• Connect with us

    Enter Books

    คดีปีศาจแห่งเมืองไคเฟิง

    ทดลองอ่าน คดีปีศาจแห่งเมืองไคเฟิง เล่ม 1 ตอนที่ 2

    หน้าที่แล้ว1 of 2

    บทที่ 3

     ตอนนี้จำนวนครั้งที่จั่นเจาไปกระท่อมตวนมู่นับว่าบ่อยยิ่ง

    อันที่จริงทุกครั้งเวลาที่เขาไป ไม่แน่ว่าตวนมู่ชุ่ยจะอยู่ เวลาที่ตวนมู่ชุ่ยไม่อยู่จั่นเจาก็จะนั่งลงที่ข้างโต๊ะติดลานบ้าน รินสุราตู้คัง*ให้ตัวเองจอกหนึ่ง รินได้เพียงหนึ่งจอกเท่านั้น หลังจากรินจอกนี้แล้ว สุราป้านเล็กป้านนั้นก็รินสุราไม่ออกอีกแม้ครึ่งหยด

    มีอยู่หลายครั้งขณะกำลังดื่มอยู่ ตวนมู่ชุ่ยก็กลับมาพอดี นางมักยิ้มแย้มแล้วว่า ‘ข้าก็มาดื่มสักจอก’

    ตอนยื่นมือไปริน สุราป้านนั้นกลับมีสุราเลิศรสไหลจ๊อกออกมาอีก

    ตวนมู่ชุ่ยถาม ‘ยันต์สะกดยังใช้ได้ผลหรือไม่’

    จั่นเจาพยักหน้า ‘ใช้ได้ผล ทุกครั้งที่เข้ามา ปีศาจในกระท่อมแห่งนี้ล้วนกลายเป็นสิ่งของธรรมดาทั่วไป ไม่อ้าปาก ไม่พูดจา ไม่ทำอะไรประหลาด’

    ตวนมู่ชุ่ยกล่าวต่อ ‘เพียงแต่ทุกครั้งที่เจ้าหมุนตัวจากไป พวกมันก็จะขยับหูขยิบตาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ไม่แน่ยังอาจพูดฉอดๆ นินทาเจ้าไม่หยุดปาก’

    จั่นเจารู้สึกเย็นวาบที่แผ่นหลัง ‘อย่าพูดอีกเลย’

    ตวนมู่ชุ่ยกลับไม่ยอมหยุด ‘ถ้าตอนนี้เจ้าหันหน้าไป ไม่แน่อาจเห็นป้านสุราบนชั้นวางนั่นมีขาอ่อนนุ่มสองข้างโผล่ออกมากำลังเดินไปเดินมาอยู่บนชั้นวาง…’

    ยังพูดไม่ทันจบ จั่นเจาก็กระโดดออกไปไกลสิบจั้งแล้ว

    ตวนมู่ชุ่ยหัวเราะตัวงอ

    หลังจากผ่านไปหลายครั้งก็ไม่อาจทำให้จั่นเจาตกใจได้อีก

    มีอยู่ครั้งหนึ่งจั่นเจาถามตวนมู่ชุ่ย ‘ได้ยินอยู่บ่อยครั้งว่าคนของสำนักซี่ฮวาหลิวกำลังจับกุมคน คนในสำนักซี่ฮวาหลิวพักอาศัยอยู่ที่ไหนหรือ’

    ตวนมู่ชุ่ยบอก ‘ย่อมต้องพักอาศัยอยู่กับข้า’

    จั่นเจาไม่เชื่อ ‘ข้ามาที่นี่ตั้งหลายครั้งแล้ว ยังไม่เคยเห็นสักคน’

    ตวนมู่ชุ่ยชี้ไปข้างใน ‘ไม่เชื่อก็เข้าไปดูเอง’

    ตอนพบตวนมู่ชุ่ยครั้งแรก ปีศาจที่แปลงร่างเป็นชุ่ยอวี้ก็ออกมาจากห้องด้านในและหายเงียบเข้าไปในห้องด้านใน ในใจของจั่นเจาตั้งแต่ต้นจนจบยังคงมีความกังวล สงสัย และหวาดกลัวห้องด้านในอยู่สามส่วน

    ตวนมู่ชุ่ยกลอกนัยน์ตาไปมา ‘เจ้าไม่กล้า’

    จั่นเจาไม่ตอบ เพียงก้าวยาวๆ เข้าไปยกมือเลิกผ้าม่านขึ้น

    เป็นเพียงห้องแคบยาวธรรมดา ไม่มีกระทั่งเครื่องเรือน

    บนผนังด้านขวา ทุกห้าถึงหกชุ่น*จะกั้นเป็นชั้นวางของหนึ่งชั้น บนชั้นมีตุ๊กตารูปคนหลากหลายรูปแบบวางตั้งอยู่เต็มไปหมด

    มีทั้งสวมชุดแดง ชุดเขียว อายุมาก อายุน้อย บุรุษ สตรี รูปงาม ขี้เหร่ กุมดาบ ถือกระบี่ อุ้มพิณ เดินหมาก ตกปลา นอนหลับ มากมายหลายหลากหาใช่มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

    ส่วนผนังด้านซ้ายกลับมียันต์กระดาษสีเหลืองแผ่นเล็กแผ่นใหญ่ติดอยู่เต็มไปหมด ยันต์เขียนด้วยชาด จั่นเจาไม่รู้จักแม้แต่คำเดียว

    จั่นเจาตระหนักในทันที ‘ไม่มีคนในสำนักซี่ฮวาหลิวอะไรเลย มีแต่ปีศาจที่เจ้าบังคับควบคุมไว้ทั้งนั้น’

    ‘ใช่แล้ว’ตวนมู่ชุ่ยตอบยิ้มๆ ‘ทุกอาชีพการงาน หากไม่มีก็เป็นอาชีพที่ข้าคิดไม่ถึง ไม่มีที่ข้าเอามาไม่ได้’

    นับแต่นั้นมา เมื่อจั่นเจาไปหาตวนมู่ชุ่ยอีกก็จะเอาตุ๊กตารูปคนไปให้นางคราวละตัวสองตัวอยู่เสมอ ส่วนใหญ่ตอนออกไปตระเวนตรวจตราเห็นแล้วชอบก็จะซื้อมา

    ตอนแรกตวนมู่ชุ่ยยังไม่พูดอะไร ต่อมาก็ข่มอารมณ์ไว้ไม่ไหวแล้ว

    ‘จั่นเจา เจ้าอย่าซื้อพวกปีศาจลิง ปีศาจสุกร พระโพธิสัตว์กวนอิม ประมุขสวรรค์อวี้หวงต้าตี้**มาอีก คนเหล่านี้ออกไปจับกุมคนบนท้องถนน ไยมิใช่ทำให้ผู้คนแตกตื่นตกใจ’

    จั่นเจาทำท่าเหมือนไม่ได้ยิน มาครั้งหน้าก็ยังคงเอาตุ๊กตามารปีศาจตัวประหลาดมาให้อีก

    ตวนมู่ชุ่ยถอนหายใจยาว แล้วก็ปล่อยเขาไป

    วันนั้นจางหลงกับจ้าวหู่จับกุมผู้ต้องหากลับมา พวกเขาทั้งหมวกเบี้ยว เส้นผมรุ่ยร่าย เสื้อผ้าก็ฉีกขาด ตอนจะเข้าประตูทั้งสองคนก็ผลักกันไปผลักกันมา มาหาจั่นเจาด้วยท่าทางไม่พอใจ

    จางหลงเปิดปากขึ้นก่อน “ใต้เท้าจั่น สตรีที่ชื่อตวนมู่ชุ่ยผู้นั้นใช่ร้ายกาจยิ่งหรือไม่”

    หัวใจของจั่นเจาเต้น ‘ตึกตัก’ขึ้นมาทีหนึ่ง สายตาหยุดนิ่งอยู่บนใบหน้าจางหลงครู่หนึ่ง แล้วก็เบนไปที่ใบหน้าของจ้าวหู่

    “ก็ไม่ใช่ว่าร้ายกาจมาก แต่ถ้าเจอนางบนท้องถนน เดินหลบไปเสียได้เป็นดีที่สุด”

    จางหลงคล้ายตัวสั่นเทิ้มขึ้นมาทีหนึ่ง จ้าวหู่ก็ดูนัยน์ตาเหม่อลอย

    “แล้วถ้าพวกเราไม่ระวัง…ข้าหมายถึงไม่ระวัง…จนเผลอ” ขณะที่จ้าวหู่กำลังเฟ้นหาถ้อยคำอย่างระมัดระวังอยู่นั้นก็พินิจพิเคราะห์สีหน้าของจั่นเจาไปด้วย “ทุบทำลายบ้านของนางเข้า…”

    จ้าวหู่ไม่ได้พูดต่อ ไม่ว่าใครเห็นหน้าจั่นเจาในเวลานี้แล้วก็คงไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว

    “พวกเจ้าสองคนขวัญกล้าถึงเพียงนี้” จั่นเจาพูดคำหยุดคำ “เหตุใดจึงไม่คิดจะไปทุบบ้านของราชครูผาง*เล่า”

    ระหว่างเร่งรุดไปกระท่อมตวนมู่ จั่นเจาก็เอาแต่ใคร่ครวญว่าควรจะขอโทษขอโพยตวนมู่ชุ่ยอย่างไรดี

    ตามที่ฟังความจากจางหลงจ้าวหู่ ทั้งสองคนไล่ตามนักโทษที่หลบหนีจนมาพบแถบชานเมืองด้านตะวันตกใกล้กับกระท่อมตวนมู่ หลังจากต่อสู้กันอย่างดุเดือดพักหนึ่งจึงกำราบนักโทษที่หลบหนีได้ ระหว่างการต่อสู้หลีกเลี่ยงยากที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อปลาในสระ

    ‘ปลาในสระ’ที่ว่านี้ก็หมายถึงกระท่อมตวนมู่

    ดังนั้นจางหลงกับจ้าวหู่จึงถือว่า ‘งานราชการก็ทำไปตามหน้าที่’ส่งผลกระทบต่อกระท่อมตวนมู่ถือเป็น ‘ความผิดที่ไม่ได้ตั้งใจ’ยังหวังว่าแม่นางตวนมู่จะเป็น ‘ผู้ใหญ่ใจกว้าง’อย่าได้ ‘เก็บมาใส่ใจ’

     

    ตวนมู่ชุ่ยยืนอยู่ที่หัวสะพานเงียบๆ มองจั่นเจาที่สาวเท้าเร็วรี่เข้ามาด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

    จั่นเจาไปดูกระท่อมตวนมู่ก่อน พลางเอ่ยว่า “ยังดี”เดิมเข้าใจว่ากระท่อมตวนมู่คงถูก ‘ทำลายกลายเป็นพื้นราบ’น่าอนาถไปแล้ว เวลานี้ดูแล้วเพียงเสียหายตามขอบๆ ข้างๆ หม้อชามแตกเสียหาย ไม่ได้อนาถจนทนดูไม่ได้อย่างที่คิดไว้

    “ยังดีหรือ” คิ้วงามดั่งกิ่งหลิวของตวนมู่ชุ่ยเลิกขึ้น “จั่นเจา เจ้ายืนพูดย่อมไม่ปวดเอว*”

    ขณะพูดปลายนิ้วนางก็ตวัดขึ้นเบาๆ ‘ยันต์สะกด’ที่อยู่ในอกเสื้อของจั่นเจาค่อยๆ ลอยออกมาคล้ายดั่งมีชีวิต จากนั้นนางก็ยื่นมือไปปัดผ่านยันต์ แผ่นยันต์เริ่มเปลี่ยนเป็นยับย่นมีเปลวไฟลุกจากตรงกลางขึ้นมาเอง ชั่วพริบตาเดียวก็มอดไหม้เหลือแต่ขี้เถ้า

    “ลองดูลองฟังเอง ใช่ยังดีหรือไม่”

    ก่อนหน้านี้ในลานบ้านมีแต่ความเงียบ ทันใดนั้นเสียงครวญครางบ่นว่าก็ดังขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย สิ่งของต่างๆ เหล่านั้นคล้ายสิ่งมีชีวิตที่เพิ่งตื่นจากการจำศีล ค่อยๆ พลิกตัว ยื่นเหยียดแขนขา หยัดร่างขึ้นมามองไปรอบด้านอย่างงงงวย ประตูรั้วโก่งตัวลงมา ซี่รั้วที่เดิมสานกันห่างๆ ได้ขยับเข้ามารวมกัน เหมือนใบหน้าที่กำลังเจ็บปวด เห็นจั่นเจามองตนอยู่ก็อ้าปากบ่นว่า “จางหลงถีบข้าแรงมาก”

    จั่นเจาตกใจสะดุ้งเฮือกผงะถอยไปสองก้าวด้วยสัญชาตญาณ แต่กลับได้ยินเสียง ‘โอ๊ย’ดังมาจากใต้ฝ่าเท้า ตอนก้มลงมอง กลับเห็นชามกระเบื้องลายครามปากบิ่นใบหนึ่ง เบิกนัยน์ตาขนาดเม็ดถั่วเขียวจนกลมโต มันมองจั่นเจาทีหนึ่งจากนั้นก็หมุนกลอกไปทั่วสี่ทิศ ปากก็บ่นพึมพำ “ประตูเอ๋ย ข้าร่วงลงมาจนฟันหน้าหัก ขอโทษ ช่วยหลีกทางหน่อย”

    ในเวลาอันสั้น ทั้งด้านนอกและด้านในกระท่อมมีแต่เสียงร้องครวญครางบ่นว่า มีทั้งเอวเคล็ดขาหักแขนหัก หม้อชามรามไหไม้กวาดกาน้ำชาเหล่านั้น เป็นดั่งที่ตวนมู่ชุ่ยพูดไว้ก่อนหน้านี้ ‘มีขานุ่มนิ่มโผล่ออกมา’ยกเท้าเดินกะโผลกกะเผลก ก้าวทีโงนเงนไปสามที เตร็ดเตร่ไปทั่วบ้าน บางครั้งก็เดินมาชนกันก็ยิ่งบ่นพึมพำไม่หยุด

    ตอนแรกจั่นเจาเห็นแล้วก็หวาดผวาต่อมาจึงเริ่มเข้าใจว่าหม้อชามรามไหที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจเหล่านี้คล้ายกันมากกับท่าทางที่ผู้คนแสดงออกมายามแค้นเคืองไม่พอใจ

    ตวนมู่ชุ่ยกล่าว “ที่ผู้คนแสดงออกมาล้วนดูผิวเผิน จั่นเจา ข้ากลับรู้สึกว่าสิ่งของเหล่านี้เปรียบกับคนที่เลวทรามต่ำช้าแสร้งตีหน้าเป็นคนดีเหล่านั้นแล้วยังมีความเป็นมนุษย์มากกว่า” พูดจบก็ก้มลงไปเก็บเศษกระเบื้องแตกแผ่นหนึ่ง โยนไปทางชามกระเบื้องลายคราม “รับฟันหน้าของเจ้าเอาไว้”

    ชามกระเบื้องลายครามนั่นเดี๋ยวก็มองไปทางโน้นเดี๋ยวก็มองมาทางนี้ ตัวเดินออกนอกประตูรั้วไปแล้ว ครั้นพอได้ยินคำพูดนี้ก็รีบกลิ้งกลับมา ยื่นแขนขนาดก้านไม้ขีดไฟสองข้างออกมา รับฟันหน้าเอาไว้ด้วยความดีใจ แล้วเอาติดกลับไปตรงช่องที่แตกอย่างระมัดระวัง

    จั่นเจาฟังน้ำเสียงของตวนมู่ชุ่ยไม่มีแววตำหนิแฝงอยู่ก็สบายใจขึ้น จึงยิ้มแล้วว่า “ไม่มีอะไรแล้วกระมัง”

    “ไม่มีอะไร?” ตวนมู่ชุ่ยยังคงมีท่าทีไม่เจ็บไม่คัน “เรื่องใหญ่มากล่ะไม่ว่า เจ้าไปดูในห้องด้านใน” ว่าแล้วก็ตบมือขึ้นเบาๆ เสียงจ้อกแจ้กจอแจสับสนอลหม่านในลานบ้านพลันกลับคืนสู่สภาพเดิม ทุกอย่างกลับเข้าที่ ไม้กวาดกลับไปวางอยู่มุมกำแพงอย่างเรียบร้อย หม้อชามรามไหก็เข้าแถวกลับสู่ห้องครัว ชามกระเบื้องลายครามเดินอยู่ท้ายขบวนสุด ไม่ลืมหันหน้ามาบอกกับตวนมู่ชุ่ย “ขอบคุณมากนะ…” ตรงช่องที่แตกยังไม่สมานกัน เวลาพูดมีลมลอดผ่านเล็กน้อย จั่นเจาเกือบหัวเราะออกมา

    ในห้องด้านในดูแล้วหาได้มีอะไรผิดปกติ ตุ๊กตารูปคนเหล่านั้นวางเรียงอยู่บนชั้นวางติดผนัง ไม่ได้แขนหลุดขาหายหน้าตาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดเหมือนจานชามหม้อกระบวย

    จั่นเจามองตวนมู่ชุ่ยด้วยความสงสัย ตวนมู่ชุ่ยหันมาทำปากยื่นให้จั่นเจาแสดงเจตนาให้ลองดูอีกครั้ง

    จั่นเจาก็มองอีกครั้งและอีกครั้ง ในที่สุดจั่นเจาก็แบมือทั้งสองออก “จั่นเจาโง่เขลา แม่นางได้โปรดชี้แนะ”

    ตวนมู่ชุ่ยยื่นนิ้วชี้ออกมา เคาะไปยังช่องว่างตรงด้านขวามือบนที่วางชั้นสอง “ตรงนี้ หายไปตัวหนึ่ง”

    จั่นเจาลมหายใจติดขัด “ตุ๊กตารูปคนเหล่านี้บ้างก็ตั้งใกล้กันบ้างก็ตั้งห่างกัน ข้ายังเข้าใจว่าเดิมก็ตั้งวางเช่นนี้อยู่แล้ว จะมองออกได้อย่างไรว่าขาดตัวไหนไป”

    “ข้าก็ไม่ได้บอกว่าทายถูกมีรางวัลให้ ทายไม่ถูกต้องถูกปรับ เจ้าจะใส่ใจมากเพียงนี้ไปไยกัน” ตวนมู่ชุ่ยมองจั่นเจาด้วยหางตาทีหนึ่ง กลับกลายเป็นว่าจั่นเจาจิตใจคับแคบคิดเล็กคิดน้อย

    จั่นเจาคิดในใจ สตรีกับคนต่ำทรามอยู่ด้วยยาก คำพูดของคนโบราณไม่โกหก

    “ขาดตัวไหนไป ขาดแล้วจะเป็นอย่างไร” จั่นเจาไม่เข้าใจ

    “นี่ก็ต้องไปถามศาลไคเฟิงของเจ้าแล้ว” ตวนมู่ชุ่ยมีสีหน้าคล้ายละครสนุกกำลังโหมโรงแล้ว “องครักษ์จั่นแห่งศาลไคเฟิงมอบปีศาจสุกรมาให้โดยเฉพาะ จางหลงจ้าวหู่เซี่ยวเว่ย*ทั้งสองก็ปล่อยปีศาจสุกรออกไปแล้ว…”

    “ปีศาจสุกร? ปล่อยออกไปแล้ว?” จั่นเจารู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องดีแน่

    “ใช่แล้ว ที่รู้ก็คือพวกเขาจับกุมนักโทษหลบหนี ที่ไม่รู้ก็ยังเข้าใจว่าพวกเขาจะเบิกฟ้าเปิดแผ่นดิน ฟันซ้ายผ่าขวาร้องเอะอะโวยวาย ชนตุ๊กตารูปคนล้มระเนระนาด ทำยันต์กระดาษเสียหายไปจำนวนมาก ยังดีที่มีเพียงปีศาจสุกรหลุดรอดไปได้ตัวเดียว ถ้ามารปีศาจและสัตว์ประหลาดที่เจ้าให้มาเหล่านี้หนีออกไปหมดล่ะก็ รอดูฝูงปีศาจในเมืองไคเฟิงออกมาก่อความวุ่นวายเถิด”

    “ปีศาจสุกร…จะเที่ยวไปก่อเรื่องก่อราวเช่นนั้นหรือ”

    “หาไม่จะเรียกปีศาจหรือ ทว่าปีศาจสุกรฌานตบะตื้นเขินยิ่ง คนสามคนห้าคนกระบองสามท่อนห้าท่อนก็ส่งมันขึ้นสวรรค์ได้แล้ว”

    “ปีศาจสุกร…กินคนหรือไม่”

    “ข้าข้อคิดเห็นตื้นเขิน สุกรนั้นไม่ค่อยชอบกินเนื้อคน แต่คนกลับดูจะชื่นชอบเนื้อสุกรมากกว่า” ตวนมู่ชุ่ยวางมาดจริงจัง

    จั่นเจาเกิดความรู้สึกฮึดฮัดอยากจะซัดคนขึ้นมา

    สุดท้ายยังคงไม่กล้า

    “แม่นางตวนมู่ได้โปรดชี้แนะ ปีศาจสุกรจะไปที่ใด”

    “เรื่องนี้ก็ต้องดูว่าสุกรชอบไปที่ใดมากที่สุด” ตวนมู่ชุ่ยยักหัวไหล่ วางท่าคล้ายเรื่องไม่เกี่ยวอะไรกับตน

     

    สุกรย่อมชอบอยู่ในเล้าสุกรที่สุดแล้ว

    นี่เป็นคำตอบที่กงซุนเช่อให้มา

    “เจ้าเห็นว่าอย่างไร” จั่นเจาถามจางหลง

    จางหลงพยักหน้า

    “เจ้าเล่า เห็นอย่างไร” จั่นเจาถามจ้าวหู่

    จ้าวหู่พยักหน้าแรงๆ

    “ดีมาก นับแต่วันนี้จางหลงจ้าวหู่ไม่ต้องสืบสวนคดี และไม่ต้องออกลาดตระเวนตรวจตรา ต่างพาเจ้าหน้าที่ศาลไปคนละกลุ่ม ไปตรวจดูคอกสุกรเล้าสุกรน้อยใหญ่ทั้งในและนอกเมืองไคเฟิง ที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษคือสุกรที่ ‘แสดงออกผิดปกติ’

    “เพราะอะไรหรือ นี่เป็นเพราะอะไรกัน” จางหลงอยากจะซื้อเต้าหู้มาสักก้อนและเอาศีรษะพุ่งชนให้ตาย

    สายตาของจ้าวหู่กว้างไกลกว่าหน่อย “องครักษ์จั่น หรือว่ามีผู้กระทำความผิดร้ายแรงในยุทธภพ และเป็นไปได้ว่าจะไปซ่อนตัวอยู่ในเล้าสุกร”

    “อืม ดูเหมือนจะพูดเช่นนี้ก็ได้”จั่นเจาพยักหน้า

    เช่นนั้นสินะ ในยุทธภพคนประหลาดวิตถารแบบไหนก็มีจ้าวหู่คิดในใจ

    แน่นอน คนที่ฉงนสงสัยไม่เพียงมีแค่จางหลงกับจ้าวหู่

    องครักษ์จั่นจู่ๆ จะสับเปลี่ยนโยกย้ายคนเหล่านี้ไปตรวจดูเล้าสุกร ย่อมไม่อาจไม่รายงานให้ใต้เท้าเปาทราบกระมัง

    “เรื่องนี้เกี่ยวพันกับสำนักซี่ฮวาหลิว ผู้น้อยก็ไม่รู้จะทำอย่างไรได้”

    ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ พอได้ยินชื่อซี่ฮวาหลิว เปาเจิ่งกระทั่งถามก็ยังคร้านจะถามต่อ ฝ่ามือใหญ่โบกขึ้น “องครักษ์จั่นจัดการเอาเองก็แล้วกัน”

    วันแรกตระเวนตรวจสอบเสร็จ สุกรที่ผิดปกติไม่มี แต่จางหลงจ้าวหู่กลับหิ้วเนื้อสุกรกลับมาคนละหลายพวง

    “ข้าจะทำอะไรได้”

    เห็นจั่นเจามีสีหน้าไม่พอใจ จางหลงพูดฉะฉานอย่างมีเหตุผล “ครอบครัวชาวนาเหล่านั้นเห็นพวกเราแต่ละคนพกดาบมองจ้องสุกรในเล้าตาเป็นมันก็ตกใจหน้าซีดขาว กลัวว่าเราจะจูงสุกรของพวกเขาไป ต้องเอาเนื้อสุกรมายัดให้เรา ไม่ยอมรับมาก็ไม่ให้กลับ…” พูดถึงตรงนี้ก็พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ “พี่ใหญ่จั่น ท่านให้พวกเราไปตรวจเล้าสุกร ไม่ใช่เพราะท่านอยากกินเนื้อสุกรกระมัง”

    จั่นเจาสีหน้าไม่บ่งบอกว่าพอใจหรือไม่พอใจ “พรุ่งนี้ไปอีก อย่าลืมเอาเงินค่าเนื้อสุกรไปจ่ายด้วย ต้องให้สองเท่า”

    ครั้นแล้วก็มีวันที่สอง วันที่สามตามมา นอกและในเมืองไคเฟิงยังคงไม่มีอะไรแตกต่างไปจากปกติ ทั้งไม่ได้ยินว่ามีคดีสุกรขู่ขวัญคน หรือทำให้คนตกใจตายอะไร จั่นเจาในใจเกิดความฉงนสงสัยและวิ่งไปที่กระท่อมตวนมู่อีกหลายครั้ง หลายวันนี้ตวนมู่ชุ่ยไม่ได้ออกไปข้างนอก นางนั่งมองมีดทำครัวขึ้นสนิมเล่มหนึ่งพลางเค้นสมองครุ่นคิด เห็นว่านี่เป็นมีดที่พ่อครัวติง*ใช้ชำแหละเนื้อวัวทั้งตัว ถ้าหาวิธีเรียกปีศาจที่อยู่ในมีดออกมาได้ จั่นเจาก็จะโชคดีได้ดูศิลปะการเลาะเนื้อวัวทั้งตัวออกมา

    “ตอนนี้ข้าไม่นึกสนุกอยากดูการเลาะเนื้อวัวทั้งตัว ในใจข้ามีแต่ความคิดว่าทำอย่างไรจึงจะจับปีศาจสุกรได้”

    “อ้อ” ตวนมู่ชุ่ยยักไหล่ มอบสีหน้าสุดวิสัยจะช่วยเหลือมาให้

    จั่นเจาพลันนึกสงสัยขึ้นมา “เหตุใดเจ้าจึงไม่แยแสสนใจเช่นนี้ หรือว่าปีศาจสุกรนั่นยังไม่ได้หนีออกไป เจ้าเพียงถือโอกาสระบายโทสะ ทรมานพวกศาลไคเฟิงสักหน่อย”

    “เจ้าจะคิดแบบนี้ข้าก็จนปัญญา” ตวนมู่ชุ่ยไม่แม้จะเหลือบตาขึ้น “เช่นนั้นเจ้าก็เรียกตัวจางหลงจ้าวหู่กลับมาเถิด”

    เรียกกลับมา พูดออกมาได้ง่ายดาย ปัญหาคือข้าจะกล้าเสี่ยงปล่อยให้มีอันตรายเกิดขึ้นหรือ

    จั่นเจารู้สึกไม่พอใจจึงกล่าวต่อ “ถ้าพบปีศาจสุกรแล้ว ใช่ต้องส่งคนมาแจ้งเจ้าให้ไปจับปีศาจหรือไม่”

    “ไม่ต้องยุ่งยากส่งคนมา” ตวนมู่ชุ่ยพลันนึกอะไรขึ้นได้ นางหยิบยันต์กระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ใช้มือฉีกก็กลายเป็นรูปผีเสื้อ

    “สวยหรือไม่”

    ผีเสื้อที่ฉีกออกมาจะสวยได้อย่างไร จั่นเจาเตรียมจะยอกย้อนนางสักสองคำ ตวนมู่ชุ่ยก็เอาผีเสื้อมาแปะไว้ที่ปลายนิ้ว พูดไปก็แปลก ผีเสื้อกลับติดอยู่ที่ปลายนิ้วของนางไม่หล่น และทันใดนั้นปีกผีเสื้อก็กระพือน้อยๆ

    จั่นเจาเข้าใจว่าตนตาฝาดไปจึงขยี้ตาแล้วมองอีกครั้ง ผีเสื้อที่เดิมมีสีเหลืองหยาบก็เริ่มมีสีอื่นแซมขึ้นมา หนวดสัมผัสสั่นไหวอย่างคล่องตัว ปีกขยับไปมา ฉับพลันนั้นก็กระพือปีกบินขึ้น บินว่อนไปมาต่อหน้าจั่นเจา

    จั่นเจามีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ ขณะจะเอ่ยชมว่าผีเสื้อประณีตงดงาม ตวนมู่ชุ่ยก็ยกมือขึ้นตบทีหนึ่ง เจ้าผีเสื้อแบนติดแขนขวาของจั่นเจา

    “เจ้าๆๆ…” เห็นตวนมู่ชุ่ยทำให้ ‘สิ่งมีชีวิต’ตกอยู่ความทุกขเวทนาเช่นนั้น จั่นเจาก็แทบจะกระโดดขึ้นมา

    “ข้าๆๆ อะไร” ตวนมู่ชุ่ยถลึงตาใส่จั่นเจา “นี่คือผีเสื้อส่งข่าว ถ้าพบปีศาจสุกรแล้วก็ตบเบาๆ สามครั้ง มันก็จะมาเรียกข้าไป”

    จั่นเจาก้มหน้าลงมอง ที่แขนขวาไหนเลยจะมีผีเสื้ออะไร เมื่อเพ่งพิศดูอย่างละเอียดจึงพบว่าบนชุดขุนนางสีแดงมีเค้าโครงร่างผีเสื้อสีแดงเข้มปรากฏอยู่

     

    ผ่านไปอีกสองวัน ใต้เท้าเปาจะสอบสวนนักโทษหลบหนีที่จางหลงจ้าวหู่จับตัวกลับมาได้

    จางหลงจ้าวหู่จับกุมนักโทษมาไม่ง่ายจึงอยากจะอยู่ฟังการไต่สวนคดียิ่งนัก แต่เพิ่งจะเดินไปทางห้องพิจารณาคดีในศาลไคเฟิงได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินองครักษ์จั่นส่งเสียงกระแอมกระไออย่างแฝงความนัยลึกซึ้ง

    ช่างเถิด ต้องไปตรวจเล้าสุกรต่อ จางหลงหน้าตายับย่นราวกับลูกมะระ

    จ้าวหู่กลับหาวไม่หยุด เมื่อคืนเจ้าหน้าที่ศาลที่ทิ้งให้เฝ้าเล้าสุกรกระหืดกระหอบมาแจ้งเขาด้วยความร้อนรน บอกพบสุกรตัวหนึ่งมีพฤติกรรมผิดปกติ รอจนจ้าวหู่เร่งรุดไปถึงสถานที่เกิดเหตุจึงพบว่าสุกรที่มีอากัปกิริยาผิดปกติตัวนั้นที่แท้ก็แค่อาการฮึกเหิมอย่างโง่เขลาของบุรุษที่โตแล้วต้องแต่งงาน

     

    ห้องพิจารณาคดี ศาลไคเฟิง

    เปาเจิ่งขึ้นนั่งหลังแท่นว่าความเรียบร้อย ค้อนเบิกศาลก็เคาะลง “นำตัวนักโทษเข้ามา!”

    นักโทษที่เคยถูกพาตัวเข้ามาในห้องพิจารณาคดีมีทั้งที่เห็นความตายดั่งการกลับสู่มาตุภูมิ มีทั้งที่สองขาสั่นพั่บๆ วางท่ามีอำนาจบาตรใหญ่ และน้ำตาคลอไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่ที่เป็นเหมือนนักโทษวันนี้ก็เพิ่งเคยเห็นในชีวิต

    นักโทษที่ถูกเจ้าหน้าที่ศาลสองคนหิ้วตัวเข้ามาในห้องพิจารณาคดี ก้นเชิดสูง ลำคอหดเข้า แววตาหรี่ปรือ ปากยื่นออกมา น้ำลายไหลย้อย

    เปาเจิ่งอดย่นหัวคิ้วไม่ได้ “นี่มันเกิดอะไรขึ้น”

    เจ้าหน้าที่ศาลสองคนวางนักโทษลง หนึ่งในนั้นพูดอย่างหน้านิ่วคิ้วขมวด “ใต้เท้า ผู้น้อยก็ไม่ทราบสาเหตุ นักโทษหลบหนีผู้นี้หลายวันก่อนหนีออกจากคุก หลังจากถูกจางหลงจ้าวหู่ใต้เท้าทั้งสองจับตัวกลับมานิสัยก็เปลี่ยนไปหมด ทั้งวันเอาแต่บ่นหิว แต่ละมื้อต้องเอาหมั่นโถวให้เขาสิบกว่าลูก โจ๊กแป้งหมี่*สิบกว่าชาม ตอนนอนก็คว่ำหน้าขดตัวเป็นก้อน ระยะหลังมานี้กระทั่งภาษาคนก็พูดไม่ได้แล้ว เที่ยวเอาศีรษะดุนดันไปทั่ว…”

    ขณะกำลังพูดอยู่คนผู้นั้นก็ส่งเสียงเหอๆ ต่ำๆ อยู่ในลำคอ ทั้งยังเอาศีรษะดันข้อเท้าด้านนอกของเจ้าหน้าที่ศาลไปมา ด้านข้างริมฝีปากมีน้ำลายไหลออกมา เจ้าหน้าที่ศาลอยากจะมอบให้เขาสักหนึ่งฝ่าเท้า แต่ก็กลัวจะเป็นการกำเริบเสิบสานต่อหน้าใต้เท้าเปาจึงได้แต่ขยับหนีไปที่ด้านข้าง คนนอกมองมาคล้ายเจ้าหน้าที่ศาลถูกนักโทษผู้นั้นดันออกไปไกลหลายเชียะ

    เปาเจิ่งกับกงซุนเช่อมองหน้ากันไปมา เป็นนานกงซุนเช่อจึงทอดถอนใจเอ่ยขึ้น “นี่ใช่คนที่ไหน เป็นสุกรตัวหนึ่งชัดๆ…”

    จั่นเจาฝืนใจก้าวออกมา “ใต้เท้า เท่าที่ผู้น้อยดู เกรงว่าคงต้องเชิญแม่นางตวนมู่แห่งสำนักซี่ฮวาหลิวมาให้ความคิดเห็นที่ศาลขอรับ”

    เปาเจิ่งสั่งการในฉับพลัน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ยังไม่รีบเชิญ”

    จั่นเจาล่าถอยออกมานอกประตู มองรอบด้านเห็นไม่มีคนก็ตบไปที่แขนขวาเบาๆ สามครั้ง ผีเสื้อส่งข่าวหลากสีสันตัวนั้นก็กระพือปีกบินขึ้นแล้วข้ามกำแพงไป

    โชคดีที่ปีศาจสุกรตนนี้ฌานตบะตื้นเขิน ไม่ถึงกับก่อเรื่องก่อราวใหญ่โต อีกทั้งปีศาจสุกรตนนี้สิงอยู่ในร่างนักโทษ ทั้งยังถูกขังอยู่ในคุกไคเฟิงอย่างแน่นหนามาโดยตลอด จึงไม่ได้ไปก่อเหตุเภทภัยให้กับชาวบ้าน

    มองผีเสื้อส่งข่าวที่บินห่างออกไป เมื่อย้อนนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น จั่นเจาพลันรู้สึกหวั่นหวาดขึ้นมาทีหลังเล็กน้อย

     

    ตวนมู่ชุ่ยเดินออกมาจากกระท่อม ผีเสื้อส่งข่าวตัวนั้นบินวนไปมาอยู่ในอากาศหลายรอบ จากนั้นก็บินย้อนกลับไป

    “ในที่สุดพวกเขาก็รู้แล้วหรือว่าปีศาจสุกรตัวนั้นสิงอยู่ในร่างนักโทษ” ตวนมู่ชุ่ยยิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วหันมองไปในกระท่อม “ครั้งนี้ลงโทษเล็กน้อยเพื่อเป็นการตักเตือน นับว่าช่วยแก้แค้นแทนพวกเจ้าแล้ว” พูดจบก็เปิดประตูรั้วมุ่งหน้าเข้าไปในเมือง

    ในกระท่อมยังคงเงียบสงบเหมือนเดิม มีเพียงประตูรั้วที่แสยะปากยิ้ม ท่าทางชื่นอกชื่นใจ

    หน้าที่แล้ว1 of 2

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in คดีปีศาจแห่งเมืองไคเฟิง

    นิยายยอดนิยม

    Facebook