• Connect with us

    Enter Books

    Uncategorized

    ทดลองอ่าน ความลับแห่งสามก๊ก เล่มที่ 1 ตอนที่ 3

    บทที่ 3

    ผู้ตายยังไม่ตาย

     ขณะที่หวังฝูจับจ้องพระราชวังหลวง อันที่จริงโอรสสวรรค์ไม่ได้อยู่ในนั้น ซากปรักหักพังในตำหนักบรรทมกำลังถูกเก็บกวาด ส่วนสำนักราชเลขาซอมซ่อเกินไป ดังนั้นสวินอวี้จึงตัดสินใจแทนเฉาซือคงเชิญโอรสสวรรค์ไปประทับในจวนซือคงชั่วคราว

    แม้จะเป็นการย้ายที่พำนักในเมืองเดียวกัน แต่สำหรับโอรสสวรรค์แล้วมีเรื่องที่ต้องเตรียมการมากทีเดียว กว่าหลิวเสียจะก้าวเข้าไปในจวนซือคง ดวงจันทร์ก็ลอยเด่นกลางท้องนภาแล้ว เปี้ยนซื่อ*(เปียนซี) ภรรยารองของเฉาเชาพาบุตรชายสามคนเฉาพี (โจผี) เฉาจาง (โจเจียง)และเฉาจื๋อ (โจสิด) ออกจากจวนมาต้อนรับ ในบรรดาเด็กๆ พวกนี้ เฉาพีที่อายุมากที่สุดก็แค่สิบกว่าขวบเท่านั้น แต่ค่อนข้างมีความเป็นผู้ใหญ่ทีเดียว เฉาจางยังเป็นเด็กน้อยที่ซุกซน เฉาจื๋อที่เด็กสุดอายุไม่กี่ขวบเท่านั้น พวกเขาสามคนเลียนแบบมารดาถวายบังคมอย่างเงอะงะ จากนั้นแอบเงยหน้ามองโอรสสวรรค์แห่งราชวงศ์ฮั่นที่ผู้คนเล่าลือกันด้วยความสงสัย

    “พระมเหสีงดงามเหลือเกิน” เฉาจางมองแผ่นหลังของฝูโซ่ว และกระซิบกับพี่น้อง เฉาพีส่งเสียงชู่กับเขาและถลึงตาใส่ เฉาจื๋อข้างกายหัวเราะออกมาโดยไม่มีเหตุผล

    “ไม่รู้ในบรรดาเด็กพวกนี้ ใครจะเป็นผู้สืบทอดของเฉาเชา”

    หลิวเสียถามฝูโซ่วเสียงค่อย เขาได้ยินมานานแล้ว เดิมทีเฉาเชามีบุตรชายคนโตคนหนึ่ง ชื่อเฉาอั๋ง (โจงั่ง) สองปีก่อนตายในสมรภูมิที่แม่น้ำอวี้สุ่ย ตอนนี้คนที่มีหวังจะสืบทอดตำแหน่งของเฉาเชามากที่สุดก็คือบุตรชายทั้งสามของเปี้ยนซื่อ ครั้นได้ยินคำถามของหลิวเสีย ฝูโซ่วจึงยิ้มตอบว่า “อีกนานกว่าพวกเขาจะเข้าพิธีสวมหมวก แต่ฝ่าบาทคิดเรื่องพวกนี้ให้มากหน่อยก็ไม่มีอะไรเสียหาย”

    เปี้ยนซื่อรูปโฉมไม่งดงามแต่คล่องแคล่วทีเดียว มีลักษณะของสตรีผู้เป็นภรรยาเอก ภายใต้การสั่งการของนาง การต้อนรับดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบไร้ข้อตำหนิ แม้แต่ฝูโซ่วยังจุปากชม เปี้ยนซื่อเคารพนอบน้อมโอรสสวรรค์มาก ปฏิบัติอย่างให้เกียรติสูงสุดเหมือนเช่นที่ขุนนางต้อนรับโอรสสวรรค์ยามที่ราชวงศ์ฮั่นรุ่งเรืองเฟื่องฟู ดูไม่ออกแม้แต่น้อยว่าความสัมพันธ์ระหว่างสามีนางกับราชสำนักย่ำแย่เต็มที

    ยามนี้หลิวเสีย ‘กำลังป่วย’ ดังนั้นธรรมเนียมพิธีทั้งหมดจึงยึดเอาความเรียบง่าย เปี้ยนซื่อสละห้องนอนของเฉาเชาให้ ตัวเองย้ายไปอยู่เรือนข้าง ก่อนจากไปยังกำชับข้ารับใช้อย่างใส่ใจว่าให้นำกระถางกำยานลายมังกรขดมาตั้งไว้ตรงมุมทั้งสี่ของห้อง ส่งกลิ่นหอมชวนให้คนเคลิบเคลิ้ม

    จนกระทั่งทุกอย่างคืนสู่ความสงบ ฝูโซ่วสั่งให้ทุกคนออกไปและเดินวนรอบห้องรอบหนึ่ง ยังใช้เท้าย่ำพื้นเบาๆ ดูว่ากลวงหรือไม่ ครั้นตรวจสอบเสร็จเรียบร้อย ฝูโซ่วจึงกลับไปข้างเตียงพูดกับหลิวเสีย “ไม่มีอะไรผิดปกติ พูดคุยได้อย่างวางใจ”

    “เจ้าไม่พักสักหน่อยหรือ” หลิวเสียพูดอย่างเป็นห่วง ตั้งแต่สองวันก่อนจนกระทั่งตอนนี้ เส้นประสาทของฝูโซ่วเหมือนสายธนูที่ถูกขึงจนสุดมาตลอด แม้จะเป็นชายฉกรรจ์ที่ร่างกายทำจากเหล็กหล่อด้วยทองแดงก็ทนรับความเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้ไม่ไหว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหญิงสาวแบบบางคนหนึ่ง

    ฝูโซ่วส่ายหน้านิดๆ ใช้นิ้วมือนวดขมับทีหนึ่ง หางตาขาวสะอาดปรากฏรอยหางปลาอย่างปิดไม่มิด “ไม่ได้ ข้ายังต้องขบคิดว่ามีอะไรตกหล่นไปอีกหรือไม่”

    “วันนี้ปกปิดไปได้อย่างราบรื่นแล้ว เจ้าควรสบายใจขึ้นได้แล้ว”

    หลิวเสียพยายามปลอบโยนนาง ‘จักรพรรดิตัวปลอม’ ผู้นี้พบขุนนางใหญ่ในราชสำนักหลายคนแล้ว ยังได้พบพระสนมที่ใกล้ชิดคนหนึ่ง ในที่สุดก็ผ่านบททดสอบไปได้อย่างหวาดเสียวทว่าไม่มีอันตราย ทว่าเวลานี้ จู่ๆ ก็มีเสียงแก่ชราพลันดังมาจากข้างนอก “กระหม่อมจางอวี่ ขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทกับพระมเหสีพ่ะย่ะค่ะ”

    “จางอวี่?” หลิวเสียชะงักไป ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าคนผู้นี้เป็นใคร ขันทีตำหนักในจางอวี่ ขันทีสูงวัยที่เฝ้าอยู่หน้าประตูและบ่นไม่หยุดตั้งแต่เมื่อคืน

    ฝูโซ่วคว้ามือหลิวเสียพูดเสียงค่อย “ตั้งแต่ฝ่าบาทถือกำเนิด จางอวี่ก็คอยปรนนิบัติรับใช้ หลายปีมานี้ติดตามอยู่ข้างกายตลอด ไม่มีใครรู้จักฝ่าบาทดีไปกว่าเขา ปกปิดเขาได้จึงจะปกปิดทุกคนได้อย่างแท้จริง”

    หลิวเสียประหม่าขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุทันที ฝูโซ่วตบหลังมือเขาและพูดเสียงดัง “เข้ามาเถอะ”

    จางอวี่ผลักประตูก้าวเข้ามาด้วยฝีเท้าแผ่วเบานอบน้อมตามลักษณะของขันที เขาอายุหกสิบกว่าแล้ว อากัปกิริยาไม่ว่องไวเหมือนขันทีรุ่นเล็ก แต่กลับขึงขังจริงจังไม่ผิดพลาดแม้แต่น้อย ฝูโซ่วสังเกตเห็นว่าวันนี้เครื่องแบบของเขาไม่ใช่ชุดสีทั่วไป แต่เป็นชุดสีเหลืองเข้ม เอวห้อยพู่ระย้าอันเล็กแถวหนึ่ง การแต่งกายแบบนี้จะใช้ต่อเมื่อขันทีระดับสูงที่อยู่เวรต้องเข้าร่วมพิธีที่เป็นทางการอย่างยิ่งเท่านั้น นางอดขมวดคิ้วนิดๆ ไม่ได้

    จางอวี่เข้ามาในห้องและถวายบังคมอย่างเต็มพิธี หมอบกราบไปกับพื้น เส้นผมสีขาวดูสะดุดตาเป็นพิเศษใต้แสงไฟ ฝูโซ่วตีหน้าขรึมถาม “ท่านปู่จาง*ดึกป่านนี้แล้ว ฝ่าบาทไม่ได้ทรงเรียกท่าน ไฉนจึงเข้ามาโดยพลการ” การเข้ามาโดยไม่ถูกเรียก ในวังถือเป็นความผิดร้ายแรง

    จางอวี่หมอบอยู่บนพื้น ศีรษะก้มลงต่ำมาก น้ำเสียงยืนกรานอย่างยิ่ง “กระหม่อมมีเรื่องหนึ่งไม่เข้าใจ อยากขอให้ฝ่าบาททรงเมตตาชี้แนะพ่ะย่ะค่ะ”

    “พูด” หลิวเสียว่า ตอนนี้เขาเลียนแบบน้ำเสียงของจักรพรรดิได้เหมือนทีเดียว

    คิดไม่ถึงว่าจางอวี่จะไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย เลื่อนสายตาไปหาฝูโซ่ว “ขอถามพระมเหสีว่าตอนนี้ฝ่าบาทอยู่ที่ใด” คำพูดแผ่วเบาคำหนึ่งกลับทำให้ภายในห้องถูกปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็งเย็นเยียบที่มองไม่เห็นในชั่วพริบตา ฝูโซ่วกับหลิวเสียสบตากันทันที ทั้งสองลนลานเล็กน้อย

    เนตรหงส์ของฝูโซ่วเบิกโต “จางอวี่! เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองกำลังพูดอะไร”

    “กระหม่อมแค่อยากรู้ว่าฝ่าบาทอยู่ที่ใด!” จางอวี่คาดคั้นอย่างดื้อดึง

    “กำแหงเกินไปแล้ว!” ฝูโซ่วลุกขึ้นทันใด น้ำเสียงขุ่นเคืองเล็กน้อย “เจ้าเองก็เป็นขุนนางเก่าแก่แล้ว กลับบุกเข้ามาในตำหนักบรรทมยามวิกาล เอ่ยวาจาเหลวไหล! สมควรลงโทษอย่างไร” ยามเผชิญหน้ากับความน่าเกรงขามของฝูโซ่ว จางอวี่ใช้สองแขนยันพื้น ไหล่ทั้งสองข้างยกขึ้น คล้ายพยัคฆ์หมอบที่แก่ชราและดื้อรั้นตัวหนึ่ง

    “กระหม่อมรับใช้ฝ่าบาทมาสิบแปดปีกว่า ทุ่มเททุกสิ่ง ไม่เคยละเลยหน้าที่ จากลั่วหยางมาถึงฉางอัน จากฉางอันมาสวี่ตู ระหกระเหินมาตลอดทาง แต่กระหม่อมไม่เคยห่างฝ่าบาทแม้สักขณะเดียว…”

    จางอวี่เงยหน้าขึ้น สองตาปรากฏเส้นเลือดฝอยสีแดง สายตาจ้องตรงมายังหลิวเสียเขม็ง “ตอนนี้คนในห้อง แม้ใบหน้าจะคล้ายคลึงกับฝ่าบาทอยู่เก้าส่วน แต่มิอาจปิดบังดวงตาแก่ชราคู่นี้ของกระหม่อมได้แน่นอน เขาไม่ใช่โอรสสวรรค์ของต้าฮั่น!”

    เหมือนสายฟ้าฟาดลงมาในห้อง ฝูโซ่วร่างกายโงนเงน ใบหน้าซีดเผือดทันใด

    หลิวเสียหันหน้าไปทางอื่นอย่างหวาดหวั่น ทันใดนั้นเขาเห็นมือขวาของฝูโซ่วค่อยๆ ยื่นไปที่เตียง ใต้หมอนเป็นเหล็กแหลมแท่งหนึ่ง เห็นทีฝูโซ่วคิดจะสังหารจางอวี่ ขันทีสูงวัยผู้นี้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว หากไม่ควบคุมเขาไว้โดยเร็ว เพียงร้องโวยวายออกไปก็จะทำให้คนข้างนอกรู้กันทั่ว เช่นนั้นทุกอย่างย่อมล้มเหลว

    หลิวเสียตรองดูแล้ว ด้วยฝีมือของตนบวกกับความร่วมมือจากฝูโซ่ว ขันทีสูงวัยผู้นี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาแน่ ถึงเวลานั้นแค่ยัดเยียดข้อหาปองร้ายกษัตริย์ให้จางอวี่ ย่อมกลบเกลื่อนเรื่องนี้ไปได้

    แต่ว่า…จะทำแบบนี้ได้จริงๆ หรือเสียงแปลกประหลาดดังขึ้นในใจ ไม่รู้เหตุใด หลิวเสียคิดถึงแม่กวางบนเขาในอำเภอเวินเซี่ยนที่ตนปล่อยไป คิดถึงคนขับรถที่ถูกฆ่าอย่างไม่เป็นธรรมผู้นั้น คิดถึงศพของคนหนุ่มที่สวมรอยเป็นเขา และแขนข้างหนึ่งของหยางจวิ้นที่ถูกตัด

    “เพื่อปกปิดฐานะของข้าต้องมีคนตายอีกกี่คนกันแน่…” เขาพึมพำเสียงแผ่วเบา สองตาจับจ้องใบหน้าแก่ชราของจางอวี่ที่เหมือนมีเนินเขาและสายธารพาดอยู่เต็มไปหมด นี่เป็นชีวิตคนชีวิตหนึ่ง ทั้งยังเป็นคนที่ซื่อสัตย์ภักดีต่อราชวงศ์ฮั่นถึงขั้นเสียสละทั้งชีวิตของตัวเองได้ บัดนี้กลับต้องถูกสังหารเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง

    ฝูโซ่วกำเหล็กแหลมไว้ในมือแล้ว นางขยับตัวออกจากเตียงโดยไม่มีใครรู้ตัว “เจ้ารู้ตั้งแต่เมื่อไรว่าฝ่าบาทไม่อยู่”

    จางอวี่ตอบ “เมื่อคืนตอนเกิดเพลิงไหม้ กระหม่อมเห็นพิรุธแล้ว วันนี้ถวายการรับใช้ในสำนักราชเลขาทั้งวัน กระหม่อมจึงมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง”

    “อ้อ…แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่เปิดเผยออกมาตอนนั้นเลย” ฝูโซ่วถามเสียงเย็น ขยับเข้าไปข้างหน้าอีก

    “เปิดเผยให้ใครฟัง คนของเฉาเชาหรือ” จางอวี่ส่ายหน้า “กระหม่อมมาที่นี่ก็เพราะอยากขอคำอธิบายจากพระมเหสีก่อน”

    ฝูโซ่วยิ้มน้อยๆ “หมายความว่าคนอื่นยังไม่รู้สินะ?”

    “ถูกต้อง”

    “เจ้าทำได้ดีมาก ดีมาก เช่นนั้นข้าจะบอกเจ้า ความจริงฝ่าบาทมีราชโองการนานแล้ว…” นางเสียงดังขึ้นกะทันหัน “ขันทีตำหนักในจางอวี่ รับราชโองการลับ!”

    จางอวี่อึ้งไป ก่อนจะก้มศีรษะลงตามความเคยชิน ฝูโซ่วเงื้อเหล็กแหลมในมือขึ้นกะทันหัน กัดฟันและเล็งไปยังคอของจางอวี่

    จังหวะที่เหล็กแหลมกำลังจะแทงเข้าไปในร่างของชายชรา ข้อมือนางกลับถูกฝ่ามือทรงพลังข้างหนึ่งคว้าไว้ ปลายเหล็กแหลมครูดผิวชายชราจนถลอก

    ฝูโซ่วตั้งใจมอง เห็นว่าผู้ที่ขัดขวางตนคือหลิวเสีย นางก็แข็งทื่ออยู่ที่เดิมชั่วขณะ จางอวี่เงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ เกิดความฉงนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นกัน เขาใช้ชีวิตอยู่ในวังมาหลายสิบปี เห็นการหลอกลวงและต่อสู้แย่งชิงมามาก มาเข้าเฝ้าพระมเหสีครั้งนี้ เขารู้ตัวดีว่าทำผิดใหญ่หลวง ไม่ว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไรก็ยากจะหนีพ้นความตาย แต่…เหตุใดคนที่สวมรอยเป็นฝ่าบาทผู้นี้กลับห้ามไม่ให้นางลงมือ

    “เจ้า…เจ้าบ้าไปแล้วรึ?!” ฝูโซ่วตะโกนใส่หลิวเสีย ดวงตากระจ่างใสยามนี้มีความคลุ้มคลั่งเจือปน ความลับที่นางทุ่มเทปกปิดไว้บัดนี้ถูกตาแก่คนหนึ่งโพล่งออกมา ความกระทบกระเทือนใจนี้ทำให้สมาธินางกระจัดกระจาย

    นางพยายามเงื้อเหล็กแหลมขึ้นอีกครั้ง หลิวเสียจนใจได้แต่กอดนางไว้แนบอก สองแขนรัดเข้าด้วยกันแน่น ฝูโซ่วดิ้นรนสุดแรง แต่ทำอย่างไรก็ดิ้นไม่หลุด นางได้แต่เขวี้ยงเหล็กแหลมออกไปสุดแรง เหล็กแหลมที่ขาดพละกำลังพุ่งไปกลางอากาศครึ่งเชียะ ก่อนจะตกลงข้างเท้าจางอวี่ดังแกร๊ง

    “พอแล้ว…พอได้แล้ว…” หลิวเสียลูบหลังฝูโซ่วพยายามปลอบโยนนาง ฝูโซ่วมิอาจขยับตัวได้ ด้วยความร้อนใจ นางจึงกัดฝ่ามือหลิวเสีย ความเจ็บโจมตีเข้ามาจนหลิวเสียมุ่นคิ้วแต่กลับไม่ได้ดึงฝ่ามือออก ปล่อยให้ฟันของนางจมอยู่ในเลือดเนื้อของตน

    เส้นประสาทของฝูโซ่วที่ขึงตึงมาสามวันในที่สุดก็ขาดผึงอย่างสิ้นเชิงในเวลานี้ นางแทบจะขดตัวอยู่ในอ้อมอกของหลิวเสีย กัดฝ่ามือเขาไม่ปล่อยเหมือนลูกแมวที่ตกใจ เสียงสะอื้นไห้อู้อี้ของนางดังออกมาจากฟันและเนื้อ น้ำตาทะลักออกมาอย่างคลุ้มคลั่งเหมือนน้ำพุ หยดลงบนพื้นพร้อมกับโลหิตที่ไหลออกจากซี่ฟัน ยามนี้ในที่สุดนางก็ละทิ้งความหยิ่งทระนงของพระมเหสี กลับกลายเป็นเด็กสาวที่อึดอัดคับแค้นใจคนหนึ่ง

    จางอวี่ที่อยู่ด้านข้างเห็นภาพเหตุการณ์นี้เข้าจึงเก็บเหล็กแหลมขึ้นมาอย่างลังเล ไม่รู้ควรแทงเข้าไปในหลังของจักรพรรดิตัวปลอมผู้นี้ดีหรือไม่ เขานิ่งไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ล้มเลิกความคิด ปล่อยเหล็กแหลมและถามว่า “เหตุใดเจ้าต้องห้ามพระมเหสีมิให้ฆ่าข้า”

    ฝูโซ่วคลายฟันออกช้าๆ ทรุดตัวลงบนพื้น สายตาเลื่อนลอยเหมือนคนหมดเรี่ยวแรง

    หลิวเสียสะบัดเลือดบนฝ่ามือ หมุนตัวกลับมาช้าๆ อย่างสงบสุขุม ดูเยือกเย็นและสูงส่ง “แทนที่จะฆ่าผู้บริสุทธิ์ ขอยอมทำผิดเองดีกว่า เราไม่อยากให้ใครต้องเสียสละเพื่อเรื่องนี้อีกแล้ว”

    นี่เป็นคำกล่าวใน ‘ตำราซั่งซู*’ ความหมายคือตัวเองยินดีรับความผิดไว้เอง ไม่ยอมทำร้ายผู้บริสุทธิ์ จางอวี่ไม่เคยอ่าน ‘ตำราซั่งซู’ แต่เขารู้สึกว่าเสียงของบุคคลตรงหน้ามีพลังที่ทำให้เขามิอาจปฏิเสธ ชั่วขณะนั้นจักรพรรดิในใจเขาทับซ้อนกับตัวปลอมตรงหน้าอย่างน่าแปลก

    จางอวี่ถอยหลังไปสองก้าวและคุกเข่าลงบนพื้นอีกครั้ง เวลานี้ฝูโซ่วดึงสติกลับมาจากความว้าวุ่นคลุ้มคลั่งแล้วเช่นกัน นางหยิบผ้าขาวกับแถบผ้าออกมาเงียบๆ พันแผลให้หลิวเสียของตนอย่างเอาใจใส่เหมือนภรรยาว่าง่ายคนหนึ่ง

    หลิวเสียเริ่มเล่าจากชาติกำเนิดของตัวเอง เล่าถึงชีวิตวัยเยาว์ของตัวเองในเหอเน่ย จนถึงเหตุการณ์ที่โอรสสวรรค์ตายเมื่อวานตอนเช้าและเพลิงไหม้เมื่อคืน เขาไม่ได้เอ่ยถึงบทบาทของหยางเปียว หยางจวิ้นและถังจีที่มีต่อเรื่องนี้ ทำแบบนั้นไม่ปลอดภัย ทั้งยังไม่มีความจำเป็น เห็นชัดว่าจางอวี่ไม่สนใจเรื่องอื่นใดนอกเหนือไปจากเรื่องเกี่ยวกับโอรสสวรรค์

    ฟังเขาเล่าจบแล้วจางอวี่ก็เงียบงันไปนาน ก่อนจะเอ่ยถามช้าๆ “ที่แท้นอกจากฝ่าบาทแล้ว หวังเหม่ยเหรินยังมีเชื้อสายมังกรหลงเหลืออยู่บนโลกนี้ มิน่าพวกท่านถึงได้หน้าตาเหมือนกันถึงเพียงนี้ แม้แต่ข้ายังเกือบจะถูกหลอก…”

    หลิวเสียยิ้มอย่างอ่อนโยน อยากทำให้บรรยากาศภายในห้องอบอุ่นยิ่งขึ้น จางอวี่ไม่หยุดอยู่ที่ประเด็นนี้นานเกินไปนัก ถามต่อโดยเร็ว “แล้วบัดนี้พระศพของโอรสสวรรค์ตั้งอยู่ที่ใด”

    “ก็คือศพของขันทีผู้นั้น” ผู้ตอบคือฝูโซ่ว นางคืนสู่ความสุขุมเยือกเย็นเหมือนยามปกติแล้ว ราวกับอาการเสียกิริยาเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

    จางอวี่ร่างกายสะท้าน “นั่น…นั่นเป็นถึงกษัตริย์ผู้สูงส่ง! พวกท่านทำอย่างนี้…”

    ฝูโซ่วพูดเสียงเย็น “เพลิงไหม้ในวังหลวงและการสร้างศพปลอม ล้วนเป็นกลยุทธ์ที่ฝ่าบาทวางไว้ตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ข้าเพียงแต่ปฏิบัติตามราชโองการเท่านั้น ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการทำเพื่อราชวงศ์ฮั่น”

    หลิวเสียมองนางอย่างประหลาดใจ เดิมทีเขาคิดว่าวิธีการนี้เป็นฝีมือของพระมเหสีฝู คิดไม่ถึงว่าล้วนมาจากการตัดสินใจของจักรพรรดิเอง

    พอคิดว่าหลิวเสียนอนป่วยอยู่บนเตียงและสั่งเสียให้ฝูโซ่วตัดอวัยวะเพศของศพตน แผ่นหลังของเขาก็หนาวเยือก คนที่กำลังจะตายยังต้องคิดวางแผนอย่างรอบคอบถึงเพียงนี้ หาใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะเทียบได้จริงๆ แม้ว่าบัดนี้ทั้งสองจะอยู่กันคนละโลกแล้ว หลิวเสียยังคงรู้สึกได้ถึงความเด็ดเดี่ยวเย็นชาของพี่ชายตน

    จางอวี่ยังคงไม่ยอมแพ้ “เหตุใดฝ่าบาทจึงไม่ทรงบอกข้าด้วยตัวเอง แม้แต่กระหม่อมพระองค์ก็ทรงไม่เชื่อถือหรือ”

    “หากเจ้ารู้การตัดสินใจของฝ่าบาทล่วงหน้า ยังจะทำตัวตามปกติได้หรือ” ฝูโซ่วย้อนถาม

    จางอวี่เงียบไป เขากับโอรสสวรรค์แม้จะเป็นกษัตริย์กับขุนนาง แต่อันที่จริงความสัมพันธ์กลับเหมือนปู่กับหลาน สายสัมพันธ์ที่ใกล้เคียงกับคนในครอบครัวเช่นนี้ย่อมเชื่อถือได้ แต่มิอาจไหว้วานให้ทำการใหญ่ เพราะชายชราผู้นี้ไม่สนใจราชวงศ์ฮั่น แต่กลับใส่ใจหลานชายตัวเองเป็นที่สุด…เขาให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของจักรพรรดิเองมากกว่าผลประโยชน์ของราชวงศ์ฮั่น ความเสี่ยงเช่นนี้เป็นสิ่งที่หลิวเสียไม่อยากแบกรับไว้แน่นอน

    ความหมายแฝงในคำพูดของฝูโซ่ว จางอวี่คงเข้าใจแล้ว เขาเหมือนแก่ลงสิบกว่าปีในชั่วพริบตา ความแข็งแรง พละกำลัง และความมุ่งมั่นถูกสูบออกไปจากร่างกายจนว่างเปล่า เขาคุกเข่าลงช้าๆ ทำความเคารพอย่างเต็มพิธี และอ้อนวอนด้วยเสียงแหบพร่า “เดิมทีกระหม่อมคิดจะตายตามฝ่าบาทไป แต่ตอนนี้ไม่คิดอย่างนั้นแล้ว ไม่ว่าอย่างไรฝ่าบาทก็ทรงเป็นโอรสสวรรค์พระองค์หนึ่ง พระศพไม่ควรถูกทิ้งขว้างอยู่ข้างนอกเหมือนหมาป่าที่อดตาย พรุ่งนี้กระหม่อมจะขอลาออกจากตำแหน่งและกลับบ้านเกิด โปรดอนุญาตให้กระหม่อมนำเถ้ากระดูกของฝ่าบาทกลับไปด้วย นี่เป็นคำขอร้องสุดท้ายของกระหม่อม”

    หลิวเสียเข้าใจ ชายชรายอมรับฐานะจักรพรรดิของเขาแล้ว แลกกับการได้พาหลิวเสียตัวจริงไปฝังลงดินตามประเพณี

    หลิวเสียประทับใจเล็กน้อย นี่เป็นขุนนางที่ภักดีอย่างแท้จริง เขาพูดอย่างจริงใจ “จางเหล่ากงกงรับใช้โอรสสวรรค์มาหลายปี จงรักภักดีและขยันขันแข็งเป็นที่หนึ่ง เราจะไม่อนุญาตได้อย่างไรเล่า”

    จางอวี่โขกศีรษะขอบพระทัย ยามนี้ฝูโซ่วพลันเอ่ยว่า “พรุ่งนี้ต้องจัดระเบียบทหารยามในวังพอดี จะได้มีเหตุผลให้ต่งเฉิง เพียงแต่หากจัดการเช่นนี้ จางอวี่เจ้าย่อมไม่ได้กลับบ้านเกิดอย่างมีเกียรติ แต่เป็นการถูกปลดออกจากตำแหน่ง เจ้าเต็มใจหรือไม่”

    จางอวี่ผงกศีรษะอย่างไม่ใส่ใจ

    ด้วยเหตุนี้เรื่องราวจึงได้รับการแก้ไขอย่างสมบูรณ์ ภัยใหญ่ที่สุดที่แฝงอยู่ในวังถูกกำจัดไปแล้ว ทั้งยังไม่มีใครต้องตาย เรื่องนี้ทำให้หลิวเสียดีใจมาก คิดดูแล้วนี่เป็นเรื่องแรกที่เขาตัดสินใจเองตั้งแต่รับตำแหน่งมา ผลลัพธ์เช่นนี้เขาพึงพอใจยิ่ง

    จางอวี่ถวายบังคมทั้งสองและขอตัว จากนั้นคลานเข่าถอยไปถึงหน้าประตู ก่อนออกไปเขากลับเงยหน้ากะทันหัน “ท่านรู้หรือไม่ ข้อแตกต่างมากที่สุดระหว่างท่านกับฝ่าบาทคืออะไร”

    “หืม?” หลิวเสียสนใจทีเดียว

    “หากเป็นฝ่าบาทตัวจริง เมื่อครู่เขาจะแทงข้าให้ตายโดยไม่ลังเล” จางอวี่พูดอย่างราบเรียบ “ท่านกับฝ่าบาทเทียบกันแล้ว ท่านจิตใจเมตตาเกินไปจริงๆ นี่หาใช่เรื่องที่ดี”

    ในห้องกลับคืนสู่ความเงียบอีกครั้ง คำพูดก่อนจากไปของจางอวี่ทำเอาหลิวเสียงุนงงเล็กน้อย เพราะอะไร ความเมตตาอารีไม่ใช่เรื่องที่ดีหรือ เขาหันไปมองฝูโซ่วที่นั่งข้างเตียงด้วยสีหน้าสงสัย

    เขาพบว่าฝูโซ่วในยามนี้กับครั้งแรกตอนพบนางดูแตกต่างไปอีกแล้ว นางในตอนแรกเหมือนสัตว์เพศเมียที่เฝ้ารังของตัวเอง แสดงความกร้าวแกร่งเฉียบคมออกมาเต็มที่เตรียมพร้อมโจมตีศัตรูได้ทุกเมื่อ ทว่านางในตอนนี้กลับเหมือนบุปผาที่ผลิบานเต็มที่และกำลังจะร่วงโรย อากัปกิริยาเจือความเกียจคร้าน ทั้งยังมีความผ่อนคลายอยู่หลายส่วน…การร้องไห้ออกมาอย่างเต็มที่และการจากไปของจางอวี่คลายปมในใจนางอย่างสิ้นเชิง

    “เมื่อครู่ เอ่อ เหตุใดจางอวี่จึงพูดเช่นนั้น” หลิวเสียถาม

    ฝูโซ่วหยิบคันฉ่องทองแดงขึ้นมา ส่องฮวาเตี้ยน* บนใบหน้า จากนั้นใช้เล็บแหลมคมขูดออกมาทีละนิด ใส่ลงในกล่องหุ้มแพร หลิวเสียไม่ได้เร่งรัดให้นางตอบ แต่เฝ้ารอเงียบๆ ฝูโซ่วหยิบปิ่นระย้าฝังหยกบนศีรษะออก ส่งให้หลิวเสีย จากนั้นปลดที่รัดผม เรือนผมดำขลับทิ้งตัวลงมาเงียบๆ ดูมีเสน่ห์น่าประทับใจอย่างบอกไม่ถูก หลิวเสียเห็นเสื้อนางแบะออกเล็กน้อย สิ่งที่ปรากฏคือผิวขาวดุจหิมะ ทำเอาเขาตกใจรีบเบือนสายตาไปทางอื่น

    “เจ้าอยู่ในอำเภอเวินเซี่ยนใช้ชีวิตมีความสุขดีหรือไม่” จู่ๆ ฝูโซ่วก็ถามคำถามที่ไม่เกี่ยวข้อง

    “หา? เอ่อ ก็ดี” หลิวเสียตอบซื่อๆ “ทุกวันเล่าเรียนหนังสือ บ้างก็ล่าสัตว์ บางครั้งเล่นหมากลิ่วป๋อ**เตะลูกกลม ส่วนมากก็แค่นี้แหละ”

    ฝูโซ่วถอนหายใจ “ดีเหลือเกิน…ฝ่าบาทไม่เคยมีวาสนาอย่างนี้มาก่อน แม้จะเกิดในราชวงศ์แต่กลับไม่เคยได้อยู่อย่างสบายใจสักขณะเดียว ถูกเปลี่ยนมือจากเจ้าครองแคว้นคนหนึ่งไปยังเจ้าครองแคว้นอีกคน ทุกคนล้วนหาผลประโยชน์จากเขา ทุกคนล้วนดูถูกเยาะหยันเขา รอบกายเต็มไปด้วยอุบายชั่วร้ายนับไม่ถ้วน คลื่นน้ำใต้ดินที่ปั่นป่วนนับไม่ถ้วน ฝ่าบาทไม่กล้าก้าวผิดแม้แต่ก้าวเดียว เขาใช้ชีวิตแบบนี้มาสิบปีเต็ม เจ้าที่ใช้ชีวิตในเหอเน่ยอย่างผ่อนคลายจะจินตนาการถึงความทุกข์ระทมและสิ้นหวังแบบนั้นได้หรือเปล่า”

    หลิวเสียพูดไม่ออก เทียบกับหลิวเสียตัวจริง ชีวิตของเขาเรียบง่ายเกินไปจริงๆ

    เสียงของฝูโซ่วเปลี่ยนเป็นเฉียบขาด “ในเมื่อเจ้าเคยเล่าเรียน ย่อมน่าจะรู้หลักการที่ว่าจิตใจมนุษย์ชั่วร้ายอันตราย ความเมตตาอารีพวกนั้น ยามอยู่ในเหอเน่ยอาจจะถูกยกย่อง แต่จะมาใช้ในสวี่ตูไม่ได้เด็ดขาด ใจอ่อนเยี่ยงสตรี มีแต่จะทำให้เสียการใหญ่”

    หลิวเสียยิ้มขื่น ใจคิดว่านี่เขาถูกสตรีคนหนึ่งตำหนิว่าใจอ่อนเยี่ยงสตรีงั้นหรือ และพลันนึกขึ้นได้ว่าหลายวันก่อนซือหม่าอี้ก็ด่าเขาแบบนี้เหมือนกัน ไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นเพราะตัวเองคร่ำครึยึดติดเกินไป หรือว่าสมัยนี้ใจคนคดโกงกันแน่…

    ฝูโซ่วพูดต่อ “เรื่องของจางอวี่ยังเมตตาปรานีได้ แต่วันหน้ายามเผชิญหน้ากับเฉาเชา หากฝ่าบาทยังจะยึดติดกับความคิดไร้สาระแบบนี้ มิสู้พรุ่งนี้ประกาศราชโองการสละบัลลังก์เสียเถิด ฝ่าบาทคิดว่าอย่างไรเพคะ”

    สายตานางจ้องหลิวเสียเขม็ง ทำให้เขามิอาจหลบเลี่ยง หลิวเสียลูบหัวอย่างเก้อกระดาก ได้แต่รับคำอ้อมแอ้ม “ข้า…ข้ารู้แล้ว”

    ได้ยินเช่นนี้ฝูโซ่วจึงเก็บสีหน้าเคร่งขรึม เผยรอยยิ้มเจิดจ้าออกมา นางกดมือลงบนแผลตรงฝ่ามือเขา ลูบไล้เบาๆ และพูดเสียงค่อย “เมื่อครู่ตอนหม่อมฉันกัด เหตุใดพระองค์ถึงไม่ดึงมือออก”

    “เจ้าเหนื่อยเกินไปแล้ว ข้าคิดว่าบางทีปลดปล่อยออกมาอาจจะรู้สึกดีขึ้น” หลิวเสียตอบซื่อๆ

    ฝูโซ่วหัวเราะออกมา จากนั้นส่ายหน้าถอนหายใจ “ฝ่าบาท ท่านอ่อนโยนเกินไปแล้วจริงๆ…”นางปลดสายรัดหมวกให้หลิวเสียอย่างแผ่วเบา และพลันโน้มตัวลงมาชิดหูเขา เป่าลมหายใจหอมดุจกล้วยไม้ขณะพูด “ขอบคุณท่าน”

    หลิวเสียรู้สึกจักจี้โคนหู สีหน้าเหม่อลอยเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าฝูโซ่วที่อ่อนโยนดุจสายน้ำตรงหน้า กับฝูโซ่วที่แข็งกร้าวเย็นชาเมื่อครู่นี้ อย่างใดกันแน่ที่เป็นนิสัยที่แท้จริงของนาง

    ระหว่างที่เขายังคงเหม่อลอย ฝูโซ่วปลดเปลื้องอาภรณ์ให้เขาแล้ว จากนั้นเขี่ยไส้ตะเกียง พูดด้วยเสียงอ่อนหวานปนเขินอาย “ฝ่าบาท เข้าบรรทมได้แล้วเพคะ”

    หลิวเสียหน้าแดงทันที บททดสอบอันน่าตื่นเต้นตั้งแต่เมื่อวานจนถึงวันนี้ ทำให้เขาเกือบลืมไปว่าตัวเองยังต้องเผชิญหน้ากับธรรมเนียมสามีภรรยา

    จารีตโจวกง* หลิวเสียเคยมีประสบการณ์มาแล้ว แต่ยามนี้คนข้างกายกลับไม่ธรรมดา นี่เป็นพี่สะใภ้ของข้า!

    หลิวเสียร่ำร้องในใจ ได้ยินว่าชนเผ่าซยงหนูทางตอนเหนือ มีธรรมเนียมปฏิบัติที่ว่าพี่ชายกับน้องชายใช้ภรรยาร่วมกัน แต่นี่เป็นพื้นที่จงหยวนที่มีอารยธรรม อีกทั้งพี่ชายเขาเพิ่งจะจากโลกนี้ไปแค่หนึ่งวัน ตอนนี้เถ้ากระดูกยังไม่เย็นเลยด้วยซ้ำ

    เกิดเสียงดังฟู่ เทียนไขเล่มสุดท้ายในห้องถูกเป่าดับ หลิวเสียเอนกายลงบนเตียงอย่างทำอะไรไม่ถูก จากนั้นเรือนร่างอุ่นร้อนมุดเข้ามาในผ้าห่มแพร ท่ามกลางความมืด ทั้งสองไม่มีใครส่งเสียงใดๆ หลิวเสียเกร็งไปทั้งตัว กลัวว่าตัวเองจะหายใจแรงเกินไปจนทำลายบรรยากาศสงบเช่นนี้

    ผ่านไปนานเท่าใดไม่รู้ มือนุ่มอุ่นร้อนข้างหนึ่งยื่นเข้ามาจากใต้ผ้าห่ม ลูบแผลที่มือของหลิวเสียเบาๆ น้ำหนักไม่มากไม่น้อยจนเกินไป คล้ายกำลังปลอบโยนแต่ก็เหมือนเย้ายวน หลิวเสียหลับตาทั้งสองข้าง สัมผัสความอ่อนโยนของหญิงสาว ก่อนจะลืมตาอีกครั้งมองขื่อห้องสีดำสนิทและเอ่ยปากกะทันหัน “เล่าให้เราฟังได้หรือไม่ว่าพี่ชายเราเป็นคนอย่างไร”

    มือนุ่มเนียนที่ลูบไล้เขาอยู่ชะงัก จากนั้นหดกลับไป เนิ่นนาน นานจนหลิวเสียคิดว่านางหลับไปแล้ว เสียงของฝูโซ่วดังมาจากข้างหมอน “ครั้งแรกที่ข้าพบเขา คือคืนวันแต่งงานของพวกเรา” พูดจบนางก็หัวเราะออกมาก่อน “ตอนนั้นต่งจั๋วกุมอำนาจแต่เพียงผู้เดียว ข้าเข้าสู่ตำหนักในฐานะกุ้ยเหริน ดังนั้นจึงมีเพียงสินสอดโดยไม่มีพิธีแต่งงาน เพียงแต่มารดาข้าองค์หญิงหยางอันสงสารข้าจึงเตรียมสุราคล้องแขนไว้ให้ข้าดื่มกับฝ่าบาท เจ้าทายสิว่าหลังจากเข้ามาในห้องหอ สิ่งแรกที่เขาทำคืออะไร เขาเดินมาตรงหน้าข้า เทสุราคล้องแขนลงบนพื้น ชี้ไปนอกหน้าต่างและบอกว่า ‘ทหารกวนซีใช้อำนาจบาตรใหญ่ในเมืองฉางอัน ต่งจ้งอิ่งกินเนื้อดื่มสุราอยู่ในวัง เจ้าครองแคว้นรอบด้านเฝ้าดูสถานการณ์อย่างนิ่งเฉย บัดนี้ราชวงศ์ฮั่นก็เหมือนสุราบนพื้น เหตุใดเจ้าจึงกระโดดลงมาในหลุมไฟนี้’ ”

    “แล้วเจ้าตอบอย่างไร”

    “ข้าตอบว่าในเมื่อแต่งเป็นภรรยาผู้อื่นแล้วย่อมต้องติดตามสามี คิดไม่ถึงว่าเขาจะตอบกลับมาอย่างเย็นชาว่า ‘เราไม่ต้องการกุลสตรีที่เรียบร้อยมีคุณธรรม เราต้องการขุนนางเก่งกาจที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้’ ตอนนั้นข้าเป็นคนโผงผางจึงเถียงไปว่าสตรีไม่เก่งกาจตรงไหน มเหสีหลี่ว์ มเหสีหม่า และมเหสีเติ้งในอดีตใครบ้างที่มิได้กอบกู้แผ่นดินของราชวงศ์ฮั่น เขาแปลกใจเล็กน้อยจึงจูงมือข้านั่งลงที่ขอบเตียง ถามถึงเรื่องราวในราชสำนัก ก่อนหน้านี้ ข้าฟังบิดาพูดเรื่องพวกนี้มามาก จึงโต้ตอบได้อย่างเป็นธรรมชาติ

    ความจริงตอนนั้นเขาอายุแค่สิบสี่ ยังเด็กกว่าข้าหนึ่งปีด้วยซ้ำ แต่กลับพยายามวางท่าเป็นผู้ใหญ่ กลิ่นอายความเป็นเด็กของเขายังคงอยู่ แต่ความหม่นหมองหนักอึ้งที่ขจัดออกไปไม่ได้กลับเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งในคนวัยเดียวกัน พวกเราสามีภรรยาที่เพิ่งแต่งงานหมาดๆ นั่งอยู่บนเตียงโดยมิได้ปลดเปลื้องอาภรณ์ พูดคุยการใหญ่เกี่ยวกับชาติบ้านเมือง จวบจนยามสามยังไม่รู้สึกเหนื่อย สุดท้ายเราสองคนต่างง่วงแล้ว เขาบอกว่าข้าดีมาก ถามว่าข้ายินดีเป็นพระมเหสีของเขาหรือไม่ ช่วยเหลือเขากอบกู้ระเบียบแบบแผนในราชสำนักขึ้นมาอีกครั้ง ข้าตอบว่ามารดาข้าเป็นองค์หญิงแห่งราชวงศ์ฮั่น ในตัวข้ามีโลหิตของสกุลหลิวอยู่ เขายิ้มอย่างหาได้ยากยิ่ง…รอยยิ้มของเขาเป็นสิ่งที่พบเห็นได้น้อย…สุดท้ายเขาคืนสู่ความเคร่งขรึม บอกว่าหนทางข้างหน้ายากลำบาก ตำแหน่งพระมเหสีมิอาจนำเกียรติยศใดๆ มาสู่ข้าได้ มีแต่จะผลักข้าเข้าสู่การต่อสู้อย่างดุเดือด เขาบอกให้ข้าใคร่ครวญให้ดี เจ้าทายสิว่าข้าตอบเขาอย่างไร”

    หลิวเสียส่ายหน้าเบาๆ ในความมืด

    ฝูโซ่วยิ้มตอบ “ข้ากัดเขาทีหนึ่ง กัดที่ฝ่ามือเช่นกัน เขาเหมือนกับเจ้า ไม่ได้หลบเลี่ยง แต่ปล่อยให้ข้ากัดจนเลือดออก จากนั้นเขาหยดเลือดตัวเองลงในถ้วยสุราคล้องแขน ดื่มสุรากับข้า ปากอาบเลือดโอรสสวรรค์ ให้คำสาบานกับฟ้าดิน นี่แหละคืนแรกของการแต่งงานของพวกเรา”

    หลิวเสียพยายามจินตนาการภาพเหตุการณ์คืนนั้นในหัว ข้างนอกทหารที่เหิมเกริมกำลังจะก่อกวนวังหลวง ชายหนุ่มกับหญิงสาวกลับกุมมือกันและกันใต้ชายคา ให้คำสาบานว่าจะปกป้องราชวงศ์ฮั่น เขารู้สึกประทับใจเล็กน้อยทั้งยังหดหู่ใจเช่นกัน

    อีกฝ่ายที่ให้คำสาบานไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว หน้าที่ในการปฏิบัติตามคำสาบานนี้ตกมาอยู่ในมือเขาแทน หลิวเสียรู้สึกถึงภาระอันหนักอึ้งบนบ่าตัวเองอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก

    เขาหันไปมอง พบว่าเสียงข้างหมอนหายไปแล้ว แทนที่ด้วยเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ หญิงสาวข้างกายหลับสนิทไปแล้ว นี่เป็นครั้งแรกตลอดหลายวันที่ผ่านมาที่นางได้หลับสนิท

    หวังว่านางจะได้พบพี่ชายข้าในความฝันหลิวเสียอวยพรในใจ จากนั้นหลับตาลง โยนความคิดซับซ้อนมากมายเข้าสู่ห้วงราตรี

     

    การประชุมขุนนางวันนี้โอรสสวรรค์ไม่ได้ปรากฏตัว แต่ให้ราชเลขาธิการสวินอวี้เป็นผู้ดำเนินการประชุม ก่อนอื่นเขาแจ้งสถานการณ์เกี่ยวกับเพลิงไหม้ตำหนักบรรทมให้ขุนนางทั้งหลายฟังก่อน จากนั้นประกาศการตัดสินใจเรื่องหนึ่ง ให้ไท่ฉางสวีฉิว อวี้สื่อจงเฉิงต่งเฟิน และกวงลู่ซวินหวนเตี่ยนสามเสนาอำมาตย์เป็นผู้ร่วมสอบสวนจัดระเบียบทหารยามในวังใหม่

    ทุกคนต่างดูออกว่านี่ต้องเป็นผลลัพธ์จากการผลักดันของพวกขุนนางเก่าจากลั่วหยางแน่ แต่ผลการตัดสินกลับเหนือความคาดหมายของทุกคนมาก นายกองฉางสุ่ยฉงจี๋บกพร่องต่อหน้าที่ คุ้มกันจักรพรรดิล่าช้า ลดตำแหน่งสองขั้น ให้ปิดประตูทบทวนตัวเอง ไม่อาจเป็นผู้นำทหารในวังได้อีก ขันทีตำหนักในจางอวี่มิอาจหยุดยั้งเพลิงไหม้ ปิดประตูนิ่งดูดาย ทำให้ในนอกมิอาจประสานงานกัน ส่งผลให้การช่วยเหลือจักรพรรดิล่าช้า ลงโทษปลดจากตำแหน่ง ฝ่าบาททรงเห็นว่าปรนนิบัติรับใช้มานาน จึงอนุญาตให้ลากลับบ้านเกิดและใช้ชีวิตอย่างสงบ พอการตัดสินออกมา ขุนนางในราชสำนักต่างฮือฮา ฉงจี๋กับจางอวี่ล้วนเป็นบุคคลที่ถูกประทับตราราชวงศ์ฮั่นอย่างชัดเจน หนึ่งนอกหนึ่งในคอยปกป้องพระเกียรติสุดท้ายของโอรสสวรรค์ ครั้งนี้ทั้งสองถูกปลดออกจากตำแหน่งอย่างเฉียบขาดเช่นนี้ มิได้หมายความว่าข้างกายโอรสสวรรค์มีช่องโหว่ ไม่มีข้ารับใช้ใกล้ชิดให้เรียกใช้อีกแล้วหรือ

    ที่ประหลาดยิ่งกว่านั้นคือเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่เหมือนถูกเฉือนเนื้อเลาะกระดูกเช่นนี้ ขุนนางเก่าจากลั่วหยางที่จงรักภักดี ขุนพลเชอจี้ต่งเฉิงกลับไม่พูดอะไรสักคำ ส่วนขุนนางใต้บังคับบัญชาของเฉาซือคงที่มีตำแหน่งในราชสำนักตั้งแต่สวินอวี้ลงไปแต่ละคนสีหน้าเคร่งเครียด ไม่มีสีหน้าผ่อนคลายเหมือนได้ปลดภาระหนักอึ้งออกไปแม้แต่น้อย สองฝ่ายที่ปกติเผชิญหน้ากันอย่างตึงเครียด บัดนี้กลับเงียบงันอย่างหาได้ยากยิ่ง

    เรื่องราวที่ผิดไปจากปกติต้องมีลับลมคมในแน่ แต่ลับลมคมในนั้นอยู่ที่ใด ควรจะรับมืออย่างไร ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร เรื่องนี้ทำให้เหล่าขุนนางปวดหัวไม่น้อย

    ในราชสำนักสวี่ตู ขุนนางทั้งหลายไม่ได้แบ่งแยกชัดเจนว่าเป็นขุนนางเก่าจากลั่วหยางหรือขุนนางฝ่ายเฉาเชาและยังมีอีกจำนวนมากที่อยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองฝ่าย

    พวกเขาบางส่วนปฏิบัติต่อราชวงศ์ฮั่นด้วยคุณธรรมสูงสุดของขุนนาง บ้างหวังว่าจะใช้โอกาสนี้ทำให้เฉาซือคงชื่นชมตน ยังมีบางส่วนที่โลเลไปมาระหว่างสองฝ่าย ท่าทีคลุมเครือ พวกเขาไม่มีตำแหน่งฐานะ แต่กลับเอาตัวรอดได้ในทุกสถานการณ์ หวังว่าจะได้พัฒนาตัวเองไปอีกขั้นท่ามกลางการต่อสู้แย่งชิง

    ยามนี้สองฝ่ายใหญ่ๆ เงียบพร้อมกัน เรื่องนี้ทำให้เหล่าขุนนางใหญ่ทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย ได้แต่แอบกระซิบกระซาบกันพยายามคาดเดาความคิดของคนใหญ่คนโตเหล่านั้น หลายคนคิดเชื่อมโยงไปว่าเมื่อวานจักรพรรดิเรียกตัวต่งเฉิงกับสวินอวี้เข้าพบ อดคาดเดาไม่ได้ว่าเป็นเพราะขุนนางใหญ่สองคนนี้บรรลุข้อตกลงอะไรกันแล้วหรือเปล่า ชั่วขณะหนึ่งตำหนักกลางเงียบสนิท ทุกคนต่างมีความคิดในใจ เวลานี้เองข่งหรง (ขงหยง) ก้าวออกมา ข่งหรงไม่ได้อยู่ฝ่ายขุนนางลั่วหยาง ทั้งยังดูถูกคนเหล่านั้นมาตลอด เขาถูกเรียกตัวมาสวี่ตูจากเมืองเป่ยไห่ (ปักไฮ) ดินแดนไกลโพ้น มิใช่เพราะต้องการตำแหน่งและเบี้ยหวัดสูงๆ แต่เพื่อฟื้นฟูความน่าเกรงขามของราชวงศ์ฮั่น…นี่เป็นภารกิจอันยิ่งใหญ่เหมือนบรรพบุรุษรุ่นที่ยี่สิบของเขาข่งชิว(ขงจื๊อ) ที่มีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะฟื้นฟูธรรมเนียมพิธีสมัยราชวงศ์โจว

    ข่งหรงไม่เข้าใจจริงๆ ไฉนสามเสนาอำมาตย์นั้นจึงตัดสินใจโง่งม ปล่อยให้คนอื่นยึดอำนาจไปเช่นนี้ ที่ทำให้เขาโมโหยิ่งกว่านั้นคือเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เขาเป็นถึงเซ่าฝู่* กลับไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย เมื่อตระหนักถึงการ ‘ทรยศ’ ของขุนนางลั่วหยาง ความรู้สึกที่ต้องยืนหยัดอยู่ตามลำพังคนเดียวก็ผุดขึ้นในใจของข่งหรง

    “ต่งฉางฟู่กับหวนกงหย่า**เจ้าหนอนเลอะเลือนสองตัวนั้นทำลายกำแพงเมืองตัวเองชัดๆ!”

    ข่งหรงยืนอยู่หน้าตำหนักกลาง ก่นด่าขุนนางใหญ่อย่างต่งเฟินกับหวนเตี่ยนอย่างเปิดเผย ขุนนางใหญ่ข้างกายเขาต่างถอยหลบไปด้านข้างเงียบๆ เกรงว่าจะถูกลูกหลงจากนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงผู้นี้ แม้แต่อวี้สื่อจงเฉิงหยางฟูที่มีหน้าที่ดูแลกฎธรรมเนียมในราชสำนักยังถอยหลบไปไกลแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เขารู้ว่าหากตัวเองกล้าร้องเรียกอีกฝ่าย ข่งหรงจะต้องยกเอาคำพูดจากตำราทั้งหลายมาพ่นใส่จนเขาจมน้ำลายตายแน่

    เวลานี้เอง องครักษ์อี้หลาง*** จ้าวเยี่ยนแหวกฝ่ากลุ่มคน กระตุกแขนเสื้อข่งหรงเบาๆ กดเสียงเบาพูดว่า “ใต้เท้าเซ่าฝู่ ท่านอย่าโวยวายเลย เรื่องนี้ไม่ง่ายดายถึงเพียงนั้นหรอก”

    “เรื่องนี้ยังชัดเจนไม่พออีกรึ หนอนไหมพ่นใยหุ้มตัวเอง**** แท้ๆ!” ข่งหรงหนวดกระดิกด้วยความโมโห

    จ้าวเยี่ยนชี้ไปอีกด้านเงียบๆ “ขุนพลต่งไม่พูดอะไรเลย จะต้องมีแผนการรับมืออีกแน่”

    ข่งหรงชำเลืองมองต่งเฉิงแวบหนึ่ง ยิ้มเย็นเอ่ยว่า “ตั้งแต่หยางกงออกจากตำแหน่ง บุตรสาวเขาตั้งครรภ์เชื้อสายมังกร เขาก็เผด็จการเอาแต่ใจมากขึ้นทุกวัน หายนะจากพระญาติ ความล้มเหลวในอดีตเป็นบทเรียนแก่คนรุ่นหลัง”

    จ้าวเยี่ยนจับความขุ่นเคืองในน้ำเสียงของข่งหรงได้ ข่งหรงไม่ได้สงสัยว่าต่งเฉิงมีแผนการรับมือต่อจากนี้อีกหรือไม่ แต่กำลังโมโหที่แผนการครั้งใหญ่ขนาดนี้ตนกลับไม่ได้มีส่วนร่วมด้วย จ้าวเยี่ยนคิดเช่นนี้แล้วถอนหายใจ หุบปากไม่พูดจา เขาเป็นอี้หลางในราชสำนักได้ก็ด้วยอาศัยข่งหรงผลักดันจึงไม่อยากขัดแย้งกับผู้มีพระคุณ แต่เรื่องบางอย่างพูดออกมาแล้วไม่น่าฟัง ดังนั้นเงียบไว้จะดีกว่า

    เรื่องการจัดระเบียบทหารยามในวังครั้งนี้จ้าวเยี่ยนได้กลิ่นประหลาดตั้งแต่แรกแล้ว กล่าวถึงในราชสำนัก กำลังของเฉาเชาไม่ได้เปรียบอะไร สมัครพรรคพวกของเฉาเชาส่วนใหญ่ล้วนรวมตัวอยู่ในจวนบัญชาการซือคง บ้างก็ติดตามกองทัพออกทำศึก บ้างก็ประจำการรักษาความสงบอยู่ตามที่ต่างๆ ทุกคนต่างยุ่งกับงานของตัวเอง ต่อให้มีตำแหน่งในราชสำนักก็น้อยครั้งที่จะมีเวลามาร่วมประชุม

    แต่ราชสำนักตอนนี้ไม่มีความหมายอะไรเลยจริงๆ กิจน้อยใหญ่ในสวี่ตูล้วนถูกเฉาเชาควบคุมไว้ในมือ บัดนี้หัวหน้ากองเยี่ยเจ่อ*****ยศปี่พันตั้นในราชสำนัก ยังไม่มีค่าเท่าจวินซือจี้จิ่ว (ที่ปรึกษาทางทหาร)ในจวนบัญชาการคนหนึ่งด้วยซ้ำ

    ดังนั้นการประชุมขุนนางจึงเป็นธรรมเนียมที่แสดงให้ใต้หล้าดูเท่านั้น นอกจากสวินอวี้ ติงชง หวังปี้ (อองปิด)และขุนนางใหญ่อีกไม่กี่คน ก็ไม่มีใครจริงจังสักเท่าไร…ยกตัวอย่างเช่นครั้งนี้เฉาเหรินไม่เข้าร่วมประชุมอย่างเปิดเผย คิดจะกำจัดทหารข้างกายจักรพรรดิ เฉาเชามีวิธีการนับหมื่น ไม่จำเป็นต้องตั้งคณะสามเสนาอำมาตย์อะไรพวกนี้ขึ้นมาพิจารณาเลย

    ถ้าหากขุนนางฝ่ายลั่วหยางคิดจะอาศัยบารมีของราชสำนักที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดก่อเรื่องขึ้น ‘การถอยเพื่อรุก’ ครั้งนี้ก็ออกจะมากเกินไปหน่อย หัวสมองของจ้าวเยี่ยนทำงานอย่างรวดเร็ว หวังจะคาดเดาอะไรบางอย่างจากถ้อยคำสะเปะสะปะของขุนนางใหญ่พวกนี้ เขาตระหนักได้ว่าบางทีนี่อาจเป็นโอกาส โอกาสที่จะทำให้ตัวเองกับข่งเซ่าฝู่มีอิทธิพลในราชสำนักมากยิ่งขึ้น แต่เขาต้องระมัดระวัง ป้องกันไม่ให้ตัวเองถูกพายุการเมืองกลืนกินเข้าไปก่อนที่จะคว้าโอกาสได้ สวี่ตูไม่ใช่สถานที่ที่ปลอดภัยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

    ไม่ผิดไปจากที่จ้าวเยี่ยนคาดเดา ไม่นานสามเสนาอำมาตย์ก็ยื่นข้อสรุปออกมา เพื่อความรอบคอบครั้งนี้นอกจากทหารยามในวังแล้ว กองกำลังรักษาเมืองสวี่ตูยังต้องถูกจัดระเบียบด้วย หน้าที่ในการจัดระเบียบทหารยามในวังมอบหมายให้ขุนพลเชอจี้ต่งเฉิงเป็นผู้จัดการด้วยตัวเอง ส่วนผู้ที่จะมุ่งหน้าไปจัดระเบียบกองกำลังรักษาเมืองสวี่ตูคือเพื่อนร่วมงานของจ้าวเยี่ยน…อี้หลางอู๋ซั่ว

    เหล่าขุนนางส่งเสียงฮือฮาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เสียงเบากว่าเดิมมาก ทุกคนต่างหวาดเกรงคำว่ากองกำลังรักษาเมืองสวี่ตู พอคิดถึงสีหน้าเหมือนงูตายของหม่านฉ่ง พวกเขาก็เต็มไปด้วยความเห็นใจอู๋ซั่ว ตัวอู๋ซั่วไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย เขารับราชโองการจากมือสวินอวี้และหันหลังออกจากตำหนักกลางทันที คนที่ติดตามเขาไปยังมีองครักษ์จินเยวี่ย* อีกยี่สิบนาย ฐานะของพวกเขาแสดงชัดว่าครั้งนี้เป็นการปฏิบัติตามรับสั่งของจักรพรรดิ

    ข่งหรงรู้สึกเหลวไหลโดยแท้จึงพูดอย่างไม่พอใจ “เจ้าเห็นหรือยัง นี่หรือแผนการรับมือของต่งเฉิง! หน้าไม้พันจวิน**กลับเอามาใช้ยิงหนู ช่างไม่รู้หนักเบาเอาเสียเลย!”

    ข่งหรงดูถูกพวกคนพาลในกองกำลังรักษาเมืองสวี่ตูที่ต่ำช้า ทั่วร่างเต็มไปด้วยพิษพวกนั้นมานานแล้ว ถึงขั้นรู้สึกว่าพูดถึงพวกนั้นมากขึ้นอีกคำก็ทำให้ตัวเองแปดเปื้อน

    จวบจนบัดนี้ข่งหรงยังจำได้ว่าสหายเก่าของตนหยางเปียวเคยถูกลากตัวเข้าไปในคุกของกองกำลังรักษาเมืองสวี่ตู จากนั้นถูกหม่านฉ่งทรมานจนบาดแผลเต็มตัว หากไม่เพราะเขากับสวินอวี้สองคนรุดไปที่คุกโต้แย้งกับหม่านฉ่ง ไม่แน่หยางเปียวอาจตายอยู่ในนั้น

    จ้าวเยี่ยนที่ยืนอยู่ข้างกายเขาย่ำเท้าด้วยสีหน้าฉงนสงสัย เขาเองก็งุนงงเหมือนกัน เสียสละข้ารับใช้ใกล้ชิดสองคน เพียงเพื่อยื่นขาข้างหนึ่งเข้าไปในกองกำลังรักษาเมืองสวี่ตู?เรื่องนี้ออกจะได้ไม่คุ้มเสีย จ้าวเยี่ยนยึดหลักปรัชญานิตินิยม เขาเชื่อมั่นว่าการกระทำทางการเมืองทุกอย่างล้วนแฝงไว้ด้วยผลประโยชน์ ต่งเฉิงทำเช่นนี้ หรือจะหมายความว่าในกองกำลังรักษาเมืองสวี่ตูซุกซ่อนอะไรบางอย่างที่สำคัญยิ่งกว่าการเข้าเวรของทหารยามในวังเอาไว้…

    จ้าวเยี่ยนเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ แต่รู้สึกว่าความคิดนั้นเลือนราง ยังไม่ทันขบคิดให้เข้าใจ ข่งหรงก็หยิบฎีกาม้วนหนึ่งออกจากแขนเสื้อ พูดกับสวินอวี้และเก้าอี้มังกรที่ว่างเปล่าเสียงดัง “ราชเลขาธิการสวิน ข้ามีฎีกาจะรายงานฉบับหนึ่ง”

    สวินอวี้ยิ้มน้อยๆ และผงกศีรษะให้เขา ส่งสัญญาณให้ขันทีนำขึ้นมา

    ในการประชุมขุนนางทุกครั้ง ข่งหรงมักจะเตรียมฎีกาหนึ่งถึงสองฉบับ เนื้อหามีมากมายตั้งแต่คัมภีร์ปรัชญาไปจนถึงการเพาะปลูกเลี้ยงไหม มีกระทั่งระเบียบเกี่ยวกับการดื่มสุรา ฎีกาเหล่านี้ไม่มีโอกาสได้นำไปปฏิบัติจริงสักเท่าไร แต่ก็ทำให้ราชสำนักไม่ดูว่างเปล่าถึงเพียงนั้น

    บทความของข่งหรงเขียนได้ดีมาก ในบางแง่มุมสวินอวี้ยังคงชื่นชมคนผู้นี้ บางครั้งเขายังคัดลอกส่วนที่น่าสนใจส่งต่อไปให้เฉาซือคงด้วย

    อาศัยจังหวะที่ขันทีมารับฎีกาและนำไปอ่านให้ขุนนางทั้งหลายฟัง ข่งหรงเอามือไพล่หลัง ตามองไปข้างหน้า กดเสียงเบาพูดกับจ้าวเยี่ยนข้างกาย “ประเดี๋ยวเลิกประชุมแล้ว ข้าจะไปคุยกับหยางซิว เจ้าไปดูจางอวี่หน่อย ขุนนางเก่าแก่ที่จงรักภักดีเช่นนั้นถูกเตะออกไปเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง ถึงอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น”

    จ้าวเยี่ยนรีบรับคำ ข่งหรงกำลังบอกเป็นนัยให้เขาไปสืบเรื่องราวในวัง เพียงแต่ติดว่าตนเป็นปราชญ์ผู้มีชื่อเสียง จึงไม่สะดวกพูดออกมาตรงๆ ปราชญ์สกุลข่งแห่งเป่ยไห่ผู้นี้หาได้คร่ำครึเหมือนที่แสดงออกภายนอก บางครั้งจ้าวเยี่ยนถึงขั้นสงสัยว่าการเอะอะโวยวายในราชสำนักของข่งหรงอาจเป็นการวางแผนมาอย่างดีแล้วก็เป็นได้ บางครั้งเมื่อเจ้าแสดงท่าทีออกมาอย่างชัดเจน ผู้อื่นกลับไม่ทันระแวดระวัง

    มองแผ่นหลังผึ่งผายไม่ธรรมดาของข่งหรง จ้าวเยี่ยนเริ่มขบคิดว่าประเดี๋ยวควรหลอกถามความจริงจากจางอวี่อย่างไรดี เขากวาดตามองไปทั่วราชสำนักตามความเคยชิน เห็นคนข้างกายต่งเฉิงหลายคนล้วนไม่ได้จดจ่อกับเนื้อหาในฎีกาของข่งหรง แต่จับกลุ่มกระซิบกระซาบกัน ทั้งยังมองออกไปข้างนอกเป็นพักๆ

    เห็นทีภารกิจของอู๋ซั่วครั้งนี้จะไม่ธรรมดาเลยจริงๆเขาลูบคาง รู้สึกว่าเรื่องนี้ผิดปกติมากกว่าเดิม

    ขณะที่ประเด็นในราชสำนักเปลี่ยนไปถกเรื่องที่ไม่สลักสำคัญ อู๋ซั่วก็นำองครักษ์จินเยวี่ยมาถึงฐานที่มั่นของกองกำลังรักษาเมืองสวี่ตู

    อู๋ซั่วเป็นคนอวดดีคนหนึ่ง คิดมาตลอดว่าตนเป็นผู้ที่เปี่ยมด้วยอุบายและปัญญาในจวนสกุลต่ง เขาไม่พอใจมากที่ต่งเฉิงมอบหมายเรื่องนี้ให้หยางซิวจัดการ คิดว่าหยางซิวเป็นเพียงทายาทสกุลสูงศักดิ์ที่อาศัยบารมีของคนรุ่นก่อนอย่างหยางเปียวเท่านั้น อู๋ซั่วเป็นฝ่ายรับภารกิจที่ยากที่สุดชิ้นนี้ก็ด้วยต้องการแสดงให้ทุกคนเห็นว่าแม้เขาอู๋ซั่วชาติกำเนิดจะต่ำต้อย แต่ก็เก่งกาจไม่แพ้ทายาทสกุลสูงศักดิ์

    ฐานที่มั่นของกองกำลังรักษาเมืองสวี่ตูเดิมทีเป็นที่ตั้งของเรือนจำอำเภอสวี่เซี่ยน ตั้งแต่จักรพรรดิย้ายมาประทับที่นี่ บ้านเรือนในเมืองก็ขาดแคลน ขุนนางเล็กๆ อย่างผู้บัญชาการเมืองสวี่ตูจึงได้แต่ยึดเอาความเรียบง่าย สร้างบ้านไม้ขึ้นหน้าเรือนจำ คนที่ทำงานที่นี่มักจะได้ยินเสียงร้องไห้โหยหวนของนักโทษที่อยู่ในเรือนจำด้านข้าง

    ไม่รู้เป็นเพราะรู้สึกไปเองหรือไม่ พออู๋ซั่วก้าวเข้าไปในบ้านหลังนี้ก็รู้สึกหนาวเยือกไปทั้งตัว เหมือนมีสายตานับไม่ถ้วนจับจ้องตนอยู่ในความมืดรอบด้าน ขณะกำลังตั้งสติและสูดหายใจลึก ข้างหูก็พลันได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น “อู๋อี้หลาง ไม่พบกันนาน”

    อู๋ซั่วพลันมองเห็นใบหน้าอัปมงคลของหม่านฉ่ง ทั้งยังมีเจ้าหน้าที่ของกองกำลังรักษาเมืองสวี่ตูข้างหลังอีกฝ่ายแถวหนึ่ง คนเหล่านี้ได้รับแจ้งก่อนหน้าแล้วจึงออกมาต้อนรับขุนนางของโอรสสวรรค์ ไม่รู้ว่าจงใจหรือไม่ เจ้าหน้าที่ทุกคนไม่แก่ก็อ่อนแอ แต่ละคนท่าทางเฉื่อยเนือย พวกตัวฉกาจที่แค่ได้ยินชื่อก็ทำให้คนหวาดหวั่นพวกนั้นกลับไม่เห็นสักคน

    ไม่รู้ว่านี่เป็นการแสดงความอ่อนแอ หรือเป็นการแสดงความน่าเกรงขาม อู๋ซั่วปะทะกับหม่านฉ่งหลายครั้งแล้ว รู้ฝีไม้ลายมือของคนผู้นี้ดี ดังนั้นจึงไม่อารัมภบท ประคองราชโองการในมือขึ้นมาและเอ่ยว่า “ข้ารับคำสั่งจากโอรสสวรรค์ มาจัดระเบียบการรักษาความปลอดภัยในสวี่ตู หวังว่าใต้เท้าหม่านจะร่วมมือ”

    หม่านฉ่งก้มศีรษะตอบอย่างนอบน้อม “คำสั่งจากราชสำนัก ข้าย่อมต้องปฏิบัติตามอยู่แล้ว” เขาเหลือบตาขึ้นช้าๆ สองคนจ้องตากัน รู้ดีแก่ใจแต่ไม่พูดอะไร

    ราชสำนักสวี่ตูอยู่ในสถานการณ์ที่กระอักกระอ่วนอย่างน่าแปลก คำสั่งที่ออกโดยจักรพรรดิไม่มีใครให้ความสำคัญ แต่ก็ไม่มีใครกล้าปฏิเสธไม่ทำตามอย่างโจ่งแจ้ง จะรับมือกับคำสั่งจากราชสำนักอย่างไร ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับการประเมินอำนาจขั้วต่างๆ ในราชสำนักและการต่อสู้กันระหว่างขั้วอำนาจ

    เป็นต้นว่าตอนจักรพรรดิแต่งตั้งหยวนเซ่าเป็นไท่เว่ย หยวนเซ่าปฏิเสธอย่างเด็ดเดี่ยว ทั้งยังตำหนิเฉาเชาว่าเนรคุณลืมบุญคุณคน จนกระทั่งราชสำนักเปลี่ยนใจแต่งตั้งเขาเป็นมหาขุนพล เขาจึงเปลี่ยนโทสะเป็นความยินดี ‘ขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณ’ อย่างเบิกบาน

    บัดนี้ขุนนางลั่วหยางเป็นฝ่ายปลดคนสำคัญออกสองคน จากนั้นเสนอว่าจะจัดระเบียบกองกำลังรักษาเมืองสวี่ตู ความจริงแล้วนี่เป็นการยื่นเงื่อนไขกับเฉาเชา ในเมื่อสำนักราชเลขายอมรับการแลกเปลี่ยนเช่นนี้เงียบๆ หม่านฉ่งย่อมไม่จำเป็นต้องต่อต้าน…แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเชื่อฟังแต่โดยดี

    การกะเกณฑ์ในเรื่องนี้มีอะไรลึกซึ้งทีเดียว

    อู๋ซั่วยังไม่ทันเอ่ยปาก หม่านฉ่งก็หยิบสมุดรายชื่อเล่มหนึ่งยื่นให้เขา

    “ตอนนี้กองกำลังรักษาเมืองสวี่ตูมีทหารปราบปรามยี่สิบหกคน ทหารรักษาเมืองสองร้อยคน และเจ้าหน้าที่ตุลาการสิบสองคน ไม่ทราบว่าอู๋อี้หลางจะจัดการอย่างไร”

    เห็นทีอีกฝ่ายจะเตรียมตัวมาก่อน อู๋ซั่วอุทานในใจ แต่กลับไม่รับสมุดเล่มนั้น ยิ้มผลักคืนไป “ตั้งแต่ใต้เท้าหม่านเป็นผู้บัญชาการเมืองสวี่ตูมา ผลงานโดดเด่น ควบคุมบัญชาการลูกน้องอย่างราบรื่น มีกฎเกณฑ์เป็นของตัวเอง แล้วข้าจะก้าวก่ายส่งเดชได้อย่างไร”

    ทั้งสองปะทะกันรอบหนึ่งอย่างเงียบๆ หยั่งเชิงขีดจำกัดและความกล้าของอีกฝ่าย

    กองกำลังรักษาเมืองสวี่ตูน่ากลัวเพราะหม่านฉ่ง หาใช่เพราะคำว่า ‘กองกำลังรักษาเมืองสวี่ตู’ หากอู๋ซั่วคิดจะใช้อำนาจจักรพรรดิกดข่มคน หม่านฉ่งแค่ถอนตัวออกไปอย่างง่ายดาย กองกำลังรักษาเมืองสวี่ตูก็จะกลายเป็นเปลือกอันว่างเปล่าไร้ค่า ข้อนี้อู๋ซั่วรู้ดีแก่ใจจึงไม่รับสมุดรายชื่อ พูดอย่างคลุมเครือว่าตนมิได้มีเจตนาจะก้าวก่ายการทำงานของอีกฝ่าย

    หม่านฉ่งเก็บสมุดรายชื่อกลับมา มอบให้เจ้าหน้าที่อาวุโสข้างกาย มองอู๋ซั่วโดยไม่พูดอะไรอีก เขาไม่มีความจำเป็นต้องประจบอี้หลางผู้นี้ ทั้งยังไม่มีหน้าที่รักษาสถานการณ์ให้ปรองดอง ความเย็นชาเป็นความเชื่อมั่นอย่างหนึ่ง ทั้งยังเป็นการแสดงจุดยืน ข้ามอบรายชื่อให้เจ้าแล้ว เจ้ายังไม่กล้ารับ จะโทษข้าไม่ได้ อุณหภูมิในห้องหนาวเย็นกว่าเดิม อู๋ซั่วอดคิดไม่ได้ว่าปกติเวลาพวกเขาทำงานไม่จุดไฟกันเลยหรือไร อยู่ในถ้ำน้ำแข็งกันแบบนี้น่ะหรือ

    อู๋ซั่วสั่งให้องครักษ์จินเยวี่ยยี่สิบนายออกจากห้องไปเฝ้าหน้าประตู จากนั้นก็ยิ้มพูด “ความจริงกองกำลังรักษาเมืองสวี่ตูมีใต้เท้าหม่านอยู่ ไยต้องจัดระเบียบด้วย กลับเป็นทหารยามในวังที่ไม่เอาไหนพวกนั้น เหตุการณ์เพลิงไหม้ครั้งนี้พวกเขาปฏิบัติหน้าที่แย่จริงๆ” อู๋ซั่วดึงแขนเสื้อหม่านฉ่งจงใจลดเสียงให้เบาลง “ความตั้งใจของราชเลขาธิการสวิน การจัดระเบียบกองกำลังรักษาเมืองสวี่ตูเป็นการทำให้คนดูเท่านั้น อันที่จริงอยากอาศัยกำลังของใต้เท้าหม่านไปฝึกฝนขัดเกลาทหารยามในวังต่างหาก”

    การจัดระเบียบครั้งนี้แม้ต่งเฉิงจะเป็นคนเสนอ สามเสนาอำมาตย์เป็นผู้ผลักดัน แต่หากไม่ได้รับความเห็นชอบจากราชเลขาธิการสวิน ย่อมมิอาจเป็นจริงได้ อู๋ซั่วตั้งใจอ้างสวินอวี้ก็ด้วยหวังว่าคำพูดตนจะมีแรงโน้มน้าวมากขึ้นอีกนิด ดูเหมือนเขาจะลืมไปว่าตอนนั้นหม่านฉ่งก็อยู่ในเหตุการณ์ มองเห็นความเป็นไปทั้งหมดของเรื่องนี้

    หม่านฉ่งนึกขึ้นได้ว่าสวินอวี้เคยกำชับเขาให้พยายามทิ้งความขัดแย้งไว้ในราชสำนัก จึงพูดเนิบช้า “เจ้าหมายความว่าจะโยกย้ายทหารยามในวังมาที่กองกำลังรักษาเมืองสวี่ตูให้ข้าควบคุมดูแล?”

    คำพูดของเขาเปิดโปงเจตนาของอู๋ซั่ว ในเมื่ออู๋ซั่วคิดจะวางหูตาไว้ในกองกำลังรักษาเมืองสวี่ตูอย่างเปิดเผย หม่านฉ่งก็ไม่ถือสาที่จะทำให้เรื่องนี้ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม

    แต่เหนือความคาดหมาย อู๋ซั่วหัวเราะฮ่าๆ และปฏิเสธ “ไม่ ใต้เท้าหม่านเข้าใจผิดแล้ว ไม่ใช่โยกย้ายทหารยามในวังเข้ามาในกองกำลังรักษาเมืองสวี่ตู แต่ให้กองกำลังรักษาเมืองสวี่ตูเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทหารยามในวังต่างหาก ไม่ต้องโยกย้ายมาทั้งหมด เอาแค่บางส่วนก็พอ ทหารยามในวังต้องการยอดฝีมือเป็นผู้นำ การฝึกทหารจึงจะมีประสิทธิภาพ”

    “เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่ขอยืมกำลังคนจากขุนพลเฉาเหริน หมู่นี้กองกำลังรักษาเมืองสวี่ตูขาดแคลนคน เมื่อวานลูกน้องข้ายังตายไปหลายคน”

    สำหรับคนอื่น คำตอบของหม่านฉ่งเหมือนการหาข้ออ้างบ่ายเบี่ยง แต่อู๋ซั่วฟังคำพูดนี้แล้วให้รู้สึกเหมือนถูกหยั่งเชิง ในใจเขาพลันคิดถึงหยางซิวกับนิ้วโชกเลือดทั้งห้า ทั้งยังมียอดฝีมือในความมืดที่น่ากลัวผู้นั้นอีก

    ยังดีที่เขาเชี่ยวชาญการปกปิด สีหน้าจึงไม่แปรเปลี่ยนแม้แต่น้อย ตอบคำทันที “กำลังของขุนพลเฉาเหรินถนัดการจัดกระบวนทัพตั้งค่ายกล เกรงว่าการลาดตระเวนเฝ้าระวังจะมิใช่งานถนัดของพวกเขา” อู๋ซั่วทำมือเป็นท่าลำบากใจ พูดด้วยน้ำเสียงหารือ “เจ้าว่าเอาอย่างนี้ดีหรือไม่ กองกำลังรักษาเมืองสวี่ตูโยกย้ายกำลังเข้ามาในวังเท่าไร ข้าจะไปกราบทูลจักรพรรดิ ขอให้ขุนพลเฉาเหรินส่งกำลังคนมาทดแทนให้กองกำลังรักษาเมืองสวี่ตูเป็นสองเท่า”

    หม่านฉ่งก้มหน้าขบคิดครู่หนึ่งคล้ายใคร่ครวญเจตนาของข้อเสนอนี้ของอู๋ซั่ว อู๋ซั่วเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบสนองอยู่นานจึงนั่งไม่ติดที่เล็กน้อย กล่าวเสริมอีกว่า “ที่ผ่านมาขุนพลต่งให้ความสำคัญกับกองกำลังรักษาเมืองสวี่ตูมาก เขาบอกว่าในอดีตแม้จะเคยเข้าใจผิด แต่สุดท้ายฝ่าบาทต้องทรงเข้าพระทัยในความเหนื่อยยากของใต้เท้าหม่านแน่”

    คำพูดนี้ค่อนข้างเปิดเผย แต่ความหมายที่แฝงอยู่ออกจะคลุมเครือ หม่านฉ่งพ่นลมหายใจสีขาวเบาๆ คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ปรบมือทีหนึ่ง “ก็ได้ แต่เรื่องการโยกย้ายทหาร พวกเจ้าต้องไปหารือกับขุนพลเฉาเหรินด้วยตัวเอง”

    “เรื่องนี้แน่นอนอยู่แล้ว” อู๋ซั่วรีบผงกศีรษะ เวลานี้นอกห้องมีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งรายงาน “ใต้เท้า ขุนพลเติ้งจั่นกลับมาแล้วขอรับ ตอนนี้รออยู่นอกชาน”

    “เช่นนั้นข้าไม่รบกวนการทำงานของทุกท่านแล้ว” อู๋ซั่วบรรลุจุดประสงค์การมาครั้งนี้แล้ว เมื่อได้ยินเสียงรายงานจึงไม่รั้งอยู่อีก ลุกขึ้นอำลาหม่านฉ่ง ตอนเขาจากไปก็เดินสวนกับเติ้งจั่นที่เข้ามาพอดี อู๋ซั่วรู้ว่าคนผู้นี้เป็นยอดฝีมือที่คัดเลือกมาจากทหารม้าหู่เป้า ระหว่างที่กำลังหลักของทัพเฉาปักหลักอยู่ข้างนอก เขากับทหารม้าใต้บังคับบัญชานับเป็นกำลังขั้วที่สามที่น่าหวั่นเกรงในเมืองหลวงนอกเหนือจากเฉาเหรินและหม่านฉ่ง จึงอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองแวบหนึ่ง

    เติ้งจั่นสวมเกราะอ่อน บนไหล่และชุดคลุมกันลมยังมีหิมะอยู่ เวลาเดินหอบเอาไอหนาวมาด้วย มองปราดเดียวก็รู้ว่าเพิ่งกลับจากนอกเมือง

    หมู่นี้สวี่ตูมีเรื่องอะไรสำคัญถึงเพียงนี้ ขนาดต้องให้เติ้งจั่นออกโรงด้วยตัวเอง?อู๋ซั่วบังเกิดคำถาม แต่ความสงสัยนั้นหายไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนี้เขามีเรื่องมากมายเหลือเกินที่ต้องทำ ไม่มีเวลาไปสนใจทหารแก่ๆ คนหนึ่ง

    เติ้งจั่นหันกลับไปมองแผ่นหลังของอู๋ซั่วอย่างเย็นชา ก่อนจะเดินตรงไปหาหม่านฉ่ง แม้เขาจะมิได้อยู่ภายใต้การปกครองของหม่านฉ่ง ทว่าสองคนหนึ่งในหนึ่งนอกกลับประสานงานกันได้เป็นอย่างดี เหตุการณ์ครั้งนี้ เขาต้องการความเห็นจากหม่านฉ่ง

    “ใต้เท้าหยางจวิ้นรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่ถูกตัดแขนไปหนึ่งข้าง บุตรชายเขาหยางผิงกับคนขับรถถูกสังหาร” เติ้งจั่นพูดเสียงเยียบเย็น ตรงเข้าประเด็นทันที

    สองวันก่อนเขาได้รับข่าวว่าหยางจวิ้นถูกโจรภูเขาจู่โจม ขุนนางที่จวนซือคงมีคำสั่งเรียกตัวถูกปองร้าย นี่นับได้ว่าเป็นคดีใหญ่ เติ้งจั่นไม่กล้าชักช้า นำกองทหารรุดหน้าไปตรวจสอบด้วยตัวเอง สุดท้ายตอนพวกเขารุดไปถึง พวกโจรภูเขาหนีหายไปไม่เหลือร่องรอยแล้ว ผู้ที่รอดตายในสถานที่เกิดเหตุมีเพียงหยางจวิ้นคนเดียวเท่านั้น

    หยางจวิ้นบาดเจ็บหนักเกินไป ทั้งยังเป็นช่วงฤดูหนาวที่อากาศหนาวจัด ร่างกายทนรับความเหน็ดเหนื่อยไม่ไหว เติ้งจั่นจึงได้แต่ขอรถเทียมวัวคันหนึ่งจากฐานทัพละแวกใกล้เคียง ค่อยๆ ขนย้ายหยางจวิ้นมาสวี่ตู ศพสองศพหลังตรวจสอบแล้วถูกฝังลงดิน สองวันนี้เขาค้นพื้นที่โดยรอบในรัศมีหลายสิบลี้ แต่ไม่พบอะไรเลยจึงได้แต่กลับสวี่ตูมือเปล่า

    “หยางจวิ้นเดินทางมาจากอำเภอฉวี่เหลียง เหตุใดจึงต้องอ้อมไปเส้นทางนั้น” หม่านฉ่งถาม

    เติ้งจั่นตอบ “หยางผิงลูกชายเขาถูกฝากเลี้ยงอยู่ที่สกุลซือหม่าในอำเภอเวินเซี่ยนมาตลอด เขาถูกเรียกตัวเข้าสวี่ตูครั้งนี้จึงถือโอกาสรับตัวลูกชายมาด้วย เรื่องนี้ได้รับการยืนยันจากสกุลซือหม่าแล้ว”

    “รายละเอียดการบาดเจ็บล้มตายเป็นอย่างไรบ้าง”

    “คนขับรถตายในดาบเดียว มีดสั้นแทงเข้าไปในหัวใจ ร่างกายของหยางผิงมีร่องรอยการต่อสู้ ใบหน้าถูกฟันเละจนดูไม่ออก หยางจวิ้นถูกตัดแขนข้างหนึ่ง แผลเรียบเสมอกัน อีกฝ่ายมีดาบที่คมมากทั้งยังมีวรยุทธ์สูง” เติ้งจั่นตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุอย่างถี่ถ้วน จดจำไว้ในสมองทั้งหมดแล้ว “ดูแล้วโจรป่าพวกนั้นน่าจะไม่ได้วางแผนก่อนซุ่มโจมตี แต่เป็นการโจมตีกะทันหัน”

    “ช่วงนี้ศพที่แยกแยะหน้าตาไม่ออกมีมากไปหน่อย” หม่านฉ่งพลันนึกถึงศพประหลาดที่พบในซากปรักหักพังของตำหนักบรรทมจึงอดก้มครุ่นคิดเหมือนงูไม่ได้ แต่เรื่องพวกนี้ไม่มีความจำเป็นต้องบอกเติ้งจั่น

    หม่านฉ่งเอามือไพล่หลัง ย่ำเท้าไปมาช้าๆ ในห้องอันเยียบเย็น “แม้ยุคสมัยนี้จะมีโจรมาก แต่อากาศหนาวเหน็บเช่นนี้เหตุใดโจรต้องโจมตีรถม้าที่ไม่ให้ผลประโยชน์ใดๆ ซ้ำยังเสี่ยงถูกกองทหารโอบล้อมเช่นนี้ อีกอย่าง ในเมื่อโจรยอมเสียเวลาฟันหน้าหยางผิงจนเละ ไฉนจึงยังไว้ชีวิตหยางจวิ้น ทั้งที่เขาสูญเสียแขนไปข้างหนึ่งแล้ว แต่อีกฝ่ายมียอดฝีมืออยู่ เขาไม่มีโอกาสจะต้านทานได้เลย”

    “จากคำบอกเล่าของหยางจวิ้น ตอนนั้นเขาแสร้งบอกว่ามีกองทหารอยู่ใกล้ๆ และร้องตะโกนเสียงดัง พวกโจรภูเขากลัวจะถูกโอบล้อม ไม่กล้ารั้งอยู่นานและรีบจากไป”

    “เรื่องแบบนี้ไม่มีหลักฐานให้ตรวจสอบได้จริงๆ” หม่านฉ่งพลันนึกอะไรขึ้นได้จึงเงยหน้าถาม “บริเวณใกล้เคียงมีรอยล้อรถหรือรอยเกือกม้าอื่นๆ อีกหรือไม่”

    เติ้งจั่นตอบ “อากาศหนาวเกินไป ต่อให้มีรถม้าคันอื่นวิ่งผ่านก็ไม่เหลือร่องรอย” เขาพลันนึกอะไรขึ้นได้ พูดขึ้นทันที “อ้อ ใช่แล้ว ใต้เท้าหยางจวิ้นพูดถึงรายละเอียดอย่างหนึ่ง เขาบอกว่าฟังจากการสนทนาของโจรกลุ่มนั้น ดูเหมือนมีการพูดว่าจะรุดไปเมืองหรู่หนาน”

    “หรู่หนาน…” หม่านฉ่งขบคิดชื่อนี้อย่างถี่ถ้วน หรู่หนานไม่นับว่าไกลจากสวี่ตู เป็นฐานที่มั่นสำคัญของเขตแดนทางใต้ของหลิวเปี่ยว ยามนี้เจี้ยนกงโหวหลี่ทงรักษาการณ์อยู่ สัญชาตญาณทำให้หม่านฉ่งรู้สึกถึงความไม่สบายใจ เขาไม่ชอบความรู้สึกไม่ปลอดภัยแบบนี้เท่าใดนัก แต่กลับสนุกกับการค้นหาความจริงทีละขั้นตอน เติ้งจั่นแม้จะมีจิตใจแข็งแกร่ง แต่เห็นรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าหม่านฉ่งคลายและหดเข้าด้วยกันหลายครั้ง ดูเหมือนงูพิษที่ขยับตัวเวลาลอกคราบ ก็อดชาวาบที่แผ่นหลังไม่ได้

    “ตอนนี้หยางจวิ้นอยู่ที่ใด”

    “ใต้เท้าหยางพักรักษาตัวอยู่ในโรงเตี๊ยมชั่วคราว ราชเลขาธิการสวินรุดไปถามไถ่อาการแล้ว”

    หม่านฉ่งสั่งให้ลูกน้องยกชาร้อนมาให้เติ้งจั่น เติ้งจั่นดื่มรวดเดียวหมด หม่านฉ่งตบไหล่เขา “ขุนพลเติ้ง ต้องรบกวนเจ้าออกจากเมืองอีกสักครั้ง ข้าอยากเห็นศพของหยางผิงลูกชายเขา”

     

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in Uncategorized

    นิยายยอดนิยม

    Facebook