• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ยอดเชฟเทพนักปรุง 5 ตอนที่ 1

    3 of 3หน้าถัดไป

    “ความเหนื่อยล้าเหรอครับ”

    จัสตินและตากล้องถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ ตอนแรกมินจุนยังดูปกติดี แล้วอยู่ๆ ก็หมดสติไป พวกเขาจึงคิดว่าเขาป่วยเป็นอะไรร้ายแรงหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นเพราะความเหนื่อยล้า แค่พักผ่อนให้เพียงพอก็คงจะดีขึ้น จัสตินเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างหมดแรง

    “โชคดีไปนะครับ”

    “จะเรียกว่าโชคดีก็ไม่ถูกนักนะครับ น่าจะต้องใช้เวลาพักผ่อนอย่างจริงจังสักระยะหนึ่ง ไม่รู้ว่าทำงานหนักขนาดไหนร่างกายถึงได้ทรุดโทรมขนาดนี้”

    หลังจากที่หมอบ่นอยู่พักใหญ่กว่าจะเดินจากไป จัสตินก็หันไปตัดพ้อกับตากล้อง

    “คนที่หักโหมคือเชฟมินจุน แต่ทำไมผมถึงเป็นคนถูกบ่นล่ะเนี่ย”

    “ชีวิตก็เป็นแบบนี้แหละครับ บางครั้งก็มีเรื่องที่เราไม่เข้าใจและรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม”

    “แต่ก็โชคดีมากนะครับที่เชฟมินจุนไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงอะไร”

    “ดูท่าทางคุณคงจะชอบมินจุนมาก พอหมอบอกว่าไม่เป็นอะไร คุณดูโล่งใจมากเลย”

    “แน่นอนสิครับ เชฟมินจุนดูแลผมดีที่สุดในบรรดาเดมี่เชฟ”

    น้ำเสียงของจัสตินไม่มีความเสแสร้งเลย เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นห่วงและเคารพมินจุนอย่างจริงใจ แล้วตากล้องก็ค่อยๆ หันเลนส์กล้องไปทางมินจุน ภาพที่มินจุนกำลังนอนหลับโดยมีสายน้ำเกลืออยู่ที่แขนทำให้นึกถึงเจ้าหญิงนิทรา

    “หมอบอกว่าจะตื่นเมื่อไหร่เหรอครับ”

    “เห็นบอกว่าให้นอนพักอย่างเต็มที่ครับ ถ้าตื่นขึ้นมาก็ต้องให้นอนต่ออีก”

    น้ำเสียงของจัสตินยังคงเต็มไปด้วยความเป็นห่วง หมอบอกว่ารูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย เหมือนชาวนาที่เวลาทำงานในฤดูร้อนดูแข็งแรงดี แต่พอถึงช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่ได้หยุดพักส่วนใหญ่จะเริ่มป่วย เวลาที่ความตื่นเต้นคลายลง ความเหนื่อยล้าที่สะสมมานานก็จะถาโถมเข้ามา ตากล้องจึงพูดด้วยน้ำเสียงสับสนว่า

    “ถ้าหยุดพักแล้วความเหนื่อยล้ามันระเบิดออกมา สู้หักโหมต่อไปไม่ดีกว่าเหรอครับ”

    “ถ้าเป็นแบบนั้นความเหนื่อยล้าก็จะยิ่งสะสมมากขึ้น แล้วถ้ามันระเบิดออกมาก็คงจะหนักกว่าตอนนี้มาก แบบนี้ยังถือว่าโชคดีครับ ว่ากันว่าถ้าป่วยหนักสักครั้งแล้วจะไม่เจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ไปอีกพักใหญ่ครับ”

    “แต่ผมเคยได้ยินว่าถ้าป่วยเพราะความเหนื่อยล้า ข้างในก็จะป่วยอยู่ตลอดเวลานะครับ”

     

    หลังจากนั้นเรื่องที่มินจุนหมดสติก็แพร่สะพัดไปทั่วอินเตอร์เน็ต ตอนแรกรายการจะหยุดการถ่ายทำอยู่แล้ว แต่กระแสที่ร้อนแรงทำให้โปรดิวเซอร์มีคำสั่งให้ถ่ายทำต่อ ซึ่งถ้าจะถ่ายทำต่อความจริงต้องรอให้มินจุนฟื้นแล้วขออนุญาต แต่ก็ไม่น่ามีเหตุผลอะไรที่มินจุนจะปฏิเสธ ต่อให้ปฏิเสธก็ค่อยไปลบส่วนที่ถ่ายเพิ่มเอาก็ได้

    แต่ยิ่งเวลาผ่านไปตากล้องก็อยากจะล้มเลิกความคิดเพราะมันเป็นซีนที่ดีเกินกว่าจะต้องมาถูกลบทิ้งทีหลัง เมื่อคนที่มารวมตัวกันไม่ธรรมดาเลย นอกจากคาย่า โคลอี้ มาร์โค่ แอนเดอร์สัน เรเชล…หรือแม้แต่เอมิลี่กับเซร่าที่เคยถ่ายรายการด้วยกันมา มันยังมีทั้งพิธีกรชื่อดัง สตาร์เชฟในแอลเอ ดารานักร้อง หรือแม้แต่ซีอีโอของบริษัทยักษ์ใหญ่ก็แวะเวียนมาเยี่ยมจนห้องผู้ป่วยแน่นขนัด บางคนได้แต่ชะเง้อคอมองอยู่หน้าประตูเพราะเข้าไปไม่ได้

    “หมดสติเพราะความเหนื่อยล้า สาเหตุธรรมดามากๆ แต่กลับมีคนมารอเยี่ยมมากมายขนาดนี้”

    อีกอย่างคนส่วนใหญ่ที่มาเยี่ยมก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่พิเศษอะไรกับมินจุน แล้วคนที่ให้ความกระจ่างแก่ตากล้องก็คือเดโบร่าห์

    “อาชีพเชฟเป็นอาชีพที่มีคนมาเยี่ยมเยอะที่สุดเวลาเข้าโรงพยาบาลค่ะ”

    “ทำไมล่ะครับ”

    “เพราะเราอาจจะลืมคนที่เคยพูดดีๆ กับเรา แต่ไม่อาจลืมคนที่ทำอาหารดีๆ ให้เราได้ค่ะ อาหารอร่อยที่ได้กินไม่ว่าจะในช่วงที่สุขหรือทุกข์คือพรที่หอมหวานประเสริฐกว่าพรใดๆ ในโลก สำหรับคนที่มอบพรแบบนั้นกับเรา ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้รู้จักมักจี่อะไร แต่มันก็ทำให้เรารู้สึกดีๆ กับเขาได้ค่ะ ตอนที่ฉันเข้าโรงพยาบาลเมื่อปีก่อนก็ยังมีลูกค้าที่ฉันจำหน้าไม่ได้มาเยี่ยมฉันเลย”

    เดโบร่าห์หยุดพูดแล้วหันไปมองคนมาเยี่ยมที่เอาตะกร้าผลไม้มาวางที่ข้างหัวเตียง

    “พวกเขาแค่เอาดอกไม้หรือผลไม้มาให้แล้วก็กลับไป เหมือนกับคนเมื่อสักครู่นี้”

    “เชฟช่างเป็นอาชีพที่ได้รับความรักมากเลยนะครับ”

    “ค่ะ แต่มีเงื่อนไขว่าต้องเป็นเชฟที่เก่งด้วยนะคะ”

    มันเป็นคำพูดที่อยากเน้นว่าตัวเองก็เคยได้รับดอกไม้จากคนไม่รู้จัก ตากล้องไม่แน่ใจว่าเธอต้องการชมตัวเองหรือชมมินจุนกันแน่

    “อยากรู้จังนะครับว่าตอนที่มินจุนฟื้นมาเห็นเขาจะคิดยังไง”

    “ฉันกลับคิดว่าการที่เขานอนหลับสนิทแบบนี้เป็นผลดีกับตัวเขามากกว่า”

    ตากล้องกำลังจะถามกลับว่าหมายความว่าอะไร แต่แล้วก็พอจะรู้ได้ด้วยตัวเองเพราะทั้งคาย่า เรเชล และเพื่อนๆ ของมินจุนต่างยืนมองมินจุนโดยไม่พูดอะไรกันเลย ความเงียบนั้นทำให้รู้สึกขนลุก ตากล้องจึงคิดว่าการที่มินจุนนอนหลับอยู่แบบนี้อาจจะดีกว่าจริงๆ ก็ได้

    แล้วตอนนั้นเองทุกคนก็เริ่มแตกตื่นเพราะมินจุนเริ่มขยับตัวพร้อมทำหน้ามุ่ย

    “คาย่า…เปิดไฟทิ้งไว้ทำ…”

    เสียงแหบพร่าของเขาดังขึ้น แต่เขาก็พูดไม่จบประโยคเมื่อลืมตามาเห็นผู้คนที่รายล้อมตัวเขาอยู่

    “…กู๊ดมอร์นิ่งครับ”

    “เวลานี้คือตอนกลางคืน”

    น้ำเสียงที่เย็นยะเยือกทำให้มินจุนรู้สึกเสียวสันหลังวาบ เขาค่อยๆ พยุงตัวเองขึ้นมา โคลอี้ทำท่าจะเข้าไปช่วยตามสัญชาตญาณ แต่คาย่ากลับเร็วกว่า เธอกดไหล่ของเขาไม่ให้ลุกขึ้น

    “เป็นคนป่วยก็ต้องนอนพักสิ”

    “นี่ฉันเป็นคนป่วยเหรอ”

    “ใช่ เป็นคนป่วย เพราะฉะนั้นก็นอนอยู่แบบนั้นแหละ หมอบอกว่านายต้องพักผ่อน”

    “แต่ถ้านอนในบรรยากาศแบบนี้ฉันจะรู้สึกเขินจนไม่กล้าหลับนะ”

    คำพูดของมินจุนทำให้คาย่าเหลือบมองไปรอบๆ มีทั้งสมาชิกในครัว เพื่อนๆ และลูกค้าประจำอยู่เต็มไปหมด คาย่าจึงพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดว่า

    “คนไหนที่ไม่ได้เป็นคนสนิทถึงขั้นเคยกินเหล้าด้วยกันมาก่อนช่วยออกไปด้วยค่ะ ขอบคุณมากที่เป็นห่วง แต่ตอนนี้เขาต้องพักผ่อน”

    คำพูดของคาย่าทำให้โคลอี้รู้สึกแปลกๆ เธอทำท่าลังเลแล้วกระซิบที่ข้างหูคาย่า

    “มินจุนไม่กินเหล้านี่”

    “เรื่องแค่นั้นยังไม่รู้ ถึงให้ออกไปก่อนไงล่ะ”

    คาย่ากระซิบกลับไปเบาๆ ส่วนมินจุนยังคงทำหน้าสับสนราวกับยังเรียบเรียงสถานการณ์ไม่ได้ พอเห็นเขาทำหน้าแบบนั้น คาย่าก็ถอนหายใจแล้วหันไปมองแอนเดอร์สัน

    “แอนเดอร์สัน นายอธิบายสถานการณ์ให้เขาฟังหน่อย ตอนนี้ในหัวของฉันสับสนจนพูดอะไรไม่ออกแล้ว”

    “ก็ยังเห็นพูดฉอดๆ อยู่เลยนี่”

    “หนวกหูน่า”

    คาย่าตอบไปอย่างไม่สบอารมณ์แล้วจับมือของมินจุนเอาไว้แน่น

    “นายหมดสติไปในครัวน่ะ”

    “แล้วลูกค้าเป็นยังไงบ้าง อาหารเสิร์ฟได้ไม่มีปัญหาใช่มั้ย”

    “ในสถานการณ์แบบนี้ยังมัวเป็นห่วงเรื่องนั้นอยู่อีกเหรอ”

    “จะมีอะไรสำคัญกว่าเรื่องนั้นอีกล่ะ”

    “สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็อยู่นี่ไง”

    แอนเดอร์สันชี้ไปที่คนมากมายที่อยู่รายรอบ ดวงตาหลากสี ทรงผมหลากหลาย ใบหน้าที่แตกต่างกัน เสื้อผ้าและรองเท้าคนละสไตล์ แต่สิ่งที่ทุกคนมีเหมือนกันก็คือความเป็นห่วงที่ปรากฏอยู่บนสีหน้า แอนเดอร์สันเองก็ไม่ต่างกัน ทั้งสายตา น้ำเสียง และหมัดที่กำเอาไว้แน่นทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าเขารู้สึกแบบนั้น

    “ทำให้คนเขาต้องเป็นห่วงกันแบบนี้ ถ้าตอนนี้นายยังจะมาพูดเรื่องร้านอาหารนายก็งี่เง่ามาก”

    มินจุนรับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในน้ำเสียงนั้น เขาเหลือบไปมองคาย่า แล้วค่อยๆ พยุงตัวขึ้นมา แม้เธอจะส่งสายตาดุมาให้ แต่ก็ไม่ห้าม

    “ขอโทษนะ ขอโทษที่ทำให้ต้องเป็นห่วงนะครับ ทุกคนเลย”

    “แล้วเป็นยังไงบ้าง”

    “ตอนนี้ไม่ได้รู้สึกไม่สบายตรงไหนแล้วครับ อาจเป็นเพราะนอนหลับไปนาน ก็เลยเมื่อยเอวนิดหน่อย แต่…”

    “ยังไงก็เพิ่งฟื้น เอาไว้ค่อยบ่นทีหลังแล้วกัน”

    “ขอฟังตอนนี้เลยได้มั้ยครับ ฟังทีหลังมันไม่ค่อยสบายใจ”

    เรเชลลูบหัวของมินจุนเบาๆ

    “พักผ่อนเถอะ ฉันเอาแต่มองว่าเธอกำลังหัดเดินอย่างสวยงาม แต่ไม่ทันสังเกตว่าเธอกำลังเดินเซ จนปล่อยให้เธอล้ม ต้องขอโทษด้วยนะ”

    “โธ่ อย่าพูดว่าขอโทษเลยครับอาจารย์ ผมขอร้อง ถ้าอาจารย์พูดแบบนั้นผมก็ยิ่งรู้สึกผิดนะครับ”

    “ที่พูดก็เพราะอยากให้รู้สึกแบบนั้นด้วยนั่นแหละ รีบรักษาตัวให้หายเร็วๆ นะ สิ่งที่ฉันสามารถทำได้ก็มีแต่…”

    เรเชลหยิบกระดาษออกมาแล้วยื่นให้ ท่ามกลางตัวอักษรมากมายมินจุนมองเห็นคำหนึ่งเป็นอันดับแรก… ‘พักร้อน’

    “ไม่มีการโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น พักร้อนซะ จะคิดว่าเป็นการลงโทษหรือการพักผ่อนก็แล้วแต่เธอ”

    “ผมจะคิดว่ามันเป็นทั้งสองอย่างเลย ว่าแต่ต้องพักนานขนาดไหนเหรอครับ”

    “สิบห้าวัน แต่ถ้าหลังจากสิบห้าวันแล้วร่างกายยังอ่อนแออยู่ฉันก็ไม่ให้เข้าครัวหรอกนะ”

    คำขู่ของเรเชลทำให้มินจุนยิ้มแห้งๆ หลังจากนั้นเขาก็ทักทายคนอื่นๆ ต่อ ถ้าคาย่าไม่ช่วยตัดบทเขาก็คงจะไม่ได้พักผ่อน

    “พอเถอะค่ะ ขืนพูดจาถามไถ่ทีละคน คนป่วยอาจจะเป็นลมไปอีกก็ได้ เอาเป็นรวมๆ ทีเดียวดีกว่านะคะ”

    “ถ้าจะให้พูดพร้อมกันทีเดียวก็ต้องคิดคำไว้ก่อน เหมือนพวกสโลแกนอะไรแบบนั้น”

    “มินจุนสู้ๆ!น่าจะโอเคนะ”

    “นี่ตั้งใจจะทำให้ฉันเขินตายเลยใช่มั้ย”

    มินจุนแย้งขึ้นมา แต่คาย่าไม่สนใจฟังแล้วชูนิ้วให้สัญญาณ จากนั้นทุกคนก็พูดขึ้นมาพร้อมกัน

    “มินจุนสู้ๆ!”

     

    3 of 3หน้าถัดไป

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook