• Connect with us

    Enter Books

    คู่กิเลนค้ำบัลลังก์

    ทดลองอ่าน คู่กิเลนค้ำบัลลังก์ 4 บทที่ 5-6

    บทที่ 5

     

    เฮ่อหรงแค่กลับมารายงานตัว เมื่อแล้วเสร็จย่อมต้องเดินทางกลับ สำหรับเขาฉางอันในเวลานี้เป็นแค่สถานที่พักผ่อนชั่วคราว ไม่ใช่ที่ที่จะพำนักอยู่นาน เพราะรากฐานของเขาอยู่ที่หลิงโจว อีกไม่กี่วันก็ต้องเดินทางกลับไปที่นั่น

    หลังถูกโอรสสวรรค์บริภาษที่พระตำหนักวันนั้นวังหลวงก็ไม่มีคำสั่งถึงเขาอีก เฮ่อหรงจึงสบายอกสบายใจมาก ในช่วงระยะเวลาหลายวันที่อยู่ฉางอันถ้าไม่ออกไปเดินร้านหนังสือหรือฟังนักเล่านิทานกับเฮ่อจั้นก็อยู่บ้านปลูกต้นไม้ดอกไม้ แน่นอนว่าฟังดูดี แต่มองจากที่เหวินเจียงต้องสั่งให้บริวารย้ายต้นไม้ดอกไม้ที่แห้งเหี่ยวออกไปทุกวันด้วยความรู้สึกอ่อนใจ ทำให้พอจะรู้ว่าอันอ๋องไม่ได้มีพรสวรรค์ในการปลูกต้นไม้ดอกไม้ และไม่ใช่แค่ไม่มี แต่ทั้งๆ ที่รู้ว่าเลี้ยงไม่รอดแน่ๆ ยังจะดื้อด้านสร้างความหายนะให้แก่ต้นไม้ดอกไม้อีก

    นอกจากคนรู้จักอย่างจี้หลิง เฉินเชียนที่เคยติดตามเฮ่อหรง มีคนจำนวนน้อยมากที่เป็นฝ่ายมาคารวะอันอ๋องที่วัง ตระกูลขุนนางย่อมไม่อยากเข้าหาพระราชโอรสที่ไม่สนใจกฎเกณฑ์ในราชสำนัก ฝั่งรัชทายาทไม่มีความเคลื่อนไหว ต่อให้เฮ่อหรงอยู่ที่เมืองหลวง แต่กลับเหมือนบุคคลไร้ตัวตนที่ไม่มีผู้ใดถามถึง

    ก่อนหน้าวันเกิดจี้อ๋องสองวันเฮ่อจั้นมาชวนเฮ่อหรงให้ไปร่วมอวยพร

    “ข้าให้คนเตรียมของขวัญไว้แล้ว ถึงตอนนั้นแค่ส่งของไปก็พอ ขืนข้าไปทุกคนจะหมดสนุก มิเป็นการทำลายงานเลี้ยงวันเกิดของพี่รองหรอกหรือ” เฮ่อหรงปฏิเสธทันที

    “พี่รองเป็นคนให้ข้ามาชวนท่าน” เฮ่อจั้นกอดไหล่เขายิ้มๆ “พี่รองเป็นคนตรงไปตรงมา ท่านเห็นแก่หน้าข้า ฝืนใจไปหน่อยได้หรือไม่”

    เฮ่อหรงหัวเราะ “หน้าเจ้าใหญ่ถึงเพียงนี้เชียว?”

    “แน่นอน!” เฮ่อจั้นกะพริบตา เขายื่นหน้าเข้าไปหาอีกฝ่าย “หรือไม่ใหญ่?”

    ผลคือถูกเฮ่อหรงเขกหน้าผากไปหนึ่งที

    เวลานี้ท่าทีของเฮ่อหรงที่มีต่อพี่ชายสองคนอย่างรัชทายาทกับจี้อ๋องถึงขั้นไม่อยากพูดกันมากกว่าครึ่งประโยค แต่ในเมื่ออีกฝ่ายให้เฮ่อจั้นออกหน้ามาเชิญด้วยตัวเอง เขาย่อมไม่อาจปฏิเสธ เมื่อถึงวันเกิดของจี้อ๋องเขากับเฮ่อจั้นจึงเดินทางไปพร้อมกันเพื่ออวยพร

    เวลานี้วังจี้อ๋องเต็มไปด้วยที่นั่งแน่นขนัด แขกเหรื่อมากันจำนวนไม่น้อย แขกบุรุษกับแขกสตรีจะแยกที่นั่งกัน ทางด้านแขกสตรีมีชายาจี้อ๋องหลี่ซุ่ยอันให้การรับรอง ส่วนทางฝั่งบุรุษทันทีที่อันอ๋องมาภายในงานที่แต่เดิมกำลังคึกคักพลันเงียบสนิท

    สักพักเหมือนทุกคนจะได้สติจึงค่อยๆ แสร้งทำเป็นเหมือนไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นพลางคุยเล่นกันต่อ

    เฮ่อจั้นคิดไม่ถึงว่า ‘บารมี’ ของพี่สามของตนจะยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ จึงแอบแค่นหัวเราะให้ท่าทางของพวกที่สนแต่จะประจบเอาใจผู้ที่เปี่ยมอำนาจมากกว่าเหล่านี้อยู่ในใจ

    เฮ่อหรงทำนิ่งเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ที่นั่งของเขากับเฮ่อจั้นแยกจากกัน

    อย่างไรเสียพวกเลือกสอพลอแต่ผู้เหนือกว่าก็มีจำนวนน้อย เพราะคนส่วนใหญ่โดยเฉพาะตระกูลขุนนางที่มีรากเหง้า ต่อให้พวกเขาจะขัดขาเฮ่อหรงในที่ลับได้ แต่ไม่สามารถฉีกหน้าเขาในที่แจ้ง จึงมีคนจากสกุลฟั่นกับสกุลลู่เข้ามาทักทายเฮ่อหรงอย่างไม่ขาดสาย กิริยามารยาทนอบน้อม ไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจอย่างที่ผู้อื่นคาดคิด

    อันที่จริงถ้าดูดีๆ จะพบว่าแขกที่มางานวันนี้ไม่มีขุนนางขั้นสามขึ้นไปเลยสักคน แม้หลี่ควนจะเป็นพ่อตาของจี้อ๋อง แต่เขามีสถานะเป็นอัครเสนาบดีฝ่ายขวาจึงต้องหลบเลี่ยงข้อครหา ทำให้ไม่สามารถมาร่วมงาน เช่นเดียวกับขุนนางคนสำคัญอย่างจางซง ฟั่นอี้ ทุกตระกูลจึงส่งอนุชนมาอวยพรเพื่อแสดงความเคารพยกย่องอย่างเต็มที่ เกรงว่าต่อให้เป็นงานวันเกิดรัชทายาทก็ไม่แน่ว่าจะเชิญขุนนางพวกนี้ให้ไปร่วมงานได้

    คนที่รู้ความมีจำนวนไม่น้อย แต่พวกที่ตาไร้แววล้วนรู้สึกว่าเฮ่อหรงสูญสิ้นความโปรดปราน หัวเดียวกระเทียมลีบ ไร้ที่พึ่ง จึงใช้วาจาสนิทสนมมากล่าวในทำนองเยาะเขา “ไม่ทราบว่าองค์ชายสามอยู่หลิงโจวนาน ได้กลับมาฉางอันอีกครั้งรู้สึกอย่างไร”

    เฮ่อหรงช้อนตาขึ้นมองคนผู้นั้นแวบหนึ่ง จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าอีกฝ่ายแซ่โจว เป็นอนุชนคนหนึ่งของสกุลโจว

    โจวซู่เป็นญาติห่างๆ ของสกุลโจว แต่เฮ่อหรงกลับสังหารเขา ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นการตบหน้าสกุลโจว ต่อหน้าสกุลโจวไม่ว่า แต่ลับหลังกลับบริภาษด่าทอเฮ่อหรงเสียยับเยิน เด็กหนุ่มคนนี้ยังอยู่ในวัยคึกคะนอง ย่อมยากที่จะระงับอารมณ์เอาไว้ได้

    หลายคนให้ความสนใจเฮ่อหรงอย่างกึ่งตั้งใจกึ่งไม่ตั้งใจ ยิ่งเห็นเหตุการณ์นี้ก็เผลอหยุดพูดคุย ทำให้บรรยากาศเงียบลงอีกครั้ง

    ได้ยินเฮ่อหรงพูดเสียงทุ้ม “รู้สึกอย่างแท้จริงว่ากิ่งแห้งใบร่วงของหลิงโจวถูกกวาดเรียบร้อย เวลานี้กำลังแตกหน่อใหม่ ส่วนฉางอัน…”

    เขาไม่ได้พูดต่อ แต่หันไปส่งยิ้มให้อนุชนสกุลโจวหนึ่งที

    ไม่รู้เพราะเหตุใดอนุชนสกุลโจวถึงมองเห็นไอสังหารเข้มข้นอยู่ในรอยยิ้มที่เรียกได้ว่าสดใสนี้ ทำให้รู้สึกหนาวเยือกไปทั้งหัวใจ ก่อนฉุกคิดถึงการตายของโจวซู่ขึ้นมาได้ ทำให้เขาพูดคำที่เตรียมไว้ไม่ออก

    อันอ๋องผู้นี้…

    เป็นอย่างที่เล่าลือว่าไม่สนใจเรื่องผลประโยชน์ เฉียบคมเด็ดขาด

    ว่ากันว่าตอนเขาต้องเผชิญกับการสอบเค้นของโอรสสวรรค์ที่พระตำหนักจื่อเฉิน ต่อหน้าขุนนางหกกรมเก้าสำนัก เขาดึงดันไม่ยอมกล่าวขออภัย บางคนรู้สึกว่าเขาโง่เง่า ไม่รู้จักกาลเทศะ แต่บางคนก็รู้สึกว่าเขามีความเย่อหยิ่งทระนง

    ไม่ว่าจะอย่างไรคนผู้นี้มิใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายๆ

    เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกเสียใจที่เมื่อครู่ตนเชื่อคนยุยง ถึงได้หลุดปากพูดออกไปเป็นนกโผล่หัว

    เฮ่อหรงมองหน้าเขา พูดเสียงเนิบ “ไม้ใหญ่สูงเทียมเมฆย่อมมีกิ่งแห้งและแมลงมากมาย แต่สิ่งที่เป็นภัยต่อไม้ใหญ่ สักวันย่อมต้องถูกกวาดล้างให้สะอาด”

    อนุชนสกุลโจวมีสีหน้าไม่ยินยอม ตั้งท่าจะพูดอะไรอีก แต่กลับถูกคนข้างๆ กดไว้ อีกฝ่ายประสานมือ “คนหนุ่มไม่ประสีประสา ทำให้องค์ชายต้องขบขัน”

    เฮ่อจั้นแอบขำอยู่ในใจนิดๆ นึกถึงสมัยที่อยู่ฝางโจว ได้ยินว่าพี่สามกับพี่ใหญ่ติดตามฝ่าบาทที่เวลานั้นยังเป็นแค่สามัญชนไปร่วมงานเลี้ยงฉลองเทศกาลจงชิวของผู้ตรวจการมณฑลฝางโจวซือหม่าอวิ๋นแล้วถูกคนพูดจาดูหมิ่นกลางงานเลี้ยง พี่สามจึงสาดสุราใส่ตัวคนเดี๋ยวนั้น

    เวลานี้เขาแค่พูดโต้กลับอย่างสุภาพถือว่าใจเย็นที่สุดแล้ว

    “พี่สามอย่าโกรธเลย” เฮ่อซีไม่ค่อยสบายใจจึงพูดปลอบเสียงอ่อน

    เฮ่อหรงลูบศีรษะเขาพลางนึกขำว่าเรื่องเล็กน้อยแค่นี้เขาไม่น่าเก็บเอามาใส่ใจจริงๆ

    เฮ่อซิ่วอยู่ห่างออกไปไกล แต่พอสังเกตเห็นเรื่องเล็กน้อยนี้เขาก็พลันขมวดหัวคิ้ว ยุติการสนทนากับผู้อื่น ก่อนลุกขึ้นเดินข้ามมาเป็นฝ่ายคารวะสุราก่อน

    เฮ่อหรงกับเฮ่อจั้นย่อมต้องลุกขึ้นตอบรับ

    “พี่รอง ขอให้ทุกปีมีสุขเหมือนวันนี้ ทุกช่วงอายุรุ่งโรจน์เฉกเช่นปัจจุบัน” เฮ่อจั้นยกจอกสุราคารวะ

    “ขอให้พี่รองสุขภาพแข็งแรง สมปรารถนาในทุกสิ่ง” เฮ่อหรงกล่าว

    “ขอให้พี่รองได้ดั่งใจทุกประการ!” น้องเจ็ดเฮ่อซีรีบพูดตาม

    วันนี้เฮ่อซิ่วดูอารมณ์ไม่เลว เขาชนจอกกับพวกน้องๆ แล้วดื่มสุรารวดเดียวหมด

    นอกจากรัชทายาทกับเฮ่อสี่ น้องเจ็ดเฮ่อซีก็มา นี่จึงเป็นครั้งแรกในช่วงสองเดือนที่พี่น้องทุกคนมาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้า ได้คล้องแขนดื่มสุรากันอย่างมีความสุข

    เฮ่อซิ่วดึงแขนเฮ่อหรงมาถาม “เมื่อครู่มีผู้ใดทำให้เจ้าไม่พอใจหรือไม่”

    เฮ่อหรงสั่นศีรษะ “ไม่มี แค่คุยกันเรื่องทั่วๆ ไป วันนี้เป็นวันเกิดพี่รอง ข้าไม่ทำให้หมดสนุกหรอก”

    “เจ้าเป็นน้องชายข้า เป็นพระราชโอรส หากมีผู้ใดกล้าไม่เคารพเจ้า นั่นย่อมเท่ากับไม่เคารพสกุลเฮ่อของเรา เจ้าอาจใจกว้างไม่เอาความ แต่ข้าไม่มีทางปล่อยมันแน่”

    เขาจงใจพูดประโยคนี้ด้วยเสียงอันดังให้ทุกคนที่อยู่รอบๆ ได้ยิน เพื่อเป็นการประกาศว่าไม่ว่าเฮ่อหรงจะเป็นอย่างไรก็ไม่ถึงคราวให้คนนอกต้องมาสั่งสอน

    อนุชนสกุลโจวผู้นั้นหน้าซีด รีบก้มหน้า จนงานเลี้ยงจบแล้วก็ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้น

    เฮ่อซิ่วตบไหล่เฮ่อหรง “น้องสาม เราไปเดินที่ระเบียงทางนั้นกัน ตรงนั้นมีดอกซิ่วฉิวที่เพิ่งปลูก”

    เฮ่อหรงรู้ว่าเขามีเรื่องจะพูดจึงผงกศีรษะแล้วเดินตามไป

    ดอกซิ่วฉิวเป็นพุ่มบานสะพรั่งอยู่ใต้ระเบียง มีทั้งสีชมพู ขาว ม่วง และแดง ราวกับอัญมณีหลากสีละลานตาที่ประดับอยู่บนเรือนผมของสตรี

    “ดอกไม้บานได้งามมาก” เฮ่อหรงชมประโยคหนึ่ง เขาไม่รู้เลยว่าดอกไม้พวกนี้หลี่ซุ่ยอันเป็นคนปลูก

    เหมือนอย่างที่เขาเคยบอกหลี่ซุ่ยอันว่าพวกเขาต่างรู้จักกันและกันน้อย ยังไม่ทันได้เริ่มต้นก็ต้องสิ้นสุด

    “บานได้ไม่เลว” เฮ่อซิ่วตอบรับอย่างคนใจไม่อยู่กับตัวก่อนเปลี่ยนเรื่อง “น้องสาม อันที่จริงข้าไม่เคยตำหนิเจ้า”

    ต่อให้เฮ่อหรงเป็นคนไหวพริบดี แต่พอมาเจอกับคำพูดที่ไม่มีหัวมีท้ายเช่นนี้ก็ยังคงอึ้ง

    “พี่รองหมายถึง?”

    “ที่เจ้าเล่นงานพวกพ่อค้าที่หลิงโจวแล้วมีสกุลลู่อยู่ด้วย ข้าเห็นแก่หน้าสกุลลู่ถึงได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งเพื่อช่วยพวกเขาขอร้องเจ้า แม้ภายหลังเจ้าจะไม่ได้อะลุ้มอล่วยให้เป็นพิเศษ แต่ข้ารู้ว่าเจ้าเพิ่งไปถึงที่นั่น จำเป็นต้องสร้างฐานอำนาจ พวกเขาฉ้อฉลกันเอิกเกริกเกินไป เป็นการหาเรื่องใส่ตัว ไม่อาจโทษผู้ใดได้ทั้งสิ้น ข้ารู้ว่าการที่เจ้าไม่ได้เล่นงานสกุลลู่เหมือนที่เล่นงานสกุลโจวเท่ากับไว้หน้าข้าแล้ว”

    เฮ่อหรงยิ้ม “ขอบคุณพี่รองมากที่เข้าใจ”

    เฮ่อซิ่วหัวเราะ “เจ้าคิดว่าข้าเป็นพวกไร้เหตุผลหรือ”

    “หลังจากพี่สะใภ้รองจากไป ข้าเกรงว่าท่านจะเสียใจมากจนไม่ยอมปล่อยวาง แต่วันนี้เห็นท่านเบิกบานขึ้น ข้าก็สบายใจ”

    เฮ่อซิ่วหัวเราะฮ่าๆ “เจ้าไม่ต้องมายอข้า สิ่งใดคือเบิกบาน ข้าแค่คิดได้เท่านั้น ในบรรดาพี่น้องทุกคน นอกจากรัชทายาท พวกเจ้าล้วนไม่เลว น้องห้าเป็นพี่น้องร่วมอุทรเดียวกับข้า ไม่จำเป็นต้องพูด ตอนนั้นข้าเสียใจและสิ้นหวังจึงเสียสติ ไปมีเรื่องกับรัชทายาทหลายครั้ง แต่ได้เจ้าช่วยไกล่เกลี่ย จะว่าไปที่เจ้าต้องไปหลิงโจวคงไม่ใช่เพราะถูกข้ากับรัชทายาทบีบใช่หรือไม่ หรือจะให้ข้าไปทูลขอฝ่าบาทให้ทรงเปลี่ยนดินแดนศักดินาให้เจ้า?”

    เฮ่อหรงส่ายหน้า “ขอบคุณในความปรารถนาดีของพี่รองมาก แต่ข้าอยู่ที่หลิงโจวจนชินแล้ว ไม่อยากย้ายอีก”

    “แนวหน้ามีโอกาสเกิดสงครามได้ตลอด” ฟังจากที่เฮ่อซิ่วพูด ดูเหมือนเขาจะอิจฉาเล็กน้อย

    เฮ่อหรงจับน้ำเสียงของเขาได้ “พี่รองจะออกจากเมืองหลวงหรือ”

    เฮ่อซิ่วหัวเราะเยาะตัวเอง “เวลานี้คงไม่ได้แล้ว รัชทายาทจะปล่อยข้าไปได้อย่างไร ตราบใดที่อัครเสนาบดีหลี่ยังอยู่ในราชสำนัก เขาไม่มีทางสบายใจ”

    เฮ่อหรงเงียบ

    เพราะเขารู้ว่าเฮ่อซิ่วพูดถูก

    ก่อนหน้านี้เฮ่อซิ่วสร้างผลงานด้วยการชนะศึกใหญ่ที่กานโจว รัศมีจึงเปล่งประกายเจิดจ้า แต่แล้วจู่ๆ กลับมีเรื่องสังหารราษฎรเพื่อเพิ่มบำเหน็จ ทำให้สุดท้ายลูกหลานสกุลจางจำเป็นต้องแบกหม้อดำ ไม่ว่าเบื้องหลังของเรื่องนี้จะเป็นฝีมือของรัชทายาทหรือไม่ เฮ่อซิ่วย่อมต้องจดบัญชีนี้ไว้ที่ศีรษะของรัชทายาท

    ต่อมาพระราชโอรสที่เกิดจากพระอัครมเหสีเสียชีวิต ราชสำนักโกลาหล รัชทายาทตกเป็นเป้า อีกฝ่ายจึงมีสิทธิ์ระแวงเฮ่อซิ่วเช่นกัน

    ดังนั้นตอนที่รัชทายาทส่งหลี่อวิ๋นไปหลิงโจวเพื่อให้เฮ่อหรงใส่ร้ายเฮ่อซิ่ว ทำให้เฮ่อหรงรู้ว่าทั้งสองคนเดินไปถึงขั้นน้ำกับไฟ ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้อีกแล้ว

    “มีคำพูดประโยคหนึ่งที่ข้าไม่รู้ว่าควรพูดดีหรือไม่” ในที่สุดเฮ่อหรงก็เอ่ย

    “หากเจ้าจะกล่อมให้ข้าอย่าปะทะกับรัชทายาท เช่นนั้นไม่จำเป็นต้องพูด ข้าเคยอยากขอไปประจำอยู่ชายแดน แต่กลับถูกรัชทายาทใช้สารพัดวิธีมาขัดขวาง ทำให้ข้าไปไม่ได้ มาวันนี้ต่อให้เขาอยากให้ข้าไป ข้าก็ไม่ไป”

    “เรื่องระหว่างท่านกับรัชทายาทข้าจะไม่สอดมือ เพียงอยากเตือนท่าน” เฮ่อหรงมองหน้าเขา “อย่าเข้าใกล้หลี่ควนมากเกินไป”

    เฮ่อซิ่วมีสีหน้าแปลกใจก่อนหลุดขำ “เขาเป็นพ่อตาของข้า”

    เฮ่อหรงผงกศีรษะ สีหน้าจริงจัง “ข้ารู้”

    เฮ่อซิ่วพูดเสียงทุ้ม “น้องสาม ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากับอัครเสนาบดีหลี่เข้าใจผิดกันเรื่องใด แต่ถ้าเจ้ายินดี ข้าสามารถออกหน้าให้เจ้ากับอัครเสนาบดีหลี่ได้เจอกันเป็นการส่วนตัว พวกเจ้าจะได้แก้ไขความเข้าใจผิด”

    เฮ่อหรงถอนหายใจ เพราะรู้ดีว่าการเตือนที่ปราศจากหลักฐานย่อมไร้ประโยชน์ “ไม่จำเป็น ที่ผ่านมาอัครเสนาบดีหลี่ไม่มีเรื่องให้ขุดคุ้ยทั้งในเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นอัครเสนาบดี ในขณะที่พี่รองเป็นพระราชโอรส พวกท่านสองคนเป็นพ่อตากับบุตรเขย ซ้ำยังมีสถานภาพสูงส่ง การที่รัชทายาทจะระแวงจึงเป็นเรื่องธรรมดา หากท่านสามารถรักษาระยะห่างจากอัครเสนาบดีหลี่ในที่แจ้ง รัชทายาทอาจเลิกเพ่งเล็ง”

    เฮ่อซิ่วหลุดขำ “น้องสามเจ้าเปลี่ยนเป็นไร้เดียงสาตั้งแต่เมื่อใด เวลานี้รัชทายาทไม่มีทางเปลี่ยนท่าทีเพียงเพราะข้าเข้าใกล้ผู้ใดอีกแล้ว”

    เฮ่อหรงผงกศีรษะ “ข้าพูดผิดไปเอง”

    บทสนทนาของสองพี่น้องต้องยุติแค่นี้ เนื่องจากเฮ่อซิ่วเป็นเจ้าภาพ ไม่สามารถออกจากงานเลี้ยงมานานๆ ทั้งสองคนเลยต้องกลับไปที่งานเลี้ยงกันอีกครั้ง เฮ่อหรงดื่มไปอีกสองจอกก่อนอำลา เฮ่อจั้นเข้าใจว่าทั้งคู่มีปากเสียงกันจึงมีสีหน้าวิตก ทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไว้ ทว่าเขายังคงรั้งตัวเฮ่อหรงให้งานเลี้ยงจบก่อนแล้วค่อยไป

    ทันทีที่กลับมาถึงวังอันอ๋อง เฮ่อหรงได้รับจดหมายที่เซวียถานส่งมา

    กวาดตามองทีเดียวสิบบรรทัด เฮ่อหรงย่นหัวคิ้ว ส่งจดหมายให้จางเจ๋อพลางถาม

    “ที่บ้านสบายดีหรือไม่”

    “ตอนแรกข้าตั้งใจจะกล่อมให้พวกพี่ใหญ่มาทำงานให้ท่านร่วมกับข้า ผู้ใดจะรู้ว่าข้ากลับถูกพี่ใหญ่อบรมไปหนึ่งยก” จางเจ๋อฝืนยิ้มพลางส่ายหน้า สายตาจดจ้องอยู่ที่เนื้อหาในจดหมาย ความสนใจทั้งหมดถูกมันดึงดูดเข้าไปทำให้ไม่มีเวลาใส่ใจเรื่องบ้านสกุลจางอีก “ทูเจวี๋ยมีการเคลื่อนไหว?”

    ในจดหมายเซวียถานรายงานสถานการณ์ของหลิงโจวในช่วงนี้ว่าหลังจากสังหารพวกชอบฉ้อฉลเกียจคร้านกลุ่มหนึ่งไปเมื่อคราวก่อน หลินเหมี่ยวเตะคนแก่ คนอ่อนแอ และคนขี้โรคในกองทัพออกไป ทำให้การฝึกทหารมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่เนื่องจากเพิ่งเริ่มได้ไม่นาน ประกอบกับผู้คนมากมายต่างเสียขวัญเพราะชื่อเสียงอันโหดเหี้ยมของชาวทูเจวี๋ยที่สั่งสมมานานปี ถ้าเจอศึกเข้าจริงๆ ก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะชนะ ซ้ำยังมีเบาะแสฟ้องว่าช่วงนี้ทูเจวี๋ยกับเหลียงโจวมีความเคลื่อนไหวด้านกำลังพล จึงอยากจะขอให้พวกเฮ่อหรงรีบกลับเพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

    แม้เซียวอวี้ก่อการกบฏ ตั้งตัวเป็นอ๋อง แต่ผู้คนในจงหยวนยังคงชินที่จะเรียกชื่อเหลียงโจว ไม่ใช่แคว้นเหลียง

    “องค์ชาย พวกเรากลับกันเร็วหน่อยดีหรือไม่” จางเจ๋อเป็นกังวล

    เฮ่อหรงผงกศีรษะ “พรุ่งนี้ข้าจะเข้าวังไปเข้าเฝ้าเพื่อขอเดินทางกลับหลิงโจว”

    กลับมาอยู่เมืองหลวงหลายวัน หลังจากถูกด่ากราดไปหนึ่งยกจักรพรรดิจยาโย่วไม่ได้เรียกเฮ่อหรงเข้าเฝ้าอีก และเฮ่อหรงก็ไม่ได้ทูลขอเข้าเฝ้า ไม่ใช่เพราะเขากับจักรพรรดิโกรธกัน แต่เพราะกำลังเฝ้าคอยโอกาส

    ในที่สุดโอกาสก็มาถึง

    ครั้งนี้ชายหนุ่มพาองค์หญิงเจินติ้งไปด้วย ทันทีที่ถวายหนังสือเข้าไป จักรพรรดิจยาโย่วก็รีบเรียกพวกเขาเข้าเฝ้า

    “เราไม่เรียกตัวเจ้า เจ้าคงโล่งหูดีใช่หรือไม่” จักรพรรดิจยาโย่วมองหน้าเขาพลางหัวเราะเสียงเย็น

    เฮ่อหรงประสานมือ “กระหม่อมเกรงว่าฝ่าบาทจะยังกริ้วอยู่ จึงไม่กล้าบุ่มบ่ามมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”

    จักรพรรดิจยาโย่วหงุดหงิดกับท่าทีนิ่งๆ ของเขา “ท่าทางของเจ้าเรามองแล้วไม่เหมือนคนที่มีความจริงใจเลย!”

    นับตั้งแต่จำความได้เฮ่อหรงรู้ว่าบางครั้งนิสัยของบิดาก็เหมือนเด็กๆ อารมณ์ดีเร็ว หายโกรธไว สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ลักษณะนิสัยที่จักรพรรดิควรมี หลายปีผ่านไปเขาเรียนรู้แล้วว่าจะรับมืออีกฝ่ายอย่างไร

    “กระหม่อมร้องไห้ไม่ออก ขอยิ้มถวายแทนได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

    จักรพรรดิจยาโย่วนึกอยากเตะเขา พูดเสียงหงุดหงิด “มีอะไรก็ว่ามา เราไม่มีเวลาว่างให้เจ้ามากหรอกนะ!”

    “กระหม่อมได้รับข่าวจากทางหลิงโจว บอกว่าชาวทูเจวี๋ยเริ่มมีความเคลื่อนไหว กระหม่อมจึงอยากเร่งกลับไปประจำการด้วยตัวเอง จะได้สบายใจ”

    จักรพรรดิจยาโย่วเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “ทูเจวี๋ยเพิ่งรวมแผ่นดินได้ไม่นานก็อดรนทนไม่ไหวจะเคลื่อนทัพมาจงหยวน มิใจกล้ามากไปหน่อยหรือ”

    “เพราะพวกเราคิดเช่นนี้เลยเผลอผ่อนความระแวดระวังลง ชาวทูเจวี๋ยเข้าใจจุดนี้ดี การฝึกทหารที่หลิงโจวยังไม่แล้วเสร็จ ไม่อาจเรียกได้ว่าแข็งแกร่งดุจด่านปราการโลหะน้ำแกง* เกรงว่าจะตกเป็นเป้าของทูเจวี๋ยได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซียวอวี้ที่เป็นหมาป่าเจ้าเล่ห์คอยพัดลมจุดไฟอยู่ข้างๆ ยิ่งไม่อาจนอนใจ ไม่ว่าข่าวนี้จะเป็นจริงหรือเท็จ กระหม่อมก็ยังอยากกลับไปดูด้วยตัวเอง”

    จักรพรรดิจยาโย่วมองเขาอยู่พักหนึ่ง ถอนหายใจเฮือก

    “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดเราจึงไม่เคยทำดีต่อเจ้า”

    องค์หญิงเจินติ้งอยู่ที่ตำหนักข้าง ยังไม่ได้มาเข้าเฝ้า และจักรพรรดิจยาโย่วก็ให้ข้าหลวงถอยออกไปแล้ว ที่แห่งนี้จึงเหลือแค่พวกเขาสองพ่อลูก สามารถพูดคุยกันได้อย่างเปิดเผย

    ทุกคนต่างว่ากันว่าจักรพรรดิจยาโย่วหมางเมินเฮ่อหรง และพระองค์ก็ลำเอียงรักบุตรคนอื่นๆ จริงๆ แต่ต่อให้ลำเอียงเพียงใดก็ยังไม่ถึงขั้นลำเอียงจนหน้ามืดตามัวกระทั่งไม่ยอมมองบุตรชายคนนี้เลย เฮ่อหรงสังหารโจวซู่เพื่อจัดระเบียบพ่อค้า ขัดเกลาทหารบำรุงม้า จักรพรรดิจยาโย่วล้วนมองเห็น ใช่ว่าพระองค์จะไม่ยอมรับผลงานที่เฮ่อหรงทำ เพียงรู้สึกว่า…

    “เจ้าใจร้อนเกินไป หลายๆ เรื่องแม้เจตนาของเจ้าจะดี แต่การทำอะไรแบบไม่บอกไม่กล่าว เป็นต้นว่าการสังหารโจวซู่ เจ้าสามารถจับเขาเข้าคุกหลวง ไม่ต้องถึงตายและไม่ต้องผูกใจเจ็บกับสกุลโจว ยังมีเรื่องที่ช่วยองค์หญิงเจินติ้งอีก เจ้าน่าจะบอกเราสักคำ ไม่ใช่แอบซุ่มประหารก่อนกราบทูลทีหลัง เพราะการพาคนกลับมาย่อมเป็นการสร้างเรื่องวุ่นวายมากมายให้แก่ราชสำนัก เจ้าเคยคิดถึงเรื่องพวกนี้บ้างหรือไม่”

    เฮ่อหรงย่นหัวคิ้ว “ฝ่าบาท กาลเวลาไม่คอยท่า กระหม่อมกลัวแต่จะลงมือช้าเกินไป น้อยเกินไป ต้าไหวเราตอนนี้ภายในมีตระกูลใหญ่ตระกูลขุนนาง ภายนอกมีทูเจวี๋ย ท้องพระคลังว่างเปล่า หากเกิดภัยธรรมชาติขึ้นย่อมขาดทุนรอน ถ้าในนอกต่างมีปัญหา หิมะตกยังเจอลูกเห็บซ้ำ เกรงว่าบ้านเมืองจะเดือดร้อน เพราะฉะนั้นเวลานี้จึงต้องจัดการเรื่องคนและเรื่องงานให้เด็ดขาด!”

    จักรพรรดิจยาโย่วไม่เห็นด้วย “เจ้าก็พูดเกินไป”

    เฮ่อหรงเม้มริมฝีปาก เลิกพูดวนอยู่กับเรื่องนี้ เปลี่ยนไปเรื่องอื่น “ฝ่าบาท เวลานี้แม้หลิงโจวจะได้เงินจากสามตระกูลอย่างสกุลลู่ สกุลฟั่น และสกุลโจวมาบ้าง แต่ที่ผ่านมาคลังขาดแคลนมาโดยตลอด เวลานี้ฤดูหนาวใกล้จะมาถึง ต้องเพิ่มเสื้อผ้ากับผ้าห่มให้ทหาร ล้วนจำเป็นต้องใช้เงินทั้งสิ้น กระหม่อมจึงอยากจะขอหน้าด้านทูลขอยุทธปัจจัยด้านเสบียงอาหารจากฝ่าบาท”

    จักรพรรดิจยาโย่วย่นหัวคิ้ว “เจ้ารู้ว่าเวลานี้ท้องพระคลังว่างเปล่า ยังจะกล้าพูดเช่นนี้อีกหรือ”

    เฮ่อหรงรีบบอก “หากไม่สามารถปันเสบียง เช่นนั้นขอฝ่าบาททรงงดเว้นภาษีที่เป็นเงินและเสบียงให้หลิงโจวเป็นเวลาสิบปีได้หรือไม่”

    จักรพรรดิจยาโย่วถลึงตาใส่เขา “เจ้าขู่เราหรือ สิบปี? เจ้าพูดออกมาได้! สามปี ไม่มีมากไปกว่านี้”

    “ห้าปีเถอะพ่ะย่ะค่ะ”

    จักรพรรดิจยาโย่วโกรธจนขำ “เจ้านึกว่ากำลังซื้อผักอยู่ในตลาดหรือ สามปี จะเอาหรือไม่เอา”

    “เช่นนั้นก็สามปี” เฮ่อหรงยอมประนีประนอม

    สามปีก็เพียงพอ เขาคิดคำนวณอยู่ในใจ

    “ถือว่าเราได้เห็นชัดเจนแล้วว่าที่เจ้ามาขออภัยเราวันนี้เป็นเรื่องเท็จ ขอให้เราเว้นภาษีให้หลิงโจวต่างหากที่เป็นเรื่องจริง เจ้าช่างเลือกเวลาได้ดีจริงๆ ฉวยโอกาสตอนที่เราเริ่มหายโกรธเจ้า”

    “ฝ่าบาททรงพระปรีชา”

    จักรพรรดิจยาโย่วอารมณ์เสีย “ไสหัวไป! พรุ่งนี้ออกเดินทางกลับไปหลิงโจวของเจ้า!”

    เฮ่อหรงประสานมือคารวะ ถอยออกไปจริงๆ ไม่คิดจะหันกลับมาแม้แต่น้อย

    จักรพรรดิจยาโย่วถูกเขาทำให้โกรธจนแทบปาถ้วยชาทิ้ง

    ทว่าพระองค์กลับเห็นเฮ่อหรงหยุดเท้ากะทันหัน และหันกลับมาอีกครั้ง

    “เสด็จพ่อ จอนพระเกศาของพระองค์เห็นสีขาวแล้ว ขอทรงถนอมพระวรกายมังกรด้วย”

    ประโยคนี้เป็นเหมือนสายลมที่พัดเข้าไปในใจของจักรพรรดิจยาโย่ว ทำให้พระองค์รู้สึกเจ็บร้าวนิดๆ อารมณ์ที่เพิ่งขึ้นพลันอ่อนลงทันที

    “เจ้านี่นะ!” สองพ่อลูกสบตากัน จักรพรรดิจยาโย่วมีความรู้สึกที่หลากหลาย ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี หลังนิ่งไปนานพระองค์ก็กล่าว “เรารู้มาตลอดว่าเจ้าเป็นบุตรที่ดี เวลานี้…อดีตจักรพรรดิเพิ่งสวรรคตไปได้ไม่กี่ปี เราไม่อาจพลิกการตัดสินใจของพระองค์ได้ทันควัน เอาไว้อีกสองปีเราจะแต่งตั้งมารดาเจ้าเป็นพระสนมเจาอี๋”

    เฮ่อหรงไม่พูด เพียงคารวะอย่างเงียบๆ ครั้งหนึ่งก่อนถอยออกไป

    ครั้งนี้เขาไม่ได้หยุดเท้า และไม่หันกลับอีกเลย

     

    บทที่ 6

     

    องค์หญิงเจินติ้งคอยอยู่ที่ตำหนักข้างได้ไม่นานก็ถูกโอรสสวรรค์เรียกให้เข้าเฝ้า

    กับสตรีที่มีสถานภาพซับซ้อนคนนี้จักรพรรดิจยาโย่วรู้สึกสับสน

    ด้านหนึ่งนางคือสายเลือดของราชวงศ์ก่อน ท่ามกลางความโกลาหลบรรดาองค์หญิงและองค์ชายในราชวงศ์ก่อนพวกนั้นต่างล้มหายตายจากกันไปนานแล้ว บ้างสิ้นชีวิตด้วยน้ำมือปู่ทวดของเฮ่อหรงผู้เป็นปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์ปัจจุบัน การเปลี่ยนผ่านราชวงศ์ยากที่จะหลีกเลี่ยงมิให้มีการนองเลือด อาจพูดได้ว่าองค์หญิงเจินติ้งกับราชวงศ์ปัจจุบันมีความแค้นลึกซึ้งประดุจทะเลเลือด

    ทว่าอีกด้านนางไปอยู่นอกด่านเป็นเวลาหลายสิบปี เวลานี้ทูเจวี๋ยตะวันตกถูกทำลาย หาไม่นางย่อมปักหลักอยู่ที่แดนตะวันตก เมื่อหลายสิบปีก่อนจงหยวนกับทูเจวี๋ยตะวันตกตัดขาดความสัมพันธ์กันอย่างสิ้นเชิง แต่ถ้ามีนางอยู่ ภายหน้าหากแคว้นกลับมาผงาดอีกครั้ง การคิดจะรวบเอาเหลียงโจวกลับคืนและเล่นงานทูเจวี๋ยย่อมมีสิทธิ์อันชอบธรรม เพราะก่อนหน้านั้นผู้สำเร็จราชการของทูเจวี๋ยตะวันตกเคยเป็นขุนนางจงหยวน จุดนี้ทำให้ไม่มีผู้ใดปฏิเสธความสำคัญและประโยชน์ขององค์หญิงเจินติ้ง

    “หลายวันมานี้องค์หญิงได้พักผ่อนเต็มที่หรือไม่ ได้ออกไปที่ใดบ้างหรือไม่ รู้สึกเป็นอย่างไร”

    จักรพรรดิจยาโย่วสอบถามด้วยสีหน้าเป็นมิตรพลางเชิญองค์หญิงเจินติ้งนั่ง

    การตกแต่งภายในวังอาจเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ทว่ายังคงความหรูหราเอาไว้ไม่เปลี่ยน และมีสีสันเพิ่มมากขึ้น ในอดีตเมื่อนานแสนนานมาแล้วที่นี่คือบ้านขององค์หญิงเจินติ้ง นางจึงมีท่าทีสบายๆ ไม่ขัดเขิน

    “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเป็นห่วง หม่อมฉันได้พักผ่อนเต็มที่ดีมาก จากฉางอันไปหลายสิบปี ก่อนหม่อมฉันจะออกไปนอกด่านได้ออกจากวังน้อยมาก มาวันนี้ยิ่งเรียกชื่อถนนหนทางไม่ถูก” องค์หญิงเจินติ้งโค้งตัวเล็กน้อย กล่าวอย่างตรงไปตรงมา

    “หม่อมฉันคิดไม่ถึงเลยว่าจากไปนานถึงเพียงนี้จะยังมีชีวิตกลับมา ทั้งยังได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากราชสำนัก หม่อมฉันรู้สึกซาบซึ้งในน้ำพระทัยของฝ่าบาทและราชสำนักอย่างแท้จริง”

    วาจาขององค์หญิงเจินติ้งแสดงออกถึงความยกย่อง แต่ไม่ได้ลดตัวต่ำต้อย ซ้ำยังทำให้จักรพรรดิจยาโย่วพึงพอใจ

    “เช่นนี้ก็ดีแล้ว วังองค์หญิงเราให้คนสร้างขึ้นตามแบบวังองค์หญิงของราชวงศ์ปัจจุบัน มิได้ทำลวกๆ อย่างเด็ดขาด องค์หญิงต้องเหน็ดเหนื่อยมาครึ่งชีวิต ในเมื่อวันนี้ได้กลับคืนมา ขอให้สงบใจอาศัยอยู่ที่ฉางอันเถิด ต่อไปที่นี่คือบ้านของท่าน ถ้าต้องการสิ่งใดขอให้บอก สิ่งใดทำได้ ราชสำนักจะต้องช่วยเหลือท่านอย่างแน่นอน”

    “ขอบพระทัยในพระเมตตาของฝ่าบาท เพียงแต่หม่อมฉันมีเรื่องอยากจะทูลขอ”

    “เชิญว่ามา”

    “หม่อมฉันขอกลับหลิงโจวไปกับอันอ๋องเพคะ”

    จักรพรรดิจยาโย่วอึ้ง

    พระองค์เข้าใจว่าองค์หญิงเจินติ้งจะขอให้ฟื้นฟูสุสานของราชวงศ์ก่อน หรือหาเบาะแสของลูกหลานราชวงศ์ก่อน คิดไม่ถึงเลยว่านางจะขออะไรเช่นนี้ ทำให้จักรพรรดิจยาโย่วต้องถามหาเหตุผล

    องค์หญิงเจินติ้งตอบ “นับตั้งแต่ที่อันอ๋องเดินทางไปเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างราชสำนักกับทูเจวี๋ยตะวันตก เขาทำให้หม่อมฉันรู้สึกเหมือนมีที่พึ่ง ไม่ได้เป็นวิญญาณร่อนเร่เดียวดายอีกต่อไป หม่อมฉันติดค้างน้ำใจอันอ๋อง ยิ่งภายหลังอันอ๋องให้คนเดินทางไปเป็นพันลี้เพื่อให้ความช่วยเหลือ หากไม่มีเขา เวลานี้เกรงว่าแม้แต่กระดูกของหม่อมฉันคงถูกกลบฝังอยู่ใต้พื้นทราย”

    จักรพรรดิจยาโย่วหน้าร้อนผ่าว

    “องค์หญิงตำหนิที่ราชสำนักไม่ได้มีคำสั่งให้ไปช่วยท่านใช่หรือไม่”

    องค์หญิงเจินติ้งส่ายหน้า “ฝ่าบาทกล่าวหนักเกินไป ราชสำนักย่อมมีการพิจารณาของราชสำนัก ต้องเห็นแก่ส่วนรวมเป็นสำคัญ ไม่สามารถเปิดฉากการสู้รบกับฝูเนี่ยนข่านอย่างฉับพลันเพื่อหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่กล้าคิดแค้น อันอ๋องมีฐานะเป็นพระราชโอรส แต่กลับสมัครใจไปประจำอยู่หลิงโจว หม่อมฉันอยู่ทูเจวี๋ยมาหลายปี คลุกคลีกับชาวทูเจวี๋ย น่าจะพอให้ความคิดเห็นได้ในหลายๆ เรื่อง ดังนั้นหม่อมฉันจึงหวังว่าจะสามารถติดตามอันอ๋องไปหลิงโจว แม้จะช่วยได้เพียงเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณของอันอ๋องจากหม่อมฉัน”

    คำพูดของนางทำให้จักรพรรดิจยาโย่วรู้สึกสะท้อนใจและซาบซึ้งในคุณธรรมน้ำใจขององค์หญิงเจินติ้งไปชั่วขณะ มีแวบหนึ่งที่พระองค์คิดว่าแม้องค์หญิงเจินติ้งกับเฮ่อหรงจะไม่ใช่มารดากับบุตร แต่กลับเป็นยิ่งกว่ามารดากับบุตร ยามนี้รัชทายาทกับจี้อ๋องแก่งแย่งชิงดีกันรุนแรงเหมือนน้ำกับไฟ ไม่รู้ว่าจะมีพระราชโอรสคนใดยอมทำเช่นนี้ให้พระองค์

    คิดมาถึงตรงนี้จักรพรรดิจยาโย่วก็รู้สึกเศร้าซึม อารมณ์อยากพูดคุยลดน้อยลง

    “ในเมื่อองค์หญิงตัดสินใจแน่วแน่เราก็จะไม่ฝืน บ้านขององค์หญิงจะอยู่ที่ฉางอันตลอดไป ท่านสามารถกลับมาได้ตลอดเวลา เงินทองที่เรามอบให้ท่านสามารถนำติดตัวไปได้ตามความพอใจ”

    องค์หญิงเจินติ้งรีบลุกขึ้นขอบพระทัย

    หากว่ากันด้วยใจเป็นธรรม จักรพรรดิจยาโย่วถือว่าดีต่อนางมากพอแล้ว ไม่ว่าในใจของพระองค์จะคิดอย่างไร แต่สิ่งที่มอบให้ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ถึงขนาดที่องค์หญิงเจินติ้งยังหาข้อน่าตำหนิไม่พบ

    ตอนยังไม่กลับมาที่ฉางอันนางเคยคิดว่าถ้าได้กลับมาที่ฉางอันก่อนตาย ได้เป็นใบไม้ร่วงสู่ราก ชีวิตนี้ย่อมไม่มีสิ่งใดให้อาลัยอีก

    แต่วันนี้เมื่อกลับมาฉางอัน นางกลับพลันรู้สึกว่าหัวใจของตนต่างหากที่เป็นบ้าน

    ส่วนฉางอันเป็นแค่นครไม่เคยหลับในความทรงจำ และพระราชวังโอ่โถงอลังการที่เคยเล่นซ่อนหาเมื่อสมัยยังเยาว์ได้เลือนหายไปจากความทรงจำนานแล้ว ภาพนั้นลอยห่าง หายลับ…

    “ฝ่าบาท หม่อมฉันมีคำพูดหนึ่งอยากจะขอเสียมารยาทกราบทูล” นางกล่าว

    “ว่ามา”

    “ก่อนหน้านี้อันอ๋องเคยถวายรายงานว่าหลังฝูเนี่ยนข่านรวมทูเจวี๋ยเป็นหนึ่งสำเร็จ จะต้องพุ่งเป้ามาที่ราชสำนักเรา ตามความเข้าใจที่หม่อมฉันมีต่อฝูเนี่ยนข่าน วาจาของอันอ๋องไม่ใช่แค่คำขู่ แม้ตอนนี้ทุกอย่างจะดูสงบนิ่ง แต่สงครามอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ยังคงขอให้ราชสำนักเตรียมพร้อมไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อมิให้ต้องตกอยู่ในสภาพถูกเล่นงาน” องค์หญิงเจินติ้งกล่าวเสียงจริงจัง

    เฮ่อหรงพูดเช่นนี้ องค์หญิงเจินติ้งก็พูดเช่นนี้ และก่อนหน้านี้ไม่นานเฉินเวยที่อยู่กานโจวยังได้ถวายรายงานเพื่อแสดงความคิดเห็นในทำนองนี้ อันที่จริงไม่ใช่ว่าราชสำนักจะไม่ให้ความสำคัญ ชายแดนทุกแห่งจึงมีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด มีทหารประจำการอยู่ตลอด จักรพรรดิจยาโย่วฟังแล้วผงกศีรษะ “เรารู้ ช่วงนี้ราชสำนักกำลังหารือกันเพื่อรับมือทูเจวี๋ย”

    สิ่งที่ควรพูดก็พูดแล้ว องค์หญิงเจินติ้งจึงลุกขึ้น ถอยออกจากพระตำหนักจื่อเฉินไป

    ทันทีที่ก้าวออกนอกประตู ตามองไปยังประตูวังข้างหน้ากับขั้นบันไดสูงนับขั้นไม่ถ้วน ก่อนหันกลับไปมองพระตำหนักในอันใหญ่โตมโหฬารทางด้านหลัง มันช่างหรูหราประณีต แต่กลับมีโอรสสวรรค์นั่งอยู่ที่โต๊ะทรงพระอักษรเพียงลำพัง ท่าทางอ้างว้าง ทันใดนั้นหัวใจของนางเหมือนได้รับการปลดปล่อยจากพันธนาการ ตัวเบาหวิวอย่างที่ไม่เคยเป็น

    นางรู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร มันคือความค้างคาใจที่ไม่เคยปล่อยวางได้สำเร็จ คือความโกรธแค้นของสกุลหลิงหูที่ถูกแย่งชิงราชบัลลังก์ ทำให้แผ่นดินต้องเปลี่ยนผู้ปกครอง นางบอกตัวเองอยู่เสมอว่าเวลาผ่านไป เมฆหมอกสิ้นสลาย ทุกสิ่งล้วนเลือนไปตามกาลเวลา ไม่มีราชวงศ์ใดที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง และไม่มีแผ่นดินใดที่พันปีไม่เคยเปลี่ยนผัน ต่อให้แผ่นดินไม่ตกเป็นของสกุลเฮ่อหรือสกุลหลิงหูก็ต้องถูกคนอื่นมาแทนที่ ถึงที่สุดผู้ที่ได้ใจราษฎร มีความถูกต้องชอบธรรม จึงจะสามารถยิ้มอยู่ได้จนถึงวาระสุดท้าย

    บัดนี้สกุลเฮ่อเดินทางมาถึงทางเลี้ยวทางหนึ่ง ก้าวต่อไปข้างหน้ายังเป็นปริศนา แต่ถ้าก้าวถอยหลังไม่แน่ว่าอาจเจอกับหุบเหวลึกนับหมื่นจั้ง

    เฮ่อหรงไม่รู้ว่าองค์หญิงเจินติ้งจะเข้าเฝ้าโอรสสวรรค์นานเท่าใด เขาจึงไม่ได้อยู่รอ แต่ชิงกลับก่อน ทว่าที่หน้าประตูวังนอกจากรถม้าขององค์หญิงเจินติ้งแล้วยังมีรถม้าที่ดูไม่สะดุดตาอีกหนึ่งคัน ด้านข้างมีตราสัญลักษณ์สลักอยู่

    รถม้าของอัครเสนาบดีฝ่ายขวา…เหิงกั๋วกงหลี่ควน

    เป็นจริงตามนั้น เพราะตอนที่องค์หญิงเจินติ้งเดินออกมา ม่านรถก็ถูกเลิกขึ้น สตรีวัยกลางคนคนหนึ่งก้าวออกมาคารวะนางอย่างสำรวม

    “ข้าถือวิสาสะมาคอยองค์หญิงที่นี่ เนื่องจากได้ส่งเทียบเชิญไปขอให้องค์หญิงมาเป็นแขกสองครั้ง แต่องค์หญิงไม่ได้ตอบรับ ด้วยอับจนหนทางจึงต้องเดินทางมาเชิญองค์หญิงด้วยตัวเอง”

    องค์หญิงเจินติ้งไม่เคยเห็นหน้าอีกฝ่าย แต่พอจะเดาสถานภาพของฝ่ายตรงข้ามได้

    “หลี่ฟูเหรินเกรงใจเกินไป เป็นเพราะข้าจะอยู่ที่เมืองหลวงไม่นาน ต้องเก็บข้าวของจนหมดเรี่ยวหมดแรง มิใช่มีเจตนาบอกปัดผ่านๆ ขอฟูเหรินโปรดอภัย”

    หลี่ฟูเหรินแปลกใจ “องค์หญิงจะไปที่ใดหรือ”

    องค์หญิงเจินติ้งยิ้มบางๆ “กลับหลิงโจว”

    ไม่คอยให้อีกฝ่ายมีท่าทีตอบกลับ องค์หญิงเจินติ้งก้าวขึ้นรถม้า ทิ้งให้หลี่ฟูเหรินมองเงาหลังรถด้วยอาการนิ่งอึ้ง

    นับตั้งแต่ที่สามีเข้ารับตำแหน่งอัครเสนาบดีฝ่ายขวาไม่เคยมีผู้ใดไม่ไว้หน้านางเช่นนี้ หลี่ฟูเหรินรู้สึกไม่พอใจและอัดอั้นตันใจอย่างยิ่ง

    สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ เห็นแบบนี้จึงพูดปลอบ “นายหญิงอย่าได้ถือสานางเลยเจ้าค่ะ ถึงจะบอกว่าเป็นองค์หญิง แต่ก็เป็นแค่เชื้อสายที่ยังหลงเหลืออยู่ของราชวงศ์ก่อน ที่ฝ่าบาททรงให้เข้าเฝ้าเพราะไม่อยากตกเป็นขี้ปาก แต่นางกลับทำอวดดี ไม่รู้จักกาลเทศะ ท่านอย่าได้เอานางมาเป็นอารมณ์เลย”

    หลี่ฟูเหรินสั่นศีรษะ แต่ไม่คิดจะปิดบังสาวใช้ที่ติดตามตนมาจากบ้านเดิม

    “เจ้าไม่รู้อะไร นายท่านตั้งใจมอบหมายงานนี้ให้เพราะตอนนี้ตำแหน่งของเขามีความอ่อนไหว ไม่สะดวกไปเยี่ยมคารวะ จึงต้องเชิญองค์หญิงไปเยือน เขาอยากสนทนาเรื่องเก่าก่อนกับองค์หญิง”

    สาวใช้งุนงง “เรื่องเก่าก่อน?”

    “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่านายหญิงผู้เฒ่าของบ้านสกุลหลี่ที่เป็นท่านย่าของนายท่านเป็นองค์หญิงในราชวงศ์ก่อน และเป็นอาหญิงขององค์หญิงเจินติ้ง”

    สาวใช้ถึงเพิ่งเข้าใจ

    แม้จะบอกว่านายหญิงผู้เฒ่าจากโลกนี้ไปนานหลายปีแล้ว แต่หากนับกันที่ลำดับความสัมพันธ์ จวนเหิงกั๋วกงกับองค์หญิงเจินติ้งย่อมถือว่าเป็นญาติสนิท

     

    หลี่ควนไม่รู้ว่าภรรยาของตนทำงานไม่สำเร็จ ไม่สามารถเชิญแขกกลับมา เวลานี้เขากำลังนั่งอยู่ในห้องหนังสือของบ้านสกุลหลี่เพื่อบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ แก่บุตรเขยของตน

    ทุกคนต่างรู้กันดีว่าเหิงกั๋วกงเป็นคนทำงานละเอียดรอบคอบและยังดวงดีอย่างมาก แม้สมัยที่อดีตจักรพรรดิยังอยู่เขาจะเป็นผู้บัญชาการสำนักใต้ แต่อย่างไรก็ตามแม่ทัพใหญ่ไม่มีทางมีอำนาจเหนือกว่าอัครเสนาบดี เวลานี้เขาไม่เพียงมีตำแหน่งใหญ่โต แต่ยังมีบุตรสาวอีกสองคน บุตรอนุเข้าวังไปเป็นพระสนม บุตรภรรยาเอกได้แต่งงานกับพระราชโอรส เส้นทางราบรื่นสดใส ยิ่งถ้าต่อไปบุตรสาวคนที่เข้าวังไปเป็นพระสนมให้กำเนิดพระราชโอรสหรือพระราชธิดา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสถานภาพของเขาจะยิ่งขึ้นสูงไปอีก

    ทว่าหลี่ควนยังคงเป็นหลี่ควนที่เข้าถึงง่าย ไม่ได้วางตัวเย่อหยิ่งเพราะตัวเองได้รับตำแหน่งอัครเสนาบดีฝ่ายขวาหรือเกี่ยวดองกับจักรพรรดิ ส่วนปัญหาเรื่องรัชทายาทกับตระกูลสูงศักดิ์ทั้งหลาย เขายืนอยู่ในตำแหน่งที่ทั้งสองฝ่ายต่างยอมรับได้ สามารถรักษาสมดุลไว้เป็นอย่างดี

    ทักษะการรักษาสมดุลอำนาจนี้ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้ คนที่คิดจะทำแบบนี้อาจไม่มีสติปัญญาเท่าเขา หรือคนที่ทำได้ก็อาจขาดความอดทนและการฝึกฝน แม้แต่เฮ่อหรงยังต้องยอมรับว่าหลี่ควนเป็นอัจฉริยชนที่มีความโดดเด่นเป็นพิเศษ

    “ข้าคิดว่าอีกสักพักข้าจะเดินทางไปซูโจว”

    ตั้งแต่ต้นจนจบเฮ่อซิ่วไม่พูดเลยสักคำ จนเวลาผ่านไปพักใหญ่เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด

    มือที่ถือถ้วยชาของหลี่ควนชะงักเล็กน้อย แต่ไม่นานเขาก็ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

    เขายิ้มนิดๆ “องค์ชายคิดจะถอยหรือ”

    เฮ่อซิ่วสูดลมหายใจเข้าปอดลึกก่อนผ่อนออกช้าๆ

    “อันที่จริงนี่ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นกะทันหัน เดิมข้าควรไปกินศักดินานานแล้ว ครั้งนี้น้องห้ากลับมาเมืองหลวง ฝ่าบาทพระราชทานก่วงโจวให้เขา และจะช้าเร็วน้องสามย่อมต้องกลับไปที่หลิงโจว ข้าคิดว่าหากข้ายังอิดออดไม่ยอมไปอีกย่อมไม่เป็นการดี แทนที่จะอยู่เป็นปฏิปักษ์กับรัชทายาท มิสู้ไปกินศักดินาให้เร็วหน่อย จะได้ทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำ”

    หลี่ควนดื่มชาหนึ่งอึก สีหน้ากับน้ำเสียงเรียบสนิท “การที่ท่านกับรัชทายาทคุมเชิงกันเช่นนี้ไม่ใช่วิธีที่ดีจริงๆ”

    เฮ่อซิ่วดีใจ “ท่านพ่อตา ท่านสนับสนุนให้ข้าไปกินศักดินาหรือ ข้าคิดดีแล้ว แม้ซูโจวจะอุดมสมบูรณ์ แต่อยู่ห่างจากเมืองหลวง ข้าจะเดินทางไปก่อน คอยให้ทุกอย่างเข้าที่ค่อยรับพระชายาไป หากนางอยากอยู่เมืองหลวงก็ให้อยู่ข้างกายท่าน ไม่จำเป็นต้องไปด้วย อันที่จริงข้ารู้สึกเบื่อและอึดอัดมากที่โดนเขาขวางไปทุกอย่าง ทั้งที่ข้าไม่ได้อยากจะได้ตำแหน่งของเขาเลย”

    หลี่ควนหยิบกาน้ำชาบนเตาขนาดเล็กมาเติมใส่ถ้วยของเฮ่อซิ่ว

    “การที่องค์ชายคิดจะถอยแสดงให้เห็นถึงความใจกว้างของท่าน การที่ท่านมีน้ำใจกว้างขวางเช่นนี้ถือเป็นบุญวาสนาของชาติบ้านเมือง ในฐานะอัครเสนาบดี ข้ารู้สึกชื่นชมเป็นอย่างมาก”

    เฮ่อซิ่วเลิกคิ้ว เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องมีประโยคต่อไป “แต่?”

    หลี่ควนยิ้ม “แต่ท่านเคยคิดหรือไม่ว่ารัชทายาทจะยอมปล่อยให้ท่านถอยหรือ การรู้จักหักห้ามใจตัวเองไม่ใช่คุณลักษณะที่ทุกคนจะมี ตรงกันข้าม การถอยของท่านอาจทำให้อีกฝ่ายได้คืบจะเอาศอก ถึงตอนนั้นท่านย่อมเสียเปรียบ เกรงว่าจะไม่มีแม้แต่พื้นที่ยืนด้วยซ้ำ”

    เฮ่อซิ่วย่นหัวคิ้ว “ความหมายของท่านคือต่อให้ข้ายอมถอย รัชทายาทก็ไม่ยอมปล่อยข้า?”

    หลี่ควนสั่นศีรษะ “ข้าไม่ได้อยากยุให้ท่านสองคนแตกกัน แต่เมื่อหลายวันก่อนข้าได้ข่าวมาข่าวหนึ่งว่าหลังจากอันอ๋องถวายรายงานเรื่องการสำเร็จโทษพวกพ่อค้าในหลิงโจวที่ยักยอกยุทธปัจจัยให้ราชสำนักทราบ รัชทายาทเคยส่งหลี่อวิ๋น ราชบัณฑิตในรัชทายาทไปหลิงโจวเพื่อเข้าพบอันอ๋อง”

    เฮ่อซิ่วชะงัก “รัชทายาทส่งไป? เขาคิดจะทำสิ่งใด”

    “ตอนหลี่อวิ๋นออกจากหลิงโจว ว่ากันว่าเขามีสีหน้าผิดหวัง ข้าคาดว่าเขาน่าจะได้รับคำสั่งจากรัชทายาทให้ไปหาอันอ๋องที่หลิงโจวโดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องพ่อค้าพวกนั้น ต่อมา บังเอิญว่าบัณฑิตในอุปถัมภ์ในจวนของข้าเป็นคนบ้านเดียวกับหลี่อวิ๋น ตามปกติก็ไปมาหาสู่กันเป็นครั้งคราว ตอนทั้งคู่ดื่มอยู่ด้วยกัน หลี่อวิ๋นเผลอหลุดปากบอกว่ารัชทายาทอยากร่วมมือกับอันอ๋อง รัชทายาทจะไปขอร้องฝ่าบาทให้หลิงโจวเคลื่อนทัพไปช่วยองค์หญิงเจินติ้ง เสียดายที่ถูกอันอ๋องปฏิเสธกลับมาเดี๋ยวนั้น”

    เฮ่อซิ่วไม่ใช่คนโง่ แม้จะมีปริศนามากมายซ่อนอยู่ แต่เมื่อนำมาร้อยเรียงเข้าด้วยกันย่อมทำให้คนพอจะคิดปะติดปะต่อได้ง่ายมาก

    “รัชทายาทจะร่วมมือกับน้องสามเพื่อช่วยเหลือองค์หญิงเจินติ้ง เรื่องนี้จะต้องมีข้อแลกเปลี่ยนอย่างไม่ต้องสงสัย เงื่อนไขที่ว่าคือสิ่งใด เรื่องพ่อค้าที่หลิงโจวเกี่ยวข้องกับสกุลลู่ ข้าจึงเขียนจดหมายไปขอร้องน้องสาม หรือรัชทายาทจะอาศัยเรื่องนี้มาเล่นงานข้า?”

    ยิ่งคิดเขายิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้สูงมาก สีหน้าจึงพลอยทะมึนตาม

    หลี่ควนพูดเสียงอ่อนโยน “เรื่องมันผ่านไปแล้ว คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ข้าเพียงอยากเตือนท่านว่าแม้ท่านจะอยากถอย แต่ผู้อื่นอาจไม่ยอมให้ท่านถอย เวลานี้ท่านอยู่เมืองหลวง มีฝ่าบาทอยู่ใกล้ๆ หากเกิดเรื่องยังสามารถแก้ไขได้ทัน แต่ถ้าออกจากฉางอันไปกินศักดินา เกิดรัชทายาทไปพูดอะไรกับฝ่าบาท ท่านเป็นขุนนางอยู่ไกล ไม่สามารถถวายการรับใช้ตลอดเวลา ถึงตอนนั้นท่านจะทำอย่างไร”

    น้ำเสียงของเฮ่อซิ่วเคียดแค้น “ข้าไม่อยากแย่งชิงกับเขา เหตุใดเขาจึงไม่ยอมปล่อยข้า! พอแผนหนึ่งไม่สำเร็จก็มีมาอีกแผน ซ้ำเวลานี้ยังคิดจะเล่นงานข้าให้มีโทษถึงตายเชียวหรือ?!”

    “อันที่จริงเวลานี้รัชทายาทกำลังกลัวมาก”

    เฮ่อซิ่วหัวเราะเสียงเย็น “ตำแหน่งวังตะวันออกของเขามั่นคงประดุจขุนเขา ซ้ำยังเจ้าเล่ห์เพทุบาย ยังมีสิ่งใดให้กลัวอีก”

    “เขาไม่ใช่บุตรที่เกิดจากภรรยาเอก ไม่มีผลงานในการรบ ไม่มีอำนาจทางการทหารที่จะสามารถเป็นรัชทายาทได้ ทั้งหมดเพราะอาศัยว่าเกิดก่อนเลยได้เป็นบุตรชายคนโต เขาจึงต้องคอยระแวดระวังตลอดเวลา หัวใจแขวนห้อยอยู่กลางอากาศ เพราะกลัวว่าตำแหน่งรัชทายาทจะถูกผู้อื่นแย่งชิง ท่านเคยเห็นกระรอกที่กอดลูกสนหรือไม่ รัชทายาทเป็นเหมือนกระรอกตัวนั้นที่เอาแต่กอดลูกสนในมือไว้แบบเอาเป็นเอาตายไม่ยอมปล่อย ถึงขั้นเอาลูกสนยัดเข้าไปเก็บไว้ในโพรงปาก พระราชโอรสคนอื่นๆ อย่างท่าน อย่างอันอ๋อง อย่างซิงอ๋อง ทุกคนล้วนมีอำนาจทางการทหารอยู่ในมือ ในขณะที่รัชทายาทไม่มีสิ่งใด ดังนั้นลึกๆ ในใจของเขาจึงมีความกลัวอยู่เสมอ”

    เฮ่อซิ่วเงียบไปพักหนึ่ง เขาพูดเหมือนย้อนถามและคล้ายต้องการถามตัวเอง “คนแบบนี้น่ะหรือคือโอรสสวรรค์ในอนาคต ต่อไปข้าจะต้องค้อมตัวคุกเข่า ทำงานถวายหัวให้คนแบบนี้หรือ”

    หลี่ควนหัวเราะ “ตำแหน่งรัชทายาทถูกระบุไว้แล้ว แม้แต่องค์ชายที่เกิดจากพระอัครมเหสีก็แย่งเขาไม่สำเร็จ ท่านจะทำอย่างไรได้เล่า”

    เฮ่อซิ่วขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “พูดถึงเรื่องนี้ข้าสงสัยมาตลอดว่าการตายขององค์ชายที่เกิดจากพระอัครมเหสีจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา เสียดายที่ไม่มีหลักฐานในมือ!”

    หลี่ควนมองหน้าเขา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ องค์ชายยังอยากจะถอยหรือไม่”

    เฮ่อซิ่วช้อนสายตาขึ้น พูดเน้นย้ำทีละคำ “ข้า-ไม่-ยอม”

    “เวลานี้รัชทายาทไม่มีอำนาจทางการทหาร ไม่มีผลงานการรบอยู่ในมือ รอบกายมีแต่ขุนนางที่มาจากตระกูลสามัญชนคนยากจน ไร้อำนาจ ไม่มีแม้แต่กำลังจะไปคัดง้างกับตระกูลขุนนาง อดีตจักรพรรดิยังพอกำราบคนตระกูลสูงศักดิ์ได้เป็นครั้งคราว แต่ถ้ารัชทายาทขึ้นครองราชย์ อย่าว่าแต่กำราบเลย เกรงว่าจะไม่มีวิธีจัดการกับพวกเขาด้วยซ้ำ เรื่องนี้เป็นจุดอ่อนที่เขากลัว เพราะฉะนั้นถ้ามีโอกาสเขาจะต้องรวบอำนาจเพื่อตัวเองหรือเพื่อคนที่อยู่ข้างกายตน ขอเพียงองค์ชายลงมือเรื่องการควบรวมอำนาจนี้ก็จะรู้ว่ารัชทายาทไม่ได้รับมือยาก”

    เฮ่อซิ่วไม่พูดอะไรอีก

     

    หลี่ฟูเหรินคอยอยู่นานมากกว่าที่เงาร่างของหลี่ควนจะเดินเนิบๆ มา

    นางรีบลุกขึ้นไปต้อนรับ “เหตุใดถึงนานเพียงนี้”

    “คุยกับจี้อ๋องพักหนึ่ง เหตุใดต้องรีบร้อน”

    หลี่ฟูเหรินเล่าเรื่องที่นางตั้งใจไปคอยองค์หญิงเจินติ้งเพื่อออกหน้าเชิญอีกฝ่ายมาคุยเรื่องเก่าๆ ที่จวนด้วยตัวเอง แต่กลับถูกฝ่ายตรงข้ามปฏิเสธเสียงนิ่ม

    นางเล่าอย่างละเอียดก่อนปิดท้าย “อุตส่าห์รอดตายกลับมาได้อย่างฉิวเฉียด แต่กลับไม่ยอมอยู่อย่างสงบที่ฉางอัน เวลานี้ข้างกายนางไม่มีญาติเหลือสักคน สกุลหลี่ของเราถือได้ว่าเป็นญาติที่ใกล้ชิดที่สุดของนาง แต่นางกลับไม่ยอมพบ ซ้ำยังจะตามอันอ๋องไปหลิงโจวให้ได้ ท่านว่าองค์หญิงเจินติ้งคิดอะไรอยู่ นางเสียสติใช่หรือไม่”

    สีหน้าของหลี่ควนเรียบสนิท ไม่มีอาการแปลกใจ

    “นางไม่ได้เสียสติ เพียงต้องการเดินไปในอีกเส้นทางหนึ่ง”

    สายตาแปลกใจของหลี่ฟูเหรินทำให้หลี่ควนยิ้ม “เช่นนั้นก็คอยดูกันไปว่าสะพานไม้แผ่นเดียวของนางจะเดินดี หรือถนนใหญ่หยางกวน* ของข้าเดินดี”

    แทบจะในเวลาเดียวกัน องค์หญิงเจินติ้งกำลังเล่าให้เฮ่อหรงฟังเรื่องที่นางคุยกับจักรพรรดิ และการเข้ามาขวางของหลี่ฟูเหริน

    สุดท้ายนางพูดประโยคเดียวว่าให้เตรียมเร่งเดินทางออกจากเมืองที่แสนสับสนจนแยกแยะไม่ออก

     

    (โปรดติดตามตอนต่อไป…)

     

    * โลหะน้ำแกง เป็นคำเรียกย่อของกำแพงโลหะคูเมืองน้ำแกงเดือด ซึ่งเป็นด่านปราการป้องกันการโจมตีของข้าศึกที่แข็งแกร่งแน่นหนามาก เพราะกำแพงทำด้วยโลหะหนา และยังมีคูน้ำต้มเดือดล้อมรอบ ต่อมาจึงเกิดสำนวน ‘แข็งแกร่งดุจด่านปราการโลหะน้ำแกง’ ใช้เปรียบเปรยถึงการป้องกันที่แน่นหนา

    * ถนนใหญ่หยางกวน หมายถึงเส้นทางสายใหญ่ที่ผ่านด่านหยางกวนไปสู่ดินแดนตะวันตก

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in คู่กิเลนค้ำบัลลังก์

    นิยายยอดนิยม

    Facebook