตราส่วนของวัตถุดิบก็แล้วกันนะครับ ใส่ชีสนมแพะกับน้ำมันเนยลงไปในอัตราส่วนหนึ่งต่อหนึ่ง ส่วนกระเทียมนั้น ถ้าเทียบกับเนยหนึ่งช้อนก็คือใส่ลงไปประมาณหนึ่งกลีบ อบแล้วนำไปบด ดูเหมือนจะปั่นพริกไทยขาวใส่ลงไปด้วยเล็กน้อย มีตรงไหนที่ผมพูดผิดรึเปล่าครับ”

    สายตาทุกคู่มองไปที่อลันทันที

    “วันนี้ผมคงต้องเตรียมใจยอมรับจริงๆ ซะแล้วสิว่าสูตรอาหารของผมจะรั่วไหล”

    “อย่าห่วงเลยครับ ถ้ามันซับซ้อนมากผมก็ไม่รู้หรอก”

    เขาไม่ได้พูดโกหก การที่เขาสามารถอ่านสูตรอาหารได้ก็คืออาหารนั้นๆ ต้องอยู่ในระดับเดียวกับเลเวลการชิมของเขาด้วย ระหว่างนั้นคอมเมนต์ก็พรั่งพรูมาเร็วกว่าเดิม

     

    ‘ว้าว สมกับเป็นคนที่มีประสาทรับรสที่แม่นยำจริงๆ’

    ‘ฉันอยากมีประสาทรับรสแบบนั้นบ้างจัง’

    ‘ดูสายตาของเรเชลสิ ปลาบปลื้มมาก’

    ‘สายตาของคาย่าก็ไม่ธรรมดานะ สองคนนั้นต้องคบกันแน่ๆ’

     

    มินจุนเหลือบไปมองอลัน ตอนแรกก็มองด้วยสายตาเรียบเฉย แต่แล้วไม่นานก็ต้องตกใจ

     

    [อลัน เคร็ก]

    เลเวลการทำอาหาร : 9

    เลเวลการทำของหวาน: 6

    เลเวลการชิม : 9

    เลเวลการตกแต่งจาน: 7

     

    เลเวลเพิ่มขึ้นแล้ว

    แต่เดิมเลเวลการทำอาหารของอลันคือแปด อลันเป็นเชฟที่ถูกจับตามองว่ากำลังจะได้รับมิชลินสามดาวในไม่ช้า ถ้าความสามารถของอลันหยุดนิ่งอยู่กับที่น่ะสิถึงจะเรียกว่าน่าแปลก แต่ถึงยังไงมินจุนก็คิดไม่ถึงว่าอลันจะก้าวผ่านกำแพงนั้นมาได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ แบบนี้ มินจุนทั้งอิจฉา ทั้งนับถือ และยังคาดหวังด้วย ไม่แน่ว่าอาหารของอลันที่จะได้กินในวันนี้อาจมีจานที่ได้สิบคะแนนก็ได้ แค่คิดก็น้ำลายไหลแล้ว

    มินจุนยกไวน์ขึ้นดื่มเพื่อล้างปาก มันเป็นไวน์ที่เสิร์ฟให้ดื่มก่อนมื้ออาหาร จึงมีปริมาณแอลกอฮอล์ไม่สูง รสนุ่มและหวาน แทบไม่รู้สึกถึงรสฝาดเลย จึงพอจะเดาได้ว่าเป็นไวน์ชั้นดี มินจุนหันไปมองคาย่าแล้วพูดเบาๆ ว่า

    “พอลองมาคิดดู การจะทำให้ร้านอาหารมีองค์ประกอบที่สมบูรณ์แบบได้จำเป็นต้องคำนึงถึงอะไรหลายอย่างมากเลย เชฟกับพนักงานเสิร์ฟถือเป็นพื้นฐาน ยังมีซอมเมอลิเยร์ ปาติซิเย่ แล้วก็ต้องมีผู้ดูแลจัดการเรื่องอาหารอีกด้วย”

    “ต้องมีผู้ดูแลจัดการเรื่องอาหารด้วยเหรอ”

    “ตอนแรกฉันก็สงสัยเหมือนกัน แต่เมื่อไม่นานนี้พอได้เห็นคุณเรเชลเอามันฝรั่งมาแกะสลัก ฉันจึงเข้าใจ การปาดมีดไม่กี่ครั้งทำให้บรรยากาศบนจานเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย”

    “มันเป็นยังไงน่ะ”

    “เดี๋ยวนะ ฉันถ่ายรูปเอาไว้”

    มินจุนหยิบมือถือขึ้นมา คาย่าจึงขยับเข้าไปมองจนหน้าเกือบจะสัมผัสกับหน้าของเขา เอมิลี่จึงหันไปดุเบาๆ

    “คาย่า!มินจุน!คนดูเขาบอกว่าอย่ากระซิบกระซาบกันแค่สองคน!”

    “เอ่อ ลืมไปเลยว่านี่คือรายการสด”

     

    ‘สองคนนั้นน่ารักจริงๆ ให้ตายเถอะ’

    ‘ถ้าสองคนนั้นแต่งงานกันก็คงจะดีเนอะ ถ้าเป็นละครก็คงรอดูตอนจบได้เลย’

    ‘ระหว่างเซร่า เอมิลี่ คาย่า คิดว่าใครสวยที่สุด ฉันว่าคาย่า’

    ‘ถ้าดูแค่หน้าตาก็เอมิลี่ ถ้าดูหุ่นด้วยก็เซร่า แต่ถ้าดูบรรยากาศรวมๆ ก็คาย่า’

     

    รู้สึกเหมือนมองเห็นคนดูกำลังหัวเราะคิกคัก เซร่าจึงพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ

    “พอได้มาเห็นกับตาจริงๆ ก็รู้สึกแปลกๆ”

    เธอไม่ได้หมายถึงคอมเมนต์ เพราะดวงตาของเธอกำลังจับจ้องที่คาย่ากับมินจุน แม้จะรู้ว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่เธอก็รู้สึกว่าท่าทางที่มินจุนเป็นกันเองกับคาย่าดูแปลกตามาก

    “เดี๋ยวก็ชินเองแหละ”

    เอมิลี่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ จริงอย่างที่เอมิลี่บอก เรเชลกับแอนเดอร์สันกำลังเพลิดเพลินกับเชียบัตต้าโดยไม่สนใจ ส่วนเจเรมี่นั่งจิบไวน์อย่างสบายอารมณ์โดยใช้ภาพเหล่านั้นเป็นกับแกล้ม

    “มีแค่ฉันที่รู้สึกแปลกสินะ”

    อยู่ๆ เซร่าก็รู้สึกว่าเชียบัตต้าที่รสชาติดีขมขึ้นมา แต่ก็โชคดีที่อาหารจานต่อมาช่วยปลอบประโลมความโดดเดี่ยวของเธอได้ บนแผ่นหินอ่อนยาวๆ มีช้อนสีเงินวางอยู่เจ็ดคัน ดูเหมือนเอาไว้ใช้ตกแต่งมากกว่าใช้งานจริง เพราะด้ามของช้อนโค้งงอเหมือนรองเท้าส้นสูง บนช้อนที่กว้างและลึกมีส้มจี๊ด บีตรูตเคลือบน้ำตาล ต้นอ่อนหัวไช้เท้า และส้มเชื่อมน้ำตาลวางอยู่ โดยด้านล่างมีครีมสีชมพู

    พอมินจุนหยิบอามูสบุชใส่ปาก หน้าต่างของระบบก็ผุดขึ้นมาราวกับพลุพร้อมรสชาติที่กระจายอยู่เต็มปาก คะแนนที่ได้คือแปดคะแนน ส่วนรสชาติก็ไม่ผิดหวังเลย น้ำที่ออกมาจากส้มช่วยหุ้มรสขมของบีตรูตและต้นอ่อนหัวไช้เท้าเอาไว้ รู้สึกถึงรสของมะเขือเทศกับกลิ่นเลมอนจางๆ ออกมาจากครีมที่อยู่ด้านล่าง เกล็ดส้มจี๊ดติดอยู่ตามซอกฟันให้ความรู้สึกสนุกเหมือนกำลังแย่งอาหารของพวกคนแคระตัวเล็กๆ มากิน รสชาติที่ลึกลับนี้ทำให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาขยับ ซึ่งตากล้องถ่ายภาพเหล่านั้นเอาไว้ได้อย่างชัดเจน

     

    ‘ว้าว…ดูสีหน้าของมินจุนสิ’

    ‘เขาเป็นคนที่แสดงรสชาติออกมาทางสีหน้าได้เก่งที่สุดในบรรดาพวกเชฟหรือนักแสดงที่ฉันเคยเห็นมาเลย’

    ‘ก็ต้องแสดงรสชาติได้เก่งอยู่แล้วแหละ รสชาติที่เขารู้สึกได้มันแตกต่างกับคนทั่วไปขนาดนั้น’

     

    มินจุนไม่ได้มองที่คอมเมนต์เลย เขาคิดว่าคนที่จะรู้จักคุณค่าของอาหารได้ดีที่สุดก็คือคนที่อดอยาก เขาเติบโตมาด้วยการกินอาหารที่ไม่อร่อยของแม่จึงยิ่งอ่อนไหวและไวต่อรสชาติ แม้มันจะเป็นอาหารที่คนอื่นบอกแค่ว่า ‘โห อร่อยนะ’ แต่สำหรับเขามันคือความประทับใจที่ไม่สามารถแสดงออกมาเป็นคำพูดได้ ถึงแม้ว่าลิ้นของเขาจะค่อนข้างอ่อนไหว แต่เมื่อเทียบกันเรื่องความแม่นยำ เขาก็ยังสู้คาย่าไม่ได้อยู่ดี ถึงอย่างนั้นเขาก็คิดว่าถ้าแค่กินให้อร่อยเขามั่นใจว่าสามารถรับรู้ถึงความประทับใจได้อย่างชัดเจนไม่แพ้คาย่าแน่นอน เขายิ้มอย่างอารมณ์ดีและหันไปมองคาย่า คาย่าเพิ่งเอาช้อนเข้าปากแล้วเคี้ยว จากนั้นก็ทำหน้าคล้ายๆ เขา

    “อร่อยจัง”

    “คาย่า หลังจากได้เป็นแกรนด์เชฟ เธอได้ไปร้านอาหารที่ได้มิชลินสตาร์บ้างรึเปล่า”

    “ไม่เลย นี่เป็นครั้งแรก ฉันถึงได้ใจเต้นอยู่นี่ไงล่ะ ไม่เห็นเหรอ”

    “เห็นสิ ถึงได้ถามไง เมื่อก่อนตอนฉันได้ไปกินร้านมิชลินสามดาวยังคิดเลยว่าถ้าเธอได้มาก็คงจะดี”

    “ตอนนั้นฉันไม่ได้แสดงออก ฉันน่ะอิจฉามากเลยนะ แต่อิจฉายังไงก็ไม่ได้ไปร้านสามดาวอยู่ดี เลยคิดเอาไว้ว่าสักวันจะต้องไปให้ได้”

    “ฉันเคยบอกแล้วไง ไม่ใช่แค่ไป แต่เราจะทำมันขึ้นมา เธอทำได้อยู่แล้ว”

    “อือ นายก็ทำได้เหมือนกัน”

    คาย่าหัวเราะเบาๆ ดวงตาที่แต่งแบบสโมกกี้และริมฝีปากที่คลี่ออกกว้างช่างดูสวยงามจริงๆ ขณะที่มินจุนกำลังชื่นชมใบหน้านั้นอยู่เขาก็เพิ่งรู้ตัวว่ารอบข้างเงียบผิดปกติ พอหันไปมองรอบๆ ก็เห็นทุกคนกำลังจ้องมองมาด้วยสายตาแปลกๆ ซึ่งคอมเมนต์บนหน้าจอทีวีก็ได้สื่อความคิดของทุกคนออกมา

    “ทำไมมองแบบนั้นกันคะ”

    คาย่าถามด้วยน้ำเสียงงุนงง เจเรมี่ใช้นิ้วแตะปลายช้อนที่ว่างเปล่าพลางพูดว่า

    “สองคนดูสนิทสนมกันดีนะ สนิทกว่าคู่รักเสียอีก”

    “หมายความว่ายังไงคะ”

    “ถ้าไม่เป็นการเสียมารยาท ผมขอถามว่าคุณสองคนเป็นเพื่อนกันจริงๆ เหรอ ดูอ่อนโยนต่อกันเกินกว่าที่จะเป็นเพื่อน ผมแค่สงสัยน่ะ”

     

    ‘ฉันรู้อยู่แล้วว่าเจเรมี่ต้องกล้าถาม’

    ‘ขอร้องล่ะ ได้โปรด ขอให้อย่าตอบว่า ‘ใช่’เลย’

     

    คอมเมนต์พรั่งพรูไม่หยุด ระหว่างนั้นเซร่ากับเอมิลี่ก็แอบมองคาย่าและมินจุนด้วยสีหน้าคาดหวัง แต่คาย่าก็ไม่ได้ตกใจอะไร เธอเลิกคิ้วขึ้นอย่างใจเย็น

    “มันมีมาตรฐานอะไรวัดด้วยเหรอคะว่าเป็นเพื่อนกันแล้วจะต้องอ่อนโยนต่อกันแค่ไหน”

    “มันก็ไม่ใช่แบบนั้นหรอก แต่สายตาคนแก่มักจะมองการณ์ไกล เห็นความสัมพันธ์หนุ่มสาวได้ชัดเจน ถ้างั้นขอถามอีกสักอย่างเถอะนะคาย่า ระหว่างคุณสองคนไม่มีความรู้สึกเกินเลยกว่าความเป็นเพื่อนเลยเหรอ ความสัมพันธ์ของคุณสองคนดูดีมากจนผมถึงกับต้องถาม”

    เจเรมี่ถามออกมาหน้าตาเฉย คาย่าจึงทำหน้าตาตกใจพลางเหลือบไปมองมินจุน มินจุนเองก็กำลังเลียริมฝีปากอย่างหนักใจ มันยากมากที่จะอธิบายออกมา แล้วตอนนั้นเองแอนเดอร์สันก็พูดขึ้นว่า

    “มีความรู้สึกเกินเพื่อนก็เท่านั้นแหละครับ สองคนแทบจะไม่ได้เจอกันเลย”

    เมื่อมีความช่วยเหลือโผล่เข้ามา คาย่าและมินจุนจึงหายใจหายคอได้ เซร่าเหลือบมองและพูดเบาๆ ว่า

    “แหม เจอหรือไม่เจอก็ไม่สำคัญนี่ สำคัญที่ใจต่างหาก”

    “มีใจแล้วไงล่ะครับ แค่เวลาจะคุยกันยังไม่มี แล้วมันจะไปมีความหมายอะไร ถ้าจะได้เป็นอะไรกันก็คงได้เป็น แต่ถ้าไม่มีทางได้เป็นก็คงไม่มีทางได้เป็น อย่ามัวมาสนใจกับอะไรแบบนี้เลย”

    แอนเดอร์สันพูดโดยไม่ได้มองคอมเมนต์บนหน้าจอ

    “จานต่อไปมาแล้วครับ”

     

    ‘โอ๊ย แอนเดอร์สัน ทำไมถึงได้ไม่มีไหวพริบเอาซะเลยนะ’

    ‘ดูหน้าเซร่าที่อยู่ข้างๆ สิ บึ้งเชียว’

    ‘ตอนนี้หน้าฉันก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน’

     

    แต่แล้วทุกคนก็ทำหน้าสดใส เพราะเซบิเช่ที่เสิร์ฟมาเป็นแอพเพอไทเซอร์สวยงามมาก เนื้อปลาทูน่าที่หั่นบางมีสีแดงเหมือนเนื้อวัว ด้านบนมีเนื้อกุ้งสุกตั้งอยู่เหมือนเจดีย์ มีแอปเปิ้ลมิ้นท์โคโคนัทเยลลี่โฟมสีขาวจัดแต่งเป็นเหมือนบ้านและต้นไม้ ให้ความรู้สึกเหมือนหมู่บ้าน เซร่าร้องชื่นชมอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า

    “ฉันรู้ว่าในฐานะนักชิมอาหารถ้าพูดอะไรแบบนี้ออกไปมันจะดูแย่มาก แต่การใส่โฟมมาเพียงแค่นี้มันเป็นปริมาณที่น้อยมากจนแทบจะไม่รู้รสเลยค่ะ ถ้ามีประสาทรับรสที่แม่นยำแบบมินจุนก็คงรับรู้รสชาติได้แม้จะมีปริมาณน้อย แต่คนทั่วไปน่ะจะใส่หรือไม่ใส่ก็แทบจะไม่แตกต่างกันเลย หรือมันใช้เพื่อการตกแต่งเท่านั้นคะ?”

     

    ‘เรื่องนั้นฉันเห็นด้วยเลย เวลามีโฟมแบบนั้นก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันอร่อยขึ้นเลยนะ’

    ‘นี่เธอกำลังดูถูกฟองเบียร์เหรอ’

    ‘เปล่า โฟมกับฟองเบียร์มันไม่เหมือนกันซะหน่อย’

    ‘พูดตรงๆ ฉันก็ไม่รู้สึกว่าฟองเบียร์อร่อย’

     

    ดูเหมือนจะเป็นความสงสัยที่คนดูทางบ้านหลายคนก็คาใจเหมือนกัน

    “ไม่หรอกค่ะ บางครั้งก็ใส่ลงไปเพื่อตกแต่ง ไม่เกี่ยวกับเรื่องรสชาติ แต่ยังไงก็ลองกินดูก่อนดีกว่าแล้วค่อยว่ากัน”

    เรเชลนำกุ้งกับปลาทูน่าไปแตะโฟมเล็กน้อยก่อนจะนำเข้าปาก

    “แน่นอนว่าในฐานะคนกินอาจจะแทบไม่รู้รสชาติของโฟมปริมาณน้อยแค่นี้ แต่ในฐานะคนทำอาหารนั้นเข้าใจได้ว่าทำไมถึงได้ใส่โฟมนี้มา”

    คำพูดของเรเชลทำให้คนอื่นเริ่มกินเซบิเช่บ้าง มินจุนเหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่เรเชลบอก ตอนที่เขาหั่นเนื้อปลาทูน่าแล้วเอาไปจิ้มโฟมพร้อมกับเนื้อกุ้งและกินคู่กับสมุนไพรอื่นๆ เขาก็รับรู้ถึงความคิดของอลันได้อย่างน่าแปลกใจ เรเชลที่กำลังมองมินจุนอยู่พูดขึ้นมาว่า

    “มินจุน ตอบได้รึเปล่า”

    “ครับ กลิ่นคาวที่เป็นลักษณะเฉพาะของปลาหรือกุ้ง ไม่สิ จะเรียกว่ากลิ่นคาวก็ยังไงอยู่เพราะไม่ใช่กลิ่นที่ไม่ดี งั้นเรียกว่ากลิ่นของทะเลก็แล้วกัน เวลาที่เราได้กลิ่นทะเลจากวัตถุดิบชนิดเดียวยังพอทนได้ แต่ถ้ามาเจอกับวัตถุดิบจากทะเลอีกชนิดก็จะทำให้รู้สึกว่ากลิ่นนั้นแย่ลงกว่าเดิม”

    “ใช่แล้ว โฟมเลมอนเป็นสะพานเชื่อมระหว่างวัตถุดิบสองชนิดนี้ ช่วยทำให้รสชาติของพวกมันสดชื่นขึ้นและผสานกลมกลืน คุณวิเคราะห์มันออกมาได้ดีมาก มินจุน”

     

    ‘เรเชลดูจะรักมินจุนมากกว่าคาย่าอีกนะ’

    ‘หรือคิดจะรับมินจุนเป็นลูกศิษย์?ดูเหมือนว่าเรเชลจะเริ่มกลับเข้าวงการแล้ว’

    ‘นอกจากเรื่องประสาทรับรสที่ยอดเยี่ยมแล้ว การอธิบายของเขาก็ฟังดูดีมาก บางครั้งฉันก็คิดว่ามินจุนเก่งภาษาอังกฤษกว่าฉันซะอีก’

     

    “ขอบคุณครับ”

    “คะ?”

    “อ๋อ ในคอมเมนต์ชมว่าผมเก่งภาษาอังกฤษ”

    มินจุนตอบเรเชลที่กำลังทำหน้าสงสัยด้วยน้ำเสียงเขินอาย และขณะที่ทุกคนกำลังพากันหัวเราะ มินจุนก็มองไปที่คาย่า

    “เป็นไง ถูกปากมั้ย”

    คาย่าครุ่นคิดก่อนจะยิ้มออกมา

    “ถูกปาก แต่ก็ไม่ใช่รสชาติที่แปลกใหม่อะไรมาก”

    “โชคดีไป”

    ไม่ได้ถามว่าอร่อยรึเปล่า เพราะอร่อยแน่นอนอยู่แล้ว ได้ถึงแปดคะแนน มินจุนไม่ได้รู้สึกผิดหวัง คะแนนการทำอาหารของอลันคือเก้า ถ้าเขาลงมือทำเองก็คงได้อาหารเก้าคะแนนออกมาอย่างง่ายดาย แต่หน้าที่ของหัวหน้าเชฟไม่ใช่การลงมือทำเอง มีแขกเป็นจำนวนมาก คงไม่สามารถทำอาหารเองทั้งหมดได้ สุดท้ายหน้าที่ของหัวหน้าเชฟก็คือการควบคุมคนในครัวของตัวเองได้อย่างชำนาญ แม้จะมีเลเวลการทำอาหารแค่เจ็ด แต่ถ้ามีประสบการณ์ก็ทำตำแหน่งผู้ช่วยเชฟ*ได้ไม่ยาก คนที่จับกระทะกับมีดจริงๆ ส่วนใหญ่เป็นเชฟที่มีความสามารถอยู่ในเลเวลห้าหรือหก ดีหน่อยก็ประมาณเจ็ด การดูแลให้คนพวกนั้นทำอาหารแบบนี้ออกมาได้ก็เป็นการพิสูจน์ความสามารถของอลันแล้ว

    ถ้าเราได้เป็นหัวหน้าเชฟล่ะ…

    พูดตามตรงคงยาก แม้จะเคยเป็นหัวหน้าทีมในรายการแกรนด์เชฟมาบ้าง แต่ความเป็นจริงมันไม่ใช่การคุมคนในทีม แต่เป็นการพึ่งพาความสามารถของคนในทีมซะมากกว่า ระหว่างนั้นคาย่าก็เหลือบมองไปรอบๆ แล้วพูดว่า

    “อาหารถูกปากนะ แต่บรรยากาศไม่ค่อยเท่าไหร่ ฉันไม่คุ้นกับร้านอาหารหรู แถมยังมีกล้องอยู่ตรงหน้า มีหน้าจอแสดงคอมเมนต์จากคนดูอีก เฮ้อ!ขอร้องล่ะอย่าจินตนาการกันไปเองเลย พวกเราจะคุยกันบ้างไม่ได้เลยเหรอไง”

    คาย่าจ้องไปที่กล้องด้วยสายตาที่ไม่ค่อยพอใจนัก มินจุนจึงรีบลูบหลังของเธอเบาๆ

    “คิดว่านิสัยอารมณ์ร้อนหายไปแล้วซะอีก แต่คาย่า โลตัสก็ยังเป็นคาย่า โลตัสสินะ ให้เขาจินตนาการไปเถอะ จินตนาการไปก็ไม่มีใครตายนี่ ดีกว่าไปโมโหใส่คนดู”

     

    ‘ฉันขอพนันเลยว่าภายในปีนี้จะต้องมีข่าวเดตของพวกเขาหลุดออกมาแน่ๆ’

    ‘ปีนี้อาจจะยากนะ คาย่าน่าจะต้องตระเวนไปที่ต่างๆ’

    ‘ถ้างั้นพวกเขาก็มีโอกาสแค่ตอนนี้น่ะสิ พอคิดแบบนั้นแล้วก็โรแมนติกจัง’

    ‘ไม่ใช่ว่ามินจุนก็กำลังทำแบบนั้นกับคาย่าอยู่เหรอ ทั้งที่เพิ่งพูดออกมาเองแท้ๆ ว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน’

    ‘หมอนี่น่ากลัวจริงๆ’

     

    “ผมไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์แบบนั้นหรอก”

    “ก็เจ้าเล่ห์อยู่นะ”

    “นี่ เธอพูดแบบนั้นได้ไง”

    มินจุนมองคาย่าเหมือนน้อยใจ คาย่าจึงยิ้มแล้วเอื้อมมือไปจับปกเสื้อของมินจุนให้ตั้งขึ้นเพื่อปิดรอยแผลเป็นที่โผล่ออกมา มินจุนจึงยิ้มเขินๆ ก่อนจะพูดว่า

    “ไม่ต้องสนใจรอยแผลเป็นหรอก ฉันเองก็ไม่ได้สนใจแล้ว”

    “จำได้ใช่มั้ยที่ฉันเคยบอกเรื่องแผลของนาย เพราะฉะนั้นอย่ามาบอกว่าไม่ต้องสนใจ เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่จะสนใจหรือไม่สนใจ”

    “โอ้โห ถึงกับพูดเรื่องที่รู้กันแค่สองคนด้วย”

    เซร่าแสร้งหัวเราะ มินจุนจึงกระแอมอย่างเขินๆ คาย่าเองก็จับผมตัวเองเล่น ระหว่างนั้นเรเชลก็ถามคาย่าว่า

    “คาย่า คุณกินเซบิเช่แล้วคิดถึงอะไร”

    “เซบิเช่จานนี้เป็นเหมือนจดหมายถึงคุณเลยนะคะเรเชล”

    “คะ?”

    เมื่อได้ยินคำพูดที่ไม่คาดคิด เรเชลก็ทำตาโต คาย่าชี้ไปที่จานเปล่าๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

    “วัตถุดิบอื่นๆ วางรอบปลาทูน่าสีแดง ไม่นึกถึงคำว่า ‘โรสไอส์แลนด์’เหรอคะ”

    คำพูดของคาย่าทำให้มินจุนถึงกับร้องออกมา แล้วสายตาทุกคู่ก็มองไปที่อลัน

    “ตีความได้ถูกต้องเลย ความจริงผมก็หวังว่าอาจารย์เรเชลจะเดาออก…”

    “ไม่ใช่เมนูที่ขายอยู่ประจำหรอกเหรอ”

    “ไม่ได้ทำขายประจำ ผมอยากจะสื่อออกมาให้เห็นว่าผมเคยเรียนมาจากอาจารย์เรเชล และหวังว่ามันจะเป็นของขวัญที่อาจารย์เรเชลชอบ”

    เรเชลกลั้นน้ำตาพลางเม้มปากแน่น แล้วในที่สุดมุมปากที่มีรอยย่นก็ค่อยๆ ขยับ เธออ้าปากและมีเสียงปนสะอื้นดังออกมา แต่เธอก็รีบปิดปากลงอีกครั้ง เซร่าที่อยู่ข้างๆ จึงยกมือขึ้นแตะไหล่ด้วยความเป็นห่วง

    “ขอบคุณนะอลัน มันเป็นของขวัญที่สุดยอดมากจริงๆ”

    “อย่าร้องเลยครับ ผมไม่ได้ให้ของขวัญเพราะอยากเห็นน้ำตานะ”

    อลันพูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย อาจารย์ที่ครั้งหนึ่งเคยโดดเด่นและมีความมั่นใจของเขา สุดท้ายดูเหมือนจะอ่อนแอลงตามกาลเวลา เมื่ออายุมากขึ้นทั้งร่างกายและจิตใจก็อ่อนแอลง เขาเคยคิดว่าเรเชลจะหลีกเลี่ยงกฎธรรมชาติพวกนั้นได้ เขาจึงรู้สึกเจ็บปวดใจเมื่อเห็นภาพเธอที่เป็นแบบนี้

     

    ‘เรเชล…ดีใจนะที่ได้เห็นหลังจากไม่ได้เห็นมานาน แต่รู้สึกแปลกๆ ยังไงไม่รู้สิ’

    ‘เพราะนึกถึงความทรงจำในอดีต หรือว่าเพราะมันผ่านมานานมากจนนึกภาพไม่ออกแล้วกันนะ แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้อยากดื่มเบียร์มากเลย ไปตู้เย็น เดี๋ยวมา’

    ‘คิดถึงแดเนียลจัง ทำไมอัจฉริยะถึงได้จากไปก่อนแบบนั้นทุกที’

    ‘ตอนที่คู่สามีภรรยาโรสดังๆ ฉันเพิ่งจะแค่สิบขวบเอง เขาสองคนเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ’

    ‘เป็นตำนานเลยแหละ พวกเขายกระดับร้านอาหารในอเมริกาให้สูงขึ้นมาก’

     

    เมื่อเห็นคอมเมนต์ต่างๆ และท่าทางของอลัน มินจุนก็รู้สึกว่าส่วนหนึ่งในใจร้อนรุ่มขึ้นมา ทั้งอลันและคนอื่นๆ ต่างก็จดจำเรเชลกับสามีเอาไว้ เชฟที่อยู่ในความทรงจำ ไม่สิ เชฟที่สามารถอยู่ในความทรงจำของผู้คนถือเป็นชีวิตที่สมบูรณ์แบบที่สุดในฐานะเชฟ

    “น่าอิจฉาจังครับ ทั้งเรเชล แล้วก็อลัน”

    มันไม่ใช่คำพูดที่พูดไปอย่างนั้น แต่น้ำเสียงของเขาเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ

    “ยังไงเหรอคะ”

    “คุณเรเชลและสามีได้รับการจดจำในฐานะเชฟที่ดีโดยไม่มีใครไม่เห็นด้วย และผมก็อิจฉาอลันที่ได้อยู่ในครัวเดียวกันกับเชฟแบบพวกคุณ”

    “อีกไม่นานมินจุนเองก็น่าจะเป็นแบบนั้นได้เหมือนกัน ได้เจอหัวหน้าเชฟที่ดี มีโอกาสได้เรียนรู้จากเขาอย่างเต็มที่ โดยส่วนตัวแล้วฉันก็หวังว่าจะได้รับโอกาสนั้นจากคุณนะคะ”

    คำพูดที่ไม่คาดคิดทำให้มินจุนตกใจเล็กน้อย

    “อีกไม่นานฉันจะกลับมาทำงานในครัวอีกครั้ง และ…”

    สายตาของเรเชลมองไปที่มินจุน น้ำเสียงของเธอชัดเจนยิ่งกว่าแววตา

    “ถ้ามีคุณอยู่ในครัวของฉันก็คงจะดี”

    มินจุนทำหน้าเหวอๆ เมื่อได้ยินคำพูดที่ไม่คาดคิดในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด

     

    ‘ฉันกำลังกินพิซซ่าแช่แข็งและดูรายการไปด้วย ส่วนมินจุนได้ทั้งออกรายการและได้งานทำไปด้วยแฮะ’

     

    “ผม…”

    มินจุนเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้ เขาหายใจถี่และหัวใจเต้นรัวจนพูดต่อไปไม่ได้ เขารู้สึกขอบคุณมากที่เรเชลยื่นข้อเสนอแบบนั้นให้เขา แม้ว่าเหตุผลอาจจะเป็นเพราะเขามีประสาทรับรสที่แม่นยำ แต่เขาไม่อยากจะใส่ใจเรื่องนั้น ต่อให้เขาไม่มีความสามารถแบบที่เรเชลเชื่อ แต่เขาก็ยังมีความสามารถที่เรเชลไม่รู้ ถ้าทำอย่างเต็มที่ก็น่าจะทำสิ่งที่เรเชลคาดหวังได้ เขาคิดแบบนั้น…เขาอยากจะคิดแบบนั้น

    “เอมิลี่พูดอยู่เสมอว่ามีคนมากมายที่อยากจะเป็นลูกศิษย์ของคุณเรเชล ถึงขนาดที่ถ้าให้ต่อแถวก็คงอ้อมรอบอเมริกาได้เกินหนึ่งรอบ”

    “งั้นเหรอคะ”

    เรเชลหันไปมองเอมิลี่ที่เอาแต่จิบไวน์อย่างขัดเขิน แล้วมินจุนก็พูดต่อ

    “มีคนบางประเภทที่พอเห็นคนยืนต่อแถวแล้วก็ไปยืนต่อบ้างทั้งที่ไม่รู้ว่ามันคือแถวอะไร แต่ตอนนี้ผมไม่จำเป็นต้องไปต่อแถว เพราะคุณบอกให้ผมก้าวมาข้างหน้า มันเป็นอะไรที่ยั่วยวนใจมากๆ และเป็นการยั่วยวนใจที่ไม่มีเหตุผลให้ต้องปฏิเสธ”

    “ถือว่าคุณตกลงใช่มั้ย”

    “ครับ ตกลงแบบที่ไม่มีหลักการหรือทฤษฎีไหนมาแย้งได้”

    เมื่อได้ยินแบบนั้นเรเชลก็ยิ้มกว้างแล้วยกไวน์ขึ้นมาจิบอย่างอารมณ์ดี ระหว่างนั้นคาย่าก็หันไปพูดกับมินจุน

    “ยินดีล่วงหน้านะที่ได้งานทำ ว่าแต่…”

    คาย่าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นปิดไมค์แล้วกระซิบที่ข้างหูของมินจุนเบาๆ

    “ขนมปังนี่เอาไปจิ้มในไวน์ได้มั้ย”

    “วัฒนธรรมของแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน แต่คิดว่าไม่น่าจะได้ ไม่น่าทำให้รสชาติพิเศษขึ้น ดังนั้นกินขนมปังไปคำหนึ่งก่อนแล้วค่อยดื่มไวน์น่าจะดีกว่า”

    “งั้นเหรอ”

    มินจุนพูดโดยยกมือขึ้นปิดไมค์เช่นกัน พอเห็นภาพนั้นมาร์ตินก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

     

    ‘พวกเขาเอามือปิดไมค์อีกแล้ว ตอนรายการแกรนด์เชฟก็เคยทำแบบนี้…’

    ‘คุยอะไรกันนะ ไม่มีฟังก์ชันขยายเสียงเหรอ’

    ‘หรือคุยความลับกัน แต่ปากบอกว่าเป็นเพื่อนกันเนี่ยนะ’

     

    คอมเมนต์ต่างๆ แสดงถึงความอึดอัดของคนดู มินจุนจึงรีบพูดว่า

    “อ้อ อย่าเข้าใจผิดครับ เธอก็แค่…”

    แต่คำพูดของมินจุนกลับถูกตัดไปเพราะคาย่ายกมือขึ้นปิดปากเขาเอาไว้พร้อมทำตาดุใส่ จากนั้นก็ปล่อยมือแล้วพูดดุเขา

    “ไม่ได้ ห้ามบอกนะ”

    “ทำไมล่ะ”

    “ก็ฉันอายนี่”

     

    ‘คุยอะไรกันนะถึงต้องอาย’

    ‘ขนาดนี้น่าจะมีสคริปต์แล้วมั้ง’

     

    โชคดีที่พนักงานเสิร์ฟเดินเข้ามาขัดจังหวะแล้ววางจานทั้งเจ็ดจานลงบนโต๊ะ มินจุนถึงกับทำตาโตเพราะอาหารที่อยู่บนจานมีหน้าตาแปลกมาก มอสซาเรลล่าชีสสีขาวที่พองกลมโตเหมือนลูกเบสบอล ข้างๆ มีดอกไม้ที่กินได้และสมุนไพรต่างๆ ตกแต่งไว้ราวกับท้องทุ่ง คาย่าร้องออกมาแล้วถามว่า

    “อันนี้ใช่ชีสรึเปล่าคะ”

    “ใช่ครับ เจาะรูข้างในมอสซาเรลล่าชีสแล้วเอาซุปมิเนสโตรเน่*ใส่เข้าไป พอเวลาผ่านไปความร้อนของซุปก็ทำให้มันพองออกมาแบบนั้น”

    “ซุปมิเนสโตรเน่คืออะไรเหรอคะ”

    “เป็นซุปผักแบบอิตาเลียน ใส่ผัก เส้นพาสต้า ข้าว และอื่นๆ ลงไปเคี่ยว อย่างของร้านเราต้องใช้เป็นออร์โซ่พาสต้า**เคี่ยวน้ำซุปผักและไก่ให้ละลายเข้าไปในพาสต้าที่มีรูปร่างเหมือนเมล็ดข้าว แล้วเอามอสซาเรลล่าชีสที่ละลายจนเหนียวมาหุ้มเอาไว้ ลองหั่นดูสิครับ”

    คาย่ายกมีดขึ้นด้วยความตื่นเต้นราวกับกำลังจะตัดเค้กวันเกิด เมื่อหั่นมีดลงไปบนชีสที่พองตัวก็มีไอน้ำจางๆ ลอยขึ้นมา แล้วซุปที่อยู่ในชีสก็ค่อยๆ ไหลมารวมกับสมุนไพรต่างๆ ที่อยู่ข้างๆ กลิ่นฉุนของชีสกับกลิ่นหอมของสมุนไพรเป็นกลิ่นที่หอมละมุน คาย่าถึงกับตัวสั่นแล้วหันไปมองมินจุนที่กำลังมองเธอด้วยสีหน้าแบบเดียวกัน เขาเข้าใจความรู้สึกของคาย่า เธอไม่เคยไปร้านอาหารดีๆ มาก่อนเลยสักครั้งในชีวิต พอได้มาเจออาหารที่ทำด้วยความใส่ใจ สวยงาม และยอดเยี่ยมแบบนี้ก็คงอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้

    เคยคิดไว้ว่าอยากพาไปร้านมิชลินสามดาวสักครั้ง

    แต่น่าเสียดาย มันคงยากที่เขาจะเป็นคนแรกที่พาคาย่าไปร้านมิชลินสามดาว เพราะตารางงานของแกรนด์เชฟนั้นแน่นมาก ขณะรู้สึกเสียดายมินจุนก็ตักชีสที่ละลายผสมกับซุปเข้าปาก รสชาติที่หมดจดของน้ำซุปช่วยผสานวัตถุดิบทั้งหมด รสสัมผัสของชีสที่หยุ่นๆ กับออร์โซ่พาสต้าที่กรุบๆ ช่างมีเสน่ห์เหลือเกิน แล้วไม่นานคาย่าก็ร้องอุทานออกมา

    “ว้าว!ออร์โซ่พาสต้า…เหมือนตัวเอกที่ซ่อนอยู่เลย!”

    มินจุนไม่เข้าใจว่าคาย่าหมายความว่าอะไร แม้รสสัมผัสของออร์โซ่พาสต้าจะค่อนข้างสนุกและแปลกใหม่ แต่ก็ไม่ได้น่าประทับใจถึงขนาดจะยกให้เป็นตัวเอก เขากลับคิดว่าน้ำซุปน่าประทับใจยิ่งกว่า เพราะมันช่วยสร้างความสมดุลระหว่างสมุนไพรกับชีส แต่อลันกลับยิ้มแล้วพูดว่า

    “รู้จนได้ ใช่แล้ว ตอนที่คิดเมนูนี้ส่วนที่ยากที่สุดก็คือออร์โซ่พาสต้า ทีแรกคิดว่าจะใช้ข้าวจริง แต่ไม่ว่าจะใช้ข้าวแบบไหนก็ไม่เข้ากัน คงเป็นเพราะกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของธัญพืชจึงทำได้ยาก”

    “ไม่ใช่เพราะกลิ่นของธัญพืชอย่างเดียวหรอกมั้งคะ สัมผัสตอนเคี้ยวก็เป็นสิ่งที่น่ากังวลด้วยเหมือนกัน แม้ว่าเซเลอรี่จะกรอบพอช่วยได้บ้าง แต่พอต้มนานๆ มันก็นิ่มลง ออร์โซ่พาสต้าเป็นอย่างเดียวที่มีรสสัมผัสที่หนึบซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของอัลเดนเต้ เคี้ยวแล้วรู้สึกเหมือนกับว่ามันเป็นวัตถุดิบหลัก อ้อ ฉันรู้แล้ว ไม่ได้ตักมาจากซุปที่เคี่ยวเอาไว้ แต่ว่าทุกครั้งที่ได้ออเดอร์ถึงจะผสมออร์โซ่พาสต้ากับซุปแล้วเคี่ยวอีกครั้งก่อนตักเสิร์ฟใช่มั้ยคะ”

    คาย่าพูดออกมารัวๆ ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นราวกับเด็กน้อย แต่พอทุกคนเงียบกริบ คาย่าก็คอตก

    “เอ่อ ถ้าไม่ใช่ก็แล้วไปค่ะ”

    “ใช่ๆ ผมตกใจน่ะ ตอนแรกเตรียมใจไว้ว่ามินจุนจะต้องรู้สูตรอาหารแน่ๆ แต่ไม่คิดว่าคุณก็รู้เหมือนกัน”

    “ฉันก็แค่ลองเลียนแบบเขาดูบ้าง เพื่อนกันมักจะคล้ายกันนี่คะ”

     

    ‘ฉันว่าเวลาคาย่าทำหน้าม่อยคอตกแบบนั้นดูสวยจัง ทำไมนะ’

    ‘น่าสงสาร=น่าเห็นใจ =ดูเป็นผู้หญิง =สวย แบบนี้หรือเปล่า’

    ‘บอกว่าเลียนแบบมินจุน แต่ลิ้นคาย่าก็อ่อนไหวไม่เบาเลยนะ สมกับที่เรียกว่าอัจฉริยะจริงๆ’

     

    เรเชลมองคาย่าที่กำลังใช้ส้อมจิ้มชีส แม้คาย่าจะพูดง่ายๆ ว่าเลียนแบบมินจุน แต่การกินไปแค่หนึ่งคำแล้วสามารถวิเคราะห์ออกมาได้ขนาดนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย อยู่ๆ คำพูดของเซอร์เกย์กับมินจุนที่เคยบอกให้เลือกคาย่าก็ดังก้องขึ้นมาในหู เรเชลจึงลองถามคาย่าออกไปเพื่อพิสูจน์

    “คาย่า คุณเดาวัตถุดิบได้ทั้งหมดรึเปล่า”

    “มอสซาเรลล่าชีส เซเลอรี่ ฟักทองน้ำเต้า อาร์ติโชก แครอต หัวไช้เท้า เบซิล มะเขือเทศ”

    เรเชลเบิกตากว้างอย่างตกใจ คาย่าหัวเราะคิกคัก

    “วัตถุดิบพวกนี้เราก็มองเห็นกันอยู่แล้วนี่นา”

    “อ้อ…”

    เรเชลเหลือบมองที่จาน สิ่งที่คาย่าเพิ่งพูดไปเมื่อครู่เป็นสิ่งที่มองเห็นได้ด้วยตาทั้งนั้น แล้วคาย่าก็พูดเสริมว่า

    “ถ้าจะเอาวัตถุดิบที่มองไม่เห็นก็มีถั่วลันเตากับถั่วลูกไก่ เพราะรสชาติชัดเจนมาก มีรสของน้ำซุปไก่ด้วย แหม ไม่รู้ก็ถือว่าลิ้นแย่มากๆ แล้วค่ะ ถ้าจะให้ตอบแบบอวดเก่งก็มีไขมันหมูด้วยเพราะฉันรู้สึกว่ามันมีรสของมันหมูนิดหน่อย”

    “แค่นี้ก็ถือว่ายอดเยี่ยมมากแล้วล่ะ คุณเองก็มีลิ้นที่ดีมากเหมือนกันนะ”

    “ทำไมฉันถึงแยกอะไรแบบนั้นไม่ค่อยออกเลยนะ”

    เซร่าพูดแทรกด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ เอมิลี่จึงลูบหลังเธอเบาๆ

    “ไม่เป็นไรนะเซร่า คนที่เป็นนักชิมต้องมีลิ้นที่อ่อนไหวเป็นพื้นฐาน ฉันเองก็รู้ว่ามีถั่วอยู่ด้วย แต่ไม่ได้รู้ถึงขนาดว่าเป็นถั่วลันเตากับถั่วลูกไก่”

    “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ อิจฉาจัง เป็นคู่รักที่มีลิ้นอ่อนไหวเหมือนกันอีกต่างหาก”

    “เราสองคนไม่ใช่คู่รักค่ะ”

    “ขอแก้ก็ได้ คู่รักในอนาคต…โอเคๆ ขอถอนคำพูด อย่าถลึงตาจ้องกันแบบนั้นสิ”

     

    ‘เรามาถึงยุคที่คู่รักไม่สามารถเรียกว่าคู่รักแล้วเหรอ’

    ‘ฉันก็ไม่ได้เรียกเมียฉันว่าเมียมากี่ปีแล้วเนี่ย’

     

    “คนดูช่วยหุบปากหน่อยได้มั้ย ขอร้องล่ะ”

     

    ‘คราวนี้ถึงขนาดบอกให้คนดูหุบปากซะด้วย’

    ‘คาย่าอารมณ์เสียแล้ว แต่ทำไมถึงอยากให้เธออารมณ์เสียแบบนี้อีกเยอะๆ นะ’

     

    “พวกโรคจิต”

    คาย่าถอนหายใจพร้อมส่ายหน้า แล้วตอนนั้นเองมินจุนก็ล็อกสายตาตัวเองไว้ที่พนักงานเสิร์ฟที่กำลังเดินเข้ามา แม้จะยังมองเห็นไม่ชัดว่าในจานมีอะไร แต่เขามองเห็นหน้าต่างระบบที่ผุดขึ้นมาอย่างชัดเจน

     

    [พาสต้าผัดน้ำมันใส่ปลาหมึกและกวางตุ้งไต้หวัน]

    ความสดใหม่ : 96%

    แหล่งที่มา : (เนื่องจากใช้วัตถุดิบหลายชนิดจึงไม่เปิดเผยแหล่งที่มา)

    คุณภาพ : สูง

    คะแนน : 10/10

    หน้าที่แล้ว1 of 3

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook