• Connect with us

    Enter Books

    คู่กิเลนค้ำบัลลังก์

    ทดลองอ่าน คู่กิเลนค้ำบัลลังก์ เล่ม 1 บทที่ 7-9

     

    บทที่ 7

     

    ไม่เพียงแต่เฮ่อไท่ ทว่าปฏิกิริยาของคนอื่นๆ ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน

    เฮ่อไท่ถามเสียงร้อนใจ “ลองพวกเราได้ข่าวกันเช่นนี้ ราชสำนักจะไม่ดูดำดูดีได้หรือ น่าจะเร่งส่งแม่ทัพใหญ่มาปราบปรามได้แล้วกระมัง! ผู้ตรวจการมณฑลจินโจวไปกินดีหมีหัวใจเสือมาหรือไร ถึงได้บอกจะก่อกบฏก็ก่อกบฏเลยเช่นนี้ หรือจินโจวทั้งเมืองถูกเขาใช้มือเดียวปิดฟ้า ขุนนางข้าราชสำนักคนอื่นๆ ตายกันหมดแล้วหรือ!”

    ไม่มีผู้ใดตอบคำถามเหล่านี้ของเขาได้เลย

    หยางจวินลังเล “ข้าไม่รู้ว่าเล่อปี้ใช้มือเดียวปิดฟ้าของจินโจวทั้งหมดหรือไม่ แต่ได้ยินมาว่าครั้งนี้เล่อปี้ชูธงของฉางเล่ออ๋อง บอกว่า…”

    เฮ่อมู่ชะงักเท้า “เหิงอวี้ นี่มันเวลาไหนแล้ว เจ้ายังจะมัวอมพะนำอยู่อีก มีอะไรก็พูดมาตรงๆ!”

    ครอบครัวของหยางจวินมีฐานะไม่เลว บิดาเป็นพ่อค้าเกลือ ทุกครั้งที่มาก็มักจะนำเกลือกับข้าวสารมามอบให้ครอบครัวสกุลเฮ่อเสมอ ดังนั้นแม้เขาจะสนิทสนมกับเฮ่อหรงมากที่สุด แต่เพราะหมั่นไปมาหาสู่เป็นประจำ ทำให้คนในสกุลเฮ่อคนอื่นๆ พลอยคุ้นเคยกับเขาไปด้วย

    “เล่อปี้บอกว่าจักรพรรดิองค์ปัจจุบันได้ตำแหน่งมาโดยมิชอบ สมควรคืนตำแหน่งให้แก่ฉางเล่ออ๋อง จึงจะถูกต้องชอบธรรม”

    “ขุนนางทุรยศ!” เฮ่อไท่ผรุสวาท “ฉางเล่ออ๋องตายไปนานแล้ว จะไปมีฉางเล่ออ๋องที่ไหนอีก!”

    ปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์นี้ครองราชสมบัติอยู่แปดปี และจักรพรรดิองค์ปัจจุบันครองราชสมบัติมายี่สิบปี เมื่อคำนวณดูจะพบว่าแคว้นถูกสถาปนาขึ้นยังไม่ถึงสามสิบปี จักรพรรดิเหวินเต๋อองค์ปัจจุบันเป็นจักรพรรดิองค์ที่สองของราชวงศ์ ปฐมกษัตริย์สิ้นพระชนม์อย่างปัจจุบันทันด่วน ไม่ทันทิ้งพระราชโองการแต่งตั้งไว้ ทำให้การขึ้นครองราชย์ของจักรพรรดิเหวินเต๋อมาพร้อมกับพายุฝนโลหิต

    เพียงชั่วพริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปยี่สิบปี ความทรงจำของหลายๆ คนที่มีต่อเรื่องนี้จึงค่อยๆ รางเลือนไป จวบจนผู้ตรวจการมณฑลจินโจวเล่อปี้หยิบยกชื่อ ‘ฉางเล่ออ๋อง’ ขึ้นมา ทุกคนจึงพลันนึกขึ้นได้ว่าสมัยที่ปฐมกษัตริย์ยังครองราชสมบัติได้แสดงพระประสงค์หลายครั้งว่าอยากยกราชบัลลังก์ให้แก่ฉางเล่ออ๋อง เพียงแต่ต่อมาเมืองหลวงเกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ ฉางเล่ออ๋องเคราะห์ร้ายถูกคนฆ่า เสียชีวิตโดยไร้ทายาทสืบทอด ทำให้นามนี้กลายเป็นแค่หมอกควันอ่อนจาง

    หยางจวินเอ่ยต่อ “ในคำประกาศของเล่อปี้บอกว่าตอนที่เกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ ฉางเล่ออ๋องเคราะห์ดีหนีรอดออกมาได้ หลายปีที่ผ่านมาเขาปิดบังชื่อแซ่จนเล่อปี้ไปพบตัว หลังเล่อปี้ได้ฟังเรื่องที่ฉางเล่ออ๋องประสบแล้วรู้สึกเศร้าเสียใจและเดือดแค้น จึงตัดสินใจสวามิภักดิ์ต่อฉางเล่ออ๋องเพื่อทวงคืนความยุติธรรม”

    เฮ่อไท่โพล่งเสียงดัง “เหลวไหล! นี่มันเรื่องเหลวไหลทั้งเพ!”

    หยางจวินอับจนปัญญา “นายท่านเฮ่ออย่าเพิ่งมีโทสะ ข้าแค่เล่าข้อความในประกาศให้ฟังเท่านั้น เรื่องที่เล่อปี้มีใจคิดคดทุกคนต่างรู้กันทั่ว เขาไม่ได้อยากช่วยฉางเล่ออ๋องทวงคืนความยุติธรรมจริงๆ แม้แต่ตัวฉางเล่ออ๋องคนนั้นเป็นตัวจริงหรือปลอมก็ต้องรอการพิสูจน์ เวลานี้เรื่องสำคัญที่สุดคือทหารรักษาฝางโจวมีจำนวนไม่มาก ดูจากกำลังมหาศาลของทหารกบฏ หากราชสำนักส่งกองหนุนมาไม่ทัน จินโจวคิดจะรุกฝางโจวล่ะก็ เกรงว่าที่นี่จะมีอันตราย”

    เฮ่อมู่กล่าว “ไม่ว่าอย่างไรครอบครัวเราก็เรียกได้ว่าเป็นลูกหลานของจักรพรรดิ ราชสำนักไม่มีทางมองดูพวกเราตกอยู่ในอันตรายเฉยๆ แน่!”

    เฮ่อสี่ถามเสียงอ่อน “เหลียงโจวกับจินโจวไม่ได้อยู่ติดกันมิใช่หรือ เหตุใดเหลียงโจวก่อกบฏแล้วจินโจวถึงต้องก่อกบฏตาม เล่อปี้ไม่กลัวถูกราชสำนักตามฆ่าล้างหรือ”

    เฮ่อหรงหักกิ่งไม้มาวาดแผนที่หยาบๆ ลงบนพื้นทรายในลานบ้าน

    “เหลียงโจวกับจินโจวถูกกั้นกลางด้วยลี่โจว จริงอยู่ที่เมืองสองแห่งไม่ได้เชื่อมติดกัน แต่หลังเซียวอวี้ก่อกบฏ เขาไม่ได้คิดขึ้นเหนือไปโจมตีเมืองหลวง แต่กลับลงใต้เพื่อตีลี่โจวแทน”

    เขาลากเส้นเชื่อมดินแดนที่เซียวอวี้ครอบครอง

    คนในครอบครัวสกุลเฮ่อต่างล้อมวงเข้ามา แม้แต่พวกเฮ่อซีกับบรรดาสตรีอย่างหยวนซื่อผู้ไม่รู้เรื่องแผนที่ยังมองภาพวาดบนพื้นทรายได้เข้าใจพอสมควร

    หยางจวินพลันรู้แจ้ง “เขากำลังทุ่มสุดตัวเพื่อตัดการเชื่อมต่อระหว่างเมืองหลวงกับโลกภายนอก พร้อมสั่งสมขุมกำลัง ชิงเลือกบีบมะพลับนิ่มก่อนค่อยนำกำลังไปล้อมเมืองหลวง”

    เฮ่อจั้นเหมือนคิดเรื่องบางอย่างอยู่ในใจ “ดังนั้นการก่อกบฏของเล่อปี้ที่จินโจวจึงสอดคล้องกับเซียวอวี้ได้อย่างพอดิบพอดีและรวดเร็วปานฟ้าผ่าจนปิดหูไม่ทัน เพื่อฉวยโอกาสตอนที่ราชสำนักไม่ทันตั้งตัวเข้ายึดครองเขตตะวันออกซานหนานกับเขตหล่งโย่ว”

    เฮ่อหรงกล่าวปิดท้าย “นี่เป็นแค่การคาดเดาของข้าเท่านั้น แต่แผนจริงๆ ของฝ่ายตรงข้ามจะเป็นอย่างไร ยังต้องรอดูกันอีกที”

    ถึงจะพูดเช่นนี้ แต่ข่าวนี้ก็กลายเป็นเงามืดที่ครอบคลุมอยู่เหนือศีรษะของทุกคน และกวาดเอาบรรยากาศของเทศกาลฉงหยางให้หายไปหมด แต่ละคนหมดอารมณ์จะนั่งกันต่อแล้วทั้งที่กินข้าวยังไม่เสร็จ ซ่งซื่ออุ้มเฮ่อซินกลับห้องไปก่อน จากนั้นคนอื่นๆ ถึงได้แยกย้ายกันไป

     

    ไม่นานเรื่องที่เกิดขึ้นก็พิสูจน์ความวิตกของคนบ้านสกุลเฮ่อว่าเป็นเรื่องจริง ซ้ำสถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่พวกเขาเป็นกังวลยิ่งแย่หนัก

    กองทหารกบฏแห่งเหลียงโจวมีขวัญกำลังใจฮึกเหิม เดินทางผ่านก่วงอู่ หล่งซี เข้าไปสู่เขตตะวันออกซานหนาน และกลืนกินลี่โจวได้อย่างรวดเร็ว ซ้ำยังได้จี๋โจวกับหยางโจวมาติดๆ กัน ทำให้ความสามารถในการควบรวมอำนาจของเล่อปี้แห่งจินโจวกับกำลังของทหารกบฏมีเพิ่มมากขึ้น

    ปลายเดือนเก้า กองทัพของราชสำนักได้เข้าปะทะกับทหารกบฏที่อำเภอหยางในหยางโจว ทหารกบฏตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้หลายครั้ง กำชัยได้น้อยครั้ง แต่กลับสามารถตรึงกำลังส่วนใหญ่ของกองทัพราชสำนักเพื่อเปิดทางสะดวกให้แก่เล่อปี้ที่กำลังรุดหน้าไปทางตะวันออก หมายขยายอำนาจเหนือดินแดนทั้งหมดบนเขตตะวันออกซานหนาน

    มณฑลฝางโจวไม่มีพื้นที่ติดทะเลและไม่ติดชายแดน แต่ไหนแต่ไรมามีกำลังทหารอยู่ไม่เกินแปดพัน ซ้ำในจำนวนแปดพันนี้เกินครึ่งยังประจำอยู่ที่อำเภอฝางหลิงซึ่งเป็นกองบัญชาการของฝางโจว ทำให้อำเภอจู๋ซานเป็นเหมือนสถานที่ที่ท่านยายไม่ชอบ ท่านน้าไม่รัก เต็มที่คือมีทหารของจวนว่าการอยู่ประมาณหนึ่งพันกว่านาย

    กำลังทหารหนึ่งพันกว่านายนี้จะต้านทานทหารฝ่ายศัตรูจำนวนสองหมื่นได้อย่างไร

    เทียบกับอำเภอจู๋ซาน ที่ที่ต้องรับศึกทหารกบฏหนักกว่าคืออำเภอซั่งยง

    กำลังทหารของอำเภอซั่งยงมีจำนวนไม่ทิ้งห่างจากอำเภอจู๋ซานมากนัก เริ่มแรกนายอำเภอเลือกที่จะรักษาเมืองและส่งคนเดินสารให้เฆี่ยนม้าเร็วมาขอความช่วยเหลือจากอำเภอจู๋ซานกับฝางหลิง

    ลำพังอำเภอจู๋ซานจะรักษาตัวให้รอดก็ยากอยู่แล้ว แม้นายอำเภอเช่นถานจินจะรู้สึกเหมือนกระต่ายตายจิ้งจอกอาลัย อยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้ส่งกำลังทหารไปช่วยสนับสนุน ทำให้คนเดินสารต้องกลับไปด้วยสีหน้าเศร้าสลด ไม่นานก็มีข่าวส่งมาว่าอำเภอซั่งยงแตกพ่าย นายอำเภอสละชีพรักษาเมือง ส่วนขุนนางเจ้าหน้าที่น้อยใหญ่ที่เหลือถ้าไม่ตายในสนามรบก็ยอมจำนน

    สรุปคืออำเภอซั่งยงถูกทหารกบฏยึดครองเรียบร้อย

    ทำให้อำเภอจู๋ซานประหวั่นลนลานอย่างถึงที่สุด

    ช่วงที่จินโจวชูธงกบฏขึ้นใหม่ๆ ผู้ตรวจการมณฑลฝางโจวซือหม่าอวิ๋นได้เร่งไปขอกำลังเสริมจากราชสำนักแล้ว ทว่าแม้ราชสำนักจะตระหนกและโกรธกริ้ว แต่กลับไม่ให้ความสำคัญมากนัก เนื่องจากขณะนั้นแคว้นทูเจวี๋ยกำลังมาก่อกวนชายแดน ทำให้เมืองสามเมืองที่อยู่ติดชายแดนเกิดสงคราม ประกอบกับเซียวอวี้แห่งเหลียงโจวตั้งตัวเป็นอ๋อง ทำให้ราชสำนักต้องเร่งส่งกำลังไปกำราบ

    อาจเพราะเกิดเรื่องมากมายขึ้นพร้อมกันในระยะเวลาสั้นๆ ทำให้ราชสำนักเคร่งเครียดหนักเพราะต้องห่วงหน้าพะวงหลัง การร้องขอกำลังเสริมของซือหม่าอวิ๋นจึงยังไม่ได้รับการตอบสนอง

    ระหว่างที่อำเภอซั่งยงกำลังเผชิญหน้าอยู่กับการต่อสู้ที่แสนยาก อำเภอจู๋ซานก็โกลาหล บรรดาคหบดีในอำเภอทั้งหมดต่างหอบหิ้วครอบครัวเผ่นหนีออกไปกันหมด บ้างหนีไปหาญาติพี่น้องที่อำเภอฝางหลิง บ้างรู้สึกว่าเมืองฝางหลิงไม่น่าจะรอดจึงหนีลงใต้ไปแทน

    แต่ที่มีจำนวนมากยิ่งกว่าคือชาวบ้านที่ไม่อาจหนีและไม่คิดหนี

    พวกเขาอาศัยอยู่ที่นี่กันมาหลายชั่วอายุคนจึงไม่อยากพรากจากบ้านเกิดไปไหน บางส่วนลงหลักปักฐานทำมาหากินอย่างมั่นคงแล้ว แม้อยากพาครอบครัวหนีก็หนีไปไม่ได้ เพราะต่อให้ใช้สองขาวิ่งก็ไม่แน่ว่าจะรอดพ้นไปจากการเข้าตีเมืองของทัพกบฏ พวกเขาจึงต้องรั้งอยู่ต่อไปด้วยความหวังอันริบหรี่

    ขณะนี้นายอำเภอจู๋ซานถานจินกำลังนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ของศาลว่าการอำเภอ สองมือกุมศีรษะอย่างสิ้นหวังกว่าผู้ใด

    ที่ปรึกษาวิ่งเข้ามาจากด้านนอกด้วยสีหน้าร้อนใจอย่างปิดไม่มิด “ท่านนายอำเภอขอรับ ชาวบ้านจำนวนมากกำลังหอบลูกจูงหลานหนีออกจากอำเภอไปแล้ว รั้งอย่างไรก็รั้งไม่อยู่ขอรับ!”

    ถานจินพูดเสียงอ่อนล้า “จะรั้งพวกเขาไปทำไม ฝนจะตก สตรีจะออกเรือน ปล่อยพวกเขาไปเถอะ!”

    เห็นอีกฝ่ายไม่เข้าใจสถานการณ์วิกฤต ที่ปรึกษาก็ยิ่งกระวนกระวาย “แต่กระทั่งทหารรักษาเมืองยังปลอมตัวเป็นชาวบ้านหนีปะปนออกนอกเมืองไปด้วย ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไปทหารจะยิ่งเสียขวัญและไม่มีคนรักษาเมืองนะขอรับ!”

    “หงเจี้ยนเอ๋ย น่ากลัวว่ากองหนุนจากราชสำนักคงไม่มาแล้ว!”

    โจวหงเจี้ยนหรือโจวอี้ตกใจ “เหตุใดท่านนายอำเภอถึงคิดเช่นนี้ล่ะขอรับ”

    ถานจินระบายลมหายใจยาว “เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือว่าอำเภอซั่งยงแตกแล้ว อำเภอจู๋ซานของเรามีหรือจะรอด ยิ่งกองหนุนจากราชสำนักมาไม่ถึงเสียทีเช่นนี้ พวกเขาคงมาไม่ทันก่อนที่เมืองจะแตกแล้ว!”

    โจวอี้กล่าวเสียงแค้นใจ “ต่อให้กองหนุนจากราชสำนักมาไม่ทัน ผู้ตรวจการมณฑลก็น่าจะส่งกำลังหนุนมามิใช่หรือ ท่านอุตส่าห์ส่งคนไปขอกำลังเสริมจากในเมืองมาตั้งหลายรอบ แต่ซือหม่าอวิ๋นกลับอ้างนั่นอ้างนี่ไปเรื่อย หรือว่า…ท่าทางเช่นนี้แสดงว่าคิดจะดูพวกเราตายไปกับตา!”

    ถานจินฝืนยิ้ม “คาดว่าซือหม่าอวิ๋นคงอยากรวบรวมกำลังไว้รักษาฝางหลิงมากกว่า ในเมื่อซั่งยงแตกแล้วเขาย่อมมองว่าอีกไม่นานจู๋ซานของเราก็ต้องแตกไปด้วย หงเจี้ยน เจ้าอยู่ข้างกายข้ามาหลายปี แต่ข้ากลับไม่เคยช่วยให้เจ้ามีเกียรติยศหรือร่ำรวยมากขึ้นเลย มาวันนี้เภทภัยกรายศีรษะแล้ว ตัวข้าในฐานะนายอำเภอจำเป็นต้องพลีชีพเพื่อรักษาเมือง แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องมาตายกับข้า รีบไปเก็บข้าวเก็บของหนีออกจากเมืองเถอะ!”

    โจวอี้เดือดดาล “ท่านนายอำเภอพูดอะไร! หรือเห็นข้าโจวอี้เป็นพวกคนถ่อยรักตัวกลัวตาย! เมืองอยู่หนึ่งวัน ข้าอยู่หนึ่งวัน หากท่านต้องพลีชีพเพื่อรักษาเมือง ข้าย่อมพลีชีพเป็นเพื่อนท่าน!”

    ถานจินซาบซึ้งใจจนดวงตาแดงเรื่อ เขาถูจมูกแรงๆ ก่อนยื่นไปจะจับมือที่ปรึกษา “หงเจี้ยน…”

    โจวอี้เห็นอีกฝ่ายเพิ่งเอามือไปเช็ดน้ำมูกจึงหดมือกลับ ไม่ยอมให้เขาจับมือ

    เมื่อถานจินสังเกตเห็นก็นึกฉุนจนต้องร้องโวยวายออกมาอย่างน้อยใจ “เจ้ารังเกียจน้ำมูกข้าแล้วยังบอกว่าจะร่วมเป็นร่วมตายกับข้าอีกหรือ!”

    “…”

    “ท่านนายอำเภอร่าเริงดีจริง ขนาดข้าศึกบุกเข้าประชิดมาแล้วยังยิ้มแย้มเล่นหัวอยู่ได้อีก”

    ทันใดนั้นก็มีเสียงของคนแปลกหน้าดังแทรกเข้ามา ทำให้พวกถานจินต้องหันไปมองพร้อมกัน พบว่ามีใครคนหนึ่งเดินเข้ามาจากทางด้านนอก แม้อีกฝ่ายจะอายุยังน้อย แต่การก้าวย่างกลับมั่นคง

    โจวอี้ย่นหัวคิ้ว “ผู้มาเยือนเป็นใคร เข้ามาโดยไม่แจ้งเช่นนี้เท่ากับบุกรุกศาลว่าการ!”

    เฮ่อจั้นหัวเราะเบาๆ “ตอนข้าเข้ามาไม่เห็นเงายามเฝ้าสักคน หาไม่ มีหรือข้าจะเข้ามาได้ง่ายดายเช่นนี้”

    ดูท่าทหารองครักษ์ของศาลว่าการอำเภอเองก็มองว่าหมดหวังที่จะรักษาเมืองแล้ว เลยต่างคนต่างหนีเอาตัวรอด

    โจวอี้ทั้งโมโหทั้งนึกปลงอนิจจัง

    เฮ่อจั้นแนะนำตัว “ผู้น้อยเฮ่อจั้น”

    ถานจินรู้สึกค่อนข้างคุ้นหูจึงร้องอาออกมาคำหนึ่ง “ท่านคือคุณชายห้าแห่งสกุลเฮ่อ?”

    เฮ่อจั้นประสานมือ “ถูกต้อง”

    “ช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ท่านมาทำอะไรที่นี่”

    กล่าวจบถานจินก็รู้ว่าตนเองถามผิดไปแล้ว

    สกุลเฮ่อมีสถานภาพพิเศษ เนื่องจากถูกเนรเทศให้มาอยู่ที่นี่ หากไม่มีพระบัญชาจากจักรพรรดิย่อมไม่สามารถไปที่ใดได้ ถ้าพวกเขาไปจากที่นี่เวลานี้ราชสำนักจะต้องดำเนินการลงโทษพวกเขาเป็นแน่ ตัวเขาที่เป็นนายอำเภอไปไม่ได้เช่นไร ครอบครัวสกุลเฮ่อเองก็ไปไม่ได้เฉกเดียวกัน นับว่ามีหัวอกเดียวกันอย่างแท้จริง

    เฮ่อจั้นหัวเราะเสียงใส “ในเมื่อไปไหนไม่ได้ แทนที่จะยอมถูกฆ่าตอนเมืองแตก มิสู้ลองสู้ตายดูสักตั้ง บางทีอาจจะพอพลิกสถานการณ์ได้”

    ถานจินถอนหายใจ “ผู้ใหญ่ในบ้านส่งท่านมากระมัง เรื่องดำเนินมาถึงวันนี้แล้ว ข้าก็ไม่ขอปิดบังว่าแม้ทหารรักษาเมืองเราจะว่ากันว่ามีจำนวนหลายพัน แต่ความจริงมีแค่พันเดียว และจากรายงานของสายสืบ กองทัพกบฏมีจำนวนอย่างน้อยๆ ก็สองหมื่นขึ้นไป ระหว่างฝ่ายเรากับฝ่ายศัตรูมีความแตกต่างกันอย่างมหาศาล เกรงว่าต่อให้เป็นเทพเซียนก็ไร้กำลัง ต้องกลับสวรรค์ไปเหมือนกัน”

    “ทหารไม่พอก็ยังมีชาวบ้าน ผู้คนส่วนมากต่อให้อยากหนีก็หนีไปไหนไม่ได้ คนที่เหลืออยู่ย่อมต้องคิดสู้ชนิดหลังชนฝา พวกเขาไม่สามารถต่อสู้ในสนามรบก็จริง แต่เรื่องการรักษาเมือง ขอเพียงได้รับการฝึกฝนสักเล็กน้อยก็ใช่ว่าจะใช้การไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นเวลานี้พี่ใหญ่กับพี่รองของข้าได้เร่งเดินทางไปยังซางโจวเพื่อขอกำลังเสริมแล้ว”

    คำพูดของเขาช่วยจุดประกายความหวังให้แก่ถานจินอีกครั้ง “ซางโจวมีทหาร? พวกเขายินดีช่วยหรือ”

    เฮ่อจั้นผงกศีรษะ “ซางโจวอยู่ใกล้กับเส้นทางไปเมืองหลวง มีทหารประจำการอยู่สองหมื่นกว่า ผู้ตรวจการมณฑลซางโจวเซี่ยสือไม่มีทางเห็นคนตายแล้วไม่ช่วย”

    กล่าวจบเขาก็เอ่ยเสริมอีกประโยค “พี่สามของข้าสนิทสนมกับหยางจวิน บุตรชายพ่อค้าเกลือของเมืองนี้ พวกเขากำลังหารือกันเพื่อไปเกลี้ยกล่อมเหล่าคหบดีในเมืองให้บริจาคเสบียงอาหารและกำลังคนเพื่อรักษาเมืองด้วย”

    ถานจินเลิกเศร้าทันที สมองกลับมาทำงานดีขึ้นและมีปฏิกิริยาโต้ตอบทันควัน “จริงด้วย คหบดีพวกนั้นย่อมต้องเลี้ยงดูบ่าวรับใช้ไว้ในเรือน ช่วงเวลาวิกฤตสามารถช่วยรับภาระของกองทัพไปครึ่งหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีช่างฝีมือแรงดีพวกนั้นอีก…หงเจี้ยน เร็วเข้า เจ้าให้คนไปเฝ้าประตูเมืองไว้ อย่าให้ใครเข้าออกได้ตามใจ”

    โจวอี้ลอบกลอกตา เนื่องจากอยู่ต่อหน้าคนนอกเขาจึงรู้สึกไม่ดีถ้าจะไม่ให้เกียรตินายอำเภอ พูดอ้อมๆ ว่า “เกรงว่าตอนนี้คงมีคนหนีออกไปเยอะแล้วล่ะขอรับ”

    ก่อนหน้านี้ท่านยังพูดอยู่นี่ว่าฝนจะตก สตรีจะออกเรือน

    ถานจินยังยืนกราน “ถึงแกะตายแล้วค่อยซ่อมคอกก็ยังไม่ถือว่าช้าเกินไปหรอก!”

    “ท่านนายอำเภอช่างปราดเปรื่องยิ่งนัก!” เฮ่อจั้นส่งเสริมนายอำเภออีกแรง

    โจวอี้กำลังจะออกไปทำตามคำสั่งของถานจิน รองนายอำเภอกลับวิ่งรี่เข้ามาจากด้านนอกอีกคน “ท่านนายอำเภอขอรับ! หัวหน้ามือปราบอวี๋กำลังจะพาครอบครัวออกจากเมือง แต่ดันไปเจอกับคุณชายของนายท่านเฮ่อเข้าพอดี เวลานี้ทั้งสองฝ่ายกำลังทะเลาะกันอยู่ที่ประตูเมืองและดูเหมือนหัวหน้ามือปราบอวี๋จะลงไม้ลงมือด้วย ท่านรีบไปดูหน่อยเถิด!”

    สีหน้าของเฮ่อจั้นเปลี่ยนไปทันที

    นายท่านสกุลเฮ่อมีบุตรชายหลายคน คนโตกับคนรองเดินทางไปขอกำลังเสริมแล้ว คนที่สี่อยู่เป็นเพื่อนบิดาที่บ้าน คนที่เจ็ดอายุยังน้อย ดังนั้นคนที่สามารถออกมาข้างนอกจนเจอกับหัวหน้ามือปราบได้ นอกจากเฮ่อหรงแล้วก็ไม่มีผู้ใดที่เขาคิดว่าเป็นไปได้อีก

    เฮ่อจั้นไม่คอยให้ถานจินได้มีปฏิกิริยา เขารีบวิ่งออกไปข้างนอกทันที

    ถานจินดึงตัวโจวอี้ “เจ้าสารเลวอวี๋ถังจะต้องคิดทิ้งเมืองเพื่อหนีเอาตัวรอดแน่ ไปๆ รีบไปดูกัน!”

    “โอ๊ยๆ ข้าไปแล้วขอรับ ไม่ต้องดึง มือท่านยังเปื้อนน้ำมูกอยู่เลย!”

    “โจว-หง-เจี้ยน!!!”

     

    บทที่ 8

     

    เมื่ออำเภอจู๋ซานมีภัย กลุ่มคหบดีย่อมหนีกันได้เร็วที่สุด สกุลหยางที่เป็นครอบครัวพ่อค้าย่อมไม่ใช่ข้อยกเว้น ทว่าหยางหลินบิดาของหยางจวินเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ ได้พบเห็นอะไรมามากกว่าคนอื่น เขาจึงรู้ว่านี่เป็นช่วงเวลาที่ต้องทุ่มให้สุดตัว แม้จะเสี่ยงขาดทุนย่อยยับ แต่ก็มีสิทธิ์ได้กำไรกลับคืนมาอย่างล้นเหลือเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อในเมืองยังมีคนของสกุลเฮ่ออยู่ เขาจึงไม่รังเกียจการลงทุนในครั้งนี้

    อำเภอจู๋ซานเป็นบ้านเก่าของสกุลหยาง เนื่องจากหลายปีที่ผ่านมาสกุลหยางย้ายไปอยู่ที่อื่น ทั้งสมาชิกของครอบครัวส่วนใหญ่ก็อาศัยอยู่ที่เมืองหลวง แต่หยางหลินยังคงทิ้งเสบียงอาหารและกำลังคนไว้คอยเฝ้าอยู่ที่นี่ พร้อมให้เรียกใช้ได้ทุกเวลา หากสุดท้ายอำเภอจู๋ซานสามารถรอดไปได้ สกุลหยางย่อมได้รับการเชิดชูเกียรติแน่นอน

    หยางจวินไม่ได้ติดตามบิดาไป ตรงกันข้ามเขากลับเสนอตัวรั้งอยู่ที่นี่

    หยางหลินไม่ได้ตำหนิเขา “เจ้าคิดอะไรอยู่”

    “ข้าสนิทกับเฮ่อหรงมาก ยิ่งมีภัยร้ายกรายศีรษะ จะให้ข้าทิ้งเขาไว้ลำพังเพื่อหนีเอาตัวรอดไปได้อย่างไร”

    “ว่ากันว่าหลังอำเภอซั่งยงแตก เหล่าขุนนางรักษาเมืองที่เป็นตัวตั้งตัวตีในการรบต่างถูกทหารกบฏตัดหัวประจาน เจ้ารู้นี่ว่าหากเจ้ารั้งอยู่แล้วจะต้องเจอกับสถานการณ์เช่นไร ต่อให้สนิทกันเพียงใดก็ไม่จำเป็นต้องดันทุรังในเวลาเช่นนี้!”

    “ข้าทราบขอรับท่านพ่อ แต่คุณชายใหญ่กับคุณชายรองสกุลเฮ่อเดินทางไปขอกำลังเสริมแล้ว หากอำเภอจู๋ซานแตกจริง การมีข้าอยู่เป็นตัวแทนสกุลหยางจะไม่ดีกว่าหรือ”

    หยางหลินจ้องหน้าเขาอยู่พักหนึ่งแล้วถอนหายใจ ตบไหล่หยางจวิน “พ่อรู้ว่าเจ้าไม่อยากกลับไปเจอพี่ๆ น้องๆ ที่เมืองหลวง แต่พูดกันตามตรงตัวเจ้าเองก็แซ่หยาง…ช่างเถอะ หากเจ้าตัดสินใจแล้วก็อยู่ไป ใต้ร้านมีเส้นทางลับ เจ้ารู้ดีว่าอยู่ที่ไหน ยามจวนตัวสามารถเอาชีวิตรอดได้”

    “ขอบคุณท่านพ่อที่ช่วยสนับสนุน ในเมื่อข้าอยู่ช่วยรักษาเมืองแล้ว ท่านพ่อพอจะแบ่งเสบียงอาหารและกำลังคนไว้ให้ข้าได้หรือไม่”

    หยางหลินบ่นงึมงำก่อนตัดสินใจ “พ่อจะเอาคนไปครึ่งหนึ่งและทิ้งเสบียงทั้งหมดไว้ให้เจ้า”

    หยางจวินดีใจมาก “ขอบคุณท่านพ่อมากขอรับ!”

    หยางหลินเป็นคนมือเติบใจใหญ่ ผิดไปจากพ่อค้าทั่วไป เขาไม่เพียงทิ้งเสบียงทั้งหมดไว้ แต่ยังให้นำเสบียงของสกุลหยางที่อยู่แถบชานเมืองเข้ามาในตัวเมืองด้วย

    และนี่ก็คือเหตุผลที่หยางจวินกับเฮ่อหรงมายืนอยู่ที่ประตูเมืองเพราะต้องช่วยดูแลเรื่องการขนย้ายเสบียง

    หลังเฮ่อหรงรู้เรื่องการตัดสินใจของหยางจวินก็พูดกล่อมเขา “เจ้าเข้าสนามรบเข่นฆ่าศัตรูไม่ได้ อยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์”

    หยางจวินไม่พอใจ “ตกลงเจ้าหวังดีต่อข้าหรือรังเกียจข้ากันแน่”

    “รังเกียจเจ้า”

    หยางจวินขำ “ยิ่งเจ้าพูดเช่นนี้ข้ายิ่งไม่ไปไหน แต่จะคอยให้ถึงวันที่นายท่านเฮ่อได้กลับคืนสู่อำนาจ เมื่อภูเขาตะวันออกโผล่ขึ้นอีกครั้งจะได้กอดขาเจ้า ยามภัยร้ายกรายศีรษะ มิใช่โอกาสส่งถ่านกลางหิมะหรอกหรือ หากผ่านหมู่บ้านนี้ไปก็ไม่มีร้านเช่นนี้แล้ว ดังนั้นเพื่อผลตอบแทนในภายหน้า การเสี่ยงเล็กน้อยย่อมถือว่าคุ้มค่า”

    เฮ่อหรงรู้ว่าแม้หยางจวินจะพูดจาแบบพ่อค้า แต่ความจริงเขามีน้ำใจต่อสหายอย่างมาก จึงยิ้มอยู่ในใจ ทว่าสีหน้ากลับเคร่งขึ้น “อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องภูเขาตะวันออกอะไรนั่นออกมาง่ายๆ ดีกว่า จะได้ไม่ตกเป็นขี้ปากคน”

    “ข้ารู้ ว่าแต่ในสายตาของเจ้า ครั้งนี้จู๋ซานจะรอดหรือไม่”

    “หากพวกพี่ใหญ่นำกำลังเสริมกลับมาทันเวลาก็มีความเป็นไปได้ เวลานี้เราคงทำได้เพียงวางเดิมพันว่าฝ่าบาทยังเหลือเยื่อใยต่อบิดาข้ามากแค่ไหน”

    หยางจวินเห็นเฮ่อหรงพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสนิทแล้วก็อดรู้สึกเศร้าใจไม่ได้

    ผู้เป็นพระราชนัดดาสมควรได้วางตัวอยู่เหนือผู้อื่น แต่เฮ่อหรงกลับถือกำเนิดจากสาวใช้ ต่อให้เป็นช่วงก่อนหน้าที่เขาจะได้รับบาดเจ็บจนพิการก็เกรงว่าคงต้องเรียนรู้ที่จะดูสีหน้าของผู้อื่นมาตั้งแต่เล็ก การได้พบเจอกับความยากลำบากย่อมหล่อหลอมให้จิตใจเข้มแข็ง หาไม่ก็ไม่มีทางที่คนอายุน้อยแค่นี้จะไม่ตีโพยตีพายยามตกต่ำ หนำซ้ำยังเพาะบ่มความสามารถระดับนี้ขึ้นมาได้

    อาจเพราะยิ่งเกิดมาในครอบครัวเชื้อพระวงศ์ ยิ่งทำให้เขาต้องถูกผูกมัด

    หยางจวินเข้าออกบ้านสกุลเฮ่อเป็นประจำ เขาจึงเห็นมานานแล้วว่าแม้เฮ่อไท่ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวจะดูไม่ค่อยชอบเฮ่อหรง แต่กลับมองเฮ่อหรงเป็นที่พึ่งของคนทั้งครอบครัว เพราะเฮ่อไท่มักจะสอบถามความเห็นจากเขาเป็นประจำ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม

    “หากกลับไปเมืองหลวงได้ เจ้าคิดจะทำสิ่งใด” หยางจวินอดถามไม่ได้

    เฮ่อหรงตอบอย่างไม่ปิดบัง “ข้าจะหาทางล้างมลทินให้แก่มารดา”

    หยางจวินเคยได้ยินเรื่องของมารดาเฮ่อหรงมาก่อน เขาจึงตกตะลึงพรึงเพริด “ความผิดถูกตัดสินแล้ว และเวลาก็ผ่านไปตั้งหลายปีเช่นนี้ พยานบุคคลและพยานวัตถุย่อมเสื่อมสลายไปนาน…เกรงว่าคงไม่ง่ายกระมัง”

    “นั่นขึ้นอยู่กับคน”

    ในเมื่อเขายืนกรานหนักแน่นเช่นนี้ หยางจวินก็รู้สึกไม่ดีหากต้องพูดจากล่อมเขา แต่ระหว่างที่กำลังคิดว่าจะหาเรื่องอะไรอย่างอื่นมาคุยดี สายตาก็เหลือบไปเห็นคณะเดินทางที่กำลังเตรียมจะออกนอกเมืองและกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาจากระยะที่ห่างออกไปไม่ไกล ทำให้ต้องร้องเอ๊ะออกมา

    เฮ่อหรงจึงถาม “มีอะไรหรือ”

    “นั่นหัวหน้ามือปราบอวี๋ เหตุใดเขาจึงแต่งชุดพลทหาร…อ้าว คุณชายสาม?”

    เขาพูดยังไม่ทันจบเฮ่อหรงก็ก้าวออกไปขวางหน้าคณะเดินทางกลุ่มนั้นแล้ว

    องครักษ์ของสกุลอวี๋ไม่ได้ลงจากหลังม้า ตวาดเสียงดัง “บังอาจ! ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าเป็นขบวนของสกุลอวี๋ ยังกล้ามาขวางทางอีก!”

    เมื่อพวกทหารรักษาประตูเมืองตรวจสอบสถานะของอีกฝ่ายเรียบร้อยก็ไม่กล้าขวาง เตรียมจะปล่อยให้พวกเขาจากไป แต่เฮ่อหรงกลับสอดมือเข้ามา เรียกสายตาจากผู้คนให้หันมอง

    เฮ่อหรงพูดเสียงเย็น “ทหารกบฏกำลังจะเข้าตีเมือง ชาวบ้านไม่รู้ความอยากหนีศึกเพื่อเอาตัวรอดยังพอว่า แต่หัวหน้ามือปราบอวี๋มีตำแหน่งเป็นขุนนางราชสำนัก กลับไม่คิดแทนคุณแผ่นดินในเวลาเช่นนี้ ซ้ำยังรีบร้อนหนีออกนอกเมืองอีก ท่านจะไปที่ใดหรือ”

    องครักษ์ของสกุลอวี๋ตวาดเสียงเกรี้ยว “รู้ว่าหัวหน้ามือปราบกำลังจะออกเดินทาง ยังไม่รีบถอยไปอีก เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”

    กล่าวจบก็ตวัดหอกยาว พลิกข้อมือซัดหอกใส่เฮ่อหรง

    “หยุดนะ!” หยางจวินตะโกนลั่น “คนผู้นี้คือคุณชายสามของนายท่านเฮ่อ เจ้ากล้าเสียมารยาทหรือ!”

    เขาเป็นแค่บัณฑิตคนหนึ่งแต่กลับยื่นมือไปคว้าหอกยาวที่องครักษ์วาดมา ทำให้เสียหลักซวนเซจนเกือบล้มไปทางด้านหลัง โชคดีที่เฮ่อหรงประคองเขาเอาไว้ได้ทัน

    ได้ยินคำว่าสกุลเฮ่อสองคำนี้ทำให้องครักษ์เผลอชะงักงันไปเล็กน้อย หันไปมองด้านหลังตามสัญชาตญาณ

    เฮ่อหรงกล่าวเสียงหยัน “เหตุใดหัวหน้ามือปราบอวี๋จึงต้องปลอมตัวเป็นพลทหาร หรือคิดจะพาครอบครัวออกนอกเมืองไปเที่ยวชมทิวทัศน์ฤดูสารท?”

    พอเฮ่อหรงพูด พวกชาวบ้านถึงพบว่าพลทหารที่อยู่ข้างรถม้าคืออวี๋ถัง หัวหน้ามือปราบของอำเภอนี้จริงๆ จึงพูดกันเสียงดังเซ็งแซ่

    หัวหน้ามือปราบมีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยและปราบปรามโจรผู้ร้าย เนื่องจากอำเภอจู๋ซานไม่ใหญ่ ทหารของจวนจำนวนหนึ่งพันกว่านายจึงอยู่ภายใต้ความดูแลของหัวหน้ามือปราบ แม้ตำแหน่งจะเล็ก แต่ความจริงแล้วกลับมีอำนาจมหาศาล

    ทว่ายามนี้บุคคลผู้สมควรนำทัพต่อต้านศัตรูกลับเป็นคนแรกที่คิดหนี แล้วเมืองนี้ยังจะรอดอีกหรือ

    อวี๋ถังพบว่าตนถูกเปิดโปงต่อหน้าผู้คนแล้วก็อดแอบด่าในความโง่เง่าขององครักษ์ไม่ได้ เขาฝืนก้าวออกไปกล่าวด้วยท่วงทีสุขุมจริงจังว่า “การที่ข้าออกจากเมืองครั้งนี้ก็เพื่อคุ้มกันครอบครัวให้ออกไปนอกเมืองอย่างปลอดภัย แล้วเสร็จย่อมต้องกลับมาแน่นอน และเพราะเกรงว่าพวกเจ้าจะเข้าใจผิดจึงต้องปลอมตัวเล็กน้อย แต่นี่พวกเจ้ากลับเอาความคิดแบบคนชั้นต่ำมาดูแคลนสุภาพชน มีอย่างที่ไหนกัน!”

    น้ำเสียงของเฮ่อหรงเรียบสนิท “แต่ข้าว่าท่านหัวหน้ามือปราบอวี๋อย่าเพิ่งออกจากเมืองจะดีกว่า คนชั้นต่ำเช่นข้าจะได้ไม่เข้าใจผิด”

    อวี๋ถังโกรธจัด ในอำเภอจู๋ซานเขาพูดคำไหนต้องเป็นคำนั้น แม้แต่อำนาจของนายอำเภอยังถูกเขาข่ม มีหรือที่จะปล่อยให้เฮ่อหรงมาสั่งสอน ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามแซ่เฮ่อ แต่ยามนี้ก็เป็นแค่สามัญชน หากราชสำนักให้ความสำคัญกับพระราชโอรสพระราชนัดดากลุ่มนี้จริง เหตุใดจึงกักตัวพวกเขาไว้ที่นี่โดยไม่ส่งทหารมาให้ความช่วยเหลือ

    เขารู้มาตั้งแต่ต้นว่าจู๋ซานต้องไม่รอด ขืนอยู่ต่อไปก็มีแต่ตายเท่านั้น หากไม่ใช่เพราะเฮ่อหรงเข้ามายุ่ง ป่านนี้เขาคงออกนอกเมืองสำเร็จไปนานแล้ว!

    “ข้าจะทำสิ่งใดล้วนมีหลักการเป็นของตนเอง เจ้ามีสิทธิ์มาชี้นิ้วสั่งตั้งแต่เมื่อไร สกุลเฮ่อของพวกเจ้าถูกปลดเป็นสามัญชนแล้ว รู้จักสำนึกตัวเสียบ้าง! ไสหัวไป!” เขากล่าวน้ำเสียงดุดัน และเพราะเห็นองครักษ์ข้างตัวทึ่มทื่อ เอาแต่ยืนนิ่งเป็นตอไม้อยู่ตรงนั้นอย่างไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร เขาจึงต้องลงมือเองด้วยการทำท่าจะผลักเฮ่อหรงออกไปให้พ้นทาง

    ทว่ากลับมีมือข้างหนึ่งยื่นมาจากทางด้านข้างอย่างกะทันหัน มือข้างนั้นคว้าข้อมือของอวี๋ถังและจับเหวี่ยงไปที่ด้านข้าง อวี๋ถังไม่ทันตั้งตัวจึงล้มหงายหลังตึง

    “หัวหน้ามือปราบอวี๋!”

    “ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่!”

    มีคนรีบเข้ามาประคองทั้งซ้ายขวา อวี๋ถังโกรธจนหน้าตาบูดเบี้ยว พอลุกขึ้นยืนได้ก็ผลักพวกเขาออกห่างอย่างอารมณ์เสีย

    เขาคิดไม่ถึงเลยว่าก่อนหน้านี้ตอนพวกคหบดีแย่งกันหนีออกนอกเมืองยังไม่เห็นมีผู้ใดสนใจ แต่พอถึงคราวตนคิดจะหนีกลับไม่สะดวกราบรื่น

    รู้แต่แรกเขาน่าจะซ่อนตัวอยู่ในรถม้ามากกว่าจะปลอมตัวเป็นพลทหารอะไรนี่

    ผู้ที่อยู่ในรถม้าคือบรรดาสตรีสกุลอวี๋ สามคนในจำนวนนั้นเป็นอนุภรรยาที่ตามปกติเป็นที่สนิทเสน่หาของอวี๋ถังที่สุด ยามนี้เมื่อพวกนางเลิกผ้าม่านออกมาดูเหตุการณ์ พวกชาวบ้านก็ชี้ชวนกันดู เมื่อคนของตนถูกจ้องมองก็ทำให้อวี๋ถังยิ่งเจ็บแค้นเฮ่อหรงที่ทำให้เขาต้องอับอาย

    “ใครก็ได้จับคนพวกนี้มาให้ข้าที!”

    “ผู้ใดกล้า!” เฮ่อจั้นเข้ามาขวางหน้าเฮ่อหรง มือชักดาบที่ฉวยติดมือมาจากเจ้าหน้าที่ในศาลว่าการอำเภอตอนที่ออกมา

    เขารีบเผ่นโผนมาทันทีที่ได้ยินข่าวจากศาลว่าการอำเภอ เสียงพูดจึงติดหอบ แต่การทรงตัวกลับมั่นคงอย่างยิ่ง

    ทุกคนหันไปมองหน้ากันอย่างไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปจับกุมคนจริงๆ

    อวี๋ถังโกรธจัดจนหลุดมาด “พวกเจ้าคนเยอะกว่ายังจะกลัวมันหาอะไร! จับมันมาแล้วข้าจะให้รางวัลอย่างงาม!”

    เฮ่อจั้นกำดาบในมือแน่น ตามองคนจำนวนมากที่พุ่งเข้ามาหา หัวใจรัวกระหน่ำราวกับตีกลอง

    ไม่ใช่เพราะเขากลัวฝ่ายตรงข้ามที่มีจำนวนมากกว่า แต่เพราะประโยคที่เฮ่อหรงพูดที่ข้างหูเขาเมื่อครู่

    เฮ่อจั้นสูดลมหายใจเข้าปอดลึกแล้วพุ่งตัวออกไปทันที ใช้ไหล่กระแทกคนที่เข้ามาจับเขากระเด็น!

    ก่อนหน้าที่ใครจะตั้งตัวติด ชายหนุ่มก็อาศัยความเร็วระดับฟ้าผ่าปิดหูไม่ทัน ใช้ดาบวาววับแทงใส่หน้าอกของอวี๋ถัง

    เลือดสาดกระเซ็นไปถึงสามฉื่อ!

     

    บทที่ 9

     

    บริเวณหน้าประตูเมืองมีผู้คนมากมาย สายตาหลายคู่สมควรเป็นตัวขัดขวางเฮ่อจั้นไว้ แต่ทุกคนคิดไม่ถึงว่าเขาจะกล้าสังหารอวี๋ถัง!

    อวี๋ถังเองก็คิดไม่ถึงเช่นกัน

    เฮ่อจั้นลงมือรวดเร็วเกินไป ซ้ำยังมีพละกำลังมหาศาลแม่นยำ

    อวี๋ถังเพียงเห็นเขาพุ่งเข้ามาหา หัวใจเพิ่งจะเต้นได้แค่ครั้งเดียว ร่างกายยังไม่ทันจะได้มีปฏิกิริยาตอบสนองก็เห็นคมดาบแทงทะลุอกเต็มตาแล้ว

    ปลายคางสัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อน อวี๋ถังเบิกตากว้างจ้องเฮ่อจั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย จากนั้นแววตาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเลื่อนลอยเคว้งคว้างก่อนที่ร่างกายจะผงะหงายหลังไปอย่างไม่อาจควบคุม

    ผู้คนที่รายล้อมอยู่โดยรอบถอยห่างออกไปตามสัญชาตญาณตอนที่อวี๋ถังล้มโครมลงกับพื้น!

    ตายแบบตาไม่หลับ

    บรรดาสตรีสกุลอวี๋พากันร้องเสียงแหลม

    เสียงนั้นทำลายความเงียบและทำให้สถานที่แห่งนั้นปั่นป่วนโกลาหล

    นายอำเภอถานจินกับโจวอี้ที่รีบตามมาตะลึงตาค้าง

    ทหารที่เฝ้าประตูเมืองเพิ่งได้สติ “บังอาจ! พวกเจ้า…”

    ทว่าเฮ่อหรงตะโกนตัดบทเขา “อวี๋ถังมีตำแหน่งเป็นหัวหน้ามือปราบ แต่กลับไม่คิดรวบรวมกำลังทหารต่อต้านข้าศึก ซ้ำยังปลอมตัวเตรียมดอดหนีออกจากเมืองเพื่อเอาตัวรอด ทำให้ราษฎรเสียขวัญ มีโทษประหาร! ใต้หล้านี้คือแผ่นดินขององค์ราชัน บัดนี้เมื่อมีข้าศึกมารุกราน ชาวอำเภอจู๋ซานทั้งบนล่างย่อมต้องรวมใจเป็นหนึ่ง ร่วมแรงกันต่อต้านศัตรู! เฮ่อไท่บิดาข้าผู้เป็นพระราชโอรสองค์โตของจักรพรรดิองค์ปัจจุบันได้ตัดสินใจแล้วว่าจะรักษาเมือง และขอปฏิญาณเอาไว้ ณ ที่นี้ว่าจะไม่มีทางหนีเอาตัวรอดเด็ดขาด เมืองอยู่คนอยู่ เมืองแตกคนม้วย!”

    เสียงของเขาดังกลบเสียงกรีดร้องของเหล่าสตรี ทำให้ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นได้ยินกันอย่างชัดเจน

    ทุกคนต่างรู้กันดีว่าครอบครัวสกุลเฮ่อถูกเนรเทศให้มาอยู่ที่นี่ ตามปกติแล้วไม่มีใครเห็นเป็นเรื่องสำคัญ หลังมื้อน้ำชาหรือมื้ออาหารยังเอามาพูดคุยกันสองสามประโยคว่าครอบครัวสกุลเฮ่ออาจต้องแก่ตายอยู่ที่ฝางโจว

    ทว่าในช่วงเวลาที่ชาวบ้านกำลังเสียขวัญ คำประกาศถึงสถานภาพพระราชโอรสองค์โตของจักรพรรดิกลับเหมือนเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ทุกคน

    พวกเขาต่างคิดในใจว่า…จริงด้วย ครอบครัวขององค์ชายใหญ่อยู่ที่นี่ ราชสำนักจะยังไม่ดูดำดูดีได้หรือ หรือต่อให้สถานการณ์ย่ำแย่กว่านี้ หนีไม่พ้นความตาย อย่างน้อยก็ได้ชื่อว่าตายเพราะช่วยหนุนหลังโอรสกษัตริย์ เช่นนี้มิดีกว่าหรือ

    หากถานจินไม่รู้จักใช้ประโยชน์จากโอกาสเช่นนี้ ตำแหน่งนายอำเภอของเขาก็เสียเปล่าแล้ว

    สายตาของเฮ่อหรงที่กวาดมองมาทำให้นายอำเภอถานบังเกิดเชาวน์ปัญญา เขาก้าวออกไปข้างหน้าสองก้าวทันควัน พูดเสียงดัง “ข้าคือนายอำเภอของเมืองนี้! ขอทุกคนอย่าเพิ่งแตกตื่น ราชสำนักได้ส่งกองหนุนมาแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะมาถึง ก่อนหน้าที่ทัพใหญ่ของราชสำนักจะมา พวกเราขอสาบานว่าจะใช้ชีวิตพิทักษ์เมือง ไม่ปล่อยให้อำเภอจู๋ซานตกอยู่ในเงื้อมมือทัพกบฏเป็นอันขาด!”

    เขาหันไปสั่งพลทหาร “ยังเบื้อใบ้อะไรอยู่! ลากศพอวี๋ถังและจับครอบครัวของเขาทั้งหมดไปลงโทษ! เรื่องที่อวี๋ถังละทิ้งหน้าที่ ทำลายขวัญกำลังใจราษฎร ข้าจะต้องนำขึ้นรายงานราชสำนักเพื่อให้พิจารณาโทษ!”

    เฮ่อหรงรู้สึกว่าคำพูดของถานจินค่อนข้างอ่อนเกินไป ไม่ค่อยน่ายำเกรง จึงปราดไปแย่งดาบในมือของเฮ่อจั้นมา

    ดาบเล่มนั้นเพิ่งใช้สังหารหัวหน้ามือปราบ ตัวดาบยังเปื้อนเลือดและยังอุ่นๆ อยู่

    “ทหารในเมืองทั้งหมด ผู้ใดกล้าทิ้งเมืองเพื่อหนีเอาตัวรอดจะต้องมีจุดจบแบบเดียวกับอวี๋ถัง!”

    สายตาของทุกคนเผลอเลื่อนไปหยุดอยู่ที่ดาบเล่มนั้น

    เลือดไหลรินลงมาตามตัวดาบ เป็นประกายภายใต้แสงตะวัน พาให้หัวใจของทุกคนหนาวยะเยือก

    ไม่มีผู้ใดกังขาในความเอาจริงของถ้อยคำนี้

    คุณชายสามสกุลเฮ่อผู้นี้ใจกล้าจริงๆ คนของสกุลเฮ่อล้วนมีมุมที่ดุดันกันทั้งนั้น…ถานจินคิดในใจ

    สตรีสกุลอวี๋ถูกพาตัวไปแล้ว เมื่อเหตุการณ์สงบลง ฝูงชนก็ค่อยๆ สลายตัว แต่ยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังระงมอย่างไม่มีท่าทีว่าจะลดน้อยลง

    หากไม่เกิดเรื่องเหนือคาด อีกไม่นานเรื่องการตายของอวี๋ถังจะต้องแพร่กระจายไปทั่วแน่ๆ

    วิธีนี้มีผลต่อความเชื่อมั่นของผู้คนอย่างมหาศาล อย่างน้อยก็จะไม่มีขุนนางเจ้าหน้าที่หรือพลทหารกล้าเสี่ยงกับการถูกฆ่าเพื่อหนีเอาตัวรอดอีกแล้ว

    เฮ่อจั้นลอบผ่อนลมหายใจยาวเหยียด พลันมือข้างหนึ่งก็ยื่นมากุมมือเขา เทียบกับความอบอุ่นของอีกฝ่าย มือของเขาเหมือนจะเย็นกว่ามาก

    “ไม่ต้องกลัว ไม่ว่าเรื่องใดล้วนมีพี่สามช่วยแบกรับ” เขาได้ยินเฮ่อหรงพูดเช่นนี้จึงหันไปส่งยิ้มให้

    “ข้าไม่ได้กลัว”

    เพียงแต่เรื่องเมื่อครู่ปัจจุบันทันด่วนเกินไปจนเขายังดึงสติกลับมาไม่ได้ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาปลิดชีวิตคน

    ก่อนหน้านี้เขาล่าสัตว์ป่ามาไม่น้อย แต่พวกนั้นล้วนเป็นเดรัจฉาน ทว่าครั้งนี้เป็นมนุษย์

    เฮ่อหรงเดินไปหาถานจิน “ตอนท่านนายอำเภอนำเรื่องขึ้นถวายรายงาน ขอให้ผลักเรื่องทั้งหมดมาที่ข้า บอกว่าข้าคือผู้สังหาร เนื่องจากเวลานั้นท่านนายอำเภอไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ ท่านจะได้ไม่ต้องพลอยเดือดร้อนเพราะข้า”

    ถานจินแค่นเสียงคำหนึ่ง “คนอย่างอวี๋ถังตายไปก็ไม่มีอะไรน่าเสียใจ มีหรือที่นายอำเภออย่างข้าจะกลัว!”

    เฮ่อหรงหัวเราะและประสานมือคารวะ “ท่านนายอำเภอมีความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น ผู้น้อยรู้สึกเลื่อมใสยิ่งนักและยินดีให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง เพื่อให้อำเภอจู๋ซานผ่านพ้นภัยร้ายไปได้”

    โจวอี้ลอบตกใจว่าคุณชายสามสกุลเฮ่อปีนี้อายุยังไม่ครบยี่สิบปี แต่ทุกกิริยาวาจากลับมีความเป็นผู้ใหญ่เกินวัย สามารถดึงตัวถานจินเข้าร่วมเป็นก๊กเป็นเหล่าเดียวกับเขาได้อย่างแนบเนียน

    แน่นอนว่าคุณชายห้าสกุลเฮ่อที่กล้าสังหารหัวหน้ามือปราบก็ไม่ใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน แต่โจวอี้กำลังสงสัยว่าที่เมื่อครู่คุณชายห้ากล้าสังหารคนอาจจะเป็นเพราะคำสั่งของคุณชายสาม

    เฮ่อหรงแนะนำให้พวกถานจินได้รู้จักกับหยางจวิน พอได้ยินว่าสกุลหยางทิ้งเสบียงอาหารและกำลังคนไว้เป็นจำนวนไม่น้อย ถานจินรู้สึกดีใจมาก “สกุลหยางช่างมีน้ำใจเหลือเกิน ทั้งที่เป็นพ่อค้าแท้ๆ หากครั้งนี้สามารถรักษาเมืองไว้ได้ นายอำเภอเช่นข้าจะต้องนำเรื่องขึ้นรายงานราชสำนักให้ยกย่องเชิดชูสกุลหยางของพวกท่านแน่นอน!”

    หยางจวินรีบบอกว่ามิกล้า

    ถานจินกล่าวต่อ “กลุ่มพ่อค้าและคหบดีก่อนหน้านี้ที่หนีได้ก็หนีชนิดตามกันไม่ทัน ส่วนที่เหลืออยู่ในเมืองอีกเป็นจำนวนมากเพราะหนีไม่พ้น ข้าคิดว่าจะให้พวกเขาส่งคนมาช่วยรักษาเมือง กลัวแต่ว่าพวกเขาจะไม่ยอมทำตามคำสั่งง่ายๆ แต่ในเมื่อมีสกุลหยางเป็นตัวอย่างให้เห็นเช่นนี้ เชื่อว่าทุกอย่างคงง่ายดายขึ้นมาก”

    “ต่อให้มีสกุลหยางเป็นแบบอย่างก็เกรงว่าจะมีคนที่ใจกว้างเหมือนสกุลหยางอยู่ไม่มาก ท่านนายอำเภอจำเป็นต้องเตรียมการสำรองไว้ ถ้าหากพวกเขาไม่ทำตามคำสั่งก็ต้องจับกุมริบเรือนทันที ลองว่ามีนกโผล่หัวสักหนึ่งหรือสองตัว ต่อไปก็จะจัดการได้ง่ายขึ้น”

    คำพูดไม่กี่ประโยคของเฮ่อหรงไม่พ้นเรื่องการสังหารและจับกุม ทำให้ถานจินได้เปิดมุมมองใหม่

    โจวอี้เองก็รู้สึกว่าเฮ่อหรงพูดได้ไม่ผิด “ในช่วงที่กำลังวุ่นวายจำเป็นต้องวางกฎระเบียบให้เข้มงวด การเชือดไก่ให้ลิงดูย่อมสามารถข่มขวัญคน”

    “เกรงว่าอีกไม่นานทหารกบฏจะยกทัพมาถึงเมือง ขอให้ท่านนายอำเภอเร่งเตรียมพร้อมไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ หากบุรุษมีจำนวนไม่พอ สตรีที่มีร่างกายแข็งแรงหน่อยก็สามารถนำมาใช้งานได้ ให้พวกนางช่วยต้มน้ำเดือด ยกเปลหาม ดูแลทหารที่ได้รับบาดเจ็บตามกำลังที่ทำได้” เฮ่อหรงชี้แนะต่อไป

    ถานจินเอ่ยถามอย่างอดไม่อยู่ “เช่นนั้นคุณชายสามจะทำสิ่งใด”

    การที่ฝ่ายตรงข้ามสังหารหัวหน้ามือปราบโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงทำให้เขาต้องแบกรับความวุ่นวายไว้บนหลัง อันที่จริงถานจินติดจะโกรธอยู่บ้าง

    เฮ่อหรงยิ้ม “ท่านนายอำเภอต้องการให้ข้าทำสิ่งใด ข้าก็จะทำสิ่งนั้น”

     

    หลังจบเรื่องถานจินกลับมาบ่นกับที่ปรึกษาว่า “คนพิการคนหนึ่งจะทำอะไรได้ ของมันแน่อยู่แล้วว่าข้าทำอะไรเขาไม่ได้ทั้งนั้น ดีไม่ดีเมื่อถึงเวลาข้ามิต้องช่วยเขาแบกรับเรื่องการสังหารอวี๋ถังด้วยหรือ!”

    “เฮ่อหรงอายุยังน้อยแต่กลับทำอะไรเด็ดขาด ส่วนเฮ่อจั้นคนนั้นก็ไม่ใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน ยังเด็กอยู่แท้ๆ แต่กลับกล้าสังหารหัวหน้ามือปราบเองกับมือ ต่อไปถ้าหากมีโอกาสเขาจะต้องแสดงความสามารถอันโดดเด่นออกมาได้แน่ๆ หากครั้งนี้รักษาอำเภอจู๋ซานไว้สำเร็จ ไม่แน่ว่าสกุลเฮ่ออาจได้กลับเมืองหลวง เวลานี้ทุกคนต่างลงเรือลำเดียวกันแล้ว ในช่วงที่เบียดกันในเรือนี่ท่านนายอำเภอก็อย่าชักสีหน้าใส่พวกเขาเลยจะดีกว่า”

    ถานจินมองค้อนเขา “เจ้าเห็นข้าเป็นคนโง่หรือ”

    โจวอี้ทำปากขมุบขมิบเล็กน้อยก่อนกลืนเอาคำที่ว่า ‘ก็นิดหน่อย’ กลับลงไป

    เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่นำมาพูดกันในภายหลัง เมื่อสงครามพิทักษ์เมืองได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเอิกเกริก ถานจินก็ดูกระฉับกระเฉงมากขึ้นและสั่งการอย่างรวดเร็วเฉียบขาดกว่าเดิม

    เขาสั่งให้คนคอยเฝ้าระวังประตูเมืองทุกแห่งอย่างเข้มงวด ไม่อนุญาตให้คนเข้าออกโดยง่าย และพาหยางจวินไปยังบ้านคหบดีแต่ละหลังด้วยตนเองเพื่อขอให้พวกเขาส่งคนออกมาช่วยรักษาเมือง เป็นธรรมดาที่จะต้องมีคนไม่ยอมให้ความร่วมมือ แต่คำขู่ของถานจินใช้ได้ผลดีมาก ทำให้สุดท้ายพวกนั้นต้องฝืนใจตอบรับ

    แน่นอนว่าในระหว่างนั้นมีการเชือดไก่ให้ลิงดูด้วย แม้จะเป็นการสร้างความเจ็บแค้น แต่เรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้วถานจินจึงไม่ใส่ใจเรื่องใดมาก เพราะถ้ารักษาเมืองไว้ไม่อยู่ ชีวิตน้อยๆ ของเขาก็ย่อมจะรักษาเอาไว้ไม่ได้ แล้วยังจะต้องไปสนใจแรงอาฆาตของคนกลุ่มนี้อีกหรือ แต่หากรักษาเมืองสำเร็จ เขาย่อมมีความชอบมหาศาลและได้เลื่อนขั้นแน่นอน เมื่อนั้นเขายิ่งไม่ต้องแยแสคนกลุ่มนี้

    ถานจินมีตำแหน่งเป็นนายอำเภอ เพราะก่อนหน้านี้ถูกหัวหน้ามือปราบอวี๋ข่มอยู่ตลอดจนแทบไม่มีตัวตน ทำให้ราษฎรอำเภอจู๋ซานจำนวนมากรู้จักแต่หัวหน้ามือปราบ ทว่าไม่รู้จักนายอำเภอ ภาพที่อวี๋ถังถูกสังหารที่ประตูเมืองไม่เพียงทำให้เฮ่อหรงกับเฮ่อจั้นสองพี่น้องกลายเป็นที่รู้จัก แม้แต่ถานจิน ‘นายอำเภอผู้ริบเรือน’ ที่ตามมาในภายหลังก็พลอยเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง เวลานี้ท่านนายอำเภอกลายเป็นบุคคลที่พูดคำไหนต้องเป็นคำนั้นในอำเภอจู๋ซานไปแล้ว

    ภัยร้ายคืบใกล้เข้ามาอย่างช้าๆ ทุกอย่างกำลังดำเนินไปอย่างเป็นขั้นเป็นตอน

    อวี๋ถังตายแล้ว ถานจินจึงดึงคนที่มีผลงานไม่เลวในหมู่มือปราบคนหนึ่งขึ้นมารับหน้าที่แทนชั่วคราว คนผู้นั้นอาศัยอยู่ในอำเภอจู๋ซานมานานหลายปี แต่กลับถูกอวี๋ถังคอยกดไว้ทำให้ไม่ได้รับความสนใจเป็นเวลานาน ทันทีที่ได้รับตำแหน่งเขาก็รู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของถานจินจนน้ำตาไหลพราก ตั้งใจทำงานอย่างเต็มกำลังความสามารถ เนื่องจากมีประสบการณ์มานานและค่อนข้างสนิทสนมกับพลทหารตลอดจนเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อย งานที่เขารับผิดชอบจึงมีความเป็นระเบียบ อย่างน้อยๆ ผู้ใต้บังคับบัญชาก็กล้าเข้าหาและปฏิบัติตามคำสั่ง ช่วยลดแรงกดดันให้ถานจินไปได้มาก

    ทว่าก็ยังมีข่าวไม่สู้ดี นั่นคือคนเดินสารที่ถานจินส่งไปขอกำลังเสริมจากฝางหลิงกลับมามือเปล่า เพียงนำคำพูดของข้าหลวงตรวจการกลับมา

    ซือหม่าอวิ๋นบอกว่ากำลังทหารของฝางหลิงเวลานี้มีไม่มาก แต่เขาจะโยกทหารจำนวนหนึ่งพันนายจากอำเภอหย่งชิงมาช่วยอำเภอจู๋ซาน ขอให้ถานจินปฏิบัติหน้าที่รักษาเมืองเอาไว้ด้วยชีวิต อย่าให้ทหารกบฏเข้ามาได้แม้แต่เพียงก้าวเดียว

    ถานจินถามคนเดินสาร “จะส่งกำลังทหารจำนวนหนึ่งพันนายมาเมื่อไร เวลานี้สถานการณ์ของอำเภอจู๋ซานกำลังคับขัน หากทหารกบฏเข้าตีเมือง ไม่มีทางจะยันไว้ได้เกินหนึ่งวัน!”

    คนเดินสารอึกอัก “ท่านข้าหลวงไม่ได้บอก เพียงให้ผู้น้อยกลับมาถ่ายทอดคำสั่ง”

    ถานจินโมโหจนปวดศีรษะและหวิดบริภาษด่าทอออกมา “ไม่มีกระทั่งจดหมาย ท่านข้าหลวงคิดจะเหลือช่องทางเอาตัวรอดล่ะมากกว่า พูดปากเปล่าไม่ว่าใครก็ทำได้ทั้งนั้น! หย่งชิงอยู่ห่างจากจู๋ซานยิ่งกว่าฝางหลิง ให้ทิ้งใกล้ไปหาไกลเช่นนี้สู้บอกพวกเรามาตรงๆ เลยดีกว่าว่าไม่มีทหาร!”

    เฮ่อหรงรีบปราม “ท่านนายอำเภอโปรดระงับโทสะก่อน หวังพึ่งขุนเขา ขุนเขาทลาย หวังพึ่งมนุษย์ มนุษย์หนีหาย ยังคงพึ่งตัวเองจะดีกว่า”

    “คุณชายสาม เรื่องที่พี่ชายท่านไปขอกำลังเสริมที่ซางโจว ตามความเห็นท่านคาดว่าต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกว่าจะกลับมา”

    เฮ่อหรงสั่นศีรษะ ตอบตามความจริง “ตอบยาก เราวางแผนเตรียมรับสถานการณ์เลวร้ายที่สุดเอาไว้ก่อนดีกว่า”

    สีหน้าของถานจินดูปั้นยาก

    “วันนี้พวกท่านพ่อกับน้องห้าไปช่วยเสริมความแข็งแกร่งของด่านป้องกันเมือง แม้สกุลเฮ่อจะอัตคัดขัดสน แต่ทุกคนยินดีให้ความช่วยเหลือ หากท่านนายอำเภอมีสิ่งใดให้รับใช้ ขอเชิญบอกออกมาได้เลย”

    ถานจินกัดฟันก่อนพูดออกไป “ดี! ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกเราทุกคนสามัคคีกันแล้วจะรักษาเมืองเมืองหนึ่งเอาไว้ไม่ได้!”

     

     

    To be Continued…

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in คู่กิเลนค้ำบัลลังก์

    นิยายยอดนิยม

    Facebook