• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่านยอดเชฟเทพนักปรุงเล่ม 3 ตอนที่ 2

    พาสต้าได้สิบคะแนนงั้นเหรอ

    และยังเป็นพาสต้าผัดน้ำมันอีกด้วย มินจุนเคยคิดว่ามันอยู่ในหมวดหมู่อาหารที่ยากจะได้สิบคะแนน พาสต้าผัดน้ำมันคือการใช้น้ำมันแทนซอสเพื่อให้ได้รสชาติที่หมดจดของวัตถุดิบ แต่มันก็ซับซ้อนและทำให้รสชาติออกมาประณีตได้ยากมาก

    เมื่อจานถูกวางลงตรงหน้ามินจุนก็มองด้วยสายตาเสน่หาราวกับกำลังมองหญิงคนรักที่พรากจากกันมานาน หน้าตาของมันดูเรียบง่าย เส้นที่ม้วนขดอยู่อย่างสวยงามมีสีเขียว ไม่ใช่เพราะกวางตุ้งไต้หวันที่ปะปนอยู่เท่านั้น น่าจะใช้เบซิลปั่นกับน้ำมันมะกอกเพราะสีของน้ำมันก็เป็นสีเขียว ตอนแรกมองไม่เห็นปลาหมึก แต่พอดูอย่างละเอียดก็เห็นปลาหมึกที่ถูกหั่นบางๆ เหมือนเส้นลิงกวินีซ่อนอยู่ตามเส้น แต่มินจุนก็ยังคงรู้สึกสงสัย ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรจานนี้จึงได้คะแนนถึงสิบคะแนน

    เมื่อตักเส้นเข้าปาก เส้นที่เด้งดึ๋งเหมือนเส้นอุด้งก็ดิ้นอยู่ในปากราวกับหนวดปลาหมึกที่ยังมีชีวิต นี่เป็นครั้งแรกที่กินพาสต้าแล้วรู้สึกว่ามันมีความยืดหยุ่นขนาดนี้ พอเคี้ยวเส้นพร้อมกับปลาหมึกและกวางตุ้งไต้หวันก็รู้สึกประทับใจมากกว่าเดิม มันเป็นเรื่องปกติที่จะได้กลิ่นซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวจากปลาหมึกและกวางตุ้งไต้หวัน แต่ทำไมถึงรู้สึกว่ามีรสข้าวบาร์เลย์ที่หอมหวานออกมาจากเส้นด้วย ยิ่งไปกว่านั้นรสข้าวบาร์เลย์ช่างเข้ากับวัตถุดิบอื่นได้ดีเหลือเกิน และในน้ำมันก็ไม่น่ามีแค่เบซิล อาจจะปั่นเมล็ดพริกใส่ลงไปด้วย เพราะมีรสเผ็ดที่ร้อนแรงนิดๆ อวลอยู่ในปาก ทันใดนั้นเสียงถอนหายใจก็ดังขึ้น ตอนแรกมินจุนคิดว่าเขาเผลอถอนหายใจออกมาเพราะรู้สึกดีจนเก็บไว้ไม่อยู่ แต่ไม่ใช่ พอหันไปมองข้างๆ ก็เห็นคาย่ากำลังหลับตาและเคี้ยวเส้นอยู่

    คาย่าเพิ่งเคยกินอาหารที่ได้สิบคะแนนเป็นครั้งแรกสินะ

    น้ำตาของมินจุนรื้นขึ้นมา เขาไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงตื้นตันใจกับการที่คาย่าได้กินอาหารที่ได้สิบคะแนนเป็นครั้งแรก

    “อร่อยมั้ย”

    คาย่าพยักหน้าพร้อมกับน้ำตาเอ่อ มินจุนเข้าใจที่เธอเป็นแบบนั้น เพราะเธอมีประสาทรับรสที่อ่อนไหวกว่าเขามาก ความประทับใจที่เธอมีต่ออาหารจานนี้จึงยิ่งมากตามไปด้วย มินจุนหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วซับน้ำตาให้เธอ

    “เดี๋ยวเครื่องสำอางเลอะหมดนะ”

     

    ‘บ้าไปแล้ว’

    ‘พวกเขาดูเลี่ยนกว่าคู่รักดาราฮอลลีวูดอีก’

    ‘ผู้ชายเกาหลีเป็นแบบนั้นหมดเลยเหรอ’

    ‘ฉันเป็นผู้ชายเกาหลี แต่ไม่เป็นแบบนั้นนะ’

     

    แอนเดอร์สันกินพาสต้าพร้อมกับมองอลันด้วยสีหน้าอึดอัด

    “ร้านคุณมียาช่วยย่อยมั้ยครับ เหมือนผมจะจุกท้อง”

    ดูเหมือนว่าการที่แอนเดอร์สันขอยาช่วยย่อยจะไม่ได้เป็นการพูดเล่นเท่านั้น พออลันไปหยิบยาช่วยย่อยมาให้แอนเดอร์สันก็รีบเอาเข้าปากอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด เรเชลจึงลูบหลังแอนเดอร์สันด้วยความสงสาร

    “คนแก่อย่างฉันยังไม่เป็นไรเลย แต่คุณยังหนุ่มยังแน่นแท้ๆ จุกเสียดง่ายแบบนี้ได้ยังไง”

    “ผมไม่ขอแก้ตัวครับ”

    “แล้วจะกินต่อไหวรึเปล่า”

    “ต้องไหวสิครับ แต่ละจานน่าดึงดูดเกินกว่าจะปล่อยให้ผ่านไปได้”

    แอนเดอร์สันก็เป็นเชฟเหมือนกัน ในขณะเดียวกันเขาก็เป็นนักชิมอาหารอีกด้วย เมื่อมีอาหารดีๆ อยู่ตรงหน้าเขาก็ไม่อาจเพิกเฉยได้ ไม่สิ พูดให้ชัดเจนคือเขาไม่อยากให้เรเชลเห็นภาพเขาที่เป็นแบบนี้ ต่อหน้าเรเชลเขาอยากแสดงให้เห็นว่าเขาสมบูรณ์แบบและหมดจดให้ได้มากที่สุด แอนเดอร์สันเหลือบไปมองมินจุน

    ‘ถ้ามีคุณอยู่ในครัวของฉันก็คงจะดี’

    คำพูดของเรเชลยังคงก้องอยู่ในหูของเขา ที่น่าเสียดายก็คือเธอไม่ได้พูดกับเขา แต่พูดกับมินจุน เขาเองก็อยากได้ยินคำนั้นเหมือนกัน อยากได้การยอมรับจากเรเชล หวังว่าในครัวนั้นจะมีที่สำหรับเขาบ้าง

    อย่างกับผู้ชายที่หลงรักเธอข้างเดียวงั้นแหละ เราเป็นอะไรไปเนี่ย

    แอนเดอร์สันตักพาสต้าเข้าปากแล้วยิ้มเจื่อนๆ ที่น่าตลกก็คือในขณะที่รู้สึกสับสนแบบนี้ แต่พาสต้าก็ยังคงมีความจริงที่เรียบง่าย มันอร่อยจนลืมความปวดท้อง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะช่วยล้างความยุ่งเหยิงที่อยู่ในใจออกไปได้

     

    ‘แอนเดอร์สัน สู้ๆ นะ พวกเราเข้าใจความรู้สึกนาย’

    ‘ว่าแต่ในรายการคราวก่อนแอนเดอร์สันบอกว่าจะครองตัวเป็นโสดนี่นา คนที่อยากอยู่เป็นโสดไม่ชอบเห็นภาพอะไรอย่างนั้นด้วยเหรอ’

    ‘ที่บอกว่าจะครองตัวเป็นโสดก็คงจะพูดให้ดูเท่ไปอย่างนั้นแหละ อย่าไปเชื่อ’

     

    “ทำไมอยู่ๆ ถึงได้มาโจมตีผมกันล่ะ ผมจะครองตัวเป็นโสดจริงๆ”

    แอนเดอร์สันอ่านคอมเมนต์ปลอบใจตัวเองอยู่ดีๆ ก็ถูกสงสัยซะอย่างนั้น เขาจึงตัดสินใจว่าจะไม่อ่านคอมเมนต์อีกแล้ว เขาเอาแต่จ้องพาสต้าตรงหน้าเขม็งจนเซร่าทักว่า

    “ว่าแต่ทำไมถึงจะครองตัวเป็นโสดล่ะคะ”

    “มันจำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยเหรอครับ”

    “มีอะไรในโลกบ้างที่ไม่มีเหตุผล อย่างที่ฉันมาเป็นนักชิมอาหารก็เพราะชอบกิน คุณมาเป็นเชฟก็เพราะชอบทำอาหาร มันมีเหตุผลทั้งหมด แล้วคุณจะครองตัวเป็นโสดอย่างไม่มีเหตุผลงั้นเหรอ”

    “โอเคๆ หยุดพูดยาวๆ ซะทีเถอะครับ ผมเพิ่งจะเคยเห็นคนที่พูดยาวกว่าแม่ผมเป็นครั้งแรกนะเนี่ย”

    แอนเดอร์สันส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะตอบว่า

    “เพราะผมไม่เคยรู้สึกถึงความจำเป็นของความสัมพันธ์แบบคู่รัก ผมไม่อยากแต่งงานแค่เพียงเพราะคนอื่นเขาทำกัน เพราะอย่างนั้นผมก็เลยจะครองตัวเป็นโสด”

    “หืม? ไม่เหมือนกันสักหน่อย คนที่จะครองตัวเป็นโสดคือคนที่มีความคิดแน่วแน่ว่าจะอยู่คนเดียว แต่ที่คุณพูดมามันก็แค่ไม่คิดจะแต่งงานเท่านั้นเอง”

    “สุดท้ายผลลัพธ์มันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ”

    “คนที่ไม่แน่ใจว่าเนื้อสัตว์มันอร่อยรึเปล่าก็เลยกินแต่ผัก กับคนที่กินมังสวิรัติเพราะเหตุผลทางศาสนา หรือคนที่รู้สึกว่าสัตว์ไม่ได้ถูกเลี้ยงเพื่อไว้ใช้เป็นอาหาร หรือเหตุผลอื่นๆ อีกมากมายมันเหมือนกันเหรอ”

    “ก็คงไม่เหมือนหรอก”

    “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไม่ใช่คนที่อยากจะครองตัวเป็นโสด”

    พอฟังไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าถูกโน้มน้าวอย่างบอกไม่ถูก แอนเดอร์สันเคี้ยวเส้นพาสต้าและค่อยๆ คิดอย่างละเอียดว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ เหรอ เซร่าตอกลิ่มลงไปบนความสงสัย เธอกระซิบที่ข้างหูของเขาเบาๆ แน่นอนว่าผู้ชมทุกคนได้ยินทั้งหมดเพราะมีไมค์ติดอยู่

    “ถ้าคุณจะครองตัวเป็นโสดตลอดชีวิตจริงๆ เวลาที่เห็นคาย่ากับมินจุนเป็นแบบนั้นก็ไม่เห็นจะต้องรู้สึกอึดอัดเลยนี่ สองคนนั้นกำลังอยู่ในละครรักวัยรุ่นสดใส ถ้าเป็นปู่ทวดที่ครองตัวเป็นโสดก็อาจจะรู้สึกอึดอัดบ้างเล็กน้อย”

    “โอเค แต่ผมจะครองตัวเป็นโสดรึเปล่ามันสำคัญอะไรกับคุณ ทำไมต้องตั้งหน้าตั้งตาโน้มน้าวขนาดนี้ด้วย”

    “ผู้ชายที่มีเสน่ห์อย่างคุณ ถ้าต้องใช้ชีวิตโดยคิดว่าจะครองตัวเป็นโสดไปตลอดชีวิตมันก็น่าเสียดายมาก สิ่งที่ฉันกำลังทำก็คือช่วยปล่อยปลาดีๆ สักตัวไปให้ผู้หญิงหลายคนบนโลกนี้”

    แอนเดอร์สันขยับปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็หันหน้าที่แดงก่ำไปทางอื่น เขาทนไม่ไหวเวลาที่มีคนชมซึ่งหน้าแบบนี้

    “แอนเดอร์สัน มีสมาธิหน่อย ตอนนี้ถ่ายรายการอยู่นะ จะจีบกันก็เอาไว้หลังรายการสิ”

    เสียงของคาย่าทำให้แอนเดอร์สันถลึงตาแล้วหันไปมองมินจุนราวกับต้องการหาพวก แต่มินจุนกลับเลือกที่จะมองอลัน

    “อลัน พาสต้านี่ใครเป็นคนทำเหรอครับ น้ำมันก็ดี ปลาหมึกกับกวางตุ้งไต้หวันก็เข้ากันได้ดี แต่สำคัญที่สุดก็คงจะเป็นเส้น มันเป็นพาสต้าที่ดีที่สุดเท่าที่เคยผมกินมาเลย”

    “ผลตอบรับดีจัง ผมขอถามคะแนนหน่อยได้มั้ย”

    “ปกติผมคงไม่กล้าตอบ แต่จานนี้ผมตอบได้อย่างไม่ลังเลเลยว่าได้สิบคะแนน สมบูรณ์แบบ”

    “ทำออกมาจนได้!”

    อลันกำหมัดแน่นพร้อมยิ้มกว้าง เคยมีนักชิมอาหารที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่ามินจุนชมไว้เยอะมาก แต่คำชมของมินจุนมีคุณค่าคนละแบบกับพวกเขา เพราะลิ้นที่สามารถรับรู้รสชาติได้มากกว่าทำให้รู้ว่าอาหารของเขามีความสมดุลอย่างสมบูรณ์แบบ ในฐานะเชฟจึงอดปลื้มใจไม่ได้

     

    ‘สิบคะแนน…จนถึงตอนนี้มินจุนเคยให้สิบคะแนนที่ไหนบ้างนะ’

    ‘เท่าที่เห็นในรายการก็น่าจะมีแค่โรสไอส์แลนด์สาขาชิคาโกที่เดียวมั้ง ปลาแอนโชวี่ทอดกินคู่กับเนื้อแก้มลูกวัวหรือไงนี่แหละ น่าจะใช่นะ’

    ‘เนื้อแก้มลูกวัวเหรอ…ฟังดูสยองจัง’

    ‘แต่มันก็ดูตลกดีนะ ในแกรนด์เชฟอลันเป็นคนตัดสิน ส่วนมินจุนก็แค่ฟังคำตัดสิน แต่ตอนนี้บทบาทดันสลับกัน’

    ‘ถ้ามินจุนไปเป็นกรรมการในแกรนด์เชฟก็น่าจะสนุกมากเลยนะเนี่ย’

     

    “ผมไม่ได้ทำพาสต้าเองหรอก มีคนที่ส่งพาสต้าให้ทางร้านเราอยู่ เป็นคนที่ทำเส้นทุกวันมาเป็นเวลาหลายสิบปี ก็เลยทำให้คุณภาพของมันต่างจากที่ขายกันอยู่ตามท้องตลาด”

    “จริงเลยครับ”

    “เหมือนกับเวลาเราจะเปิดร้านอาหารในฝรั่งเศสเราก็ต้องมีปาติซิเย่ที่ดี สำหรับในอิตาลีคงไม่มีอาวุธไหนจะแข็งแกร่งเท่ากับการรู้จักคนทำเส้นที่มีฝีมือ ผู้เชี่ยวชาญที่ทำพาสต้าเองทุกวันในอิตาลีมีประมาณหมู่บ้านละหนึ่งคน ก็เลยทำให้ประเทศนี้ยังคงเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องพาสต้าอยู่ และคนที่ทำเส้นพาสต้าจานนี้ผมรับประกันได้เลยว่ามีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆ ในอิตาลี ซึ่งก็หมายความว่าเป็นอันดับต้นๆ ในโลกด้วยเหมือนกัน”

    เป็นคำพูดที่ทำให้เกิดความคิดมากมาย การรู้จักคนทำวัตถุดิบก็เป็นเรื่องสำคัญของการทำร้านอาหาร ยิ่งได้เรียนรู้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกว่าร้านอาหารจำเป็นต้องใช้คนเยอะจริงๆ พอคิดว่าต่อไปต้องเสาะหาและทำความรู้จักกับคนเหล่านั้นก็รู้สึกเหมือนนักผจญภัยที่ต้องออกเดินทางไปยังที่ไกลๆ ความกลัว ความรู้สึกเปล่าเปลี่ยว ความอยากรู้ และความรู้สึกตื่นเต้นที่ผสมผสานกันทำให้มินจุนใจเต้น เขาอยากจะเดินบนเส้นทางนี้จนทิ้งทุกอย่างและไปเข้าร่วมรายการแกรนด์เชฟ บัดนี้เส้นทางที่เคยรู้สึกว่ามันอยู่ไกลแสนไกลก็มาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ไม่สิ อาจจะอยู่ข้างหลังก็ได้ เพราะเขาได้ออกเดินมาบนเส้นทางของการเป็นเชฟแล้ว

    อาหารถูกเสิร์ฟอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ริซ็อตโต้ลูกสาลี่ที่มีปลาดอรี่วางข้างบน ทีโบนสเต๊กที่สุกแบบมีเดียมแรร์มาคู่กับเดรสซิ่งซอสห้าชนิดและเกลือหกแบบ พิซซ่า และต่อมาก็เป็นไวท์ช็อกโกแลตที่หุ้มเยลลี่เชอรี่เอาไว้ ริซ็อตโต้กับปลาดอรี่ได้เก้าคะแนน ส่วนที่เหลือได้แปดคะแนน แต่อาจเป็นเพราะประทับใจกับพาสต้ามากจึงทำให้ในหัวยังคงคิดถึงรสสัมผัสที่ลื่นและยืดหยุ่นของเส้นตลอดเวลา ดูเหมือนคาย่าก็จะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน เธอมองอลันและตื๊อว่า

    “ขอลิงกวินีที่กินเมื่อกี้อีกไม่ได้เหรอคะ”

    “อาหารเสิร์ฟหมดแล้วนะครับ”

    “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ พูดตามตรง ของอร่อยแบบนั้นให้กินแค่นิดเดียวมันไม่โอเคเลย”

    “ก็ได้ครับ ถ้าถ่ายเสร็จก็ไปที่ครัวนะ”

    “ผมไปด้วยได้มั้ยครับ”

    “มินจุนก็อีกคนนึงเหรอ เอาเป็นว่าใครที่อยากกินก็ไปได้หมด ผมจะทำให้เป็นพิเศษแล้วกัน”

     

    ‘แหกกฎตลอดเลย’

    ‘แต่ก็เห็นด้วยนะ เวลาไปร้านอาหารชอบให้ของที่ไม่อร่อยมาเยอะแยะ แต่พออันไหนที่อร่อยกลับให้มาแค่หยิบมือเอง’

    ‘ฉันก็อยากกินพาสต้าที่อิตาลีบ้างจัง ร้านอาหารเดี๋ยวนี้ทำอะไรก็เค็มไปซะหมดเลย สปาเกตตี้ซอสมะเขือเทศบางครั้งก็ขม สปาเกตตี้ครีมซอสมาเสิร์ฟก็เห็นเส้นอืดๆ ยืดๆ แยกแทบไม่ออกว่าเป็นเส้นหรือเป็นแป้งพิซซ่า…’

     

    มาร์ตินอ่านคอมเมนต์ที่คนดูคุยกัน จำนวนคนดูเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนอยู่ที่ประมาณสามแสนหนึ่งหมื่นคน ถือว่าเป็นผลตอบรับที่ดีมากเลยทีเดียว ถ้าเอาไปเทียบกับการถ่ายทอดสดกีฬาผ่านอินเตอร์เน็ตถือว่ายังไม่เท่าไหร่ แต่นี่เป็นเพียงรายการชิมอาหาร ไม่ใช่การแข่งขันอะไรเลย ประเด็นสำคัญก็คือผู้ที่เข้ามาชมไม่ออกไปง่ายๆ นั่นเอง มาร์ตินคิดว่าสาเหตุหลักที่ดึงดูดคนดูเอาไว้ได้ก็คือคาย่า

    ไม่สิ พูดให้ชัดๆ น่าจะเป็นมินจุนกับคาย่ารึเปล่านะ

    เขาสองคนมีสิ่งที่ทำให้แฟนคลับชื่นชอบอย่างน่าแปลกใจ แม้จะอยู่แยกกัน แต่ละคนก็มีฐานแฟนคลับของตัวเองพอสมควร แต่เวลาอยู่ด้วยกันกลับทำให้ปฏิกิริยาของผู้ชมต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด เป็นสิ่งที่เขารู้สึกมาตั้งแต่ตอนทำรายการแกรนด์เชฟแล้ว ตอนที่มินจุนหรือคาย่าอยู่แยกกัน เวลาที่พวกเขาออกมาบนจอก็ไม่ได้ทำให้จำนวนผู้ชมเพิ่มขึ้นมากมายอะไร แต่เวลาที่เขาสองคนคุยกันกลับทำให้ยอดผู้ชมพุ่งไปอย่างน้อยก็หลักหลายหมื่น มากที่สุดถึงหลายแสนคนเลยทีเดียว

    ถ้าคาย่าไม่ได้ชนะการแข่งขันก็คงได้พาเขาสองคนไปด้วยกันแล้ว

    มาร์ตินทำท่าทางเสียดาย และในเวลาเดียวกันเรเชลก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน ถ้าพูดให้ตรงคงต้องบอกว่าเกิดความโลภ คาย่าในวันนี้ทำให้เห็นถึงความอัจฉริยะอย่างมากถึงขนาดคิดว่าทำไมถึงไม่เคยมองเห็นมาก่อน ถ้าไม่มีมินจุน สายตาของเธอคงมองไปที่คาย่าอย่างแน่นอน

    ถ้าได้เขาทั้งสองคนมาล่ะก็…

    แต่สถานการณ์ของคาย่าซับซ้อนกว่ามินจุน เพราะไม่ว่ายังไงคาย่าก็ต้องทำหน้าที่ในฐานะแกรนด์เชฟต่อไปอีกหลายเดือน ระหว่างนั้นเจเรมี่ก็กระแอมและแกล้งไอขึ้นมา

    “แววตาเป็นประกายเชียวนะ อายุมากแล้วน่าจะทำใจให้มันสบายได้แล้วมั้ง”

    “นายอายุมากไปคนเดียวเถอะ ฉันยังอายุน้อยอยู่”

    “อายุเธอจะห่างจากฉันสักกี่ปีกันเชียว จะอะไรก็ช่างเถอะ ถ้าเธอไม่กล้าพูด ฉันจะช่วยพูดแทนให้ก็แล้วกัน หนูคาย่า ยายแก่คนนี้ดูเหมือนจะอยากได้ตัวเธอมาก เธอคิดยังไงบ้าง”

    “คิดยังไงเหรอคะ”

    เป็นข้อเสนอที่ไม่ทันตั้งตัว แต่คาย่าก็ลองคิดอย่างจริงจัง สิ่งที่คิดเป็นอย่างแรกก็คือ ‘ถ้าไปที่นั่นก็จะได้เจอมินจุนทุกวันเลยสินะ’นั่นเอง เธอเองก็รู้สึกว่าการที่ตัวเองคิดถึงเรื่องนั้นก่อนเป็นอย่างแรกมันช่างเหลวไหล แต่ความคิดนี้มันผุดขึ้นมาเองจะให้ทำยังไงได้ หลังจากนั้นไม่นานสีหน้าของคาย่าก็บูดบึ้งเพราะคอมเมนต์บนหน้าจอทำให้เธอหงุดหงิด

    “อะไรน่ะ บอกว่าไปแน่นอนเพราะมีมินจุนได้ไงกัน ฉันไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้นนะ!”

    “เอาไว้ค่อยตอบทีหลังก็ได้จ้ะ”

    เรเชลยิ้มอย่างขัดเขินแล้วเปลี่ยนเรื่อง คาย่าจึงจ้องเขม็งไปที่หน้าจอสลับกับตากล้อง ระหว่างนั้นเซร่าก็กระซิบที่ข้างหูของเอมิลี่เบาๆ

    “คาย่าดูจะโมโหง่ายกว่าฉันอีกนะ”

    “ก็อาจจะ”

    เวลาผ่านไป การถ่ายทอดสดใกล้จะจบแล้ว กินอาหารเสร็จก็เท่ากับว่ารายการจะต้องจบลงเหมือนกัน ถึงเวลาพูดปิดท้ายและจบการถ่ายทำ คอมเมนต์สุดท้ายค้างอยู่บนหน้าจออย่างชัดเจน

     

    ‘คาย่า (รูปหัวใจ) มินจุน’

     

    “ทำไมคนดูถึงได้ทำตัวเหมือนเด็กแบบนี้นะ”

    คาย่าพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ส่วนมินจุนก็ยิ้มเจื่อนๆ เพราะคิดไม่ถึงว่าคอมเมนต์สุดท้ายจะเป็นแบบนั้น แต่จำนวนคอมเมนต์ที่พูดถึงเขากับคาย่าก็เยอะจนเลี่ยงเรื่องพรรค์นี้ไม่ได้ ระหว่างนั้นแอนเดอร์สันลูบท้องอย่างไม่สบายตัวพร้อมพูดว่า

    “ก็คบกันเลยสิ พวกทึ่ม”

    “แอนเดอร์สัน นายจะทำตัวเป็นเด็กแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่กัน โตสักทีเถอะ”

    แอนเดอร์สันจ้องคาย่าเขม็งก่อนจะหันไปมองทางอื่น คาย่าจึงทำท่ายักไหล่ราวกับตัวเองเป็นผู้ชนะ มินจุนมองภาพนั้นแล้วแอบยิ้ม แอนเดอร์สันคงจะเกลียดท่าทางแบบนั้นของคาย่า แต่ในสายตาเขา เธอดูน่ารักจนเขาอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปขยี้ผมของเธอ

    “อะไรของนาย อย่ามาจับหัวนะ”

    “ผมมันแปลกๆ น่ะ ฉันเลยช่วยจัดให้”

    “แปลกอะไรล่ะ ผมยุ่งหมดเลย ก็นายบอกเองไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้ทำผมยุ่งๆ”

    คาย่าบ่นพลางจัดผมตัวเอง นี่เป็นภาพที่เห็นได้ยากในอดีต ไม่ใช่ว่าเธอไม่ใส่ใจรูปลักษณ์ภายนอก ก็แค่มีรสนิยมแตกต่างจากหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน ไม่งั้นคงไม่แต่งตาแบบสโมกกี้แปลกๆ แบบนั้นอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าตอนนี้มันจะกลายเป็นเอกลักษณ์ของเธอไปแล้วก็ตาม

    “ต่อไปถ้าลูกค้าในร้านอยากให้เธอแต่งตาแบบสโมกกี้ตอนอยู่ในครัว เธอจะทำยังไง”

    “อยู่ในครัวก็มองไม่เห็นอยู่แล้วนี่”

    “ตอนนี้ครัวแบบเปิดกำลังมาแรงนะ อ้อ จริงสิ คุณเรเชลครับ โรสไอส์แลนด์สาขาใหญ่นี่เป็นครัวเปิดรึเปล่าครับ”

    “ใช่ค่ะ แดเนียลอยากเห็นหน้าของลูกค้าตลอดเวลาแม้จะอยู่ในครัวก็ตาม ทั้งภาพที่ลูกค้ากินอาหารแล้วมีความสุขหรือภาพที่ลูกค้าไม่พอใจ เขาอยากเป็นเชฟที่ดูแลทุกอย่างรวมไปถึงห้องอาหาร ไม่ใช่แค่ในครัว”

    พอได้ยินในสิ่งที่เรเชลพูด มินจุนก็หันไปมองคาย่าที่กำลังจัดทรงผมของตัวเอง

    “เธอชอบครัวแบบเปิดหรือชอบแบบปิดที่มองจากห้องอาหารไม่เห็น”

    ถามแต่ยัยนั่นคนเดียวตลอด

    แอนเดอร์สันบ่นในใจ ถ้าตอนนี้ยังอยู่ในช่วงถ่ายทอดสด คอมเมนต์ก็คงผุดขึ้นมาประมาณว่า ‘หรือว่าสองคนนี้จะทำร้านอาหารด้วยกันนะ’ขณะที่แอนเดอร์สันพยายามจะลบข้อความที่ผุดขึ้นมาในสมองทิ้งไป คาย่าก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเหมือนมันเป็นคำถามที่ยาก

    “อืม…ไม่รู้สิ ถ้าได้เห็นตอนลูกค้ากินก็น่าจะสนุกนะ แต่ถ้าต้องเป็นแบบนั้นทุกวันก็คงเหนื่อยเหมือนกัน ต้องมาอึดอัดกับการถูกมอง”

    “มันก็จริงนะ ดูแค่ตรงนั้นก็…”

    มินจุนชี้ไปที่มุมหนึ่งของห้องอาหารที่มองเห็นภาพในห้องครัวได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เชฟส่วนใหญ่ประจำตำแหน่งของตัวเอง ส่วนผู้ช่วยก็วิ่งวุ่นไปทางโน้นทีทางนี้ทีเพื่อหยิบวัตถุดิบมาให้ ถ้าได้ไปยืนอยู่ตรงนั้น…พูดตามตรงว่าแค่ครั้งสองครั้งอาจพอทนได้ แต่ถ้ามากกว่านั้นคงเหนื่อยไม่น้อยเลย ลูกค้าที่มองพวกเขาบางคนก็รู้สึกสงสาร ส่วนใหญ่มองอยู่แค่ครู่หนึ่งแล้วก็หันกลับไปสนใจอาหารของตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นพวกเชฟที่อยู่ในครัวก็ตื่นเต้นและสนใจสายตาเหล่านั้น แม้ว่ามันจะไม่ได้จ้องมาที่พวกเขาก็ตาม

    คาย่าส่ายหน้า

    “ฉันว่าฉันคงไม่ถูกกับสายตาคน”

    “ตลอดชีวิตนี้ก็ไม่น่าจะมีวันไหนที่คนไม่มองเธอนะ”

    “แล้วนายล่ะ”

    จังหวะนั้นมินจุนก็อดที่จะสับสนในความหมายของคำถามสั้นๆ นั้นไม่ได้ มันหมายความว่า ‘นายก็จะมองฉันไปตลอดใช่มั้ย’หรือ ‘คนก็น่าจะมองนายเยอะเหมือนกันใช่มั้ย’ดูเหมือนเป็นคำถามง่ายๆ แต่มันเป็นปัญหาที่เขาหาคำตอบไม่ได้ โชคดีที่ไม่จำเป็นต้องตอบคำถามนั้น เพราะอลันกระแอมและพูดแทรกว่า

    “งั้นไปที่ครัวกันเถอะ อยากได้พาสต้าเพิ่มอีกไม่ใช่เหรอ”

    “อ๋อครับ”

    “ความจริงผมตื่นเต้นว่าจานไหนจะได้คะแนนดีที่สุด พอเป็นไปตามที่คาดก็โล่งใจ เพราะอยู่ในอิตาลีก็เลยคิดว่าจะใช้พาสต้าเป็นตัวทำคะแนน แต่คนเป็นเชฟก็ย่อมมีความโลภอยากจะหลุดจากอคติเรื่องประเทศบ้างเหมือนกัน”

    “ถ้าการทำพาสต้าที่ยอดเยี่ยมอย่างนั้นถือเป็นอคติ มันก็เป็นอคติที่ดีนะครับ”

    “ผมรู้น่า ก็แค่พูดเฉยๆ”

    อลันตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน สมัยเป็นกรรมการเขามักทำตัวเข้มงวดจึงทำให้รู้สึกห่างเหิน แต่พอมาเจอกันในฐานะเชฟกับลูกค้าก็รู้สึกว่าเขาดูสบายๆ ขึ้น เมื่อเข้าไปในห้องครัวก็มีเชฟที่เป็นผู้หญิงอายุไม่มากรีบวิ่งมา อลันจึงส่ายหน้าแล้วพูดภาษาอิตาลีห้วนๆ

    “เบอร์ธ่า บอกให้อยู่ในที่ของตัวเองไง เดี๋ยวตรงนี้ผมจัดการเอง”

    “เอ่อ…ฉันช่วยหยิบอะไรให้เอามั้ยคะ”

    “ไม่ได้ยินเหรอที่บอกว่าจะจัดการเองน่ะ”

    อลันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา คาย่าจึงกระซิบที่ข้างหูของมินจุนว่า

    “คิดถึงสมัยก่อนเลย”

    แต่มินจุนส่ายหน้าแล้วพูดว่า

    “น่าจะหนักกว่าเมื่อก่อนอีก”

    อาจเพราะเป็นคนในครัวตัวเองอลันจึงปฏิบัติตัวเข้มงวดและน่ากลัวกว่าตอนทำรายการแกรนด์เชฟ แต่ท่าทางแบบนั้นก็ไม่ได้ทำให้เชฟผู้หญิงคนนั้นเดินจากไปง่ายๆ เธออายุน่าจะพอๆ กับคาย่าและมีผมสีน้ำตาลเข้ม พอเห็นเธอเหลือบมองคาย่า อลันก็ทำหน้าบึ้ง เอมิลี่จึงวางมือลงบนไหล่ของอลันและพูดว่า

    “ดูเหมือนเธอมีอะไรจะพูดกับคาย่านะ ให้เวลาเธอหน่อยเถอะ อลัน”

    “เบอร์ธ่า มีอะไรจะพูดก็รีบพูดแล้วกลับไปประจำที่”

    “ค่ะ!”

    เบอร์ธ่าพยักหน้าด้วยความตื่นเต้น ทั้งที่อายุน่าจะพอๆ กับคาย่า แต่ดูมีพลังน้อยกว่า ส่วนสูงก็น้อยกว่าคาย่าประมาณครึ่งคืบ น่าจะสูงพอๆ กับโคลอี้ เธอพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยคล่อง แต่ก็ไม่เป็นปัญหาต่อการเข้าใจ

    “ฉันเองก็…เอ่อ…จบแค่ระดับประถมเหมือนกัน ฉันไม่ได้มีพรสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่อะไรเหมือนคุณ แต่ว่า…เอ่อ…ยังไงก็ตามฉันก็อยากเป็นเหมือนคุณ คุณเป็น…อะไรนะ อ้อ เป็นโรลโมเดลของฉัน”

    “อ๋อ ขอบคุณค่ะ”

    “คุณสองคนเหมาะสมกันจัง!ขอโทษที่รบกวนเวลานะคะ!”

    เบอร์ธ่ามองมินจุนกับคาย่าแล้ววิ่งจากไปอย่างเขินอาย มินจุนกับคาย่าจึงมองหน้ากันแล้วยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน

    “ถ้าอยู่ระหว่างการถ่ายทอดสดคงโดนล้ออีกเยอะเลย”

    “แม้จะไม่ใช่การถ่ายทอดสด สุดท้ายถ้ามันถูกนำไปออกอากาศก็คงเหมือนกันอยู่ดี มาร์ติน คุณจะตัดซีนนี้ไปออกอากาศรึเปล่า”

    “แน่นอน มินจุน”

    คำตอบนั้นทำให้มินจุนทำตาโต มาร์ตินจึงยิ้มกรุ้มกริ่มก่อนจะพูดต่อ

    “ให้มันน่าสนใจกว่าเดิม”

    “เห็นมั้ยล่ะ เขาเป็นแบบนั้น”

    “เป็นเบี้ยล่างของคนดู”

    “ก็เพราะว่าโบนัสของผมถูกประเมินจากจำนวนผู้ชมรายการนี่นา”

    “มาร์ตินบอกอยู่ตลอดว่าขอบคุณที่พวกเราช่วยทำให้จำนวนคนดูเพิ่มขึ้น ถ้าได้โบนัสเพราะจำนวนคนดูก็น่าจะต้องเลี้ยงของอร่อยๆ พวกเราด้วยนะ”

    “ก็กำลังเลี้ยงอยู่นี่ไง คาย่า”

    “อันนี้มันงบของรายการต่างหาก!”

    มาร์ตินไม่ตอบ แกล้งหันไปสนใจอย่างอื่น มินจุนจึงลูบไหล่คาย่าแล้วพูดว่า

    “อย่ารบเร้าเลย เดี๋ยวก็ทำตัวเหมือนเด็ก เดี๋ยวก็ทำตัวเหมือนผู้ใหญ่ เป็นอะไรเนี่ย”

    “ผู้หญิงน่ะ บางครั้งก็ทำตัวเหมือนเด็ก บางครั้งก็ทำตัวเหมือนผู้ใหญ่เป็นเรื่องปกติ”

    “จะเป็นผู้หญิงเฉพาะกับมาร์ตินหรือไง”

    “ทำไม หรือชอบให้เป็นแค่กับนายล่ะ?”

    อยู่ๆ มินจุนก็พูดไม่ออก คาย่าก็เหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าพูดอะไรไป มินจุนหันหน้าไปทางอื่น ส่วนคาย่าหน้าแดงและเอาแต่จ้องไปที่พื้น อลันที่เพิ่งทำพาสต้าเสร็จเห็นเขาสองคนแล้วก็พยักหน้าเหมือนจะพอเข้าใจ

    “สองคนนี้ท่าทางจะถ่ายหนังกันอีกแล้วสินะ คราวนี้เป็นหนังอะไรล่ะ”

    “หนังรักดูดดื่ม?”

    “ชักอยากเห็นวันที่ถ่ายแนวแอ็กชั่นซะแล้วสิ”

    “ไม่แน่นะ อาจจะได้ถ่ายแนวครอบครัวก่อนก็ได้”

    เอมิลี่กับเซร่าแกล้งพูดต่อปากต่อคำกันไปมา มินจุนแอบคิดว่าเอมิลี่ดูอารมณ์ดีอย่างน่าประหลาด ปกติเธอมีนิสัยสบายๆ แต่วันนี้ดูมากกว่าปกติ หรือเป็นเพราะอลันกันนะ เขาอดคิดแบบนั้นไม่ได้เพราะทุกครั้งที่เห็นเอมิลี่มองอลัน เธอจะพยายามยิ้มให้ดูสวยกว่าปกติ มินจุนจึงเริ่มพูดขึ้นมาว่า

    “เซร่า วันนี้เอมิลี่ดูอารมณ์ดีจัง คุณว่ามั้ย”

    “นั่นสิ เพราะอะไรนะ”

    พอเริ่มเดาเรื่องราวได้จากสายตาของมินจุน เซร่าก็ยิ้มและพูดแกมหยอกจนเอมิลี่หน้าแดง ส่วนอลันก็แกล้งทำเป็นไม่สนใจคำพูดของเซร่าแล้วตักพาสต้าแบ่งใส่จาน

    “เป็นอัลเดนเต้ในระดับที่คนอิตาเลียนคิดว่าเหมาะพอดี น่าจะอร่อยกว่าที่กินบนโต๊ะก่อนหน้านี้อีกนะ เพราะผมลงมือทำเอง”

    “อลัน คุณรู้ใช่ไหมว่าทำภาพลักษณ์ตัวเองตอนอยู่รายการแกรนด์เชฟพังลงไปมาก”

    “ก็ที่นี่ไม่ใช่แกรนด์เชฟนี่นา”

    มินจุนเลือกที่จะตักพาสต้าใส่ปากมากกว่าสนใจการพูดคุยของคาย่าและอลัน ปกติถ้ากินอาหารแบบเดิมซ้ำก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ความประทับใจจะลดน้อยลง แต่น่าแปลกที่ตอนนี้กลับไม่รู้สึกแบบนั้นเลย แม้เดิมทีพาสต้าผัดน้ำมันจะเป็นอาหารที่ไม่ได้ทำให้เบื่อง่ายขนาดนั้นอยู่แล้วก็เถอะ หรือนี่เป็นเสน่ห์ของอาหารที่ได้สิบคะแนนกันแน่นะ? ถึงจะกินแล้วกินอีกรสชาติที่อร่อยและหอมมันของเส้นก็ไม่ลดน้อยลง ขนาดเรเชลและเจเรมี่ยังยกมือตักพาสต้ากินไม่หยุด เรเชลยิ้มชื่นชมด้วยสีหน้าปลื้มใจ

    “อลัน พัฒนาไปเยอะเลยนะ หาคนทำเส้นได้ดีมากด้วย”

    “อาจารย์ก็รู้จักเขานะครับ”

    “ฉันเหรอ”

    “ใช่ ไม่เจอกันนานเลยนะ”

    เสียงตอบดังมาจากด้านหลังทีมงาน ทุกคนจึงหันไปมองอย่างตกใจ ผู้ชายมีอายุ ผมสีเทา ต้นแขนกำยำกำลังมองเรเชลอยู่ หลังจากที่ขมวดคิ้วและพยายามโฟกัสสายตาอยู่ครู่หนึ่งเรเชลก็พูดด้วยน้ำเสียงตกใจว่า

    “อัลเฟรโด้?!”

    “เธอก็แก่ลงเยอะเลยนะ”

    “อยู่ที่นี่หรอกเหรอ”

    “ฉันต้องเป็นคนถามต่างหาก คนที่เก็บตัวเงียบมาตลอดระยะเวลาสิบปีคือเธอ ไม่ใช่ฉัน”

    “มันก็ถูกของนาย”

    ชายที่ชื่ออัลเฟรโด้ไม่ได้พูดภาษาอิตาลี แต่กำลังพูดภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่วราวกับเจ้าของภาษา เพราะอย่างนั้นทุกคนจึงไม่มีปัญหาในการฟังบทสนทนาของคนทั้งสอง พอรู้สึกได้ถึงสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของทุกคน เรเชลก็แนะนำให้รู้จักกับเพื่อนเก่า

    “อัลเฟรโด้น่ะ เขาเป็นคนที่เคยส่งเส้นพาสต้าให้ตอนที่พวกเราเปิดร้านอาหารในเมืองเวนิสเป็นครั้งแรก”

    “เส้นที่พวกคุณกำลังกินกันอยู่ตอนนี้ฉันก็เป็นคนทำ”

    อัลเฟรโด้พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ มินจุนมองชายชราด้วยสายตาแปลกใจ

     

    [อัลเฟรโด้ อาร์เจนโต้]

    เลเวลการทำอาหาร : 6

    เลเวลการทำของหวาน: 6

    เลเวลการชิม : 8

    เลเวลการตกแต่งจาน: 4

     

    เป็นเลเวลที่ถือว่าไม่ได้มีอะไรยิ่งใหญ่ถ้าเทียบกับการที่เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการทำเส้น อันที่จริงการทำเส้นก็เป็นเทคนิคอีกอย่างที่ไม่สามารถวัดด้วยเลเวลการทำอาหารหรือเลเวลการทำของหวานได้เลย มินจุนหันไปมองอลันแล้วเอ่ยถาม

    “อลัน ผมอยากขอดูเส้นพาสต้าแบบที่ยังไม่สุกได้มั้ย”

    “ได้สิ นี่ไง”

    อลันดึงพาสต้าที่อยู่บนชั้นออกมา มินจุนนิ่งมองเส้นลิงกวินี มีกลิ่นแป้งสาลีอ่อนๆ โชยออกมาจากเส้นแบนๆ มันนิ่มมากทั้งที่เป็นเส้นอบแห้ง คะแนนที่ได้คือเจ็ด แค่ตัวเส้นที่ยังไม่ได้ทำอะไรก็ได้ถึงเจ็ดคะแนนแล้ว เขารู้ดีว่ามันหมายความว่าอะไร เขาหยิบเส้นเข้าปากโดยไม่ลังเล แล้วตอนนั้นเองอลันก็ยิ้มและพูดกับอัลเฟรโด้ว่า

    “ระวังนะ คนนั้นเขาดังเพราะมีประสาทรับรสที่แม่นยำ ไม่แน่เขาอาจจะวิเคราะห์การทำเส้นของคุณได้หมด”

    “ฮ่าๆ มันเป็นเส้นที่เดิมพันด้วยทั้งชีวิตของฉันเลยนะ ชีวิตฉันมันไม่ง่ายถึงขนาดที่จะสามารถวิเคราะห์ได้ด้วยการกินแค่คำเดียวหรอกนะ ฉันต้องคอยเช็กทั้งอุณหภูมิห้อง ความชื้น อุณหภูมิของร่างกายฉัน และความเค็มของน้ำ ต่อให้มีประสาทรับรสที่อ่อนไหวแค่ไหนก็ไม่สามารถวิเคราะห์ความยากลำบากพวกนั้นออกมาได้ทั้งหมดหรอก”

    อัลเฟรโด้มั่นใจ ส่วนมินจุนกลืนเส้นลงไปพร้อมกลอกตาเล็กน้อย แล้วหน้าต่างที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าเขา

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook