• Connect with us

    Enter Books

    Uncategorized

    ทดลองอ่าน ความลับแห่งสามก๊ก เล่ม 1 ตอนที่ 1

    3 of 3หน้าถัดไป

    หยางผิงตกตะลึงทันใด ความคิดเลือนรางอย่างหนึ่งวูบผ่านหัวสมอง

    “โหรหลวงในวังบอกว่าฝาแฝดไม่เป็นมงคล หวังเหม่ยเหรินจึงมาหาข้าที่ตอนนั้นดำรงตำแหน่งรักษาการณ์ประตูวังและขอร้องให้ข้าพาเด็กคนหนึ่งออกจากวัง หาไม่แล้วทารกทั้งสองย่อมไม่รอดชีวิต ข้าไม่อาจปฏิเสธคำขอร้องของนาง ทั้งยังอยากรักษาหน่อเนื้อเชื้อไขของหลิงตี้ไว้ ตอนนั้นข้าคิดว่าถึงอย่างไรเรื่องแบบนี้ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จักรพรรดิเส่าตี้หลิวเปี้ยนในอดีตก็ถูกเลี้ยงดูอยู่นอกวัง ภายหลังจึงถูกรับตัวเข้ามา…”

    เสียงของหยางเปียวพลันทุ้มต่ำลง

    “ดังนั้นข้าจึงไปหาหยางจวิ้น ขอให้เขาพาทารกคนหนึ่งออกไป ด้วยตำแหน่งหน้าที่ของข้ากับเขา เรื่องนี้ถูกจัดการอย่างลับๆ โดยไม่มีใครล่วงรู้ ไม่กี่วันหลังจากนั้นหวังเหม่ยเหรินเสียชีวิตอย่างคาดไม่ถึง ส่วนลึกในใจข้ารู้สึกว่าลั่วหยางอันตรายเกินไป แม้แต่องค์ชายหลิวเสียข้างกายพระพันปียังเผชิญหน้ากับการข่มขู่อยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องพูดถึงเด็กน้อยคนหนึ่งที่ไม่มีตำแหน่งฐานะ หากตัวตนแท้จริงของเขาเปิดเผย ผลลัพธ์ที่ตามมาก็ยากจะคาดคิด ข้าจึงหาโอกาสให้หยางจวิ้นลาออกจากตำแหน่งและพาเด็กคนนั้นกลับบ้านเกิด บอกคนอื่นๆ ว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกชายเขา หลายปีมานี้เขาเสียสละมาก ทำได้ดีมาก ลำบากเขาแล้วจริงๆ”

    หยางผิงเดาได้แล้วว่าต่อไปหยางเปียวจะพูดอะไร เขาจ้องตาชายชรา พูดทีละคำ “ท่านกำลังบอกว่าข้าไม่ได้แซ่หยาง แต่แซ่หลิว ข้าเป็นพี่น้องฝาแฝดของโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบัน?”

    หยางเปียวประสานมือสองข้างเข้าด้วยกัน พูดอย่างขึงขังจริงจัง “ดังนั้นชื่อรองของเจ้าไม่ใช่อี้เหอ แต่เป็นจ้งเหอ เพราะชื่อรองของโอรสสวรรค์คือป๋อเหอ เจ้ามีสายเลือดของราชวงศ์ฮั่น”

    หยางผิงเลียริมฝีปาก พลันรู้สึกลำคอแห้งผาก เรื่องนี้เหลวไหลโดยแท้ ก่อนหน้านี้เขายังเป็นชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งในเหอเน่ย มาบัดนี้กลับกลายเป็นเชื้อพระวงศ์ ทั้งยังเป็นพี่น้องแท้ๆ กับโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบัน เป็นทายาทที่มีสายเลือดราชวงศ์อย่างบริสุทธิ์แท้จริง!

    เรื่องนี้อธิบายได้ว่าเหตุใดบิดาจึงพาเขาไปอยู่สกุลซือหม่าตั้งแต่เล็ก ทั้งยังอธิบายได้ว่าเหตุใดหลายปีมานี้บิดาจึงมีเพียงความเหินห่างและสุภาพกับเขา…แต่ยังมิอาจอธิบายเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อคืนได้

    หยางผิงที่ตอนนี้กลายเป็น ‘หลิวผิง’ สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ตัดสินใจฟังคำพูดของหยางเปียวให้จบ เขารู้สึกรางๆ ว่าปริศนาเรื่องชาติกำเนิดของตนเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น

    “จุดประสงค์ดั้งเดิมของข้าแค่อยากรักษาเลือดเนื้อเชื้อไขของหวังเหม่ยเหรินเอาไว้เท่านั้น ชั่วชีวิตนางขอร้องข้าอยู่เพียงครั้งเดียว ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่อาจทำให้นางผิดหวัง หากไม่มีเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เจ้าจะเป็นบุตรชายของหยางจวิ้นและใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมั่นคงไปชั่วชีวิต…”หยางเปียวพลันเปลี่ยนเรื่อง “แต่ตอนนี้เหตุการณ์เปลี่ยนไป ฝ่าบาททรงต้องการเจ้า”

    “ต้องการข้า?”หลิวผิงเกือบจะหัวเราะออกมา กษัตริย์ผู้สูงส่งจะต้องการคนบ้านนอกที่ไร้ความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊อย่างเขาได้อย่างไร

    หยางเปียวใช้นิ้วเคาะหัวเข่าช้าๆ สองตาจ้องมองม่านหนาหนัก คล้ายพยายามจะมองให้ทะลุ

    “สถานการณ์ตอนนี้เจ้าก็รู้ดี ราชวงศ์ฮั่นอ่อนอำนาจ ราชสำนักทั้งหมดตกอยู่ในกำมือเจ้าคนแซ่เฉา ขุนนางชั้นสูงอย่างข้าถูกกำจัดทิ้งไปทีละคน ขุนนางใหญ่ที่ติดตามฝ่าบาทมาจากลั่วหยางตอนนี้กระจัดกระจาย หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าเจ้าแซ่เฉานั่นคงกลายเป็นหวังหมั่ง* คนที่สอง…คิดจะฟื้นฟูราชสำนักขึ้นอีกครั้ง อาศัยแค่กำลังของพวกเรายังไม่เพียงพอ”

    หลิวผิงหัวเราะหยันตัวเอง “เรื่องที่แม้แต่ท่านยังทำไม่ได้ แล้วข้าจะช่วยอะไรได้เล่า”

    หยางเปียวชูนิ้วขึ้นหนึ่งนิ้ว “ฝ่าบาทแค่ทรงรองรับแรงกดดันจากเจ้าคนแซ่เฉาก็ถูกสูบพละกำลังไปหมดแล้ว พวกเราต้องการเงาสายหนึ่งที่จะเคลื่อนไหวอยู่ในที่ลับ รวบรวมบุคคลที่จงรักภักดีต่อราชวงศ์ฮั่นให้ได้มากกว่านี้ สั่งสมกำลังที่จะโต้ตอบ เจ้าเป็นเชื้อพระวงศ์คนหนึ่ง อาศัยฐานะของเจ้าย่อมทำอะไรหลายอย่างที่พวกเรามิอาจกระทำได้”

    “ราชวงศ์ฮั่นมีพระญาติมากมาย ไยต้องมาเลือกข้าที่ไม่มีตำแหน่งฐานะอะไรด้วย ใครจะเชื่อถือข้า”

    “แต่พี่น้องแท้ๆ ของฝ่าบาทมีเจ้าเพียงคนเดียว พวกเจ้าสองคนหน้าตาเหมือนกันทุกกระเบียด ไม่มีใครแทนที่เจ้าได้!”

    ห้องโดยสารตกอยู่ในความเงียบงันน่ากระอักกระอ่วน ลมหนาวพัดผ่านรอยแยกของผ้าม่านเข้ามาอย่างดื้อรั้น ทำเอาคนแก่กับคนหนุ่มห่อไหล่โดยไม่รู้ตัว ถึงอย่างไรก็ย่างเข้าเดือนสิบสองแล้ว สวี่ตูยังคงอยู่ห่างออกไปไกล

    หลิวผิงพูด “ในอดีตตอนหยางไท่เว่ยจัดการเช่นนี้ เพราะวางแผนล่วงหน้าไว้แล้วใช่หรือไม่”

    หยางเปียวหัวเราะหึๆ น้ำเสียงฝาดเฝื่อน “เจ้าประเมินข้าสูงเกินไปแล้ว หากไม่เพราะจนด้วยหนทาง พวกเราก็ไม่อยากดึงเจ้าเข้ามา…แต่ราชวงศ์ฮั่นเดินทางมาถึงริมหน้าผาแล้ว พวกเราไม่มีทางเลือกอื่น ได้แต่หาความช่วยเหลือจากทุกทาง ขุดหากำลังทุกส่วนที่เป็นประโยชน์โดยไม่ละทิ้งความเป็นไปได้ใดๆ ไปแม้แต่ส่วนเดียว”

    พูดถึงตรงนี้น้ำเสียงเขาก็ฮึกเหิมมากขึ้นทุกที หนวดไหวระริก ทันใดนั้นหยางเปียวเหยียดตัวขึ้นเหมือนสิงโตแก่ คว้าไหล่ทั้งสองข้างของหยางผิงกะทันหัน “รากฐานสกุลหลิวที่ดำรงมาสี่ร้อยปี จะถูกทำลายในมือของพวกข้าไม่ได้เด็ดขาด จักรพรรดิทุกพระองค์ในราชวงศ์ฮั่นล้วนกำลังเฝ้าดูพวกเราอยู่!”

    หลิวผิงตื่นตระหนกกับความคลุ้มคลั่งกะทันหันของชายชรา เขาไม่เคยเห็นใครดื้อรั้นมากเท่านี้และไม่กล้าสบสายตาร้อนแรงของอีกฝ่ายมากนัก จึงหลบเลี่ยงสายตาเล็กน้อย หยางเปียวเห็นท่าทีของหลิวผิงแล้วก็หัวเราะออกมา ก่อนจะปล่อยมือช้าๆ ประคองเกี้ยวรัดผมบนศีรษะของตน คืนสู่ความสุขุมเยือกเย็นดังเดิม

    “ความรู้สึกเจ้าข้าเข้าใจได้ ทุกอย่างนี้อาจยากจะยอมรับในชั่วเวลาสั้นๆ แต่พวกเราไม่มีเวลาแล้ว” หยางเปียวพูด “ทุกวันนี้ราชวงศ์ฮั่นอ่อนแอลงทุกที มีคนล้มตายไม่หยุดหย่อน”

    หลิวผิงสูดหายใจลึก “หมายความว่าครั้งนี้เฉาเชาไม่ได้เรียกตัวบิดาข้า แต่เป็นพวกท่านที่ต้องการตามตัวข้ากลับไป?”

    หยางเปียวตอบ “ไม่ใช่เสียทีเดียว เฉาเชาชื่นชมความสามารถของบิดาเจ้ามานานแล้ว การเรียกตัวครั้งนี้เป็นคำสั่งจากจวนซือคงจริงๆ พวกเราแค่คอยผลักดันอย่างเงียบๆ เท่านั้น พยายามสร้างโอกาสขึ้นมา”

    “โอกาสอะไร”

    “ขุนนางในราชสำนักที่ถูกเรียกตัวถูกโจรลอบปองร้ายกลางทาง สู้สุดกำลังแล้วแต่มิอาจต้านทานศัตรูได้ คนขับรถกับลูกชายแท้ๆ ประสบเคราะห์ ตัวเองถูกฟันแขนขาดไปข้างหนึ่ง ในยุคสมัยแห่งความวุ่นวายเรื่องแบบนี้พบเห็นได้บ่อยครั้ง” หยางเปียวพูดง่ายๆ ทว่าหลิวผิงกลับรู้สึกหนาวเยือกที่สันหลัง

    “แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทำถึงขั้นนี้กระมัง…”เขาอึกอัก คิดถึงศพสองศพกับใบหน้าซีดเผือดของบิดา เพียงเพื่อสร้างสถานการณ์จอมปลอมนี้ ต้องเสียสละชีวิตคนสองคนและแขนข้างหนึ่ง

    “มีเพียงทำอย่างนี้จึงจะลบเลือนร่องรอยของ ‘หยางผิง’ ได้อย่างสิ้นเชิง ไม่ทำให้คนสงสัย จงพึงรู้ว่าอำนาจของเฉาเชาน่ากลัวกว่าที่เจ้าคิดมากนัก พวกเราจะประมาทไม่ได้แม้แต่น้อย หาไม่แล้วย่อมต้องจ่ายค่าตอบแทนอันเจ็บปวด บิดาเจ้าตระหนักความจริงข้อนี้นานแล้ว เขายอมสละชีวิตตัวเองเพื่อราชวงศ์ฮั่นได้ทุกเมื่อ”

    หยางเปียวพูดอย่างแฝงนัย ขณะเดียวกันก็มองหลิวผิง หลิวผิงหลับตาไม่แสดงความเห็นใดๆ ทั้งนั้น หยางเปียวไม่ได้ซักไซ้ต่อ ทั้งสองเงียบไปอย่างใจตรงกัน

    ล้อรถเคลื่อนไปข้างหน้า หลายชั่วยามต่อจากนั้น หยางเปียวไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีก แต่ชวนคุยเรื่องทั่วไปเหมือนตั้งใจและไม่ตั้งใจ ตั้งแต่คัมภีร์ ปรัชญา ไปจนถึงประวัติศาสตร์การเมือง บุคคลที่มีชื่อเสียง หลิวผิงได้รับการชี้แนะจากอาจารย์ชื่อดังที่ซือหม่าฝางเชิญมาสอนตั้งแต่เล็กทำให้เปี่ยมด้วยวิชาความรู้ ยามสนทนากับมหาบัณฑิตอย่างหยางเปียวจึงอภิปรายได้อย่างฉะฉาน

    ผ่านเที่ยงวันไป ทางหลวงที่รถม้าวิ่งราบเรียบขึ้นทุกที รถม้าที่ปรากฏบนถนนมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โรงเตี๊ยมพักม้าบริเวณนี้ได้รับการซ่อมแซม ยิ่งเข้าใกล้สวี่ตู สองฝั่งถนนก็ยิ่งคึกคัก ทั่วทุกหนแห่งมองเห็นชาวนาก้มหน้าทำงานอย่างขันแข็งบนที่นากว้างขวาง มีต้นไม้ต้นเล็กที่เพิ่งปลูกยืนต้นประปราย เหมือนทหารเฝ้านาที่ยืนนิ่งไม่ขยับอยู่บนคันนา

    การแยกแยะนาทหารกับนาชาวบ้านเป็นเรื่องง่ายมาก นาที่มีทั้งคนแก่ เด็กเล็ก หรือมีกระทั่งผู้หญิงประคองคันไถเป็นนาชาวบ้าน ส่วนนาที่อยู่ในความรับผิดชอบของทหารล้วนใช้ผู้ชายรูปร่างกำยำในการเพาะปลูกบุกเบิก ประสิทธิภาพสูงกว่ามาก มองจากที่ไกลๆ ผืนนาถูกแบ่งเป็นช่องสี่เหลี่ยมสีเหลืองตัดดำ เหมือนกระดานหมากขนาดใหญ่ที่กระจายไปทั่วอย่างไร้ระเบียบ

    เวลาพลบค่ำ มองเห็นกำแพงเมืองสวี่ตูสูงใหญ่ไกลออกไป หลิวผิงคิดว่าพวกเขาจะตรงเข้าไปในเมือง คิดไม่ถึงว่ารถม้าจะหักเลี้ยวอย่างรวดเร็วกะทันหัน วิ่งอ้อมขอบกำแพงเมืองมุ่งหน้าไปทางขวาต่อ ก่อนที่ท้องฟ้าจะมืดสนิท รถม้าแล่นมาถึงเชิงเขาขนาดเล็กแห่งหนึ่งและหยุดหน้าสิ่งปลูกสร้างหลังเล็กที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว

    สิ่งปลูกสร้างหลังเล็กแห่งนี้เป็นทรงสี่เหลี่ยม หน้าประตูมีอูฐที่แกะสลักจากหินตั้งอยู่สองตัว ต้นไม้ที่ปลูกรอบด้านล้วนเป็นต้นสน พอลมกลางคืนพัดมา เกิดเสียงซ่าๆ แผ่วเบาดังมาเป็นระยะ

    “ลงจากรถเถอะ” หยางเปียวพูดกับหลิวผิง

    หลิวผิงแปลกใจเล็กน้อย “พวกเรา…ไม่ได้จะไปสวี่ตูหรือ”

    “ใช่ แต่ข้าพาเจ้ามาส่งได้แค่เท่านี้” หยางเปียวพูด “ฐานะของข้าล่อแหลมเกินไป เจ้าจะอยู่กับข้านานเกินไปไม่ได้ หาไม่เจ้าคนแซ่เฉาจะสงสัย เจ้าลงจากรถตรงนี้ แล้วจะมีคนพาเจ้าเข้าเมืองเอง”

    หลิวผิงเลิกม่านกระโดดลงจากรถ ทันใดนั้นเขาหันกลับมาอย่างเร่งร้อน “หยางไท่เว่ย ข้า…”

    หยางเปียวเพียงโบกมือ คล้ายไม่คิดจะเปิดโอกาสให้เขาได้พูดการตัดสินใจออกมา “ยอมรับก็ดี ไม่ยอมรับก็ช่าง เจ้าไปพูดต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทได้” ชายชรายิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะหายลับไปหลังม่านอีกครั้ง

    รถม้าหายลับไปในราตรีอย่างรวดเร็ว หลิวผิงยืนอยู่ท่ามกลางความมืดอย่างงุนงง เขาพลันตระหนักได้ว่าต้นสน อูฐหิน ของพวกนี้แสดงถึงอะไรบางอย่าง…สิ่งปลูกสร้างแห่งนี้เป็นศาลเจ้าสำหรับเซ่นไหว้คนตาย คิดถึงตรงนี้ก็พลันรู้สึกถึงลมเย็นที่พัดมาเป็นระลอกจนเย็นวาบไปทั้งตัว เขาไม่เชื่อเรื่องผีสางสักเท่าไร แต่สภาพแวดล้อมแปลกประหลาดเช่นนี้ทำให้คนรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย หลิวผิงเหลียวซ้ายแลขวา จู่ๆ รูม่านตาก็หดลง ร่างกายแข็งทื่อไปหมด

    ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด ข้างหลังเขามีคนโผล่มาคนหนึ่ง เป็นสตรีชุดขาวผมยาว

    นี่เป็นสตรีอ่อนเยาว์อายุราวยี่สิบกว่า ปักปิ่นไม้สวมชุดกระโปรงผ้าธรรมดา เครื่องหน้าหมดจด ทว่าคิ้วตากลับสะท้อนประสบการณ์ของคนที่ผ่านโลกมามากอย่างมิอาจลบเลือนออกไป หางตารียาวกับริมฝีปากบางมีรอยย่นจางๆ

    “หยางผิง?”เสียงของหญิงสาวระมัดระวังมาก หลิวผิงรู้ว่านางไม่ใช่ผีก็โล่งอก ก่อนพยักหน้านิดๆ สองมือยกขึ้นคารวะอีกฝ่าย หญิงสาวชูโคมไฟขึ้น ครั้นเห็นใบหน้าเขาแล้วก็พลันตกใจ ลืมคารวะตอบไประยะหนึ่ง

    หญิงสาวตระหนักอย่างรวดเร็วว่าตัวเองเสียมารยาทจึงหน้าแดง นางลดโคมลงเล็กน้อย พูดเสียงค่อย “รีบตามข้าเข้ามา”

    หลิวผิงลังเลครู่หนึ่งก่อนจะตามนางเข้าไปข้างใน หญิงสาวยกฝาครอบโคมไฟออก จุดเทียนไขสีขาวเล่มใหญ่สองเล่ม หลิวผิงจึงมองเห็นการตกแต่งภายในห้องชัดเจน ที่แท้ที่นี่ไม่ใช่ที่พักอาศัยจริงๆ แต่เป็นศาลเจ้าแห่งหนึ่ง สองฝั่งของศาลเจ้าวางกระบวยหยก เงินเหรียญ และเครื่องเซ่นไหว้อื่นๆ ตรงกลางตั้งโต๊ะพิธี กระถางธูป และเชิงเทียน ศาลเจ้าแห่งนี้ค่อนข้างเรียบง่ายและเก่าโทรม ระดับของเครื่องเซ่นไหว้ไม่สูง แต่ถูกเก็บกวาดอย่างสะอาดสะอ้าน ไม่มีฝุ่นแม้แต่น้อย

    หลิวผิงมองป้ายบูชาไม้ชี่ที่ตั้งอยู่กลางโต๊ะพิธี บนนั้นเขียนว่า ‘ที่ประดิษฐานดวงวิญญาณหงหนงอ๋อง*’

    เห็นป้ายบูชานี้หลิวผิงก็ตระหนก เบิกตาโตมองหญิงสาวผู้นั้น หญิงสาววางโคมและเอ่ยเสียงเรียบ “สามีข้าเสียชีวิตตอนเป็นเจ้าครองเขตหงหนง มิอาจเข้าศาลบรรพชน หลังจากฝ่าบาทย้ายมาประทับที่สวี่ตู ด้วยทรงระลึกถึงสามีข้า จึงก่อตั้งศาลเจ้าขึ้นที่นี่เพื่อปลอบประโลมดวงวิญญาณ” ชุดที่นางสวมเป็นชุดชาววังเก่าขาด รูปแบบงดงามหรูหรา แต่ถูกซักจนขาวซีด บนนั้นยังมีรอยเย็บและรอยปะชุนเต็มไปหมด

    “หรือว่าเจ้าคือ…”

    “ถูกต้อง ข้าคือชายาหงหนงอ๋อง เจ้าจะเรียกข้าว่าถังฟูเหริน*ก็ได้” หญิงสาวยกมือขึ้นคารวะอย่างผ่าเผย ถือเป็นการชดเชยที่ตนเสียมารยาทเมื่อครู่นี้ หลังลดมือลงนางยังอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองหลิวผิงด้วยความประหลาดใจ หลิวผิงรู้ว่านางแปลกใจอะไรจึงได้แต่ยิ้มฝืด ไม่รู้จะพูดอะไรดี

    ถังจีผู้นี้เป็นภรรยาเพียงคนเดียวของหงหนงอ๋องหลิวเปี้ยน หลังหลิงตี้สวรรคตได้ยกบัลลังก์ให้หลิวเปี้ยน โชคร้ายหลิวเปี้ยนผู้นี้ได้เป็นจักรพรรดิอยู่เพียงสี่เดือนก็ถูกต่งจั๋วปลดเป็นหงหนงอ๋อง จากนั้นถูกสังหารด้วยยาพิษ เมื่อหลิวเปี้ยนตาย ถังจีจึงกลายเป็นสามัญชน ถึงขั้นลือกันช่วงหนึ่งว่านางถูกหลี่เจวี๋ย (ลิฉุย) บังคับให้แต่งงานด้วย ไม่รู้เท็จจริงเป็นอย่างไร สุดท้ายโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบันก็ออกราชโองการรับนางกลับเข้าวังและให้นางเฝ้าสุสานหงหนงอ๋อง…เรื่องราวเหล่านี้หลิวผิงฟังมาจากพวกสาวใช้ในบ้านสกุลซือหม่า เด็กสาวพวกนั้นสนใจโศกนาฏกรรมจำพวกนี้มาก พูดได้ไม่จบไม่สิ้น

    คิดไม่ถึงว่านางจะไม่ได้อยู่ในลั่วหยาง แต่ติดตามโอรสสวรรค์มาสวี่ตู ทั้งยังก่อสร้างศาลเจ้าขนาดเล็กให้หงหนงอ๋องบริเวณชานเมือง

    คิดๆ ดูแล้ว ถังจีผู้นี้นับเป็นพี่สะใภ้ของตน หลิวผิงเชื่อมโยงในใจ

    ในศาลเจ้าไม่มีฟูกและตั่ง ดังนั้นทั้งสองจึงได้แต่ยืนเผชิญหน้ากัน ถังจีพูด “สิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องรู้ หยางไท่เว่ยคงบอกเจ้าระหว่างทางหมดแล้วกระมัง”

    หลิวผิงพยักหน้า รู้สึกว่าคำพูดนางออกจะแปลกประหลาด อะไรคือ ‘สิ่งที่ข้าจำเป็นต้องรู้’ ยังมีเรื่องอื่นที่ข้าไม่จำเป็นต้องรู้อย่างนั้นหรือ

    ถังจีปัดปอยผมที่ตกลงมาบนหน้าผากกลับขึ้นไป กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “สวี่ตูไม่เหมือนที่อื่น เดินผิดหนึ่งก้าวอาจนำภัยถึงชีวิตมาสู่ตัวเองได้ จะประมาทมิได้เด็ดขาด ฐานะของเจ้านอกจากฝ่าบาทกับน้องฝู ก็มีเพียงหยางไท่เว่ย ใต้เท้าหยางจวิ้น และข้าเท่านั้นที่รู้”

    หลิวผิงขยับเท้า ในใจตระหนกเล็กน้อย เรื่องใหญ่ที่เป็นความลับของบ้านเมืองเช่นนี้ สนมชายาของกษัตริย์ที่ถูกปลดกลับมีส่วนร่วมด้วย เห็นทีจะเป็นเหมือนเช่นที่หยางเปียวว่า ตอนนี้พวกเขาจำต้องรวบรวมกำลังทั้งหมดเท่าที่ทำได้

    ถังจีเห็นหลิวผิงยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยก็ตระหนักถึงความคิดในใจเขา จึงยิ้มน้อยๆ “ข้าเป็นเพียงชายาของจักรพรรดิที่ถูกปลดและเป็นหญิงม่ายคนหนึ่ง ไร้ซึ่งอำนาจชื่อเสียง นอกจากฝ่าบาทแล้วไม่มีใครใส่ใจข้าอย่างแท้จริง หยางไท่เว่ยมีบารมีมากเกินไป เป็นที่จับตามองอย่างยิ่ง เรื่องหลายอย่างให้ข้าไปทำจึงสะดวกกว่า”

    คำพูดนี้ตรงใจหลิวผิง ครั้นถูกพูดแทงใจดำ หลิวผิงก็หน้าแดงทันใด ทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย

    ถังจีไม่ได้ใช้วาจาสร้างความลำบากใจให้เขาอีก นางเดินไปที่ประตูช้าๆ พิงประตูและกวาดตามองออกไป ก่อนจะหันกลับมาพูด “ในแต่ละเดือนข้าจะมีเวลาสามวันมาเซ่นไหว้สามีที่นี่ ระหว่างนี้จะไม่มีใครมา มีเพียงข้ากับขันทีที่คอยปรนนิบัติรับใช้คนหนึ่ง” พูดจบนางก็หยิบเครื่องแบบขันทีชุดหนึ่งส่งให้หลิวผิง “วันนี้เป็นวันสุดท้าย อีกครึ่งเค่อ**ในวังจะส่งรถมารับข้ากลับไป เจ้าเปลี่ยนชุดแล้วตามข้าไปด้วย จำไว้ว่าอย่าปริปากพูด”

    หลิวผิงสังเกตเห็นว่าถังจีมีความสุขุมที่ไม่สอดคล้องกับอายุ เวลาเอ่ยปากพูด รอยหางปลา***สองเส้นของนางจะดูเด่นชัดเป็นพิเศษท่ามกลางแสงเทียน บางทีประสบการณ์อันสลับซับซ้อนอาจทำให้แม่นางคนหนึ่งดูเหมือนผู้ใหญ่มากเป็นพิเศษกระมัง

    “แล้วขันทีคนนั้นของท่านล่ะ” หลิวผิงถาม

    ถังจีมองเขาอย่างแปลกใจเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “ถูกส่งกลับบ้านไปแล้ว”

    หลิวผิงโล่งอก เขายังกังวลว่าคนพวกนี้จะทำเหมือนที่ทำกับคนขับรถ ฆ่าปิดปากขันทีซะ เพียงเพื่อส่งคนคนหนึ่งเข้าวัง ต้องทำลายชีวิตคนหลายชีวิต หลิวผิงไม่อยากแบกรับความผิดบาปพวกนี้ไว้เลยจริงๆ

    ถังจีคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เจ้าช่างมีจิตใจเมตตาจริงๆ แค่ความเป็นความตายของขันทีคนหนึ่งยังจะสนใจ”

    หลิวผิงทำหน้าจริงจัง “ชีวิตมนุษย์ไม่มีสูงส่งไม่มีต่ำต้อย จะตัดสินความเป็นความตายของผู้อื่นง่ายๆ ได้อย่างไร”

    คิ้วของถังจีขยับเล็กน้อย แต่ไม่พูดอะไร เพียงหมุนตัวเดินเข้าไปด้านหลังของศาลเจ้า

    หลิวผิงถือโอกาสนี้เปลี่ยนมาสวมชุดขันที พอเขาเปลี่ยนเสร็จ ถังจีก็หิ้วตะกร้าใบหนึ่งเดินเข้ามา ในนั้นมีน้ำจิ้มปลาหมัก เนื้อกวางตากแห้ง และถั่วอวิ๋นโต้วเย็น หลิวผิงไม่เพียงไม่ได้กินข้าวอย่างจริงจังมาหนึ่งวัน เมื่อครู่ยังนึกอยากอาเจียนเพราะจนท้องกิ่วมานานแล้ว ถังจียื่นตะกร้าให้เขา หลิวผิงคว้าเนื้อกวางตากแห้งชิ้นหนึ่งขึ้นโดยไม่รีรอมาจิ้มปลาหมักกำลังจะใส่ปาก แต่พลันชะงักเงยหน้าถาม “ของพวกนี้…เป็นของเซ่นไหว้หงหนงอ๋องหรือ”

    ถังจีตอบ “ของเซ่นไหว้อะไรกัน ก็แค่เอาไว้แสดงให้คนเป็นดูเท่านั้น คนตายจากไปตลอดกาลแล้ว จะใส่ใจไปไยเล่า”

    หลิวผิงพูด “ท่านเข้าใจสัจธรรมโดยแท้”

    ถังจีเห็นเขาถือเนื้อกวางไว้ไม่ยอมปล่อยจึงเม้มปากเอ่ยว่า “สิ่งที่ผีและวิญญาณต้องการไม่ใช่เครื่องเซ่นไหว้ แต่เป็นความเคารพ มีแต่คนเท่านั้นแหละที่ต้องการเนื้อกวางตากแห้ง”

    ทั้งสองหัวเราะออกมา บรรยากาศผ่อนคลายลงไม่น้อย

    “ข้าได้ยินว่าเจ้ามีชื่อรองแล้ว?”ถังจีทาน้ำจิ้มส่วนหนึ่งบนเนื้อกวางและส่งให้

    “อืม แม้อายุยังขาดอีกสองปี แต่ในเหอเน่ยมีคนหนุ่มอย่างข้าจำนวนมากต่างมีชื่อรองกันหมดแล้ว” หลิวผิงตอบ ตามธรรมเนียมประเพณี ผู้ชายจะทำพิธีสวมหมวกและตั้งชื่อรองตอนอายุยี่สิบ แต่ในยุคสมัยนี้ดูเหมือนกฎธรรมเนียมทุกอย่างจะมั่วไปหมด ทุกคนต่างร้อนใจอยากเข้าพิธีที่แสดงถึงความเป็นผู้ใหญ่ก่อนเวลา ราวกับกลัวว่าจะไม่ได้เห็นตัวเองทำพิธีสวมหมวกอย่างนั้นแหละ

    “นั่นสินะ ผู้คนในกลียุคเป็นผู้ใหญ่เร็ว และแก่ตัวลงเร็วเช่นกัน” ถังจีทอดถอนใจ ไม่รู้กำลังพูดถึงหลิวผิงหรือพูดถึงตัวนางเอง

    หลิวผิงจัดการอาหารจนเรียบอย่างรวดเร็ว เพิ่งจะเรอออกมา เสียงเกือกม้ากับเสียงกระดิ่งเงินก็ดังมาจากข้างนอก

    ถังจียัดโคมไฟใส่มือเขา กำชับว่า “จำไว้ ก้มหน้าลงไป”

    หลิวผิงส่งเสียง “อืม” ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกสลับซับซ้อน สมัยเด็กตอนเล่าเรียนเขาเกลียดพวก ‘สิบขันที’ เป็นที่สุด มักทอดถอนใจกับซือหม่าอี้อยู่บ่อยครั้งว่าขันทีทำให้บ้านเมืองล่มจม คิดไม่ถึงว่าวันนี้กลับต้องปลอมตัวเป็นขันที

    ถังจีตีหน้าขรึม พูดเสียงเย็นชา “ไป”

    หลิวผิงค้อมเอวก้มหน้า ถือโคมไฟเดินนำ ทั้งสองออกจากประตู หน้าประตูมีราชรถหน้าแคบหลังกลมจอดรออยู่แล้ว หลังคาแขวนกระดิ่งรถม้าที่ทำจากเงินสิบสองอัน ยังมีพรมสีแดงจัดปูสองฝั่งที่นั่ง…เห็นทีโอรสสวรรค์จะปฏิบัติต่อพี่สะใภ้ผู้นี้ไม่เลวเลย

    ถังจีเดินไปหน้ารถและส่งสายตาให้หลิวผิง หลิวผิงได้แต่หมอบอยู่บนพื้น ให้นางเหยียบแผ่นหลังของตัวเองก้าวขึ้นรถ ถังจีย่างเท้าซ้ายขึ้นไปก่อน มือซ้ายคว้าเสาค้ำหลังคาไว้ เท้าขวาสะกิดเบาๆ และกระโดดขึ้นรถไป หลังของหลิวผิงไม่ต้องรับแรงเหยียบมากนัก หลิวผิงเหลือบมองนางอย่างซาบซึ้งใจ ทั้งยังตกใจเล็กน้อย ดูไม่ออกว่าชายาอ๋องที่เป็นม่ายและรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นผู้นี้จะเคลื่อนไหวคล่องแคล่วยิ่งนัก

    กระดิ่งเงินที่ห้อยอยู่บนราชรถส่งเสียงไปตลอดทาง ผู้คนที่สัญจรอยู่บนถนนต่างหลบเข้าสองข้างทาง ถังจีนั่งอยู่บนรถอย่างสง่างาม สายตามองไปข้างหน้า หลิวผิงกึ่งคุกเข่าอยู่ข้างหลังนาง มือข้างหนึ่งจับตัวรถไว้ มืออีกข้างถือโคมไฟอย่างหวั่นๆ ว่าไฟจะลวกถูกนาง

    อาศัยแสงสว่างท่ามกลางความมืดนี้ เขาจับจ้องร่างกายแบบบางของถังจีที่โยกไปมาตามแรงส่ายของรถ เหมือนดอกกล้วยไม้ที่พลิ้วไหวกลางสายลม อดคิดไม่ได้ว่าเหตุผลอะไรที่ทำให้หญิงสาวที่เคยระหกระเหินผู้นี้ย้อนกลับเข้ามาในวังวนการเมืองอีกครั้งหนึ่ง และทำเรื่องที่อาจทำให้ตัวเองหัวหลุดได้ทุกเมื่อ

    พอคิดว่าตัวเองกำลังจะได้พบพี่น้องที่ไม่เคยพบหน้าค่าตากัน หลิวผิงก็รู้สึกว่าเขาและคนที่อยู่รอบตัวเขาช่างเต็มไปด้วยปริศนาโดยแท้

    ตอนราชรถแล่นไปถึงประตูเซวียนหยางที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของสวี่ตู เตียวโต่ว* บนกำแพงเมืองส่งเสียงดังแกร๊งๆ สามครั้งพอดี ถึงเวลาปิดประตูเมืองแล้ว ทหารเฝ้าประตูเห็นราชรถแล่นเข้ามา รู้ว่าชายาหงหนงอ๋องกลับมาแล้ว ไม่แม้แต่จะสอบถาม แต่ผลักบานประตูใหญ่ออกครึ่งบานเปิดทางให้ทันที ทันใดนั้นทหารม้าหลายสิบนายพุ่งออกมาจากเส้นทางมืดสลัว เผชิญหน้ากับราชรถตรงช่องประตูเล็กแคบพอดี

    ถังจีกับหลิวผิงสบตากันอย่างรวดเร็ว ทั้งสองต่างรู้สึกไม่สบายใจ คนขับราชรถยืดตัวขึ้น ตะโกนเสียงขุ่น “ผู้ใดบังอาจเช่นนี้ กล้าขวางราชรถของชายาอ๋อง!”

    ทหารม้าผู้เป็นหัวหน้าห้อยกระบี่ยาวที่เอว ตีหน้าบึ้ง มือชูตราพยัคฆ์ขึ้นสูงเอ่ยเสียงดัง “ข้ารับคำสั่งด่วนทางทหารจากจวนซือคง ใครขวางทางฆ่าได้ไม่เว้น!”

    ถังจีครั้นได้ยินว่าเป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่ตนก็วางใจ แต่เจ้าคนผู้นี้ทั้งที่รู้ว่านี่เป็นราชรถของชายาอ๋อง ยังกำแหงถึงเพียงนี้ เรื่องนี้ทำให้นางไม่สบอารมณ์นัก นางยืดตัวขึ้นจากที่นั่งเล็กน้อย “ไม่ทราบว่าคนที่พูดอยู่ข้างหน้านั่น ใช่ขุนพลเติ้งจั่นหรือไม่”

    ทหารม้าผู้เป็นหัวหน้าก้าวขึ้นมา คนผู้นี้อายุสามสิบกว่า หน้าตอบโหนกแก้มสูง สองตารียาวเบียดเข้าหาหน้าผาก ใบหน้าดุดันตามธรรมชาติ

    ได้ยินพระชายาเรียกชื่อตน เขาได้แต่ก้าวออกมาประสานมือ “มีภารกิจติดพัน มิอาจแสดงความเคารพอย่างเต็มพิธี ขอพระชายาโปรดอภัยด้วย”

    ถังจีพูดอย่างเคร่งขรึม “ข้าเพิ่งกลับจากเซ่นไหว้และทำความสะอาดศาลหงหนงอ๋อง คิดไม่ถึงว่าจะล่วงเกินขบวนของท่านขุนพลเข้า”

    ปกติเติ้งจั่นไม่เห็นเชื้อพระวงศ์อยู่ในสายตาด้วยซ้ำ จึงยิ่งไม่มีทางใส่ใจชายาอ๋องผู้นี้ แต่ถึงอย่างไรลำดับศักดิ์ก็ต่างกัน บัดนี้เมื่อนางเป็นฝ่ายถอย เติ้งจั่นจึงไม่สะดวกจะวางท่าโอหังต่อไป เขากวาดตามองคนขับรถกับขันทีบนราชรถ ประสานมือเอ่ยว่า “ผู้น้อยล่วงเกินแล้ว แต่เพราะขุนนางที่จวนซือคงเรียกตัวถูกโจรทำร้ายระหว่างทาง พวกเราได้รับคำสั่งจากท้องถิ่นให้รุดไปช่วยเหลือทันที มิอาจชักช้า”

    ถังจีกระจ่างแจ้งดี รู้ว่าเรื่องที่หยางจวิ้นถูกลอบทำร้ายแพร่ไปทั่วสวี่ตูแล้วจึงผงกศีรษะ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ การช่วยเหลือคนย่อมสำคัญกว่า เชิญท่านขุนพลก่อนเถอะ” นางสั่งให้คนขับรถถอยรถออกจากช่องประตู หลบไปด้านข้าง เติ้งจั่นนำกองทหารม้าจากไปโดยเร็ว

    หลิวผิงก้มหน้าตลอดเวลา แต่การเหลือบมองแวบหนึ่งก่อนจากไปของเติ้งจั่นกลับทำเอาเหงื่อเย็นของเขาไหลไม่หยุด เขาเคยล่าสัตว์ สายตาแบบนั้นเป็นสายตาของสัตว์กินเนื้อที่อันตรายอย่างยิ่ง ถังจีพูดเสียงค่อย “เขาเป็นขุนศึกทหารม้าใต้บังคับบัญชาของเฉาฉุน (โจซุน) สังกัดกองทหารม้าหู่เป้า (พยัคฆ์เสือดาว) วิชายุทธ์ไม่ธรรมดา”

    หลังจากกองทหารของเติ้งจั่นจากไปหมดแล้ว ราชรถจึงมุ่งหน้าเข้าเมืองต่อ โชคดีที่เส้นทางที่เหลือไม่มีใครสร้างความลำบากใจให้พวกเขาอีก

    สวี่ตูเหมือนจุดยุทธศาสตร์สำคัญขนาดใหญ่ พบเห็นทหารในชุดเกราะได้ทั่วไป กำแพงเมืองสีเทาดำสูงใหญ่ แต่ร้านรวงสองฝั่งถนนกว้างขวางกลับเปิดอยู่น้อยยิ่ง พื้นที่ว่างระหว่างบ้านเรือนมีเครื่องมือป้องกันเมืองและไม้ฟืนกองอยู่เต็ม ราวกับข้าศึกจะบุกโจมตีเมืองได้ทุกเมื่อ กฎห้ามสัญจรยามวิกาลกำลังจะเริ่มขึ้น ผู้คนที่สัญจรไปมาท่าทีเร่งร้อน น้อยคนนักที่จะหยุดเดิน

    เทียบกับลั่วหยางและฉางอันแล้ว พระราชวังหลวงในเมืองสวี่ตูมีขนาดเล็กกว่ามาก แบ่งโครงสร้างเป็นสามชั้นแบบง่ายๆ มีรัศมีเพียงสามลี้เท่านั้น ส่วนพระราชฐานชั้นในพื้นที่มีเพียงหนึ่งตารางลี้ อัตคัดอย่างยิ่ง ตามเจตนารมณ์ของเฉาซือคง บัดนี้บ้านเมืองลำบาก โอรสสวรรค์ควรประหยัดมัธยัสถ์อย่างเข้มงวดเพื่อเป็นแบบอย่างให้เหล่าขุนนาง รอให้ใต้หล้าสงบสุข กลับคืนเมืองเก่าเมื่อใดค่อยซ่อมแซมวังหลวงก็ยังไม่สาย

    ราชรถวิ่งไปบนถนนจูเชวี่ยจนถึงประตูวังชั้นใน ถังจีพูดกับคนขับรถ “ข้าจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทก่อน ค่อยกลับไปพักผ่อน” รถม้าจึงหักโค้งมุ่งหน้าไปพระราชฐานชั้นใน ทหารเฝ้าประตูวังเห็นดึกป่านนี้แล้วรถม้าของถังจียังจะเข้าวัง ต่างประหลาดใจ แต่ถังจีบอกว่าจะไปพบพระมเหสีฝูและแสดงหนังสือยืนยันตัว ทหารตรวจดูเล็กน้อยก็ปล่อยให้รถผ่านเข้าไป

    พอเข้าไปในวัง ตลอดทางเงียบเชียบ รอบด้านไร้โคมไร้แสงไฟ มีเพียงทหารยามกองหนึ่งยืนพิงประตูตำหนักสนทนากันเรื่อยเปื่อย ถังจีทอดถอนใจเบาๆ “แม้ในสมัยของจักรพรรดิเส่าตี้ ทหารยามก็ไม่เคยหละหลวมถึงขั้นนี้”

    วังหลวงเป็นสถานที่พำนักอาศัยของกษัตริย์ หากเป็นสมัยที่บารมีของราชวงศ์ฮั่นยังอยู่ อย่าว่าแต่ชายาอ๋องคนหนึ่งเลย ต่อให้เป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนัก เข้าวังตอนกลางคืนก็เป็นเรื่องที่ยากยิ่ง หากไม่มีราชโองการมิอาจเข้าออกวังหลวง บัดนี้โอรสสวรรค์อาศัยชายคาผู้อื่น*สถานที่พำนักเป็นเพียงวังขนาดเล็กที่สร้างขึ้นชั่วคราว ยึดถือความเรียบง่ายเป็นหลัก ไม่มีความยิ่งใหญ่โอ่โถงเหมือนในอดีต

    ราชรถของถังจีวิ่งไปจนถึงประตูข้างของพระราชฐานชั้นใน ขันทีตำหนักในสูงวัยคนหนึ่งรออยู่ตรงนั้น ถังจีกระโดดลงจากรถม้าถาม “จางอวี่ ฝ่าบาททรงเข้าบรรทมหรือยัง”

    ขันทีสูงวัยนามจางอวี่ตอบอย่างนอบน้อม “พระมเหสีเพิ่งปรนนิบัติฝ่าบาทเสวยพระโอสถ ตอนนี้พระอาการยังนับว่าดี”

    ไหล่ทั้งสองข้างของถังจีลู่ลงเล็กน้อย คล้ายรู้สึกโล่งอก

    ขันทีสูงวัยพูดต่อ “ฝ่าบาทตรัสว่าอยากสอบถามเรื่องการเซ่นไหว้พระเชษฐา เพียงแต่เคลื่อนไหวไม่สะดวก จึงอนุญาตให้ท่านเข้าไปในตำหนักบรรทมเป็นกรณีพิเศษ”

    “เช่นนั้นก็ดีเลย ข้าเด็ดหญ้าหอมเยี่ยซีที่ขึ้นอยู่ข้างศาลบรรพชนมาให้ฝ่าบาทจำนวนหนึ่ง เอาไว้จุดในตำหนัก ช่วยรักษาอาการบรรทมไม่หลับได้”

    ถังจีชี้ไปที่หลิวผิง หลิวผิงถือใบไม้ที่ส่งกลิ่นหอมอ่อนจางไว้ในมือหลายใบ

    ข้าวของเครื่องใช้ในวังขาดแคลนมาตลอด สมัยก่อนตอนอยู่ลั่วหยาง กระทั่งสามมหาอำมาตย์เก้าเสนาบดียังต้องหาของกินด้วยตัวเอง ตอนนี้แม้จะมาสวี่ตูแล้ว คนในวังก็ยังต้องออกไปซื้อหาข้าวของอยู่บ่อยครั้งถึงจะเพียงพอสำหรับชีวิตประจำวัน ชายาหงหนงอ๋องมาเยี่ยมพระมเหสีนำสมุนไพรมาด้วย ฟังแล้วน่าปวดใจ แต่แท้จริงแล้วเป็นเรื่องปกติ

    หลิวผิงคิดในใจ ฟังดูแล้วพี่น้องที่เป็นจักรพรรดิของเขากำลังป่วย ถังจีแอบดึงชายเสื้อเขาเป็นสัญญาณให้ตามเข้าไป

    หลิวผิงเดินตามถังจีกับขันทีสูงวัยไปทีละก้าว วังหลวงเล็กมาก ไม่นานทั้งสองก็เดินถึงหน้าตำหนักบรรทม เห็นภายในตำหนักยังมีแสงไฟวูบไหว หน้าประตูมีขันทีและหญิงรับใช้หลายคนเฝ้าอยู่ จางอวี่คิดจะขวางหลิวผิงไว้ คิดไม่ถึงว่าถังจีจะเบี่ยงตัวเล็กน้อย บดบังสายตาเขาไว้พอดี หลิวผิงจึงก้าวเท้าเข้าไปในประตูตำหนัก

    จางอวี่ขมวดคิ้ว ตวาดเสียงดัง “บังอาจ! เจ้าเป็นขันทีจากที่ใด ไฉนจึงไม่รู้กฎธรรมเนียมเช่นนี้!”

    หลิวผิงตื่นลนเล็กน้อย ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี

    ยามนี้เสียงสตรีผู้หนึ่งดังมาจากในตำหนัก “เป็นพี่ถังหรอกหรือ รีบเข้ามาเถอะ” เสียงนั้นอ่อนเยาว์ แต่กลับแฝงความน่ายำเกรงมิอาจล่วงเกิน

    ถังจีตอบ “ได้ยินว่าฝ่าบาทประชวร ข้าจึงตั้งใจนำสมุนไพรมาให้”

    เสียงสตรีตอบว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ให้ขันทีของท่านนำเข้ามาเถอะ จางอวี่ เจ้าไม่ต้องเฝ้าอยู่ที่นี่แล้ว”

    ขันทีสูงวัยได้ยินดังนั้นก็ใบหน้าแดงก่ำ ถอยออกไปตามคำสั่ง แต่ไม่ลืมถลึงตาใส่หลิวผิงและบ่นคำหนึ่ง “กฎธรรมเนียมในวังเละเทะไปหมดแล้ว”

    ถังจีกับหลิวผิงที่หอบสมุนไพรเดินเข้าไปในตำหนักบรรทม พลันได้กลิ่นยาเข้มข้นพุ่งปะทะจมูก หลิวผิงขมวดคิ้ว วางหญ้าหอมเยี่ยซีมัดนั้นข้างกระถางธูปและยืดตัวขึ้น ตลอดทางเพื่อไม่ให้คนเห็นโฉมหน้า เขาจึงค้อมกายอยู่ตลอด ทำเอาปวดเอวเมื่อยหลังไปหมด

    การตกแต่งภายในตำหนักบรรทมเรียบง่าย ขื่อเล็กคานเตี้ย พื้นปูแผ่นกระดานบางๆ ยังเทียบกับบ้านเจ้าเมืองทั่วไปไม่ได้ด้วยซ้ำ บนโต๊ะไม้เจ่ามู่เคลือบรักดำมีตะเกียงทองแดงรูปปากนกกระเรียน พู่กันหมึกและซีกไม้ไผ่ตั้งอยู่ บนชั้นหนังสือวางตำราและหนังสือหลายเล่ม ฉากบังลมไม้ไผ่เคลือบเงาลายหงส์มังกรตั้งอยู่ตรงกลาง แบ่งพื้นที่ในห้องออกเป็นสองส่วน ฉากบังลมนี้กล่าวได้ว่าเป็นของที่ล้ำค่าที่สุดในตำหนัก…หรือบางทีเรียกว่าห้องอาจจะเหมาะกว่า อีกด้านของฉากบังลม แสงไฟวูบไหวไปมาคล้ายมีเงาคนกำลังเคลื่อนไหว

    เดินอ้อมฉากบังลมไป สิ่งแรกที่สะท้อนเข้าสู่สายตาหลิวผิงคือสตรีที่คุกเข่าอยู่ข้างเตียง สตรีผู้นี้ดูอ่อนเยาว์กว่าถังจีมาก นางมีดวงตาคู่โตที่งดงามมีเสน่ห์ เปี่ยมด้วยพลังชีวิต รูม่านตาดำสนิทเปล่งประกาย คางแหลมหน้าผากมน เกล้ามวยเมฆาสูง ปิ่นระย้าทองคำด้ามหนึ่งเสียบอยู่บนมวย ดูเหมือนเสียบไว้อย่างไม่ตั้งใจ แต่กลับขับเน้นดวงหน้าที่ไม่ผ่านการแต่งแต้มให้เปล่งประกายเจิดจรัส นางแค่คุกเข่าเงียบๆ อยู่ตรงนั้นก็ดูงดงามจนผู้คนตะลึงลาน

    คนผู้นี้น่าจะเป็นพระมเหสีฝูโซ่วกระมังหลิวผิงคิดในใจ ขณะเดียวกันหัวใจก็เต้นตึกตัก หญิงสาวผู้นี้ไม่จำเป็นต้องพูด แค่คิ้วโค้งอ่อนจางของนางเลิกขึ้นนิดๆ ความงามที่ติดตัวมาแต่กำเนิดก็ทำเอาคนขาดอากาศหายใจได้ หลิวผิงฝืนดึงสายตาออกจากพระมเหสีฝู เลื่อนสายตาไปที่เตียงข้างกายนาง

    หัวเตียงมีชามที่บรรจุน้ำแกงยาสีน้ำตาลอมดำอยู่เต็มชาม ยังมีควันลอยกรุ่น มือเรียวบางคู่หนึ่งวางอยู่บนผ้าห่มแพร ใต้ผ้าห่มแพรมีคนผู้หนึ่งนอนหลับสนิท

    หลิวผิงมองเห็นตัวเองอีกคน ช่างเหมือนเหลือเกิน แม้หยางเปียวกับถังจีจะเคยอุทานแบบนี้ แต่พอหลิวผิงเห็นโอรสสวรรค์ในตำนานผู้นี้ด้วยตาตัวเอง เห็นพี่น้องฝาแฝดที่มีสายเลือดเดียวกับตนก็ยังอดที่จะอ้าปากตาค้างไม่ได้ ทั้งสองมีคิ้วตาเหมือนกัน รูปหน้าเหมือนกัน แม้แต่ริมฝีปากที่มุมซ้ายยกขึ้นเล็กน้อยและคิ้วที่เฉียงขึ้นยังเหมือนกันทุกกระเบียด เหมือนเขากำลังส่องกระจกทองแดงอย่างไรอย่างนั้น แต่หากพิจารณาอย่างละเอียด สองคนยังมีส่วนที่แตกต่างกัน หลิวเสียที่นอนอยู่บนเตียงผอมแห้งกว่า แก้มสองข้างตอบลงลึก หน้าซีดและหม่นหมอง ดูอ่อนแอต้านทานลมไม่ได้ ส่วนหลิวผิงเติบโตขึ้นท่ามกลางป่าเขาในเหอเน่ย ผิวพรรณหยาบกร้าน แต่กลับเปี่ยมด้วยพลังชีวิตของคนแข็งแรง

    พระมเหสีฝูมองหลิวผิงในชุดขันที ดวงตาคู่โตจ้องเขาเขม็ง เหม่อลอยไปชั่วขณะ มีเพียงหลิวเสียที่ยังคงหลับสนิท คล้ายไม่ตระหนักว่าในห้องมีคนเพิ่มเข้ามาสองคน

    เขาคือพี่น้องของข้า พี่น้องฝาแฝดของข้า!

    หลิวผิงพูดในใจ รู้สึกโลหิตในกายเดือดพล่าน ความสัมพันธ์ลึกลับที่มาจากสายเลือดเต้นระริก ชั่วเวลานี้ เขาลืมว่าตัวเองมีฐานะเป็นบุตรชายของหยางจวิ้น ลืมชีวิตตลอดสิบแปดปีในอำเภอเวินเซี่ยน ลืมความทรมานที่ประสบมาตลอดหนึ่งวันหนึ่งคืน เสียงร้องเรียกของสายโลหิตบอกเขาว่าบุคคลที่ใกล้ชิดกับเขาที่สุดในโลกนี้ก็คือโอรสสวรรค์ของราชวงศ์ฮั่นที่อ่อนแอตรงหน้า

    เขารู้สึกขอบตาเปียกชื้น เดินไปข้างหน้าสองก้าวและร้องเรียก “เสด็จพี่…”

    พระมเหสีฝูโน้มกายลง ลำคอขาวผ่องโค้งลงอย่างสง่างาม นางใช้นิ้วชี้เรียบเนียนลูบหน้าผากโอรสสวรรค์ ขยับริมฝีปากคู่นั้นไปข้างหู พูดเสียงแผ่ว “ฝ่าบาท พี่น้องของพระองค์มาแล้ว เขาเหมือนพระองค์ทุกกระเบียดจริงๆ”

    หลิวเสียไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย ยังคงหลับลึก คล้ายเหนื่อยล้าอย่างยิ่ง พระมเหสีฝูประคองใบหน้าเขา สายตาเปี่ยมด้วยความรักใคร่สงสาร

    ถังจีพลันตระหนักถึงความผิดปกติ นางโน้มตัวเข้าไปดูและพลันอุทานเสียงเบา ดวงตาของพระมเหสีฝูเต็มไปด้วยความเศร้าสลด ยืนยันการคาดเดาของนาง เห็นปฏิกิริยาเช่นนี้ของพวกนางแล้ว หลิวผิงพลันหัวใจหดเกร็งทันใด มองใบหน้าสีเทาตะกั่วของหลิวเสีย ลางสังหรณ์น่ากลัวปกคลุมไปทั่วทั้งตัว พระมเหสีฝูเหน็บชายผ้าห่มให้หลิวเสียอย่างขะมักเขม้น จากนั้นลุกขึ้นยืนช้าๆ มือทั้งสองทิ้งลงข้างลำตัว พูดเสียงแผ่วทุ้มโศกเศร้ากับคนทั้งสอง “พวกท่านมาช้าไป…เช้าวันนี้ฝ่าบาททรงประทับมังกรคืนสู่ฟากฟ้าแล้ว”

     

    3 of 3หน้าถัดไป

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in Uncategorized

    นิยายยอดนิยม

    Facebook