• Connect with us

    Enter Books

    Uncategorized

    ทดลองอ่าน คดีปีศาจแห่งเมืองไคเฟิง เล่ม 3 ตอนที่ 2

    กลางดึก ไม่ว่าใครถ้าถูกปลุกให้ตื่นจากความฝันล้วนไม่เบิกบานใจ

    หยางเจี่ยนเองก็อารมณ์เสียหนัก

    ตอนกลางวันเขากับกู่ชางไปที่กระโจมอัครเสนาบดี ปรึกษาหารือถึงแผนการที่จะเข้าโจมตีเมืองฉงเฉิง ตั้งแต่จัดทัพจนถึงการบุกโจมตีเสริม ตั้งแต่เสบียงและหญ้าไปถึงกองหนุน ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว ทั้งร่างอ่อนล้าหมดสิ้นเรี่ยวแรง และเพิ่งเข้านอนเมื่อยามจื่อแต่ยังไม่ทันได้หลับสนิทดี ผู้ช่วยแม่ทัพในค่ายก็เข้ามาเรียกเขา คำหนึ่งไม่ขานก็เรียกแล้วเรียกอีก ท่าทางไม่บรรลุเป้าหมายก็จะไม่ยอมเลิกรา

    หยางเจี่ยนเห็นว่าแสร้งทำเป็นหลับไม่สนใจก็ไม่เกิดประโยชน์ จำต้องลืมตาขึ้นมา ยามนี้ในดวงตาของเขาเปล่งประกายเย็นยะเยียบ หากจะทำให้คนที่ไม่รู้กาลเทศะแข็งตายสักคนก็รับรองว่าไม่มีปัญหา

    ไหนเลยจะคาดคิดว่าผู้ช่วยแม่ทัพกลับไม่มีทีท่าจะหวาดกลัว ทั้งยังสงบนิ่งไม่สะทกสะท้าน “ท่านแม่ทัพ แม่ทัพตวนมู่มาแล้วขอรับ”

    เพลิงโทสะไร้ชื่อที่หยางเจี่ยนเตรียมจะสาดออกไปก็ได้แต่ปล่อยให้เกิดเองดับเอง มิน่าครั้งนี้ผู้ช่วยแม่ทัพกระทั่งสีหน้าระแวดระวังตัวก็ไม่มีให้เห็น ที่แท้ผู้มามีอิทธิพลยิ่งใหญ่ เขามั่นใจว่าหยางเจี่ยนไม่มีทางบันดาลโทสะใส่ตวนมู่ชุ่ยแน่

    หยางเจี่ยนลุกขึ้นมาสวมเสื้ออย่างเชื่องช้า ถ้าเป็นเมื่อก่อนตวนมู่ชุ่ยคงทนรอไม่ไหวเข้ามาคว้าเสื้อคลุมตัวใหญ่คลุมลงบนร่างเขานานแล้ว

    วันนี้กลับนิ่งเงียบ เขาโอ้เอ้อยู่นานก็ยังคงไม่เห็นตวนมู่ชุ่ยเข้ามา

    หยางเจี่ยนรู้สึกแปลกใจ หลังคิดอยู่ครู่หนึ่ง มุมปากก็มีรอยยิ้มบางพาดผ่าน นางหนูผู้นี้คงไม่ใช่ยังเล่นแง่กับเขาด้วยเรื่องที่ทะเลาะกันเมื่อสองวันก่อนกระมัง

    ช่างวิตกกังวลไม่เข้าเรื่อง เขาจะถือสาเรื่องเล็กน้อยกับนางได้อย่างไร

    ขณะคิดเช่นนี้ก็อดส่ายหน้าฝืนยิ้มไม่ได้ ทางหนึ่งคาดสายรัดเอว ทางหนึ่งก็เลิกม่านเดินออกมาข้างนอก ตวนมู่ชุ่ยนั่งพิงอยู่ข้างโต๊ะอาหาร ทั้งร่างห่อหุ้มด้วยเสื้อขนสัตว์อย่างมิดชิด ขนสัตว์ที่ขอบหมวกละเอียดหนาปิดบังใบหน้าของนางไปกว่าครึ่ง ได้ยินเสียงฝีเท้าของหยางเจี่ยน นางก็เงยหน้ามอง สีหน้าซีดเซียวยิ่ง ริมฝีปากไม่มีสีเลือดแม้แต่น้อย

    หยางเจี่ยนตะลึงงัน ก้าวยาวๆ เข้ามา กล่าวอย่างร้อนรน “ตวนมู่ ไม่สบายหรือ”

    ตวนมู่ชุ่ยอืมออกมาคำหนึ่งแล้วก้มหน้าลง รวบเสื้อคลุมเข้าหากันจากข้างใน ท่าทางน้อยอกน้อยใจ

    หยางเจี่ยนยื่นมือมาลูบศีรษะนาง กล่าวยิ้มๆ “ข้างนอกหนาว เราเข้าไปคุยกันข้างใน”

    ระหว่างพูดก็ดึงตวนมู่ชุ่ยให้เดินไปข้างใน การดึงครั้งนี้แทบจะทำให้นางล้มลง หยางเจี่ยนหัวใจกระตุกวาบ หัวคิ้วพลันขมวดมุ่นเปิดเสื้อคลุมนางออก

    ทันทีที่เห็นก็ต้องสูดลมหายใจอย่างหนาวเหน็บ พูดโพล่งออกมา “เหตุใดจึงบาดเจ็บเช่นนี้”

    ปากน้อยๆ ของตวนมู่ชุ่ยเบ้ออก “เพราะท่านทำให้โมโห”

    หยางเจี่ยนทั้งโมโหทั้งนึกขำ “ถ้าข้าทำให้เจ้าโมโหจนเป็นเช่นนี้ได้ คงทำให้โจ้วหวังโมโหตายไปนานแล้ว ยังต้องลำบากมารบรากันไปไย”

    ว่าแล้วก็ยอบตัวลงยื่นมือมาตรวจดูหัวเข่าของนาง ตวนมู่ชุ่ยร้อนใจ “อย่าอย่า มือของท่านไม่รู้จักหนักเบา อย่ามาทำให้ข้าต้องขาพิการ”

    หยางเจี่ยนได้ยินแล้วก็หดมือกลับ ใบหน้าเรียบขรึมดุจผิวน้ำ “ใช่คนที่ทางเจาเกอส่งมาเป็นคนทำหรือไม่”

    ตวนมู่ชุ่ยกล่าวเสียงต่ำ “อาจจะใช่ คนจัดการไปหมดแล้ว ไม่มีใครรอด ซักถามไม่ได้ความอะไร”

    พูดจบก็เห็นหยางเจี่ยนทำท่าจะเกิดโทสะ จึงรีบยื่นแขนไปให้เขา “พี่ใหญ่ เดินไม่ไหวแล้ว ท่านพยุงข้าเถิด”

    หยางเจี่ยนจนปัญญา จำต้องพยุงนางเข้าไปข้างใน เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ไร้คำพูด ตวนมู่ชุ่ยใช้ขาข้างเดียวกระโดดไป กระโดดจนหัวใจของหยางเจี่ยนเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ไปทั้งดวง ความเวทนาสงสารเล็กน้อยในใจที่เห็นนางบาดเจ็บพลันเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว

    มีใครที่ใดบาดเจ็บแล้วยังจะกระโดดอย่างมีความสุขเช่นนี้ นี่ใช่เข้าร่วมการแข่งขันกระโดดขาเดียวเสียเมื่อไร!เขาจึงสะบัดมือออกเสียเลย “เจ้าเดินเอง”

    ตวนมู่ชุ่ยกอดแขนเขาแล้วมองด้วยสีหน้ายิ้มกริ่ม เอียงคอลากเสียงยาว “พี่ใหญ่…”

    หยางเจี่ยนใจอ่อน ทุกครั้งที่นางเรียกเขาพี่ใหญ่ก็จะทำให้เขานึกถึงหยางฉานน้องสามของตนเอง ตอนนั้นเหยาจีมารดาของเขาเนื่องจากหลงรักหยางเทียนโย่วบัณฑิตแห่งราชวงศ์ซย่าจึงถูกสวรรค์จับตัวไปคุมขังที่ภูเขาเถาซาน พี่น้องของหยางเจี่ยนขาดคนดูแล เสื้อผ้าอาหารการกินล้วนลำบากยากจะดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้ หยางฉานทุกครั้งที่ท้องหิวก็จะมองเขาอย่างน่าสงสาร แล้วเรียกเขา ‘พี่ใหญ่…’

    ตามเหตุผลแล้วหยางฉานควรเรียกเขาว่าพี่รองจึงจะถูก หยางเจียวจึงจะเป็นพี่ใหญ่ แต่หยางฉานพึ่งพาเขามากกว่า ไม่สนใจพี่ใหญ่ที่แท้จริง และเรียกเขาเช่นนี้ทุกคำ

    จากนั้นเขาได้ไปฝึกวิชากับอวี้ติ่งเจินเหริน หลังจากฝึกวิชาสำเร็จก็มาช่วยทัพซีฉี ส่วนหยางฉานได้รับแต่งตั้งเป็นฮว่าเยวี่ยซานเหนียง นับขึ้นมาแล้ว พี่น้องสองคนก็ไม่ได้พบหน้ากันนานมากแล้ว ต่อมาภายหลังได้มาพบตวนมู่ชุ่ยที่ซีฉี จะว่าไปแล้วนิสัยของตวนมู่ชุ่ยกับหยางฉานแตกต่างกันมาก แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เขามักรู้สึกรักใคร่เอ็นดูนางไม่ต่างจากน้องสาว

    หยางเจี่ยนถอนใจ ยื่นมือไปโอบเอวนางอุ้มขึ้นมา

    ตวนมู่ชุ่ยกระหยิ่มใจ เอื้อมมือไปคล้องคอหยางเจี่ยนไว้ “พี่ใหญ่ ยังคงเป็นท่านที่ดีกว่าใคร”

    หยางเจี่ยนถลึงตาใส่นาง “กู่ชางไม่ดีต่อเจ้าหรืออย่างไร”

    ตวนมู่ชุ่ยชะงักอึ้งไปชั่วขณะ ไม่พูดอะไรอีก

    วันนี้นางดูแปลกไปเสียทุกอย่าง

    หยางเจี่ยนสีหน้าสงบนิ่ง เข้ามาข้างในแล้วก็วางนางลงบนเตียง พูดอย่างมีนัย “ดึกดื่นค่อนคืน ร่างกายมีบาดแผลก็ยังจะมา ที่แท้แล้วมีเรื่องอะไรกันแน่”

    ตวนมู่ชุ่ยกัดริมฝีปาก “เรื่องของห้วงลึก”

    “ห้วงลึก?” หยางเจี่ยนไม่เข้าใจจริงๆ “ห้วงลึกเกี่ยวอะไรกับเจ้า”

    “ไม่เกี่ยวอะไร” ตวนมู่ชุ่ยดวงตาแวววาวระยิบระยับ “ข้าก็แค่อยากรู้ พี่ใหญ่ ท่านเป็นผู้บำเพ็ญเซียน ครั้งก่อนท่านไม่ใช่ยังพูดถึงห้วงลึก ทางนรกอะไร ท่านพูดให้ข้าฟังหน่อยเถิด”

    หยางเจี่ยนย่อมไม่เชื่อว่าสาเหตุที่นางถามถึงห้วงลึกเพียงเพราะ‘แค่อยากรู้’แต่เห็นนางดวงตาแวววาวระยิบระยับก็รู้ว่าซักถามไปก็คงไม่ได้คำตอบอะไรจึงคล้อยตามนางไปก่อน “นั่นเป็นเรื่องในสมัยโบราณกาล ก้งกงกับจวนซวีแย่งชิงกันเป็นจักรพรรดิ ก้งกงพ่ายแพ้และเดือดดาลเอาศีรษะชนภูเขาปู้โจว แผ่นฟ้าเอียงพื้นปฐพีพลิกหงายไม่พูดถึง กระทั่งวังของพญายมก็แตกแยกเป็นเสี่ยงๆ ช่วงเวลานั้นมารปีศาจในแดนมนุษย์เที่ยวออกมาก่อกรรมทำชั่ว แต่ปีศาจและมารที่ชั่วร้ายเจ้าเล่ห์ที่สุดต่างไปรวมตัวกันอยู่ในทางนรก ห้วงลึกคือหนึ่งในสิ่งที่ชั่วร้ายอำมหิตที่สุด ต่อมาเจ้าแม่หนี่ว์วาทุ่มเทกำลังกอบกู้สถานการณ์ หลอมหินห้าสีมาซ่อมแซมท้องฟ้า ทั้งผ่าหัวใจควักดีมาปิดผนึกทางนรก แดนมนุษย์จึงสงบสุขลง”

    ตวนมู่ชุ่ยฟังจนเคลิบเคลิ้ม “พูดเช่นนี้ ที่แท้แล้วห้วงลึกก็คือปีศาจ”

    “ใช่ ปีศาจในโลกนี้มีมากมายหลายหลาก บ้างก็กินพลังชีวิตของบุรุษเป็นอาหาร บ้างก็กินความงามของอิสตรีเป็นอาหาร บ้างก็กินความโลภความโหดเหี้ยมอำมหิตของคนเป็นอาหาร ส่วนห้วงลึกกินความคิดถึงโหยหาอดีตของคนเป็นอาหาร”

    “กินความคิดถึงโหยหาอดีตของคนเป็นอาหารเช่นนั้นหรือ” ตวนมู่ชุ่ยประหลาดใจ “แล้วจะกินอย่างไร”

    “ห้วงลึกมีหนวดงวงจำนวนนับไม่ถ้วน สามารถหยั่งรู้ถึงความคิดถึงโหยหาในส่วนลึกที่สุดภายในใจของคน ถ้าความคิดถึงโหยหานี้ลึกซึ้งมากพอ ห้วงลึกก็จะอาศัยสิ่งนั้นสร้างดินแดนแห่งความเพ้อฝันขึ้นมา ทุกสิ่งทุกอย่างในดินแดนเพ้อฝันดูมีชีวิตชีวาเสมือนจริง เมื่อใดที่จมลงไปอยู่ในนั้นก็จะแยกไม่ออกอย่างสิ้นเชิงว่าอันใดคือภาพมายา อันใดจริง อันใดเท็จ”

    “เช่นนั้นก็ไม่ถูกต้อง” ตวนมู่ชุ่ยคล้ายคิดอะไรอยู่ในใจ “พี่ใหญ่ อย่างเช่นข้าคิดถึงท่านแม่มาก ถ้าห้วงลึกมาเจอข้าเข้า ให้ข้าเข้าไปในดินแดนเพ้อฝัน เช่นนั้นข้าไยมิใช่ต้องกลายสภาพเป็นเด็ก ถึงข้าจะคิดถึงโหยหาเหตุการณ์ในตอนนั้น แต่ในใจข้าก็ยังคงรู้ว่าข้าเป็นแม่ทัพของซีฉี”

    หยางเจี่ยนพยักหน้า “นี่ก็คือจุดที่ชั่วร้ายของห้วงลึก หลังจากเข้าไปในดินแดนเพ้อฝันแล้ว จิตสำนึกและสติสัมปชัญญะของเจ้าก็จะถูกปิดผนึก เหลือเพียงความทรงจำในสมัยเด็กของเจ้า เจ้าจะจำไม่ได้ว่าต่อมาภายหลังได้เป็นแม่ทัพ และจำไม่ได้ว่ารู้จักข้าหรือกู่ชาง”

    ตวนมู่ชุ่ยตะลึงงัน “นั่นก็หมายความว่าข้าจะไม่ตื่นขึ้นมาตลอดกาล”

    หยางเจี่ยนพึมพำ “นอกเสียจาก…ตอนเจ้าเข้ามาในห้วงลึก มีคนเข้ามาในแดนเพ้อฝันของเจ้าเพื่อจะตามตัวเจ้ากลับไป เช่น หลังจากเจ้าเข้าไปในห้วงลึก ข้าก็ไปตามเจ้ากลับมา ในสมัยเด็กของเจ้าย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะมีข้าอยู่ด้วย การปรากฏตัวขึ้นของข้าก็คือการโจมตีห้วงลึกอย่างหนึ่ง ถ้าเจ้ากับข้าคลุกคลีด้วยกันนานเข้า ความทรงจำลึกซึ้งขึ้นทุกวัน อาจจะจำอะไรขึ้นมาได้บ้างก็ไม่แน่”

    “ถ้าจำได้แล้วจะเป็นอย่างไร” ตวนมู่ชุ่ยตื่นเต้น

    “ไม่จำอะไรได้ง่ายดายเช่นนั้น ถ้าจิตสำนึกและสติสัมปชัญญะของเจ้าฟื้นขึ้นมา ห้วงลึกก็จะพยายามทำทุกวิถีทาง ใช้คำหลอกลวงที่ไพเราะหวานหู ล่อหลอกให้เจ้าหลับไปอีกครั้ง นอกจากนี้…”

    “นอกจากนี้อะไรหรือ” ตวนมู่ชุ่ยซักไซ้

    “นอกจากนี้ต่อให้จิตสำนึกและสติสัมปชัญญะของเจ้าฟื้นขึ้นมา เจ้าก็ออกจากห้วงลึกไม่ได้”

    “หมายความว่าถึงข้าจะรู้ว่าข้าเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เป็นแม่ทัพของซีฉี แต่อยู่ในห้วงลึก ข้าก็ยังคงเป็นเด็กน้อยในสมัยเด็กผู้นั้น จิตสำนึกและสติสัมปชัญญะของข้าไม่อาจควบคุมร่างกายของข้าได้ ได้แต่มองดูตนเองใช้ชีวิตต่อไปด้วยรูปร่างหน้าตาในสมัยเด็กหรือ”

    “ใช่”

    “เช่นนั้นไยมิใช่ไม่มีความหวังแล้ว” ตวนมู่ชุ่ยหนาวสั่น

    “มีก็มีอยู่ เพียงแต่มีก็เหมือนไม่มี”

    “หมายความว่าอย่างไร”

    “เอาเจ้าเป็นตัวอย่าง ถ้าอยากจะออกจากห้วงลึก นอกเสียจากเจ้าในสมัยเด็กผู้นั้นตายไป ก่อนตายนางก็รู้ชัดเจนว่าตนเป็นเพียงบุคคลมายาในห้วงลึก อีกทั้งนางยินดีให้เจ้าบงการร่างกายของเจ้าเองอีกครั้ง”

    ตวนมู่ชุ่ยฟังแล้วดุจจมอยู่ในเมฆหมอก “จะต้องตายด้วยหรือ”

    “แน่นอน ตายคือแตกสลาย ไม่แตกสลายก็ไม่อาจเกิดใหม่ได้”

    “ตนเองรู้ว่าตนเองเป็นของปลอม ยังต้องยินดีให้ตัวจริงผู้นั้นปรากฏตัวออกมา ยังต้องไปตาย…” ตวนมู่ชุ่ยศีรษะโตดุจโต่ว “พี่ใหญ่ ข้าฟังไม่ค่อยเข้าใจ”

    หยางเจี่ยนหัวเราะเสียงดัง “ไม่เข้าใจก็ดีแล้ว ห้วงลึกฝังลึกอยู่ในทางนรก เกี่ยวอะไรกับเจ้า”

    “แต่…” ตวนมู่ชุ่ยนวดขมับ คิดจะถามอะไรแต่ก็จำได้ไม่ค่อยแน่ชัด ขมวดคิ้วอยู่เป็นนานก็โพล่งออกมาคำหนึ่ง “พี่ใหญ่ พวกเราในตอนนี้…คงไม่ใช่อยู่ในห้วงลึกกระมัง”

    หยางเจี่ยนทั้งนึกฉุนทั้งนึกขำ ยื่นมือไปเขกหน้าผากนางทีหนึ่ง “ตวนมู่ เจ้าไม่ใช่ฝันจนเลอะเลือนแล้วกระมัง เจ้ามองดูข้า ข้าคล้ายตัวปลอมตรงที่ใด เราจะอยู่ในห้วงลึกได้อย่างไร” คิดไปคิดมาแล้วหัวเราะอีก “ถ้าอยู่ในห้วงลึก สำหรับเจ้ากลับเป็นเรื่องดี”

    “เพราะเหตุใด”

    หยางเจี่ยนกลั้นหัวเราะ วางท่าจริงจัง “ถ้าอยู่ในห้วงลึก เจ้าสามารถตื่นขึ้นมาได้ เช่นนั้นพริบตาถัดไป บาดแผลบนร่างกายเจ้าก็จะหายโดยไม่ต้องรักษาแล้ว การทำร้ายในดินแดนเพ้อฝันก็เป็นภาพมายา หลังจากตื่นขึ้นมาก็เหมือนลมพัดผ่านไร้ร่องรอย ตวนมู่ เจ้าจะลองดูหรือไม่ เจ้าปาดคอตัวเองตอนนี้ ไม่แน่หลังจากตื่นขึ้นมา อาจไม่มีบาดแผลแม้แต่น้อย กระโดดได้เร็วกว่าใคร…”

    ตวนมู่ชุ่ยเดือดดาล “ไม่เอาด้วยหรอก!”

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in Uncategorized

    นิยายยอดนิยม

    Facebook