• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา 10 ครั้งที่ 1

    ภาคที่ 4

    ความปรารถนาจากบูรพา

     

     

     

    ตอนที่ 1

    ธิดาเทพกลับจิงตู

     

    เสียงลม เสียงฝน เสียงอ่านหนังสือตำราคือเสียงที่พบเจอทุกวันในสำนักศึกษาศาสนาหลวง แต่วันนี้ได้ยินเพียงแค่เสียงอ่านหนังสือตำรา เพราะเกล็ดหิมะที่เพิ่งจะโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้าแผ่วเบาเกินไปนั่นเอง ผ่านไปครู่ใหญ่ศิษย์ที่อยู่ในห้องเรียนถึงจะมองเห็น นำมาซึ่งเสียงร้องเบาๆ ด้วยความตกตะลึงระคนดีใจ อาจารย์ที่มาจากสำนักการศึกษาพลันตำหนิเสียงหนักไปหลายคำถึงได้สะกดความวุ่นวายลงได้ แต่แล้วเค่อถัดมาที่นอกหน้าต่างก็มีเสียงหวีดหวิวจากสายลม ทุกคนที่อยู่ในห้องเรียนไม่อาจรักษาความสงบต่อไปได้ เหล่าศิษย์ที่อายุน้อยต่างพากันพุ่งไปทางหน้าต่าง

    สายลมพัดผ่านหิมะบางๆ ที่เพิ่งจับตัวกันบนยอดหญ้า นกกระเรียนขาวตัวหนึ่งค่อยๆ บินลงมาจากท้องฟ้าราวกับกำลังร่ายรำกลางหิมะ ช่างงดงามอย่างหาใดเปรียบ

    “งดงามยิ่งนัก!” เหล่าเด็กสาวมองภาพเหตุการณ์นี้แล้วพากันตะโกนอย่างตื่นเต้น

    ตามความแข็งแกร่งของเผ่ามนุษย์ มาร และปีศาจที่เพิ่มมากขึ้น สัตว์อสูรที่เคยอหังการอยู่ในผืนพิภพจึงถูกบีบให้ถอยไปยังบึงใหญ่ภูเขาร้าง สัตว์เทพวิหคเซียนเองก็พบได้น้อยลงมาก โดยทั่วไปมีเพียงภูเขาลึกของสำนักพรรคเร้นลับเหล่านั้นถึงจะสามารถพบเห็นได้ ศิษย์ใหม่ของสำนักศึกษาศาสนาหลวงล้วนมาจากเมืองต่างๆ เทียบกับชาวเมืองจิงตูที่เคยเห็นอะไรต่อมิอะไรมามาก พวกเขาแทบจะไม่เคยเห็นวิหคเซียนในตำนานเหล่านี้ แต่ในกลุ่มพวกเขาก็มีคนที่อยู่ในจิงตูมาเป็นเวลานานแล้ว อย่างเช่นชูเหวินปินที่ย้ายมาจากสำนักเทียนเต้าผู้นั้น เมื่อมองไปที่นกกระเรียนขาวตัวนั้นพลันนึกอะไรได้ พูดขึ้นอย่างตกตะลึง “นี่…นี่ไม่ใช่นกกระเรียนขาวของจวนสกุลสวีตัวนั้นหรอกหรือ”

    เมื่อได้ยินคำพูดนี้คนทั้งหมดล้วนเงียบลง เหล่าศิษย์มองไปทางนกกระเรียนขาวตัวนั้น ไม่กล้าส่งเสียงดังเกินไปอีก

    นกกระเรียนขาวตัวนี้ไม่ใช่นกกระเรียนขาวธรรมดา การปรากฏตัวของมันหมายถึงคนผู้หนึ่ง สำหรับเหล่าศิษย์แล้วคนผู้นั้นเป็นดังสิ่งงดงามบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์จนไม่อาจล่วงเกินได้ ขณะเดียวกันเหล่าศิษย์ต่างรู้ดีว่าการกลับมาของนกกระเรียนขาวตัวนี้สำหรับสำนักศึกษาศาสนาหลวง สำหรับเจ้าสำนักของพวกเขาหมายความว่าอะไร

    เป็นอย่างที่คิด ผ่านไปได้ไม่นานเงาร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นในสายตาของเหล่าศิษย์

    เฉินฉางเซิงเดินมาถึงสนามหญ้าข้างทะเลสาบ มาถึงตรงหน้าของนกกระเรียนขาว นกกระเรียนขาวมองเขาแล้วพยักหัวลง หลังจากนั้นก็หันหัวมองไปทางหอตำรากับศิษย์เหล่านั้นที่อยู่ตรงหน้าต่างซึ่งอยู่ไม่ไกล ท่าทางของมันแสดงให้เห็นถึงความมึนงงอยู่บ้าง ดูเหมือนจะไม่เข้าใจว่าทำไมเพียงแค่ปีเดียวที่นี่ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไปมากถึงเพียงนี้

    เมื่อมองดูนกกระเรียนขาว เขาก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงถามขึ้น “นาง…กลับมาแล้วหรือ”

     

    แนวเส้นสองสายหนึ่งขาวหนึ่งเทามุ่งตรงเข้าจิงตู สีขาวคือนกกระเรียนขาว สีเทาก็คือพญาปักษาปีกทองที่สวีโหย่วหรงนำออกมาจากสวนโจวตัวนั้น

    สาเหตุที่มันเป็นสีเทาก็เพราะพญาปักษาตัวนี้ยังไม่โตเต็มที่ สีขนจึงยังไม่ได้เปลี่ยนเป็นสีสดใส ยิ่งไม่มีสีทองปรากฏให้เห็น มองดูแล้วเป็นสีเทาๆ อีกทั้งยังค่อนข้างตัวเล็ก ก็เหมือนกับความคิดของเฉินฉางเซิงในครั้งแรกนั่น ตอนนี้มันดูเหมือนไก่ฟ้าตัวหนึ่ง

    ตอนที่เข้ามาในจิงตู นกกระเรียนขาวได้ส่งเสียงดังกระจ่างขึ้นครั้งหนึ่ง พวกเหยี่ยวแดงที่เตรียมจะบินมาขวางเมื่อเห็นมันก็แน่นอนว่าต้องปล่อยไป แต่ลูกพญาปักษาตัวนี้กลับไม่บินตามนกกระเรียนขาวไปที่สำนักศึกษาศาสนาหลวง มันเกิดความสนใจในพวกเดียวกันที่อยู่บนกำแพงวัง มันจึงบินเลี้ยวกลางอากาศ กระพือปีก แล้วร่อนลงบนกำแพงวัง

    ล้วนพูดกันว่าหงส์ตกยากสู้แม่ไก่ไม่ได้ ลูกพญาปักษาตัวนี้ดูไปก็เหมือนกับไก่ฟ้าตัวหนึ่ง แต่อย่างไรเสียหงส์ก็ยังคงเป็นหงส์ พญาปักษาปีกทองก็ยังคงเป็นพญาปักษาปีกทอง จะอย่างไรก็ไม่มีทางเปลี่ยนเป็นไก่ฟ้าได้จริงๆ

    มันพับปีกลง เดินเชิดหน้าแอ่นอกไปทางฝูงเหยี่ยวแดงที่อยู่หน้ากำแพงวังเหล่านั้น มองซ้ายมองขวาด้วยแววตาเฉยชา แสดงให้เห็นถึงความเย่อหยิ่งอย่างที่สุด

    เหยี่ยวแดงเป็นหน่วยจู่โจมบนฟ้าซึ่งแข็งแกร่งที่สุดที่กองทัพต้าโจวเลี้ยงเอาไว้ มันมีความเร็วที่ยากจะจินตนาการ อีกทั้งยังมีนิสัยหยิ่งยโสและองอาจกล้าหาญ ถึงจะเจอกับศัตรูที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าก็ไม่มีทางหวาดกลัว เล่ากันว่าในสงครามทำลายล้างเผ่าปีศาจเมื่อพันปีก่อน ผู้บัญชาทัพปีศาจในตอนนั้นได้เลี้ยงอสูรนภาเอาไว้ตัวหนึ่ง สุดท้ายถูกเหยี่ยวแดงนับสิบตัวใช้ชีวิตเข้าแลก สังหารมันบนท้องฟ้า ตอนนี้เมื่อมองไปยังร่างที่เล็กและเหมือนกับไก่ฟ้าซึ่งเกาะอยู่บนกำแพงวังนั่น ขนตรงแผงคอของเหยี่ยวแดงนับสิบตัวพลันพองขึ้นพร้อมกัน แสดงให้เห็นถึงความระมัดระวังอย่างหาใดเปรียบ กระทั่งทหารองครักษ์ก็ยังรู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวของพวกมัน ส่วนพวกห่านป่าแดงที่เกาะอยู่บนหอด้านข้างยิ่งแล้วใหญ่ ถึงขนาดถูกทำให้ตกใจจนตกลงมาบนพื้น แม้แต่จะยืนก็ยังยืนไม่ขึ้น

    นี่คือนกอะไร เหล่าทหารองครักษ์ล้วนไม่เข้าใจ มองไปทางนั้นอย่างระมัดระวัง จิตใต้สำนึกสั่งให้กำทวนที่อยู่ในมือให้แน่น

    เป็นในตอนนี้เอง ใต้กำแพงวัง กิเลนเมฆแดงที่กำลังมองแพะดำที่อยู่ไกลออกไปอย่างเหม่อลอยเงยหน้าขึ้นมองด้านบนอย่างกะทันหัน

    เซวียสิ่งชวนที่กำลังลับหอกอยู่ในห้องก็เหมือนจะรู้สึกได้ จึงมองตามขึ้นไปที่ด้านบน

    บนกำแพงวัง ลูกพญาปักษาหยุดนิ่งอย่างกะทันหัน เพราะมันสัมผัสได้ถึงจิตสังหารสายหนึ่ง

    มันมองลงไปที่บนพื้น สายตาไปหยุดอยู่ที่กิเลนเมฆแดง แล้วรู้สึกถึงปัญหาเล็กน้อย

    หลังจากนั้นมันก็สังเกตถึงจุดกำเนิดของจิตสังหารนั่น จึงมองไปทางห้องห้องนั้น แล้วพบว่าเป็นปัญหาใหญ่

    หากพญาปักษาปีกทองในตอนนี้อยู่ในร่างโตเต็มวัย แน่นอนว่าย่อมไม่สนใจการท้าทายของกิเลนเมฆแดง และไม่มีทางหวาดกลัวเซวียสิ่งชวน แต่ในตอนนี้ไม่ใช่

    และหลังจากที่มันมองเห็นแพะดำที่อยู่บนพื้นหญ้าในพระราชวัง ขนสีเทาตรงช่วงคอก็ลุกชันขึ้นมาทันที รู้สึกไม่สงบอย่างรุนแรง

    โลกภายนอกสวนโจวก็ยังเต็มไปด้วยอันตรายเหมือนกับความทรงจำในชาติก่อนจริงๆ โดยเฉพาะเมืองของเผ่ามนุษย์นี้ยังคงเป็นเหมือนดังเช่นในอดีต ตนก็แค่อยากจะบินลงมาเที่ยวเล่นสักหน่อย ทำไมถึงได้เจอกับปัญหามากมายขนาดนี้

    ก่อนที่เหล่าทหารองครักษ์จะชี้ทวนมา มันก็กางปีกทั้งสองข้างออก บินลงจากกำแพงวังไป ใช้เวลาเพียงครู่เดียวก็บินข้ามลานหน้าพระราชวัง บินข้ามวังอ๋องหลายแห่งกับถนนสามสาย แล้วบินลงไปยังถนนสายหนึ่งที่ไกลออกไป

    บนถนนสายนั้นกำลังมีผู้คนโห่ร้อง คึกคักอย่างหาใดเปรียบ เมื่อยืนอยู่บนกำแพงวังก็พอจะเห็นราชรถคันหนึ่งที่แสนงดงามกำลังเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ อยู่บนถนน

    เหล่าทหารมองเห็นนกประหลาดตัวนั้นบินลงไปบนราชรถคันนั้นถึงได้รู้ว่ามันมาจากยอดเขาเซิ่งหนี่ว์ ในใจก็คิดว่ามิน่าเล่าถึงได้น่ากลัวถึงเพียงนี้

    ในห้องห้องหนึ่ง มีทหารรีบร้อนเข้ามา รายงานข่าวที่เพิ่งได้รู้เมื่อครู่แก่เซวียสิ่งชวน

    “ธิดาเทพรุ่นก่อนสละตำแหน่ง? สวีโหย่วหรงรับตำแหน่งต่อ?”

    เมื่อได้ยินข่าวนี้เซวียสิ่งชวนมองไปยังถนนที่ไกลออกไปสายนั้น คิดอย่างตกตะลึงว่าสำนักศึกษาหนานซีที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมถึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่โตถึงเพียงนี้

    สำหรับศิษย์ของสำนักศึกษาหนานซีกับคนแดนใต้ สวีโหย่วหรงเป็นธิดาเทพในอนาคต สำหรับราษฎรจิงตูจนถึงทั้งต้าโจว สวีโหย่วหรงเป็นความภาคภูมิใจของพวกเขา เพราะนางเติบโตขึ้นจากที่แห่งนี้ ข่าวที่สวีโหย่วหรงรับตำแหน่งธิดาเทพแห่งแดนใต้อย่างเป็นทางการกระจายออกไป เสียงต้อนรับนางของชาวเมืองจิงตูพลันเงียบลงไปครู่หนึ่งเพราะความตกใจ หลังจากนั้นก็กลับมาดังขึ้นใหม่อย่างสั่นสะเทือนชั้นฟ้า

    พวกเด็กๆ ไล่ตามราชรถอยู่ที่ริมถนน เหล่าเด็กสาวต่างโบกผ้ากับดอกไม้สดที่อยู่ในมือ มีสาวกที่ซื่อสัตย์คุกเข่าลงบนที่ที่ราชรถขับผ่าน ปากท่องคำอำนวยพรไม่หยุด ส่วนสายตาของเด็กหนุ่มก็ร้อนแรงอย่างยิ่ง…ต่อให้ในสายลมจะมีเกล็ดหิมะ อากาศจะหนาวเย็นถึงเพียงนี้ ก็ไม่ทำให้ความคึกคักของจิงตูในวันนี้ลดลงไปเลย และในตอนที่สายลมพัดเอาม่านของราชรถพะเยิบขึ้นมา เผยให้เห็นเงาร่างของเด็กสาวที่อยู่ด้านในรางๆ บรรยากาศก็ยิ่งร้อนแรงจนถึงขีดสุด คนจำนวนมากไม่สนใจคำตำหนิของนักบวชตำหนักหลีกงและการขัดขวางของทหารรักษาประตูเมือง ยิ่งไม่สนใจสายตาระแวดระวังของกองทหารม้าแดนใต้เหล่านั้น ต่างพากันเบียดเข้าไปที่กลางถนน ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วจะถูกทหารม้าขวางเอาไว้ แต่กลับขวางของที่อยู่ในมือของพวกเขาไม่ได้

    ดอกไม้สดที่ยากจะได้เห็นในช่วงกลางฤดูหนาวก็ร่วงหล่นลงมาราวกับสายฝน เพียงไม่นานเส้นทางที่ราชรถเคลื่อนผ่านก็เปลี่ยนเป็นทะเลดอกไม้

    ผลไม้ที่ถูกล้างจนสะอาดก็ถูกโยนเข้าไปในรถม้าทั้งขบวนไม่หยุด ในรถคันหนึ่งที่อยู่ด้านหลัง เยี่ยเสี่ยวเหลียนยื่นมือไปรับผลเซิ่งหนี่ว์* ที่แดงก่ำมาลูกหนึ่ง แล้วกัดลงไปเบาๆ นางรู้สึกว่าช่างเปรี้ยวหวานถูกปากนัก ดวงตาพริ้มลงอย่างยินดี นางก็เหมือนกับศิษย์พี่หญิงคนอื่นๆ ที่อยู่ในรถ ความยินดีของนางโดยมากมาจากความเป็นมิตรของชาวเมืองจิงตู เมื่อคิดว่าธิดาเทพได้รับความเคารพรักจากชาวต้าโจวถึงเพียงนี้ คิดว่าหลังจากการรวมกันของเหนือใต้ สถานะของยอดเขาเซิ่งหนี่ว์ก็ไม่เห็นแววตกต่ำลง ไม่แน่ว่าจะดียิ่งขึ้นเสียอีก ความรู้สึกไม่สงบที่อดีตธิดาเทพจากไปก็ลดลงมาก พวกนางคิดด้วยความยินดีเจ็ดส่วนและความภาคภูมิใจอีกสามส่วน เอ่ยว่า “เทียบกับโจวอวี้เหรินตอนที่เข้ามาจิงตูในปีนั้น ดูท่าว่าก็คงจะไม่ต่างจากตอนนี้นัก”

     

    “ปีนั้นที่โจวอวี้เหรินเข้ามาจิงตูเกือบจะถูกสังหารด้วยสายตาจริงๆ จำได้ว่าในตอนนั้นข้ายังเด็กนัก ข้ากับคุณหนูแห่งจวนบัณฑิตได้แอบมองลงมาจากบนหอเฉิงหู ความคึกคักครานั้นช่าง…”

    ไม่รู้เป็นเพราะเห็นการเข้าเมืองมาของสวีโหย่วหรงแล้วนึกถึงตนในวัยเด็กหรือไม่ จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จึงเผยความรู้สึกระลึกความหลังอันหาได้ยากออกมา แต่ก็เป็นเพียงครู่เดียว นางกลับคืนสู่ความสงบในยามปกติ “ถ้าไม่อยากถูกสังหารด้วยสายตาก็ต้องหน้าหนาสักหน่อย และก็ต้องมีการวางตัวแข็งกร้าวสักนิดด้วย”

    ในสายตาของชาวโลก แต่ไรมาสวีโหย่วหรงก็มีท่าทีเรียบเฉยดังเทพเซียน มีเพียงอยู่ต่อหน้าอาจารย์ของนางกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ถึงจะเป็นธรรมชาติที่สุด นางกล่าวตอบ “หน้าหนาไม่ใช่เรื่องดีเสียหน่อย”

    จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มองนาง ในดวงตามีความอบอุ่นออกมาให้เห็น พูดขึ้นอย่างรักใคร่ “แล้วหน้าบางมีอะไรดี ดูใบหน้าน้อยๆ ที่แดงของเจ้าสิ”

    แน่นอนว่าในคำพูดนี้มีความหมายแฝงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นหน้าหนาหรือการวางตัวที่แข็งกร้าว ล้วนเป็นคำแนะนำของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ที่มีต่อนาง

    หากอยากนั่งอยู่ในตำแหน่งประมุขของนิกายฝ่ายใต้ให้มั่นคง กลายเป็นธิดาเทพที่ทั่วทั้งแดนใต้ยอมรับ ในสายตาของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ความเด็ดขาดอำมหิตเป็นปัจจัยที่ต้องมี

    หน้าหนาก็คือเด็ดขาด ขอเพียงตนแข็งแกร่งพอ ตอนที่ต้องการอำมหิตถึงจะมีกำลังพอที่จะทำเช่นนั้น

    “อยากให้ร่างกายแข็งแกร่งสักหน่อย พวกเราก็ควรจะเริ่มกินอาหารกันได้แล้วใช่หรือไม่”

    โม่อวี่ยืนอยู่ที่ด้านข้าง กำลังจัดวางอาหาร มองดูสวีโหย่วหรงที่มีท่าทางมึนงงอยู่บ้างก็รู้ว่านางไม่ใช่ไม่อยากตอบรับ บางทีอาจจะเหมือนกับในสมัยเด็กที่นางมักเหม่อลอย จึงยิ้มขึ้นแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

    จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ถอนหายใจ “พวกเด็กๆ ล้วนไม่ชอบฟังคำพูดของคนแก่อย่างพวกข้า”

    สวีโหย่วหรงตอบเสียงเบา “ฝ่าบาทยังไม่แก่เลย พระองค์ไม่มีทางแก่ไปตลอดกาล”

    โม่อวี่ที่ได้ยินก็ตัวสั่น “ไม่ได้เจอกันหลายปี ปากของเจ้าก็ยังหวานอยู่เช่นนี้”

    “กินอาหารอยู่ ไม่ควรพูด” จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารใส่ชามของสวีโหย่วหรงไปอย่างหนึ่ง หลังจากนั้นก็เริ่มกินอาหาร

    ในตำหนักที่กว้างใหญ่ไม่มีขันทีนางกำนัลใดๆ มีเพียงแค่พวกนางสามคน จึงดูโล่งกว้างเป็นอย่างมาก

    โดยเฉพาะหลังจากที่เริ่มกินอาหารก็ไม่มีเสียงใดดังขึ้นมาอีก ที่ตรงนั้นจึงให้ความรู้สึกแปลกประหลาดอยู่บ้าง


     

    ตอนที่ 2

    คำสั่งสอนของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์

     

    หลังจากที่โม่อวี่จัดวางอาหารเสร็จก็นั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามของสวีโหย่วหรง

    ทั้งสองคนสบตากันแล้วแย้มยิ้มเล็กน้อย

    สถานการณ์ที่แปลกประหลาดเช่นนี้หากเปลี่ยนเป็นเฉินฉางเซิงกับถังซานสือลิ่วจะต้องรับไม่ได้อย่างแน่นอน แต่พวกนางเคยชินตั้งแต่แรกแล้ว

    ก็เหมือนกับเมื่อหลายปีก่อนตอนที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กินอาหาร นางเข้มงวดอย่างมาก ไม่อนุญาตให้ผู้ใดพูดขึ้นระหว่างการกิน สามารถทำได้เพียงพูดคุยกันผ่านสายตา

    สวีโหย่วหรงกับโม่อวี่ไม่รู้ว่าใช้สายตาพูดคุยกันกี่ครั้งแล้ว จึงรู้ใจกันอย่างดี พวกนางสามารถมองออกอย่างง่ายดายว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร

    เพียงแต่เมื่อก่อนเรื่องที่พวกนางพูดคุยผ่านสายตามักเป็นทำนองว่า ‘อาหารจานนี้อร่อย’ ‘อาหารจานนี้ไม่อร่อย’ ‘ดูเหมือนว่าวันนี้จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จะอารมณ์ดี รังนกถูกคีบถึงสามครั้งแล้ว’ ‘เมื่อคืนฝ่าบาทพูดว่าจะปลดตำแหน่งอัครเสนาบดี คงจะเอาจริง ไม่เช่นนั้นวันนี้อารมณ์คงไม่ขุ่นมัวถึงเพียงนี้ ขนาดน้ำแกงมรกตที่โปรดที่สุดก็ยังดื่มไม่ลง’ แต่วันนี้พวกนางกำลังสื่อสารเรื่องอื่น

    โม่อวี่มองนางแล้วกะพริบตา นี่เป็นการถามนางว่าคิดอย่างไรกับหนังสือสมรสที่มีกับเฉินฉางเซิงฉบับนั้น

    ดวงตาของสวีโหย่วหรงหลุบลง ทำทีว่าไม่ได้สนใจ เพียงแต่ตำแหน่งนิ้วมือที่จับตะเกียบอยู่ได้เลื่อนมาด้านหน้าอยู่หลายส่วน

    โม่อวี่สังเกตเห็นรายละเอียดนี้แล้วเริ่มเห็นใจเฉินฉางเซิง

    นางจำได้อย่างชัดเจน สมัยเด็กยามที่สวีโหย่วหรงไม่พอใจ ตอนที่จับตะเกียบจิตใต้สำนึกจะเผลอออกแรง นิ้วจึงร่นขึ้นมาด้านหน้า มีอยู่ครั้งหนึ่งที่นางเห็นสวีโหย่วหรงตัวน้อยจับตะเกียบเช่นนี้ ช่วงบ่ายของวันนั้น ในตำหนักที่องค์หญิงผิงกั๋วพักอยู่ก็ปรากฏงูไม่มีพิษโผล่ขึ้นมาหลายสิบตัว ตกกลางคืนใบหน้าขององค์หญิงผิงกั๋วก็ถูกวาดเป็นงิ้วในคณะละคร…

     

    เหล่าขันทีนางกำนัลล้วนยืนเฝ้าไกลออกไปด้านนอกตำหนัก ไม่ได้แปลกใจต่อสถานการณ์ข้างใน สีหน้าก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด

    คนที่มีคุณสมบัติจะกินอาหารร่วมกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์นั้นมีอยู่ไม่มาก สวีโหย่วหรงก็เป็นหนึ่งในนั้น

    นี่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถานะธิดาเทพแห่งแดนใต้ของนางในตอนนี้ ตั้งแต่ยังเล็กจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ก็มักจะรับนางเข้าวัง กินอาหารร่วมกัน ในตอนนั้นนอกจากสวีโหย่วหรงยังมีโม่อวี่ องค์หญิงผิงกั๋ว กับองค์ชายเฉินหลิว ภายหลังองค์ชายเฉินหลิวอายุได้สิบหกปีก็น้อยครั้งมากที่จะพักอยู่ภายในพระราชวัง เวลาที่ร่วมกินอาหารกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เองก็น้อยลง ส่วนองค์หญิงผิงกั๋ว…ได้ยินว่านางออกจากเมืองไปไหว้พระที่วัดซีซาน (ภูเขาตะวันตก) ตั้งแต่เมื่อคืน ไม่ว่าใครก็ล้วนเข้าใจ นั่นเป็นเพราะองค์หญิงไม่อยากพบสวีโหย่วหรงที่ทำให้นางอิจฉาริษยาอยู่หลายปี จึงหลบออกไปเช่นนี้

    เมื่อกินอาหารเที่ยงเสร็จ โม่อวี่ก็อยู่ภายในตำหนักต่อเพื่อจัดการฎีกา ส่วนจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ลุกขึ้นแล้วพูดกับสวีโหย่วหรง “ตามข้ามา”

    สวีโหย่วหรงตามนางไป ตรงไปยังสถานที่ที่สูงที่สุดในจิงตู

    ยืนอยู่บนหอกานลู่ มองดูตลาดในจิงตู มองดูสุสานเทียนซูที่ไกลออกไป สวีโหย่วหรงนึกถึงเรื่องราวการเล่นสนุก ณ ที่ตรงนี้ในสมัยเด็ก ใบหน้าเผยรอยยิ้มที่มีความสุขออกมา

    “นี่เป็นรอยยิ้มแรกของเจ้าในวันนี้” จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไพล่มือทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง นางยืนอยู่ริมหอกานลู่โดยที่ไม่ได้หันหน้ากลับมา

    สวีโหย่วหรงเก็บรอยยิ้มลงแล้วเดินไปที่ด้านหลังของนาง พูดขึ้นอย่างนุ่มนวล “ต้องแบกรับความกดดันอย่างกะทันหัน ไม่รู้ว่าจะรับมือเช่นไร”

    แน่นอนว่านี่เป็นการพูดถึงการรับตำแหน่งธิดาเทพแห่งแดนใต้

    “ที่เรียกว่าธิดาเทพก็เป็นเพียงแค่รูปสักการะเท่านั้น ด้วยความสามารถและสติปัญญาของเจ้า ยังมีอะไรที่ทำได้ยากอีก”

    สวีโหย่วหรงรู้ว่านี่เป็นความคิดที่อีกฝ่ายมีต่อตำแหน่งธิดาเทพมาโดยตลอด ไม่อาจเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นได้ จึงยิ้มขึ้นมาและไม่ได้พูดอะไร

    “ข้ากลับพอจะรู้ว่าความกดดันของเจ้ามาจากที่ใด” จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์หันมามองนาง คิดถึงคืนนั้นในตำหนักที่ได้มองภาพภายในสวนโจวเหนือผิวสระน้ำ พูดอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “คำว่ารักนั้นทำร้ายคนที่สุด สามารถเลี่ยงได้ก็เลี่ยงเสียเถิด”

    สวีโหย่วหรงค่อนข้างตกตะลึง นางรู้สึกเหมือนจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มองอะไรบางอย่างออก เพียงแต่…เรื่องนั้นไม่มีทางมีผู้ใดรู้ เพราะแม้แต่เขา…ก็ยังไม่รู้เลยไม่ใช่หรือ

    จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้พูดเรื่องนี้ต่อ สายตาได้มองข้ามไหล่ของนางไปหยุดอยู่ที่ยอดเขาทางใต้ที่ใกล้จะถูกหิมะขาวปกคลุมเหล่านั้น “ก่อนที่นางจะจากไป มีอะไรฝากถึงข้าไหม”

    สวีโหย่วหรงตอบอย่างสงบ “อาจารย์พูดว่าหวังว่าฝ่าบาทจะไม่หมกมุ่นกับเรื่องของบ้านเมืองเกินไปนัก ให้ใช้ชีวิตของตนให้มากเสียบ้าง”

    เมื่อจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ได้ยินก็ไม่ค่อยจะพอใจ พูดขึ้นเสียงเย็น “ช่างโง่เขลาเสียจริง”

    เรื่องเกี่ยวข้องกับอาจารย์ของตน ถึงแม้สวีโหย่วหรงจะจนใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่อาจไม่แก้ตัวให้สักสองสามคำ

    จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กล่าวต่อ “คิดถึงปีนั้น องค์หญิงใหญ่อยู่ที่ต้าซีมีความสามารถยอดเยี่ยมเกินไป ผลคือนางถูกน้องชายแท้ๆ ของตนระแวงจนถึงขั้นหวาดกลัว เจ้าสวะนั่นถึงขนาดมองนางเพียงแวบเดียวก็สั่นสะท้าน สุดท้ายแล้วนางทำอะไรไม่ได้ และยังมีท่าทีของบิดามารดาที่ทำให้นางค่อนข้างท้อแท้ใจ ถึงได้ยอมแต่งงานไกลไปถึงเมืองไป๋ตี้…ในตอนนี้มาคิดดูแล้ว อาจารย์ของเจ้ากับนางล้วนโง่เขลาดุจเดียวกัน”

    สวีโหย่วหรงคิดอย่างเงียบๆ หากองค์หญิงใหญ่กลายเป็นจักรพรรดินีของดินแดนต้าซี เทียบกับการเป็นจักรพรรดินีของเมืองไป๋ตี้อย่างทุกวันนี้ ชีวิตแบบไหนถึงจะมีความสุขมากกว่า นอกจากเจ้าตัวแล้วใครเล่าจะสามารถพูดได้กัน

    “การที่สตรีจะอยู่บนโลกนี้เดิมทีนั้นไม่ง่าย คิดจะมีตำแหน่งเป็นของตัวเองก็ยิ่งยาก แต่หากต้องการเป็นเหมือนกับพวกข้า สามารถยืนอยู่บนตำแหน่งที่สูงที่สุด นั่นเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างมาก ไม่ต้องพูดถึงอู๋ฉยงปี้ นางทึ่มนั่น เพียงพรสวรรค์กับสติปัญญาของอาจารย์เจ้าก็สามารถพูดได้ว่าเป็นยิ่งกว่าหนึ่งในหมื่น เดิมทีข้าคิดว่านางจะไม่เหมือนกับสตรีที่โง่เขลาเหล่านั้น ผลลัพธ์น่ะหรือ…สตรีที่ฉลาดถึงเพียงนี้ไยถึงได้ข้ามผ่านด่านความรักไปไม่ได้กัน” สีหน้าของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนเป็นเย็นชาอย่างน่าประหลาด “อะไรจึงเรียกว่าใช้ชีวิต เหตุใดสตรีถึงทำได้เพียงมีชีวิต”

    สวีโหย่วหรงนึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้เรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ พูดขึ้นเสียงเบา “อาจารย์อาเล็กซูบอกว่าท่านจะต้องพูดเช่นนี้เป็นแน่ แม้แต่คำเดียวก็ไม่แตกต่าง”

    จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ “หือ? เช่นนั้นเจ้าซูน้อยฝากถึงข้าว่าอย่างไร”

    บนโลกนี้ ในบรรดาผู้แข็งแกร่งที่เหยียบเข้าไปในเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ ซูหลีกับธิดาเทพแห่งแดนใต้เมื่อเทียบกับใต้เท้าสังฆราชและจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาเป็นผู้เยาว์กว่าครึ่งรุ่น และก็เป็นเพราะความคิดจิตใจที่ซับซ้อนยากคาดเดาของซูหลี นอกจากธิดาเทพแล้ว เมื่อผู้ศักดิ์สิทธิ์คนอื่นพูดถึงเขาก็ล้วนเรียกว่าซูน้อย เช่นนี้ถึงจะสามารถแสดงถึงความไม่พอใจของพวกเขาที่มีต่อซูหลี

    เพราะในสายตาของพวกเขา ซูหลีเป็นตัวปัญหา

    “อาจารย์อาเล็กซูให้ข้าพูดกับท่านว่า…” สวีโหย่วหรงมองนางแวบหนึ่งก่อนพูดขึ้นต่อ “การเป็นคนโดดเดี่ยวเดียวดายนั้นไม่ง่าย เหตุใดยังต้องฝืนเป็นอีก”

    เมื่อได้ยินคำพูดที่ซูหลีฝากมา จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ก็เงียบไปเป็นเวลานาน หลังจากนั้นก็หัวเราะขึ้นมากะทันหัน ในเสียงหัวเราะนั้นเต็มไปด้วยความใจกว้างและดูถูก

    “ฝ่าบาท ท่านก็อย่าโทษอาจารย์เลย นางสามารถพูดให้อาจารย์อาเล็กซูออกท่องไปใต้หล้ากับนางได้ก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว”

    ตั้งแต่ฤดูสารทของปีที่แล้วเป็นต้นมา ไม่ว่าจะเป็นราชสำนักต้าโจวหรือคนของแดนใต้ล้วนอยู่ระหว่างตระเตรียมการ ดูเหมือนจะมั่นใจแล้วว่าการรวมกันของเหนือใต้จะต้องเกิดขึ้น ในตอนนั้นมีคนจำนวนมากที่ไม่เข้าใจ รวมไปถึงบุคคลสำคัญอย่างเซวียสิ่งชวน เห็นชัดว่าซูหลียังอยู่ที่เขาหลีซาน ทำไมตอนที่ผู้ศักดิ์สิทธิ์ผลักดันเรื่องนี้กลับไม่คำนึงถึงท่าทีของเขาแม้แต่น้อย

    ที่แท้เป็นเพราะธิดาเทพแห่งแดนใต้พูดกล่อมให้เขาออกห่างจากบุญคุณความแค้นในโลก ไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้อีก

    จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์พูดว่าธิดาเทพผ่านด่านความรักไปไม่ได้ ที่จริงแล้วซูหลีก็ใช่ว่าจะสามารถข้ามผ่านไปได้

    ความรักก็คือพันธนาการ และเป็นเงื่อนไขข้อแรกของการรวมกันของเหนือใต้

    จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์รู้สึกปลดปลงต่อเรื่องนี้อย่างยิ่ง ดังนั้นคำพูดจึงแข็งกร้าวและเยาะหยันเป็นอย่างยิ่ง “วันคืนของอาจารย์เจ้าล้วนคือการเฝ้าอยู่ในยอดเขาเซิ่งหนี่ว์ แต่เขากลับกินดื่มเที่ยวเล่นอยู่ภายนอก ใช้ชีวิตอย่างอิสระมานานปีถึงเพียงนี้ ได้แต่งกับองค์หญิงเผ่าปีศาจ แล้วยังมีบุตรสาวด้วยกันอีก ไม่ว่าอะไรก็ล้วนไม่ได้พลาดไป สุดท้ายเที่ยวเล่นจนเบื่อแล้วถึงกลับมาหานาง ชักชวนกันออกไปดูพระอาทิตย์ตกดินด้วยกันแล้วชื่นชมว่ามันงดงามมากเท่าไร ล้วนพูดกันว่าปกครองบ้านเมืองก็เหมือนเดินหมาก นี่มิผิด แต่ข้าก็ไม่มีทางยอมแลกเปลี่ยนกับศัตรูเช่นนี้ เพราะมันไม่คุ้มกัน”

    บนโลกนี้สตรีที่สามารถเทียบเทียมกับนางในโลกแห่งจิตวิญญาณมีไม่เกินสองคน ในตอนนี้ก็น้อยลงไปคนหนึ่งแล้ว อีกทั้งยังเป็นเพราะบุรุษ นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้นางไม่อาจรับได้ที่สุด

    สวีโหย่วหรงไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพราะคนที่พูดอยู่นี้เป็นผู้อาวุโสของนาง และก็เป็นเพราะ…อันที่จริงบางครั้งนางก็คิดเช่นนี้

    “นางจากไปแล้ว ทิ้งเด็กสาวอย่างเจ้าเอาไว้ หรือว่านางจะไม่กังวลใจเลย” จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มองไปทางสวีโหย่วหรงพลางเลิกคิ้วพูด “สุดท้ายแล้วก็ยังเป็นข้าที่ต้องมาเป็นห่วง ยามอยู่กับบุรุษกลายเป็นคนโง่งม แต่ยามต่อกรกับข้ากลับฉลาดเสียยิ่งกว่าใคร”

    สวีโหย่วหรงแย้มยิ้ม “อย่างไรเสียข้าก็ถูกฝ่าบาทอบรมสั่งสอนมาจนโต ได้ท่านสอนเพิ่มอีกสักหลายปีก็ดีเหมือนกัน”

    “ไม่ใช่สอน แต่เป็นการแลกเปลี่ยนอย่างเท่าเทียมกัน”

    จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์พยักหน้าให้นางน้อยๆ นี่ก็คือการให้ความเคารพ

    สวีโหย่วหรงตกตะลึง หลังจากนั้นก็สงบลงอย่างรวดเร็ว แล้วทำความเคารพกลับไปอย่างจริงจัง

    แม้นางไม่ใช่ผู้ศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็เป็นธิดาเทพแห่งแดนใต้แล้ว

    ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปนางกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จะพูดคุยกันอย่างเท่าเทียม ต่อให้เป็นความเท่าเทียมเพียงฉากหน้าก็ตาม

    “ในเมื่อเป็นธิดาเทพแห่งแดนใต้ เจ้าก็ต้องครุ่นคิดแทนคนในแดนใต้ นี่ถึงจะเป็นรากฐานของเจ้า ต่อให้…ในอนาคตจะต้องขัดแย้งกับข้าก็ตาม”

    “ข้าเข้าใจ”

    “ก็เหมือนที่พูดไปในตอนแรกสุด บุรุษนั้นทนมองให้พวกเราอยู่อย่างสูงส่งไม่ได้ ดังนั้นธิดาเทพหลายรุ่นก่อนหน้าอาจารย์เจ้าโดยปกติแล้วจะออกจากสำนักศึกษาหนานซีกันน้อยมาก ทุกวันคืนศึกษาศิลาจารึกคัมภีร์สวรรค์ ลืมเลือนกิเลส แต่แท้จริงแล้วพวกนางชัดเจนอย่างมากว่าไม่อาจทำให้การดำรงอยู่ของตนแข็งแกร่งเกินไป หากเจ้าไม่อยากกลายเป็นรูปสักการะก็อย่าทำเช่นนี้”

    “แล้วควรทำเช่นไร”

    “พวกบุรุษไม่ชอบให้พวกเราอยู่อย่างสูงส่ง พวกเราก็จะอยู่อย่างสูงส่ง อีกทั้งยังจะเหยียบย่ำจนพวกเขาพูดไม่ออก แม้แต่คิดจะต่อต้านก็ไม่กล้า”

    จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์พูดขึ้นด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

    สวีโหย่วหรงรู้ว่าถ้อยคำที่ดูหยาบกระด้างนี้คือเจตจำนงของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ เป็นการเตือนถึงชีวิตธิดาเทพของนางหลังจากนี้ แต่…ที่มากกว่าก็คือการร้องขอถึงการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้นนั่น

    นางไม่สามารถแพ้ให้กับเฉินฉางเซิง

     

    เฉินฉางเซิงนั่งเหม่อลอยอยู่ที่ข้างทะเลสาบในสำนักศึกษาศาสนาหลวง

    นกกระเรียนขาวยืนอยู่ที่ข้างกายเขาและกำลังเหม่อลอยเช่นกัน

    เกล็ดหิมะเล็กๆ ร่วงหล่นลงมาจากฟ้า ตกลงมาบนร่างของนกกระเรียนขาว ยิ่งเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์ แต่เมื่อหล่นลงบนตัวเขากลับดูโศกสลดดุจผู้ชราผมขาว

    “จะทำอย่างไรดี” เขามองนกกระเรียนขาวแล้วถามขึ้นอย่างกลัดกลุ้ม “หากไม่อาจหลีกเลี่ยงได้จริงๆ แล้วจะต้องต่อสู้กับนาง จะต่อสู้อย่างไร”

    นกกระเรียนขาวเอียงคอมองเขาเล็กน้อย ราวกับกำลังพูดว่าเรื่องนี้เจ้าควรไปถามนาง ไม่ใช่มาถามข้า

    เขาลองคิดอยู่เป็นเวลานาน สุดท้ายก็พูดกับตัวเองเสียงเบา “ถ้าไม่มีทางอื่นแล้วจริงๆ เช่นนั้นก็แพ้ให้กับนาง?”

     

    ท่ามกลางหิมะโปรยปราย สวีโหย่วหรงถือร่มคันหนึ่งเดินอยู่บนถนนในจิงตู

    ไม่มีศิษย์ของสำนักศึกษาหนานซีสักคนอยู่ข้างกาย ไม่มีนักบวชของตำหนักหลีกงหรือองครักษ์ของพระราชวัง นางเดินอยู่เพียงลำพัง

    ไม่รู้เพราะเหตุใดวันนี้นางถึงไม่ได้แปลงโฉมของตน นางจึงงดงามราวเทพเซียนก็มิปาน แต่กลับไม่ได้ดึงดูดสายตาของผู้ใด และยิ่งไม่ถูกใครล่วงรู้ถึงสถานะ

    ผู้คนที่อยู่ในแผงอาหารข้างทาง คนงานที่นั่งยองๆ กินบะหมี่อยู่ที่ธรณีประตูล้วนราวกับมองไม่เห็นนางที่อยู่ภายใต้ร่ม

    บางทีคงเป็นเพราะร่มที่อยู่ในมือนางคันนี้ไม่ธรรมดา ดูแล้วค่อนข้างเก่าอยู่บ้าง มีฝุ่นสีเทาฉาบทา นี่ก็คือร่มกระดาษทองคันนั้น


     

    ตอนที่ 3

    กลับบ้าน แต่คิดถึงอีกฟากของถนนสิบเอ็ดสาย

     

    ตอนที่เดินผ่านสะพานไน่เหอนางเกือบถูกสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งที่รีบร้อนกลับบ้านก่อนหิมะจะตกหนักกว่านี้ชนเข้า ในตอนที่สตรีวัยกลางคนกำลังจะล้มลง นางก็ยื่นมือเข้าไปช่วยพยุงไว้

    สตรีวัยกลางคนผู้นั้นถึงได้พบว่าที่ตรงนั้นมีแม่นางที่ถือร่มอยู่ผู้หนึ่ง หลังจากเอ่ยขอบคุณก็มองเห็นเสื้อที่แสนบางของนาง จึงพูดขึ้นอย่างเป็นห่วง “แม่นางสวมเสื้อที่บางถึงเพียงนี้ ไม่หนาวหรือ”

    สวีโหย่วหรงส่ายหน้า ถือร่มแล้วเดินต่อไปตามทางที่มีหิมะ

    จากพระราชวังไปจนถึงทางใต้ของเมือง นางเดินผ่านสถานที่ที่คุ้นเคยในวัยเด็กหลายแห่ง ตอนที่นางข้ามสะพานหินก็มองเห็นชายคาบ้านของนางและกำแพงสีขาว

    แม้นางจะระมัดระวังรักษาเส้นทางแห่งจิตให้อยู่ในภาวะสงบนิ่งมาตลอด แต่ยามนี้ก็อดไม่ได้ที่จะสั่นคลอน

    ตั้งแต่ที่คณะทูตจากแดนใต้เข้าจิงตูเป็นต้นมา ประตูใหญ่ของจวนขุนพลเทพตงอวี้ก็เปิดออก ไม่ต้องพูดถึงฝูงชนที่ยืนรออยู่กลางหิมะ พูดเพียงแค่ผู้ดูแลกับคนรับใช้ในจวนขุนพลเทพ ดวงตาของพวกเขาต่างจ้องมองอย่างจดจ่อรอคอย

    สวีโหย่วหรงถือร่มเดินเข้าไปในจวนขุนพลเทพตงอวี้ภายใต้สายตาของทุกคน

    ทว่าถึงกับไม่มีใครสังเกตเห็นว่านางเข้ามาอย่างไร เหล่าผู้ดูแลกับคนรับใช้ที่เตรียมตัวยุ่งกันมาหลายสิบวันเพื่อวันนี้วันเดียวล้วนนิ่งอึ้งไปแล้ว ในใจต่างสงสัยว่าคนผู้นี้เป็นใครกัน

    เสียงกรอบแกรบพลันดังขึ้น นางลดร่มลงมา เคาะลงเบาๆ ที่ประตูของจวนขุนพลเทพ เทหิมะที่อยู่บนร่มลงบนพื้น

    ได้ยินเสียงร้องไห้ ซวงเอ๋อร์พลันวิ่งออกมาทางหน้าประตู เป็นเพราะนางยืนมาหลายชั่วยามแล้ว ขาทั้งสองข้างจึงเป็นเหน็บชาอยู่บ้าง ยามนี้จิตใจมีความตื่นเต้น ตอนที่มาถึงตรงหน้าของสวีโหย่วหรงถึงกับไม่สามารถยืนให้มั่น เกือบจะคุกเข่าลงไป

    สวีโหย่วหรงยื่นมือออกมาพยุงนางแล้วพูดขึ้น “เมื่อก่อนไม่เห็นว่าเจ้าจะทำความเคารพยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ช่วงหลายปีมานี้ที่ข้าไม่อยู่ ใครกันที่เริ่มสั่งสอนกฎเกณฑ์ให้กับเจ้า”

    แน่นอนว่าคำพูดนี้เป็นการล้อเล่น แต่ซวงเอ๋อร์กลับยิ้มไม่ออก ทำเพียงแค่ร้องไห้อย่างหนัก หลังจากนั้นนางถึงได้รู้สึกขายหน้า ใช้แขนเสื้อเช็ดใบหน้าไม่หยุด เครื่องประทินโฉมที่ตั้งใจแต่งแต้มบนใบหน้าถูกลบเลือนไป

    กระทั่งตอนนี้ผู้คนของจวนขุนพลเทพถึงได้มีการตอบสนอง แม่เฒ่าฮวารีบก้าวขึ้นหน้ามาต้อนรับ ริมฝีปากสั่นเทา แต่กลับพูดอะไรไม่ออก

    “คุณหนูกลับมาแล้ว!”

    ไม่รู้ว่าใครตะโกนขึ้นมาเช่นนี้ จากนั้นประทัดก็ถูกจุดขึ้นมาในทันที ดอกไม้ไฟได้ส่องสว่างบนท้องฟ้าที่มืดครึ้มจากหิมะอยู่บ้าง

    ท่ามกลางเสียงครึกครื้นก็ได้ยินใครตะโกนขึ้นมาอีก “ตอนนี้ไม่สามารถเรียกว่าคุณหนูแล้ว! ต้องเรียกธิดาเทพ!”

    “ขอต้อนรับธิดาเทพ!”

    มองดูประตูใหญ่ที่ถูกปิดอย่างรวดเร็ว ฝูงชนที่รออยู่ท่ามกลางหิมะเป็นเวลานานเหล่านั้นก็ระเบิดเสียงแล้วแยกย้ายกันออกไปกระจายข่าวในสถานที่ต่างๆ จนทั่วเมือง

    หงส์ฟ้ากลับจวนแล้ว

     

    “สวมเสื้อน้อยชิ้นถึงเพียงนี้ หนาวจนตัวแข็งไปจะทำอย่างไร”

    ฮูหยินสวีจูงมือของสวีโหย่วหรงด้วยใบหน้าเป็นห่วงเป็นใย น้ำตาค่อยๆ ไหลรินลงมา

    “หงส์ฟ้าของบ้านข้าไหนเลยจะถูกสายลมและหิมะธรรมดาทำให้ตัวแข็งได้” สวีซื่อจี้ลูบเคราเบาๆ แย้มยิ้มแล้วพูดขึ้น ช่างเหมือนกับบิดาผู้เมตตาที่กำลังภาคภูมิใจในตัวบุตรสาว “ไม่เจอกันหลายปี เจ้าโตขึ้นมากแล้วจริงๆ ถึงขนาด…กลายเป็นธิดาเทพแล้ว”

    ถึงแม้ตั้งแต่วันแรกที่เข้าไปยังสำนักศึกษาหนานซี ตัวเขารวมไปถึงคนจำนวนมากล้วนมั่นใจว่าในอนาคตบุตรสาวตนจะต้องกลายเป็นธิดาเทพแห่งแดนใต้อย่างแน่นอน เพียงแต่ไหนเลยจะคาดคิดว่าวันนั้นจะมาถึงรวดเร็วเพียงนี้ เมื่อคิดถึงตรงนี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น ความหยิ่งทะนงและภาคภูมิใจกินไปเจ็ดส่วน ความหลุดพ้นและผ่อนคลายกินไปสามส่วน ต่อให้ตอนนี้ตนมีความคิดเป็นอื่น จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ก็จะไม่ปฏิบัติต่อตนอย่างเช่นในอดีตอีก คงจะไว้หน้าตนสักหลายส่วน ส่วนสกุลเทียนไห่กับขุนนางใหญ่ในราชสำนักเหล่านั้น ใครยังจะกล้ามาเยาะเย้ยตนลับหลังอีก สำหรับเจ้าพวกคนที่เคยทำให้เขาต้องลำบากเหล่านั้น…อยู่ๆ เขาก็นึกถึงเฉินฉางเซิงขึ้นมา ในใจพลันอึดอัด สีหน้าเปลี่ยนเป็นไม่น่าดูอยู่บ้าง

     

    ในจินตนาการของทุกคน ธิดาเทพจะต้องงดงามบริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์เข้มงวด ไม่ทำหน้าระรื่น เป็นระเบียบเรียบร้อย ภาพจำนี้ถึงแม้ว่าจะไม่ตรงกับความจริง แต่ก็ไม่อาจถูกทำลายได้ สวีโหย่วหรงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น หลายปีมานี้ตอนที่ปรากฏตัวต่อชาวโลก แม้จะไม่สามารถเคลื่อนไหวชนิดไร้สายลมแตะต้อง บริสุทธิ์ราวกับดอกบัวขาวเหมือนศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนักศึกษาหนานซี แต่ก็ระวังคำพูดและการกระทำของตนเป็นอย่างมาก แย้มยิ้มโดยไม่พูดจา มีเพียงตอนที่อยู่ต่อหน้าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กับอาจารย์ของนางเท่านั้นถึงจะแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนผู้เยาว์ที่พูดในสิ่งที่ตนสนใจ และก็มีเพียงตอนที่อยู่ต่อหน้าสาวใช้ซวงเอ๋อร์ที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก นางถึงจะผ่อนคลายอย่างแท้จริง ดังเช่นในตอนนี้

    นางพลิกตัวไปมาบนเตียงไม่หยุด เรือนผมสีดำยุ่งกระจาย สุดท้ายนางก็กางแขนทั้งสองข้างนอนหงายอยู่บนเตียง พูดขึ้นอย่างทอดถอนใจ “ยังเป็นเตียงหลังนี้ที่นอนแล้วแสนสบาย”

    “คุณหนู ทำเช่นนี้ช่างไม่สง่างามเอาเสียเลย”

    ซวงเอ๋อร์รีบหาผ้าห่มมาคลุมบนร่างของนาง หลังจากนั้นก็นั่งมองนางอยู่ที่ขอบเตียง ตนดีใจเป็นอย่างมาก แต่ไม่รู้ว่าทำไมที่ขอบตาถึงได้ค่อยๆ แดงขึ้นมา

    สวีโหย่วหรงถามขึ้น “เป็นอะไรไป หรือว่ามีคนกล้ารังแกเจ้าจริงๆ”

    ตอนที่เพิ่งกลับจวนนางก็เคยถามเช่นนี้แล้ว เพียงแต่ตอนนั้นนางแค่พูดล้อเล่น เพราะนางชัดเจนเป็นอย่างมากว่าในจวนสกุลสวีนี้ไม่มีใครกล้ารังแกซวงเอ๋อร์ คิดว่าแม้แต่มารดาของตนก็ไม่มีทางสร้างความลำบากอะไรให้กับอีกฝ่าย แต่ดูจากตอนนี้แล้วเรื่องราวเหมือนจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น แน่นอนว่านางอยากรู้ว่านี่เป็นเพราะอะไร

    ซวงเอ๋อร์เช็ดน้ำตา มองนางอย่างกระอักกระอ่วนใจ สุดท้ายก็พูดขึ้นอย่างโศกเศร้า “ถ้ามีคนรังแกคุณหนูจะทำอย่างไร”

    สวีโหย่วหรงแย้มยิ้ม “เด็กโง่ยังโง่ไม่เปลี่ยน ใครกล้ารังแกข้ากัน เจ้าไม่รู้หรือว่าในสวนโจวข้าได้เจอกับหนานเค่อ องค์หญิงเผ่าปีศาจที่ข้าเคยเล่าให้ฟังในจดหมายผู้นั้น แล้วยังสู้กันตัวต่อตัว ข้านั้น…”

    “คุณหนู ท่านก็รู้ว่าข้ากำลังพูดถึงใคร”

    สวีโหย่วหรงลุกขึ้นมานั่ง ค่อยๆ หวีเรือนผมสีดำ หลังจากนั้นก็นั่งกอดเข่าทั้งสองข้าง นิ่งเงียบไม่พูดจา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

    ซวงเอ๋อร์ชัดเจนเป็นอย่างมาก ตอนที่คุณหนูอยู่ตามลำพังมักจะเหม่อลอย ตอนเด็กก็เป็นเช่นนี้ มองดูแล้วช่างทำให้คนเกิดความเห็นใจ ไม่เหมือนกับในสายตาของชาวโลกที่นางนั้นดูสงบนิ่งและใจกว้าง

    ในตอนนี้มองเห็นคุณหนูเป็นเช่นนี้อีก นางอดไม่ได้ที่จะไม่สบายใจ “คุณหนู ข้าไม่ได้ตั้งใจทำให้ท่านไม่พอใจ ท่านอย่าได้คิดอีกเลย”

    สวีโหย่วหรงมองดูตะเกียงที่อยู่บนโต๊ะแล้วถามขึ้นอย่างกะทันหัน “มีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากถามเจ้า”

    “เรื่องอะไรหรือ”

    สวีโหย่วหรงหันมามองนาง ถามขึ้นอย่างสงบ “ตอนแรกที่เจ้าบอกว่า…ที่สำนักศึกษาศาสนาหลวงเขากับองค์หญิงลั่วลั่ว…เจ้าเห็นกับตาหรือ”

    ซวงเอ๋อร์ค่อนข้างร้อนใจ “คุณหนู ท่านอุตส่าห์ได้กลับบ้านสักครั้ง จะพูดถึงเจ้าคนไร้ยางอายทำไม”

    แม้จะไม่ได้ตอบออกมาตรงๆ แต่คำว่าคนไร้ยางอายคำนี้ก็เหมือนจะเพียงพอสำหรับการอธิบายเรื่องราวมากมายแล้ว

    สวีโหย่วหรงไม่ได้ถามอะไรอีก นางกอดเข่า มองเกล็ดหิมะที่ร่วงโรยอยู่นอกหน้าต่างยามค่ำคืน แล้วนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน

    เมื่อก่อนตอนที่กลับมาเยี่ยมบ้านที่จิงตูนางจะไม่อยากออกไปข้างนอกอีก แต่วันนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรนางถึงไม่อยากอยู่ในจวน นางอยากออกไปเดินเล่นข้างนอก ออกไปดูสักหน่อย

    อาจเป็นเพราะเมื่อเทียบกับสองครั้งก่อนที่ได้กลับมาเยี่ยมบ้าน จิงตูมีสถานที่บางแห่งที่ไม่เหมือนเดิมแล้ว ยกตัวอย่างเช่นโคมไฟในวังเว่ยยางมีมากกว่าปีก่อนๆ อยู่หลายดวง เสาของสะพานไน่เหอเมื่อฤดูร้อนของปีก่อนถูกเรือขนเสบียงชนจนเสียหาย เวลานี้กำลังซ่อมแซมอยู่ สวนป่าที่อยู่ตรงสะพานเป่ยซินนั้นไม่รู้ว่าทำไมถึงได้รกทึบขึ้นมาก สำนักศึกษาศาสนาหลวงเป็นสำนักเก่าแก่ในกลุ่มสำนักไม้เลื้อย ได้ยินว่าได้เปลี่ยนแปลงใหม่ไปแล้ว…

    คนผู้นั้นก็อยู่ในจิงตู

    กั้นห่างกับนางด้วยถนนสิบเอ็ดสาย

    หากเป็นคนธรรมดาเดินไปจะใช้เวลาครึ่งชั่วยาม นี่เป็นเพราะหิมะตกจึงทำให้ทางลื่น ต้องเพิ่มความระมัดระวัง

    หากเป็นนางเดินไปจะใช้เวลาเพียงครู่เดียว

    หากขี่นกกระเรียนขาวไป เช่นนั้นก็ยิ่งใช้เวลาสั้นลงไปอีก เพียงแค่พริบตาก็ไปถึงแล้ว

    หิมะที่นอกหน้าต่างยามค่ำคืนพลันฟุ้งกระจัดกระจายขึ้นมาอย่างกะทันหัน ความรู้สึกในใจของนางก็วุ่นวายขึ้นมาเช่นกัน เมื่อกะพริบตาก็พบว่าเป็นนกกระเรียนขาวที่ร่อนลงมาในสวน

    นางลุกขึ้นมาแล้วคลุมด้วยเสื้อคลุมตัวใหญ่ เดินออกไปที่นอกห้อง ซวงเอ๋อร์รีบนำเตาผิงมากอดไว้แล้วรีบตามไป

    นกกระเรียนขาวกำลังสางขนอยู่บนพื้นหิมะ

    ในท้องฟ้ายามราตรีพลันมีเสียงประหลาดที่แสนไม่น่าฟังดังขึ้น ลูกพญาปักษาสีเทาบินร่อนลงมา ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้มันไปเที่ยวเล่นอยู่ที่ไหน จนกระทั่งได้พบนกกระเรียนขาวถึงได้บินตามมา เมื่อลงสู่พื้นมันก็ซุกตัวเข้าไปในขนปีกของนกกระเรียนขาว เหมือนการประจบและเหมือนจงใจเรียกร้องความสนใจจากนกกระเรียนขาว นกกระเรียนขาวชูคอขึ้นมา ท่าทางแสดงถึงความจนใจ แต่ก็ไม่ได้มีเจตนาจะไล่มันออกไป

    เรือนเล็กหลังนี้เป็นเขตหวงห้ามของจวนขุนพลเทพตงอวี้ หากไม่ได้รับอนุญาตจากนาง ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถเข้ามาได้ กระทั่งสวีซื่อจี้กับสวีฮูหยินก็เป็นเช่นนี้ จึงไม่ต้องกังวลว่าลูกพญาปักษาจะไปทำให้ใครตกใจ

    “นี่คือนกอะไร” ซวงเอ๋อร์มองนกที่มีสีเทาเรียบๆ ตัวนั้นแล้วถามขึ้น

    ในสายตาของนาง นกตัวนี้ช่างมีหน้าตาค่อนข้างน่าเกลียด แต่นกกระเรียนขาวที่รักความสะอาดเสมอมาถึงกับไม่ได้ต่อต้านการตีสนิทของนกตัวนี้ นี่ทำให้นางตกตะลึงอยู่บ้าง

    “ไก่ฟ้าตัวหนึ่ง” สวีโหย่วหรงตอบ

    ลูกพญาปักษาโผล่หัวออกมาจากใต้ปีกของนกกระเรียนขาว มองนางอย่างไม่พอใจแวบหนึ่ง

    “ยอดเขาเซิ่งหนี่ว์ช่างไม่ใช่สถานที่ธรรมดาจริงๆ ไก่ฟ้าที่อยู่บนเขาถึงกับมีหน้าตาดุร้ายถึงเพียงนี้” ซวงเอ๋อร์ปรบมือทั้งสองข้างพลางชื่นชม ทันใดนั้นก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “อา! เช่นนั้นข้าต้องไปเตรียมน้ำสะอาดกับผลไม้เพิ่มสักหน่อยแล้ว เดิมทีเตรียมไว้สำหรับนกกระเรียนขาวเท่านั้น”

    เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ความไม่พอใจในดวงตาของลูกพญาปักษาก็ยิ่งหนักหน่วงขึ้น

    มันกินผักผลไม้อยู่ที่ยอดเขาเซิ่งหนี่ว์มาถึงครึ่งปีเต็ม มีเพียงแค่ตอนที่สวีโหย่วหรงไปเล่นไพ่นกกระจอกที่ในเมืองถึงได้ถือโอกาสกินเนื้อ ได้กินพวกซี่โครงรมควันบ้างนิดหน่อย วันนี้ได้มาถึงจิงตูที่รุ่งเรือง ตอนที่บินผ่านก็เห็นมนุษย์ที่หอมหวานมากมายขนาดนั้น ยังมีพวกผู้บำเพ็ญเพียรที่เห็นได้ชัดว่ากรุบกรอบและได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี มันคันปากจนทนไม่ไหวมานานแล้ว ผลคือ…

    คาดไม่ถึงว่ายังต้องกินแต่ผลไม้อีก

    ต้องรู้ว่าถึงแม้ในชาตินี้มันจะยังไม่เคยกินเนื้อมนุษย์ แต่เศษเสี้ยวความทรงจำของชาติก่อนที่หลงเหลืออยู่ในวิญญาณของมันยังไม่ได้ลืมเลือนไป

    “ไก่ฟ้าตัวนี้ชอบกินเนื้อ” สวีโหย่วหรงมองมาที่ลูกพญาปักษาแวบหนึ่ง

    เพียงแค่การมองอย่างธรรมดาๆ แต่ลูกพญาปักษาก็รู้สึกว่าดวงวิญญาณถูกน้ำที่หนาวเย็นที่สุดชะล้างอยู่สามวันสามคืน ความปรารถนาอันร้อนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อครู่หายไปอย่างไร้ร่องรอยในชั่วพริบตา ไหนเลยจะยังกล้ามีความคิดเหล่านั้นอีก

    “หากในจวนมีกุ้งมังกรสีครามก็เอามาให้มันชิมสักหน่อย”

    เมื่อได้ยินคำพูดนี้ลูกพญาปักษาก็ดีใจเป็นอย่างมาก ผงกหัวขึ้นลงไม่หยุด ความทรงจำชาติก่อนที่อยู่ในดวงวิญญาณได้บอกมันว่าเนื้อของกุ้งมังกรสีครามนั้นเลิศรสเป็นอย่างมาก

    ซวงเอ๋อร์พูดขึ้นอย่างจนใจ “ในจวนไม่มี”

    สวีโหย่วหรงประหลาดใจเล็กน้อย ในใจคิดว่าในจวนรู้ว่าตนชอบกินกุ้งมังกรสีครามของหอเฉิงหู ตามหลักแล้วน่าจะเหมือนกับสองครั้งก่อนที่กลับมาจิงตู ล้วนเตรียมเอาไว้ไม่น้อย เหตุใดวันนี้ถึงไม่มี

    “ทั่วทั้งจิงตูในตอนนี้ล้วนไม่สามารถหากุ้งมังกรสีครามมากิน” ซวงเอ๋อร์ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น “เพราะสำนักศึกษาศาสนาหลวงได้ซื้อหอเฉิงหูเอาไว้แล้ว มีเพียงที่นั่นถึงจะสามารถกินได้”

    สวีโหย่วหรงนิ่งอึ้งไป คิดไม่ถึงเลยว่า…จะได้ยินชื่อของสำนักศึกษาศาสนาหลวงเร็วถึงเพียงนี้

    ลูกพญาปักษากำลังคิดว่าสำนักศึกษาศาสนาหลวงเป็นสถานที่อะไร มันจะต้องหาโอกาสกินคนที่อยู่ในนั้นให้หมด หลังจากนั้นก็ค่อยๆ กินกุ้งมังกรสีครามเหล่านั้น

    นกกระเรียนขาวร้องขึ้นเสียงต่ำอย่างกะทันหัน

    สวีโหย่วหรงถึงได้รู้ ที่แท้ครึ่งวันมานี้นกกระเรียนขาวล้วนอยู่ที่สำนักศึกษาศาสนาหลวง คิดว่า…น่าจะเล่นอยู่กับคนผู้นั้น

    ซวงเอ๋อร์ไปหยิบเนื้ออย่างอื่น สวีโหยวหรงกระชับเสื้อคลุม นางยืนอยู่ท่ามกลางหิมะยามราตรีพร้อมกับคิดถึงเรื่องบางอย่าง

    เขาอยู่ในจิงตู กั้นห่างกันด้วยถนนสิบเอ็ดสาย เวลาเพียงครึ่งชั่วยาม ไม่สิ เพียงครู่เดียวนางก็สามารถไปถึง

     

    * ผลเซิ่งหนี่ว์ หมายถึงมะเขือเทศราชินี

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook