• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ปริศนาด่านปีศาจอวี้เหมิน 1 บทที่ 4

    บทที่ 4

     

    แผนของชางตงคือมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก ตัดผ่านหมัวกุ่ยเฉิงในสันเขาทะเลทรายซานหล่งซา ลัดเลาะไปตามชายขอบของทะเลทรายคู่หมู่ถ่าเก๋อ เข้าสู่ใจกลางทะเลสาบหลัวปู้พัว

    เขาตื่นขึ้นมาสังเกตสภาพอากาศแต่เช้า อันที่จริงเขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าสภาพอากาศดีกับการเดินทางอย่างปลอดภัยนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกันโดยตรง เป็นแค่ความเคยชินเท่านั้น

    หลังกินอาหารเช้าเสร็จ เขาก็ลงมือตรวจสอบข้าวของสัมภาระก่อนการเดินทาง

    สัมภาระทั้งหมดถูกแบ่งไว้บนรถของเขากับเฝยถังสองคัน รถของเฝยถังบรรทุกน้ำหนักได้ประมาณหนึ่งตันกว่า รถของเขาบรรทุกได้มากกว่าเล็กน้อย ส่วนรถของเยี่ยหลิวซีนั้นเขาไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก รถตู้เพลาล่างต่ำ วิ่งได้ประมาณวันหนึ่งช่วงล่างก็คงพังหมดแล้ว ถึงตอนนั้นก็ทิ้งมันไว้ที่นั่น ตอนกลับค่อยคิดหาทางลากกลับมาก็แล้วกัน

    หลังจัดการทุกอย่างเป็นที่เรียบร้อย ชางตงก็ตรวจสภาพรถเป็นครั้งสุดท้าย ในช่วงเวลานี้คนที่รู้เรื่องก็จะยุ่งมากหน่อย คนที่ไม่รู้เรื่องก็จะว่างไม่มีอะไรทำ เฝยถังขยับเข้าไปใกล้เยี่ยหลิวซี ปากก็พร่ำเรียกอีกฝ่าย “พี่ซีๆ” พูดคุยอย่างสนิทสนม

    ตอนชางตงเดินเข้าไป เขากำลังพูดน้ำลายแตกฟอง

    “พูดถึงจอกโมราหัวสัตว์ นั่นเป็นวัตถุโบราณล้ำค่าที่มีเพียงชิ้นเดียว ลักษณะของมันอันที่จริงไม่ใช่รูปแบบของประเทศจีน แต่เป็นของชาวเปอร์เซียที่อยู่ฝั่งเอเชียตะวันตก เอเชียกลาง ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่ามันน่าจะเดินทางผ่านเส้นทางสายไหมมา เป็นจิ้มก้องที่ประเทศทางฝั่งตะวันตกมอบให้กับราชสำนักต้าถัง ทว่าเรื่องนี้ก็พูดยาก ถ้าเป็นเครื่องบรรณาการจริง ทำไมในบันทึกประวัติศาสตร์ถึงไม่มีการจดบันทึกไว้ ดังนั้นที่มาของมันจึงยังคงเป็นปริศนา…

    มูลค่าของมันสูงลิบลิ่วยากจะประเมินได้ แม้แต่จะนำออกไปแสดงยังต่างประเทศทางรัฐบาลก็ยังไม่ยอม ว่ากันว่ามูลค่าของมันมากพอๆ กับเกาะฮ่องกงครึ่งหนึ่ง…”

    ชางตงถาม “กำลังคุยอะไรกันอยู่”

    เฝยถังเพิ่งสังเกตเห็นอีกฝ่าย “พี่ตง พี่ซีรู้ว่าผมเป็นพวกค้าของเก่า ก็เลยสอบถามข้อมูลจากผมนิดหน่อย ผมเลยเล่า…”

    ชางตงตัดบท “ช่วยถือไฟฉายให้หน่อย ฉันจะตรวจสอบช่วงล่างรถยนต์”

    เฝยถังตอบรับออกมาคำหนึ่ง เขาถือไฟฉายแรงสูงไว้ในมือ เดินตามชางตงไปอย่างกระตือรือร้น วันนี้เขานับว่าได้อวดภูมิแสดงความรู้จริงๆ เสียที พอบอกกับเยี่ยหลิวซีให้รู้ว่าตัวเองเป็นพวกค้าของเก่า เธอก็เอ่ยปากถามถึงเรื่องจอกโมราหัวสัตว์ออกมา แบบนี้ก็เห็นชัดแล้วว่า…เธอมีเจ้าสิ่งนั้นอยู่ในมือจริงๆ ไม่อย่างนั้นเธอจะถามทำไม

    ชางตงผลักแผ่นรองพื้นเข้าไปใต้ท้องรถ มือจับขอบ แผ่นหลังแนบพื้น ไถลเข้าไปอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว

    เฝยถังกระดกก้นยื่นหัวเข้าไปอย่างยากลำบาก แสงไฟส่ายไปมาอยู่ใต้ท้องรถ “ตรงไหน พี่จะให้ผมส่องตรงไหน”

    ชางตงจ้องดูแผ่นกันกระแทกใต้ท้องรถ ใช้ประแจเคาะมันสองสามที “เฝยถัง เห็นแก่ที่รู้จักกัน ฉันขอบอกให้นายรู้ไว้ เยี่ยหลิวซีเริ่มสงสัยนายแล้ว ทางที่ดีเลิกคิดหวังเรื่องของของชาวบ้านจะดีกว่า”

    เฝยถังเอ่ย “จะเป็นไปได้ยังไง! พี่ตง พี่ไม่เข้าใจสถานการณ์ เธอเป็นฝ่ายเริ่มเอ่ยปากถามเอง ผมถึงได้เล่า…”

    ชางตงบอก “เรื่องบังเอิญแบบนี้อย่างมากก็ครั้งเดียวเท่านั้น มากกว่านั้นแสดงว่าจงใจ เรื่องนี้เกิดขึ้นกับนายมากี่ครั้งแล้ว เธอเอาจอกโมราไปตรวจสอบที่ซีอัน ไม่เกินสองวันนายก็มาจากซีอัน นายเล่นของเก่า ย่อมต้องรู้อยู่แล้วว่าเจ้าของสิ่งนั้นมีมูลค่าขนาดไหน นายเคยสืบเรื่องของเธอ หนำซ้ำยังตามเธอเข้าโกบีมาอีก เป็นไปได้หรือที่เธอจะไม่สงสัย หรือนายคิดว่านี่เป็นวาสนาผูกพันที่สวรรค์ประทานให้?”

    เฝยถังพูดไม่ออก “…เอ่อ”

    ชางตงกดหัวเฝยถัง ดันเขาออกไป

    ทุกคนต่างบอกว่าคนฉลาดล้วนแต่หัวล้าน แต่เฝยถังกลับหัวเถิกเสียเปล่า

     

    เมื่อเตรียมการทุกอย่างพร้อมสรรพ ก่อนออกเดินทาง เยี่ยหลิวซีก็เดินเข้ามาขอความมั่นใจกับชางตง

    “อาหารน้ำดื่มหลังออกเดินทางคิดรวมไปแล้วใช่ไหม”

    “ใช่”

    “น้ำมันล่ะ ยังต้องจ่ายหรือเปล่า”

    “ตอนนี้ยังไม่ต้อง น้ำมันมีเต็มถังสำรอง ระหว่างทางแวะเติมน้ำมันเพิ่มสักนิดก็พอ แต่พอถึงตำบลหลัวปู้พัวพวกเราต้องเติมน้ำมันกันอีกครั้ง”

    เยี่ยหลิวซีรู้สึกว่างานนี้เธอคงเก็บเงินไม่อยู่แน่ ขนาดรถของเธอกินน้ำมันน้อย เติมแต่ละทียังตั้งเกือบห้าร้อยหยวน รถออฟโรดยิ่งกินน้ำมัน เติมแต่ละทีล้วนแต่ขึ้นหลักพันทั้งนั้น

    “อุปกรณ์ที่คุณซื้อพวกนั้น” เธอเน้น “ฉันไม่เอา แต่ถ้าฉันใช้ขึ้นมา เงินที่ฉันให้ไปพวกนั้นพอหรือเปล่า”

    “พอ”

    เยี่ยหลิวซีรู้สึกว่าน้ำเสียงของอีกฝ่ายเหมือนจะชักหงุดหงิดรำคาญ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ต้องพูดออกตัวก่อน “ช่วงนี้ฉันก็แค่เงินตึงมือนิดหน่อยเท่านั้น ถ้าเงินคล่องมือกว่านี้หน่อย ฉันย่อมใช้เงินเป็นเบี้ยอยู่แล้ว”

    เธอเข้าใจคำว่า ‘ใช้เงินเป็นเบี้ย’ ผิดไปหรือเปล่า ชางตงหมดความอดทน “คุณคิดว่าคำว่าใช้เงินเป็นเบี้ยคือเท่าไหร่”

    เยี่ยหลิวซีบอก “ฉันไม่จำเป็นต้องรู้ เอาเป็นว่าฉันเตรียมพร้อมใช้เงินเป็นเบี้ยอยู่ตลอดเวลาก็แล้วกัน”

     

    การออกเดินทางครั้งนี้ไม่เหมือนจากหลิ่วหยวนถึงตุนหวง นี่เป็นการเดินทางจริงจัง…เฝยถังไม่กล้าซี้ซั้วนำขบวนอีก เขายอมให้ชางตงขับนำไปแต่โดยดี

    รถมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ตลอดเส้นทางล้วนปลอดภัยไม่มีปัญหา เฝยถังจะมากจะน้อยยังไงก็ยังคงปฏิบัติตัวตามแนวทางที่ตกลงกันไว้ การผจญภัยสมัยนี้ไม่ใช่การผจญภัยที่มีโอกาสตายมากกว่ารอดแบบเมื่อก่อนแล้ว ขอบคุณประเทศชาติขอบคุณเทคโนโลยี สมัยนี้แม้แต่ทะเลทรายที่มีการเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลาอย่างถ่าเค่อล่าหม่ากานก็ยังมีถนนหลวงตัดผ่าน ต้องรู้ว่าคำว่าถ่าเค่อล่าหม่ากานในภาษาของชาวอุยกูร์แปลว่า ‘เข้าไปแล้วก็ไม่อาจออกมาได้อีก’

    ขอเพียงไม่ได้มุ่งหน้าไปหาความตาย เขาก็รู้สึกว่าตัวเองสามารถออกมาได้ทุกเมื่อ

    หลังเดินทางไปได้ประมาณเกือบสองชั่วโมง รถคันข้างหน้าก็ชะลอความเร็วลงก่อนจะหยุดจอด

    เฝยถังชะโงกหน้าออกมาดู พบว่าบนถนนเส้นนี้มีรถใหญ่น้อยจอดอยู่กันเต็มไปหมด เขามองดูชางตงที่ลงรถเดินมาทางนี้ท่าทีกลัดกลุ้ม “รถติด?”

    ไม่น่าจะใช่ เพราะรถทุกคันล้วนจอดชิดข้างทาง

    “ถึงจุดชมวิวแล้ว ด่านอวี้เหมิน ต้องซื้อตั๋ว”

    เฝยถังหงุดหงิด “พี่ตง พี่คงไม่ได้คิดหาค่าคอมฯ ใช่หรือเปล่า ผมไม่ได้มาเที่ยวสักหน่อย”

    เขามาผจญภัย! ผจญภัย! ทำไมถึงลากเขามาจุดชมวิวได้ ต่อจากนี้คงไม่ใช่พาไปช็อปปิ้งซื้อของใช่ไหม

    ชางตงตอบ “ดูไม่ดูยังไงก็ต้องซื้อตั๋ว คิดใช้เส้นทางสันเขาทะเลทรายหมัวกุ่ยเฉิง ยังไงก็ต้องผ่านด่านอวี้เหมิน เงินฉันจ่ายไปแล้ว รวมอยู่ในค่าใช้จ่ายเรียบร้อย นายจะดูหรือเปล่า นายไม่เคยมา ถ้าอยากดูก็แวะดูกันสักครู่ ถ้าไม่ดูพวกเราจะได้ไปกันต่อ”

    เงินจ่ายไปแล้ว ขืนไม่ดูก็เท่ากับเสียเงินไปฟรีๆ น่ะสิ เฝยถังรีบลงจากรถ

     

    สมัยยังนำทางอยู่ ชางตงเคยมาที่ด่านอวี้เหมินแห่งนี้หลายต่อหลายครั้ง สำหรับเขาก็แค่ป้อมดินขนาดใหญ่ป้อมหนึ่งเท่านั้น จึงไม่ได้นึกอยากดูอีก “พวกนายไปเถอะ ฉันจะรออยู่ในรถ”

    เยี่ยหลิวซีดูค่าตั๋ว สี่สิบหยวน

    เงินจำนวนนี้ต้องขายแคนตาลูปขนาดกลางสองลูก หั่นเนื้อสับสองกะละมัง อาบน้ำในห้องอาบน้ำสาธารณะได้ตั้งสามสี่ครั้ง

    เยี่ยหลิวซีกุมตั๋วสองใบ ในใจนึกเสียดาย ขณะคิดว่าแบบนี้สิ้นเปลืองชัดๆ…หรือจะให้ฉันคนเดียวเดินเข้าไปสองครั้ง เข้าไปแล้วออกมา เสร็จแล้วก็กลับเข้าไปใหม่…

    ชางตงรู้สึกประหลาดใจ “คุณกำลังคิดอะไรอยู่”

    เยี่ยหลิวซีตอบ “กำลังคิดหาเรื่องให้ตัวเองสบายใจ”

     

    จะไปถึงซากด่านอวี้เหมินยังต้องเดินไปตามทางยาวที่ปูลาดด้วยหินอีกระยะหนึ่ง ตลอดสองข้างทางมีเชือกปอขึงไว้เป็นแนวรั้ว

    ถึงจะผ่านช่วงวันหยุดยาวมาแล้วทว่าบรรยากาศของที่นี่ก็ยังคงคึกคัก เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวกลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่ อึกทึกไปด้วยเสียงคน

    มีเจ้าหน้าที่พนักงานคนหนึ่งยืนอยู่ข้างทาง ขอให้นักท่องเที่ยวแสดงตั๋ว

    เยี่ยหลิวซีแสดงตั๋ว หลังจากเดินผ่านเข้าไปได้สิบกว่าก้าว ขณะกำลังคิดถึงความอภิรมย์ของการ ‘เข้าชมด้วยการซื้อตั๋ว’ อีกรอบ เสียงของชางตงก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง

    “ตั๋วของผมอยู่ที่เธอคนนั้น”

    เยี่ยหลิวซีทอดถอนใจ บนโลกของเรามีคนบางจำพวก จิตใจคับแคบ กลัวคนอื่นจะมีความสุข

    เฝยถังที่อยู่ข้างๆ จู่ๆ ก็เอะอะเอ็ดตะโรขึ้น “เฮ้ย ไม่ใช่มั้ง ก็แค่ป้อมหินอันเดียวเท่านั้น แบบนี้มันปล้นกันชัดๆ”

    พอเดินเข้าไปใกล้มันก็ชวนให้พูดอะไรไม่ออกจริงๆ พูดให้น่าฟังหน่อยก็ต้องบอกว่ามันยังคงถูกรักษาให้อยู่สภาพเดิม ไม่ถูกคนงานรบกวนมากจนเกินไป

    ก็แค่ป้อมสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก สร้างจากดินอัดสีเหลืองป้อมหนึ่งเท่านั้น เดินเข้าออกก็แค่กะพริบตา เดินอ้อมดูรอบหนึ่งยังไงก็ไม่เกินห้านาที

    หัวหน้าทัวร์พวกนั้นแนบโทรโข่งเข้ากับปาก เสียงครืดคราดลั่นดัง…

    คล้ายลวกๆ แต่จริงจัง

    “ลูกทัวร์ทุกท่าน ที่นี่ไม่มีอะไร ให้เวลาทุกคนสิบห้านาทีถ่ายรูป เร่งทำเวลากันสักนิด เป้าหมายหลักของพวกเราวันนี้อยู่ที่สันเขาทะเลทรายหมัวกุ่ยเฉิง…”

    คำพูดเดิมๆ ซ้ำๆ ของพวกหัวหน้าทัวร์

    “ทุกท่านเชิญชม นี่คือด่านอวี้เหมินที่มีชื่อเสียงก้องโลก ด่านสมัยโบราณที่สง่างาม ชวนให้ผู้คนรู้สึกกันไปต่างๆ นานา ไม่เพียงปรากฏบทกวีที่ผู้คนชื่นชอบอย่าง ‘หวงเหอเลือนลับในเมฆา เมืองเหงากลางภูผาสูงใหญ่ ขลุ่ยผิวช้ำกำสรวลเพื่อการใด ลมวสันต์ไม่ผ่านพัดด่านอวี้เหมิน’…”

    เยี่ยหลิวซีขยับเข้าไปหาสามีภรรยาสูงวัยคู่หนึ่ง ทั้งสองคนเส้นผมสีดอกเลา สวมแว่นตา ท่าทางคล้ายผู้คงแก่เรียน พวกเขาจ้างไกด์มาเองต่างหาก ระหว่างที่พวกเขาถามตอบกันไปมา ไม่แน่ว่าบางทีเธออาจได้ยินเรื่องราวมีประโยชน์อะไรบ้าง

    ไกด์เล่าว่า “เมื่อครู่ผมได้แนะนำไปแล้วว่าตุนหวงมีด่านที่มีชื่อเสียงอยู่สองแห่งคือด่านอวี้เหมินกับด่านหยางกวน ทั้งนี้ก็ด้วยเพราะเส้นทางสายไหมในสมัยโบราณนั้นตั้งอยู่บนทางแยกเหนือใต้ของตุนหวง ทางตอนเหนือคือออกตะวันตกด่านอวี้เหมิน ซึ่งจะผ่านหลัวปู้พัว โหลวหลันในปัจจุบัน ส่วนทางตอนใต้คือออกตะวันตกด่านหยางกวน จะผ่านทะเลทรายถ่าเค่อล่าหม่ากาน แต่ไม่ว่าจะเส้นทางไหนก็ล้วนแต่ยากลำบาก…”

    ชายชราเอ่ยขึ้น “ฉันมีคำถามข้อหนึ่ง…ตุนหวงในตอนนี้ไม่นับเป็นเมืองใหญ่ ในสมัยโบราณก็ยิ่งเล็กเข้าไปอีก ต่อให้เส้นทางแบ่งเหนือใต้ มีความจำเป็นอะไรที่ต้องสร้างด่านถึงสองด่านไว้บนสถานที่เล็กๆ แห่งนี้ด้วย”

    ไกด์กระแอมออกมาทีหนึ่ง “เรื่องนี้อาจเพราะราชสำนักฮั่นเข้มแข็งเกรียงไกร…”

    มีเงิน ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ดังนั้นเลยคิดอยากจะสร้างสักหลายๆ ด่าน

    หญิงชราพูดขึ้น “ฉันเองก็อยากถาม ในบันทึกประวัติศาสตร์เขียนเอาไว้ว่าด่านอวี้เหมินมีทูตต่างแดนพ่อค้าวาณิชเดินทางมาไม่ได้ขาด แต่ป้อมนี้มันไม่เล็กเกินไปหน่อยหรือไง เมื่อวานพวกเราไปเยี่ยมชมด่านหยางกวน ที่นั่นใหญ่โตกว่าที่นี่มาก อีกทั้งยังมีการสร้างอนุสรณ์สถาน…”

    ไกด์บอก “…ประวัติศาสตร์ทิ้งปริศนาเอาไว้มากมายจริงๆ หลังจากนี้พวกเราจะไปดูทางด้านหลังของป้อมแห่งนี้กัน…”

    เยี่ยหลิวซียังอยากฟังต่อ เธอหวังว่าหญิงชราจะยืนกรานต่อ นึกไม่ถึงว่าสองสามีภรรยากลับนิสัยโอนอ่อนผ่อนตาม ทำเพียงยิ้มก่อนจะปล่อยให้จบไปแบบนั้น

    ขณะที่เยี่ยหลิวซีกำลังนึกโมโห จู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงชางตง

    “อันที่จริงเรื่องนี้มีคนพูดถึงอยู่ไม่น้อย บอกว่าด่านอวี้เหมินเล็กเกินไปหน่อย”

    เยี่ยหลิวซีหันหน้ามองกลับไป เห็นเขายืนอยู่ห่างไปทางด้านหลังไม่ไกล ดูท่าคงเพิ่งมายืนฟังเหมือนกัน

    “แล้ว?”

    ชางตงบอก “ว่ากันตามที่บันทึกไว้ในบันทึกประวัติศาสตร์ ด่านอวี้เหมินควรจะอยู่ใกล้ๆ นี้ ทว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีคนหาพบ ปี 1907 ออเรลสไตน์* นักสำรวจและโจรขโมยวัตถุโบราณได้ขุดพบม้วนหนังสือไม้ไผ่สมัยฮั่นจำนวนมากในบริเวณใกล้ๆ นี้ จึงเชื่อว่าป้อมขนาดเล็กนี้คือด่านอวี้เหมิน แต่ที่นี่มันเล็กมากจริงๆ ดังนั้นจึงมีคนจำนวนหนึ่งยืนกรานว่าด่านอวี้เหมินของจริงนั้นอันที่จริงยังหาไม่พบ”

    เยี่ยหลิวซีเอ่ย “เรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้?”

    อันที่จริงด่านอวี้เหมินไม่ได้ตั้งอยู่ในดินแดนไร้ผู้ครอบครอง และป้อมก็ไม่ได้มีขนาดเล็กแบบนี้ ด้วยพัฒนาการทางวิทยาศาสตร์รวมถึงความสามารถในการบุกเบิกศึกษาทางด้านโบราณคดีในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเมืองโบราณโหลวหลันหรือเมืองโบราณจิงเจวี๋ยที่ถูกฝังลึกอยู่ใต้ผืนทรายต่างล้วนปรากฏขึ้นต่อสายตาชาวโลก ตำแหน่งของด่านอวี้เหมินยังคงอยู่ใกล้กับตุนหวง

    ชางตงบอก “ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ หากไม่ได้ซ่อนลึกอยู่ใต้ดิน…พูดให้ฟังดูโรแมนติกหน่อยคงต้องบอกว่าสลายกลายเป็นเถ้าธุลีไปหมดแล้ว”

    “เถ้าธุลี?”

    “ใช่แล้ว พื้นที่แถบนี้อัตคัดขัดสน ไม่เหมือนพื้นที่ชั้นในที่สามารถเผาอิฐขุดหินมาสร้างสิ่งปลูกสร้าง สมัยก่อนเวลาสร้างเมืองทุกคนต่างล้วนใช้วัสดุที่หาได้ในพื้นที่ด้วยกันทั้งนั้น อย่างหญ้าแฝก ดินเหลือง กิ่งหงหลิ่ว กรวดทรายอัด ดินแดนทางทิศตะวันตกเฉียงใต้พายุทรายโถมกระหน่ำ ลมพัดแต่ละทีก้อนหินกลิ้งเต็มพื้น หากสิ่งปลูกสร้างพวกนั้นจะสึกกร่อนไม่เหลือสภาพก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”

    เยี่ยหลิวซีเงยหน้ามองดูเศษซากโบราณสถานที่ยังเหลือตรงหน้า “ถ้าพวกมันถูกลมกัดเซาะหมด งั้นก็คงหาอะไรไม่พบแล้ว”

    ชางตงพูดต่อ “ก็ไม่แน่เสมอไป ด่านอาจจะหายไป แต่ทรายยังคงอยู่ ห่างจากตุนหวงไปไม่ไกลคือทะเลทรายคู่หมู่ถ่าเก๋อ บางทีด่านอวี้เหมินอาจถูกลมพัดกัดเซาะจนกลายเป็นเนินทรายราบเรียบอยู่ในทะเลทราย หรือไม่ก็อาจถูกพายุทรายที่ก่อตัวขึ้นอย่างกะทันหันพัดขึ้นสวรรค์ไปทั้งป้อมไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้ให้เห็น”

    เขาไม่พูดอะไรอีก

    ห่างออกไปไม่ไกล เฝยถังบ่นพึมพำมาทางพวกเขาอย่างหมดความอดทน “พี่ตง พี่ซี ไปกันเถอะ ต่อให้ดูนานกว่านี้ก็ไม่มีทางคุ้ม…”

    เยี่ยหลิวซีหันหลังเดินกลับไป ตอนเดินผ่านชางตง เธอหันมองดูด่านอวี้เหมินอีกครั้ง พูดว่า “ถ้าทรายที่เกิดจากด่านอวี้เหมินทั้งหมดถูกหอบขึ้นสวรรค์ไปจริง คุณว่าท่ามกลางพายุทรายนั่นพวกมันจะก่อตัวขึ้นเป็นเมืองใหม่หรือเปล่า ถ้าเป็นแบบนั้นก็คง…”

    เธอหาคำพูดเหมาะๆ ออกมาไม่ได้ จะบอกว่าน่ากลัว โรแมนติก หรือว่าโอ่อ่างดงามดี

    นิ้วมือที่วางอยู่ข้างลำตัวของชางตงสั่นเทิ้มน้อยๆ ยากจะสังเกตเห็น

     

    เพราะเสียเวลาอยู่ที่ด่านอวี้เหมินทำให้กว่าจะถึงหมัวกุ่ยเฉิงก็เลยเที่ยงไปแล้ว

    ที่นี่มีนักท่องเที่ยวมากขึ้นไปอีก ทว่าคนที่ขับรถมาเองไม่อาจเข้าไปได้ พวกนักท่องเที่ยวจำต้องซื้อตั๋วนั่งรถบัสชมทัศนียภาพที่มีการจัดไว้เป็นการเฉพาะ รถออฟโรดจำนวนมากถูกจอดทิ้งไว้ที่ลานจอดรถ

    ชางตงเข้าไปลงทะเบียนที่จุดขายตั๋ว เฝยถังเดินเตร็ดเตร่อยู่ที่ลานจอดรถ ถ่ายเซลฟี่ตัวเองส่งเข้าไปในกลุ่มเพื่อน แต่งภาพก็ดูปลอม ไม่แต่งภาพก็ดูแย่ ทำเอาเขาตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเอายังไงดี คนที่ขับรถมาเองจำนวนหนึ่งเดินเฉียดผ่านเขาไป ปากก็พร่ำด่าไม่หยุด

    “ต่อให้ขับเข้าไปได้ยังไงก็ห้ามออกจากทางหลวงแถบพื้นที่ชมทัศนียภาพอยู่ดี จากหมัวกุ่ยเฉิงเข้าหลัวปู้พัวยิ่งไม่ได้ใหญ่ บอกว่าเป็นกฎ ถ้าอยากเข้าไปก็ต้องไปลงทะเบียนที่สำนักงานดูแลป่าไม้และทรัพยากรธรรมชาติ”

    “บ้าน่า เรื่องของทะเลทราย สำนักงานดูแลป่าไม้เกี่ยวอะไรด้วย ไม่มีทางอื่นแล้วหรือไง ถ้าอย่างนั้นพวกเราไม่เท่ากับมากันเสียเที่ยวเหรอ”

    “ได้ยินว่ามีรถเข้าไปได้ อาศัยตอนยังไม่สว่าง พวกเจ้าหน้าที่ยังไม่เข้าทำงาน อาศัยความมืดแฝงเข้าไปในสันเขาทะเลทราย แต่ถ้าถูกจับได้ขึ้นมามีหวังจบเห่แน่…”

    เฝยถังชักเท้าวิ่งกลับไปหาเยี่ยหลิวซีและเล่าให้เธอฟังพร้อมแต่งนั่นเติมนี่เพิ่มเติมเข้าไปอย่างตื่นเต้นจนหน้าตาแดงก่ำ “พี่ซี ยุ่งแล้ว คราวนี้พวกเราเข้าไปไม่ได้แล้ว”

    เยี่ยหลิวซีกลับไม่กระวนกระวาย ด้วยประสบการณ์นำทางของชางตง ถ้าแม้แต่เรื่องพวกนี้เขายังนึกไม่ถึงล่ะก็ เช่นนั้นก็ไม่ควรออกมาทำมาหากินแล้ว

    ที่เธอเหนื่อยหน่ายคือเฝยถัง “ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าเวลานายเห็นตัวเองโชคร้ายนายจะดีอกดีใจเป็นพิเศษ”

    ชางตงกำลังจะถูกคนเล่นงานเขาก็ดีใจออกนอกหน้า คาราวานรถมีเรื่องยุ่งยากเขาเองก็ตื่นเต้นดีอกดีใจ ราวกับเรื่องพวกนี้ไม่ส่งผลอะไรกับเขาเลยแม้แต่น้อย

    ขณะกำลังพูด ชางตงก็กลับเข้ามาพอดี เขาเรียกคนทั้งคู่ “ไปกันเถอะ เรียบร้อยแล้ว”

    เฝยถังไม่อยากเชื่อ “ขับรถเข้าไป? จากหมัวกุ่ยเฉิงไปหลัวปู้พัว?”

    “ใช่”

    “เจ๋ง!” เฝยถังตื่นเต้นดีใจอีก เขาชี้นิ้วไปทางพวกคนขับรถออฟโรดที่ยืนจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานาพวกนั้น “คนพวกนั้นล้วนเข้าไม่ได้ พี่ตง พวกเรามีเส้นสายใช่หรือเปล่า”

    ชางตงบอก “…พวกเรามีใบอนุญาต แต่พูดให้ชัดๆ ก็คือนอกจากกลุ่มนักสำรวจทางวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการอนุญาตแล้ว ไม่ว่าจะหน่วยงานหรือส่วนบุคคลก็เข้าไปในหลัวปู้พัวไม่ได้…”

    เฝยถังกลั้นลมหายใจ…

    “อยากเข้าไปจริงๆ ก็ไปเสนอขออนุมัติที่สำนักงาน เอกสารฉันจัดการเรียบร้อยแล้ว ออกรถเถอะ”

    ชางตงทำอะไรไม่ต้องให้คนเป็นห่วง เยี่ยหลิวซีรู้สึกว่าสายตาของตัวเองนับว่าไม่เลว

     

    ทางหลวงเขตพื้นที่ชมทัศนียภาพสร้างได้ดีเยี่ยม เมื่อขับขึ้นที่สูงจะมองลงมาเห็นถนนยางมะตอยสีดำเลี้ยวลดคดเคี้ยวอยู่ท่ามกลางสันเขาทะเลทรายสีเหลืองกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา

    รถบัสทั้งหมดล้วนจอดตามจุดที่กำหนด และทุกครั้งที่หยุดก็จะปล่อยนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ลงมาถ่ายรูป เฝยถังไม่เคยมา พอเห็นประตูอิงสยง (ผู้กล้า) ก็อยากจอดรถ พอเห็นสิงโตหน้าคนก็นึกอยากถ่ายรูปเก็บไว้ แต่ชางตงกลับไม่มีทีท่าจะแวะจอด ทุกครั้งเขาล้วนขับรถแล่นผ่านไม่แม้แต่จะลดความเร็วลง

    แต่พอเฝยถังล้มเลิกความตั้งใจ ชางตงกลับหยุดรถแถวๆ ข่งเชวี่ยไคผิง (นกยูงรำแพน) แถบนั้นไม่มีทางหลวง ทำได้แต่ยืนพิงรถมองดูอยู่ไกลๆ ก่อนจะออกเดินทางใหม่อีกครั้ง

    เฝยถังไม่สบอารมณ์ หมุนวอล์กกี้ ทอล์กกี้หาเยี่ยหลิวซี โอดครวญกับอีกฝ่าย

    หลังเสียงซื่อซ่าดัง เสียงเกียจคร้านของเยี่ยหลิวซีจากอีกฟากก็ดังขึ้น “ว่ามา”

    เฝยถังรีบพูด “พี่ซี พี่ตงทำแบบนี้มันเผด็จการชัดๆ ไม่ให้พวกเราเที่ยวเล่น แต่ตัวเองกลับหยุดรถตามใจชอบ กองคาราวานไปตามรถคันหน้า เขาไปไหนผมก็ต้องไปนั่น เขาหยุดพวกเราก็หยุด…ไม่ฟังความคิดเห็นของคนอื่นบ้างเลย!”

    จู่ๆ เขาก็นึกถึงกลุ่มคามีเลียสีดำ ชางตงในเวลานั้นก็ยืนกรานตามอำเภอใจจะตั้งแคมป์ที่เนินทรายเอ๋อโถวแบบนี้เหมือนกัน “คนอะไรทำผิดแล้วไม่รู้จักจำ!”

    เยี่ยหลิวซีบอก “เป็นคนควรหัดเข้าอกเข้าใจคนอื่นบ้าง ขนาดฉันยังดูออกเลยว่าเส้นทางที่เขาใช้ไม่ต่างอะไรกับก่อนหน้าโน้น…ให้เขาได้เห็นของคิดถึงคน ดื่มเหล้าเมามายสองสามหน ร้องไห้หลั่งน้ำตาสักนิดไม่ได้หรือไง ตอนนี้ไม่แน่ว่าเขาอาจกำลังร้องไห้อยู่ในรถก็ได้ นายยังจะมาคิดเล็กคิดน้อยอีก”

    ขณะที่เฝยถังคิดจะเอ่ยปาก น้ำเสียงสงบนิ่งของชางตงก็ดังผ่านวอล์กกี้ ทอล์กกี้ออกมา “เยี่ยหลิวซี ผมได้ยินนะ”

    ฉิบหาย ระบบวอล์กกี้ ทอล์กกี้ที่ชางตงเซ็ตไว้เป็นการคุยกันสามสาย! เฝยถังปิดปากเงียบไม่ต่างอะไรกับจักจั่นในฤดูหนาว

    เสียงของเยี่ยหลิวซีดัง “ฉันทำอะไรไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดิน กล้าพูดก็ไม่กลัวคุณได้ยิน”

    หลังจากนั้นเสียงวอล์กกี้ ทอล์กกี้ก็เงียบไป

    กว่าจะมีความเคลื่อนไหวอีกครั้ง พวกเขาก็ห่างจากทางหลวงมาไกลแล้ว กำลังเดินทางลึกเข้าสู่ใจกลางทะเลทรายซานหล่งซา จู่ๆ ชางตงก็พูดขึ้น “พวกคุณสองคน ผมขอลงรถไปเห็นของคิดถึงคนสักครู่”

     

    ท้องฟ้าเริ่มมืด ลมกระโชกแรง เทียบกับเส้นทางโกบีที่ผ่านมาก่อนหน้า ทรายของที่นี่จะเล็กละเอียดกว่า ให้ความรู้สึกคล้ายเข้ามาในทะเลทรายมากกว่า…เฝยถังเปิดประตูรถ พอเห็นเม็ดทรายเคลื่อนตัวรวดเร็วอยู่ข้างเท้า เขาก็รีบปิดประตูกลับทันที

    เยี่ยหลิวซีลงรถมาสูดอากาศ สัมผัสใต้ฝ่าเท้าอ่อนนุ่ม จุดที่พวกเธอจอดรถเป็นทางลม เม็ดทรายถูกพัดลอยพ้นพื้น แลดูคล้ายหมอกพัดม้วนอยู่เหนือพื้น ขณะเดียวกันก็คล้ายงูเลื้อยผ่านไปอย่างรวดเร็ว เธอเดินไปช้าๆ สองก้าว ทรายสาดซัดใส่น่องใส่หัวเข่าชวนให้รู้สึกแสบๆ คันๆ

    ชางตงมองดูอยู่ไม่ไกล เขาตะโกน “ทรายให้เดินเร็วน้ำให้เดินช้า เคยได้ยินหรือเปล่า”

    ต้อง…เร็วขึ้นอีก?

    เยี่ยหลิวซีรีบเดินขึ้นหน้าสองก้าว ไม่รู้สึกเจ็บแล้วจริงๆ ด้วย หนำซ้ำยังรู้สึกแปลกใหม่ หน้าขารับรู้ได้ถึงแรงต้าน คล้ายกำลังย่ำน้ำฝ่าคลื่น หยุดไม่ได้ ทันทีที่หยุดสองขาก็จะตกเป็นเป้าทันที…เดิมเธอคิดว่าเดินวนสักรอบเล็กๆ ก็จะกลับมาที่รถ ที่ไหนได้ตอนเดินไปใกล้ชางตง เขากลับโยนเสื้อนอกของตัวเองมาให้เธอ “ห่อขาตัวเองไว้”

    ดูจากสถานการณ์ เขาคงมีเรื่องต้องการจะคุยกับเธอ เยี่ยหลิวซีรับเอาเสื้อนอกมาห่อขาไว้ พอทำแบบนี้ขาของเธอก็อุ่นขึ้นหนาขึ้นไม่ใช่น้อย ทรายซัดใส่ก็ไม่รู้สึกเจ็บ เธอชอบเสียงเล็กละเอียดที่โหมกระหน่ำใส่ท้องฟ้าถี่กระชั้นคล้ายฝนตกนี้เป็นพิเศษ

    เธอชำเลืองดูขาของชางตง เขาไม่ได้หุ้มขาตัวเองไว้ ทำเพียงยืนนิ่งอยู่แบบนั้น ดูท่าพวกผู้ชายคงจะหนังหนากว่า

    เยี่ยหลิวซีถามเขา “กำลังคิดเรื่องอะไรอยู่”

    เธอพอเข้าใจว่าทำไมเขามาจอดรถอยู่ที่ ‘ข่งเชวี่ยไคผิง’ ข่งยางแซ่ข่ง ทว่าสถานที่อย่างช่องลมทรายสาดซัดโหมกระหน่ำแบบนี้มีอะไรน่าอภิรมย์กัน

    ชางตงถาม “เคยอ่าน ‘ไซอิ๋ว’ หรือเปล่า”

    พูดไปเขาก็ยกนิ้วชี้ไปทางด้านหน้า “นี่ก็คือแม่น้ำหลิวซา (ทรายเลื่อน)”

    เยี่ยหลิวซีบอก “ซากโบราณสถาน? แม่น้ำแห้งหมดแล้ว?”

    ชางตงส่ายหน้า “ที่นี่ใกล้ถึงชายขอบทางทิศตะวันออกของหลัวปู้พัวแล้ว อีกไม่นานก็จะเข้าสู่เขตทรายเลื่อนยาวร้อยหลี่ เวลาลมแรง ทรายเหลืองจะพัดม้วนไม่ต่างอะไรกับกระแสน้ำเชี่ยวกราก อู๋เฉิงเอิน* เขียน ‘ไซอิ๋ว’ บอกว่าแม่น้ำหลิวซาคือแม่น้ำกว้างใหญ่…เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เคยมาที่นี่ ถ้าเคยมาก็ต้องรู้ว่าแม่น้ำหลิวซา แท้ที่จริงคือทรายเลื่อนจำนวนมหาศาลที่ไหลเลื่อนรวมตัวกันเป็นแม่น้ำต่างหาก”

    สมัยราชวงศ์จิ้นตอนมหาสมณะฝ่าเสี่ยน** จาริกผ่านที่นี่ ได้บันทึกไว้ว่า ‘จากแม่น้ำทรายเลื่อนตุนหวง เดินทางสิบเจ็ดวัน…บนฟ้าไร้นกบิน บนพื้นไร้สัตว์เดินเท้า…มีเพียงกระดูกมนุษย์เป็นเครื่องหมาย…’ ชางตงรู้สึกว่ากระดูกคนตายพวกนั้นล้วนแต่เป็นคนที่ข้ามแม่น้ำไม่พ้น

    เขาเตือนเยี่ยหลิวซี “อีกเดี๋ยวลดแรงดันล้อหน้า ปล่อยลมล้อหลัง ออกรถปุ๊บก็ให้รีบเปลี่ยนเกียร์ทันที ถ้ารู้สึกว่ารถมันหนัก นั่นก็แปลว่ารถติดหล่มทราย ต้องรีบลดเกียร์ ปล่อยคลัตช์ เหยียบซ้ำลงไปอีกที เข้าใจหรือเปล่า ผมกลัวรถคุณจะผ่านแม่น้ำไม่ไหว”

    เยี่ยหลิวซีรับฟังอยู่ครู่หนึ่ง “…เส้นทางช่วงนี้พวกเราเปลี่ยนรถกันขับได้หรือเปล่า”

     

    เพื่อพารถของเยี่ยหลิวซีออกพ้นเขตทรายเลื่อน ชางตงเหงื่อออกเต็มฝ่ามือ นี่ไม่เหมือนกับที่เขาวางแผนไว้ ที่เขาคิดคือรถของเยี่ยหลิวซีเป็นภาระ ยิ่งพังเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น เหลือรถสองคันเดินทางข้ามทะเลทราย สะดวกต่อการจัดการ

    ทว่าตอนนี้หากปล่อยให้รถของเธอติดอยู่ในหล่มทราย เขาย่อมต้องเสียหน้า

    ออกพ้นจากเขตทรายเลื่อน รถถูกเปลี่ยนกลับ ทว่าแทนที่จะเอ่ยปากขอบคุณ เยี่ยหลิวซีกลับพูดออกมาจากใจ “รถของคุณดีจริงๆ”

    ใช่ รถของผมดีอยู่แล้ว แต่กลับถูกคุณเอาไปขับ

    การเดินทางอีกชั่วโมงกว่าหลังจากนั้นล้วนเป็นไปอย่างราบรื่น รอยล้อรถสับสนจำนวนมากที่ปรากฏอยู่บนทะเลทรายโกบีล้วนมุ่งหน้าไปทางเดียวกัน…ปากทางเขาฉีเค่อ พื้นที่เขตเหมืองทอง

    ที่นี่มีเหมืองขนาดใหญ่อยู่สองสามแห่ง รถบรรทุกหนักหลายสิบตันวิ่งขนส่งแร่ไปมาดังสะเทือนเลื่อนลั่น กับเหมืองเอกชนขนาดเล็กอีกไม่กี่แห่ง สภาพโกโรโกโส มีเต็นท์ขนาดใหญ่กางตั้งเปิดอ้ารับลมอยู่แทนป้ายบอกตำแหน่ง ที่อยู่ด้านล่างคือกระทะใบใหญ่ มีไว้ใช้ทำอาหาร จุดไฟควันฟุ้งกระจาย ตั้งเรียงรายอยู่ติดๆ กัน ที่อยู่ด้านในล้วนแต่เป็นน้ำแกงแพะแครอต

    ชางตงพาพวกเขาอ้อมไปที่หน้าร้านแห่งหนึ่ง ที่หน้าเต็นท์มีกระดาษลังแขวนไว้ด้วยหมึกสีแดง ‘รองรับนักท่องเที่ยว’

    เขาลงจากรถ เดินไปเคาะหน้าต่างรถของเยี่ยหลิวซี “คืนนี้พวกคุณพักกันที่นี่”

    “พวกฉัน? แล้วคุณล่ะ”

    “ผมจะไปเนินทรายเอ๋อโถว”

    อา…ฉันเข้าใจ

    “แล้วจะติดต่อคุณได้ยังไง”

    “ผมจะเอาโทรศัพท์ดาวเทียมไปด้วย มีเรื่องอะไรก็ติดต่อเข้ามาได้เลย”

    “แล้วถ้าติดต่อไม่ได้ล่ะ ยังจะมีทางอื่นติดต่อคุณหรือเปล่า”

    ชางตงชี้ไปทางหนึ่ง “ถ้าไม่มีพายุ คุณสามารถตามรอยล้อรถผมไปได้ ยางล้อรถผมเป็นล้อ A/T ขนาดใหญ่ สังเกตเห็นได้ไม่ยาก”

    เยี่ยหลิวซีทำมือ ‘งั้นก็เชิญคุณตามสบาย’

     

    ความสามารถในการรับรองแขกของ ‘รองรับนักท่องเที่ยว’ ไม่ต่างอะไรกับตัวป้าย

    อาหารเป็นหมั่นโถวกับน้ำแกงแพะ น้ำแกงเหม็นสาบ ฟองสกปรกลอยอยู่ด้านบน เยี่ยหลิวซีกินไม่ลง หันไปฉีกซองผักดองกินเหมือนเดิม

    ที่พักเป็นพื้นที่ว่างบนท้องน้ำแห้งขอด เต็นท์ต้องตั้งขึ้นเอง ตั้งเต็นท์ครั้งละห้าหยวน เอารถเข้าไปจอดก็ห้าหยวน

    นี่มันทำกำไรโดยไม่ต้องลงทุนชัดๆ

    แต่ถึงอย่างนั้นการค้าของพวกเขาก็นับว่าดีไม่ใช่น้อย ตอนเยี่ยหลิวซีขับรถเข้าไป บนท้องน้ำนั่นก็มีเต็นท์เล็กๆ ตั้งอยู่ห้าหกหลังแล้ว แถมยังมีการปักธงไว้อีกต่างหาก ด้านบนเขียนชมรมนักบุกเบิกอะไรสักอย่าง คนที่เข้าๆ ออกๆ แต่ละคนล้วนสวมแจ็กเก็ตเทคนิค ท่าทางตื่นตาตื่นใจเป็นพิเศษ

    เยี่ยหลิวซีเชื่อว่าคนพวกนี้น่าจะเป็นพวกมือใหม่ มีแต่พวกมือใหม่เท่านั้นถึงจะเห็นอะไรก็รู้สึกแปลกใหม่ไปเสียหมด

    จริงอย่างที่เธอคิดไว้ คนกลุ่มนี้เรี่ยวแรงไม่มีหมด หลังพลบค่ำพวกเขาก็ลงมือก่อกองไฟ ลำโพงขนาดเล็กดังคลออยู่กับเสียงร้องตะโกนบอกความในใจแหบพร่า

    “ฉันจะบินให้สูง…เริงร่ายเยี่ยงสายลมโถมกระหน่ำ…สลัดพ้นอ้อมกอด…”

    เยี่ยหลิวซีเดิมตั้งใจจะนอนหลับพักผ่อนเอาแรงแต่หัวค่ำ แต่กลับถูกเสียงดังรบกวนจนนอนไม่หลับ เธอขมวดคิ้วเตรียมออกไปอาละวาด แต่พอมองลอดหน้าต่างออกไปกลับพบเฝยถังร่วมวงอยู่กับคนพวกนั้น กำลังหัวเราะอิ่มเอิบไปด้วยอารมณ์รักใคร่ ซ้ายขวาล้วนแต่เป็นสาวๆ อายุอยู่ในเกณฑ์

    หน่อรักแข็งแกร่ง ต่อให้อยู่ในภาวะยากลำบากขนาดไหนก็ยังคิดแตกหน่อ หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเยี่ยหลิวซีก็ตัดสินใจปล่อยมันไป

    กว่าคอนเสิร์ตจะเลิกได้ก็ไม่ใช่ง่าย แต่คนที่เป็นหัวหน้ากลุ่มนั่นกลับหาเรื่องขึ้นอีก “มา ทุกคนขยับเข้ามาตรงกลางนี่ พวกเรามาว่ากันถึงเรื่องเส้นทางหลังจากนี้กันสักหน่อย พรุ่งนี้พวกเราจะข้ามเขตอนุรักษ์เหยี่ยลั่วถัว จื้อหลิวจิ่ง ไปไหว้เผิงจยามู่กัน…”

    มีคนพูดตัดบท “ตามเส้นทางบอกว่ายังมีเนินทรายเอ๋อโถวด้วยนี่ หรือว่าจะไม่ไปแล้ว”

    เยี่ยหลิวซีเงี่ยหูฟัง

    “เส้นทางที่นายพูดถึงเป็นของเก่า เดี๋ยวนี้พวกเราไม่ไปที่นั่นแล้ว…”

    มีคนพูดแทรก “เฮ้อ นายไม่รู้จักคามีเลียสีดำหรือไง ตายไปตั้งสิบแปดคน โชคร้ายโคตร!”

    คนที่พูดคือเฝยถัง เขานี่มันผีเจาะปากมาเกิดหรือไงนะ ถึงได้เห็นเรื่องทำร้ายชางตงเป็นหน้าที่ของตัวเองแบบนี้

    หัวหน้ากลุ่มอธิบาย “หลังเกิดเรื่องกับกลุ่มคามีเลียสีดำ เนินทรายเอ๋อโถวก็ถูกทิ้งร้าง”

    พอได้ยินคำว่า ‘คามีเลียสีดำ’ ก็มีคนจำนวนหนึ่งเริ่มมีปฏิกิริยาตามมา

    “ใช่ที่ที่เกิดพายุทรายขนาดใหญ่นั่นใช่หรือเปล่า”

    “น่ากลัวชะมัด ได้ยินว่าตลอดหลายปีมานี้นั่นเป็นครั้งที่มีคนตายมากที่สุด ที่นั่นอันตรายมากใช่หรือเปล่า”

    “หัวหน้าทีมคนนั้นเกินไปจริงๆ ทำแบบนี้เท่ากับทำร้ายคนชัดๆ หรือว่าเขาคิดฆ่าตัวตายอยู่แล้ว เลยจงใจลากคนอื่นตายตามไปด้วย”

    หัวหน้าทีมบอก “หากจะว่าถึงอันตราย ที่นั่นไม่จัดว่าอันตรายอะไร ทุกคนรู้หรือเปล่าว่าทำไมที่นั่นถึงได้ชื่อว่าเนินทรายเอ๋อโถว เรื่องนี้มีคนรู้น้อยมาก…เพราะที่นั่นมีเนินทรายรูปร่างคล้ายหัวห่านชัดสะดุดตาอยู่แห่งหนึ่ง แม้แต่โหนกก็ยังมี รู้ไหมว่านั่นหมายความว่าอะไร”

    คนพวกนั้นเดาสุ่มสี่สุ่มห้า บางคนถึงกับบอกว่า “แปลว่านั่นเป็นฝีมือประณีตละเอียดอ่อนของธรรมชาติ”

    เยี่ยหลิวซีเอือมระอา เนินทรายในทะเลทรายหากยังคงสภาพเดิมได้เป็นเวลานาน นั่นก็แปลได้แค่…

    จู่ๆ ในหัวเธอก็สว่างวาบ

    หัวหน้าทีมเล่าให้พรรคพวกในทีมฟัง “นั่นหมายความว่าในทะเลทรายแห่งนี้มีที่กำบังลมปลอดภัยๆ อยู่ไม่มาก อันที่จริงคนคนนั้นไม่ได้ทำอะไรผิดพลาด เขาก็แค่โชคร้ายเจอพายุทรายระดับนั้นเข้าก็เท่านั้น…ที่กลายเป็นเรื่องใหญ่โตแบบนั้น ทั้งหมดก็เพราะเวยปั๋วของกลุ่มคามีเลีย…

    ทุกคนต่างไม่เห็นด้วยที่จะไปเนินทรายเอ๋อโถว นั่นก็แปลว่าหายนะครั้งนี้อันที่จริงหลบเลี่ยงได้ แต่หัวหน้าทีมกลับยืนกรานในความคิดเห็นของตัวเอง…” พูดถึงตรงนี้ จู่ๆ เสียงรถยนต์ก็ดังขึ้นข้างหู ควันรถผสมดินพ่นมาทางพวกเขา หลังจากนั้นรถคันหนึ่งก็แล่นออกไปรวดเร็ว

    เฝยถังลุกขึ้นตะโกนลั่นเป็นคนแรก “ใครวะ! ไม่รู้จักมารยาทหรือไง…เอ๋ พี่ซี พี่ซี พี่จะไปไหน!”

     

    พ้นเขตเหมืองออกมา รอบด้านก็กลับกลายเป็นเงียบสงัดชวนให้นึกสงสัยว่าชีวิตคนเราแท้แล้วควรดำเนินไปเช่นไร

    ไฟรถสาดแสงไปตามรอยล้อรถบนพื้น รอยล้อใหญ่กว่ารถทั่วไป ดอกล้อหรือก็โดดเด่นไม่เหมือนใคร คล้ายกับรอยฟันโหดร้ายดุดัน เหยียดยาวเข้าไปในความมืดที่แสงไฟสาดส่องไปไม่ถึง

    รถพุ่งทะยานรวดเร็ว เสียงเม็ดทรายกระทบกับแผ่นกันกระแทกใต้ท้องรถดังก้องอยู่ในโสตประสาท

    เยี่ยหลิวซีมือข้างหนึ่งกุมพวงมาลัย มืออีกข้างวางตั้งไว้เฉยๆ นิ้วเคาะพรมไปตามจังหวะดนตรี

    เพราะถูกเครื่องเล่นซีดีกล่อมเกลาจนคุ้นชิน เพลงที่ฟังล้วนแต่เป็นเพลงงิ้ว ดังนั้นท่วงทำนองที่เธอฮัมออกมาจึงเป็นแต่เพลงงิ้วเช่นกัน

    “คืนค่ำงดงามเนิ่นนาน…รีบเร่งเดินทางกลางทางสายเปลี่ยว…เคลื่อนไหวแคล่วคล่องไม่กลัวหนทางไกล…”

    บทเพลงนี้ร้องยาก ในโลกของงิ้วคุนฉวี่มีคำกล่าวที่ว่า ‘ชายกลัวเยี่ยเปิน หญิงกลัวซือฝาน’ คนที่พื้นฐานไม่ดีไม่มีทางร้องให้ดีได้ ยิ่งอย่างเยี่ยหลิวซีด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทันทีที่เปล่งเสียงออกมาก็ไม่รู้ว่าปล่อยลอยไปถึงยอดเขาลูกไหน

    นอกจากนี้เธอยังจำได้ก็แค่สองสามประโยค เธอฮัมมันซ้ำไปซ้ำมา บางครั้งแผ่วเบาว่องไว บางครั้งจงใจลากหางเสียงยาวคล้ายคนใกล้ตายหายใจยากลำบาก

    รถยังคงแล่น ล้อหมุนไปตามทางที่ชางตงขับผ่าน เยี่ยหลิวซีได้ยินเสียงฮัมเพลงของตนเอง “เคลื่อนไหวแคล่วคล่องไม่กลัวหนทางไกล…ด่านอวี้เหมิน ด่านประตูผี (กุ่ยเหมินกวน) สวมขื่อคอเข้าด่าน…ข้าน้ำตานอง…”

    จู่ๆ เธอก็ได้สติ รีบเหยียบเบรก ล้อรถเสียดสีอยู่กับพื้นทราย ลากยาวไปไกลหลายเมตร

    หลังจากนิ่งอยู่สองสามวินาที เธอก็หยิบเอาสมุดบันทึกเล่มเล็กออกมาจากกระเป๋าผ้าใบที่โยนทิ้งไว้บนที่นั่งข้างคนขับ พลิกไปยังหน้าใหม่ตามปกติ จดทำนองเพลงที่ฮัมอยู่เมื่อครู่ลงไป

    จดเสร็จ เธอก็อ่านมันในใจอีกรอบ

    ถ้อยคำเต็มไปด้วยความรู้สึกกลัดกลุ้มเป็นทุกข์ เรื่อง ‘ขื่อคอ’ อะไรนั่นคงมีแต่ในสมัยโบราณเท่านั้น ท่อนสุดท้ายล้วนแต่เป็นคำคล้องจอง ฟังดู…เหมือนเพลงพื้นเมืองที่ร้องสืบต่อกันมาปากต่อปาก

     

    หลังขับต่อไปอีกราวชั่วโมงกว่า รถของเยี่ยหลิวซีก็เข้าสู่ทะเลทรายคู่หมู่ถ่าเก๋อ แนวสันเขาทะเลทรายกว้างใหญ่แลดูสอดคล้องอ่อนโยน รถขับขึ้นไป ในใจเธอก็พลันนึกสงสาร รู้สึกเหมือนกำลังย่ำอยู่บนภาพที่สวรรค์สรรค์สร้าง

    จู่ๆ รถก็จมลงเล็กน้อย

    แย่แล้ว ชางตงเคยบอกว่ายังไงนะ ลดเกียร์ก่อน หลังจากนั้นก็ปล่อยคลัตช์ เหยียบซ้ำลงไปอีกที…

    ยังไม่ทันคิดทบทวนเสร็จ จู่ๆ เครื่องยนต์ก็ดับ มันส่งเสียงครืดคราดสองทีก่อนจะจมลึกลงไปในผืนทราย

    เยี่ยหลิวซีนั่งอยู่ในรถครู่หนึ่ง จู่ๆ เธอก็กระทืบเบรกกับคันเร่งลงไปหลายๆ ทีด้วยความโมโห มือกุมพวงมาลัยหมายจะถอนรถออกมา…ทว่ารถกำลังไม่พอ สุดท้ายก็ได้แต่ทุบกำปั้นลงไปสองที

    เธอลงรถ เตะมันซ้ำอีกสองคราว

    โทรศัพท์ดาวเทียมเธอให้เฝยถังไป ไม่ได้เอาติดตัวมาด้วย แต่เจ้านั่นพึ่งพาไม่ได้ จะคิดแก้ปัญหายังไงก็ต้องหาตัวชางตงให้เจอ

    เยี่ยหลิวซีส่องดูตัวเองผ่านกระจกข้าง ยกมือขึ้นจัดผมเผ้า

     

    โชคของเธอนับว่ายังดี หลังเดินตามรอยรถ ข้ามเนินทรายไปสองสามเนิน ขณะกำลังยืนอยู่บนยอดเนินสุดท้าย เธอก็มองเห็นแสงไฟเล็กๆ ในแอ่งทราย

    ในทะเลทราย น้ำล้วนรวมตัวกันอยู่บริเวณที่ลุ่มต่ำ แสงไฟนี้คล้ายตกจากเนินทรายทั้งสี่ด้านลงไปรวมตัวเป็นกองไฟขนาดไม่ใหญ่นัก

    ชางตงนั่งนิ่งอยู่ท่ามกลางแสงไฟ ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว

    รถจอดอยู่อีกด้าน ที่ให้กำเนิดแสงสว่างอยู่ในเวลานี้คือตะเกียงค่าย แสงไฟถูกปรับจนอ่อนสุด ฉายจับอยู่กลางผืนทรายกว้างโล่งไร้สิ้นสุดได้แค่ขอบเขตแคบๆ เท่านั้น

    พอเดินเข้าไปใกล้ เยี่ยหลิวซีก็มองเห็นเชือกเส้นหนึ่งโยงออกจากตัวรถ ปลายด้านหนึ่งมัดอยู่กับท่อนไม้ที่ปักลึกเข้าไปในผืนทราย บนเชือกมีขวดแก้วแขวนอยู่สองสามใบ ขวดแก้วพวกนั้นนิ่งสนิท นิ่งเสียยิ่งกว่าชางตง

    เนินทรายเอ๋อโถวเดิมเป็นจุดที่มีพายุพัดผ่านน้อยครั้ง ลมทำให้เนินทรายก่อเกิดเป็นรูปร่าง แต่หากมีลมพายุพัดอยู่เป็นประจำ เนินทรายรูปหัวห่านนั่นมีหรือจะยังคงรูปอยู่ได้

    เยี่ยหลิวซีเดินเข้าไปที่ข้างรถ เคลื่อนไหวแผ่วเบา เธอยังนึกไม่ออกว่าควรจะเริ่มเอ่ยปากยังไง

    ชางตงกลับคล้ายรับรู้ได้ จู่ๆ เขาก็หันหน้ากลับมา มองดูเงาร่างแบบบางที่ยืนอยู่ท่ามกลางความมืดเงียบสงัด

    เขาเอ่ยปาก “ข่งยาง?”

    เยี่ยหลิวซีหมดสนุก เธอพิงร่างเข้ากับรถ ไม่เดินต่อ

    “ถ้าคุณคิดว่าเป็นข่งยางล่ะก็ ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่เดินเข้าไปล่ะ คนอย่างฉันเคยชินกับการปรากฏตัวขณะที่คนอื่นกำลังรอคอย เดินเข้าไปเห็นสีหน้าผิดหวังของคุณแบบนั้นรังแต่จะทำฉันอารมณ์เสียเปล่าๆ”

    เธอเงยหน้าขึ้น สายตาจับจ้องอยู่บนจันทร์เสี้ยวเรียวบางบนท้องฟ้า

    หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ชางตงก็เดินเข้ามาถามเธอ “คุณมาได้ยังไง”

    เยี่ยหลิวซีพิจารณามองดูเขา

    ที่แท้เขาก็สูงกว่าเธออยู่ครึ่งหัว เรื่องนี้เธอไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน เธอสูงถึงเมตรเจ็ดสิบ ดูท่ารูปร่างของชายชราหลังค่อมไหล่ตกตอนเจอกันครั้งแรกนั่นคงหยั่งรากฝังลึกอยู่ในความทรงจำเธอยากเกินกว่าจะไถ่ถอนแล้ว

    ท่ามกลางความมืด เธอเห็นก็แต่เค้าโครงรูปร่างของอีกฝ่าย ไม่อาจมองเห็นใบหน้าของเขาได้ถนัด แบบนี้ก็ดี บางครั้งรูปร่างกำยำสงบนิ่งก็ดูดีมีเสน่ห์กว่าใบหน้าสวยๆ เสียอีก

    เยี่ยหลิวซี “ฉันมีธุระต้องการคุยกับคุณ”

    “คุยกันทางโทรศัพท์ไม่ได้?”

    “กลัวคุณวางสาย”

    ชางตงพิงหลังเข้ากับรถ ทิ้งระยะห่างจากเธอประมาณครึ่งตัวคน “ดูท่าคุณเองก็คงรู้ดีว่าเรื่องที่จะถามอาจทำคนไม่พอใจได้ ว่ามาเถอะ คุณอยากรู้เรื่องอะไร”

    “ฉันอยากรู้ว่าเดิมทีคุณตั้งใจจะใช้วิธีอะไรขอข่งยางแต่งงาน…ฉันไม่ได้มีเจตนาอื่น แค่นึกถึงเรื่องอะไรบางอย่างได้เท่านั้น เลยอยากพิสูจน์มันสักหน่อย”

    เธอเงี่ยหูรอฟัง…

    ชางตงไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรออกมา สายลมหยุดนิ่ง แม้แต่ทรายก็ไม่ขยับ

    เยี่ยหลิวซีปลอบใจตัวเอง ไม่พูดก็ช่างเถอะ อันที่จริงจะบีบให้นายเปิดปากพูดก็ใช่ว่าจะยากอะไร แต่วันนี้ฉันจะเว้นให้สักครั้ง…

    จู่ๆ ชางตงก็เอ่ยปาก

    “ตอนนี้คุณคงมองไม่เห็นแล้ว ในตอนนั้น เวลาไม่มีพายุทราย บนเนินทรายแถบนี้ทั้งหมดจะมีหินกุหลาบทะเลทรายโผล่ออกมาให้เห็น มันเป็นหินแร่ที่เกิดจากการกัดเซาะของลมชนิดหนึ่ง รูปร่างคล้ายดอกกุหลาบ หินแร่รูปร่างคล้ายดอกไม้แบบนี้พบเจอได้น้อยมาก ภายใต้องค์ประกอบพิเศษกับการเปลี่ยนแปลงนับหมื่นปี ผนวกกับกระแสลมกัดเซาะ ก่อเกิดเป็นกุหลาบทะเลทรายที่ไม่รู้จักเหี่ยวเฉา”

    เยี่ยหลิวซีเข้าใจดี มันมีความหมายยิ่งกว่ากุหลาบจริงๆ เสียอีก เจ้านั่นหนามเยอะ แพงก็แพง วางไว้แค่คืนเดียวก็เฉาแล้ว

    “ข่งยางสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง ไม่เคยเข้าทะเลทราย สภาพอากาศแบบนั้นเธอปรับตัวไม่ค่อยได้ แต่ผมกลับตรงกันข้าม สนใจทะเลทรายโกบีตั้งแต่เกิด เธอทายถูกว่าผมคิดขอเธอแต่งงานเลยโอนอ่อนผ่อนตาม รู้สึกว่าช่วงเวลาสำคัญที่สุดของผู้ชายควรเกิดขึ้นในสถานที่ที่สำคัญที่สุด ดังนั้นพอผมขอให้เธอร่วมเดินทางไปด้วย เธอถึงได้ตกลงรับปากทันที”

    น้ำเสียงของเขาแผ่วลง “คุณรู้หรือเปล่า อันที่จริงผมเตรียมรถไว้เรียบร้อยแล้ว กะว่าหลังขอแต่งงานเสร็จก็จะส่งเธอกลับ อีกแค่คืนเดียวเท่านั้น…”

    เยี่ยหลิวซีไม่พูดไม่จา ก็แค่คืนเดียวเท่านั้น ฆ่าคนก็แค่มีดเดียว หัวใจหยุดเต้นก็แค่วินาทีเดียว หลบยังไงก็ไม่พ้น ทั้งหมดล้วนแต่ชะตาลิขิต

    ชางตงถอนหายใจยาวๆ “ท่ามกลางความมืดในทะเลทราย ผมตั้งใจจะปิดแหล่งกำเนิดแสงที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหมด ใช้ตะเกียงไฟพิเศษ เปลี่ยนกุหลาบทะเลทรายบนเนินทรายทั้งหมดให้กลายเป็นสีแดง…เรื่องราวทั้งหมดก็เป็นแบบนี้ คุณอยากพิสูจน์เรื่องอะไร”

    เยี่ยหลิวซีชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น

    “จากวิธีขอแต่งงานที่คุณว่ามา คุณไม่มีทางทำคนเดียวได้ ตอนขอแต่งงาน คุณต้องมีคนทำหน้าที่เปิดไฟ อยากให้ข่งยางรู้สึกโรแมนติก ก็ต้องมีการเตรียมช่างภาพคอยช่วยบันทึกภาพเหตุการณ์ไว้ อยากให้เธอรู้สึกประหลาดใจ ตอนเตรียมการยังต้องมีคนคอยรั้งเธอไว้ไม่ให้เธอสังเกตเห็น…”

    ชางตงนิ่งฟัง ภาพในค่ำคืนนั้นปรากฏขึ้นต่อสายตา

    ถูกแล้ว ถูกต้องทุกอย่าง ในเวลานั้นมีคนลากข่งยางเข้าไปนั่งคุยในเต็นท์ มีคนลากตะเกียงไปไว้บนที่สูง มีคนคอยกำกับควบคุมให้รถถอยออกไป เปิดพื้นที่ให้โล่งกว้างจะได้ไม่ส่งผลต่อการบันทึกภาพ…

    “เรื่องพวกนี้ล้วนต้องเตรียมการล่วงหน้า ตกลงแผนการกันซ้ำๆ ร่วมแรงร่วมใจกัน ไม่มีทางเป็นอย่างที่พูดกันว่า ‘คุณยืนกรานจะตั้งแคมป์ที่เนินทรายเอ๋อโถว ทว่าคนอื่นๆ ต่างคัดค้านหนัก’ ได้”

    ชางตงยิ้ม นานแล้วที่เขาไม่เคยแสดงอากัปกิริยาเช่นนี้ ผิวหนังจึงขมวดเข้าหากันแน่น กล้ามเนื้อตึงเขม็งไม่รู้จะขยับไปทางไหน รอยยิ้มที่ปรากฏจึงคล้ายคนกำลังฝืนยิ้ม

    เขายอมรับ “ใช่ ไม่มีคนคัดค้าน”

    ผู้คนบนโลกส่วนใหญ่ล้วนมีน้ำใจ เห็นคนอื่นมีความสุข ต่อให้ไม่รู้จักก็ยังเดินเข้าไปแสดงความยินดีด้วย

    “แล้วเรื่องบนเวยปั๋วนั่นมันอะไร”

    ชางตงบอก “อันที่จริงผมเองก็ไม่แน่ใจ ผมเป็นเพียงคนนำทาง กิจกรรมของกลุ่มคามีเลียมีการวางแผนแบบไหน ผลลัพธ์เป็นยังไง ผมล้วนไม่สนใจ”

    คนที่รับผิดชอบกลุ่มคามีเลียเคยปรึกษากับเขา บอกว่ามีคนจำนวนมากสนใจการเดินทางไปยังสี่ดินแดนไร้ผู้ครอบครองในครั้งนี้ แต่ถ้าวันทั้งวันมีก็แต่ข่าวการบุกเบิกเส้นทางเหมือนก่อน สุดท้ายก็คงไม่มีเรื่องน่าดึงดูดหรือหัวข้ออะไรให้พูดถึง…เขียนบทความก็ไม่ต่างอะไรกับชมภูเขาที่ชอบลักษณะแปลกตาอัศจรรย์ไม่ชอบอะไรพื้นๆ พวกเขาอยากเป็นเหมือนรายการเรียลลิตี้ ที่ทุกๆ ช่วงจะมีการสร้างความขัดแย้ง โยนปมปริศนาออกมาให้ได้ประหลาดใจ

    การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ พวกเขาคิดจะเพิ่มเรื่องราวเหนือความคาดหมายลงไป

    ชางตงบอก ‘ได้ พวกคุณทำที่เห็นสมควรได้เลย’

    ดังนั้นถึงได้มีเวยปั๋วอันนั้นขึ้นมา คนที่รับผิดชอบยังลิงโลดเอามาให้เขาและบอกว่า ‘ดูสิ ปกติข่าวข่าวหนึ่งอย่างมากก็มีคนแสดงความคิดเห็นแค่ไม่กี่สิบเท่านั้น แต่คราวนี้กลับเพิ่มเป็นเท่าตัว’ หลังจากนั้นก็ไปคว้าตัวตากล้อง กำชับบอกอีกฝ่ายว่าให้ถ่ายออกมาให้สวยหน่อย คราวหน้าตอนส่งขึ้นเวยปั๋วจะได้มีภาพสวยๆ แนบขึ้นไปด้วย

    เยี่ยหลิวซีบอก “หลังจากนั้น…”

    “ใช่ หลังจากนั้นก็เกิดพายุทรายขึ้น”

    ปกติแล้วตั้งแต่เกิดลมจนถึงพายุมา อันที่จริงต้องใช้เวลาประมาณหนึ่ง เพราะตาของพายุแบ่งเป็นแกนกลางกับพื้นที่รอบๆ การก่อตัวของมันล้วนเป็นไปตามขั้นตอน แต่พายุที่เกิดขึ้นในคืนนั้นกลับไม่มีขั้นตอน มีก็แต่ผลลัพธ์

    เขาคล้ายปลงตก “ถ้าให้พูดกันตรงๆ ก็ต้องบอกว่าแค่ดวงไม่ดีเท่านั้น”

    ใครบอกว่าชีวิตคนคล้ายกับละคร เขาเชิดละครหุ่นเงา ต้องมีเปิดโรง มีช่วงไคลแมกซ์ มีบทสรุป บทลงท้ายไม่ดีผู้ชมย่อมร้องด่า ทว่าชีวิตคนไม่ใช่ละคร มันนึกอยากตัดใครก็ตัด อยากจบตรงไหนก็จบ ขณะที่คนกำลังตีอกชกหัวร่ำไห้มันกลับเก็บป้ายไว้อาลัย

    เยี่ยหลิวซีถาม “แล้วทำไมคุณถึงไม่บอกเล่าความจริงให้ทุกคนรู้”

    “พูดแล้ว ผมเล่าให้คนที่ทำการตรวจสอบฟังแล้ว พวกเขาเองก็รู้สึกว่าเป็นไปได้ แต่คนส่วนใหญ่ไม่สนใจข้อเท็จจริงเรื่องนี้”

    ‘…คนตายกันไปหมดแล้ว นายจะพูดอะไรก็ย่อมได้ อะไรที่มีประโยชน์กับตัวเองนายก็พูดอย่างนั้น โชคยังดีที่มีเวยปั๋วเป็นหลักฐาน ทุกตัวอักษรทุกประโยค ผู้คนทั่วทั้งโลกต่างเห็นอยู่!’

    ในสายตาของครอบครัวผู้ตาย ญาติสนิทของตนเองต่างเคย ‘คัดค้านหนักหน่วง’ กับเรื่องที่จะไปตั้งแคมป์ที่เนินทรายเอ๋อโถว ทุกคนเดิมยังมีโอกาสมีชีวิตรอด แต่กลับถูกความคิดเห็นแก่ตัวของเขาคนเดียวทำลายหมดสิ้น

    ที่แย่ไปกว่านั้นคือผู้ประสบภัยส่วนใหญ่ เพราะรู้สึกว่าเบี้ยประกันแพงเกินไป ถึงจะได้รับคำเตือนก่อนหน้าแล้วก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังคงไม่ยอมซื้อประกันภัยเดินทางชนิดพิเศษ…จึงทำให้ครอบครัวของพวกเขาไม่เพียงไม่ได้รับเงินชดเชย หากยังต้องแบ่งกันแบกรับค่าใช้จ่ายในการออกค้นหาให้ความช่วยเหลือด้วย

    ไม่ว่าจะเพราะผลประโยชน์หรือเพราะระบายโทสะ พวกเขาจำเป็นต้องรีบจับตัวคนคนหนึ่งมาฉีกทึ้ง เรียกค่าเสียหายเป็นการด่วน

    ใครใช้ให้นายยังมีชีวิตอยู่

    ใครใช้ให้นายคิดขอสาวแต่งงาน

    ชางตงไม่เคยคิดมาก่อนว่าเรื่องนี้จะกลับกลายเป็นพายุลูกโตแบบนี้ มีกลุ่มองค์กรแสวงหาผลกำไรบางพวกใช้การ ‘ยุแหย่’ จับปลาในน้ำขุ่น* ไม่รู้ว่าจะสร้างความปั่นป่วนยังไง ไม่รู้ว่าทางไหนจะสร้างความปั่นป่วนได้ดีที่สุดงั้นหรือ ได้ เดี๋ยวฉันจัดการให้ จ่ายเงินมาสิ ไม่พอใจไม่คิดเงิน

    เพียงชั่วข้ามคืน ‘คนที่รู้ข่าววงใน’ จำนวนมากต่างพากันปล่อยข่าว ภาพปลุกปั่นคลิปวิดีโอถูกส่งไปทั่ว ข่งยางเองก็ถูกผลักเข้าไปอยู่ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดุเดือด ภาพถ่ายของเธอถูกส่งต่อ สถานการณ์เลวร้ายจนยากจะทนดูต่อไหว ผู้คนจำนวนมากด่าเธอว่าแพศยา ถ้าไม่สาระแนคิดจัดฉากขอแต่งงาน เรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น

    เพื่อข่งยาง ชางตงจึงเลือกที่จะไกล่เกลี่ยยุติความขัดแย้ง ผู้หญิงคนหนึ่งเดินทางตามเขาไป ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์อะไรทั้งนั้น เขาไม่อยากให้หลังจากเธอตายไปยังจะถูกคนรุมประณามอีก เขาปรารถนาให้เสียงก่นด่าเหล่านั้นสิ้นสุด ปล่อยให้เธอได้พักผ่อนอย่างสงบ

    ที่ทุกคนต้องการคือเงินไม่ใช่หรือไร

    ชางตงมองไปยังเนินทรายราบเรียบที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล หากเขาจำไม่ผิด เมื่อสองปีก่อนที่นั่นน่าจะเคยมีกุหลาบทะเลทรายผลิบานอยู่เต็มไปหมด จะว่าไปก็คล้ายถูกเหน็บแนม เขาเคยรู้สึกว่าดอกกุหลาบที่บานอยู่บนพื้นพวกนั้นไม่ยืนนาน เทียบไม่ได้กับหินกุหลาบที่ต้องใช้เวลานับหมื่นปีถึงจะก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างได้ นึกไม่ถึงว่าแค่พายุทรายพัดมาทีเดียว แม้แต่เนินทรายก็ไม่เหลือ

    เยี่ยหลิวซี “ฉันยังมีคำถามอีกข้อ”

    “คุณมีคำถามเยอะจริงๆ”

    เยี่ยหลิวซียิ้ม เธอหันไปเผชิญหน้ากับชางตง คางเชิดขึ้นเล็กน้อย มองเข้าไปในดวงตาที่ซ่อนอยู่ใต้ปีกหมวกนั้น

    “ชางตง ฉันมาหาคุณ คุณไม่ได้สูบฝิ่น ไม่ได้ดื่มเหล้า ไม่ได้เจ็บปวดจนสติสัมปชัญญะเลอะเลือน ตรรกะชัดเจนแจ่มแจ้ง คำพูดคำจาสงบนิ่ง คนแบบนี้ทำไมตอนรู้ว่ามีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นที่ด้านหลังถึงเผลอพูดชื่อ ‘ข่งยาง’ ออกมา”

    คนไม่มีทางเฝ้ารอหรือคาดหวังอะไรบางอย่างอย่างไร้เหตุผล

    ผู้หญิงคนนี้ไม่ต่างอะไรกับงูตัวหนึ่ง แลบลิ้นส่งเสียงขู่ฟ่อๆ สมองคนสักตารางนิ้วก็ไม่เว้น แม้แต่สิ่งสกปรกสะสมก็ยังต้องเลียให้สะอาด

    ชางตงตอบ “เลอะเลือนไปชั่วขณะ”

    “เลอะเลือนได้จังหวะพอดิบพอดี?”

    “ก็เหมือนกับที่มีคนความจำเสื่อมพอดิบพอดี”

    เยี่ยหลิวซีโมโห “ชางตง คุณอย่าคิดนะว่าฉันสนใจเรื่องของคุณกับข่งยาง คุณต้องรู้ไว้ พวกเราสองคนไม่ได้พบกันโดยบังเอิญ ผู้หญิงในภาพถ่ายที่อยู่ในกล้องในกระเป๋าสะพายของฉันคือแฟนสาวที่ตายไปของคุณ ที่ฉันมาหาคุณก็เพราะเรื่องนี้! ดังนั้นเรื่องทุกเรื่องที่คุณพยายามปิดบังล้วนกำลังขวางทางฉัน”

    เหตุผลชางตงล้วนเข้าใจ ทว่าตกปลาต้องค่อยๆ ปล่อยเหยื่อ ตัวเองบอกความจริงมาก็แค่สามส่วน แต่กลับอยากให้คนอื่นพูดความจริงออกมาทั้งหมด?

    เขาพูดย้ำ “เลอะเลือนไปชั่วขณะ”

    พูดจบเขาก็หันหลังเตรียมเดินจากไป แต่เยี่ยหลิวซีกลับมือไว ใช้มือข้างหนึ่งจับยึดคอเสื้อของเขาไว้ มืออีกข้างหนึ่งดึงไหล่ และใช้เข่าของเธอดันขาของเขาจนร่างกระแทกรถเข้าอย่างจัง “คุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร”

    ชางตงไม่ทันได้ระวัง หลังเอวถูกกระแทกเจ็บแปลบ สำหรับเขานี่ถือเป็นประสบการณ์ใหม่ ปกติวิธีการเช่นนี้มีแต่เขาใช้กับคนอื่นเท่านั้น แถมเท่าที่จำได้ เขาเคยใช้ไปก็แค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น หนำซ้ำมีแต่ตอนโมโหเดือดดาลขึ้นมาสุดๆ เท่านั้นถึงจะลงมือ…แต่ตอนนี้ตัวเองกลับเป็นคนถูกเล่นงานเสียเอง แถมคนที่ลงมือยังเป็นผู้หญิงคนหนึ่งอีกต่างหาก

    เขาก้มหน้ามอง คอเสื้อถูกขยุ้มจนไม่เป็นทรง

    เขาขยับตัวเล็กน้อย ให้ตัวเองที่อยู่ภายใต้การควบคุมของอีกฝ่ายได้อยู่ในอากัปกิริยาที่สบายๆ หน่อย ชางตงไม่ได้มีทีท่าจะตอบโต้กลับแต่อย่างใด “ก็ยังคงคำเดิม ถึงเจรจาการค้าไม่สำเร็จแต่ก็ควรถนอมน้ำใจอีกฝ่าย ไม่ใช่ว่าพอชาวบ้านพูดไม่เข้าหูหน่อยก็โกรธ ไม่ยอมเหลือทางหนีทีไล่ให้คนอื่นแบบนี้ คุณแน่ใจหรือว่าวันหน้าจะไม่มีเรื่องต้องขอความช่วยเหลือจากผม”

    มีงั้นหรือ เยี่ยหลิวซีคิดอยู่ครู่หนึ่ง

    จู่ๆ เธอก็คลายมือออก อีกทั้งยังมีน้ำใจช่วยเขาจัดคอเสื้อที่ถูกขยุ้มจนไม่เป็นรูปเป็นทรง เงยหน้ายิ้มน้อยๆ “ชางตง คุณช่วยฉันลากรถหน่อย”

    อะไรนะ…ท่าทีแบบนี้…นี่มัน…

    กว่าจะได้สติก็หลังจากผ่านไปสองสามวินาที เขาเงยหน้ามองไปทางเนินสูง

    ภายใต้แสงจันทร์จางๆ รอยหลุมลึกตื้นสองแถวคือรอยเท้าเดินลงจากเนิน

    มิน่าเขาถึงไม่ได้ยินเสียงเธอขับรถมา ที่แท้รถก็ติดหล่มทรายแล้วนี่เอง

    สวรรค์เมตตาเขาแท้ๆ ชางตงยิ้มหยัน “คุณไม่แม้แต่จะขอโทษผมสักคำ แล้วทำไมผมต้องช่วย…”

    “ฉันขอโทษ”

    ชางตงโมโหจนแทบจะหัวเราะออกมา หลังจากชะงักไปชั่วขณะเขาก็ขยับเข้าใกล้เธอ บอกว่า “เยี่ยหลิวซี คุณหัดรู้จักอายบ้างก็ดี อย่ามาชวนผมเสวนาอะไรอีก”

    เขาขยับคอเสื้อหันหลังขึ้นรถปิดประตูเต็มแรง ทรายที่อยู่ข้างๆ ขยับคล้ายเกิดลม

    เยี่ยหลิวซีถอนหายใจ

    ชางตงคนนี้หัวรั้นกว่าที่เธอคิดไว้เยอะ อีกทั้งยังไม่สนใจคำขู่ของเธอ พอเธออ่อนน้อม ปรับเปลี่ยนท่าทีเสียใหม่ เขากลับบอกเธอหน้าไม่อาย

    เธอชอบคนอย่างเฝยถังมากกว่า แค่หยิกหลังคอเข้าหน่อยหน้าก็ซีดเป็นไก่ต้ม เรียกเธอพี่ซีๆ ไม่ขาดปาก ‘พี่ๆ มีอะไรคุยกันดีๆ ไม่ต้องลงมือลงไม้ก็ได้…’

    ผู้ชายที่ถูกเธอจับแก้ผ้านั่นก็ไม่เลว ตอนลงมือมัด อีกฝ่ายดิ้นรนขัดขืนไม่ต่างอะไรกับไก่ที่กำลังจะถูกเชือด ร้องเสียงดัง ‘สาวสวย เงินเธอเอาไปหมดเลยก็ได้ ขอแค่ไว้ชีวิตฉันก็พอ รับรองฉันจะไม่ไปแจ้งความ…’

    ชาวบ้านล้วนแต่ว่านอนสอนง่าย น่าคบหา แต่ชางตงคนนี้กลับเอาใจยาก

    เธอรู้สึกหมดสนุก ขณะเดียวกันก็ไม่มีที่ไป จึงได้แต่หย่อนก้นนั่ง เอนหลังลงนอน

    ผืนทรายนุ่มละเอียด กลิ่นหอมชวนสูดดม ความร้อนในตอนกลางวันจางหายไปหมดแล้ว แผ่นพื้นเย็นขึ้นทีละน้อยราวกับต้องการได้ไออุ่นจากร่างของเธอ

    ชางตงเตรียมพักผ่อน หลังจัดการปรับพนักพิงหลังเสร็จ พอเงยหน้าขึ้นเขาก็ไม่เห็นเยี่ยหลิวซีแล้ว

    เขารู้สึกหนักใจ ผู้หญิงคนนี้ทำอะไรล้วนลึกลับซับซ้อน

    ครั้นค้อมตัวดู เขาก็พบว่ามีคนนอนหันหลังอยู่ที่หน้ารถ โชคดีที่เป็นที่นี่เวลานี้ ท่าทางงอก่องอขิงแบบนั้นหากไปพบเห็นเข้าที่อื่น เขาคงคิดว่าอีกฝ่ายเป็นพวกสิบแปดมงกุฎมืออาชีพแน่

    ชางตงพยายามระงับโทสะ

    ห้านาทีผ่านไป เธอยังคงนิ่งเงียบ ไม่ขยับเขยื้อน

    ชางตงหมดความอดทน ปรับกระจกรถลง ยื่นหน้าตะโกนเรียกอีกฝ่าย “เยี่ยหลิวซี คุณทำอะไรของคุณ”

    เยี่ยหลิวซีตอบน้ำเสียงเย็นชา “นอน”

    “คุณไม่รู้หรือไงว่าอุณหภูมิแบบนี้ออกไปนอนกลางแจ้งไม่ได้”

    เยี่ยหลิวซีตอบเสียงขาดๆ หายๆ น้ำเสียงเฉื่อยเนือย “ฉันยังจะทำอะไรได้…รถติดหล่มทรายแล้ว…เตียงอยู่ในรถ…ต้องเดินกลับไปอีกตั้งไกล…”

    ชางตงพยายามระงับโทสะ “แล้วคุณไม่รู้จักเอ่ยปากขอเต็นท์จากผม?”

    “ฉัน…รู้จักอาย คุณไม่ใช่บอกฉันว่า…อย่าชวนคุณ…เสวนา…ไม่ใช่หรือไง”

    พูดจบเธอก็ไม่พูดอะไรอีก นอนขดราวกับไม้หูหยางแห้งๆ ชวนให้เขานึกอยากอุ้มขึ้นมา โยนไปได้ไกลเท่าไหร่ก็เท่านั้น

    ผ่านไปอีกห้านาที

    จู่ๆ เสียงสตาร์ตเครื่องยนต์ของรถออฟโรดก็ดังขึ้น ล้อของมันหมุดติ้ว ทรายที่อยู่ใต้ล้อปลิวว่อน ไฟหน้ารถจู่ๆ ก็เปิดขึ้น แสงไฟสว่างเจิดจ้าสาดลงบนผืนทรายโล่งกว้างที่อยู่เบื้องหน้า คล้ายเวทีแสดงมืดมิดถูกสปอตไลต์ส่องสว่าง

    เส้นผมยุ่งเหยิงของเยี่ยหลิวซีปลิวไสวอยู่กลางกระแสอากาศ เธอลืมตาขึ้น

    น้ำเสียงเย็นชาของชางตงดังขึ้น “รถติดหล่มทรายอยู่ที่ไหน ผมจะไปลากมันขึ้นมา”

    เยี่ยหลิวซีลุกขึ้นอย่างไว

     

    หัวรุ่ง เฝยถังรับโทรศัพท์ของชางตง บอกให้เขาตามท้ายขบวนรถคันไหนก็ได้มาพบกันตรงหน้าป้ายขนาดใหญ่กลางเขตอนุรักษ์เหยี่ยลั่วถัว

    อีกทั้งยังกำชับเขาว่าให้ซื้อผักที่เขตเหมืองมาสักหน่อย สภาพไม่ดีก็ได้ โดยเฉพาะหัวไช้เท้า ไม่มีหัวไช้เท้าขาวก็ให้เอาแครอตมาแทน

    เฝยถังตอบรับคำ พอวางสายเสร็จเขาก็นึกสงสัย ทำไม

    คนที่อยู่ละแวก ‘รองรับนักท่องเที่ยว’ ช่วยเขาคลายข้อสงสัย “คิดจะเข้าหลัวปู้พัวมีสองเรื่องที่ต้องทำ คุณไม่รู้หรือไง หนึ่งคือเอาน้ำไปถวายที่สุสานเผิงจยามู่กับอวี๋กง สองคือกินหัวไช้เท้า จะได้เป็นหลักประกันว่าสามารถเข้าออกหลัวปู้พัวได้อย่างปลอดภัย”

    เฝยถังซื้อหัวไช้เท้ามาสองจิน* ใจคิด พี่ตงนี่ก็เชื่อเรื่องผีสางเหมือนกันแฮะ

    เขาออกเดินทางไปพร้อมขบวนรถของชมรมนักบุกเบิกที่รู้จักกันเมื่อคืน เขาวิ่งห้อตลอดทางมาจนถึงหน้าป้ายที่นัดกันไว้ แต่อันที่จริงมันกลับเป็นโครงเหล็กขนาดใหญ่ ตัวหนังสือที่หลอมชุบเป็นอย่างดีถูกเชื่อมไว้บนคานเหล็กแนวนอน สีของตัวอักษรกับโครงเหล็กล้วนแต่ลอกล่อน สนิมจับเกรอะกรังกระดำกระด่าง มองผ่านโครงเหล็กไปจะมองเห็นภูเขาหัวโล้นทะเลทรายเปลี่ยวร้างได้อยู่ไกลๆ คล้ายสุสานที่โก่งนูนเบียดเสียดอยู่ด้วยกัน

    รถของชางตงกับเยี่ยหลิวซีล้วนอยู่ที่นั่น

    เฝยถังกระตือรือร้นแนะนำให้ทุกคนเดินทางไปด้วยกัน ไหนๆ เส้นทางก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ อยู่กันเป็นกลุ่มมีอะไรจะได้ช่วยกันดูแล ความปลอดภัยก็เพิ่มสูงขึ้น

    ไม่มีเสียงตอบรับ

    เยี่ยหลิวซีไม่แม้แต่จะขยับเปลือกตา กลางคืนเธอต้องการนอน ไม่อยากฟังคนส่งเสียงเอะอะ

    ส่วนชางตงเองก็แสดงออกอย่างเห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ไม่นึกสนใจ

    ส่วนหัวหน้าทีมของชมรมนั่นเดิมเองก็นึกสนใจอยู่ แต่หลังพิจารณาดูชางตงกับรถของเขาโดยละเอียด เขาก็คล้ายสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง สุดท้ายจึงตัดสินใจพาพรรคพวกจากไปเงียบๆ

    ทันทีที่คนพวกนั้นจากไป บรรยากาศก็กลับกลายเป็นเงียบสงบ สายลมพัดโถม โครงเหล็กโยกไหวดังกึงกัง เทียบกับเสียงก่อความวุ่นวายที่เหมืองแร่เมื่อคืนแล้วต่างกันราวกับโลกคนละใบ ก็ที่นี่มันดินแดนไร้ผู้ครอบครอง

    เฝยถังหดคอและอดชำเลืองดูเยี่ยหลิวซีไม่ได้ มาถึงจริงๆ ถึงรู้สึกว่าซากโบราณสถานอะไรนั่นมันก็แค่ภาพลวงเท่านั้น เล็งเป้าหมายให้ดีๆ ดีกว่า ไม่รู้ว่าจอกโมราหัวสัตว์นั่นเยี่ยหลิวซีเอาไปซ่อนไว้ที่ไหน

     

    การเดินทางต่อจากนั้นจืดชืดไร้รสชาติ ยิ่งไปกว่านั้นชางตงเองไม่อยากพบเจอกับกองคาราวานที่อยู่ด้านหน้าพวกนั้น เขาจึงจงใจลดความเร็วลง

    ชักช้าน่าเบื่อเป็นเท่าทวีคูณ ช้าจนลูกนกแทบจะบินออกจากรังได้แล้ว

    จนกระทั่งถึงป้ายสุสานที่ตั้งอยู่ตรงจุดที่เผิงจยามู่ประสบภัยเฝยถังถึงได้ฮึกเหิมขึ้นเล็กๆ ที่นั่นห้อมล้อมด้วยขวดพลาสติกแน่นขนัด ล้วนยังไม่ถูกเปิด ทั้งยังมีเบียร์กระป๋อง แอปเปิ้ลสาลี่ที่ถูกลมพัดจนแห้งวางรวมอยู่ด้วย ล้วนแต่เป็นของเซ่นไหว้ที่นักผจญภัยที่เดินทางไปมาทิ้งไว้

    ก่อนเผิงจยามู่หายสาบสูญ เขาได้ทิ้งข้อความบอกกับคณะสำรวจว่า ‘ผมจะไปหาแหล่งน้ำทางทิศตะวันออก’ แต่หลังจากนั้นเขาก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย อวี๋ฉุนซุ่นประสบภัย ว่ากันว่าตายเพราะขาดน้ำ ก่อนตายเขาเคยลองใช้มีดทิเบตขุดหลุมสองหลุมใหญ่เพื่อหาน้ำ แต่กลับประสบความล้มเหลว

    ดังนั้นภายหลังการมอบน้ำจึงกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ

    ชางตงเดินเข้าไปมอบน้ำสองขวด ค้อมกายแสดงคารวะ

    ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นจุดตัดแบ่ง หากขับเบี่ยงไปอีกชั่วโมงกว่าๆ ลักษณะภูมิประเทศจะค่อยๆ เปลี่ยนไป ทะเลทรายจะถูกทิ้งไว้ทางด้านหลัง เข้าสู่เขตทะเลสาบแอ่งกระทะ ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าคือพื้นที่ผลึกเกลือที่เป็นลักษณะพิเศษของหลัวปู้พัว

     

    ในสมัยโบราณหลัวปู้พัวถูกเรียกว่าเหยียนเจ๋อ (ทะเลสาบเกลือ) ด้วยเพราะมันมีพื้นที่ไม่ด้อยไปกว่าทะเลสาบชิงไห่ ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่ามันเคยอุดมไปด้วยน้ำอยู่ถึงสามครั้ง และแห้งขอดหมดสิ้นถึงสามครา ภาวะแห้งผากที่เกิดขึ้นล่าสุดห่างจากช่วงนี้ไปไม่นาน น่าจะราวๆ ปี 1972

    ในช่วงเวลาเดียวกัน ชาวอเมริกาได้นำภาพถ่ายดาวเทียมของหลัวปู้พัวภาพหนึ่งมาเปิดเผยต่อสาธารณชน เป็นภาพหลัวปู้พัวยามแห้งแล้ง ภาพดูคล้ายหูคน ไม่ว่าจะใบหู วงใบหู ติ่งหูล้วนปรากฏชัด นับแต่นั้นที่นี่ก็ถูกเรียกขานว่าหูของโลก และถูกขนานนามให้เป็นทะเลมรณะ

    หลังแห้งผาก เกลือโซเดียมคลอไรด์ตกตะกอนลงที่ก้นทะเลสาบ กลายเป็นผลึกเกลือแข็ง หลังจากผ่านการหดขยายตัวด้วยความร้อนมาหลายต่อหลายครั้ง ผลึกเกลือพวกนั้นก็ปริแตกชี้ขึ้นฟ้า แข็งขนาดที่เรียกว่าบางครั้งใช้ค้อนทุบก็ยังไม่แตก ใช้อุปกรณ์แหลมคมเจาะเข้าไปก็ทำได้เพียงทำให้ชั้นผลึกเกลือที่บางที่สุดปริแตกเป็นสองท่อนเท่านั้น

    มีคนบอกว่าผลึกเกลือพวกนั้นไม่ต่างอะไรกับโคลนเลนที่ถูกคลื่นซัดสาดขึ้นมาก่อนจะจับตัวแข็งแห้งในชั่วพริบตา แหลมคมอันตรายดุดัน รถแล่นผ่านไปก็ไม่ต่างอะไรกับถูกฟันแหลมคมกริบเต็มพื้นกัดแทะ ไม่ว่าล้อจะดีขนาดไหนก็ล้วนแต่ถลอกปอกเปิก

    ชางตงจอดรถ ใช้โทรศัพท์ไร้สายโทรแจ้ง “ผลึกเกลือจะทิ่มล้อรถ กัดผิวรถ ทุกคนลงรถเพิ่มแรงดันให้ล้อรถ อีกอย่าง เยี่ยหลิวซี คุณต้องตัดสินใจเองว่าจะทิ้งรถไว้ที่นี่หรือเปล่า ถ้าทิ้งไว้ที่นี่ยังพอมีโอกาสขับออกไปได้ หากขับเข้าไปในพื้นที่ผลึกเกลือแล้วพัง ถึงตอนนั้นคงได้แต่ต้องทำใจยกรถให้หลัวปู้พัวเป็นของขวัญแล้ว“

    เยี่ยหลิวซีตอบ “งั้นทิ้งมันไว้ที่นี่ก็แล้วกัน”

    ข้ามเขตทรายเลื่อนกับเรื่องลากรถที่เกิดขึ้นเมื่อคืนทำให้เธอรู้แจ้งถึงความต่างกันของรถ บางครั้งจะอาศัยแต่ฝีมือขับเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ต่อให้เป็นนักแข่งรถชั้นยอด แต่ให้ใช้แทร็กเตอร์ลงสนามแข่ง ก็ใช่ว่าจะชนะได้

    ชางตงมองกลับเข้าไปในรถ รถของเขาใหญ่ รับคนเพิ่มอีกคนได้สบายๆ “คุณจัดการของที่คุณจะเอาไปด้วยก่อน รถของเฝยถังหรือรถของผม คุณเลือกได้ตามสบาย…”

    จู่ๆ เฝยถังก็ตะโกนเสียงดัง “พี่ซี รถผมเถอะ ผมยินดีต้อนรับพี่ด้วยความเต็มใจ!”

    เยี่ยหลิวซีตอบ “…ก็ได้”

    ชางตงไม่พูดอะไร หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็วางสาย

    ตอนลงรถเพิ่มความดันให้ล้อยาง เฝยถังเดินมาขอความช่วยเหลือจากเขา “พี่พอจะช่วยผมเติมความดันลมได้หรือเปล่า ผมต้องไปช่วยพี่ซีขนของ”

    เฝยถังกระตือรือร้นออกนอกหน้า คอยช่วยเยี่ยหลิวซีขนของรอบแล้วรอบเล่า มีอยู่ครั้งหนึ่งเขามือซ้ายหิ้วเตามือขวาหิ้วหม้อหิ้วกระทะ เสียงดังก๊องแก๊งๆ อยู่ตลอดทาง

    เรื่องอึกทึกครึกโครมนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวกับเขา หลังเติมความดันลมเสร็จชางตงก็ขึ้นไปนั่งอยู่บนรถ

    ส่วนเฝยถังขณะย้ายข้าวของรอบสุดท้าย เขาก็หันไปบอกกับเยี่ยหลิวซี “พี่ซี ดูให้ดีๆ อย่าทิ้งข้าวของอะไรไว้ ถึงตอนนั้นคงไม่มีคนกลับมาช่วยเอาให้พี่แล้ว”

    เยี่ยหลิวซีมือข้างหนึ่งประคองเบาะรถ มืออีกข้างพาดกระเป๋าขึ้นไหล่ “ฉันรู้แล้ว”

    เฝยถังเดินดีอกดีใจตรงไปที่ข้างรถของตัวเอง ทว่าเดินได้เพียงไม่กี่ก้าว เท้าของเขาก็สะดุด ร้องอุ๊บออกมาคำหนึ่งล้มหน้าคว่ำลงกับพื้น ข้าวของที่ถือมาหล่นกระจายเต็มพื้น เขารีบคลานเก็บ ตะโกนลั่น “ไม่เป็นไรๆ แค่สะดุดนิดหน่อยเท่านั้น ไม่เป็นไร”

    ที่หล่นอยู่ล้วนเป็นของชิ้นเล็กๆ อย่างช้อนกระปุกเกลือ เขาก้มหน้าก้มตาคลานเก็บไปตามพื้น อาศัยร่างกายคอยบดบัง สายตากลับมองลอดใต้รักแร้ไป…เยี่ยหลิวซีชันเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น มือข้างหนึ่งจับผ้าหุ้มเบาะที่นั่ง มืออีกข้างยื่นเข้าไปคลำหาอะไรบางอย่าง

    มิน่าคืนวันนั้นไม่ว่าหายังไงเขาก็หาไม่พบ…

    ผ้าคลุมเบาะมีไว้เพื่อบดบังสายตา ของซ่อนอยู่ในนั้น!

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook