• Connect with us

    Enter Books

    คดีปีศาจแห่งเมืองไคเฟิง

    ทดลองอ่าน คดีปีศาจแห่งเมืองไคเฟิง เล่ม 1 ตอนที่ 1

    ดูท่าทางคุณชายจางคงโกรธมากจริงๆ

    จุดนี้วิเคราะห์ได้จากท่าทางการเดินของเขา เท้าทั้งสองย่ำลงบนพื้นหนักๆ แขนทั้งสองแกว่งซ้ายแกว่งขวาแรงๆ มีอยู่ช่วงหนึ่งเนื่องจากคุมจังหวะไม่ดี ทำให้แขนขาแกว่งไปในทางเดียวกัน

    จั่นเจาเดินตามอยู่ข้างหลัง เว้นระยะห่างราวจั้ง*กว่าอย่างไม่รีบไม่ร้อน ตอนคุณชายจางพบว่าเขาเดินตามมาก็หันหน้ามาพูดทำนองท้าทาย “จั่นเจา ข้าจะไปทุบบ้านตวนมู่ชุ่ย เจ้ากล้าทำเช่นข้าหรือไม่”

    “จั่นเจาไม่กล้า” จั่นเจาตอบอย่างซื่อตรง พร้อมกันนั้นก็ได้กลิ่นสุราที่คุณชายจางพ่นออกมาจึงรู้สาเหตุที่ทำให้คุณชายจางไม่หวาดไม่กลัวอะไรเช่นนี้

    สุราทำให้คนใจกล้าขึ้นจั่นเจาคิดในใจ คนโบราณไม่ได้โกหก

    บ้านของตวนมู่ชุ่ยอยู่ตีนเขาห่างจากตัวเมืองด้านตะวันตกไปสิบลี้**อยู่ริมน้ำอิงภูเขา เงียบสงบยิ่ง เมื่อข้ามสะพานแห่งหนึ่งไปก็จะเป็นกระท่อมมุงหญ้าคามีลานเล็กด้านหน้าของตวนมู่ชุ่ย มองจากประตูรั้วเข้าไปก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากกระท่อมของชาวนาทั่วไป เพียงแต่เก็บกวาดเรียบร้อยเป็นพิเศษ

    “ตวนมู่ชุ่ย!” คุณชายจางสองมือจับประตูรั้วเขย่า “เจ้าเอาชุ่ยอวี้ไปซ่อนไว้ที่ไหน ตวนมู่ชุ่ย!”

    คุณชายจางหันหน้ากลับมาคิดจะพูดอะไรกับจั่นเจา จึงพบว่าจั่นเจายังยืนอยู่ไกลๆ ที่หัวสะพานไม้อีกด้านหนึ่ง “เหตุใดท่านจึงไม่ข้ามมา”

    เพราะเหตุใดจึงไม่ข้ามมา แน่นอนย่อมเป็นคำสั่งของเปาเจิ่ง

    หลังพิงภูผาเขียว สายน้ำไหลคดเคี้ยว เจ้าบ้านไม่นำทาง ไม่ข้ามสะพานตวนมู่

    หากไม่ใช่กินอิ่มไม่มีอะไรทำ ใครอยากจะไปแส่หาเรื่องตวนมู่ชุ่ยผู้เป็นเจ้าสำนักซี่ฮวาหลิว

    คุณชายจางยังคงหันหน้ามาหัวเราะ “จั่นเจา ทุกคนต่างบอกว่าเจ้าเป็นแมวหลวง แต่ข้าว่าเจ้าขี้ขลาดดุจมุสิก”

    จั่นเจายิ้มๆ “คำพูดนี้เจ้าพูดให้ข้าฟังก็แล้วไปเถิด แต่อย่าพูดต่อหน้าไป๋อวี้ถัง*เด็ดขาด”

    พูดยังไม่ทันขาดคำดี คุณชายจางพลันใช้มือขวากุมมือซ้ายไว้พร้อมร้องเสียงดัง “กัดข้า…ประตูรั้วกัดข้า!”

    ใครให้เขาอยู่ดีไม่ว่าดีไปจับประตูรั้วของตวนมู่ชุ่ย โจษจันกันว่าสำนักซี่ฮวาหลิวฉลาดหลักแหลมนับเป็นตัวอันตรายอันดับหนึ่งในใต้หล้า ไม่ต้องพูดถึงว่าทำประตูที่กัดคนได้ ต่อให้ทำประตูที่กินคนได้ก็ไม่แปลก

    “มันกัดข้าจริงๆ ข้าเห็นปากอยู่ชัดๆ เอ๋? เหตุใดจึงหายไปแล้ว” คุณชายจางขยี้ตา ราวกับสิ่งที่เห็นหายไปในเมฆหมอก

    ขณะพูด หญิงสาวท่าทางอ่อนหวานแช่มช้อยสวมเสื้อผ้าแพรบางสีเขียวมรกตผู้หนึ่งพลันเดินยิ้มๆ ออกมาจากในบ้าน

    คุณชายจางพลันนึกถึงเรื่องชุ่ยอวี้ขึ้นมาได้ “เจ้าก็คือตวนมู่ชุ่ย?”

    “ใช่” ตวนมู่ชุ่ยยิ้ม “เจ้ามาหาชุ่ยอวี้หรือ”

    “ชุ่ยอวี้อยู่ที่นี่จริงด้วย!” คุณชายจางเพลิงโทสะพวยพุ่ง “เพราะเหตุใดเจ้าต้องจับนางมา”

    “เจ้าอยากรู้ก็เข้ามาถามนางเองเถิด” ตวนมู่ชุ่ยเปิดประตู

    คุณชายจางแค่นเสียงฮึออกมาคำหนึ่งแล้วเชิดศีรษะขึ้นจนสูง ปลายคางชี้ตรงไปที่ใบหน้าของตวนมู่ชุ่ย

    ตวนมู่ชุ่ยยิ้มแย้ม ไม่ได้โกรธ นางยังทักทายจั่นเจา “ใต้เท้าจั่นก็เข้ามาด้วยกันเถิด”

    จั่นเจาระบายลมหายใจออกมาทีหนึ่งแล้วจึงเดินข้ามสะพานมา

    หลังจากเข้ามาในบ้านก็ลงนั่งล้อมโต๊ะ คุณชายจางมองไปรอบๆ “ชุ่ยอวี้เล่า”

    “ยังทาชาดทาแป้งอยู่กระมัง” ตวนมู่ชุ่ยกล่าว “ย่อมไม่อาจผมยุ่งหน้าตามอมแมมมาพบคุณชายได้”

    คุณชายจางเผยสีหน้ากระหยิ่มใจ

    “มีคำพูดประโยคหนึ่งข้าอยากจะถามคุณชายต่อหน้า คุณชายมีความจริงใจต่อชุ่ยอวี้หรือ”

    คุณชายจางถลึงตา ตบอกดังปึก “หัวใจดวงนี้ตะวันจันทราเป็นพยานได้”

    คุณชายจางชอบถลึงตาเสียจริง ยังชอบตบอกอีกด้วย

    “แต่…” ตวนมู่ชุ่ยมีสีหน้าห่วงกังวล “สตรีที่อาศัยรูปโฉมทำให้บุรุษพึงพอใจ ย่อมไม่อาจรักษาความสัมพันธ์ไว้ได้ยาวนาน เกิดวันหน้าชุ่ยอวี้แก่ตัวลงรูปโฉมเสื่อมโทรม…”

    “เห็นข้าเป็นคนตื้นเขินเช่นนั้นรึ” คุณชายจางถลึงตาอีก

    “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้…” ตวนมู่ชุ่ยลากเสียงยาวอย่างมีความหมายลึกซึ้ง “เช่นนั้นข้าก็วางใจแล้ว คุณชายจางพูดอะไรไว้ต้องจดจำให้ดี อย่าพูดกลับไปกลับมาให้ชุ่ยอวี้ต้องเสียใจ”

    “เรื่องนี้แน่นอน” คุณชายจางรับปากเต็มคำ

    ตวนมู่ชุ่ยหันมามองจั่นเจา “ความใจกล้าของใต้เท้าจั่นเป็นอย่างไร”

    “พอถูไถไปได้”

    “เช่นนั้นก็ดี อีกประเดี๋ยวถ้ามีอะไรเกิดขึ้น…”

    “ข้าจั่นเจาจะรับมือเอง”

    ตวนมู่ชุ่ยยิ้มมีเลศนัย

    ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น…จะมีอะไรเกิดขึ้นหรือ

    คำพูดเมื่อครู่ของตวนมู่ชุ่ยคล้ายมีความนัย หรือชุ่ยอวี้ผู้นี้หาได้รูปโฉมงามเพริศพริ้งเช่นที่คุณชายจางคิด หาไม่แล้วเหตุใดตวนมู่ชุ่ยจึงให้คุณชายจางแสดงท่าทีชัดแจ้งว่ารักชุ่ยอวี้ ‘ไม่ใช่เพราะหน้าตา’

    ขณะใคร่ครวญอยู่นั้นพลันมีเสียงดนตรีดังมาจากด้านใน นุ่มนวลแผ่วโผย พร้อมกันนั้นสตรีในชุดโอ่อ่าสวยหรูผู้หนึ่งก็เยื้องย่างออกมาจากห้องด้านใน คุณชายจางมีท่าทีตื่นเต้น รีบลุกขึ้นมาต้อนรับ กุมมือทั้งสองของสตรีผู้นั้น “ชุ่ยอวี้”

    ชุ่ยอวี้ก้มหน้ายิ้มท่าทางขวยเขิน สะบัดมือทั้งสองของคุณชายจางออก ร่ายรำอย่างคล่องแคล่วไปตามเสียงดนตรีบนพื้นที่ประมาณหนึ่งตารางจั้งนั้น

    คุณชายจางชมดูนัยน์ตาไม่กะพริบ ค่อยๆ ถอยกลับมานั่งข้างโต๊ะอย่างทึ่มทื่อ มองตามทุกอากัปกิริยาของชุ่ยอวี้ไม่ละสายตาไม่ว่าจะแย้มยิ้มหรือขมวดคิ้ว จิตใจดั่งจะโบยบินไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ไหนแล้ว

    จั่นเจามองชุ่ยอวี้แล้วก็มองคุณชายจาง ไม่เข้าใจอย่างสิ้นเชิงว่าในน้ำเต้าของตวนมู่ชุ่ยขายยาอะไร*ตวนมู่ชุ่ยเพียงยิ้มน้อยๆ แสดงท่าทีให้จั่นเจาสังเกตชุ่ยอวี้

    จั่นเจาจ้องอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็เริ่มมองสายสนกลในออก

    ชุ่ยอวี้ผู้นี้ตอนเพิ่งปรากฏตัวดูงามหยาดเยิ้มน่าประทับใจ เพียงแต่ระหว่างขับร้องร่ายรำไป ใบหน้าก็ยิ่งแลประหลาด แต่ก็บอกไม่ถูกว่าประหลาดตรงไหน เพียงชั่วประกายไฟแลบ จั่นเจาพลันเข้าใจ ชุ่ยอวี้แก่ลงแล้ว

    ชุ่ยอวี้ที่อยู่ตรงหน้าแม้รูปร่างจะงดงาม ทว่าระหว่างหัวคิ้วนัยน์ตาก็มีริ้วรอยเล็กๆ ปรากฏอยู่ คล้ายแก่ลงไปนับสิบปี

    จั่นเจาตกตะลึงพรึงเพริดหันมองตวนมู่ชุ่ย นางรู้ว่าเขามองออกถึงมูลเหตุแล้วจึงพยักหน้าให้น้อยๆ คุณชายจางผู้นั้นยังไม่รู้ ยังคงเคลิบเคลิ้มอยู่ในการร่ายรำอันงดงามของชุ่ยอวี้

    ผ่านไปอีกครู่หนึ่งสีหน้าของคุณชายจางค่อยๆ เปลี่ยน ร่างก็สั่นสะท้านขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

    ชุ่ยอวี้แก่ลงมาก

    หนังตาของนางห้อยต่ำลง สองแก้มเว้าลึกเข้าไป ใบหน้าจากขาวนุ่มแดงปลั่งเปลี่ยนเป็นแห้งเหี่ยวเหลืองเหมือนเทียนไข แผ่นหลังค่อยๆ งองุ้มลง เส้นผมก็มีสีขาวอมเทาแล้ว

    หน้าผากของคุณชายจางมีเหงื่อเย็นซึมออกมาเป็นเม็ดๆ และพลันร้องเสียงดังออกมาคำหนึ่ง ทำท่าจะวิ่งออกไปนอกประตู ไหนเลยจะรู้ การเคลื่อนไหวของตวนมู่ชุ่ยกลับเร็วยิ่งกว่า เพียงชั่วพริบตาก็คว้าแขนของคุณชายจางเอาไว้ได้ ยิ้มหยันแล้วว่า “คุณชายจาง เจ้าอย่าลืมว่ารับปากอะไรข้าไว้ คนที่อยู่ตรงหน้าคือสตรีที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมเป็นสามีภรรยากับเจ้า”

    คุณชายจางส่งเสียงเอ่อๆ อยู่ในลำคอ แต่กลับพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว ชุ่ยอวี้พลันแสยะปากยิ้ม ฟันที่เคยขาวดุจไข่มุกเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอมดำที่โยกคลอนไม่กี่ซี่ ระหว่างซี่ฟันที่เหลือเพียงหร็อมแหร็มมีเหงือกสีแดงฉานโผล่ออกมา

    คุณชายจางทนต่อไปอีกไม่ไหว ส่งเสียงร้องน่าเวทนาออกมาคำหนึ่ง แล้วกระชากแขนเสื้อจนขาดออกมาครึ่งหนึ่ง เกลือกกลิ้งตะเกียกตะกายออกจากประตูไป

    ตวนมู่ชุ่ยหัวเราะฮ่าๆ แล้วหันไปทางชุ่ยอวี้ “ปีศาจร้าย ยังไม่รีบคืนร่างเดิม!”

    เพิ่งจะพูดขาดคำ เสื้อผ้าบนร่างของชุ่ยอวี้พลันฉีกขาดแล้วปลิวไป เมื่อจั่นเจาหันกลับมามองอีกครั้งไหนเลยยังจะมีเงาร่างของชุ่ยอวี้อยู่ เห็นชัดว่าเป็นยายแก่เหี่ยวแห้งเอวงอหลังงุ้มร่างสูงไม่ถึงสองเชียะ*บนศีรษะเหลือเส้นผมขาวเพียงไม่กี่ปอย เล็บมือคดงอเล็กยาว ทั้งตัวมีแต่รอยเหี่ยวย่นกองซ้อนกัน บอกไม่ถูกว่านางแก่มากเพียงใดแล้ว

    จั่นเจาสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ ปีศาจตนนั้นพลันยื่นปลายลิ้นออกมา เลียไปรอบปาก แหงนหน้าขึ้นส่งเสียงร้องโหยหวนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หมุนตัวพุ่งเข้าไปในห้องราวกับสัตว์

    เสียงดนตรีพลันหยุดนิ่ง ในบ้านไม่มีเสียงใดๆ สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ราวกับเป็นความฝัน

    ผ่านไปนานจั่นเจาจึงเอ่ยเสียงหนักขึ้น “แม่นางตวนมู่ นี่คงไม่ใช่แค่วิชาปลอมแปลงโฉมของสำนักซี่ฮวาหลิวกระมัง“

    ตวนมู่ชุ่ยกล่าวยิ้มๆ “วิชาปลอมแปลงโฉมอะไร นี่เป็นปีศาจมารที่มีชีวิตอยู่มาสี่ร้อยปีตนหนึ่ง”

    จั่นเจาตกตะลึงพรึงเพริด

    ตวนมู่ชุ่ยหัวเราะหึๆ “โลกมนุษย์มีกฎหมาย แดนปีศาจก็มีกฎเกณฑ์ ศาลไคเฟิงควบคุมหลักกฎหมายในโลก สำนักซี่ฮวาหลิวก็ทำหน้าที่จับกุมภูตผีปีศาจในแดนมนุษย์ ใต้เท้าจั่นเจ้าเข้าใจหรือยัง”

    จั่นเจานิ่งเงียบไปเป็นนาน ก่อนเอ่ยขึ้น “มิน่า คดีที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักซี่ฮวาหลิวใต้เท้าเปาจึงมักไม่สืบสวนอีก แต่ไรมาข้าเข้าใจว่าพวกสัตว์ประหลาดภูตพรายมารปีศาจเป็นเพียงคำพูดที่มาจากบันทึกเรื่องแปลกประหลาดเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง”

    ตวนมู่ชุ่ยกล่าวยิ้มๆ “คนแก่แล้วก็กลายเป็นผี สัตว์แก่แล้วก็กลายเป็นปีศาจ โลกนี้เดิมก็เป็นสถานที่เกิดและอยู่ร่วมกันของคนผีมารปีศาจอยู่แล้ว ใต้เท้าจั่นเห็นคนมากก็เข้าใจว่าโลกนี้ไม่มีผี เช่นนั้นผีเห็นผีมากแล้วไยมิใช่ก็เข้าใจว่าโลกนี้ไม่มีคน มีเพียงผีที่เป็นใหญ่หรือ”

    จั่นเจานิ่งเงียบ

    ตวนมู่ชุ่ยกล่าวต่อ “เหตุผลนี้เข้าใจไม่ยาก เจ้าเป็นคนฉลาด ใต้เท้าเปาเข้าใจได้ เจ้าก็ต้องเข้าใจได้เช่นกัน”

    “ใต้เท้าเปา?”

    “สำนักซี่ฮวาหลิวเอาตัวผู้กระทำผิดไปจากมือศาลไคเฟิงหลายครั้ง ด้วยนิสัยของใต้เท้าเปา ไม่ถามให้ชัดเจน มีหรือจะยอมเลิกรา”

    จั่นเจายังมีสีหน้างงงวยแต่ก็พยักหน้าน้อยๆ

    ตวนมู่ชุ่ยเห็นแล้วให้อ่อนใจเล็กน้อยจึงทอดถอนใจแล้วว่า “เจ้าอาจไม่เข้าใจในเวลาอันสั้น แต่ไม่เป็นไร ต่อไปไปมาหาสู่กันบ่อยเข้า เจ้าก็จะเข้าใจไปเอง”

    “ไปมา…หาสู่กัน”

    “ใต้เท้าเปาให้ข้าเชิญเจ้าเข้ากระท่อมตวนมู่ เจ้าคงไม่ใช่เห็นว่าเพียงเข้ามาชมการแสดงของปีศาจกระมัง” ตวนมู่ชุ่ยยิ้มพราวเสน่ห์ “วันนี้หยุดแค่หอมปากหอมคอ ใต้เท้าจั่นเชิญกลับเถิด”

    “เช่นนั้นข้าไม่รบกวนแล้ว” จั่นเจาลุกขึ้นเดินออกไป ขณะเดินมาถึงหน้าประตูก็พลันหันกลับไป “เมื่อครู่คุณชายจางบอกว่าถูกประตูรั้วกัด แล้วยังบอกเห็นปาก…”

    “ยังคงเป็นคำพูดประโยคเดิม สิ่งของอายุมากแล้วอาจกลายเป็นปีศาจ” ตวนมู่ชุ่ยยิ้มอย่างแฝงความหมายลึกซึ้ง

    ตวนมู่ชุ่ยแย้มยิ้มงดงาม แต่จั่นเจากลับถูกรอยยิ้มของนางทำเอาหนาวสะท้านไปทั้งร่าง เมื่อมองไปที่กลางลาน ต้นไม้ ใบหญ้า ไม้กวาด กระด้งคล้ายกำลังกระซิบกระซาบพูดคุยกันราวเป็นสิ่งมีชีวิต

    ให้เดินออกไปเอง…ในใจของเขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา

    “เจ้าบ้านไม่นำทาง ไม่ข้ามสะพานตวนมู่” จั่นเจาเก้อเขิน “รบกวนแม่นางช่วยนำทาง”

    จั่นเจาที่ยามเผชิญหน้ากับโจรสลัดในทะเลโจรร้ายในป่าไม่เคยถอยแม้ครึ่งก้าว ทว่าเมื่อต้องมาเผชิญกับภูตผีปีศาจเต็มตาเช่นนี้ก็อดขนพองสยองเกล้าไม่ได้

    ยังจะต้องไปมาหาสู่กันอีก ช่างเถิดช่างเถิด โลกมนุษย์มีกฎหมายแดนปีศาจมีกฎเกณฑ์ คนกับผีต่างเส้นทางกัน ยังคงต่างคนต่างอยู่ไม่เกี่ยวข้องกันจะดีกว่า

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in คดีปีศาจแห่งเมืองไคเฟิง

    นิยายยอดนิยม

    Facebook