• Connect with us

    Enter Books

    Uncategorized

    ทดลองอ่าน นิยายสยบฟ้าพิชิตปฐพี เล่ม 26 ตอนที่ 2

    หน่วยเทียนซูของต้าถังรับผิดชอบดูแลผู้ฝึกฌานแทนราชสำนัก ในความคิดของคนธรรมดารวมถึงขุนนางทั่วๆ ไป หน่วยงานนี้ดูลึกลับมาก

    แต่สถานที่ทำการของหน่วยเทียนซูไม่ลึกลับ เพียงแต่ค่อนข้างห่างไกล อยู่ในหอเล็กแห่งหนึ่งห่างออกไปสี่ลี้ทางทิศตะวันออกของถนนจูเชวี่ย สามารถมองเห็นกันได้กับสวนของกรมทหาร

    หลังจากพายุฝนผ่านพ้น ดูจากสีท้องฟ้า ในระยะเวลาสั้นๆ ฝนไม่น่าจะตกอีก แต่วันนี้บนโต๊ะที่ชั้นสามของหน่วยเทียนซูกลับวางไว้ด้วยร่มสีเหลืองคันหนึ่ง ผิวร่มยังชื้นอยู่

    เหอหมิงฉือถือผ้าขาวผืนหนึ่งเช็ดหยดน้ำบนร่มอย่างพิถีพิถัน เหมือนมองไม่เห็นหยดเหงื่อบนหน้าผากของจูเก่ออู๋เหรินที่นั่งอยู่ตรงหน้าเลย

    จูเก่ออู๋เหรินคือหัวหน้าหน่วยเทียนซู คนทั้งโลกต่างรู้ว่ามันเป็นสุนัขที่ซื่อสัตย์ของพระอัครมเหสี หลังจากจักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ สถานการณ์ของมันย่อมตกอยู่ในภาวะล่อแหลม

    “ดังคำกล่าวที่ว่าเมื่อโอรสสวรรค์เปลี่ยน ขุนนางก็ต้องเปลี่ยน ต่อการแปรผันของสถานการณ์ คาดว่าใต้เท้าจูเก่อคงทราบดีแก่ใจแล้วว่าควรทำอย่างไร เหตุไฉนยังต้องลำบากวิ่งเต้นไปทั่ว หรือท่านคิดจะล้มล้างพระราชโองการของจักรพรรดิองค์ก่อน ช่างไม่ฉลาดเลย”เหอหมิงฉือเก็บผ้าในมือเข้าไปในแขนเสื้อ เงยหน้าขึ้นมองฝ่ายตรงข้ามพร้อมกล่าวเสียงเรียบ

    จูเก่ออู๋เหรินมองชายหนุ่มผู้สวมชุดนักพรตที่อยู่ตรงหน้า เหงื่อที่หน้าผากไหลออกมามากขึ้นอีก มันคิดไม่ถึงเลยว่าการเคลื่อนไหวของตนหลายวันที่ผ่านมาล้วนอยู่ในสายตาของฝ่ายตรงข้าม

    มันกับเหอหมิงฉือความจริงคุ้นเคยกันดี ช่วงหลายปีมานี้อารามฝ่ายใต้ซึ่งเป็นที่มาของขุมกำลังหลักของหน่วยเทียนซู เหอหมิงฉือเป็นผู้รับผิดชอบให้ความร่วมมือกับมัน มันเคารพนับถือเหอหมิงฉือตลอดมา แต่ที่จริงคือเคารพนับถือนิกายและอาจารย์ของอีกฝ่ายซึ่งมีฐานะเป็นถึงราชครู จนกระทั่งวันนี้มันจึงพบว่าตนเองคิดผิด

    เพราะลำพังตัวเหอหมิงฉือเองก็มีคุณสมบัติเพียบพร้อมที่จะให้คนเคารพนับถือ ทั้งสติปัญญาและความเด็ดเดี่ยว!

    “เจ้าอารามเหอ ท่านต้องการบอกอะไรกันแน่ ข้าแค่ไปดื่มน้ำชาสนทนาเล่นกับสหายเก่าเท่านั้น ถ้าท่านจะป้ายสีข้าว่าคิดล้มล้างพระราชโองการ ต้องขออภัยที่ข้าไม่อาจรับ”

    เสียงของจูเก่ออู๋เหรินออกจะแหบแห้ง

    ตอนที่เหอหมิงฉือเดินเข้ามาในหน่วยเทียนซูอย่างสบายๆ โดยที่ตนไม่ได้ยินการแจ้งเตือนใดๆ คอมันก็แทบจะแห้งผากแล้ว เพราะมันรู้ว่าตอนนี้ไม่ว่าตนจะพูดอะไรหรือกระทั่งร้องตะโกนล้วนยากที่คนอื่นจะได้ยิน

    เหอหมิงฉือกล่าวว่า

    “ตอนที่จักรพรรดิองค์ก่อนเห็นด้วยกับข้อเสนอของพระอัครมเหสี ให้ท่านเป็นหัวหน้าหน่วยเทียนซูด้วยเหตุผลว่าท่านเป็นคนธรรมดา ไม่มีความเห็นอกเห็นใจผู้ฝึกฌานและไม่มีความเคารพยำเกรงต่อผู้ฝึกฌานอย่างที่คนอื่นมี นี่คือข้อดีข้อหนึ่ง แต่ก็เป็นข้อเสียที่อันตรายถึงชีวิตด้วย

    หลายปีมานี้ผู้ฝึกฌานในหน่วยเทียนซูมีใครบ้างที่รับใช้ท่านด้วยใจจริง ในยามที่ท่านไม่มีอำนาจในมือ ท่านก็สั่งการพวกมันไม่ได้”

    จูเก่ออู๋เหรินรู้สึกว่าเหอหมิงฉือที่นั่งอยู่เบื้องหน้าตนคืองูพิษตัวหนึ่ง

    “ข้าคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าพวกเจ้าอารามฝ่ายใต้จะแทรกซึมเข้าหน่วยเทียนซูมาได้อย่างน่ากลัวถึงเพียงนี้ แต่เจ้าอย่าลืมว่าข้ายังคงเป็นหัวหน้า พวกมันแม้ไม่กล้าขัดขวางเจ้าที่เข้ามาพบข้า แต่ก็ไม่กล้าช่วยเจ้าสังหารข้าเช่นกัน”

    เหอหมิงฉือมองมันด้วยแววตาสมเพช

    “ข้าเป็นผู้ฝึกฌาน แม้ไม่เก่งกาจเท่าหนิงเชวียและเฉินผีผี แต่จะสังหารท่านที่เป็นคนธรรมดา ไหนเลยต้องให้ผู้อื่นช่วย”

    จูเก่ออู๋เหรินตวาดว่า

    “ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะกล้าฆ่าขุนนางของราชสำนัก!”

    “ข้าไม่มีความกล้าจริงๆ นั่นล่ะ แต่ใต้เท้าจูเก่ออย่าลืม ตอนนี้จักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์แล้ว หากพระองค์มีพระประสงค์ก็ปลดท่านออกจากตำแหน่งได้ ถึงตอนนั้นท่านยังจะเหลืออะไร”

    เหงื่อที่หน้าผากของจูเก่ออู๋เหรินเพิ่มมากขึ้นในพริบตา

    “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้ายังรออะไร”

    “ฝ่าบาทเพิ่งขึ้นครองราชย์ การลงมือกับสุนัขของพระอัครมเหสีในตอนนี้คงเป็นเรื่องไม่สวยงามนักในสายตาของขุนนางทั้งหลาย อีกทั้งใต้เท้าดูแลหน่วยเทียนซูมาหลายปี เชื่อว่าในมือคงกุมความลับบางอย่างไว้และมีขุมกำลังที่ไม่มีใครรู้ ฝ่าบาทไม่อยากให้เกิดการสูญเสียโดยไม่จำเป็นเพราะความขัดแย้งส่วนตัวระหว่างจักรพรรดิและขุนนาง”

    เหอหมิงฉือมองมันยิ้มๆ แล้วกล่าวต่อไปว่า

    “ดังนั้นฝ่าบาทจึงอยากให้ท่านลาออก”

    จูเก่ออู๋เหรินจ้องตามันพลางกล่าวอย่างเย้ยหยันว่า

    “เจ้าคิดว่าข้าโง่ขนาดนั้น?”

    “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับความโง่ แต่เกี่ยวกับสถานการณ์ ต่อให้ท่านยังเหลือหมากลับในมือที่ไม่อยู่ในความควบคุมของพวกเรา แต่สถานการณ์โดยรวมอยู่ในความควบคุมของพวกเราแล้ว ท่านพลิกฟ้าไม่ได้หรอก”

    เหอหมิงฉือหุบยิ้ม แล้วกล่าวต่อไปว่า

    “ใต้เท้าจูเก่อเสียใจต่อการสวรรคตของจักรพรรดิองค์ก่อนจึงล้มป่วยอย่างหนัก ขอลาออกจากตำแหน่งโดยสมัครใจ ฝ่าบาทและองค์หญิงย่อมเห็นแก่ที่ท่านทำงานอย่างวิริยะอุตสาหะและมีความดีความชอบ จึงอนุญาตให้ท่านอยู่ในเมืองฉางอันได้ แต่หากให้ฝ่าบาททรงปลดท่านออกจากตำแหน่งหัวหน้าหน่วยเทียนซู ท่านจะถูกส่งไปรับราชการที่เขตอื่น”

    จูเก่ออู๋เหรินฟังแล้วสองมือก็สั่นระริก

    “ใต้เท้าจูเก่อคงเข้าใจความแตกต่างเป็นอย่างดี ชีวิตนี้ท่านอยู่ฝ่ายพระอัครมเหสี ไม่รู้ทำเรื่องเลวทรามไว้มากน้อยแค่ไหน เรียกใช้ผู้ฝึกฌานราวกับเป็นสุกรสุนัข และไม่รู้ล่วงเกินนิกายสำนักต่างๆ มากน้อยเท่าใด ถ้าไม่มีราชสำนักหนุนหลัง แค่ออกนอกฉางอันก็มีแต่ต้องตายสถานเดียว”

    กล่าวจบเหอหมิงฉือหยิบร่มเหลืองบนโต๊ะมาหนีบไว้ใต้รักแร้ เดินออกจากหน่วยเทียนซู

     

    คืนนี้นอกตำหนักไม่มีเสียงลมฝน หลี่อวี๋รู้สึกไม่คุ้นชิน อารมณ์ก็ไม่ค่อยสงบ อ่านฎีกาไปได้ไม่กี่ฉบับจิตใจก็ว้าวุ่น ถึงขั้นอ่านไม่เข้าใจว่าเนื้อหาในฎีกาเขียนว่าอย่างไร

    ตอนนี้น้องชายของนางขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิแล้ว ตามหลักตำแหน่งผู้สำเร็จราชการของนางควรต้องปลดออก แต่ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่หรือขุนนางของทั้งสองฝ่ายต่างร้องขอโดยมิได้นัดหมายกันว่าให้นางทำหน้าที่ต่อไป

    จักรพรรดิทรงต้องการให้นางตรวจแก้ฎีกาต่อไป เพราะเชื่อมั่นในความสามารถด้านการปกครองของนาง เป็นการแสดงความขอบคุณและความสนิทสนมของตน ขุนนางฝ่ายองค์หญิงที่ยืนกรานเช่นนี้ความจริงคือไม่วางใจความสามารถด้านการปกครองของจักรพรรดิองค์ใหม่ ส่วนขุนนางฝ่ายพระอัครมเหสี…ลึกๆ แล้วพวกมันอาจคิดว่าชีวิตนี้คงไม่ได้เห็นแสงเดือนแสงตะวันอีกต่อไป

    หลี่อวี๋พลิกฎีกากองหนาไปเรื่อยๆ จู่ๆ นิ้วของนางก็หยุดชะงัก สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เพราะด้านล่างสุดของกองฎีกานางเห็นจดหมายลาออกของจูเก่ออู๋เหริน

    แสงเทียนส่องโต๊ะและม่านไม้ ทั้งส่องใบหน้าของนาง เมื่อเห็นจดหมายลาออกของสุนัขรับใช้พระอัครมเหสีฉบับนี้นางพลันนึกถึงเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นในราชสำนักระยะนี้

    ตั้งแต่จักรพรรดิองค์ใหม่สืบทอดบัลลังก์ เมืองฉางอันดูเหมือนสงบเรียบร้อย แต่ความจริงมีคลื่นใต้น้ำ พวกขุนนางคนสำคัญและนายทหารที่จงรักภักดีต่อพระอัครมเหสีลอบติดต่อกันอย่างลับๆ เนื้อหาที่สนทนากันไม่ต้องถามก็เดาถูก

    หนหนึ่งในราชสำนักเกิดการถกเถียงครั้งใหญ่ คนในวังตัดสินใจจะเปลี่ยนชื่อรัชสมัยโดยเร็วเพื่อความมั่นคงของการสืบทอดบัลลังก์ของจักรพรรดิองค์ใหม่ ขุนนางฝ่ายพระอัครมเหสีใช้เหตุผลว่าพระศพของจักรพรรดิองค์ก่อนยังมาไม่ถึง และพระอัครมเหสียังอยู่ที่ทุ่งร้าง ร้องขอให้เลื่อนการแก้ไขชื่อรัชสมัยไปก่อน อย่างน้อยควรรอประกอบพระราชพิธีส่งพระศพจักรพรรดิองค์ก่อนสู่สุคติให้เรียบร้อย

    หลักการที่ว่าความกตัญญูมาเป็นอันดับหนึ่งใช้ได้ผลอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นหลี่อวี๋หรือจักรพรรดิองค์ใหม่ล้วนไม่อาจปฏิเสธ จึงได้แต่เห็นด้วยกับคำแนะนำของเหล่าขุนนาง ช่วงเวลาที่ฝนหยุดตกนี้ได้ส่งกองกำลังไปเมืองเฮ่อหลันเพื่อรับพระศพ

    หลี่อวี๋เข้าใจดีถึงความสำคัญของการเปลี่ยนชื่อรัชสมัยที่มีต่อตำแหน่งจักรพรรดิ อีกทั้งเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรกที่พึงทำหลังจากที่จักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ แต่สุดท้ายกลับทำไม่สำเร็จเพราะถูกคัดค้าน ด้วยเหตุนี้นางจึงเดาได้ว่าน้องชายต้องขุ่นเคืองใจมากเป็นแน่ แต่คิดไม่ถึงว่าขณะที่ตนไม่รู้เรื่อง มันก็เริ่มลงมือแล้ว

    อาศัยแสงเทียนส่องฉาย นางตรวจดูจดหมายของจูเก่ออู๋เหรินอย่างละเอียด หวังจะเห็นนัยความหมายอื่นที่ซ่อนอยู่ในเนื้อหา แต่ก็ไม่เจอสิ่งใด

     

    เนื่องจากพระศพของจักรพรรดิองค์ก่อนยังมาไม่ถึง ดังนั้นจักรพรรดิองค์ใหม่จึงยังไม่ได้ย้ายไปอยู่ตำหนักหลักของวังกลาง ยังคงพักอยู่ตำหนักข้าง เพียงแต่ตำหนักข้างในตอนนี้มีชีวิตชีวากว่าตำหนักกลางมาก

    วังหลวงในคืนนี้จู่ๆ ก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง นอกจากหัวหน้าขันทีที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุดสองคนที่เฝ้าอยู่หน้าประตู ในตำหนักก็ไม่มีใครอื่นอีกนอกจากหลี่อวี๋หลี่ฮุยหยวนสองพี่น้อง

    “เมื่อก่อนเสด็จพ่อเคยพูดคำสอนของอาจารย์ใหญ่ให้ฟังว่าการปกครองแคว้นใหญ่เปรียบเสมือนการทอดปลาตัวเล็ก อย่าพลิกไปมาส่งเดช ต้องคล้อยตามธรรมชาติ กระทำการอย่างระมัดระวัง ห้ามใจร้อนอย่างเด็ดขาด”

    หลี่อวี๋มองน้องชายพลางกล่าวตักเตือนเสียงเบา

    “ตอนนี้เจ้าเป็นจักรพรรดิของต้าถังแล้ว ขอเพียงดำเนินการตามสถานการณ์ ปลาซิวปลาสร้อยพวกนั้นทำอะไรเจ้าไม่ได้อยู่แล้ว เหตุใดต้องบุ่มบ่ามลงมือ”

    หลี่ฮุยหยวนหัวเราะ แล้วเอ่ยตอบ

    “ข้ายังคิดว่าเรื่องอะไรที่ทำให้เสด็จพี่ร้อนใจถึงเพียงนี้ ที่แท้เพียงแค่จดหมายลาออกฉบับหนึ่ง มิผิด ข้าส่งคนไปทำให้จูเก่ออู๋เหรินลาออก คนทั้งแคว้นต่างรู้ว่าคนถ่อยที่ชั่วร้ายอย่างมันเป็นสุนัขของนาง ข้าไม่อยากเห็นใบหน้าที่น่ารังเกียจของมันในวังอีก”

    หลี่อวี๋เห็นสีหน้าอีกฝ่ายก็รู้ว่ามันไม่ได้ใส่ใจคำพูดของตนเลย จึงกล่าวอย่างเคร่งขรึม

    “มีเรื่องหนึ่งที่เจ้าต้องเข้าใจ ฉางอันไม่มีทางถูกทำลายจากภายนอก อันตรายเพียงหนึ่งเดียวนั้นมาจากภายใน ตอนนี้ตัวเจ้าเท่ากับเป็นเมืองฉางอัน ขอเพียงไม่ทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าก็ดำรงคงอยู่ได้อย่างยั่งยืน”

    พอได้ฟังคำพูดที่จริงจังและมีความหมายลึกซึ้งนี้แล้ว หลี่ฮุยหยวนก็ก้มหน้านิ่งเงียบไปนาน

    จากนั้นมันเงยหน้าขึ้น มองหลี่อวี๋พลางกล่าว

    “ความจริงข้าก็เข้าใจดีถึงหลักการนี้ แต่อย่างที่เสด็จพี่พูด อันตรายของฉางอันอยู่ที่ภายใน เพียงสองวันหลังประกาศพระราชโองการ เสนาบดีกรมพิธีการไปอารามฝ่ายใต้ จูเก่ออู๋เหรินไปสถานศึกษา พวกมันคิดอ่านทำการอะไร หรือว่าเสด็จพี่ไม่เข้าใจ”

    หลี่อวี๋นิ่งเงียบ ทางอารามฝ่ายใต้นั้นนางไม่กังวล โดยเฉพาะหลังจากที่ราชครูหลี่ชิงซานตายลง เรื่องที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนั้นไม่มีทางมีคนอื่นล่วงรู้ ทว่าสถานศึกษาตลอดมาไม่ได้แสดงท่าทีที่ชัดเจน ทำให้นางไม่สบายใจอย่างแท้จริง

    สถานศึกษาปิดประตูมาตลอด อย่าว่าแต่ขุนนางคนสำคัญที่ภักดีต่อพระอัครมเหสีจะเข้าไป แม้แต่ทูตส่งสารที่นางส่งไปก็ยังได้เห็นแค่คนงานธรรมดาของสถานศึกษา กระทั่งเจี้ยวโซ่วสักคนก็ไม่ได้เห็น

    ถ้าบอกว่าเป็นเพราะจอมปราชญ์ขึ้นสวรรค์ สถานศึกษาจึงปิดทำการ นั่นก็สมควรแก่เหตุผล แต่บรรดาเจี้ยวโซ่วกำลังทำอะไร พวกคนในชั้นสองของสถานศึกษาที่สามารถมีอิทธิพลต่อสถานการณ์ในราชสำนักตอนนี้กำลังทำอะไร

    “เสด็จพี่ พวกมันไม่มีทางหายข้องใจ แม้ตายก็ไม่เต็มใจยอมรับว่าเสด็จพ่อเลือกให้ข้าสืบทอดบัลลังก์ สำหรับคนชั่วพวกนี้การใจกว้างและมีเมตตามีแต่จะถูกพวกมันมองว่าเป็นความอ่อนแอ!”

    หลี่ฮุยหยวนมองพี่สาวพลางกล่าวอย่างเดือดดาล

    หลี่อวี๋ได้ฟังคำพูดนี้ หัวใจพลันสั่นกระตุก หลี่ฮุยหยวนคิดจริงๆ ว่าชื่อที่อยู่ในพระราชโองการคือชื่อของตน ไม่รู้เลยว่าเพื่อสิ่งนี้นางต้องทุ่มเทอะไรไปบ้าง

    ความมั่นใจในความชอบธรรมของหลี่ฮุยหยวนเวลานี้ในสายตานางเหมือนเป็นการเยาะเย้ยถากถางชนิดหนึ่ง เยาะเย้ยถากถางตัวนางเอง

    จู่ๆ นางก็รู้สึกเศร้าใจ เหนื่อยล้า ไม่อยากสนทนาหัวข้อนี้อีก แต่พลันนึกขึ้นได้ถึงข่าวที่ได้ยินมาเมื่อครู่ตอนเดินอยู่ในวัง จึงคิ้วขมวดถามว่า

    “แล้วเรื่องสำนักโหราจารย์เล่า”

    หลี่ฮุยหยวนได้ยินแล้วตกใจ ไม่รู้ควรตอบว่าอย่างไร

    หลี่อวี๋เห็นดังนั้นจึงรู้ว่าที่ได้ยินมาเป็นเรื่องจริง กล่าวตำหนิอย่างรุนแรงว่า

    “ใต้เท้าเหมียวเข่อฉือประพฤติตนเที่ยงตรงเคร่งครัด มีชื่อเสียงในทางที่ดีทั้งในและนอกวัง เจ้ากลับส่งคนไปบีบคั้นจนมันตาย เจ้าคิดเป็นศัตรูกับขุนนางทั้งราชสำนักหรือ!”

    หลี่ฮุยหยวนก้มหน้านิ่งเงียบอยู่นานก่อนกล่าวว่า

    “เรื่องนี้…ข้าทำผิดไปแล้วจริงๆ”

    หลี่อวี๋รู้เพียงว่าน้องชายมีนิสัยดื้อรั้น คิดไม่ถึงว่ามันจะยอมรับผิดเร็วปานนี้จึงอดแปลกใจมิได้ ทว่ายังไม่ทันที่นางจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง หลี่ฮุยหยวนพลันเงยหน้าขึ้น

    มันกล่าวอย่างเยือกเย็นและหนักแน่น

    “แต่ข้าไม่สำนึกเสียใจ เพราะข้าต้องการให้มันตาย”

    หลี่อวี๋มองมันอย่างตกตะลึง ถามว่า

    “เพราะอะไร นี่…เป็นเพราะอะไรกันแน่”

    “เพราะมันเขียนคำทำนายเหลวไหลนั่น บีบคั้นให้เสด็จพี่ต้องแต่งงานไปต่างแดน! คืนนั้นที่ท่านคุกเข่าหน้าตำหนักของเสด็จพ่อ ชาตินี้ข้าไม่มีวันลืม ยิ่งไม่มีวันลืมน้ำตาของท่านที่ไหลออกมาก่อนที่จะแต่งออกไป”

    หลี่ฮุยหยวนมองพี่สาวร่วมอุทรพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

    “ดังนั้นมันต้องตาย”

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in Uncategorized

    นิยายยอดนิยม

    Facebook