• Connect with us

    Enter Books

    คดีปีศาจแห่งเมืองไคเฟิง

    ทดลองอ่าน คดีปีศาจแห่งเมืองไคเฟิง เล่ม 1 ตอนที่ 1

    4 of 4หน้าถัดไป

    คืนวันนี้จั่นเจาออกลาดตระเวนตามปกติ กลับเจอเข้ากับตวนมู่ชุ่ย

    แน่นอน การ ‘เจอ’นี้ก็ไม่ใช่การเจอธรรมดา แต่บังเอิญเห็นขณะเงยหน้าขึ้นมองชั้นบนสุดของหอสุราไท่ไป๋ ตรงจุดที่ป้ายผ้าของหอสุราสะบัดพึ่บพั่บ ตวนมู่ชุ่ยนั่งอยู่ตรงนั้นพอดี

    พบกันครั้งแรกนับว่าแปลกหน้า พบกันครั้งที่สองย่อมถือว่าคุ้นเคยกัน ไม่อาจแสร้งทำเป็นไม่เห็น จั่นเจาลังเลอยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็โคจรพลังทะยานร่างกระโจนขึ้นลงไม่กี่ครั้งก็มาอยู่ข้างกายตวนมู่ชุ่ย

    เอ๋…?

    นางกำลังกินเกี๊ยวอยู่ ถือชามคีบตะเกียบ ในชามเกี๊ยวมีควันลอยกรุ่น โรยหน้าด้วยกุ้งแห้งฝอย กลิ่นหอมยิ่ง

    จั่นเจาอึดอัดขัดเขิน จำต้องหาเรื่องพูด “แม่นางตวนมู่ เหตุใดจึงมานั่งกินข้าวอยู่ที่นี่คนเดียว แต่ก็…ผึ่งผายสง่างามยิ่ง”

    ตวนมู่ชุ่ยบอก “ใครกินข้าวคนเดียว ข้ากำลังตักเตือนและตำหนิคนในสำนักอยู่” นางพูดแล้วหันหน้าไปทางหนึ่ง คล้ายไม่พอใจที่คนของตนไม่ได้เรื่องได้ราว “หามาตั้งหลายวันแล้ว กระทั่งเบาะแสก็ยังไม่พบ ขายหน้าหรือไม่ ดีแต่ขี้เมาหยำเป!”

    นางกำลังพูดกับใครหรือ ตรงนั้นมีแต่ป้ายผ้าของร้านสุรากำลังปลิวสะบัด

    หรือว่า…

    จั่นเจาชี้ไปที่ป้ายผ้าแล้วถามนาง “นี่…นี่คือคนในสำนักของเจ้า”

    นางยังไม่ทันตอบ ป้ายผ้าพลันสะบัดตัวขึ้นมาเอง ผืนผ้ายับย่นเป็นรูปหน้าคน ส่งรอยยิ้มอบอุ่นและแปลกประหลาดมาให้เขา “คารวะใต้เท้าจั่นแห่งศาลไคเฟิง”

    จั่นเจาไม่ทันตั้งตัว พอจะพูดได้ว่าสะดุ้งตกใจ จึงถอยหลังไปสองก้าวด้วยสัญชาตญาณ เหยียบถูกขอบกระเบื้องหลังคาที่ลื่นจนเกือบจะพลัดตก…ถึงจะอาศัยวรยุทธ์ที่สูงส่งประคองร่างไว้ได้ แต่ก็อยู่ในสภาพย่ำแย่ยิ่ง

    หนึ่งครั้งสองครั้งล้วนปล่อยห้าแต้มต่อหน้าตวนมู่ชุ่ย จั่นเจาสองแก้มร้อนผะผ่าว

    ตวนมู่ชุ่ยมองเขาอย่างเห็นใจแล้วยื่นมือไปกลางอากาศ ทำท่าหยิบอะไรบางอย่าง ฉับพลันนั้นก็มีกระดาษยันต์แผ่นหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ “ให้เจ้า”

    “นี่คืออะไรหรือ”

    “ยันต์สะกด พับให้ดีแล้วพกติดตัวไว้ ปีศาจเล็กปีศาจน้อยเหล่านี้ก็จะไม่กล้ากำเริบเสิบสานต่อหน้าเจ้า”

    ใช้ได้ผลอย่างแท้จริง พอเก็บยันต์สะกดไว้ในอกเสื้อ ป้ายผ้าผืนนั้นก็กลับไปปลิวสะบัดอยู่กลางอากาศ กลายเป็นผ้าเก่าคร่ำที่ตากแดดตากฝนธรรมดาผืนหนึ่ง

    เกี๊ยวชามนั้นซื้อมาจากแผงขายของในตลาดกลางคืนที่อยู่ไม่ไกล กินหมดแล้วยังต้องเอาชามกลับไปคืน อย่างไรเสียก็ต้องลาดตระเวนอยู่แล้ว จั่นเจาจึงเดินไปคืนเป็นเพื่อนนาง ทั้งสองเดินทะลุผ่านตรอกแคบๆ บางครั้งชายเสื้อกับกระโปรงก็กระทบถูกกัน

    นับว่าแผนการไล่ตามไม่ทันการเปลี่ยนแปลง เดิมยังคิดว่าจะไม่ไปมาหาสู่กับแม่นางตวนมู่ผู้นี้อีก

    ขณะกำลังคิด ที่เบื้องหน้าไม่ไกลนัก ประตูบ้านหลังหนึ่งพลันเปิดออกดังปัง มีบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งล้มกลิ้งออกมา จากนั้นจานชาม ถาด หมอน ผ้าห่มก็ถูกขว้างตามมาใส่ศีรษะบุรุษผู้นั้นไม่ขาดสาย

    ระหว่างนั้นก็มีเสียงร้องไห้คร่ำครวญของสตรีผู้หนึ่ง “ยังจะไปพบนางปีศาจจิ้งจอกผู้นั้นอีก ท่านยังต้องการครอบครัวนี้หรือไม่…”

    เห็นจนชินชา สามีภรรยามีปากเสียงกัน เห็นบ่อยจนไม่รู้สึกแปลก ความสัมพันธ์สามเส้า

    ในเมื่อมาพบเจอเข้าก็ต้องช่วยไกล่เกลี่ยสักหน่อย หากปล่อยให้รบกวนชาวบ้านกลางดึกกลางดื่นย่อมไม่ดีแน่

    จั่นเจาก้าวเข้าไปสองก้าว พยุงบุรุษผู้นั้นขึ้นมา คนผู้นั้นเห็นใต้เท้าจั่นเจาแห่งศาลไคเฟิงก็แทบจะยืนตัวตรงแล้วค้อมคำนับ ด้านในประตู สตรีผู้นั้นกำลังคว้าหม้อเตรียมจะขว้างใส่ เห็นผู้มาเป็นขุนนางก็ไม่กล้าเคลื่อนไหวแล้ว

    จั่นเจายิ้มๆ “คนครอบครัวเดียวกัน ไม่มีปมปัญหาอะไรที่แก้ไขไม่ได้ ไยต้องให้เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงมาเห็นเป็นเรื่องสนุก”

    คำพูดนี้กล่าวได้ไม่ผิด บ้านข้างเคียงแม้จะยังไม่ออกมา แต่ที่จุดตะเกียงก็สว่างไสว ที่ประตูเป็นช่องก็เปิดอ้า เรียกว่าอยู่ในเหตุการณ์อย่างสมบูรณ์

    ความเศร้าพลันเอ่อท้นขึ้นมาจากหัวใจของบุรุษผู้นั้น เขาคว้าแขนจั่นเจาไว้ไม่ปล่อย “ใต้เท้าจั่น ท่านต้องช่วยจัดการให้ข้าด้วย”

    ต้นสายปลายเหตุของเรื่องมีดังนี้ บุรุษผู้นี้หลายปีก่อนจะแต่งภรรยา ได้ชอบพออยู่กับไฉ่เฟิ่งหญิงขายสาลี่ต้มน้ำตาลกรวดที่ถนนตงซื่อ ด้วยเหตุนี้หลังจากเหวินเหนียงผู้เป็นภรรยาแต่งเข้ามาจึงควบคุมเขาอย่างเข้มงวด สั่งกำชับครั้งแล้วครั้งเล่า เฝ้าจับตามองอย่างเอาเป็นเอาตาย

    ไหนเลยจะรู้เมื่อช่วงบ่ายของวันนี้ ตอนเหวินเหนียงไปเดินเที่ยวเล่น ถึงกับเห็นด้วยตาตนเองว่าสามีของตนกับไฉ่เฟิ่งผู้นั้น คนหนึ่งอยู่หน้าคนหนึ่งอยู่หลังพากันเดินเข้าประตูบ้านหลังหนึ่ง สองชั่วยาม*เต็มก็ยังไม่เห็นออกมา!

    เวลาสองชั่วยามทำเรื่องอะไรได้มากมาย หัวใจของเหวินเหนียงแตกสลาย ไม่คำนึงถึงสิ่งใดแล้วจะต้องอาละวาดพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน เพื่อจะขยายผลกระทบต่อสังคมให้กว้างขึ้น ยังจงใจเลือกช่วงเวลากลางดึกผู้คนสงบเงียบ จะต้องให้ทุกคนที่อยู่แถวนี้ตกอกตกใจมามุงดู คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะเริ่มต้นก็เจอใต้เท้าจั่นแห่งศาลไคเฟิงเข้าพอดี

    นางเป็นเพียงอิสตรีผู้หนึ่ง อาจกล้าร้องไห้เอะอะโวยวายใส่สามีตน แต่อย่างไรก็ไม่กล้าวัดกำลังกับเจ้าหน้าที่ทางการ แต่ได้ยินสามีตนพูดร่ำไรไม่จบไม่สิ้น ในที่สุดก็ห้ามปากไว้ไม่ไหว

    “ข้าเห็นชัดเจนด้วยตาทั้งสองข้าง ท่านยังจะกล้าเล่นลิ้น!ข้ามองผิดไปหรือ ข้าจะมองผิดไปได้อย่างไร รูปร่างหน้าตาของท่าน ต่อให้กลายเป็นเถ้าถ่านข้าก็จำได้ อย่าว่าแต่ปีกข้างรองเท้าท่านขาดเป็นช่อง ข้าเป็นคนเอาด้ายฝ้ายเย็บให้ท่าน ตรงจุดที่ปะซ่อมข้าก็เห็นอย่างชัดเจน…”

    จั่นเจาฟังไปฟังมา พลันรู้สึกว่าเหตุการณ์ทำนองนี้คล้ายเคยเจอมาก่อน ไม่ใช่ว่าวันนั้นตนก็เจอแม่นางตวนมู่ ‘ที่รูปร่างหน้าตาเหมือนกันอย่างชัดเจน’บนท้องถนนหรอกหรือ

    ตวนมู่ชุ่ยเองก็คิดได้แล้วจึงรีบตัดบทเหวินเหนียง “บ้านหลังนั้น คือบ้านหลังไหนหรือ”

    บ้านหลังนั้นที่เหวินเหนียงพูดถึงจั่นเจาก็นึกออก แม้ไม่เคยคบค้าสมาคมด้วย แต่เห็นมีคนเข้าๆ ออกๆ ดูคึกคักยิ่ง เป็นครอบครัวใหญ่ครอบครัวหนึ่ง เหวินเหนียงบอกสามีตนไปที่นั่น แต่สามีสาบานถึงตายว่าไม่ได้ไป เช่นนั้นคนที่เข้าออกบ้านหลังนั้น จะใช่ ‘ตวนมู่ชุ่ย’อีกคนหรือไม่ เมื่อได้ข้ออนุมานดังนี้ หรือว่าบ้านหลังนั้น จะเป็นรังของพวกที่สวมรอยปลอมแปลงเป็นผู้อื่น

     

    หลังคืนชามตะเกียบแล้ว จั่นเจากับตวนมู่ชุ่ยก็เดินไปที่หน้าประตูบ้านหลังนั้น มันเป็นบ้านที่มีประตูสูงลานกว้าง ตรงชายคามีโคมไฟดวงใหญ่ห้อยแขวนอยู่ ด้านบนมีตัวอักษรคำว่า ‘จวน’แปะติดอยู่สองข้าง

    ตวนมู่ชุ่ยจับห่วงประตู เคาะลงบนแผ่นเหล็กบนประตูเบาๆ ก๊อก ก๊อก ก๊อก สามครั้ง

    เห็นอยู่ว่าห้องเล็กข้างประตูยังไม่นอน ยังได้ยินเสียงร้องห้าตะโกนหกเล่นไพ่เก้า*ดังแว่วมาจากด้านในประตู แต่คงคร้านจะมาเปิดประตูจึงมีเสียงหยาบกระด้างตอบกลับมา “ดึกป่านนี้แล้ว นายท่านไม่รับแขก พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่เถิด”

    ตวนมู่ชุ่ยยิ้มหยัน ทำท่าม้วนชายแขนเสื้อ จั่นเจากลัวนางจะบุ่มบ่ามมุทะลุจึงยื่นมือออกไปขวางนาง “หรือให้ข้าลองตรวจสอบสมุดรายชื่อดูประวัติความเป็นมาของครอบครัวใหม่โดยผ่านความเห็นชอบของใต้เท้าเปาก่อน อย่าเพิ่งแหวกหญ้าให้งูตื่นจะดีกว่า”

    “ก็ดี”

    ปากบอก ‘ก็ดี’แต่แขนเสื้อกลับยิ่งม้วนสูงขึ้นทุกที จั่นเจามองตวนมู่ชุ่ยอย่างระแวดระวัง เหตุผลที่นางเอ่ยมาก็ช่างหนักแน่น “ตอนนั้นใต้เท้าเปาเจอข้ายังเกรงอกเกรงใจรับรองด้วยน้ำร้อนน้ำชาชั้นหนึ่ง นี่ถึงกับกล้าปิดประตูไม่รับแขก…”

    คุณหนูใหญ่ที่ใดก็ล้วนแต่ใจคอคับแคบจั่นเจาถอนใจ “เจ้าคิดจะทำอะไร”

    “พวกเขาไม่ใช่เล่นไพ่อยู่ข้างในหรือ ข้าจะเอาศีรษะยื่นเข้าไปให้พวกเขาตกใจเล่น”

    ในเมื่อบังคับควบคุมปีศาจได้ เรื่องมุดดินทะลุกำแพงคิดว่าคงไม่จำเป็นต้องพูดถึง เพียงแต่พอนึกถึงว่าศีรษะของนางอยู่ข้างใน ร่างกายอีกครึ่งตัวกลับอยู่ข้างนอก ภาพเช่นนั้น…

    จั่นเจารู้สึกหวั่นหวาด ทั้งรู้สึกอยากรู้อยากเห็น

    เห็นตวนมู่ชุ่ยจัดๆ ทรงผม แล้วค่อยๆ เอียงศีรษะไปที่ประตู…

    มวยผมจมเข้าไปในประตูไม่เห็นแล้ว จากนั้นก็เป็นหน้าผาก ดวงตา จั่นเจาพยายามเกลี้ยกล่อมตนเองให้สงบเยือกเย็น แต่จู่ๆ นางก็หยุดนิ่ง

    เห็นเพียงปากของนางพูดขึ้น “ไม่ถูก!”

    พูดจบก็มีเสียงดังพุ่บ ตวนมู่ชุ่ยกลับมายืนตรง มวยผมใบหน้าไม่มีอะไรเสียหาย แล้วก็มองไปที่ประตูบานนั้น ก็ปกติดีไม่มีอะไรขาดหาย กระทั่งรอยเว้าก็ไม่มี

    สีหน้าของนางกลับมีความตื่นเต้นยินดี ทั้งอิ่มอกอิ่มใจอย่างปิดไม่มิด “มิน่าเล่า ปีศาจน้อยประเภทนี้…ข้านึกไม่ถึงเลย”

    จั่นเจาอดรนทนไม่ไหว ซักถามนาง “เกิดอะไรขึ้นหรือ”

    “เจ้าทายดู”

    จั่นเจาลมหายใจติดขัด ใบหน้าพลันขรึมลง “ศาลไคเฟิงยามสืบคดีให้ความสำคัญเรื่องพยานหลักฐาน หลักเหตุผล ข้อกฎหมาย แต่ไรมาเราไม่อาศัยการทาย”

    ตวนมู่ชุ่ยมองค้อนเขา “วันนั้นคนที่เจ้าเจอสวมใส่เสื้อผ้าเหมือนกับข้าทุกอย่างใช่หรือไม่”

    นางพูดพลางกางแขนทั้งสองข้างออก แขนเสื้อปรากฏออกมาทั้งหมด คล้ายต้องการให้เขามองให้ชัด

    ไม่ผิด ทรงผม เสื้อผ้า ปิ่นปักผม ไม่มีอะไรแตกต่าง

    จั่นเจาพยักหน้า “เหมือนกันทุกอย่าง”

    “ไม่ๆๆ จั่นเจา มีอยู่อย่างหนึ่งที่ไม่เหมือนกัน เจ้าต้องคิดได้แน่นอน ลองคิดดูอีกที”

    นางพูดอย่างมั่นอกมั่นใจเพียงนั้นย่อมไม่ใช่ยั่วเขาเล่น ทำคดีมาหลายปี จั่นเจาค่อนข้างมั่นใจในสายตาและความสามารถในการสังเกตรายละเอียดของตนเอง เขาเพ่งพิศตวนมู่ชุ่ยอย่างละเอียดลออรอบหนึ่ง แล้วหลับตาลง วาดภาพเหตุการณ์ในวันนั้นขึ้นมาในสมอง

    เถ้าแก่หอสุราไท่ไป๋ขยับเขยื้อนร่างกายที่ค่อนข้างอ้วน มีมือข้างหนึ่งยื่นมาที่ห่วงหยกขาวตรงเอวของเขา…

    ตวนมู่ชุ่ยนวดข้อมือ มองเขาด้วยความไม่พอใจ ปิ่นสีเขียวมรกตที่ปักอยู่บนมวยผมสั่นไหวเล็กน้อย คล้ายผีเสื้อกำลังจะโบยบิน…

    ชั่วเวลาเพียงประกายไฟแลบ จั่นเจาพลันเข้าใจแล้ว เขาลืมตาขึ้นมาอย่างรวดเร็วและชี้นิ้วไปที่เปียผมบนศีรษะตวนมู่ชุ่ย

    “ทิศทาง ทิศทางไม่เหมือนกัน”

    ตวนมู่ชุ่ยผงกศีรษะ “ตามข้ามา”

    นางพาเขาเดินมายังกำแพงด้านหลังของคฤหาสน์ที่เงียบสงัดกว่าเดิม กวาดตามองไปก็เห็นแผ่นหินสีเขียวอมดำเหมือนเดิม ก็ไม่มีอะไรแตกต่าง

    “เมื่อครู่ข้าคิดจะทะลุกำแพงเข้าไป แต่พริบตาที่ทะลุกำแพงก็พบว่าวัสดุที่ใช้ทำประตูแตกต่างจากประตูทั่วไป ผิวหน้าประตูคล้ายมีอะไรบางอย่างเคลือบติดอยู่

    นางดึงของออกมาจากในแขนเสื้อ เป็นผ้าดิ้นสีขาวสี่เหลี่ยมผืนใหญ่ ทั้งสี่ด้านของผ้าดิ้นสีขาวมีเชือกสำหรับรูดดึง ตวนมู่ชุ่ยชูผ้าดิ้นสีขาวขึ้น ผ้าผืนนั้นก็กางออกเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสลอยอยู่กลางอากาศ คล้ายประตูสี่เหลี่ยมจัตุรัสบานหนึ่ง

    ตวนมู่ชุ่ยส่งปลายเชือกสำหรับรูดดึงให้จั่นเจา “ถือไว้ ช่วยข้าเก็บลม ข้าไปเดี๋ยวเดียวก็มา”

    เก็บลม?จั่นเจาฟังไม่เข้าใจ

    “นี่คือผ้าเก็บลมที่เทพแห่งลมมอบให้ข้า จั่นเจา ถึงจะเป็นสายลมบางเบาโลมไล้ใบหน้า แต่จะอย่างไรก็ยังมีลม สะสมทีละน้อยจนมาก รวบรวมทรายจนกลายเป็นเจดีย์ เวลานี้ลมเบาบางคิดจะหาลมหอบใหญ่ ย่อมต้องค่อยๆ เก็บ ค่อยๆ รอ เจ้าต้องช่วยจับไว้ให้ดี”

    นางเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ฝีเท้าเบาหวิว คิดว่าคงมีแผนรับมือแล้ว

    จั่นเจากุมเชือกสำหรับรูดดึงไว้แน่น ไม่กล้าหละหลวม ตวนมู่ชุ่ยพูดไม่ผิด ผ้าเก็บลมผืนนี้ตอนแรกเริ่มเพียงเป็นผ้าผืนใหญ่ราบเรียบผืนหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มค่อยๆ เว้าเข้าไป ขอบข่ายของการเว้าใหญ่ขึ้นทุกที คล้ายเป็นถุงใส่ลมใบหนึ่ง ร่างจั่นเจาถูกดึงจนยืนไม่มั่น ดีที่ตวนมู่ชุ่ย ‘ไปเดี๋ยวเดียวก็มา’จริงๆ

    นางรับเชือกรูดดึงในมือจั่นเจาไป พร้อมกันนั้นก็เอาสิ่งหนึ่งที่มีผ้าปิดคลุมยื่นให้จั่นเจา ตอนนางหมุนตัว จั่นเจายังประหลาดใจเมื่อพบว่ามีค้อนทองแดงอันหนึ่งเสียบอยู่ที่ด้านหลังเอวของนาง

    หญิงสาวที่งดงามอ่อนหวานแช่มช้อยเช่นนี้จะควงค้อนใหญ่อันหนึ่งหรือ นึกภาพอย่างไรก็นึกไม่ออก

    และของที่ยื่นให้เขา เมื่อเปิดผ้าออกดูก็เห็นเป็นคันฉ่องรูปดอกกระจับอันหนึ่ง

    คาดการณ์ไว้ไม่ผิด เพราะอะไรคนสองคนจึงดูแล้วเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน แม้แต่เจ้าหน้าที่ราชการที่ทำคดีมานาน ภรรยาที่อยู่ร่วมชายคาเดียวกันยังแยกไม่ออก เพราะนั่นเป็นภาพสะท้อนจากคันฉ่อง เหมือนตัวจริงมาก ไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย

    มีข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวที่ทำให้จับได้ นั่นคือภาพสะท้อนจากคันฉ่องจะกลับทิศทางกับความเป็นจริง

    ตวนมู่ชุ่ยสั่งกำชับเขา “ปีศาจน้อยตนนั้นไม่มีอะไรร้ายกาจ ประเดี๋ยวหลังจากข้าจัดการเสร็จสิ้นแล้วก็รอฟังคำสั่งข้าแล้วกัน”

    จั่นเจาพยักหน้า ถอยหลังไปสองก้าว ตวนมู่ชุ่ยระบายลมหายใจยาวทีหนึ่ง เอาถุงใส่ลมจ่อเอียงๆ ไปที่ผนังกำแพงแล้วกระตุกเชือกอย่างแรง “ไป!”

    ทันใดนั้นก็เกิดลมที่โหมพัดอย่างบ้าคลั่งขึ้นมาท่ามกลางพื้นดินที่ราบเรียบ ชั่วพริบตาเดียวก็มีอานุภาพทำลายทุกอย่างให้พังพินาศได้

    ในที่สุดจั่นเจาก็เข้าใจว่านาง ‘เก็บลม’ ไปเพื่ออะไร…ผิวภายนอกของกำแพงไม่อาจทนต่อแรงเสียดทานนี้ได้ ค่อยๆ หลุดกร่อนออกมา เผยให้เห็นผิวคันฉ่องสีเหลืองพร่ามัวมันขลับอยู่ด้านใน

    กำแพงด้านนอกของคฤหาสน์ทั้งหลัง รวมถึงประตูใหญ่ล้วนถูกห่อหุ้มไว้ด้วยคันฉ่องชั้นหนึ่ง

    ตวนมู่ชุ่ยทะยานร่างขึ้น พอเข้าไปใกล้ก็ดึงปิ่นปักผมสีเขียวมรกตออกมากรีดลงไปบนคันฉ่องให้แตกออกเป็นช่อง ยื่นมือไปโอบขอบคันฉ่องด้านหนึ่งไว้แล้วกระชากออกไปทางด้านนอกอย่างแรง จากนั้นก็ซอยเท้าถอยหลังอยู่กลางอากาศอย่างรวดเร็ว ผิวคันฉ่องทั้งแผ่นถูกดึงลอกหลุดออกมา คล้ายแถบคันฉ่องขนาดมหึมาแวววาวสายหนึ่งกำลังเริงร่าอยู่กลางอากาศ

    นางเคลื่อนไหวเร็วยิ่ง คว้ามุมข้างหนึ่งของคันฉ่องขยับขึ้นลงกลางอากาศ พับครึ่ง พับครึ่งอีก แล้วก็พับครึ่งอีก กระทั่งพับครึ่งต่อไปไม่ได้แล้ว นางก็เอาแถบคันฉ่องนั้นลงมาวางที่พื้นดิน ดึงค้อนทองแดงออกมาจากด้านหลังเอว เงื้อขึ้นสูงๆ และทุบลงมาเต็มแรง

    มืออีกข้างหนึ่งก็เอาผ้าเก็บลมชูขึ้น ผ้าขาวผืนนั้นขยายตัวออกกว้าง มุมทั้งสี่เกาะพื้นคล้ายกระโจม

    จั่นเจาที่ยืนอยู่นอกเขตลมเห็นเพียงนางลงค้อนครั้งแล้วครั้งเล่า แถบคันฉ่องนั่นยิ่งทุบก็ยิ่งเล็กลง จากขนาดกว้างยาวราวเชียะกว่าเหลือขนาดราวอ่างทองแดง แต่ไม่ได้ยินเสียงแม้แต่น้อย

    จั่นเจาลองก้าวเท้าเข้าไป เท้าข้างหนึ่งเพิ่งจะก้าวเข้าไปในผ้าเก็บลมก็ได้ยินเสียงโลหะกระทบกันดังสนั่นหวั่นไหวหูแทบหนวก ในหัวมีเสียงดังครืนครั่น จึงรีบล่าถอยออกไป

    ชั่วเวลาราวครึ่งถ้วยชา แถบคันฉ่องนั้นก็เหลือขนาดเท่าคันฉ่องรูปดอกกระจับ ผ้าเก็บลมถูกเก็บขึ้น ตวนมู่ชุ่ยปาดเหงื่อที่หน้าผาก หยิบแถบคันฉ่องนั้นยืนขึ้นมาดู บนผิวคันฉ่องเปล่งแสงแวววับไม่สงบนิ่ง ทั้งเว้านูนไม่เรียบ คล้ายมีอะไรบางอย่างดิ้นรนอยากจะออกมา

    ตวนมู่ชุ่ยมองจั่นเจา “คันฉ่อง”

    จั่นเจารีบเอาคันฉ่องรูปดอกกระจับอันนั้นยื่นให้นาง มองนางเอาหน้าคันฉ่องสองอันส่องกัน แล้วค่อยๆ ประกบเข้าหากัน

    ทันใดนั้นแสงโชติช่วงสว่างไสวทั้งสี่ด้านพลันหุบลง ทั่วบริเวณมีแต่ความเงียบสงัด

    สายลมยามราตรีพัดโชยผ่าน คล้ายกลับสู่ค่ำคืนปกติของเมืองไคเฟิง ถนนในตรอกที่ไร้ผู้คน

    ตวนมู่ชุ่ยร้องเรียกจั่นเจา “ไป เข้าไปดูได้แล้ว”

    ในคฤหาสน์ที่กว้างใหญ่ ไม่มีคน ไม่มีโคมไฟ หญ้าเขียวชอุ่มรกร้าง ตัวบ้านเสื่อมโทรม ไม่เหมือนคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ในย่านการค้าคึกคักโดยสิ้นเชิง

    แล้วเสียงคนก่อนหน้านี้เล่า

    ตวนมู่ชุ่ยบอก “นี่เป็นปีศาจคันฉ่อง แต่ยังบำเพ็ญเพียรไม่ถึงขั้นมีรูปร่างขึ้นมา จึงใช้ประตูและกำแพงด้านนอกเป็นคันฉ่อง ส่องรูปโฉมโนมพรรณของผู้คนที่เดินผ่านไปมา นานวันเข้าก็เลียนแบบได้ เพื่อจะปิดบังอำพรางหูตาผู้อื่น พำนักอยู่ในย่านการค้าคึกคักได้ยาวนานและปลอดภัย จึงอาศัยรูปโฉมโนมพรรณหลากหลายของผู้คนเหล่านี้มาสร้างปรากฏการณ์ลวงตาว่ามีผู้คนเดินเข้าออกประตูและลานบ้านกันขวักไขว่คึกคัก ทั้งใช้ประโยชน์จากภาพสะท้อนในคันฉ่องเหล่านี้ไปอำนวยความสะดวกในการทำเรื่องต่างๆ

    “รวมถึงเรื่องลักขโมย รีดเงินทอง”

    “เรื่องนั้นแน่นอน มีคำพูดโบราณประโยคหนึ่งเจ้าไม่เคยได้ยินหรือ มีเงินใช้ผีโม่แป้งได้ มีเงินมีทองจะจัดการอะไรก็สะดวก ไม่แน่อาจทำให้การเดินไปบนเส้นทางที่จะบำเพ็ญเพียรให้กลายร่างเป็นมนุษย์สะดวกราบรื่นยิ่งขึ้น

    ดังนั้นปีศาจคันฉ่องผู้นี้จึงหาได้มีเจตนาจะแอบอ้างชื่อเสียงของสำนักซี่ฮวาหลิว หากแต่เพราะตวนมู่ชุ่ยเดินผ่านถนนสายนี้อยู่เป็นอาจิณ จึงถูกหน้าคันฉ่องนั่นเก็บภาพลักษณ์ไปเท่านั้น

    จั่นเจาพลันนึกอะไรได้ “แล้วข้า…”

    “เจ้าเดินไปมาอยู่บริเวณนี้ทุกวัน คิดว่าก็คงอยู่ในหมู่คนถูกทำให้เสียหาย”

    “แล้วมันจะ…”

    “เจ้าเป็นเจ้าหน้าที่ราชการ ฐานะยิ่งสะดวก ไม่แน่อาจถูกมันใช้ประโยชน์ทำเรื่องรังแกกดขี่ชาวบ้านมาแล้วก็ได้”

    ป้องกันอย่างไรก็ป้องกันไม่ไหวจริงๆ จั่นเจารู้สึกเย็นวาบที่แผ่นหลัง มองคันฉ่องที่รวมตัวกันในมือตวนมู่ชุ่ย คิดๆ ดูแล้วก็อดจะรู้สึกหวั่นหวาดขึ้นมาไม่ได้

    “นี่นับว่าปราบมันได้แล้วหรือ”

    ตวนมู่ชุ่ยยิ้มเจ้าเล่ห์ “มันเป็นคันฉ่อง ที่ส่องมันอยู่ก็เป็นคันฉ่อง ทั้งสองอันประกบหน้ากันอยู่ โลกไร้ที่สิ้นสุด มันเข้าใจว่าใช้ภาพสะท้อนปั่นหัวคนในแดนมนุษย์ได้ใช่หรือไม่ ดีมาก ต่อไปก็จงถูกขังอยู่ในนั้น เล่นกับตัวเองไปเถิด”

     

    4 of 4หน้าถัดไป

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in คดีปีศาจแห่งเมืองไคเฟิง

    นิยายยอดนิยม

    Facebook