• Connect with us

    Enter Books

    Uncategorized

    ทดลองอ่าน ยอดเชฟเทพนักปรุง เล่ม 2 ตอนที่ 2

    บุฟเฟ่ต์

     

    ตอนกลางวันของวันนั้น สตาฟฟ์ก็เรียกผู้เข้าแข่งขันมารวมตัวกันในครัว กรรมการกำลังยืนรออยู่ หลังจากพูดเปิดรายการจบอลันก็ประกาศหัวข้อของการแข่งครั้งนี้

    “หัวข้อของครั้งนี้ก็คือ ‘บุฟเฟ่ต์’ ครับ”

    น้ำเสียงราบเรียบของอลันทำให้คาย่ายิ้มแล้วมองไปที่มินจุนราวกับคิดว่าตัวเองชนะแล้ว ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะคำว่าบุฟเฟ่ต์ฟังแล้วเหมือนแข่งเป็นทีมมากกว่าแข่งเดี่ยว แต่อลันยังพูดไม่จบ

    “พวกคุณแต่ละคนจะต้องทำอาหารขึ้นมาหนึ่งอย่าง พรุ่งนี้เย็นคนที่อาศัยอยู่ในละแวกนี้จะมาที่นี่เพื่อกินอาหารของพวกคุณ ดังนั้นพวกคุณจะต้องทำอาหารมัดใจพวกเขาเพื่อให้ได้คะแนนโหวตจากพวกเขาและจากพวกเราด้วย แขกที่มาจะไม่ได้ตักอาหารไปกินเอง ทางเราจะเป็นคนกำหนดปริมาณของแต่ละจาน แต่ละครั้งที่มีจานอาหารถูกหยิบออกไป อาหารจานนั้นจะได้หนึ่งคะแนน ส่วนคะแนนโหวตจากกรรมการนั้นหนึ่งโหวตจะคิดเป็นสิบคะแนน เมื่อรวมคะแนนทั้งหมดแล้วสองคนที่ได้คะแนนน้อยที่สุดจะต้องออกไปจากรายการ”

    คาย่าตาค้าง เธอจ้องปากของอลันเขม็งราวกับไม่อยากเชื่อ จนอลันที่หันมาสบตาถึงกับชะงักไปชั่วครู่ สายตาของเธอดูเอาเรื่องเหมือนกำลังมองศัตรู อลันจึงหันไปมองทางอื่นแทน ระหว่างนั้นโจเซฟก็ยิ้มแล้วพูดว่า

    “สิ่งที่พวกคุณจะต้องคำนึงถึงไม่ใช่แค่จำนวนรอบของการตักเท่านั้น ก่อนที่วันนี้จะผ่านไปทุกคนก็คงจะคิดเมนูได้ จะทำอาหารแบบไหนก็ได้ตามใจ ซึ่งพวกคุณน่าจะได้เรียนรู้จากตอนที่ทำฟู้ดทรักแล้วว่าการแข่งขันประเภทนี้ สิ่งสำคัญอยู่ที่ขั้นตอนแรกสุด สามารถตัดสินได้ทันทีว่าจะแพ้หรือจะชนะจากการวางแผน”

    “คิดให้รอบคอบนะคะ ในขณะเดียวกันก็ขอให้นึกถึงแขกที่จะมากินอาหารด้วย ฉันหวังว่ามันจะไม่ใช่อาหารเพื่อการแข่งขัน แต่เป็นอาหารที่ทำขึ้นมาเพื่อพวกเขา”

    จบคำพูดของเอมิลี่ก็ถือว่าจบการประกาศหัวข้อของการแข่งขัน มินจุนใช้ไหล่ของตัวเองดันไหล่ของคาย่าเบาๆ คาย่าจึงหรี่ตาและมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า แม้เขาจะไม่ได้ชอบท่าทางแบบนี้ของเธอสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ถึงกับรู้สึกรังเกียจอะไร

    “ทำไงดีล่ะทีนี้ ดูเหมือนเธอจะต้องทำอาหารกลางวันด้วยซะแล้ว”

    “หนวกหูน่า ตาหมูอ้วน”

    “ทำไมว่าฉันเป็นหมูล่ะ คราวก่อนยังบอกว่าผอมแห้งอยู่เลย”

    “กินทั้งข้าวเช้าทั้งข้าวกลางวันก็ต้องเป็นหมูสิ”

    “ฉันก็เห็นเธอกินครบสามมื้อตลอดเหมือนกันนี่”

    คาย่ายกเท้ากระแทกพื้นอย่างหัวเสีย มินจุนจึงยิ้มก่อนจะพูดว่า

    “ถ้าไม่ชอบ ฉันยกเลิกให้ก็ได้”

    “ใครขอให้ยกเลิกล่ะ ถึงฉันจะโตมาอย่างอดๆ อยากๆ แต่ฉันก็ไม่เคยผิดสัญญากับใครหรอกนะ”

    “แต่ดูจากอาหารเช้าวันนี้แล้ว มันน้อยไปหน่อยนะ”

    “ก็นายอยากตื่นเช้าเกินไปเองนี่”

    คาย่าบ่นอย่างอึดอัด เธอนับนิ้วทีละนิ้วแล้วพูดว่า

    “ยี่สิบเอ็ดครั้ง วันที่แข่งขันยุ่งมากก็เลยไม่ได้ทำ ตอนทำฟู้ดทรักก็ทำไม่ได้อยู่แล้ว ทั้งหมดจึงเป็นยี่สิบเอ็ดครั้ง ฉันทำอาหารเช้าให้นายกินมาตั้งยี่สิบเอ็ดครั้งแล้ว เท่านี้ก็ทำไปมากแล้วไม่ใช่เหรอไง”

    “อือ ทำดีมาก”

    “ฮึ ยอมรับอะไรง่ายเสมอเลยนะ”

    พอเห็นท่าทางที่กำลังกัดริมฝีปากด้วยความโกรธของคาย่า มินจุนก็รู้สึกดี แม้ว่าปกติเธอจะไม่ได้ทำตัวเป็นผู้ใหญ่อยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบกับวัยรุ่นอายุสิบแปดคนอื่นๆ เขารู้สึกว่าเธอเฉยชาเกินไป ขณะที่เขากำลังยิ้มอยู่นั้นสตาฟฟ์ก็ตะโกนเสียงดัง

    “ได้เวลาสัมภาษณ์แล้วครับ!เรียกชื่อใครก็ให้เข้ามาที่ห้องสัมภาษณ์เลยนะครับ!”

    มินจุนถูกเรียกเป็นคนแรก พอเข้ามาในห้องสัมภาษณ์มาร์ตินก็ยิ้มต้อนรับ

    “สบายดีมั้ยครับ”

    “สบายดีครับ มีตู้เก็บวัตถุดิบชั้นดีแบบนี้ สบายดีแน่นอนครับ”

    สำหรับคนทำอาหาร สถานที่ที่มีวัตถุดิบในการทำอาหารมากมายก็ถือเป็นสวรรค์ดีๆ นี่เอง มาร์ตินพยักหน้าอย่างเข้าใจ

    “คุณคิดยังไงกับการแข่งขันครั้งนี้”

    “ผมคิดไว้แล้วว่ายังไงก็คงต้องมีหัวข้อบุฟเฟ่ต์สักครั้ง จึงไม่ค่อยตกใจสักเท่าไหร่”

    “คิดไว้หรือยังว่าจะทำเมนูอะไร อ้อ เวลาคงสั้นเกินไป คุณคงยังคิดไม่ออก”

    “คิดเอาไว้แล้วครับ แต่ยังไม่ชัวร์ การเลือกของผมจะแตกต่างออกไป ขึ้นอยู่กับว่าคนอื่นทำเมนูอะไร”

    คำพูดนั้นทำให้มาร์ตินหัวเราะอย่างมีเลศนัย มินจุนไม่ได้เป็นแค่เชฟที่มีประสาทรับรสอ่อนไหวเท่านั้น มาร์ตินคิดไม่ผิดว่ามินจุนจะต้องคิดเมนูเอาไว้แล้ว ทั้งที่เพิ่งประกาศหัวข้อของการแข่งขันไปเมื่อกี้ แต่มินจุนกลับวิเคราะห์ทุกอย่างเรียบร้อย

    “เก่งจัง ผมไม่คิดว่าคุณจะคิดได้เร็วแบบนี้”

    “มันก็ไม่มีอะไรซับซ้อนนี่ครับ แขกไม่ได้กินแค่อาหารของผมคนเดียว พวกเขากินอาหารของผู้เข้าแข่งขันคนอื่นด้วย แม้จะไม่ได้เป็นทีมเดียวกัน แต่ก็คงจะต้องทำเมนูให้ออกมากลมกลืนกัน”

    โดยทั่วไปเวลาที่คนไปกินบุฟเฟ่ต์ก็มักจะกินเมนูที่เป็นเนื้อสัตว์มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นปลาหรือเนื้อ แต่ถ้าในสิบจานมีเก้าจานเป็นเนื้อที่มันๆ แล้วอีกจานเป็นเมนูผักล่ะจะเป็นยังไง เมื่อเทียบกับเนื้อแล้วอาจจะได้คะแนนโหวตน้อยกว่า แต่ปริมาณอาหารจานผักจะลดลงอย่างรวดเร็วกว่าจานอื่นๆ แน่นอน

    ใช้เวลาไม่นานทุกคนก็เข้าใจความจริงข้อนี้ หลังการสัมภาษณ์จบลงซาช่าก็เรียกทุกคนมารวมกันที่ล็อบบี้ชั้นสี่ เมื่อทุกคนมานั่งกันพร้อมหน้า สาวผิวเข้มผมหยิกก็พูดขึ้นว่า

    “พวกเราน่าจะต้องตกลงกันก่อนนะ”

    “ตกลงอะไร”

    “เกี่ยวกับเมนูน่ะ ถ้าเราคิดเมนูออกมาโดยไม่ตกลงกัน ทุกคนก็อาจจะทำพาสต้าออกมาเหมือนกันหมด หรือไม่ก็มีแต่ของหวานหมดก็ได้ และเผลอๆ อาจเป็นเมนูเดียวกันด้วยซ้ำไป เราไม่ควรให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นจริงมั้ย”

    “ฉันเห็นด้วยนะ”

    มินจุนพูดพร้อมพยักหน้า พอหันไปมองรอบๆ ก็ดูเหมือนไม่มีใครจะคัดค้านความคิดของซาช่า ซาช่าสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพูดต่อ

    “บอกล่วงหน้าเอาไว้ก่อนว่าฉันคิดจะทำชิฟฟอนสตรอเบอรี่เค้ก แล้วคนอื่นล่ะ ลองบอกมาได้มั้ยว่าจะทำอะไร”

    หลายคนดูลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่หลังจากนั้นไม่นานก็เริ่มพูดเมนูที่ตัวเองคิดเอาไว้ออกมา โคลอี้จะทำหม่าผอโต้วฝูหรือเต้าหู้ผัดพริกเสฉวน มาร์โค่ทำทีรามิสุ แอนเดอร์สันทำลาซานญ่ามะเขือยาว ส่วนคนอื่นๆ ไม่สามารถพูดออกมาอย่างมั่นใจเพราะดูเหมือนยังเลือกเมนูไม่ได้ มินจุนจึงพูดความคิดของตัวเองออกไป

    “ฉันกำลังคิดว่าจะทำเมนูไก่ แต่ยังไม่ได้เลือกว่าจะทำเมนูอะไร”

    เขากำลังคิดอยู่ว่าจะทำอะไรดีระหว่างไก่ทอดกับทัคคาลบี*เขาพอจะรู้มาจากตอนทำฟู้ดทรักว่าผู้คนคาดหวังอาหารแนวเอเชียจากเขา เพราะถึงยังไงเขาก็เป็นคนเกาหลี ไม่ได้เป็นคนอเมริกันเชื้อสายเกาหลี แต่เป็นคนที่อาศัยอยู่ในเกาหลีจริงๆ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำอาหารต่างชาติออกมาให้ถูกปาก คำว่าอาหารต่างชาติก็หมายถึงอาหารที่ไม่คุ้นเคย และการที่ไม่คุ้นเคยก็อาจทำให้รู้สึกต่อต้านได้ง่าย เหมือนพาสต้าในเกาหลี คนเกาหลียังถูกปากกับพาสต้าครีมซอสมากกว่าพาสต้าที่ผัดด้วยน้ำมันหรือชีสเลย การเสิร์ฟพาสต้าแบบดั้งเดิม รสชาติที่หมดจดแบบนั้นจะทำให้คนเกาหลีรู้สึกว่าจืดชืด หรือไม่ก็มีชีสเยอะเกินไปจนทำให้รู้สึกเลี่ยน ดังนั้นเขาจึงเลือกไม่ถูกว่าควรจะทำไก่ทอดหรือทัคคาลบี ทั้งสองอย่างน่าจะถูกปากคนกินได้อย่างไม่น่ามีปัญหา แต่ไม่รู้ว่าอย่างไหนจะสามารถสร้างรสชาติที่น่าประทับใจและลึกซึ้งได้มากกว่า

    หรือว่าทัคคาลบีจะดีกว่านะ

    อันดับแรกเลยคือประสบการณ์ในการทำ การทำอาหารประเภททอดนั้นจะยุ่งยากเรื่องการจัดการกับน้ำมันที่เหลือ เขาจึงไม่เคยทำไก่ทอดกินที่บ้าน ในทางกลับกันเขาทำทัคคาลบีกินบ่อยมาก จึงเห็นระดับความชำนาญและประสบการณ์ที่แตกต่างกันได้อย่างชัดเจน

    และเท่าที่มองผู้เข้าแข่งขันคนอื่นก็พบว่าพวกเขาพยายามจะไม่ทำอาหารที่ซ้ำกัน ซึ่งโชคดีที่ในสิบคนนี้ไม่มีใครคิดทำเมนูไก่เลยยกเว้นมินจุน ระหว่างนั้นโคลอี้ก็หันมาถามมินจุนว่า

    “ยังเลือกไม่ได้เหรอ”

    “เลือกได้แล้ว คิดว่าจะทำทัคคาลบี”

    “อ๋อ ฉันชอบนะ น่าจะดี แล้วจะปรุงรสยังไง เป็นซีอิ๊วหรือว่าโคชูจัง”

    “หม่าผอโต้วฝูของเธอต้องใส่ซอสเต้าเจี้ยวเผ็ด ถ้าใช้โคชูจังรสน่าจะออกมาซ้ำกัน ที่ฉันคิดไว้ก็เป็นขิงกับน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล เอาไก่ไปหมักกับซีอิ๊ว ส่วนรสเผ็ดก็โรยพริกป่นต่างหาก แต่ถ้ากินอย่างเดียวรสจะเข้มข้นเกินไป จึงต้องกินคู่กับข้าว”

    “โหย แค่ฟังก็น้ำลายไหลแล้ว”

    โคลอี้พูดพลางใช้นิ้วชี้ทั้งสองข้างกดที่มุมปาก มินจุนจึงพูดว่า

    “เรามาลองทำแล้ววิจารณ์อาหารของแต่ละคนดีมั้ย”

    “ฉันว่าดีนะ”

    “ฉันเอาด้วย”

    คาย่ายื่นหน้าเข้ามา เธอมองมินจุนแล้วทำปากบุ้ย

    “มีคนที่มีประสาทรับรสที่แม่นยำอยู่ใกล้ๆ ก็ต้องใช้ให้เป็นประโยชน์หน่อยสิ”

    คาย่าไม่ปิดบังน้ำเสียงแข็งกระด้าง เธอพูดเสียงดังชัดเจน ดังถึงขนาดที่ทุกคนได้ยินและหันมามองที่มินจุนเป็นตาเดียว มินจุนจึงหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน

    “ฉันกระเพาะเล็กนะ”

     

    แป้งทำให้ซอสสีแดงเหนียวหนึบติดลิ้น เต้าหู้นุ่มๆ แตกบนลิ้น ในขณะที่กลิ่นหอมเข้มข้นของซอสเต้าเจี้ยวกับกลิ่นของซอสหอยนางรมลอยขึ้นมาเตะจมูก พอเคี้ยวไปโดนเนื้อหมูส่วนไหล่หน้าที่หั่นเป็นเส้นยาวๆ และติดมันนิดๆ ก็เหนียวกำลังดี ไม่เละและไม่แข็ง ส่วนของหมูนั้นสำคัญ แต่รสชาติที่ออกมาสำคัญกว่า เพราะทำให้รู้ได้ว่าคนทำมีฝีมือมากแค่ไหน แต่…

    “อร่อยนะ แต่เหมือนว่ากลิ่นขิงมันแรงไปหน่อย รสเผ็ดก็มากไปนิดนึง คนที่ชอบก็คงมี แต่…เธอก็รู้นี่ว่าการแข่งครั้งนี้ต้องได้รับการโหวตจากคนจำนวนมาก”

    “อืม ถ้างั้นคงต้องใส่เหล้าเพื่อลดกลิ่นสาบของหมูแทนขิง เข้าใจแล้ว ขอบใจมากนะ แต่ขอโทษนะฉันขอถามอีกอย่างได้มั้ย”

    “ถามมาสิ”

    “ได้กี่คะแนนเหรอ”

    คำถามของโคลอี้ทำให้มินจุนยิ้ม เธอจึงหน้าแดงอย่างขัดเขิน

    “ฉันก็รู้ว่าการหมกมุ่นเรื่องคะแนนมันไม่ดีเท่าไหร่ และได้ยินอยู่บ่อยๆ ว่าคะแนนไม่ได้บอกถึงคุณค่าของอาหาร แต่จะทำไงได้ล่ะ ก็มันสงสัยนี่”

    “เจ็ดคะแนนน่ะ แม้จะไม่ใช่จานที่ดีที่สุด แต่ก็เป็นจานที่อร่อย”

    “อืม ไม่รู้ว่าควรโล่งใจหรือควรพยายามให้มากกว่านี้กันแน่”

    โคลอี้ส่ายหน้าไปมาอย่างสับสน เธอเคยได้แปดคะแนนหลายครั้ง จึงรู้สึกว่าน่าเสียดาย แต่ความกังวลนี้ก็เป็นปัญหาที่เธอต้องแก้ด้วยตัวเอง

    ผู้เข้าแข่งขันคนอื่นก็คงอยากจะให้มินจุนวิจารณ์อาหารของตัวเอง แม้จะเป็นคู่แข่งแต่เขาก็ไม่อยากใจแคบด้วยเรื่องแค่นี้ ถ้าตัวเขาทำให้ออกมาดีแล้วชนะสิถึงจะมีความหมาย การชนะได้ด้วยความตกต่ำของคนอื่นไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีเลย ยิ่งต่อหน้าแขกที่รออยู่ด้วยแล้วยิ่งไม่อยากให้เป็นแบบนั้น คนอาจจะมองว่าเขาโง่และดื้อ แต่นี่แหละคือคนที่ชื่อโชมินจุน

    หลังจากลองชิมและช่วยวิจารณ์ทีละจานแล้วมินจุนก็นำทัคคาลบีที่ตัวเองทำแจกให้กับทุกคน ทัคคาลบีจานนี้เขาหมักเนื้อไก่ส่วนน่องด้วยซอสถั่ว น้ำส้มสายชูที่หมักจากแอปเปิ้ล น้ำมันมะกอก กระเทียม ขิง พริกป่น น้ำแอปเปิ้ล ซอสมะเขือเทศ และน้ำตาล แล้วนำเข้าไปอบในเตา คะแนนที่ได้คือเจ็ดคะแนน ตรงกับคะแนนโดยประเมิน ไม่ว่าจะลองผสมซอสให้แตกต่างกันยังไงก็ไม่สามารถได้คะแนนโดยประเมินถึงแปดเลย ถ้าในเรื่องนี้จะมีลางบอกเหตุอะไรสักอย่างกับตัวเขา วันนั้นก็คงเป็นวันที่เลเวลการทำอาหารของเขากลายเป็นเลเวลเจ็ด อาจต้องใช้เทคนิคบางอย่างเข้าช่วย แต่ไม่ว่าจะยังไงเขาก็ต้องพัฒนาตัวเองต่อไป

    “เป็นไงบ้าง”

    “อร่อยนี่”

    “เรื่องอร่อยก็คงอร่อยอยู่หรอก แต่ที่ฉันรู้สึกคือมันได้เจ็ดคะแนน เหมือนขาดอะไรไป พวกนายคิดว่ามันขาดอะไรรึเปล่า”

    การตำหนิไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ได้แต่มองหน้ากัน แล้วในตอนนั้นเองคาย่าก็พูดว่า

    “ใช้แค่เนื้อไก่ส่วนน่องทำใช่มั้ย”

    “ใช่”

    “ถ้างั้นก็ไม่เห็นจำเป็นต้องเอาไปหมักในเครื่องปรุงเลย เครื่องปรุงก็ผสมกันแล้วแยกพักเอาไว้ จากนั้นก็เอาไปเคี่ยว ส่วนเนื้อไก่แค่เอาไปอบให้ด้านนอกพอสุกแล้วค่อยเอาลงไปเคี่ยวรวมกับเครื่องปรุง น่าจะได้คุณภาพของเนื้อไก่ที่ดีกว่านี้นะ เพราะมันเป็นเนื้อไก่ส่วนน่อง คงไม่นุ่มไปกว่านี้แล้ว”

    “มันก็จริงนะ…”

    มินจุนพูดแล้วเงียบไป จากนั้นก็ลองแก้ไขสูตรอาหารในหัว แล้วในตอนนั้นเองเขาก็ทำหน้าเหวอ มันเป็นไปได้เหรอ แค่เพียงคำพูดไม่กี่คำเท่านั้น คำพูดสั้นๆ แค่ไม่กี่คำ

     

    [คะแนนโดยประเมินคือแปดคะแนน]

     

    ผลที่ตามมาไม่ได้เล็กน้อยเลย พอไม่นำเนื้อไก่ส่วนน่องลงไปหมักกับเครื่องปรุงตามที่คาย่าบอก แม้รสสัมผัสตอนเคี้ยวจะนุ่มน้อยลง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันแย่ มันกลับมีความเหนียวตอนเคี้ยว รู้สึกได้ถึงริ้วของเนื้อไก่ที่ฉีกออกจากกันชัดเจนมากขึ้น นอกจากนั้นยังมีรสชาติของเนื้อไก่จางๆ จากเดิมที่ถูกเครื่องปรุงกลบเอาไว้อีกด้วย

     

    [ทัคคาลบีปรุงรส]

    ความสดใหม่ : 93%

    แหล่งที่มา : (เนื่องจากใช้วัตถุดิบหลายชนิดจึงไม่เปิดเผยแหล่งที่มา)

    คุณภาพ : สูง

    คะแนน : 8/10

     

    มินจุนหัวเราะพร้อมมองหน้าต่างของระบบ เขาไม่คิดเลยว่าจะทำอาหารที่ได้แปดคะแนนออกมาได้ด้วยวิธีการแบบนี้ แต่จะว่าไปการทำอาหารนั้นแค่ทำสูตรออกมาดีก็ไปได้เกินครึ่งทางแล้ว

    “อร่อยกว่าเดิมเยอะเลย”

    คาย่าพยักหน้าหลังจากที่ได้กินทัคคาลบีที่ทำขึ้นมาใหม่ คนอื่นก็ไม่ต่างกัน โจแอนถึงกับร้องอุทานแล้วพูดว่า

    “นี่มันสไตล์ที่ฉันชอบเลย รสของไก่กับซอสเข้ากันดีมาก”

    “ขอบใจนะ”

    “อ๊ะ นี่ไม่ใช่เวลาจะมาตกใจสิ อะไรของนายเนี่ยมินจุน เดี๋ยวนี้ทำไมเก่งแบบนี้”

    มินจุนยิ้มอย่างเคอะเขินแทนคำตอบ ที่จริงช่วงนี้เขาก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกันว่าความสามารถของตัวเองกำลังเพิ่มขึ้น จึงทำให้ความอึดอัดใจน้อยลงกว่าเมื่อก่อน แต่ก็มีความวุ่นวายใจเพิ่มขึ้นเช่นกัน อย่างการมองเห็นเลเวลการทำอาหารระดับเจ็ดเลือนรางอยู่ตรงหน้า จากที่ไม่เคยสนใจเพราะคิดว่าไกลเกินเอื้อม แต่พอมันมาอยู่ตรงหน้าก็ทำให้เกิดความโลภขึ้นมา

    “พรุ่งนี้ต้องวุ่นวายแน่ๆ”

    “ไม่รู้สิ ถ้าอาหารของตัวเองไม่เป็นที่นิยม ต่อให้อยากวุ่นแค่ไหนก็คงทำไม่ได้อยู่ดี คนที่วุ่นก็คงจะเป็นคนที่ชนะ”

    ทุกคนพยักหน้าให้กับคำพูดของแอนเดอร์สัน และทุกคนก็อธิษฐานอยู่ในใจ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็ขอให้ตัวเองเป็นคนที่วุ่นในวันพรุ่งนี้ด้วยเถิด

     

    คาปรีเซ่สลัด อารันชินี่*บรูสเก็ตต้า**ซุปบร็อกโคลี ลาซานญ่ามะเขือยาว หม่าผอโต้วฝู ทัคคาลบี ฟริตทาทา***ชิฟฟอนสตรอเบอรี่เค้ก ทีรามิสุ****

    เมนูอาหารสิบอย่างที่ผู้เข้าแข่งขันเลือกทำ คนที่น่าอิจฉามากที่สุดก็คือฮิวโก้ คาปรีเซ่สลัดคือการนำมะเขือเทศไปทำให้สุกพอประมาณแล้วหั่นมอสซาเรลล่าชีสเป็นชิ้นหนาๆ มาวางสลับกัน จากนั้นนำใบเบซิลมาโรยด้านบนก็เป็นอันเสร็จ ถ้าไม่นับเรื่องการทำให้มะเขือเทศสุกอย่างพอเหมาะซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใช้เทคนิคก็ถือว่าเป็นเมนูที่ไม่มีอะไรยากเลย สุดท้ายก็มีฮิวโก้เพียงคนเดียวที่รับผิดชอบการทำสลัด พูดกันตามตรงแล้วสลัดนั้นเป็นไปได้ยากที่จะได้คะแนนโหวตมาก ถ้ามีสองคนเลือกทำสลัด สองคนนั้นก็คงต้องมาสู้กันว่าใครได้โหวตมากใครได้โหวตน้อย

    คาย่าทำฟริตทาทาใส่ผักร็อกเก็ต เป็นออมเลตสไตล์อิตาเลียน ฟริตทาทาเป็นเมนูที่ทำให้อร่อยได้ยาก ใส่เนื้อใส่ผักลงไปในไข่แล้วนำเข้าเตาอบ พูดแค่นี้อาจจะคิดว่าทำง่ายมาก แต่ยิ่งทำง่ายการทำให้มันออกมามีรสชาติอร่อยจึงยิ่งเป็นเรื่องยาก ดังนั้นจึงถือว่าเป็นเมนูที่เลือกได้อย่างมีความหมาย

    ฟริตทาทาของคาย่าได้แปดคะแนน ใส่พาร์มาแฮม มอสซาเรลล่าชีส มันฝรั่งบด ผักร็อกเก็ตลวก ใบเบซิล ทาร์รากอน เอาเข้าเตาอบ จากนั้นก็ราดซอสมะเขือเทศที่ผัดโดยการใส่หอมแดง กระเทียม พริกแห้ง เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย มันอร่อยที่สุดในบรรดาฟริตทาทาที่มินจุนเคยกินมา

    เวลาบ่ายสามโมงของวันรุ่งขึ้น หลังจากที่ประกาศหัวข้อการแข่งขัน ทุกคนต่างเตรียมตัวต้อนรับแขกที่จะมาในวันนี้ ส่วนกรรมการก็พากันเดินดูผู้เข้าแข่งขันเพื่อเช็กการทำอาหาร อลันเดินเข้ามาหามินจุนแล้วพูดว่า

    “มินจุน การเตรียมตัวเป็นยังไงบ้าง”

    “การหมักเครื่องปรุงเรียบร้อยดีครับ ไม่มีปัญหาอะไร”

    “ได้ยินคุณพูดตอนสัมภาษณ์ว่าทัคคาลบีของคุณได้แปดคะแนน ช่วงนี้เห็นบ่อยนะครับ ทั้งริซ็อตโต้ เยลลี่ แล้วก็ทัคคาลบี”

    “คนเราก็ต้องพัฒนานี่ครับ เพราะรอบตัวมีแต่เชฟดีๆ มากมาย จริงๆ แล้วสูตรนี้ก็ได้คำแนะนำของคาย่ามาช่วยได้เยอะเลยครับ”

    คำพูดของมินจุนทำให้อลันยิ้ม ซึ่งเขาก็ไม่ได้ทึ่มถึงขนาดเดาความหมายของรอยยิ้มนั้นไม่ออก เขาจึงถอนหายใจออกมา

    “แม้แต่เชฟก็คิดจะให้พวกเราเป็นอะไรกันจริงๆ เหรอครับ”

    “จริงๆ แล้วเรื่องแบบนี้มันเป็นสิทธิ์ของแต่ละคนที่จะคิดนะ ถ้าไม่ชอบก็ไม่น่าจะสร้างเรื่องแต่แรกนี่”

    “ผมขอทำอาหารดีกว่าครับ”

    “ก็ดีครับ ดูเป็นมืออาชีพ”

    อลันยิ้มแล้วเดินไปหาคาย่า คาย่านำหม้อใบหนึ่งเข้าเตาอบไปแล้ว และกำลังใช้กระชอนกรองไข่ ปกติแล้วมันเป็นขั้นตอนที่คนทำมักรำคาญจึงไม่ค่อยทำกัน แต่ถ้ามีขั้นตอนนี้ก็จะทำให้รสสัมผัสตอนเคี้ยวนุ่มขึ้นมากเลยทีเดียว อลันพยักหน้าแล้วถามว่า

    “อัตราส่วนของไข่กับนมคือเท่าไหร่ครับ”

    “ใส่ไข่ไก่ประมาณสองเท่าของนมค่ะ แน่นอนว่าถ้าไข่เหลวไปก็จะใส่นมให้น้อยลง”

    “ละเอียดดีนะครับ คาย่า ผมจำได้ว่าคุณไม่เคยเรียนทำอาหารมาก่อน ได้แต่เห็นและเรียนรู้มาจากในตลาดเท่านั้น แล้วคุณรู้เรื่องที่มันละเอียดแบบนี้ได้ยังไง”

    “ความรู้สึกค่ะ”

    คำตอบของคาย่าค่อนข้างห้วน จนอลันถึงกับขมวดคิ้วก่อนจะพูดอีกครั้ง

    “ใช้แค่ความรู้สึกก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำได้ไปหมดทุกอย่าง ไม่มีใครช่วยสอนเลยหรือ”

    “พวกพ่อค้าแม่ค้าในตลาดค่ะ หลายคนก็มีฝีมือพอใช้ได้ แต่ก็นั่นแหละ ก็รู้แค่อย่างสองอย่างที่ตัวเองทำเท่านั้น ไม่มีคนที่ทำอาหารเก่งมากจริงๆ ฉันก็เลยต้องพึ่งความรู้สึกของตัวเอง มันก็ไม่ได้ยากอะไรนี่คะ เวลาผสมแป้งก็ดูว่าจะใส่น้ำหรือนมลงไป ดูความแตกต่างของแป้งเวลาที่ใส่น้ำร้อนกับเวลาที่ใส่น้ำเย็น ส่วนเวลาใช้ไฟ ถ้าด้านนอกเริ่มไหม้ก็รู้ได้ว่าข้างในสุกแล้ว มันจำเป็นต้องเรียนอะไรแบบนี้ด้วยเหรอคะ ฉันว่ามันไม่น่าจำเป็นนะ”

    “ถ้าไม่จำเป็นก็คงไม่ต้องมีโรงเรียนสอนทำอาหารหรอกครับ”

    คาย่าหัวเราะเยาะแทนคำตอบ ด้วยสภาพแวดล้อมของเธอคงช่วยไม่ได้ที่เธอจะดูถูกความสำคัญของการเรียน เธอมีเวลาใช้ชีวิตแบบนักเรียนแค่ประมาณแปดปีเท่านั้น และแปดปีนั้นก็ไม่ได้เรียนอย่างจริงจัง ไม่แน่ว่าความรู้สึกที่คาย่ามีต่อนักเรียนคนอื่นอาจไม่ใช่การดูถูก แต่เป็นการซ่อนความอิจฉาเอาไว้แล้วแกล้งทำเป็นดูถูกก็ได้ อย่างน้อยในสายตาของอลันก็เห็นแบบนั้น ที่จริงผู้ชมรายการที่ได้ดูผ่านจอทีวีก็เคยวิจารณ์ในทำนองนี้เหมือนกัน ท่าทางที่ปิดกั้นและระวังตัวของคาย่าดูเหมือนกับเป็นกลไกป้องกันตัวเอง แกล้งทำเป็นแกร่ง แกล้งมองโลกอย่างสุขุม ทั้งที่ปรารถนาที่จะมีชีวิตธรรมดาเหมือนเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน เธอไม่สามารถยอมรับสถานการณ์ของตัวเองได้ ความน่าสงสารแบบนั้นจึงทำให้คาย่าไม่ได้มีแค่คนเกลียด แต่มันยังเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอมีแฟนคลับที่รักเธอด้วย อลันถอนหายใจอยู่ข้างใน เขาเข้าใจการกระทำแบบนั้นของคาย่าเพราะครั้งหนึ่งเขาก็…

    ไม่ใช่เวลาจะมาคิดเรื่องพวกนี้

    “ขอให้ทำออกมาได้ดีนะครับ”

    อลันจบบทสนทนาด้วยคำพูดแบบเป็นพิธีแล้วมองไปที่นาฬิกา สี่โมงห้าสิบนาที ใกล้เวลาที่แขกจะเริ่มมากันแล้ว กรรมการมองหน้ากันแล้วพากันเดินไปที่แท่นที่อยู่ตรงหน้าครัว แล้วโจเซฟก็พูดเสียงดังว่า

    “อีกสิบนาทีแขกจะเข้ามากันแล้วนะครับ พวกคุณทุกคนจะต้องรับผิดชอบปากท้องของแขกทุกคนเป็นเวลาประมาณสามชั่วโมง พร้อมมั้ยครับ”

    ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้ตอบก็เริ่มได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุยดังมาจากห้องโถง ไม่มีทางที่พวกสตาฟฟ์จะส่งเสียงดังแบบนั้นแน่นอน แขกมาถึงกันแล้ว มินจุนกลืนน้ำลายและในขณะเดียวกันโจเซฟก็ตะโกนว่า

    “เอาล่ะครับ ไปต้อนรับแขกกันเลย!”

    ผู้เข้าแข่งขันทั้งสิบคนนำถาดออกไปที่ห้องโถง ถึงเวลาแห่งการแพ้ชนะแล้ว

     

    มิลล่า ควีนเคยคิดว่าตัวเองเป็นสุดยอดนักชิมอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง เธอไม่เลือกกินและสามารถรับรู้รสชาติของอาหารได้หลายมิติ เหตุผลที่ใช้คำว่าเคยซึ่งเป็นรูปอดีต ไม่ใช่ปัจจุบันนั้น ก็เพราะว่าตอนนี้เธอไม่สามารถรับรู้รสชาติได้เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว เธอไม่ได้ป่วยเป็นโรคอะไร เพียงแค่พออายุเริ่มเข้าสู้ช่วงสี่สิบกลางๆ ประสาทรับรสของเธอก็ลดประสิทธิภาพลง เมื่อเทียบกับตอนยังสาว ถ้ากินอาหารแบบเดียวกัน รสชาติที่รู้สึกได้ก็จะแตกต่างกันอย่างชัดเจน การสูญเสียประสาทการรับรสนั้นทำให้การกินอาหารเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากสำหรับเธอ

    แต่ถึงอย่างนั้นเหตุผลที่เธอนั่งรถมาถึงที่นี่เป็นเวลาสามสิบนาทีก็ไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะเธอเป็นแฟนคลับของคาย่าและมินจุนนั่นเอง เธอเป็นหนึ่งในผู้ชมที่ชื่นชอบเรื่องความรักที่คลุมเครือของทั้งสองคน ที่จริงการมาที่นี่ก็เพราะอยากเห็นหน้ามากกว่าอยากลองชิมอาหารของพวกเขา อารมณ์เหมือนแฟนคลับที่มางานแฟนมีตติ้ง

    ตอนที่ประตูห้องครัวถูกเปิดออกและผู้เข้าแข่งขันเดินเรียงกันออกมาที่ห้องโถงช่างน่าตื่นตาตื่นใจมาก มินจุนมีสีหน้าท่าทางที่ดูสุภาพอ่อนโยนมากกว่าที่เห็นในทีวีเสียอีก หน้าตาเหมือนครูในโรงเรียน เธอจึงแปลกใจมากที่เขาพูดคำหยาบออกมาได้อย่างหน้าตาเฉยในบางครั้ง ดูรอยยิ้มที่อ่อนโยนตอนนี้สิ ถึงขนาดทำให้คนมองรู้สึกสบายใจได้ เธออยู่มานานมากพอจนสามารถอ่านนิสัยคนออก เขาเป็นคนดี สัญชาตญาณของเธอบอกแบบนั้น

    ส่วนคาย่าต่างจากมินจุน วันนี้เธอไม่ได้แต่งตาแบบสโมกกี้อายด้วยซ้ำ แต่ดวงตาของเธอก็ยังคงดูเอาเรื่อง ริมฝีปากแย้มยิ้มอย่างมั่นใจ แต่กลับดูเหมือนกำลังตื่นเต้นอยู่ จึงอดคิดไม่ได้ว่าเธอดูเหมือนคนหักโหมหรือทำอะไรเกินกำลังอยู่

    สองคนนี้น่าจะคอยช่วยเหลือดูแลกันได้ดีนะ

    พอเริ่มมีอายุก็เริ่มสนใจในเรื่องความรักของคนอื่น แม้จะรู้ว่าไม่เหมาะ แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่เรื่องแบบนี้มักเข้ามาในหัว มิลล่ายิ้มกว้างและมองดูพวกเขา หลังจากที่ใช้เวลาอธิบายเมนูอาหารอยู่ครู่หนึ่งพวกเขาก็กลับเข้าครัวไป เธอจึงสะกดกลั้นความเสียดายเอาไว้แล้วตักอาหารที่สองคนนั้นทำมากิน พูดให้ชัดเจนก็คือเธอต้องหยิบจานเล็กๆ ที่สตาฟฟ์ตักแบ่งเอาไว้ในปริมาณที่จำกัด

    จานแรกที่หยิบมาคือทัคคาลบีของมินจุน เขาบอกว่าดัดแปลงมาจากอาหารเกาหลี แต่ดูแล้วเหมือนอาหารญี่ปุ่น หรือเป็นเพราะทำด้วยซีอิ๊วกันนะ หลังจากที่ตักเข้าปากนั้นเอง

    หืม

    ความรู้สึกที่ปรากฏขึ้นบนสีหน้าของมิลล่าไม่ใช่ความพึงพอใจหรือความสุขใจ แต่เป็นความตกใจเธอ ไม่ได้ตกใจเพราะความอร่อย และไม่ใช่ว่าไม่อร่อยด้วย แต่เป็นเพราะความชัดเจนของรสชาติต่างหาก เธอกินเนื้อไก่อีกครั้งด้วยหน้าตาตื่นตระหนก พอลองดมก็มีกลิ่นขิงอ่อนๆ กับกลิ่นของซีอิ๊วหวานๆ ลอยมาเตะจมูก รสเค็มและรสหวานที่ไม่มากจนเกินไป รสชาติของซอสที่สัมผัสลิ้นเป็นแค่เพียงการเริ่มต้นเท่านั้น เนื้อไก่ส่วนน่องเป็นส่วนที่ยิ่งนุ่มมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกถึงเท็กซ์เจอร์ของเนื้อได้ยาก แต่ไก่ของมินจุนไม่ได้เป็นแบบนั้น เวลาเคี้ยวก็รู้สึกว่าเนื้อยืดหยุ่นเหมือนมอสซาเรลล่าชีสสด ปกติแล้วถ้ากินคู่กับซอสที่เข้มข้นอย่างพวกซีอิ๊วจะทำให้รสชาติของไก่หายไป แต่นี่กลับรู้สึกถึงรสชาติของไก่ได้อย่างชัดเจน

    นานเท่าไหร่แล้วนะ รสชาติแบบนี้

    อยู่ๆ ก็รู้สึกขนลุกขึ้นมา มิลล่าถึงกับตัวสั่น เธอเคยคิดว่ามินจุนเป็นเชฟที่มีความสามารถทางการชิมมากกว่าความสามารถในการปรุง ไม่นึกเลยว่าจะทำรสชาติที่เข้มข้นแบบนี้ออกมาได้ รสเผ็ดของขิงกระตุ้นลิ้นให้อ่อนไหว รสชาติเล็กๆ น้อยๆ ที่ปกติจะไม่รู้สึกเกิดเป็นความสมดุล หรืออาหารจานนี้มินจุนทำออกมาโดยนึกถึงคนแก่ที่อายุเยอะ?ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไรก็ตามแต่ สิ่งที่มิลล่ารู้สึกในตอนนี้ก็คือความพอใจที่ไม่มีมานานมากแล้ว เธอยิ้มกว้างก่อนจะหันไปมองที่ฟริตทาทาของคาย่า ใจของเธอเต้นตึกตักราวกับหญิงสาวแรกรุ่น

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in Uncategorized

    นิยายยอดนิยม

    Facebook