• Connect with us

    Enter Books

    Uncategorized

    ทดลองอ่าน ความลับแห่งสามก๊ก เล่ม 1 ตอนที่ 2

    หน้าที่แล้ว1 of 3

    เสียงนี้แผ่วเบามาก แต่หลิวผิงกับถังจีฟังแล้วกลับรู้สึกเหมือนสายฟ้าฟาดลงมา หลิวผิงจ้องใบหน้าไร้ชีวิตของหลิวเสีย ความคิดปั่นป่วนรุนแรง นี่สวรรค์กำลังล้อเล่นครั้งใหญ่กับเขาหรือ ส่งพี่น้องที่พลัดพรากกันไปสิบแปดปีมาตรงหน้า จากนั้นบอกเขาว่าอีกฝ่ายจากไปแล้ว

    ถังจีข่มความเศร้าสลด ร่างเล็กบางสั่นระริก “แต่สามวันก่อนตอนข้าจากไป พระพลานามัยของฝ่าบาทยังดีอยู่มิใช่หรือ”

    พระมเหสีฝูตอบ “ฝ่าบาททรงมีไข้สูงไม่ลดตั้งแต่เมื่อคืน ทรมานอยู่ทั้งคืน เช้าวันนี้ข้าจะป้อนข้าวต้มให้ฝ่าบาทสักหน่อย แต่ฝ่าบาททรงไม่มีลมหายใจแล้ว…ยังดี ฝ่าบาททรงจากไปยามบรรทม ข้าคิดว่าคงไม่เจ็บปวดถึงเพียงนั้น”

    คำพูดสุดท้ายที่เสริมขึ้นมาเหมือนกำลังปลอบใจตัวเอง ถังจีฟังแล้วร่างกายอ่อนยวบ ทรุดลงกับพื้นทันที ส่งเสียงสะอื้นอย่างข่มกลั้นออกมา พระมเหสีฝูรีบประคองนางขึ้นมา พูดอย่างเฉียบขาด “พี่ถัง ท่านจะร้องไห้ด้วยเหตุใด ท่านลืมไปแล้วหรือ ฝ่าบาทยังทรงไม่จากไป”

    ฟังคำพูดนี้แล้ว ร่างกายของถังจีสะท้านเฮือก เสียงสะอื้นหยุดลง พระมเหสีฝูเหลือบมองนางอย่างแฝงนัย ก้าวเดินไปตรงหน้าหลิวผิงอย่างแช่มช้อย คุกเข่าให้ชายแปลกหน้าผู้นี้และทำความเคารพด้วยกิริยาที่เคารพนอบน้อมเป็นที่สุด “หม่อมฉันฝูโซ่ว ถวายบังคมฝ่าบาท”

    เวลาในห้องเหมือนหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง หัวสมองของหลิวผิงเกิดเสียงดังอึงอล ทันใดนั้นเขาตระหนักถึงความจริง ในที่สุดเขาก็คว้าจับความสงสัยที่เลือนรางมาตลอดก่อนหน้านี้เอาไว้ได้

    “พวกเจ้าร้อนใจเรียกตัวข้ามาจากอำเภอเวินเซี่ยนเช่นนี้ จุดประสงค์มีเพียงอย่างเดียวตั้งแต่แรก!” หากโอรสสวรรค์ต้องการให้หลิวผิงเข้าเมืองสวี่ตูช่วยเหลือราชวงศ์อย่างลับๆ เช่นที่หยางเปียวพูด ย่อมต้องวางแผนการระยะยาว ไม่มีทางให้เขารุดเดินทางมาสวี่ตูอย่างเร่งด่วนจนไม่มีแม้กระทั่งเวลาจะเก็บสัมภาระเป็นแน่ หยางจวิ้น หยางเปียว ถังจี พวกเขาส่งตัวหลิวผิงต่อไปเป็นทอดๆ โดยไม่ยอมชักช้าแม้แต่น้อย การกระทำอันผิดปกติเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าสวี่ตูกำลังจะเกิดเรื่องใหญ่และหลิวผิงจะมีบทบาทสำคัญอย่างไม่มีผู้ใดทดแทนได้ในเหตุการณ์ครั้งนี้

    ตอนนี้หลิวผิงรู้แล้วว่าเป็นเรื่องอะไร

    “เจ้าพูดถูก” พระมเหสีฝูตอบอย่างสุขุม สตรีผู้นี้รักษาความสุขุมเยือกเย็นไว้ได้ตลอดเวลาอย่างน่าแปลก “เรียกตัวเจ้าเข้าสวี่ตู ก็เพราะต้องการให้เจ้ามาแทนพี่น้องของเจ้า มาเป็นจักรพรรดิ”

    หลิวผิงกำลังจะเอ่ยปาก ทว่าพระมเหสีฝูยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้เขาฟังนางพูดให้จบก่อน

    “ความจริงหยางไท่เว่ยไม่ได้หลอกเจ้า การเรียกตัวเจ้าเข้าสวี่ตูมาช่วยเหลืออยู่ในแผนการของฝ่าบาทมาตลอด ทว่าตั้งแต่ย่างเข้าฤดูหนาวฝ่าบาทก็ประชวรหนัก พระอาการทรุดลงทุกที หลายวันก่อนพวกเรารู้แล้วว่าฝ่าบาทคงไม่รอด แต่ราชวงศ์ฮั่นจะขาดผู้นำไม่ได้ ดังนั้นพวกเราจึงได้แต่ลงมือก่อนกำหนด ขอให้หยางจวิ้นรีบพาเจ้ามาสวี่ตู”

    พระมเหสีฝูยื่นมือเข้าไปในผ้าห่มแพร หยิบสายคาดเอวเส้นหนึ่งออกมา จากนั้นหยิบแถบผ้ายาวสองนิ้วออกมาชิ้นหนึ่ง บนแถบผ้ามีอักษรที่เขียนด้วยหมึกลายมือหวัด ดูออกว่าผู้เขียนไร้สิ้นเรี่ยวแรงแล้ว นางหยิบตราแผ่นดินหยกจากข้างหมอน ประคองชิ้นผ้าและตราหยกไว้ในมือ สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

    “ฝ่าบาททรงเกรงว่าจะทนรอถึงตอนเจ้ามาไม่ไหว จึงใช้นิ้วแต้มหมึก ทิ้งราชโองการสั่งเสียนี้ไว้ หลิวผิง รับราชโองการ”

    หลิวผิงได้แต่คุกเข่าลงบนพื้น พระมเหสีฝูอ่านราชโองการ “เราไร้คุณธรรม ขอยกบัลลังก์ให้น้องชายหลิวผิง จงทำให้ราชวงศ์ฮั่นฟื้นฟูความรุ่งเรืองโดยเร่งด่วน ต้องทำให้ได้” เป็นเพียงคำพูดง่ายๆ แต่กลับเต็มไปด้วยความเศร้าสลด ความโกรธแค้น และความไม่ยินยอมของจักรพรรดิพระองค์หนึ่ง พระมเหสีฝูโน้มตัวลง ยื่นแขนทั้งสองไปข้างหน้า จ้องมองหลิวผิงด้วยสายตากระตือรือร้น

    หลิวผิงลังเลเล็กน้อย เขารู้ว่าการยอมรับครั้งนี้ สิ่งที่แบกรับคือภารกิจที่หนักอึ้งยิ่งกว่าภารกิจใดๆ

    พระมเหสีฝูไม่เร่งเร้า เพียงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ดวงตาของนางงดงามลึกล้ำ รูม่านตาดำขลับเหมือนดูดเอาความคิดความรู้สึกของผู้ที่มองสบมันเข้าไปได้อย่างไรอย่างนั้น

    สมัยก่อนเขาเคยสนทนาเรื่องหลักการปกครองบ้านเมืองกับซือหม่าอี้ ทั้งยังแสดงความคิดเห็นเรื่องที่ราชวงศ์ฮั่นไม่เฟื่องฟู ทอดถอนใจที่กฎระเบียบในราชสำนักไม่เข้มแข็ง แต่ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งจะเข้ามามีส่วนร่วมในรูปแบบนี้ เขาหันหน้าไปมองใบหน้าของหลิวเสียที่ตายไปแล้ว สีหน้าของผู้ตายสงบมาก คล้ายไหว้วานเรื่องหลังตายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ค่อยจากไปอย่างวางใจ นี่เป็นคำไหว้วานสุดท้ายของจักรพรรดิที่มีต่อน้องชายที่ไม่เคยพบหน้าค่าตากัน ทั้งยังเป็นการปฏิสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องเพียงครั้งเดียว “กระหม่อม น้อมรับพระบัญชา”

    เขาใคร่ครวญซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในที่สุดก็รับราชโองการผ้าแพรและตราหยก สองสิ่งนั้นหนักอึ้ง เกรงว่านี่คงเป็นราชโองการสืบบัลลังก์ที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เคยมีมากระมัง หลิวผิงรู้สึกว่าเรื่องราวก่อนหน้านี้ทั้งหมดรวมกันยังไม่เหลวไหลเหลือเชื่อเท่าเรื่องนี้ พระมเหสีฝูเห็นเขารับไปในที่สุดก็โล่งอก ผลิยิ้มงดงามออกมา คุกเข่าลงพร้อมกับถังจี โขกศีรษะให้โอรสสวรรค์องค์ใหม่ที่ขึ้นครองราชย์

    หลิวผิงมือประคองตราหยก พูดอึกอัก “เหตุใดจึงเป็นข้า…ใต้หล้านี้ผู้ที่มีสายเลือดกษัตริย์ ยังมีอีกมากมาย”

    พระมเหสีฝูส่ายหน้าน้อยๆ “สมัยที่โอรสสวรรค์ยังอยู่ ด้วยบารมีของจักรพรรดิราชวงศ์ฮั่น ทำให้ถ่วงดุลอำนาจกับโจรเฉาได้ หากโอรสสวรรค์สวรรคต โจรเฉาต้องแต่งตั้งหุ่นเชิดคนใหม่ที่เชื่อฟังเขาขึ้นมาแน่นอน ตัดความคิดที่จะขึ้นเป็นจักรพรรดิของเจ้าครองแคว้นทั้งหลาย ถึงเวลานั้นราชวงศ์ฮั่นย่อมล่มสลาย มิอาจกอบกู้คืนมาได้อีก”

    นางกุมฝ่ามือหลิวผิงไปวางบนหน้าอกหลิวเสีย เขารู้สึกถึงความเย็นเยียบ น้ำเสียงอ่อนหวานของพระมเหสีฝูดังขึ้นด้านข้าง คล้ายพูดให้หลิวผิงฟัง แต่ก็คล้ายพูดกับหลิวเสีย “ดังนั้นโอรสสวรรค์จึงตายไม่ได้ โอรสสวรรค์ไม่ได้ตาย เจ้าก็คือโอรสสวรรค์ โอรสสวรรค์แห่งราชวงศ์ฮั่นหลิวเสีย”

    ข้าก็คือโอรสสวรรค์แห่งราชวงศ์ฮั่นหลิวเสีย?ได้ยินพระมเหสีฝูพูดเช่นนี้ หลิวผิงก็ยิ้มขื่น ตั้งแต่เดินทางจากอำเภอเวินเซี่ยนมาที่นี่ เขาเริ่มจากละทิ้งฐานะของหยางผิง กลายเป็นพี่น้องของจักรพรรดิ บัดนี้ยังต้องละทิ้งฐานะของหลิวผิงอีก กลายเป็นจักรพรรดิเสียเอง

    ยามนี้ในที่สุดสติของถังจีก็คืนกลับมา นางเช็ดน้ำตาบนใบหน้า “เรื่องที่ฝ่าบาทสวรรคต นอกจากน้องสาวแล้วยังมีผู้ใดรู้อีก”

    พระมเหสีฝูตอบ “วันนี้ทั้งวันข้าเฝ้าอยู่ข้างกายเขาตลอด ออกคำสั่งต่างๆ ในนามของเขา ปฏิเสธการขอเข้าเฝ้าทั้งหมด อาหารและยาที่บรรดาหมอหลวงนำมาถวาย ข้าล้วนออกไปรับเองที่หน้าประตู เพราะเกรงว่าพวกเขาจะสังเกตเห็นความผิดปกติ…ในวังแห่งนี้ ไม่รู้มีหูตาของคนแซ่เฉาอยู่มากน้อยเท่าใด”

    นางจับมือเย็นเฉียบของหลิวเสียขึ้นมา ร่างกายท่อนบนทาบไปกับแผงอกเขาและหันหน้ามา “หากพวกท่านยังไม่มา ข้าไม่รู้ว่าตัวเองจะอดทนได้ถึงเมื่อไร…” จวบจนบัดนี้ พระมเหสีฝูจึงเผยสีหน้าเหนื่อยล้าถึงขีดสุดออกมา นางฟุบอยู่บนเตียง ประกายบนใบหน้าหม่นหมองลงในชั่วพริบตา

    สตรีผู้นี้นั่งอยู่ข้างศพเย็นเฉียบของสามีตลอดหนึ่งวันเต็ม ฝืนข่มความเจ็บปวดจากการสูญเสียสามี สวมบทบาทของจักรพรรดิที่ประชวรกับพระมเหสีที่คอยปรนนิบัติดูแล ถึงขั้นไม่แสดงความเศร้าสลดออกมาแม้แต่น้อย แค่นางกำนัลที่ไม่มีความสำคัญคนหนึ่ง หรือการเหลือบมองอย่างไม่ใส่ใจแวบหนึ่งก็ทำลายความพยายามของนางลงได้แล้ว…หากถูกจับได้ นั่นเท่ากับหายนะของราชวงศ์ฮั่น

    นางกำลังร่ายรำเจ็ดจาน* อยู่บนปลายเข็ม สิ่งเดียวที่คาดหวังพึ่งพาได้คือพี่น้องฝาแฝดที่ไม่รู้จะปรากฏตัวเมื่อใด

    เรื่องนี้ต้องใช้ปณิธานที่แข็งแกร่งเพียงใด หลิวผิงมองพระมเหสีฝูด้วยความนับถือ นี่ก็คือ ‘ผู้สูงส่งและมีคุณธรรม’ ตามตำราประวัติศาสตร์ คนที่เขาพบตลอดสองวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นหยางจวิ้น หยางเปียว ถังจีหรือพระมเหสีฝูผู้นี้ล้วนมีความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว เพื่อราชวงศ์ฮั่นแล้วยอมเสียสละทุกอย่าง หลิวผิงไม่รู้ว่าสิ่งที่ผลักดันให้พวกเขายอมเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ เป็นภาระหน้าที่ที่มีต่อราชวงศ์ฮั่น หรือเป็นความจงรักภักดีต่อตัวบุคคลอย่างโอรสสวรรค์กันแน่

    หลิวเสียที่ตายไปแล้วเป็นบุคคลอย่างไรกันแน่นะ ถึงได้รับความเชื่อถือและไว้วางใจเช่นนี้

    หลิวผิงเพิ่งตระหนักยามนี้เอง เขารู้จักพี่น้องคนนี้น้อยยิ่งนัก มีเพียงข่าวลือบางส่วนที่แพร่มาถึงเหอเน่ยว่าราชสำนักอ่อนแอ โอรสสวรรค์ไร้ความสามารถ ปล่อยให้ขุนนางเป็นใหญ่…แต่บัดนี้ดูแล้วสถานการณ์กลับแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง

    ระหว่างครุ่นคิด ถังจีได้เดินมาข้างกายและยื่นอาภรณ์ชุดหนึ่งให้ เอ่ยเสียงค่อย “ฝ่าบาท เชิญเปลี่ยนฉลองพระองค์เพคะ” หลิวผิงเหลือบมองถังจีอย่างกระอักกระอ่วน เดินไปหลังฉากบังลม ถอดชุดขันทีออกและถอดเสื้อชั้นกลางของตัวเองโยนไว้ด้านข้าง เปลี่ยนมาสวมชุดคลุมยาว ชุดคลุมยาวตัวนั้นเก่ามาก แต่เนื้อผ้ากลับนุ่มอย่างยิ่ง เวลาเคลื่อนไหวให้ความรู้สึกสบายทีเดียว หลิวผิงเดินไปมาในห้องหลายรอบ พยายามคิดว่าหลิวเสียเดินอย่างไร

    ผู้หญิงสองคนเห็นเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็หารือกันเบาๆ ครู่หนึ่ง ถังจีหยิบผงแต่งหน้าสีขาวจานหนึ่งออกมาจากกล่องเครื่องแป้งฉลุลายที่ทำจากเงิน ถือไว้ในมือ พระมเหสีฝูหยิบพู่กันด้ามหนึ่งมา ใช้พู่กันอ่อนนุ่มแต้มผงและทาบนหน้าหลิวผิงด้วยตัวเอง

    หลิวเสียกับหลิวผิงแม้จะหน้าตาเหมือนกัน แต่ลักษณะท่าทีกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คนหนึ่งเป็นจักรพรรดิที่ตกระกำลำบากมานานปี ขาดแคลนเสื้อผ้าอาหาร แต่อีกคนกลับเป็นทายาทสกุลสูงศักดิ์ที่เติบโตขึ้นท่ามกลางป่าเขา

    มือขาวสะอาดคู่หนึ่งตวัดไปมาตรงหน้าตน กลิ่นหอมอ่อนจางพุ่งเข้ามาในจมูกของหลิวผิงหลายระลอก กลิ่นหอมนี้ไม่ได้มาจากดอกซินอี๋หรือเหง้าเกาเหลียงเจียงที่เชื้อพระวงศ์มักจะใช้กัน แต่เป็นกลิ่นหอมตามธรรมชาติที่แผ่ออกมาจากผิวกาย หลิวผิงช้อนตาขึ้น ดวงหน้าของฝูโซ่วอยู่ใกล้แค่ตรงหน้า นางกำลังจดจ่อกับการแต่งแต้มใบหน้าของเขา เหงื่อใสแวววาวหยดหนึ่งเกาะอยู่ตรงปลายจมูกประณีตของนาง

    นางใช้ปลายนิ้วแต้มน้ำแกงยาสีน้ำตาลเทาเป็นพักๆ แตะลงบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยผงสีขาวของเขาอย่างแผ่วเบาดุจแมลงปอแตะผิวน้ำ หลิวผิงรู้สึกจักจี้และสบายตัวมาก

    “ฝ่าบาท อย่าขยับตัวเพคะ” ฝูโซ่วพูด น้ำเสียงเจือความโมโหเล็กน้อย หลิวผิงรีบดึงสายตากลับมา นั่งอย่างเรียบร้อยดังเดิมและหลับตาลง

    แต่งแต้มใบหน้าให้หลิวผิงเสร็จแล้ว พระมเหสีฝูถอยหลังและพิจารณาดูหลายครั้ง ถังจีด้านข้างผงกศีรษะ ทั้งสองใบหน้าคล้ายคลึงกันอยู่แล้ว พอแต่งหน้าแบบนี้ สีผิวคล้ำเข้มแบบคนแข็งแรงของหลิวผิงถูกผงขาวปกปิด ยิ่งทำให้ดูคล้ายกันถึงเก้าส่วน รายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ ที่ไม่เหมือนกันอ้างว่าเป็นเพราะจักรพรรดิ ‘ประชวร’ ได้

    พระมเหสีฝูล้างมือให้สะอาด หยิบตำรา ‘ธรรมเนียมพิธีขุนนางฮั่น’ ที่แต่งโดยอิงเซ่าและ ‘หลักครรลองปกครองของขุนนางฮั่น’ ที่แต่งโดยไช่จื้อ ประคองส่งให้หลิวผิงด้วยสองมือ “ฝ่าบาท ในราชสำนักมีขุนนางมากมาย มีทั้งขุนนางระดับสูงที่ติดตามฝ่าบาทมาหลายปี ทั้งยังมีขุนนางใหม่ๆ ที่คนแซ่เฉานั่นส่งเข้ามา ธรรมเนียมการตกรางวัลและลงโทษเหล่านี้ต้องตั้งใจศึกษาเพคะ”

    จากนั้นพระมเหสีฝูหันหลังไปพูดกับถังจี “รีบบอกหยางไท่เว่ย ฝ่าบาทยังต้องใช้เวลาสักพักในการปรับตัวเข้ากับราชสำนัก ช่วงเวลานี้จะเกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด”

    ถังจีรับคำ เห็นชัดว่าชินแล้วกับการออกคำสั่งของพระมเหสีฝู

    หลิวผิงลอบประหลาดใจ ดูจากอายุของนางน่าจะแค่สิบแปดสิบเก้า แต่ท่าทีกิริยากลับสุขุมมั่นคงยิ่ง ไม่ตื่นลนแม้อยู่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง…สามีนางเพิ่งจะจากโลกนี้ไปไม่ถึงสิบสองชั่วยามด้วยซ้ำ

    กลิ่นยาในห้องยังคงเข้มข้น เนื่องจากหมอหลวงจะถวายยาทุกสองชั่วยาม เพื่อไม่ให้ใครสงสัย พระมเหสีฝูจึงเทน้ำแกงยาทุกชามลงในช่องว่างระหว่างพื้นกระดาน ปล่อยให้ยาซึมลงไปในพื้นดินข้างล่าง

    จักรพรรดิที่ตายไปนอนอยู่บนเตียง จักรพรรดิที่มีชีวิตอยู่ยืนอยู่หลังฉากบังลม พวกเขาเป็นคนสองคน แต่กลับเป็นคนคนเดียวกัน ภายในห้องที่อบอวลไปด้วยกลิ่นยาขมปร่าแห่งนี้ ‘โอรสสวรรค์หลิวเสีย’ ตกอยู่ในสถานการณ์แปลกประหลาด ตายไปและฟื้นคืนชีพใหม่

    หลิวผิงมองชุดขันทีที่ตนถอดทิ้งไว้บนพื้น พลันนึกถึงปัญหาข้อหนึ่ง ถ้าเขามาแทนที่หลิวเสียตอนนี้ แล้วศพของหลิวเสียตัวจริงจะจัดการอย่างไร อีกอย่าง ถังจีพาขันทีคนหนึ่งเข้ามา ประเดี๋ยวถ้านางจากไปตามลำพัง ย่อมก่อให้เกิดความสงสัย

    พอเขาเอ่ยคำถามนี้ออกมา ฝูโซ่วกลับไปนั่งข้างเตียง นางลูบหน้าผากหลิวเสียพลางตอบว่า “ข้ามีแผนการรับมือแล้ว นี่จะเป็นบททดสอบแรกของฝ่าบาทท่าน”

    หน้าที่แล้ว1 of 3

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in Uncategorized

    นิยายยอดนิยม

    Facebook