• Connect with us

    Enter Books

    Uncategorized

    ทดลองอ่าน คดีปีศาจแห่งเมืองไคเฟิง เล่ม 3 ตอนที่ 2

    แสงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้าแล้ว จั่นเจาเดินๆ หยุดๆ อยู่รอบนอกลานฝึก ทหารที่ฝึกฝนวรยุทธ์ต่างทยอยแยกย้ายกันไป เหลือเพียงไม่กี่นายที่ยังแลกเปลี่ยนความรู้กันอยู่

    อากาศยามเช้าตรู่ยังคงหนาวเย็น ชุดสีน้ำเงินของจั่นเจาสะบัดไปตามลม แต่คนกลับไม่รู้สึกหนาวแม้แต่น้อย

    งุนงงสับสนมาทั้งคืน ในสมองยุ่งเหยิงวุ่นวาย ปวดศีรษะ ขมับเต้นตุบๆ ในใจกลับสงบนิ่งเยือกเย็นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

    เมื่อคืนเขาได้ยินนางพูดกับหู บอกว่าจำเซวียนผิงได้แล้ว

    ความทรงจำยื่นขยายจากเซวียนผิงออกไป ทางนรก ผีเสื้อส่งข่าว ท่านกงซุน ศาลไคเฟิง ใต้เท้าเปา…ความสนิทสนมใกล้ชิดที่ตราตรึงอยู่ในใจมากมาย นับแต่เข้ามาในห้วงลึกก็คล้ายกระแสน้ำไหลผ่านผืนทราย ราบเรียบไร้ร่องรอย มาบัดนี้ในที่สุดก็ผุดขึ้นมาทีละอย่าง ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น ประหนึ่งมีเส้นทางที่จะกลับสู่บ้านเกิดสายหนึ่งปรากฏขึ้นมาที่ใต้ฝ่าเท้า

    ดวงตาทั้งสองของจั่นเจาร้อนผะผ่าวขึ้นมา

    ไม่รู้พวกท่านกงซุนเป็นอย่างไรบ้าง ใต้เท้าอยู่ในจวนสบายดีหรือไม่ เวินกูเหว่ยอวี๋เคยบอกว่าเวลาในห้วงลึกช้ากว่าเวลาในทางนรกมากนัก เช่นนั้นกล่าวสำหรับพวกเขาแล้ว ตนก็ไม่ได้จากมานานมากนัก อาจจะเพียงชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชา แต่กล่าวสำหรับตนแล้ว ทุกอย่างในห้วงลึกวันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าราวกับเป็นปี

    ดีที่ทุกอย่างกำลังจะผ่านพ้นไปแล้ว

    มีเสียงฝีเท้าร้อนรนดังมาจากด้านหลัง พอหันกลับไปมองก็เห็นเป็นอาหมี

    ข้างหลังนางห่างออกไปไม่ไกลนัก สาวใช้สองคนประคองฉีมู่อีหลัวที่ท่าทางทึ่มทื่อเดินตามมา

    “พี่ใหญ่จั่น” อาหมีพูดอ้ำๆ อึ้งๆ “แม่นางฉีมู่ นาง…ตื่นเช้าขึ้นมาก็เอาแต่บ่นกลับบ้านๆ ถามอะไรนาง นางก็ไม่รู้ ข้ากำลังคิด…”

    จั่นเจายิ้ม “เจ้าคิดจะพาฉีมู่อีหลัวกลับไปคฤหาสน์สกุลฉีมู่หรือ”

    “ใช่” อาหมีสองแก้มเป็นสีชมพู “สภาพของนางในเวลานี้กลับไปสักหน่อยอาจจะช่วยนางจำอะไรขึ้นมาได้บ้าง ดีขึ้นเร็วหน่อย พี่ใหญ่จั่น ข้าไม่รู้ว่าคฤหาสน์นางอยู่ที่ใด ท่านจะไปด้วยกันกับพวกเรา…ได้หรือไม่…”

    อาหมีพูดออกมาอย่างยากลำบาก นางไม่รู้ว่าคฤหาสน์ฉีมู่อยู่ที่ใดเป็นเรื่องจริง แต่เมืองอันอี้ก็เล็กเท่านี้ ทหารในค่ายที่เคยไปมาก็มีไม่น้อย เรียกมานำทางสักนายก็ได้ ไม่จำเป็นต้องรบกวนจั่นเจา

    นางมีเจตนาส่วนตัวแอบแฝงอยู่ เป็นความรู้สึกงดงามเล็กๆ ของหญิงสาว

    ขณะกระวนกระวายใจอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงอบอุ่นของจั่นเจาดุจสายลมเย็นระรื่นพัดผ่าน “ได้สิ”

    อาหมีไม่ได้เงยหน้า ซ้ำยังก้มต่ำยิ่งขึ้น ยามนี้อย่าเงยหน้าดีกว่า รอยยิ้มของนางจะปิดไม่อยู่ ให้จั่นเจาเห็นเข้าจะไม่ดี

    ใต้ฝ่าเท้าเดิมเป็นกรวดทรายฝุ่นผง แต่ในสายตาของนางกลับกลายเป็นผ้าแพรปักลายดอกไม้หลากหลายพันธุ์ที่สดใสสวยงามเปล่งประกายระยิบระยับไปแล้ว

     

    ตลอดทางที่เดินมา จั่นเจาและพวกอาหมีดูสะดุดตายิ่ง ในบรรดาคนเดินถนนเป็นกลุ่มๆ ที่ตื่นมาแต่เช้ามีคนจำฉีมู่อีหลัวได้ ไม่มีใครไม่แอบกระซิบกระซาบกันที่ข้างหู คิดว่าเรื่องที่บ้านสกุลฉีมู่แอบติดต่อทางเจาเกอคงไม่ใช่ข่าวใหม่ในเมืองอันอี้แล้ว

    คฤหาสน์ฉีมู่ยังคงอยู่ในสภาพเดิมเหมือนตอนก่อนจากไป ในลานบ้านเต็มไปด้วยข้าวของวางทิ้งระเกะระกะ ในบ้านโต๊ะเอียงเก้าอี้ล้ม จั่นเจานึกถึงภาพที่เห็นครั้งแรกตอนมาถึงคฤหาสน์ฉีมู่เมื่อหลายวันก่อน เมื่อเปรียบกับตอนนี้แล้วก็อดทอดถอนใจไม่ได้

    เคยเห็นมันเป็นอาคารสีแดงสง่างาม เคยเห็นมันใช้เป็นที่จัดเลี้ยงรับรองแขก และก็เห็นมันพังลง ความสำเร็จความล้มเหลวหรือเกียรติยศและความอัปยศอดสู ความเจริญรุ่งเรืองหรือความเสื่อมโทรม ล้วนเป็นเวลาชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น

    แล้วก็นึกถึงซีฉีในยามนี้ เจียงจื่อหยามีกองกำลังทหารเกรียงไกร มีขุนศึกห้าวหาญอยู่ในมือ ยิ่งใหญ่เหิมเกริมเพียงใด โอรสสวรรค์แห่งราชวงศ์โจวได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ เคลื่อนทัพไปสยบเก้าเขตแคว้น*แต่ต่อมาภายหลังเล่า อย่าว่าแต่ราชวงศ์โจวเลย ต่อให้เป็นราชวงศ์แต่ละยุคในอดีตที่เกิดขึ้นภายหลังราชวงศ์โจว มีราชวงศ์ใดบ้างที่อยู่มาชั่วกัลปาวสาน

    เพียงหวังว่าแม่นางฉีมู่อย่าเห็นภาพแล้วสะเทือนใจ จั่นเจาอดมองไปทางฉีมู่อีหลัวด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ สภาพของนางดูเหมือนจะดีขึ้นเล็กน้อย แม้ใบหน้าจะยังคงทึ่มทื่อ แต่ในดวงตาทั้งสองในที่สุดก็มีประกายสดใสผุดขึ้นจางๆ

    อาหมีกันคนที่ไม่เกี่ยวข้องไว้นอกประตู เพียงร่วมกับจั่นเจาพาฉีมู่อีหลัวเข้าไปในบ้าน ตอนแรกอาหมียังพาฉีมู่อีหลัวเดินไปทั่วๆ ต่อมาเห็นจั่นเจายืนครุ่นคิดอะไรอยู่ตามลำพังในลานบ้านก็อดใจไม่อยู่อยากเดินไปหา นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วกระซิบบอกฉีมู่อีหลัว “เจ้ารออยู่ที่นี่ อย่าเที่ยวเดินไปทั่ว”

    นางเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลราวกับกำลังปลอบขวัญเด็กเล็กที่ไม่รู้ประสา ฉีมู่อีหลัวไม่เคลื่อนไหว ดวงตาเซื่องซึมคล้ายไม่ได้ยิน อาหมีวางใจลงและตบๆ หลังมือนางก่อนหมุนตัวเดินจากไป

    จั่นเจาได้ยินเสียงฝีเท้านางก่อนแล้วจึงหมุนตัวมาส่งยิ้มบางให้ เขามองฉีมู่อีหลัวที่อยู่ห่างออกไปแวบหนึ่ง กดเสียงลงต่ำเอ่ยถาม “แม่นางฉีมู่เป็นอย่างไรบ้าง”

    อาหมีก็พลอยเอ่ยเสียงแผ่วเบาตามไปด้วย “เท่าที่ข้าดู แม่นางฉีมู่จิตใจดีขึ้นบ้างแล้ว พี่ใหญ่จั่นวางใจเถิด คุณหนูไม่ใช่คนชั่วร้าย ค่อยพูดค่อยจากับนาง นางไม่ส่งแม่นางฉีมู่ให้เกาป๋อเจี่ยนแน่”

    จั่นเจาอึ้งไป จากนั้นก็กล่าวยิ้มๆ “ข้ารู้”

    อาหมีพูดอย่างแปลกใจ “รู้?” คิดอยู่ครู่หนึ่งก็คลี่ยิ้ม “พี่ใหญ่จั่น เรื่องเข้าใจผิดระหว่างท่านกับคุณหนูพูดคุยกันเข้าใจแล้วกระมัง พูดคุยกันเข้าใจแล้วก็ดี ถ้านางยังเจ็บแค้นเจ้าอยู่ ข้าอยู่ตรงกลางก็วางตัวลำบาก”

    “พูดขึ้นมาแล้ว หลายวันมานี้ดีที่ได้แม่นางอาหมีช่วยไกล่เกลี่ย” คำพูดของจั่นเจาเต็มไปด้วยน้ำใสใจจริง “ขอบคุณแม่นางอาหมีที่ช่วยปกป้องทุกอย่าง จั่นเจา…ไม่มีสิ่งใดจะตอบแทน”

    อาหมีหน้าแดง ก้มหน้าลง เอ่ยเสียงเบาแทบไม่ได้ยิน “ล้วนแต่เป็นคนกันเอง…พูดเรื่องตอบแทนไม่ตอบแทนอะไร”

    โสตประสาทของจั่นเจาเฉียบไวเพียงใด เสียงอาหมีแม้จะเบา เขากลับได้ยินชัดเจนทุกคำ หัวใจเต้นสะดุดทีหนึ่งและพูดออกมา “คนกันเอง?”

    อาหมียิ่งก้มหน้าต่ำ นิ้วมือเรียวงามดุจต้นหอมบิดเป็นเกลียวอยู่ด้วยกัน บิดจนนิ้วมือข้างหนึ่งแดงข้างหนึ่งขาว “คุณหนูไม่ได้…เอ่ยกับเจ้าหรือ”

    “เอ่ยเรื่องอะไรหรือ” จั่นเจาประหลาดใจอย่างแท้จริง แต่ในเวลาเดียวกันนั้นก็พอจะมองสายสนกลในออกหลายส่วน เขาไม่ใช่คนโง่ อาหมีเป็นหญิงสาวขี้อายคนหนึ่ง ทว่าหลายครั้งความขวยอายก็ไม่อาจปิดบังความในใจได้ กลับยิ่งอยากปิดบังยิ่งเห็นชัด

    “ก็คือ…” อาหมีเอ่ยปากอย่างยากลำบาก “ก็คือ…”

    จั่นเจาขนศีรษะเริ่มลุกชัน สติสัมปชัญญะเตือนเขาว่าไม่อาจให้อาหมีพูดต่อไปเด็ดขาด หาไม่จะทำให้ยากแก่การจัดการ เขาจะช่วยให้นางสมหวังได้หรือ

    ในช่วงเวลาคับขัน ฉีมู่อีหลัวก็ช่วยไว้ได้พอดี

    “แม่นางฉีมู่เล่า” จั่นเจาพลันพบว่าไม่ถูกต้อง และเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปอย่างคล้อยตามสถานการณ์

    “ไม่ใช่อยู่ตรงนั้น…เอ๋?” อาหมีชะงักอึ้ง นางจำได้ว่าเมื่อครู่ฉีมู่อีหลัวอยู่ที่ระเบียงหน้าประตู ฉีมู่อีหลัวหายไปจากตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไร

    “ข้าจะไปหาดู ช่วงนี้นางจิตใจเหม่อลอย อย่าเกิดเรื่องอะไรเป็นดีที่สุด” จั่นเจาจงใจหลบสายตาอาหมี หาเหตุแยกจากไป

    อาหมีไม่ได้ขยับ สายตาของนางดูคล้ายกะพริบระยิบระยับ แต่ความจริงแล้วไม่ได้ละจากกายจั่นเจาเลย

    พี่ใหญ่จั่นใส่ใจฉีมู่อีหลัวมากหรือฟันซี่เล็กขาวสะอาดของอาหมีขบลงที่ริมฝีปากล่างเบาๆ ขบแน่นจนข้างขอบปากกลายเป็นสีขาว

    พูดไปแล้วแม่นางฉีมู่ก็น่าสงสารมากจริงๆ ตนควรใจกว้างสักหน่อย ถ้าพี่ใหญ่จั่นชอบ จะแต่งกับนางด้วยก็ใช่จะไม่ได้ ผู้สูงส่งในสมัยโบราณเช่นจักรพรรดิซุ่นไม่ใช่ก็มีเอ๋อหวงกับหนี่ว์อิง

    จั่นเจาไม่ต้องทุ่มเทสติปัญญาความเหนื่อยยากอะไรก็หาฉีมู่อีหลัวพบ นางนั่งพิงกำแพงทึ่มทื่ออยู่ที่ลานด้านหลัง มือถือกิ่งไม้หักกิ่งหนึ่ง ขีดเขียนอะไรอยู่ตรงหน้าด้วยท่าทางเลื่อนลอย

    จั่นเจาค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้และหยุดอยู่ข้างกายฉีมู่อีหลัว พื้นดินที่อยู่ตรงหน้านางถูกขีดคุ้ยขึ้นมา มีใบหญ้าที่ถูกดึงขาดปะปนอยู่ด้วย ในใจของจั่นเจามีความรู้สึกมากมายหลากหลายผสมปนเป เขายื่นมือไปให้ฉีมู่อีหลัว เอ่ยเสียงอ่อนโยน “แม่นางฉีมู่ เรากลับกันเถิด”

    ฉีมู่อีหลัวยิ้มนุ่มนวล โยนกิ่งไม้หักในมือทิ้ง ในดวงตาเต็มไปด้วยความเชื่อถือไว้วางใจ นางเอามือวางลงบนฝ่ามืออบอุ่นของจั่นเจาเบาๆ

    เมื่อฉีมู่อีหลัวลุกขึ้นมา ที่กำแพงลานด้านหลังตรงรอยต่อติดกับพื้นก็ปรากฏภาพประหลาดที่ดูคล้ายวาดด้วยนิ้วมืออยู่ภายใต้ต้นหญ้าหลากชนิดที่ทั้งช่วยปกปิดอำพรางและทั้งขับดุนให้เด่นชัด

    ยิ่งคล้ายเส้นสายที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ

    เพียงมองแวบเดียว จั่นเจาไม่ได้รู้สึกกระทั่งว่ามีอะไรผิดปกติ

    ความจริงแล้วต่อให้เขาก้มลงมองอย่างละเอียดก็ไม่แน่ว่าจะมองสายสนกลในอะไรออก

    ในยุคสมัยของจั่นเจา แม้จะรวบรวมกำลังคน กำลังเครื่องมือ และกำลังทรัพย์มากมายก็ไม่อาจอ่านและอธิบายความหมายของตัวอักษร‘จย่ากู่เหวิน’ของเมืองอินซวี**ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงรหัสลับที่ดัดแปลงจากตัวอักษร ‘จย่ากู่เหวิน’

    จั่นเจาไม่รู้จักตัวอักษรโบราณที่แกะอยู่บนกระดูกสัตว์เหล่านี้ กระทั่งชื่อเรียกก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อน

     

    กลับมาถึงในค่าย มีทหารถ่ายทอดคำสั่งมาจากค่ายของหยางเจี่ยน บอกเพียงว่าหยางเจี่ยนจะให้ตวนมู่ชุ่ยพักอยู่ที่นั่นหนึ่งคืน พรุ่งนี้จึงจะกลับ

    อาหมีแต่ไรมาก็รู้ว่าหยางเจี่ยนรักและเอ็นดูตวนมู่ชุ่ยจึงไม่รู้สึกแปลกใจ เพียงตอบรับออกมาคำหนึ่ง “ทราบแล้ว”

    จั่นเจากลับรู้สึกได้กลิ่นไม่ค่อยดีขึ้นมารำไร

    ว่าตามเหตุผล ในเมื่อตวนมู่ชุ่ยตื่นขึ้นมาแล้วก็ควรรู้ว่าห้วงลึกเป็นดินแดนเพ้อฝัน ภารกิจสำคัญอันดับหนึ่งคือต้องกลับไปที่ทางนรกจัดการเรื่องยุ่งเหยิงที่เวินกูเหว่ยอวี๋ก่อขึ้นมา เพราะเหตุใดจึงพลิกกลับ ตอนแรกก็ออกจากค่ายกลางดึก จากนั้นก็ไปค้างแรมที่ค่ายหยางเจี่ยนราวกับคนไม่มีอะไรทำเช่นนั้น

    จั่นเจายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกไม่ถูกต้อง

    ทว่าเขาบังคับตัวเองไม่ให้คิดอะไรวุ่นวายอีก

    ตวนมู่ทำเช่นนี้ย่อมมีเหตุผล เขาพยายามโน้มน้าวใจตนเอง สองคนคบหากันสนิทสนม ถ้ากระทั่งความไว้วางใจเพียงเท่านี้ยังไม่มี ยังจะมาพูดอะไรเรื่องเป็นสหายร่วมใจร่วมเดินทางไปด้วยกัน

    วันนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

    ตอนกลางคืนมีลมแรง ส่งเสียงอื้ออึงราวกับปีศาจนับร้อยร้องครวญครางออกมาพร้อมกัน กระโจมทหารที่ตั้งขึ้นมาถูกลมแรงโหมซัดจนสั่นไหวทำท่าจะล้ม กรวดทรายเม็ดใหญ่ถูกลมพัดหอบขึ้นมา ซัดถูกใบหน้าและศีรษะของทหารลาดตระเวนตอนกลางคืน นัยน์ตาหรี่จนลืมไม่ขึ้น แม้แต่คบเพลิงชุบน้ำมันที่หน้ากระโจมหลักก็ถูกลมพัดดับ จุดขึ้นใหม่กี่ครั้งก็ดับไปเสียทุกครั้ง

    ท่ามกลางความมืดที่ยุ่งเหยิงวุ่นวายฟ้าดินส่งเสียงครวญคราง มีเงาดำประหลาดสายหนึ่งหลบเลี่ยงหูตาผู้คนเข้ามาใกล้กระโจมของอาหมีโดยไม่มีใครพบเห็น

    ฉีมู่อีหลัวไม่ได้นอน ดวงตาทั้งสองของนางเบิกกว้าง ฟังเสียงลมที่นอกกระโจม ความอาฆาตแค้นเป็นอาหารบำรุงที่ไม่ธรรมดา เพียงพอที่จะค้ำจุนนางให้ลืมหิวกระหายและลืมอ่อนล้า คิดแต่จะรับมือศัตรู

    ทันใดนั้นก็มีเสียงโลหะกับหินกระทบกันดังมาจากนอกกระโจมสามครั้ง เว้นระยะหน้ายาวหลังสั้น จากนั้นก็ดังขึ้นอีกสามครั้ง หน้าสั้นหลังยาว

    เพียงเวลาชั่วประกายไฟแลบ ฉีมู่อีหลัวพลันมีปฏิกิริยาขึ้นมา ร่างแข็งขึงขึ้นมาทันที จากนั้นก็ร้อนผะผ่าว หัวใจของนางเต้นรัวแรงราวจะทะลุแผ่นอกออกมา นางจำต้องยกสองมือขึ้นมากดหน้าอกไว้ กลัวมากว่าเสียงหัวใจเต้นจะทำให้อาหมีตกใจตื่น

    ไม่รู้ผ่านไปนานเพียงใดจึงค่อยๆ สงบนิ่งลง นางเอาผ้าห่มของตนคลุมเตียงไว้ให้ดีทำทีเป็นว่ายังนอนอยู่ จากนั้นก็ค่อยๆ ย่องออกจากกระโจม ยังไม่ทันยืนมั่นก็ได้ยินเสียงที่กดจนต่ำกระซิบขึ้น “ตามข้ามา”

    มองตามเสียงไปก็เห็นเงาร่างผอมสูงร่างหนึ่งกำลังเดินเร็วๆ ไปทางหลังกระโจม ฉีมู่อีหลัวไม่ส่งเสียงใดๆ รวบเสื้อคลุมร่างไว้แน่นแล้วตามไป ชายเสื้อคลุมค่อนข้างกว้างจึงถูกลมพัดจนโป่งพอง มองเผินๆ เหมือนโคมไฟดวงใหญ่

    วกๆ วนๆ หลบๆ อ้อมๆ ไม่รู้ผ่านไปนานเพียงใดคนผู้นั้นก็หลบเข้าไปในเพิงหลังหนึ่ง เสียงลมเบาลงมาก กลิ่นมูลม้าพุ่งเข้ามาปะทะหน้า ส่วนลึกของเพิงมีเสียงฮึดฮัดไม่สบายใจของม้า พวกนางมาถึงโรงม้าแล้ว

    คนผู้นั้นเสียงแหบต่ำยิ่ง “เจ้าเป็นลูกสาวของฉีมู่เตี่ยนหรือ”

    แม้จะอยู่ท่ามกลางความมืดมิดยามราตรีเช่นนี้ แต่ก็มองออกถึงสีหน้าที่ซีดขาวของฉีมู่อีหลัว “ใช่”

    “พ่อของเจ้าสอนวิธีใช้สัญญาณลับให้หรือ” เสียงคนผู้นั้นฟังดูเหยียดหยามยิ่ง “เจ้าจะทำอะไรได้”

    ฉีมู่อีหลัวไม่ตอบคำถามเขา เพียงพูดเน้นย้ำทีละคำ “ข้าต้องการสังหารเกาป๋อเจี่ยน”

    คนผู้นั้นยิ้มหยัน “กระสอบหญ้า*ผู้นั้นไม่คู่ควรให้พวกเราเสียเวลาด้วย”

    ฉีมู่อีหลัวดื้อรั้นยิ่ง “ข้าต้องการสังหารเกาป๋อเจี่ยน เขาใช้หม้อต้มน้ำร้อนต้มท่านพ่อกับอารองของข้าจนตายทั้งเป็น”

    คนผู้นั้นดูไม่แปลกใจ “เกาป๋อเจี่ยนเชี่ยวชาญการลงโทษที่โหดร้ายทารุณ การตายของพ่อเจ้ายังไม่นับว่าทารุณที่สุด ถ้าเจ้ารู้ว่าคนที่ชื่อเฉิงฉี่ผู้นั้นตายอย่างไรล่ะก็…ฮึ…”

    มีกลิ่นรสคาวเค็มคล้ายสนิมออกมาจากซอกฟันและริมฝีปากของฉีมู่อีหลัว ท่ามกลางความมืดดวงตาของนางเจิดจ้าจนน่ากลัว ทุกคำพูดเด็ดขาดไม่อนุญาตให้ปรึกษาหารือ “ข้าต้องการสังหารเกาป๋อเจี่ยน”

    คนผู้นั้นย่นหัวคิ้วไม่ได้พูดอะไร เพิงหลังคาของโรงม้าถูกลมเขย่าจนโยกไปซ้ายทีขวาที กลิ่นหญ้าแผ่กระจายออกมาทั่วทิศ มีฝุ่นผงเล็กๆ ปลิวมาติดร่างคนทั้งสอง

    คนผู้นั้นพลันหัวเราะเสียงประหลาดออกมาคำหนึ่ง “กำลังคนในเมืองอันอี้มีไว้เพื่อสังหารตวนมู่ชุ่ย เจ้าช่วยเรากำจัดตวนมู่ชุ่ย เราก็จะช่วยเจ้าสังหารเกาป๋อเจี่ยนเพื่อล้างแค้น”

    “สังหารอย่างไร” ฉีมู่อีหลัวไม่ลังเลใดๆ

    คนผู้นั้นยื่นของสิ่งหนึ่งมาให้ ฉีมู่อีหลัวรับไว้

    สิ่งที่อยู่ในมือเรียบลื่นและเย็นเฉียบ เป็นหลอดทองแดงอันหนึ่ง

    “ลอบสังหารนางครั้งก่อนแหวกหญ้าให้งูตื่น ใช้ไม้แข็งไม่อาจเข้าใกล้ตัวได้ คงได้แต่ใช้วิธีลอบสังหารด้วยการวางยาพิษ เรารู้ว่าเวลานี้เจ้าอยู่ที่ค่ายตวนมู่ชั่วคราว น่าจะหาโอกาสลงมือได้”

    ฉีมู่อีหลัวมีท่าทีลังเล “ข้าแม้จะอยู่ที่ค่ายตวนมู่ แต่เข้าใกล้ตัวนางได้ยากยิ่ง กระโจมของนางมีทหารที่เป็นคนของชนเผ่าเฝ้ารักษาการณ์อยู่”

    น้ำเสียงของคนผู้นั้นค่อนข้างร้อนรน “คิดหาหนทางเอาเอง ดำเนินการตามโอกาส ทางที่ดีลงมือภายในวันสองวันนี้ หาไม่ทางเมืองฉงเฉิงรบพุ่งกันขึ้นมา ทางนี้ก็ต้องถอนกำลังทันที ถึงตอนนั้นก็ไม่มีเวลาจะมาคำนึงถึงเกาป๋อเจี่ยนอะไรแล้ว”

    ฉีมู่อีหลัวในใจบีบรัด กำหลอดทองแดงในมือแน่น

     

    วันรุ่งขึ้นอากาศยิ่งเลวร้าย ลมพายุพัดเอาทรายเหลืองมาด้วย พัดตลอดตั้งแต่เช้าตรู่ไม่เคยหยุดพัก กระทั่งตกค่ำตวนมู่ชุ่ยจึงกลับมาที่ค่าย รถม้าวิ่งกุบกับจนถึงประตูกระโจมหลัก อาหมีพาสาวใช้โต้ลมไปที่หน้ารถประคองตวนมู่ชุ่ยลงมา ม่านรถถูกลมพัดปลิวสะบัดอยู่กลางอากาศ ลมพัดกรูเข้าไปในประทุนรถ ตวนมู่ชุ่ยเอาหมวกกันหิมะบนเสื้อคลุมขึ้นมาคลุมศีรษะ พูดอะไรบางอย่างกับอาหมี อาหมีเพียงได้ยิน ‘หยางเจี่ยน’สองคำ ครึ่งหลังของประโยคถูกลมพัดไปที่ใดแล้วไม่รู้

    พอคิดจะถาม ตวนมู่ชุ่ยก็เกาะแขนสาวใช้เข้ากระโจมไปแล้ว อาหมีเดินตามไปสองก้าว คิดไปคิดมายังคงหมุนตัวไปถามคนขับรถม้า ถึงได้รู้ว่าตวนมู่ชุ่ยบอกว่าค่ำหน่อยหยางเจี่ยนจะมา ให้นางจัดเตรียมกระโจมให้หยางเจี่ยน

    อาหมีพยักหน้าบอกได้ แล้วให้คนขับรถออกไปก่อน เดินไปได้สองก้าวก็เรียกไว้อีก ถามขึ้น “ท่านแม่ทัพกินอาหารค่ำมาแล้วหรือยัง”

    คนขับรถส่ายศีรษะบอก “แม่ทัพหยางเจี่ยนทางนั้นเชิญแม่ทัพกินอาหาร แต่คงไม่ถูกปาก ท่านแม่ทัพเลยไม่ได้กินอะไรสักเท่าไร”

    อาหมียิ้ม “ข้ารู้แล้ว สองวันมานี้ท่านแม่ทัพไม่อยากอาหาร เนื้อย่างน้ำแกงข้นของแม่ทัพหยางเจี่ยนทางโน้น ท่านแม่ทัพคงไม่ชอบแน่”

    ระหว่างพูดก็เลิกม่านเข้าไปในกระโจม สาวใช้ประคองตวนมู่ชุ่ยลงนอนพักบนเตียงก่อนแล้ว อาหมีแสดงท่าทีให้บรรดาสาวใช้ถอยออกไปแล้วกล่าวกับตวนมู่ชุ่ย “คุณหนู ช่วงค่ำแม่ทัพหยางเจี่ยนจะมาหรือเจ้าคะ มาทำอะไร”

    ตวนมู่ชุ่ยเอ่ยเสียงเฉื่อยเนือย “ก็ไม่มีอะไร เขากลัวคนของเจาเกอที่จู่โจมสังหารจะบุ่มบ่ามทำอะไรอีก จึงส่งผู้ช่วยแม่ทัพมาช่วยข้ารักษาเมืองอันอี้ ตอนข้ากลับมาเดิมเขาบอกว่าจะมาส่งข้า แต่พอดีทางอัครเสนาบดีมีธุระ ข้าเลยบอกให้ผู้ช่วยแม่ทัพมาก็พอ ใครจะรู้เขากลับบอกว่าจะต้องมาดูด้วยตัวเอง เช่นนั้นก็แล้วแต่เขา”

    อาหมียิ้ม “ย่อมเป็นเพราะแม่ทัพหยางเจี่ยนรักและเอ็นดูคุณหนู ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นเขาก็คงไม่มา”

    ตวนมู่ชุ่ยก็ยิ้ม “ข้าเรียกเขาพี่ใหญ่เรียกเสียเปล่าหรืออย่างไร ย่อมสมควรรักข้าให้มากหน่อย เพียงแต่อัครเสนาบดีปรึกษาข้อราชการ เกรงว่าคงจะดึก ถึงตอนนั้นยังจะมาทำอะไร” พูดมาถึงตรงนี้นางก็พลันถอนใจ “อาหมี เจ้ามานี่”

    อาหมีไม่เข้าใจ รีบเดินไปหา ตวนมู่ชุ่ยกุมมืออาหมีแน่น นางเงียบไปเป็นนานก่อนเอ่ยขึ้นเบาๆ “ข้าจะแต่งงานกับกู่ชางแล้ว”

    อาหมีตอนแรกก็ตะลึงไป จากนั้นก็ดีใจใหญ่ “คุณหนู เหตุใดจึงเร็วเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ไม่ใช่บอกว่ายึดเมืองฉงเฉิงได้แล้วจึงค่อยแต่งงานหรือ”

    “หลังจากนี้สามวันจะโจมตีเมือง อัครเสนาบดีบอก วันที่เมืองแตกก็จะจัดงานแต่งงานให้ข้ากับกู่ชาง”

    “ท่านอัครเสนาบดีเป็นคนบอกท่านหรือเจ้าคะ”

    ในดวงตาของตวนมู่ชุ่ยมีประกายเจ็บปวดพาดผ่าน “ไม่ใช่ หยางเจี่ยนเป็นคนบอกข้า พวกเขาไปปรึกษาหารือเรื่องโจมตีเมืองที่กระโจมอัครเสนาบดี อัครเสนาบดีรับปากกู่ชาง ถ้าตีเมืองแตกได้ก็จะจัดงานแต่งงานในวันนั้นเลย เป็นมงคลซ้อนมงคล สิริมงคลสองเรื่องมาถึงพร้อมกัน”

    อาหมีพินิจดูสีหน้าตวนมู่ชุ่ยอย่างระมัดระวัง “คุณหนู เหตุใดตอนท่านพูดถึงเรื่องนี้ จึงดูเหมือนไม่ดีใจเช่นนั้น”

    ตวนมู่ชุ่ยหดมือกลับไปแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัว เอ่ยเสียงเฉื่อยเนือย “ข้ามีอะไรไม่ดีใจกัน”

    อาหมีส่ายศีรษะ “คุณหนู ท่านไม่อาจปิดบังข้าได้ ท่าทางเช่นนี้ของท่านไหนเลยจะเหมือนดีใจ เปลี่ยนเป็นข้า ถ้าข้าได้แต่งกับพี่ใหญ่…จั่น คงไม่รู้จะเบิกบานใจเพียงใด”

    ตวนมู่ชุ่ยหลุบตาลง “ไม่มีอะไรไม่ดีใจ และไม่มีอะไรดีใจ แต่งกับกู่ชางเป็นสิ่งที่ข้ารับปากไว้ก่อนหน้านี้ มาบัดนี้อัครเสนาบดีเพียงแต่กำหนดวันเท่านั้น”

    อาหมีได้ยินนางพูดเช่นนี้ก็ไม่รู้ควรเอ่ยอะไรอีก หลังนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งจึงบอก “คุณหนู ท่านกินอะไรมาหรือยัง อยากกินอะไรหรือไม่”

    ตวนมู่ชุ่ยหลับตาลงกล่าวเสียงต่ำ “ให้ทางห้องครัวทำน้ำแกงข้นถั่วมาเถิด ไม่ต้องเติมหมูสับ มีแต่ผักก็พอ”

    อาหมีรับคำแล้วเดินเบาๆ ออกไปข้างนอก เดินไปได้ระยะหนึ่ง พอหันกลับมามองก็เห็นตวนมู่ชุ่ยพลิกตัวเข้าข้างในคล้ายหลับไปแล้ว

    นางพลันรู้สึกห่อเหี่ยว ในใจว่างเปล่าโหวงเหวง ด้วยคิดว่าวันนี้คุณหนูดูแปลกยิ่งนัก เหตุใดจึงไม่มีท่าทีดีใจแม้แต่น้อย

    ไม่ว่าคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกจึงจำต้องถอยไปก่อน ตอนเลิกม่านขึ้นอาหมียังรู้สึกถึงไอหนาวพุ่งมาปะทะใบหน้า นางรีบเอาหมวกกันหิมะขึ้นมาคลุม รวบเสื้อคลุมขนสัตว์ต้านลมแล้วออกไป ลมแรงจนพัดเชือกผูกตรงคอเสื้อขึ้นมาตีถูกใบหน้าทหารรักษาการณ์ กระดิ่งหยกที่ปลายเชือกผูกส่งเสียงกังวานต่ำๆ ออกมา ทหารรักษาการณ์ผู้นั้นขยับไปด้านข้างเปิดทางให้ ตายังคงมองตรงไม่หลุกหลิกยืนตัวตรงดุจต้นสน

     

    หลังจากอาหมีสั่งกำชับทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว จึงเดินตัวสั่นเทากลับไปที่กระโจม สาวใช้นั่งเป็นเพื่อนฉีมู่อีหลัวอยู่ ครั้นเห็นอาหมีเข้ามาก็รีบมาช่วยนางถอดเสื้อคลุมขนสัตว์ตัวใหญ่พลางยิ้มบอก “ข้างนอกอากาศหนาวยิ่ง ท่านใส่เสื้อคลุมตัวนี้ ถ้าไม่ส่งเสียงก็จำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร”

    คนพูดไม่มีเจตนาคนฟังกลับมีใจ ในสมองของฉีมู่อีหลัวคล้ายมีแสงสว่างวาบขึ้น หัวใจเต้นรัวแรงไม่หยุด ใบหน้ากลับยังคงมีท่าทางเหม่อลอย

    อาหมียิ้มแล้วว่า “ข้าให้ห้องครัวทำน้ำแกงข้นถั่วให้ท่านแม่ทัพแล้ว เจ้าไปดูพวกเขา ทำเสร็จแล้วเอามาให้ข้าดู ข้าจะได้ยกไปให้ท่านแม่ทัพ”

    สาวใช้ผู้นั้นรับคำแล้วเดินออกไปข้างนอก อาหมีพลันนึกอะไรได้จึงกำชับนางเพิ่ม “บอกห้องครัวให้เร่งมือหน่อย ยกไปช้า เกรงว่าท่านแม่ทัพจะหลับไปเสียก่อน” คิดไปคิดมาก็ส่ายศีรษะ กล่าวยิ้มๆ “ความจริงตอนข้าออกมาเมื่อครู่ ท่านแม่ทัพก็นอนลงแล้ว…ไม่ว่าอย่างไร เร็วหน่อยก็แล้วกัน”

     

    ทางห้องครัวมือไม้ก็ไม่ชักช้า ไม่นานสาวใช้ก็หิ้วกล่องอาหารเข้ามา อาหมีเปิดฝากล่องออกแล้วเปิดฝาชามดมกลิ่นดู จากนั้นก็เอาเข็มเงินทดสอบ แล้วจึงปิดฝากลับเหมือนเดิม เตรียมหิ้วกล่องอาหารจะเดินออกไป ทว่าสาวใช้ผู้นั้นรีบบอก “ข้างนอกอากาศหนาวมาก ข้าเอาไปส่งให้เอง”

    อาหมีส่ายศีรษะ “ไม่มีคำสั่งเข้าไม่ได้ เจ้าจะเข้าออกกระโจมท่านแม่ทัพตามใจชอบได้อย่างไร ถึงตอนนั้นทหารรักษาการณ์ซักถามขึ้นมาก็จะยุ่งยาก ข้าไปเอง”

    สาวใช้ผู้นั้นรับคำ ลุกขึ้นช่วยเลิกผ้าม่านให้อาหมี ฉีมู่อีหลัวตะแคงตัว จากจุดที่นางอยู่มองเห็นเส้นทางที่อาหมีเดินไปถึงกระโจมหลักได้พอดี

    พายุทรายแรงยิ่ง เมื่ออยู่ห่างออกไปไกลหน่อยก็เห็นเพียงเงาร่างคนเลือนราง เป็นเช่นที่อาหมีกล่าว ทหารรักษาการณ์ไม่ได้ซักถามอะไรมากก็ขยับหลบไปข้างๆ เปิดทางให้อาหมีเข้าไปข้างใน

    ชั่วประเดี๋ยวเดียวอาหมีก็ออกมา สาวใช้เปิดม่านกระโจมไว้ตลอดรอนางเข้ามา อาหมีระบายลมหายใจออกมา ถอดเสื้อคลุมขนสัตว์ออกวางไว้บนโต๊ะแล้วยิ้มบอก “หนาวยิ่งนัก”

    เงียบไปครู่หนึ่งก็พูดกับสาวใช้ผู้นั้น “ท่านแม่ทัพพักผ่อนไปแล้ว ข้าเอากล่องอาหารวางไว้บนโต๊ะอาหาร คืนนี้ไม่ต้องเก็บกลับมา เจ้าก็ออกไปเถิด”

    ขณะพูดถึงได้เห็นฉีมู่อีหลัว หลายวันที่ผ่านมาฉีมู่อีหลัวไม่พูดไม่จา ขดตัวอยู่ตรงมุมเงียบๆ เลือนรางไร้ตัวตนแทบจะกลืนไปกับฉากหลัง อาหมีมักลืมอยู่เสมอว่ามีนางอยู่ด้วย

    อาหมีก้าวช้าๆ เข้ามา ยื่นมือมาลูบเส้นผมที่ตกระอยู่ตรงบ่าของนาง เอ่ยเสียงอ่อนโยน “สองวันนี้เจ้าดีขึ้นบ้างหรือยัง”

    ฉีมู่อีหลัวไม่พูดไม่จา ยังคงหลุบตานั่งเงียบคล้ายไม่ใส่ใจในคำถามของอาหมี

    อาหมีถอนหายใจ ทว่านางก็ไม่ได้หวังว่าฉีมู่อีหลัวจะตอบอะไร จากนั้นก็หดมือกลับมาพลางทอดถอนใจ ทันใดนั้นก็ได้ยินมีคนเรียกเสียงดังกังวานอยู่นอกกระโจม “แม่นางอาหมี”

    อาหมีดีใจ รีบโพล่งขึ้น “พี่ใหญ่จั่น!”

    ม่านกระโจมเลิกขึ้น ผู้เข้ามาคือจั่นเจาจริงๆ ข้างนอกหนาวเพียงนี้แต่เขายังคงสวมชุดสีน้ำเงินบาง สีหน้าอ่อนโยน แววตาใสกระจ่าง ไม่มีท่าทีอ่อนเปลี้ยเพลียแรง

    “แม่นางอาหมี ท่านแม่ทัพกลับมาแล้วใช่หรือไม่”

    อาหมีพยักหน้า รอยยิ้มในดวงตายิ่งมายิ่งเห็นชัด นางเอ่ยขึ้นเบาๆ “พี่ใหญ่จั่น ข้ามีคำพูดจะพูดกับท่าน”

    น้ำเสียงของนางดูสองจิตสองใจ ดวงตากวาดมองไปรอบด้านคราหนึ่ง ริ้วแดงบนใบหน้าฉายชัดขึ้น แม้จะรู้ว่าฉีมู่อีหลัวไม่ได้ยินอะไร แต่ยังคงอยากจะหลบเลี่ยงนาง เอ่ยเสียงต่ำขึ้น “พี่ใหญ่จั่น ท่านเข้ามาสักครู่”

    กระโจมที่พักในค่าย ส่วนใหญ่จะแบ่งเป็นด้านในกับด้านนอก ด้านนอกกินอยู่รับแขก ตรงมุมด้านในจะมีม่านกั้นเป็นสัดส่วนเล็กๆ นับเป็นห้องนอน จั่นเจาเห็นนางเดินเข้าไปข้างใน ในใจก็รู้สึกลังเล อาหมีเลิกม่านด้านในขึ้นแล้วหันมามองเขา “พี่ใหญ่จั่น”

    ขอเพียงในใจเปิดเผยตรงไปตรงมา เข้าไปจะเป็นไร จั่นเจาระบายลมหายใจทีหนึ่ง ยกชายเสื้อขึ้น ก้าวช้าๆ เข้าไปข้างใน

    ม่านถูกปล่อยลง ชายผ้าม่านยังสั่นไหวไปมา ฉีมู่อีหลัวพลันลุกขึ้นมา รีบเดินไปที่โต๊ะ หยิบเสื้อคลุมขนสัตว์ที่อาหมีถอดทิ้งไว้เมื่อครู่ขึ้นมาด้วยมือสั่นเทา นิ้วมือเรียวยาวนวลเนียนดุจหยกกุมขนสัตว์หนานุ่มตรงขอบเสื้อไว้แน่น ฟันขาวสะอาดขบลึกลงไปในกลีบปากล่าง มือกลับไม่ลังเลชักช้า เอาเสื้อขนสัตว์คลุมลงบนร่างอย่างรวดเร็ว

    ม่านกระโจมถูกเลิกขึ้น ลมหนาวที่แทรกลึกถึงกระดูกกรูเข้ามา ฉีมู่อีหลัวตัวสั่นสะท้าน รวบเสื้อคลุมขนสัตว์เข้าหากันแน่น ดึงหมวกกันหิมะลงมาจนต่ำ พยายามสงบสติอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง แล้วเดินไปทางกระโจมหลัก

    ทหารรักษาการณ์ที่หน้าประตูกระโจมเห็นอาหมีออกมาจากในกระโจมอีกก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ไม่ได้ถามอะไรมาก

    ตอนเดินผ่านข้างกายไป ลมพัดกระดิ่งหยกที่ปลายเชือกผูกตรงคอเสื้อ เสียงดังกังวานถูกลมตีกระจาย เกิดเป็นเสียงดังวนเวียน น่าฟังยิ่งนัก

    ทหารรักษาการณ์อดหันมามองอีกครั้งไม่ได้ แต่เขาช้าไปก้าวหนึ่ง เพียงเห็นเงาร่างอรชรแช่มช้อยขณะม่านเปิดออกแล้วร่วงลง

     

    อาหมีอิดๆ เอื้อนๆ ไม่พูดสักที จั่นเจารู้สึกอึดอัดขึ้นมา หรือจะบอกว่าสำหรับเขาแล้วห้องด้านในที่แคบเล็กแห่งนี้ดูจะคับแคบเกินไป

    “แม่นางอาหมี” จั่นเจาจงใจเว้นระยะห่างจากอาหมี “เรียกจั่นเจาเข้ามามีเรื่องอะไรจะปรึกษาหรือ”

    “พี่ใหญ่จั่น” อาหมีรวบรวมความกล้า “อีกไม่กี่วันในค่ายตวนมู่จะมีงานมงคล เจ้ารู้หรือไม่”

    จั่นเจายิ้มบาง “งานมงคลอะไรหรือ”

    “ก็คือ…งานแต่งงาน” อาหมีสองแก้มออกร้อน “พี่ใหญ่จั่น ข้ากับคุณหนูเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก รักใคร่ผูกพันกันดุจพี่น้อง ข้าคิดมาโดยตลอด ถ้าสามารถแต่งงานพร้อมกับคุณหนู…”

    จั่นเจาฟังแล้วเหมือนจมอยู่ในเมฆหมอก “แม่นางอาหมี เจ้าจะออกเรือนหรือ”

    “ออกเรือน?” อาหมีฟังไม่เข้าใจ

    เมื่อมาคิดดูสมัยซีฉียังไม่มีวิธีพูดเช่นนี้ จั่นเจายิ้ม เปลี่ยนวิธีพูดใหม่ “จั่นเจาต้องการถามว่าอีกไม่กี่วันแม่นางอาหมีจะเข้าพิธีแต่งงานหรือ”

    “อีกสามวันให้หลังถ้าโจมตีเมืองฉงเฉิงได้ชัยชนะ ท่านแม่ทัพก็จะเข้าพิธีแต่งงาน ข้าคิด…”

    “ท่านแม่ทัพ?” จั่นเจาหัวใจกระตุกวาบพลันตัดบทคำพูดอาหมี “แม่ทัพท่านใด”

    “ที่นี่ยังจะมีแม่ทัพท่านใด” อาหมีประหลาดใจ “ย่อมเป็นคุณหนูของข้า”

    “เจ้าจะบอกว่าอีกสามวันให้หลังแม่ทัพตวนมู่จะเข้าพิธีแต่งงาน?” เสียงจั่นเจาพลันแปลกประหลาดขึ้นมา “คนที่จะแต่งงานคือแม่ทัพตวนมู่? นางแต่งกับผู้ใด”

    “กับแม่ทัพกู่ชาง แทบทุกคนไม่ว่าผู้น้อยผู้ใหญ่ในกองทัพซีฉีต่างรู้เรื่องนี้กันทั้งนั้น ท่านแม่ทัพของเราไม่ช้าก็เร็วก็ต้องแต่งให้แม่ทัพกู่ชาง ขาดแต่ยังไม่ได้กำหนดวันเท่านั้น เมื่อครู่ท่านแม่ทัพกลับมาบอกว่าในอีกสามวันให้หลังถ้าโจมตีเมืองฉงเฉิงได้ชัยชนะ งานแต่งก็จะถูกจัดขึ้น”

    จั่นเจาพลันถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย “วันนี้นางกลับมาแล้วพูดเช่นนี้หรือ”

    “ใช่” อาหมีมีท่าทีลนลานเล็กน้อย นางถูกปฏิกิริยาของจั่นเจาทำให้มือไม้อ่อนไปหมด

    “เป็นไปไม่ได้” จั่นเจาส่ายศีรษะ พึมพำขึ้น “นางไม่ใช่จำได้หมดแล้วหรือ เหตุใดยังจะพูดเรื่องแต่งงานอีก”

    “จำอะไรได้หรือ” อาหมีเลอะเลือนแล้ว

    “ท่านแม่ทัพอยู่ในกระโจมหรือ” จั่นเจาตอบกลับด้วยคำถามและไม่รอให้อาหมีทันได้ตอบ เขาหมุนตัวเดินออกไป คว้าม่านเลิกขึ้นก้าวยาวๆ ไปข้างนอก ตอนออกจากกระโจมมีคนผู้หนึ่งเดินสวนเข้ามา จั่นเจาไม่ใส่ใจ เพียงเบี่ยงตัวหลบเดินตรงไปที่กระโจมหลัก

    เขาไม่สนใจอะไร แต่ฉีมู่อีหลัวกลับตกใจจนหัวใจเกือบหลุดออกมา นางรีบหลบไปที่ด้านข้างถอดเสื้อคลุมขนสัตว์ออกมาอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วเวลาอึดใจเดียว อาหมีที่ตะลึงงันอยู่กับที่ก็ไล่ตามออกมา เรียกอย่างร้อนรน “พี่ใหญ่จั่น…”

    นางไม่มีเวลาจะมาสนใจฉีมู่อีหลัว

    เห็นอาหมีกำลังจะไล่ตามออกไปนอกกระโจม ฉีมู่อีหลัวพลันเอ่ยปากแล้ว “แม่นางอาหมี”

    อาหมีไม่ทันตั้งตัว ฝีเท้าหยุดชะงักในทันที พอเห็นหน้าคนพูดชัดถนัดตาก็ตกใจจนแทบพูดอะไรไม่ออก “แม่นาง…ฉีมู่ เจ้า…เจ้าหายแล้วหรือ”

    ฉีมู่อีหลัวยิ้มบาง บนใบหน้าซีดขาวยากยิ่งที่จะมีรอยยิ้มหวานปรากฏขึ้นมา

    นางกางเสื้อคลุมขนสัตว์ในมือออก ค่อยๆ คลุมลงบนร่างอาหมี “แม่นางอาหมี ข้างนอกหนาวมาก”

    อาหมีมองนางอย่างงงงัน กระชับเสื้อคลุมขนสัตว์เข้าหาตัวโดยสัญชาตญาณ สมองออกจะทึ่มทื่อ พลันนึกถึงจั่นเจาขึ้นมาได้จึงรีบบอก “แม่นางฉีมู่ ตอนนี้ข้ามีธุระ อีกประเดี๋ยวค่อยกลับมาดูเจ้า”

    อาหมีพูดพลางกระชับเสื้อคลุมขนสัตว์แล้วรีบไล่ตามไป

    ฉีมู่อีหลัวสองขาอ่อนยวบ ล้มลงไปนั่งหมอบบนผ้าสักหลาดปูพื้น หลอดทองแดงที่ว่างเปล่าแล้วหลอดนั้นกลิ้งหลุนหลุนออกมาจากอกเสื้อ

     

    จั่นเจายังไปไม่ถึงหน้ากระโจมก็ถูกทหารรักษาการณ์ขวางไว้ ขณะต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน อาหมีก็รีบวิ่งเข้ามา กระดิ่งหยกที่ปลายเชือกผูกตรงคอเสื้อส่งเสียงดังติงตัง “พี่ใหญ่จั่น เมื่อครู่ข้าเข้าไปดูมา ท่านแม่ทัพพักผ่อนไปแล้ว”

    ทหารรักษาการณ์เห็นอาหมีช่วยพูดให้จั่นเจา สีหน้าก็ไม่เย็นชาเข้มงวดเช่นเมื่อครู่อีก แต่ง้าวและขวานสองคมที่ขวางอยู่ตรงหน้ากลับไม่ขยับแม้แต่น้อย “ในเมื่อท่านแม่ทัพไม่มีคำสั่ง คนนอกก็ไม่อาจเข้าไปโดยพลการ

    “พี่ใหญ่จั่น…” ในดวงตาของอาหมีมีความกังวลและร้อนใจ นางไม่เข้าใจว่าจั่นเจาเป็นอะไรไป “กลับไปก่อนเถิด มีอะไรไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน”

    จั่นเจาไม่ตอบ เขาพลันโคจรพลังลมปราณ แม้จะเป็นค่ำคืนที่ลมโหมพัดอย่างบ้าคลั่งก็ได้ยินชัดเจนทุกถ้อยทุกคำ

    “จั่นเจาขอเข้าพบท่านแม่ทัพตวนมู่”

    พูดจบ ทุกคนในที่นั้นคล้ายมีสัญญาณลับอันเป็นที่รู้กัน ต่างพากันนิ่งเงียบ

    ไม่รู้ผ่านไปนานเพียงใด นานจนอาหมีใกล้จะหมดความอดทนอยู่แล้ว ในที่สุดก็มีเสียงราบเรียบของตวนมู่ชุ่ยดังมาจากข้างใน “ให้เขาเข้ามา”

    อาหมีลังเลอยู่ชั่วขณะ ไม่กล้าตามเข้าไป

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in Uncategorized

    นิยายยอดนิยม

    Facebook