• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน วาสนาจักรพรรดิมังกร ครั้งที่1

     

    อารัมภบท

     

    มันซ่อนตัวอยู่ในพงหญ้าสูง ซุ่มมองไปยังพื้นที่โล่งซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกล

    ยามนี้คือช่วงต้นเดือนสาม ห้วงเวลาอันงดงามแห่งฤดูใบไม้ผลิ ตะวันพรายแสงสาดส่องไปทั่วทั้งชนบทแห่งนี้ ลมพัดโชยเย็นชื่น ทอดสายตามองออกไป ระหว่างท้องฟ้าและผืนดินมีเพียงผืนหญ้าเขียวขจีที่ทอดยาวและต้นไม้เก่าแก่สองสามต้น รวมทั้งถนนดินแดงที่ไม่นับว่ากว้างขวางเส้นนั้น

    บนถนนสายเล็ก มีเด็กหนุ่มดรุณวัยยืนอยู่สองคน

    หนึ่งสวมชุดไม่สั้นไม่ยาว ไม่ใหม่ไม่เก่า อีกหนึ่งเกล้าผมครอบเกี้ยวหยก สวมเสื้อคลุมตัวยาวงามสง่า

    หนึ่งพาดกระบี่แตกบิ่นไว้บนบ่า ฝักกระบี่เขรอะเปรอะสนิม หนึ่งห้อยกระบี่วิเศษไว้ข้างเอว บนฝักประดับหยกงาม พู่สีอ่อนห้อยอยู่บนด้ามกระบี่แกว่งไหวแผ่วเบาตามสายลม

    มันหมอบอยู่ในพงหญ้าคอยซุ่มมองผ่านช่องว่างอย่างระมัดระวัง ไม่กล้าขยับเขยื้อน

     

    เล่อเยวี่ยยืนอยู่บนถนนดินสีแดงในเขตชนบทเบื้องล่างภูเขาเซ่าชิง กระบี่คู่กายพาดบ่า ปากคาบหญ้าหางสุนัข หรี่ตามองผู้ที่อยู่เบื้องหน้า

    ดังคำกล่าวที่ว่า ‘ศัตรูบนทางแคบ’* เมื่อวานนี้ศิษย์น้องเล็กของเขาเกิดเรื่องพิพาทกับคนจากสำนักชิงเสวียน และถูกทำร้ายประหนึ่งเป็นลูกท้อช้ำผลหนึ่งจนต้องหามกลับไปยังสำนัก เขาจึงหมายบุกสำนักชิงเสวียนเพื่อทวงคืนความเป็นธรรมให้ศิษย์น้อง ทว่าได้พบกับลั่วหลิงจือที่นี่โดยบังเอิญเสียก่อน

    ‘ลั่วหลิงจือ’ ศิษย์คนโปรดของเจ้าสำนักชิงเสวียน เขาเป็นศิษย์เอกแห่งสำนักเช่นเดียวกับเล่อเยวี่ย

    ยามนี้ลั่วหลิงจือราวกับไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เกิดเรื่องอันใดขึ้น เขาเอ่ยด้วยท่าทีสุภาพเรียบร้อย “พี่เล่อ ข้ามีเรื่องสำคัญจำต้องกลับสำนักโดยด่วน หลีกทางให้ข้าไปก่อนได้หรือไม่” น้ำเสียงนั้นช่างสุภาพนอบน้อมท่าทีถ่อมตนมีไมตรีจิต

    เล่อเยวี่ยยิ้มเผยฟันพลางดึงหญ้าออกมาจากปาก “พี่ลั่ว ในเมื่อบังเอิญได้พบท่าน เรื่องบางเรื่องหากมิพูดให้ชัดแจ้งคงมิได้ เมื่อวานที่คนจากสำนักชิงเสวียนของพวกท่านทำร้ายศิษย์น้องสิบสองของข้า จนบัดนี้ยังมิได้สะสาง ท่านเป็นศิษย์พี่ใหญ่จะให้คำอธิบายได้หรือไม่”

    เขาเข้าประเด็นสำคัญอย่างไม่อ้อมค้อม น้ำเสียงไร้ซึ่งความยำเกรง

    ลั่วหลิงจือยังคงยิ้มอย่างนอบน้อม “เรื่องพิพาทระหว่างศิษย์น้องสำนักข้าและศิษย์น้องสำนักท่านได้รายงานต่ออาจารย์ข้าและอาจารย์ลุงแล้ว โปรดรอให้พวกเขาจัดการ อาจเกิดการเข้าใจผิดกันบางอย่าง หวังว่าเรื่องเล็กน้อยนี้จะไม่เป็นเหตุให้มิตรภาพของทั้งสองฝ่ายต้องพังทลาย”

    คำพูดนั้นทั้งนอบน้อม สมเหตุสมผล และแสดงท่าทีได้อย่างเหมาะสม

    เล่อเยวี่ยแค่นหัวเราะ แกว่งหญ้าหางสุนัขในมือสองครา “พี่ลั่ว ยามนี้ศิษย์น้องของข้านอนอยู่บนเตียงประหนึ่งผลลูกพลับแหลก ท่านคิดว่าหยิบยกคำพูดเอาตัวรอดไร้แก่นสารมาไม่กี่ประโยคก็จะทำให้เรื่องนี้ผ่านพ้นไปได้เช่นนั้นหรือ”

    ลั่วหลิงจือยิ้มอย่างจนใจ “สิ่งที่ข้าเพิ่งพูดไปมิใช่ข้ออ้าง โปรดรอให้พวกท่านอาจารย์ไต่สวนเรื่องนี้เสียก่อน จะต้องไขข้อกังขาให้แก่สำนักท่านและศิษย์น้องอย่างแน่นอน หากยามนี้พี่เล่อคิดอยากระบายความคับแค้นใจ เช่นนั้นข้าก็จะยินยอมให้พี่เล่อจัดการสั่งสอนบทเรียนโดยไม่ตอบโต้อย่างเด็ดขาด ดีหรือไม่”

    เมื่อได้ยินเช่นนี้เล่อเยวี่ยกลับไร้ถ้อยคำเอื้อนเอ่ย ให้โจมตีผู้ไร้การโต้ตอบ เรื่องพรรค์นี้เขาจอมยุทธ์เล่อมิเคยกระทำ ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้ยังเป็นการบีบคั้นลั่วหลิงจือ แล้วผลจะออกมาเป็นเช่นไร อย่างไรเสียลั่วหลิงจือเป็นเพียงศิษย์ผู้หนึ่ง หาใช่ผู้อาวุโส ทั้งยังหาใช่เจ้าสำนัก ท่าทีนิ่มนวลของอีกฝ่ายในยามนี้ก็ไม่แน่ว่าอาจกำราบศิษย์น้องของตนเองลงได้

    เล่อเยวี่ยมุ่นคิ้วตรึกตรองก่อนกล่าว “เช่นนั้นวันนี้ก็ช่างมันเถิด หวังว่าสำนักของท่านจะให้คำอธิบายในเร็ววัน อีกไม่กี่วันก็จะถึงงานประลองยุทธ์แล้ว ปีนี้พวกเราสำนักชิงซานจะต้องลบล้างความอัปยศอดสูและชิงธงประกาศิตกลับคืนมาได้อย่างแน่นอน ณ ยอดผาเฟิ่งหยา หวังว่าจะได้เรียนรู้จากพี่ลั่วมากยิ่งขึ้น!” เขาลดกระบี่ลงจากบ่า หลบทางให้อีกฝ่ายได้ก้าวเดิน

    “ตั้งตารออย่างยิ่งยวด มิผิดคำพูดอย่างแน่นอน” ลั่วหลิงจือยิ้มพลางประสานมือ “ขอบคุณพี่เล่อ ข้าขอตัว” ลั่วหลิงจือเดินจากไปอย่างสงบนิ่ง แขนเสื้อสีครามอ่อนโบกสะบัดท่ามกลางสายลม ด้านหลังอาภรณ์ สัญลักษณ์ปากว้าจารึกอยู่กลางลายเมฆาคล้อยสองสามกลุ่ม

     

    มันตะลึงงันอยู่ในพงหญ้า

    สัญลักษณ์ปากว้า? ลายเมฆาคล้อย? ดูเหมือนว่านี่คือสิ่งที่มันตามหา…

    มันย้อนนึกถึงยามก่อนที่จะจากแก่งธารมา วาจาของท่านพ่อที่เคยกล่าวไว้…

     

    ‘ผู้ที่เจ้าต้องตามหาอยู่ในสำนักบำเพ็ญเซียนแห่งหนึ่งที่ชื่อว่าชิงเสวียน คนทั้งหมดในสำนักแห่งนั้นล้วนสวมอาภรณ์ที่มีสัญลักษณ์ปากว้าและลวดลายเมฆาคล้อย เจ้าจงจำไว้ให้ดี แล้วรีบหาผู้นั้นให้พบในเร็ววัน’

    ท่านพ่อทอดถอนใจคราหนึ่ง พลางยกกรงเล็บมังกรด้านหน้าวางลงบนกระหม่อมของมัน

    ‘เจาหยวนบุตรชายข้า เผ่าพันธุ์พวกเราขายหน้ามานานหลายปี หวังให้เจ้ากอบกู้คืนมา!’

     

    มันค่อยๆ คืบคลานออกมาเล็กน้อย จับจ้องไปยังเงาของลั่วหลิงจือ

    หลังจากที่ลั่วหลิงจือเดินจากไป เล่อเยวี่ยก็จากไปในทันทีเช่นกัน ไม่แม้แต่จะสังเกตเห็นดวงตาดำขลับคู่นั้นในหญ้ารกที่ห่างออกไปไม่กี่จั้ง*

     


    บทที่ 1

     

    ครั้งหนึ่งในอดีต สำนักชิงซานเคยเป็นสำนักที่รุ่งเรืองที่สุดสำนักหนึ่ง ‘เคยเป็น’ สองคำนี้อธิบายถึงความสิ้นหวังของสำนักในยามนี้ได้อย่างเจ็บปวดรวดร้าว

    สำนักชิงซานตั้งอยู่บนยอดเขาเซ่าชิงที่สูงที่สุดและเขียวขจีที่สุด กล่าวกันว่ายามนั้นขณะที่สำนักชิงซานรุ่งเรืองที่สุด ลานเรือนแน่นขนัด ชายคาซ้อนเป็นทิวแถว เรือนพักเรียงต่อไม่ขาดสาย ราวกับแดนสวรรค์บนโลกมนุษย์ สมกับที่เป็นสำนักฝึกฝนเต๋าบำเพ็ญเซียนอันดับหนึ่ง

    ทว่าสำนักชิงซานในยามนี้เหลือเพียงตำหนักชำรุดทรุดโทรมไม่กี่แห่ง ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขาอันรกร้าง ในสำนักมีเพียงอาจารย์เจ้าสำนักหนึ่งท่าน อาจารย์อาสามท่าน ศิษย์สิบกว่าคน รวมทั้งหมดแล้วไม่ถึงยี่สิบคน

    มีเพียงแผ่นป้ายแกะสลัก ‘สำนักนิกายเต๋าอันดับหนึ่งในใต้หล้า’ ที่เขรอะไปด้วยฝุ่นและหยากไย่ในตำหนักหลัก และประตูสำนักทำจากหินขาวที่หักพังตรงเชิงเขาที่ยังแสดงให้เห็นถึงความรุ่งโรจน์ในอดีต

    เล่อเยวี่ยซื้อของใช้จำเป็นของสำนักจากตลาดเบื้องล่างภูเขา และหิ้วห่อของซึ่งอัดแน่นไปด้วยโหล รวมทั้งแบกข้าวสารถุงหนึ่ง ย่ำตามแสงตะวันสุดท้ายของอาทิตย์อัสดงกลับไปยังสำนัก

    ในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ การดูแลเหล่าศิษย์น้องคือหน้าที่ความรับผิดชอบที่มิอาจหลีกเลี่ยง ในฐานะศิษย์เอก การเคารพนับถืออาจารย์เจ้าสำนักและอาจารย์อาทั้งสามก็เป็นหน้าที่ที่ควรกระทำเช่นกัน

    เล่อเยวี่ยมักรู้สึกเสมอว่าภายในสำนัก ตนเปรียบเสมือนพ่อบุญธรรมของทุกคน เรื่องปลีกย่อยน้อยใหญ่เขาล้วนมีส่วนเกี่ยวข้อง ข้าวสารบะหมี่น้ำมันเกลือ เขาต้องช่วยอาจารย์อาใหญ่สำรองจับจ่าย ในแต่ละวันขณะที่ศิษย์ทุกคนร่ำเรียนวิชา เขาต้องช่วยอาจารย์อารองควบคุมดูแล เรือนน้ำรั่วซึม หน้าต่างเป็นรู เขาต้องช่วยอาจารย์อาสามซ่อมแซม ยามที่เหล่าศิษย์น้องปะทะกัน เขาต้องใช้กำลังกำราบไกล่เกลี่ย เหล่าศิษย์น้องวิวาทกับผู้อื่นแล้วตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เขาต้องใช้กำปั้นกู้หน้ากลับคืนมา กระทั่งอาจารย์เจ้าสำนักและเหล่าอาจารย์อาร่ำสุราอย่างหนัก เขาจำต้องยกน้ำชา ส่งผ้าซับเหงื่อ รวมทั้งทุบหลังให้

    เล่อเยวี่ยเคยเหนื่อยล้ายิ่งยวดอยู่บ่อยครั้ง ครั้นแล้วเขาก็ลอบถอนใจ

    ผู้ใดให้ข้ากำเนิดมาก็ถูกลิขิตให้เป็นจอมยุทธ์ผู้ไร้เทียมทานกัน

    คนโบราณล้วนกล่าวไว้ ยามสวรรค์ต้องการมอบบทบาทหน้าที่อันยิ่งใหญ่ให้ผู้ใดสักคน จำต้องทรมานเขา บั่นทอนเขา และก่อกวนเขาอย่างแน่นอน จอมยุทธ์โดยกำเนิดต้องลำบากมากกว่าผู้อื่นแน่แท้อยู่แล้ว

     

    หลังกลับมายังสำนัก เล่อเยวี่ยนำวัตถุดิบไปเก็บในครัวเพื่อให้อาจารย์อาใหญ่ได้จัดเตรียมมื้อค่ำ จึงค่อยไปพบอาจารย์เจ้าสำนัก รายงานเรื่องที่พบเข้ากับลั่วหลิงจือ ฟังอาจารย์เจ้าสำนักราวหูซ้ายทะลุหูขวาเกี่ยวกับเรื่องที่ผู้บำเพ็ญเพียรจะต้องสงบจิตสงบใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อดทนอดกลั้น มีไมตรีจิต เมตตากรุณา และไม่ควรเกิดความขัดแย้งกับผู้อื่นโดยง่ายอย่างเด็ดขาด จากนั้นก็ไปยังปีกเรือน เพื่อเยี่ยมศิษย์น้องเล็กที่ยังคงนอนรักษาอาการบาดเจ็บ

    ศิษย์น้องเล็กที่นอนอยู่บนเตียงมองเขาด้วยน้ำตาคลอเบ้า “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านต้องล้างแค้นให้ข้า”

    เล่อเยวี่ยกำหมัดอย่างห้าวหาญ “วางใจ พี่ใหญ่จะล้างแค้นแทนเจ้าอย่างแน่นอน”

    แววตารื้นน้ำตาของศิษย์น้องเล็กทอประกาย “ศิษย์พี่ใหญ่ ได้ยินมาว่าวันนี้ท่านบังเอิญพบกับลั่วหลิงจือ ท่านได้จัดการเขาหรือไม่”

    เล่อเยวี่ยเอ่ยด้วยสีหน้าลำบากใจ “เอ่อ…ดังคำกล่าวที่ว่า ‘แค้นชิงชังย่อมมีอริ เป็นหนี้สินย่อมมีเจ้าหนี้’* ผู้ที่โจมตีเจ้าหาใช่ลั่วหลิงจือ แม้ว่าสำนักชิงเสวียนและพวกเราสำนักชิงซานไม่อาจอยู่ร่วมใต้ฟ้าเดียวกัน ทว่าเรื่องนี้ยังต้องหาตัวผู้ที่ทำร้ายเจ้าใช่หรือไม่”

    ศิษย์น้องเล็กเบ้ปาก แววตาขุ่นเคือง “ศิษย์พี่ใหญ่อย่าได้กังวล ข้ารู้ว่าท่านไม่อาจสู้ลั่วหลิงจือได้”

    เล่อเยวี่ยเลิกคิ้วขึ้น “ผู้ใดว่าข้าสู้เขาไม่ได้!” พลางถกแขนเสื้อขึ้นกำหมัดอย่างห้าวหาญอีกครั้ง “ศิษย์น้อง เจ้าวางใจ งานประลองยุทธ์ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ศิษย์พี่ใหญ่จะต้องทำให้ลั่วหลิงจือกลายเป็นผลลูกพลับแหลกยิ่งกว่าเจ้าในยามนี้เพื่อระบายความคับแค้นให้!”

    ในที่สุดศิษย์น้องเล็กก็ผล็อยหลับไป

    เล่อเยวี่ยลูบท้องที่ว่างเปล่า ก่อนไปยังห้องครัวเพื่อกินมื้อค่ำ เขาเพิ่งหยิบหมั่นโถวกัดได้เพียงหนึ่งคำ ก็มีมือข้างหนึ่งยื่นออกมาดึงแขนเสื้อเอาไว้

    เล่อเยวี่ยคาบหมั่นโถวหันหลังกลับไปก็พบหน้านิ่วคิ้วขมวดของศิษย์น้องสามเล่อหาน

    “ศิษย์พี่ใหญ่ ข้ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับท่าน”

    เล่อเยวี่ยพูดทั้งที่หมั่นโถวยังอยู่ในปาก “หืม เรื่องอันใด”

    เล่อหานมีปัญหาอย่างหนึ่ง คือยามพูดจามักพูดอ้อมค้อม อย่างน้อยต้องวนสิบอ้อมแปดจึงจะเข้าใกล้ประเด็นสำคัญ เล่อเยวี่ยกัดหมั่นโถวและไปเอาโจ๊กมาอีกหนึ่งชาม เขานั่งอยู่บนธรณีประตูห้องครัว เล็มหมั่นโถวซดโจ๊กไปพลาง ฟังเล่อหานเล่าความไปพลาง

    ใบหน้าหม่นหมองของเล่อหานใต้แสงสีเหลืองนวลจากตะเกียงน้ำมันในห้องครัวนั้นเสริมให้อีกฝ่ายเคร่งขรึมยิ่งยวด “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านรู้อยู่แล้วว่างานประลองยุทธ์จะเริ่มขึ้นในอีกสามวันข้างหน้านี้”

    เล่อเยวี่ยเคี้ยวหมั่นโถวพลางตอบ “อืม”

    เล่อหานพูดต่ออย่างอ่อนน้อม “ครั้งนี้อาการบาดเจ็บของศิษย์น้องเล็กสาหัสยิ่งนัก ข้าเพิ่งไปเยี่ยมมา เขาได้แต่โอดครวญอยู่บนเตียง”

    เล่อเยวี่ยซดโจ๊กคำหนึ่งพลางผงกศีรษะ “อืม”

    เล่อหานมุ่นคิ้วทอดถอนใจ “ข้าว่าอาการบาดเจ็บของศิษย์น้องเล็กต้องรักษาอย่างน้อยราวหนึ่งเดือน”

    เล่อเยวี่ยกัดหมั่นโถวอีกคำ “อืม”

    เล่อหานถอนหายใจเอ่ย “ต่อให้เชิญยอดหมอเทวดาในยุทธภพ ข้าว่าอย่างเร็วที่สุดก็ทำให้เขาฟื้นตัวได้เพียงครึ่งเดือนให้หลัง ยังดีที่ร่างกายไม่บาดเจ็บ มิเช่นนั้นเอ็นขาดกระดูกร้าว ได้รักษาหนึ่งร้อยวันเป็นแน่”

    เล่อเยวี่ยซดโจ๊กอีกคำหนึ่ง “อ่าฮะ”

    เล่อหานทอดถอนใจเฮือกใหญ่ “เฮ้อ ข้าร้อนใจเสียจริง สามวันให้หลังงานประลองยุทธ์ก็จะเริ่มขึ้นแล้ว แต่น้องเล็กยังอาการสาหัส…”

    เล่อเยวี่ยกัดหมั่นโถวต่อ เล่อหานมองเขาอย่างสิ้นหวัง “เหตุใดยามนี้ศิษย์พี่ใหญ่ถึงยังไม่ร้อนใจ”

    เล่อเยวี่ยคิดในใจ เจ้าพูดเสียครึ่งค่อนวัน จนบัดนี้ยังไม่บอกกล่าวประเด็นสำคัญแก่ข้า จะให้ข้าร้อนใจเรื่องใดกัน

    เล่อหานเอ่ยอย่างโศกเศร้าอาดูร “ศิษย์พี่ใหญ่ พวกเราเคยเอ่ยคำสาบาน ปีนี้จะต้องทำให้สำนักชิงเสวียนปราชัยให้จงได้ และชิงธงประกาศิตกลับคืนมา ทว่ายามนี้ศิษย์น้องเล็กหายไม่ทันในสามวันเป็นแน่”

    เล่อเยวี่ยวางชามโจ๊กที่ว่างเปล่าพลางเช็ดมุมปาก “อย่าได้กังวล วิทยายุทธ์ของศิษย์น้องเล็กถดถอยเช่นนั้น ต่อให้เข้าร่วมลงสนามก็คงพ่ายแพ้เป็นแน่ ไม่มีเขาก็ถือว่าลดการพ่ายแพ้ของเราลงได้อีกหน่อย”

    เล่อหานมองเขาอย่างฉงน “อันใดกันศิษย์พี่ใหญ่ ข้าพูดเสียนาน แต่ท่านยังคิดไม่ถึงอีกหรือ อาจารย์เจ้าสำนัก อาจารย์อา ศิษย์พี่ และศิษย์น้อง พวกเราทั้งสำนักล้วนไม่มีผู้ใดตระหนักถึงเลยหรืออย่างไร”

    เล่อเยวี่ยอดกลั้นที่จะไม่บีบคอของเล่อหานเพื่อเค้นให้เขารีบพูดใจความสำคัญออกมา พลางมุ่นคิ้วเอ่ย “เรื่องอันใด”

    เล่อหานถอนใจเฮือกใหญ่ยาว ในที่สุดก็เอ่ยประโยคท่อนสำคัญที่สุดออกมา “ศิษย์พี่ใหญ่ ระเบียบงานประลองยุทธ์ ทุกสำนักจำต้องเข้าร่วมการประลองรอบที่หนึ่งซึ่งมีทั้งหมดหกรายการ ทุกการประลองจำต้องส่งศิษย์อายุสิบห้าถึงยี่สิบห้าปีออกมาสองคน และในรอบที่หนึ่งนี้ ศิษย์แต่ละสำนักจะเข้าร่วมประลองได้เพียงคนละหนึ่งรายการ พูดได้ว่าทุกสำนักจำต้องมีศิษย์เข้าร่วมสิบสองคนขึ้นไป หากคุณสมบัติไม่ครบ ไม่อนุญาตให้เข้าร่วมได้…”

    หมั่นโถวคำสุดท้ายของเล่อเยวี่ยจุกอยู่ในลำคอ สองตาเบิกกว้าง

    เล่อหานเอ่ยอย่างอับจน “ศิษย์พี่ใหญ่ พวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหมดสิบสองคน ยามนี้ศิษย์น้องเล็กถูกโจมตีจนล้มหมอนนอนเสื่อ เหลือเพียงสิบเอ็ดคน จะเข้าร่วมงานประลองยุทธ์ได้อย่างไรกัน”

     

    ‘งานประลองยุทธ์’ ชื่อเต็มคืองานชุมนุมแลกเปลี่ยนประลองยุทธ์แห่งใต้หล้า การประลองนี้เริ่มขึ้นเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน ทุกห้าปีจัดหนึ่งครั้ง สำนักที่ได้รับชัยชนะในงานประลองยุทธ์จะได้ถือครองคทา ‘สำนักอันดับหนึ่งในใต้หล้า’ และได้รับยกย่องว่าเป็น ‘สำนักอันดับหนึ่งในใต้หล้า’ เป็นเวลาห้าปีด้วย

    งานประลองยุทธ์ครั้งที่หนึ่งเริ่มขึ้นเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน และคทา ‘สำนักอันดับหนึ่งในใต้หล้า’ ก็เป็นของสำนักชิงเสวียนมาโดยตลอด

    ทว่าก่อนหน้านั้นยามที่ยังไม่เคยมีงานประลองยุทธ์ คทานี้เคยเป็นของสำนักชิงซาน สำนักชิงซานในยามนั้นเองก็เรียกว่าสำนักชิงเสวียน ความจริงแล้วสำนักชิงเสวียนเคยเป็นชื่อเดิมของสำนักชิงซาน

    ศิษย์ของสำนักชิงซานสมัยยังเยาว์วัยล้วนเคยฟังอาจารย์เจ้าสำนักหรืออาจารย์อาเล่านิทาน เล่าถึงยุครุ่งเรืองของสำนักชิงซานในอดีตและบุญคุณความแค้นที่มีต่อสำนักชิงเสวียนในปัจจุบัน

    หนึ่งร้อยสิบปีก่อน จักรพรรดิเฟิ่งเสียงสังหารพี่ชายโค่นล้มบัลลังก์ขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์ที่แปดแห่งราชวงศ์อิง ผู้คนในใต้หล้าต่างคุ้นเคยกับการเรียกขานราชวงศ์ภายใต้บัลลังก์ของเขาว่าหนานอิง (ราชวงศ์อิงใต้) จักรพรรดิเฟิ่งเสียงเปลี่ยนราชวงศ์เปลี่ยนการปกครอง จัดตั้งการเซ่นไหว้ขึ้นใหม่ ด้วยเหตุนี้ธรรมเนียมของสำนักเต๋าเองจึงได้รับอิทธิพลเช่นกัน ในปีเดียวกันนั้นเจ้าสำนักชิงเสวียนเต๋อเฉวียนจื่อและศิษย์น้องของเขาเต๋อจงจื่อมีแนวคิดบางอย่างขัดแย้งกัน เต๋อจงจื่อได้ชิงคทาสำนักอันดับหนึ่งในใต้หล้าไปและก่อตั้งสำนักของตน กล่าวว่าตนคือสำนักชิงเสวียนนิกายหลักและกล่าวหาว่าเต๋อเฉวียนจื่อคร่ำครึยึดติดในบทข้อบังคับเดิมไม่คิดปรับตน ไม่อาจเป็นเจ้าสำนักอันดับหนึ่งในใต้หล้าได้

    เรื่องนี้ยิ่งครึกโครมยิ่งใหญ่โต คาดไม่ถึงเลยว่าจะครึกโครมไปถึงหูของจักรพรรดิเฟิ่งเสียง จักรพรรดิเฟิ่งเสียงตรัสว่า ‘เรื่องของโลกมนุษย์ แรกเริ่มเดิมทีก็ไม่มีอันใดที่บังควรอันใดที่ไม่บังควร ในเมื่อพวกเขาล้วนประกาศว่าเป็นสำนักชิงเสวียนดั้งเดิมก็ประลองกันสักหน่อยจะเป็นอันใดไป ผู้ชนะถือเป็นเจ้าสำนักชิงเสวียน ด้วยเหตุนี้ก็ถือโอกาสเปิดงานประลองยุทธ์ในใต้หล้าเสียเลย สำนักที่ได้อันดับหนึ่งจะประทานคทา ‘สำนักอันดับหนึ่งในใต้หล้า’ ให้’

    ครั้นแล้วจักรพรรดิเฟิ่งเสียงจึงมีพระราชโองการให้จัดงานประลองยุทธ์ในใต้หล้าครั้งที่หนึ่งและตัดสินชี้ขาดด้วยตัวพระองค์เอง ในงานประลองยุทธ์ครั้งนี้เต๋อเฉวียนจื่อโรคเก่ากำเริบทำให้พ่ายแพ้ให้แก่ศิษย์น้องเต๋อจงจื่อ นับแต่นั้นมาสำนักชิงเสวียนเดิมจึงทำได้เพียงเปลี่ยนชื่อเป็นสำนักชิงซาน สำนักที่เต๋อจงจื่อก่อตั้งจึงเรียกว่าสำนักชิงเสวียนนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ส่วนคทา ‘สำนักอันดับหนึ่งในใต้หล้า’ ก็ได้ไปอยู่ในมือของเต๋อจงจื่ออย่างแท้จริง

     

    ในครานั้นเฮ่อจีจื่ออาจารย์ของเล่อเยวี่ยเล่าถึงบทสรุปในอดีตและเอ่ยถามเยี่ยงนี้ ‘พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าไฉนบูรพาจารย์เต๋อเฉวียนจื่อต้องเปลี่ยนชื่อสำนักชิงเสวียนเป็นสำนักชิงซาน’

    ศิษย์น้องเล็กผู้ตั้งใจฟังอย่างเพลิดเพลินได้เอ่ยโพล่งออกมา ‘ข้ารู้ เป็นเพราะสำนักของพวกเราตั้งอยู่บนเขาเซ่าชิง!’

    เฮ่อจีจื่อหัวเราะเบาๆ อย่างมีเลศนัยพลางส่ายศีรษะ ‘มิใช่ๆ ที่บูรพาจารย์ขนานนามนี้จะต้องมีเหตุผลแฝงความนัยอย่างแน่นอน จะตั้งชื่อผิวเผินตามพื้นที่เช่นนี้ได้อย่างไร’

    บรรดาเหล่าลูกศิษย์สองตาเบิกกว้างอย่างใคร่รู้พร้อมกัน

    เฮ่อจีจื่อฟั่นเครายาวพลางมองดูภูเขาอันไกลโพ้นนอกหน้าต่างอย่างสบายอารมณ์ ‘ความหมายล้ำลึกที่บูรพาจารย์เต๋อเฉวียนจื่อตั้งชื่อเช่นนี้ก็คือเขาเขียวยังคงอยู่ มิต้องกลัวไร้ฟืนเผา* อย่างไรล่ะ…’

    บรรดาลูกศิษย์ล้วนนิ่งอึ้ง

    เฮ่อจีจื่ออมยิ้มพลางหันกลับไปจ้องมองเหล่าศิษย์ ‘พวกเจ้าล้วนเข้าใจถึงความเอาใจใส่ของบูรพาจารย์แล้วหรือยัง’

    บรรดาเหล่าลูกศิษย์ยังคงนิ่งอึ้ง

    ในเวลานั้นมีเพียงศิษย์น้องเล็กเล่อเว่ยวัยเจ็ดขวบที่ผงกศีรษะเอ่ย ‘เข้าใจแล้ว บูรพาจารย์ต้องกำลังสอนพวกเราว่าในห้องครัวมิอาจขาดฟืนเป็นแน่ มิเช่นนั้นจะทำอาหารไม่ได้แล้วท้องทุกคนก็จะต้องหิวโหย!’

     

    สรุปความคือมิต้องคำนึงว่าเพราะความนัยพิเศษอันใดจึงเรียกว่าสำนักชิงซาน นับจากเต๋อเฉวียนจื่อกล้ำกลืนความพ่ายแพ้ หนึ่งร้อยกว่าปีที่ผ่านมา สำนักชิงซานไม่เคยชนะเลิศงานประลองยุทธ์สักครั้ง ในทางกลับกันแน่นอนว่าสำนักชิงเสวียนได้อันดับหนึ่งมาตลอดอย่างไม่ต้องสงสัย สำนักชิงเสวียนกลายเป็นสำนักอันดับหนึ่งในใต้หล้าที่มีชื่อเสียงสมฐานะ เจริญรุ่งเรืองขึ้นทุกวัน กระทั่งพระญาติของจักรพรรดิและขุนนางคนสำคัญในราชสำนักล้วนส่งบุตรบ้านตนเองเข้าสำนักชิงเสวียนเพื่อฝึกปรือวรยุทธ์และเรียนวิชาเซียนเต๋า

    ในทางตรงกันข้าม สำนักชิงซานกลับเสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ ลูกศิษย์ในสำนักนับวันยิ่งถดถอย เมื่อห้าปีก่อนในงานประลองยุทธ์ สำนักชิงซานได้พ่ายแพ้อย่างหมดรูปอีกครั้ง ศิษย์พี่สิบคนของเล่อเยวี่ยมุ่งหน้าไปขอพึ่งพาอาศัยศิษย์สำนักชิงเสวียน ด้วยเหตุนี้เล่อเยวี่ยในวัยสิบสองจึงกลายเป็นศิษย์พี่ใหญ่ลำดับที่หนึ่ง

    ตลอดชีวิตของเล่อเยวี่ยนั้นรังเกียจผู้ทรยศอย่างยิ่ง โดยเฉพาะผู้ทรยศประเภทที่หันมาว่าสำนักตนเองอ่อนแอและหักหลังหลบหนีไปยังสำนักคู่อริเฉกเช่นบรรดาศิษย์พี่ เมื่อห้าปีก่อนเขาจึงให้สัตย์สาบานว่าในงานประลองยุทธ์จะต้องธำรงคุณธรรมแทนสวรรค์ เล่นงานคนกลุ่มนี้รวมทั้งสำนักชิงเสวียนทุกระดับชั้นให้ประหนึ่งดอกไม้ร่วงโรยสายน้ำไหลริน ทำให้คนเหล่านั้นสำนึกเสียใจจนน้ำตานองหน้าที่กล้าหักหลังสำนัก

    คาดไม่ถึงเลยว่าสวรรค์จะสร้างปัญหาให้เขาในช่วงเวลาสำคัญที่สุดของการแก้แค้นครั้งใหญ่ ทำให้ศิษย์น้องเล็กถูกศัตรูคู่อาฆาตสำนักชิงเสวียนโจมตีเสียจนล้มหมอนนอนเสื่อ เล่อเยวี่ยตระหนักรู้ในฉับพลันว่านี่คือแผนการ เกรงว่าเพื่อให้พวกเขาเข้าร่วมงานประลองยุทธ์ไม่ได้สำนักชิงเสวียนจึงใช้แผนการชั่วร้าย!

    ต่ำทราม ไร้ยางอายเกินไปแล้ว!

    เล่อเยวี่ยรีบระดมบรรดาศิษย์น้องให้มายังห้องหนังสือของอาจารย์เจ้าสำนัก ปรึกษาหารือว่าจะแก้ไขเรื่องเร่งด่วนนี้อย่างไรดี

    ศิษย์น้องรองเล่ออู๋เอ่ย “มิเช่นนั้นให้อาจารย์เจ้าสำนักหรืออาจารย์อาท่านใดท่านหนึ่งโกนหนวดเคราทิ้ง แต่งกายเป็นศิษย์เช่นเดียวกับพวกเราเถิด”

    เดิมทีทุกคนรู้สึกว่าเป็นไปได้ ทว่าหลังจากเพ่งพิจารณาใบหน้าของอาจารย์เจ้าสำนักและอาจารย์อาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ปรากฏว่าเป็นไปไม่ได้

    หนวดเคราของอาจารย์เจ้าสำนักและเหล่าอาจารย์อานั้นโกนทิ้งได้ เส้นผมย้อมดำได้ ทว่ารอยเหี่ยวร่องลึกทั่วทุกสารทิศบนใบหน้านั้นถมให้ราบไม่ได้ อย่างไรก็ไม่เหมือนเด็กหนุ่มอายุไม่เกินยี่สิบห้าปี

    หลังจากที่ออกความเห็นมาห้าหกข้อและล้วนชี้ขาดว่าเป็นไปไม่ได้ เฮ่อจีจื่อจึงเอ่ย “หมดหนทางจริงๆ คงทำได้เพียงให้ข้ารับศิษย์ชั่วคราวอีกครั้ง”

    ศิษย์น้องสี่เล่อฉินกล่าว “ทว่าบัดนี้พวกเราสำนักชิงซานไม่เป็นที่นิยมชมชอบ จะมีผู้ใดยินยอมเข้าร่วมสำนักเราในทันทีกัน”

    เฮ่อจีจื่อและอาจารย์อาทั้งสามต่างถอนใจสายยาว เหล่าลูกศิษย์ที่เหลือเริ่มทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอีกครา

    เล่อเยวี่ยเอ่ย “มิเช่นนั้นเอาอย่างนี้เถิด คว้าเอาผู้ใดก็ได้จากเชิงเขามาหนึ่งคน ให้เขาเข้าร่วมสำนักเราชั่วคราว ผ่านเรื่องนี้ไปได้แล้วค่อยว่ากันใหม่”

    เล่อฉินขบนิ้วพลางเอ่ย “เช่นนั้นจะถูกฟ้องร้องต่อจวนว่าการว่าพวกเราบีบบังคับคนหรือไม่”

    เล่อเยวี่ยกล่าว “เช่นนั้นจะทำอย่างไรได้ จ่ายเงินจ้างมาหนึ่งคนหรือ พวกเรามีเงินไปจ้างรึ”

    เล่อฉินนิ่งเงียบไม่ส่งเสียงใด

    เล่อเยวี่ยกำหมัดทุบโต๊ะทีหนึ่ง “อย่างไรเสียก็ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้แล้ว ตกลงเช่นนี้ไปก่อน บัดนี้กลับไปหลับพักผ่อน พรุ่งนี้เช้าข้าจะลงเขา จับศิษย์ผู้หนึ่งกลับมาให้อาจารย์!”

     

    ช่วงกลางดึก จวนใกล้ยามสาม* บรรยากาศในสำนักชิงซานเงียบสงัด ดวงจันทร์ดุจเครื่องเงิน สายลมดั่งผ้าโปร่ง เงามืดเล็กๆ เงาหนึ่งได้ล่วงล้ำหลังคาทรงจั่วมาอย่างเงียบเชียบ ก่อนลอบเข้าไปในลานของสำนักชิงซาน

    มันเหลียวซ้ายแลขวาอยู่ในลานอย่างระมัดระวังยิ่ง พลางลอบมองเรือนปีกข้างทีละแถว

    สำนักชิงซานเรือนทรุดโทรมมิหวั่นเกรงขโมย พูดได้ว่าแต่ไหนแต่ไรไม่เคยให้ลูกศิษย์เดินเฝ้ายามตอนกลางคืน บรรดาศิษย์ล้วนกลับเรือน ล้มตัวลงนอนหลับฝันดีจนถึงรุ่งสาง

    เงามืดนั้นสอดส่องไปมาตรงพุ่มดอกไม้นอกเรือนปีกข้าง ทันใดนั้นได้เกิดเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ประตูบานหนึ่งเปิดออก เงามืดตัวสั่นระริก ก่อนมุดเข้าไปในพุ่มดอกไม้

    ผู้ที่ออกจากประตูมาคือเล่อฉีศิษย์น้องเจ็ดของเล่อเยวี่ย มื้อค่ำเขาซดโจ๊กไปเสียเยอะ นอนหลับกลางดึกจึงปวดเบาและสะลึมสะลือลุกขึ้นเดินไปยังห้องส้วม

    เล่อฉีออกมาจากห้องส้วมและเดินผ่านทางแคบในลาน หูพลันได้ยินเสียงสวบสาบดังมาจากพุ่มดอกไม้ด้านข้าง เล่อฉีกำลังสะลึมสะลือสติมิค่อยชัดแจ้ง จึงนึกไปว่าแมวป่ากำลังกัดกันอยู่ มองก็ไม่มอง เดินกลับไปห้องต่อ

    สายลมยามค่ำคืนหอบพัดกลิ่นหญ้าโชยมาพักหนึ่ง ทันใดนั้นเล่อฉีได้ยินน้ำเสียงอ่อนเยาว์เสียงหนึ่งร้องเรียกดังมาจากด้านหลัง “ศิษย์พี่”

    เขาหันกลับมาอย่างสงสัยขณะสายตายังพร่าเลือน คลับคล้ายคลับคลาว่าเสียงนี้เหมือนเสียงศิษย์น้องสิบสองบางส่วน แต่ยังไร้เดียงสากว่าศิษย์น้องสิบสอง เขาเห็นเพียงเงาคนเลือนรางบนทางเดินข้างพุ่มดอกไม้ใต้แสงจันทร์สลัว

    เงานั่นเอ่ยถาม “ศิษย์พี่ ข้าหลงทางเสียแล้ว ท่านบอกได้หรือไม่ว่าห้องนอนศิษย์พี่ใหญ่อยู่ที่ใด”

    เล่อฉีหรี่ตาที่ยังลืมไม่ค่อยขึ้นพลางเอ่ย “กระทั่งห้องของศิษย์พี่ใหญ่เจ้าก็หาไม่เจอได้อย่างไร ก็ห้องแรกทางด้านซ้ายของเรือนแถวนี้ของพวกเรามิใช่รึ…”

    เงาคนเอ่ยขึ้นในทันที “ขอบคุณศิษย์พี่”

    เล่อฉีรู้สึกว่าตนราวกับเพียงกะพริบตา ครั้นแล้วเงาคนนั่นก็หายไปในทันที

    แสงจันทร์กระจ่าง สายลมโชย ลานอันเงียบสงบ เงาบุปผาหนาทึบ ทั้งหมดล้วนเหมือนดั่งความฝันอันเลือนราง ราวกับว่าไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น

    เล่อฉีขยี้ตา ก่อนลากฝีเท้ากลับห้องเอนกายนอน

    ฝัน เมื่อครู่จะต้องเคลิ้มหลับฝันไปอย่างแน่แท้

     

    เล่อเยวี่ยเหยียดกายนอนหนุนแขนหลับสนิทอยู่บนเตียง ท่ามกลางความมืดมิด เงามืดหนึ่งกำลังหมอบอยู่บนขอบหน้าต่างห้องเขาอย่างเงียบเชียบ

    เงามืดเลียแผ่นกระดาษที่ปิดหน้าต่างให้เปียกอย่างระมัดระวัง ก่อนใช้กรงเล็บหน้ากรีดจนขาดและมุดเข้ามาทางรูนั้นอย่างไร้สุ้มเสียง

    สามฉื่อ* สองฉื่อ หนึ่งฉื่อ มันค่อยๆ ประชิดขอบเตียงของเล่อเยวี่ย หลังจากวนเวียนข้างเตียงหนึ่งรอบแล้ว จึงโดดไปบนมุมผ้าห่มของเล่อเยวี่ยเบาๆ และแยกเขี้ยวมันวาวไปทางแขนของเล่อเยวี่ยที่อยู่นอกผ้าห่ม

    เล่อเยวี่ยที่กำลังนอนฝันหวานอยู่นั้น ในฝันเขาแบกกระบี่เล่มเขื่องไปกวาดล้างสำนักชิงเสวียน ทุกคนในสำนักชิงเสวียนที่กำลังรอการสังหารกุมหัววิ่งพล่านราวกับหนู เจ้าสำนักชิงเสวียนจ้งหวาจื่อถูกเขาจัดการจนล้มกองอยู่บนพื้น ปากยังตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ เล่อเยวี่ยหัวเราะลั่นพลางคว้าเคราของผู้เฒ่าจ้งหวาจื่อ ‘ตะโกนว่าจอมยุทธ์เล่อโปรดไว้ชีวิตสามครั้ง แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!’

    จ้งหวาจื่อผงกศีรษะไม่หยุดในทันที ‘จอมยุทธ์เล่อโปรดไว้ชีวิต จอมยุทธ์เล่อโปรดไว้ชีวิต จอมยุทธ์เล่อโปรดไว้ชีวิต…’ เล่อเยวี่ยปล่อยเคราของจ้งหวาจื่อและหัวเราะลั่นอย่างสะใจ ทว่าทันใดนั้นจ้งหวาจื่อพลันก้มหน้ากัดแขนขวาของเขา

    แขนขวาพลันเจ็บร้าว เล่อเยวี่ยยกมือซ้ายไปกุมซ้ำๆ…

    เกิดเสียงร้องโหยหวนเสียงหนึ่ง เล่อเยวี่ยพลันสะดุ้งโหยงตกใจตื่น

    แขนขวาของเขายังคงเจ็บดังเดิม ในมือซ้ายมีของลื่นๆ เย็นๆ กำลังตะเกียกตะกายดิ้นรนอย่างสุดชีวิต

    สิ่งใดกัน เล่อเยวี่ยพลันพลิกกายอย่างตื่นตกใจ รีบคลำไปยังกลักจุดไฟที่วางอยู่บนตู้ต่ำตรงหัวเตียงด้านซ้ายก่อนจุดตะเกียงน้ำมัน ท่ามกลางแสงตะเกียงสลัว เขามองเห็นของที่อยู่ในมือแล้ว

    สิ่งนั้นยาวเพียงห้าถึงหกชุ่น* ลำตัวคล้ายร่างของงูเล็กน้อย รูปร่างเรียวเต็มไปด้วยเกล็ดสีเหลืองทองทั่วทั้งตัว ข้างท้องมีสีเหลืองอ่อน ส่วนท้องมีสีเงินยวง ขาเล็กๆ ทั้งสี่มีเล็บงุ้มปลายแหลม บนศีรษะยังมีเขาเล็กๆ สองอัน ดูเหมือนว่าจะเป็น…

    เล่อเยวี่ยขมวดคิ้วเพ่งพิจารณามัน “เจ้าคือมังกรรึ ลอบเข้ามาในห้องข้าคิดทำการอันใด!”

    มังกร สำหรับเล่อเยวี่ยที่เป็นศิษย์ของสำนักฝึกตน สิ่งมีชีวิตประเภทนี้ไม่แปลกประหลาดเลยแม้แต่น้อย

    ว่ากันว่ามังกรแบ่งเป็นสามลำดับชั้น สูงสุดคือเทพมังกร รองลงมาคือมังกรเมฆาและมังกรวารี ต่ำสุดคือภูตมังกร

    เทพมังกรคือเผ่าเทพที่ดำรงชีพอยู่ในทะเลครามกว้างใหญ่บนเก้าสวรรค์ชั้นฟ้า ปุถุชนธรรมดานั้นไร้วาสนาที่จะพบเห็น มังกรเมฆาและมังกรวารีพักพิงอยู่ท่ามกลางหุบเขาลึกและทะเลสาบ เป็นอิสรเสรีและพบเห็นได้ยากอย่างยิ่ง ทว่าภูตมังกรกลับคล้ายภูตปีศาจและสัตว์อสูรตามขุนเขา เติบโตในแก่งธารท่ามกลางป่าเขา อาจเจอะเจอได้โดยบังเอิญ

    ในอดีตยามที่ผู้คนยังสักการะมังกร กระทั่งภูตมังกรที่ระดับต่ำสุดชาวบ้านก็เกรงกลัวยิ่งยวด ทว่าตั้งแต่หนึ่งร้อยกว่าปีก่อนที่จักรพรรดิเฟิ่งเสียงขึ้นครองราชย์ มังกรถูกลดขั้นให้ลงจากแท่นบูชาและเริ่มเสื่อมค่า มีแม้กระทั่งผู้ที่ใช้วิชาเวทไล่ล่าสังหารภูตมังกร เราะเอ็นเลื่อยเขา ถลกหนังถอดเกล็ด ยังชีพด้วยวิธีนี้ ปัจจุบันในเหล่าขุนนางผู้ใหญ่และผู้มียศศักดิ์ การผูกเข็มขัดเอ็นมังกร สวมรองเท้าหนังมังกร เกล้าผมปักปิ่นเขามังกรกำลังเป็นที่นิยม ภูตมังกรถูกล่าสังหารเป็นจำนวนมากจนยากจะซ่อนตัวในป่าเขา และมีบางส่วนที่ไม่อยากตายจึงถือโอกาสในช่วงเดือนมืดลมแรง ลอบเข้ามายังคฤหาสน์ของมนุษย์ธรรมดาเพื่อดูดกลืนแก่นแท้และเลือดของมนุษย์ ดำดิ่งสู่หนทางปีศาจ

    มังกรน้อยที่ดูประหนึ่งแมลงสี่ขาตัวนี้น่าจะเป็นภูตมังกรอายุน้อยตัวหนึ่ง ความยาวยังไม่ถึงหนึ่งฉื่อ ไม่นึกเลยว่าจะหัดดูดเลือดทำร้ายคนเสียแล้ว

    เล่อเยวี่ยมองรอยเขี้ยวบนแขนขวา ยังดีที่กัดไม่เข้าเนื้อ ครั้นแล้วเขาก็ยกมือขวาขึ้นดีดศีรษะของภูตมังกรน้อย “บังอาจมาดูดเลือดของข้า ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วรึ คอยดูข้าจะไม่เลื่อยเขาของเจ้า แต่จะถลกหนังดึงเอ็นเจ้าออกมาทำหน้าไม้!”

    ภูตมังกรน้อยตัวสั่นเทิ้มอยู่ในมือของเล่อเยวี่ย กรงเล็บหน้าทั้งสองข้างประสานเข้าด้วยกัน มองเล่อเยวี่ยด้วยนัยน์ตาดำขลับที่คลอไปด้วยน้ำตา “ข้า…ข้ามิใช่ภูตมังกร…”

    ไม่นึกเลยว่าจะพูดได้

    เล่อเยวี่ยมุ่นคิ้วอีกครา ยามภูตมังกรถือกำเนิดนั้นปราศจากพลัง บางส่วนแม้ว่าจะฝึกฝนหลายร้อยปีก็ยังไม่อาจแปลงกายเป็นมนุษย์หรือพูดภาษามนุษย์ได้

    ภูตมังกรน้อยยังคงตัวสั่นเทิ้มมองเขาอย่างน้ำตาคลอหน่วย “ข้ามิได้คิดดูดเลือดของเจ้า…ข้าต้องการตามหาลั่วหลิงจือ…ไยเจ้าถึงมิใช่ลั่วหลิงจือล่ะ…”

    คิ้วของเล่อเยวี่ยยิ่งขมวดยุ่ง “ลั่วหลิงจือรึ ลั่วหลิงจืออยู่สำนักชิงเสวียน ไฉนเจ้าถึงคลำทางเข้ามายังสำนักชิงซานของพวกเราได้”

    ภูตมังกรน้อยใช้กรงเล็บหน้าข่วนง่ามนิ้วของเล่อเยวี่ยเบาๆ “ขะ…ขะ…ข้าต้องการตามหาลั่วหลิงจือจริงๆ ที่ข้ากัดเจ้านั้นเป็นเพราะข้าเข้าใจว่าเจ้าคือลั่วหลิงจือ ข้ามิได้อยากดูดเลือด ข้าก็แค่…”

    เล่อเยวี่ยหรี่ตา “ก็แค่อันใด”

    ภูตมังกรน้อยสั่นระริกก่อนก้มหน้าลง

    เล่อเยวี่ยบีบลำคอของมัน จับเขย่าไปมา

    “ตามความหมายของเจ้า เดิมทีเจ้าอยากดูดเลือดของลั่วหลิงจือ ทว่ามาผิดที่ เข้าใจว่าสำนักชิงซานคือสำนักชิงเสวียน จึงทำร้ายข้าเช่นนี้หรือ”

    ภูตมังกรน้อยผงกศีรษะสุดชีวิตทันที กรงเล็บเล็กๆ ทั้งสี่ตะกุยกลางอากาศสองสามครั้ง เอ่ยอีกว่า “ข้าไม่คิดดูดเลือด เป็นความจริง”

    เล่อเยวี่ยลูบคาง “โอ้ เช่นนั้นเจ้าตามหาลั่วหลิงจือเพื่ออันใด”

    ภูตมังกรน้อยคอตก ไม่ปริปากอีก

    เล่อเยวี่ยเอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้า “รู้สึกว่าเขาคือศิษย์เอกแห่งสำนักชิงเสวียนใช่หรือไม่ เลือดยิ่งหายากนัก ดื่มแล้วยิ่งมีประโยชน์ต่อการฝึกฝนของเจ้าใช่หรือไม่”

    ภูตมังกรน้อยเงยหน้าตัวสั่นเทิ้ม “ข้าไม่…”

    เล่อเยวี่ยบีบมันแน่นและเขย่าไปมา “เจ้ามิใช่ภูตมังกรรึ เจ้ามาผิดทางรึ เจ้าทำให้ข้าจอมยุทธ์เล่อน้อยเป็นคนเขลา นำเรื่องหลอกเด็กสามขวบมาหลอกข้ารึ บอกมา เจ้ามาด้วยเหตุใดกันแน่! เบื้องหลังมีปีศาจตนอื่นบงการอยู่หรือไม่! อย่าได้คิดดึงลั่วหลิงจือมาตบตาแล้วผ่านไป! พวกเราสำนักชิงซานและสำนักชิงเสวียนแม้จะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ ทว่าพิชิตปีศาจสยบมารเป็นกิจสำคัญอันดับหนึ่งของสำนักฝึกตน แต่ไหนแต่ไรข้าไม่เคยไว้หน้าผู้ที่เข้าสู่หนทางปีศาจ ทางที่ดีเจ้ารีบรับสารภาพมาเสียดีกว่า มิเช่นนั้น…” เล่อเยวี่ยเผยฟันขาวอันน่าหวาดหวั่นท่ามกลางแสงไฟสีเหลืองจากตะเกียงน้ำมัน “ข้าจะเลื่อยเขาของเจ้าก่อน จากนั้นถลกเกล็ดของเจ้า เราะเส้นเอ็นเจ้าออกมา เอาเจ้าไปตากแห้งแล้วนำมาทำเป็นยา!”

    ภูตมังกรน้อยสะบัดตัวพัลวัน พยายามดิ้นหนีอย่างสุดชีวิต ก่อนใช้กรงเล็บตะกุยมือของเล่อเยวี่ย แล้วก้มลงกัดหัวแม่มือของเขา

    เล่อเยวี่ยคว้าเขาของภูตมังกรน้อยแล้วดึงนิ้วออกจากปากมัน ทว่าเจ้ามังกรพลันพองแก้มขึ้นเล็งไปยังใบหน้าของเล่อเยวี่ยและพ่นลูกไฟลูกหนึ่งออกมา

    เล่อเยวี่ยเอ่ยอย่างประหลาดใจ “โอ้ เจ้าพ่นไฟได้ด้วยรึ”

    ลูกไฟน้อยขนาดเพียงเมล็ดถั่ววานโต้ว* สองสามดวงพุ่งมาอย่างสะเปะสะปะ เล่อเยวี่ยรั้งรอให้มันลอยมาถึง ก่อนเป่าลมใส่เบาๆ ลูกไฟก็ดับเสียแล้ว

    ภูตมังกรน้อยกระเสือกกระสนอยู่หลายครั้ง ปากพึมพำท่องคำอยู่หลายประโยค ก่อนเกิดสายฟ้าสามเส้นกลางอากาศและผ่าไปยังมือขวาของเล่อเยวี่ย!

    สายฟ้าเล็กบางราวกับเส้นผม ยามผ่าลงบนหลังมือก็ให้รู้สึกคันๆ ชาๆ เล็กน้อยคล้ายมดไต่

    เล่อเยวี่ยมองไปยังมือขวา ก่อนมองไปยังภูตมังกรน้อยอีกครั้ง เขาจึงถือโอกาสไม่ขยับหนีเสียเลย

    ภูตมังกรน้อยสูดลมหายใจลึกหนึ่งเฮือก หนังท้องและแก้มพองขึ้น มันเล็งไปยังเล่อเยวี่ยอีกครั้งแล้วพ่นละอองน้ำออกมาผืนหนึ่ง

    เล่อเยวี่ยสัมผัสได้ถึงความเย็นหลายหยดบนใบหน้า ก่อนยกแขนเสื้อขึ้นเช็ด “บังอาจพ่นน้ำลายใส่หน้าข้า ข้าจะเราะฟันเจ้าออกมาก่อนก็แล้วกัน!”

    ภูตมังกรน้อยชะงักไปอย่างตกใจ ก่อนหลับตาทั้งสองข้างลง น้ำตาสองสายไหลลงมาจากหางตา “เจ้าฆ่าข้าเสียเถิด เป็นความผิดมหันต์ของข้า แต่ไหนแต่ไรชะตาชีวิตข้าควรเป็นเช่นนี้ ทว่าเจ้าฆ่าเทพมังกรตายจะต้องประสบกับบทลงโทษของสวรรค์ หลังจากข้าตายแล้วจะใช้วิญญาณบอกท่านพ่อ ขอให้เขาอภัยให้เจ้า”

    เทพมังกร?

     

    เล่อเยวี่ยชูมังกรน้อยสีทองแวววาวตัวนี้ขึ้น เพ่งพิจารณาอีกครั้ง ก่อนหัวเราะเยาะ “นี่ พูดเป็นเล่นน่า เจ้าคือเทพมังกรรึ”

    มังกรน้อยลืมตาสีดำเงาทั้งสอง “ประเดี๋ยวข้าก็ถูกฆ่าตายแล้วไยยังต้องโกหกเจ้า ถูกมนุษย์กำราบได้ บอกว่าข้าคือเทพมังกรมีแต่จะทำให้ข้ายิ่งอัปยศอดสูขึ้นเท่านั้น”

    มังกรน้อยหลับตาทั้งสองลงอีกครา ราวกับนักรบคุณธรรมสูงส่งที่กำลังยืดคอรอความตาย ชั่วพริบตาเดียวเล่อเยวี่ยรู้สึกว่าตนกลับกลายเป็นอันธพาลที่ข่มเหงผู้บริสุทธิ์รังแกผู้อ่อนแอเสียแล้ว

    มังกรน้อย เป็นเจ้าที่ลอบปีนเข้ามาในห้องข้ากลางดึก แทะแขนของข้า เพราะพลังเวทต่ำเกินไปจึงถูกข้าจับไว้ได้ ไฉนยามนี้ดูเหมือนเจ้ากับข้าจะสลับตำแหน่งกัน แล้วข้าเพียงขู่ขวัญเจ้าสองประโยค เจ้าต้องเศร้าสลดใจเช่นนี้ด้วยรึ

    เล่อเยวี่ยถอนใจเฮือกหนึ่ง ช่างเถิด จอมยุทธ์ไม่ลดตัวไปพิพาทกับดักแด้ เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “เจ้าลองมองตนเอง ยาวยังไม่ถึงหนึ่งฉื่อ ซ้ำพลังเวทยังอ่อนด้อยเยี่ยงนี้ แล้วบอกว่าเจ้าคือเทพมังกร เจ้าจะให้ข้าเชื่อได้อย่างไรกัน”

    มังกรน้อยลืมตาอีกครั้ง เมื่อครู่ที่เล่อเยวี่ยเพิ่งบอกว่ามันตัวเล็ก พลังเวทอ่อนด้อย ได้แทงใจดำของมัน ทำร้ายความนับถือตนในฐานะมังกรของมัน

    “เจ้าปล่อยข้า ข้าจะพิสูจน์ให้เจ้าดู”

    เห็นสีหน้าลังเลของเล่อเยวี่ยแล้ว มังกรน้อยจึงเอ่ยต่ออย่างเยือกเย็น “เจ้ากังวลสิ่งใดกัน ข้ามิใช่ปรปักษ์ของเจ้า อีกทั้งการหลบหนีนั้นข้ารังเกียจยิ่งนัก”

    แล้วที่เจ้าเจาะกระดาษหน้าต่าง ลอบปีนเข้าห้องนอน ซ้ำยังแอบกัดคนอื่นนั่นไม่รังเกียจรึ เล่อเยวี่ยเลือกจะไม่พูดประโยคนี้ออกมาอย่างใจกว้างยิ่งนักก่อนถอนใจเอ่ย “เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนี้ ข้าก็จะเชื่อเจ้าสักครั้ง”

    อย่างไรเสียมังกรน้อยตัวนี้หากเป็นภูตมังกรก็น่าจะโง่เขลาที่สุดในบรรดาภูตมังกรเช่นกัน ถึงหลบหนีไปก็ไม่น่าเสียดาย

    เล่อเยวี่ยวางมังกรน้อยลงบนผ้าห่ม

    มังกรน้อยทะยานจากเตียงลงสู่พื้นก่อนเลื้อยไปยังกลางห้อง ก่อนพึมพำซ้ำยังท่องประโยคบางอย่าง ทั่วทั้งร่างมันพลันมีควันสีขาวพวยพุ่งขึ้นมาสายหนึ่ง ท่ามกลางควันสีขาวยังมีเปลวไฟพุ่งออกมาพร้อมกับเสียงดังปัง เปลวไฟลุกไหม้และปล่อยควัน เล่อเยวี่ยสำลักเสียจนไอออกมาสองครั้ง ท่ามกลางควันและไฟมีแสงสีทองสายหนึ่งเปล่งออกมาอย่างเชื่องช้า ใจกลางห้องปรากฏเงาคนออกมารางๆ

    “นี่คือศาสตร์การแปลงกายเป็นมนุษย์ เนื่องจากข้าเพิ่งใช้เมื่อไม่นานมานี้ครั้งหนึ่ง ดังนั้นครั้งนี้จึงค่อนข้างสิ้นเปลืองพลังเวท”

    ไฟมอดดับลงแล้ว ควันสีขาวค่อยๆ จางหายไป รูปโฉมเงาคนที่ยืนอยู่กลางห้องค่อยๆ ชัดเจน ห้องของเล่อเยวี่ยพลันสว่างขึ้นมาในชั่วพริบตา

    ผู้ที่ยืนตรงตำแหน่งของมังกรน้อยเมื่อครู่ คือเด็กหนุ่มรูปงามที่ดูเหมือนว่าจะอายุอ่อนกว่าเล่อเยวี่ยประมาณสองสามปีผู้หนึ่ง อีกฝ่ายเกล้าผมครอบเกี้ยวทอง สวมเสื้อคลุมตัวนอกสีทองนวลขลิบขอบเงิน เสื้อตัวในสีเงินยวง บนเสื้อคลุมตัวนอกพิมพ์ลายน้ำรูปริ้วใบของพืชน้ำ ยามเสื้อผ้าขยับเบาๆ ลวดลายนั้นราวกับพลิ้วไหวอยู่กลางน้ำก็ไม่ปาน ใบหน้าเกลี้ยงเกลากระจ่างดุจดวงจันทร์บริสุทธิ์ ไอเซียนแผ่ออกมา สูงสง่าน่ายำเกรง

    เล่อเยวี่ยอุทานในใจ แต่เดิมสีทองและสีเงินก็เป็นสีที่แตกต่างจากสีทั่วๆ ไปอยู่แล้ว เมื่อสวมอยู่บนร่างกายคนก็พลันทำให้ผู้นั้นดูสูงส่งล้ำค่าขึ้นทันใด

    ในมือของเด็กหนุ่มถือมุกสว่างพร่างพราวเม็ดหนึ่ง ตัวมุกดูเหมือนว่าจะล้อมรอบไปด้วยแสงเจ็ดสีจางๆ เห็นลายมังกรสีทองกำลังเคลื่อนไหววนเวียนอยู่ในมุก

    เด็กหนุ่มเอ่ย “มุกมังกรรัศมีเซียนเจ็ดสีคือข้อพิสูจน์ของเทพมังกร เจ้าคือผู้ฝึกฝนหนทางเซียน คงจะรู้กระมัง”

    เล่อเยวี่ยนั่งอยู่บนเตียงพลางผงกศีรษะ “อืม เคยได้ยิน เช่นนี้ดูเหมือนว่าเจ้าคือเทพมังกรโดยแท้”

    มังกรที่มีมุกมังกรอย่างน้อยที่สุดคือระดับมังกรเมฆาหรือมังกรวารี อีกทั้งภูตมังกรเองก็ไม่อาจแปลงกายเป็นมนุษย์อายุน้อยเช่นนี้ได้เช่นกัน ดูเหมือนว่ามังกรน้อยตัวนี้มิใช่ภูตมังกรอย่างแน่นอน

    เด็กหนุ่มยิ้มบางพลางเก็บมุกมังกร

    เล่อเยวี่ยเอ่ย “ทว่า…เทพมังกรไม่ควรมายังโลกมนุษย์มิใช่หรือ ไยเจ้าต้องตามหาลั่วหลิงจือ”

    สีหน้าของเด็กหนุ่มตึงเครียด มิเปล่งวาจา

    เล่อเยวี่ยเอ่ย “ช่วยไม่ได้ หากความลับของสวรรค์มิอาจเปิดเผย ข้าก็จะไม่ถามให้มากความอีก”

    เด็กหนุ่มเดินไปยังข้างโต๊ะตรงมุมห้องและลากเก้าอี้ตัวหนึ่งออกมานั่ง “ข้ามายังโลกมนุษย์เพื่อตามหาคน วันนี้ข้าอยู่ในพงหญ้าตรงเชิงเขาและพบเจ้ากับลั่วหลิงจือ ข้ารู้สึกว่าเขาน่าจะเป็นผู้ที่ข้ากำลังตามหา ข้าใช้ศาสตร์แห่งการอำพรางกายไม่เป็น ด้วยกลัวว่าจะถูกมนุษย์พบเข้าจึงวางแผนอาศัยยามฟ้ามืดไปยังสำนักชิงเสวียนตามหาเขาเพื่อพิสูจน์ ข้าจำได้ชัดว่าเข้าประตูสำนักที่เขียนว่าสำนักชิงเสวียน แต่ไม่รู้ว่าไฉนจึงมาอยู่ที่สำนักของเจ้าได้ ข้าบอกเจ้าได้เพียงเท่านี้ เรื่องอื่นของสวรรค์นั้นมิอาจบอกได้”

    เล่อเยวี่ยดึงผ้าห่มออกแล้วมานั่งบนขอบเตียง “อ้อ สำนักพวกเราปัจจุบันเรียกว่าสำนักชิงซาน ทว่าหนึ่งร้อยปีก่อนเรียกว่าสำนักชิงเสวียน ประตูสำนักตรงเชิงเขาถูกสร้างขึ้นในตอนนั้น ถึงได้แกะสลักคำว่าสำนักชิงเสวียนไว้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เจ้ามาผิดทาง ต้องขออภัยด้วยจริงๆ”

    เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น ก่อนยิ้มอย่างเขินอาย “เช่นนั้นเป็นข้าที่ผิดเอง หาใช่ความผิดของประตูสำนักเจ้าไม่ เจ้ามิต้องขอโทษข้าหรอก”

    เล่อเยวี่ยเองก็ยิ้มเช่นกัน เขาลุกขึ้นเดินไปยังด้านหน้าโต๊ะที่เด็กหนุ่มนั่งอยู่และยกกาน้ำชาขึ้นรินน้ำชาจอกหนึ่งวางไว้ข้างมือเด็กหนุ่ม “เมื่อครู่เกิดการเข้าใจผิดเล็กน้อยจึงเอะอะเอ็ดตะโรไม่สบอารมณ์ไปหน่อย ข้าต้องขออภัยด้วย น้องมังกรอย่าได้ถือสา”

    เขาเรียกเด็กหนุ่มอย่างเป็นกันเองว่าน้องมังกรโดยไม่รู้ตัว ท่าทีต่างจากเมื่อครู่มากโข เด็กหนุ่มพลันรู้สึกทำตัวไม่ถูก “อึก…มิเป็นอันใด เดิมที…เดิมทีเป็นข้าที่ล่วงเกินเจ้าก่อน”

    เล่อเยวี่ยลากเก้าอี้ออกมานั่งลงข้างๆ เอ่ยต่ออย่างสนิทสนม “ข้าเห็นว่าร่างมนุษย์ของเจ้านั้นเด็กกว่าข้า ยามร่างมังกรเองก็…ท่าทางอายุน้อยยิ่งนัก จึงถือวิสาสะเรียกเจ้าว่าน้องชาย ข้านามเล่อเยวี่ย เป็นศิษย์ลำดับที่หนึ่งแห่งสำนักชิงซาน ไม่ทราบว่าน้องมังกรนามว่าอันใด อายุเท่าใด”

    ตั้งแต่มันเกิดมาก็ประสบความทุกข์ทรมานจากความตาขาวด้วยกันกับท่านพ่อ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีผู้ใดสนทนากับมันฉันมิตร จู่ๆ พลันเจอะเจอไมตรีจิตเช่นนี้ มันจึงตื่นตะลึงเล็กน้อยก่อนแสร้งทำเป็นสงบเยือกเย็นสุดชีวิตและเอ่ยตอบ “อืม ข้านามว่าเจาหยวน อีกห้าปีก็จะอายุหนึ่งร้อยปีแล้ว”

    เล่อเยวี่ยยิ้มเอ่ย “โอ้ ที่แท้ไม่ใช่น้องชาย ควรเรียกว่าพี่เจา”

    มันเอ่ยอย่างอึกอัก “เจ้า…เรียกข้าว่าเจาหยวนก็พอ” พี่เจา สองคำนี้ทำให้มันยากจะต้านทานเล็กน้อย

    เล่อเยวี่ยเอ่ยตรงไปตรงมายิ่งยวด “ดี เช่นนั้นเจ้าก็เรียกข้าว่าเล่อเยวี่ยเถิด ขานชื่อกันเรียบร้อย เจ้ากับข้าจากนี้ไปก็นับว่าเป็นสหายกันแล้ว ในเมื่อเป็นสหายกันแล้ว มีเรื่องบางอย่างที่ข้าจำต้องบอกเจ้าเสียก่อน”

    สหาย สองคำนี้ทำเอาใจของมันเต้นตุบๆ เร็วรี่จนคล้ายจะหน้ามืด

    นอกจากท่านพ่อแล้ว ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามันล้วนถูกเหยียดหยาม ถูกทอดทิ้ง ไม่มีผู้ใดยินยอมเป็นสหายกับมัน บัดนี้คาดไม่ถึงเลยว่ามนุษย์ผู้นี้จะบอกว่าตนเองและเขาเป็นสหายกัน

    ที่แท้ท่ามกลางมนุษย์นั้นมีผู้คนมากมายโดยแท้ ล้วนเป็นคนดียิ่งนัก

    มันเงยหน้ามองเล่อเยวี่ยด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความจริงใจพลางร้องอืม

    ท่าทางของเล่อเยวี่ยเปลี่ยนไปเคร่งขรึม “เจาหยวน คืนนี้เจ้ามาผิดที่ ซ้ำยังล่าช้ามาเป็นเวลานานเช่นนั้น รีบไปยังสำนักชิงเสวียนเกรงว่าจะไม่ทันการณ์แล้ว ดูเหมือนว่าเจ้าคิดที่จะไปยังสำนักชิงเสวียนอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ใช่หรือไม่”

    เจาหยวนผงกศีรษะ

    เล่อเยวี่ยเอ่ย “ข้าต้องปลุกเจ้าตื่นจากฝันเสียก่อน สำนักชิงเสวียนเป็นสำนักที่ใหญ่โตมากสำนักหนึ่ง ไม่เหมือนเช่นสำนักชิงซานของพวกเราที่ทั้งต่ำต้อยทั้งผุพัง การเฝ้ารักษาการณ์เข้มงวดกวดขัน ทุกราตรีล้วนมีผู้ที่วิชาเวทแกร่งกล้ามากมายเฝ้ายามออกตรวจตรา หากเจ้าเร้นกายเข้าไป ไม่ต้องพูดถึงห้องนอนของลั่วหลิงจือที่เป็นถึงศิษย์เอก เกรงว่ายังไม่ทันพ้นประตูทางเข้าหรือกำแพงโดยรอบ เพียงสิบก้าวก็ถูกพบตัวเอาได้ คนของสำนักชิงเสวียนล้วนไม่ค่อยฟังเหตุผล ข้าบอกความจริงประโยคหนึ่งให้ นี่อาจทำให้เจ้าขุ่นเคืองใจ แต่เจาหยวน เจ้าดูไม่เหมือนเทพมังกรโดยแท้ อีกทั้งมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาอย่างแน่นอน หลังจากที่เจ้าถูกจับได้ หากคนของสำนักชิงเสวียนไม่เข้าใจเหตุผลไม่ฟังเจ้าชี้แจงเหมือนเช่นข้า เจ้าน่าจะเคยได้ยินมาบ้าง พวกเราโลกมนุษย์เริ่มนับถือหงส์ลดขั้นมังกรเนื่องจากจักรพรรดิเฟิ่งเสียง โดยเฉพาะสำนักสุนัขรับใช้ที่กอดขาราชวงศ์อย่างสำนักชิงเสวียนยิ่งราวกับไม่อาจอยู่ร่วมใต้ฟ้าเดียวกันกับมังกรได้ หากคนของสำนักชิงเสวียนจับเจ้าได้ เกรงว่าแม้แต่ประโยคเดียวก็จะไม่ให้เจ้าพูด ไม่รีรอมือเงื้อแทงมีด ฉัวะ…เฮ้อ…”

    เล่อเยวี่ยส่ายศีรษะพลางทอดถอนใจ ท่าทางของเจาหยวนแข็งทื่อขึ้นอย่างช้าๆ “ทว่าข้า…”

    ทว่าข้าจะต้องเข้าไปยังสำนักชิงเสวียนให้ได้ จะต้องพบลั่วหลิงจือให้ได้ จะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเขาคือคนผู้นั้นหรือไม่ มิเช่นนั้น…

    เพียงแต่ หากเป็นจริงดังที่เล่อเยวี่ยว่ามาทั้งหมด…

    มันกำหมัดแน่นพลางขยำสาบเสื้อเสียจนยับยู่ยี่

    เล่อเยวี่ยสังเกตท่าทางของมันอย่างสงบเยือกเย็น ก่อนทอดถอนใจอีกครา “ทว่า…ข้ามีวิธีที่จะทำให้เจ้าได้สมดังใจปรารถนา”

    เจาหยวนเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ

    เล่อเยวี่ยเอ่ย “เจ้าบอกว่าอยากตามหาลั่วหลิงจือเพื่อพิสูจน์ วิธีพิสูจน์นี้คือต้องการเลือดของเขาใช่หรือไม่”

    เจาหยวนผงกศีรษะอย่างเชื่องช้า

    เล่อเยวี่ยยิ้มเอ่ย “หากเป็นเช่นนี้ นั่นก็เป็นเรื่องง่ายแล้ว หลังจากนี้ไม่กี่วัน สำนักชิงเสวียนและพวกเราสำนักชิงซานล้วนต้องเข้าร่วมงานประลองยุทธ์ ในเมื่อเจ้าแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ เปลี่ยนแปลงเสื้อผ้าได้ ก็ย่อมปะปนอยู่ท่ามกลางลูกศิษย์ของพวกเราสำนักชิงซานไปเข้าร่วมด้วยกันได้ ลั่วหลิงจือคือศิษย์เอก จะต้องมายังสนามประลองอย่างแน่นอน เขาเก่งกาจพอควร ท่ามกลางลูกศิษย์รุ่นเดียวกันของแต่ละสำนักในใต้หล้า มีเพียงข้าที่เอาชนะเขาได้ ด้วยเหตุนี้ข้ากับเขาจะต้องสู้กันอย่างแน่นอน ถึงเวลาข้าจะฉวยโอกาสฟันเขาแทนเจ้ากระบี่หนึ่ง เอาหยดเลือดมาให้เจ้า เท่านี้ก็ได้แล้วมิใช่รึ เจ้าคิดว่าวิธีนี้ดีหรือไม่”

    เสียงลูกคิดอันน้อยในใจของเล่อเยวี่ยกำลังดังต๊อกแต๊กขึ้นๆ ลงๆ หลังจากที่บุกลุยไปถึงปลายสุดของภูเขาและแม่น้ำก็พลันตื่นเต้นที่ได้เห็นแสงสว่าง

    เจ้ามังกรโง่ตัวนี้คือผู้ที่สวรรค์ส่งมาแทนน้องสิบสองโดยแท้ ใช้งานได้ทันท่วงทีจริงๆ

    หลังจากที่เจาหยวนฟังคำพูดของเล่อเยวี่ยแล้วสองตาก็เปล่งประกาย สีหน้าเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ ก่อนผงกศีรษะ “อื้อ ข้าคิดว่านี่คือวิธีที่ดี เพียงแต่…อาจมีบางอย่างที่ต้องรบกวนเจ้า”

    เล่อเยวี่ยระเบิดความปีติยินดี “มิรบกวน มิรบกวน”

    เขารู้สึกว่าสิ่งที่ตนพูดกับเจาหยวนเหล่านั้นไม่นับเป็นคำเท็จ ข้อตกลงรายการนี้มีผลประโยชน์ร่วมกัน เจ้ามังกรโง่ตัวนี้ไม่เสียเปรียบแต่อย่างใด เล่อเยวี่ยยิ้มระรื่นมองเจาหยวนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจและพลันรู้สึกว่าตนนั้นช่างมีจิตใจสูงส่ง

    เล่อเยวี่ยยิ้มเสียจนดอกไม้ตามภูเขาเบ่งบาน “เพียงแต่…ข้าต้องบอกอาจารย์เจ้าสำนักและเหล่าอาจารย์อา เจ้าวางใจ พวกเขาเป็นคนดี ข้าจะปิดบังเรื่องที่เจ้าเป็นมังกรไว้ เมื่อฟ้าสางแล้วข้าก็จะพาเจ้าไปพบพวกเขาเอง”

    เจาหยวนผงกศีรษะอีกครั้ง “อือ เช่นนั้นก็ทำตามวิธีที่เจ้าว่าเถิด”

    เล่อเยวี่ยยกน้ำชาที่เพิ่งรินไว้ใส่ในมือของเจาหยวน “มา เจ้าดื่มชาจอกนี้ก่อน แล้วพวกเราค่อยว่ากันต่อ อีกไม่นานฟ้าคงสว่างแล้ว”

    เจาหยวนยกจอกดื่มน้ำชาอึกหนึ่ง น้ำชาของโลกมนุษย์ กลิ่นช่างวิเศษยิ่งนัก

    มันพยายามถือจอกพลางพูดคุยกับเล่อเยวี่ย “ข้าถามเจ้าเรื่องหนึ่งได้หรือไม่”

    เล่อเยวี่ยพยักหน้าทันที “ถามตามสบายเถิด”

    เจาหยวนยิ้มอย่างกระดากอาย เอ่ยถามเสียงเบา “พวกเจ้าสำนักชิงซานและสำนักชิงเสวียนมีความแค้นกันใช่หรือไม่”

    ก่อนหน้านี้ที่พบเล่อเยวี่ยและลั่วหลิงจือตรงเชิงเขาก็ดูไม่ค่อยเป็นมิตรกัน เมื่อครู่ได้ฟังเล่อเยวี่ยพูดถึงสำนักชิงเสวียน ดูเหมือนว่าไม่ค่อยชอบใจเท่าไรนัก

    เล่อเยวี่ยเอ่ย “อ้อ ใช่แล้วล่ะ พวกเราคือศัตรูคู่อาฆาต ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกันได้”

    เขาเล่าเรื่องราวต้นสายปลายเหตุของความพยาบาทระหว่างสำนักชิงซานกับสำนักชิงเสวียนและเหตุการณ์บุญคุณความแค้นตลอดหลายปีที่ผ่านมาอย่างน้ำไหลไฟดับ พูดไปครึ่งชั่วยามเต็ม จนจวนจะถึงตอนสุดท้ายแล้ว

    เล่อเยวี่ยหายใจเฮือก ก่อนดื่มชาอึกหนึ่งให้ชุ่มคอ “สำนักชิงเสวียนนับตั้งแต่สมัยของเต๋อจงจื่อเป็นต้นมา เพื่อความเจริญรุ่งเรืองจึงกอดขาราชสำนักไว้แน่นโดยเฉพาะเมื่อลับหลังพวกเรา ครั้งหนึ่งอาจารย์ลุงฝ่ายฆราวาสของอาจารย์ข้ายามสมรสได้ติดกระดาษตัดลายมงคลรูปมังกรหงส์อำนวยพรแผ่นหนึ่ง คนของสำนักชิงเสวียนใช้เรื่องนี้กล่าวหาว่าการนำภาพมังกรมาเทียบคู่พญาหงส์เป็นการลบหลู่ฝ่าบาท รายงานต่อราชสำนัก ครอบครัวของอาจารย์ลุงท่านนั้นจึงถูกริบทรัพย์สิน อีกนิดเดียวแม้แต่ชีวิตก็หาไม่แล้ว”

    ทันใดนั้นจอกชาในมือของเจาหยวนบังเกิดเสียงดังแกรก ก่อนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

    เล่อเยวี่ยมองอย่างประหลาดใจ เห็นเพียงเจาหยวนใบหน้าเต็มไปด้วยความเดือดดาลพลางกัดฟันกรอด “จักรพรรดิของโลกมนุษย์ดูถูกเหยียดหยามเผ่ามังกรจนถึงบัดนี้โดยแท้ แม้ว่าจักรพรรดิองค์นั้นจะได้ราชบัลลังก์มาจากการพึ่งพาเผ่าหงส์ ทว่าบรรพบุรุษของเขาก็ถูกเลือกโดยพวกเราเทพมังกรผู้พิทักษ์ถึงสถาปนาราชวงศ์ปัจจุบันขึ้นมาได้ เป็นการเนรคุณอย่างแท้จริง!”

    เล่อเยวี่ยกะพริบตา

    นั่น…กำลังพูดอันใด

    เล่อเยวี่ยลองถาม “อึก…เจาหยวน เจ้ากำลังพูดถึง…เทพมังกรผู้พิทักษ์ใช่หรือไม่”

    เจาหยวนสีหน้าเปลี่ยนฉับพลัน แววตาตื่นตะลึง สีหน้าซีดเผือด สองมือสั่นเทาเล็กน้อยอย่างสับสน ชิ้นส่วนของจอกที่ถูกมันบดขยี้ร่วงกราวตกลงบนพื้น

    ในใจของเล่อเยวี่ยปั่นป่วนอย่างรุนแรง โอ้ ดูเหมือนว่าจะได้ยินเรื่องเหลือเชื่อเข้า

    เทพมังกรผู้พิทักษ์…ถ้าหากเจ้ามังกรโง่ตัวนี้คือเทพมังกรผู้พิทักษ์ในตำนานนั่นจริง…เช่นนั้นที่เจ้านี่ตามหาลั่วหลิงจือคงมิได้…

    จักรพรรดิสวรรค์อวี้หวงต้าตี้* เทพเจ้าไท่ซั่งเหล่าจวิน** วันนี้ช่างเป็นวันที่ไม่ธรรมดาเสียจริง! ข้าล่วงรู้ความลับอันยิ่งใหญ่ของสวรรค์เข้าแล้ว! หากความลับนี้เป็นเรื่องจริงล่ะก็ เช่นนั้นข้าต้องตาย ต้องตายอย่างแท้จริง สวรรค์ ข้าจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ก็แล้วกัน!

    เล่อเยวี่ยกระแอมกระไอเสียงหนึ่ง ก่อนแสร้งยิ้มอย่างสงบเยือกเย็น “ฮ่าๆ เป็นข้าที่ฟังผิดเอง ข้าไม่รู้อันใดทั้งนั้น ฮ่าๆ มา เจาหยวน พวกเรามาคุยกันต่อ ข้าจะบอกเจ้า พวกเราสำนักชิงซานน่ะ…”

    เจาหยวนทั้งร่างสั่นเทิ้ม มองเขาเขม็งด้วยสีหน้าซีดเผือด “ไม่ เจ้าจะต้องคาดเดาได้แล้วอย่างแน่นอน”

    เล่อเยวี่ยรีบร้อนส่ายศีรษะ “เปล่าๆ ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าหมายความว่าอย่างไร อันใดข้าก็ล้วนไม่…”

    เจาหยวนลุกขึ้นคว้าแขนของเขาแน่น “มิผิด ข้าคือเทพมังกรผู้พิทักษ์ เจ้าต้องช่วยข้ารักษาความลับ หากถูกเผ่าหงส์รู้เรื่องนี้เข้า เผ่าพันธุ์พวกเราจะไม่มีวันแก้ตัวได้ตลอดกาล” หยาดน้ำตาเจาหยวนส่องประกาย ก่อนมองดวงตาทั้งสองของเล่อเยวี่ยอย่างวิงวอน “ข้าขอร้องเจ้า…”

    ในสมองของเล่อเยวี่ยว่างเปล่า ในมือมีเหงื่อซึมออกมา

    หากเป็นเรื่องจริง นั่นไม่ใช่เรื่องที่จะทำเป็นเล่นได้…

    เขาถอนใจสายหนึ่งพลางผงกศีรษะเอ่ย “เจ้าวางใจ ข้าไม่มีทางพูดเด็ดขาด หากที่เจ้าพูดเป็นเรื่องจริงแล้วข้าไปรายงาน ราชสำนักย่อมไม่ปล่อยให้ข้าได้มีชีวิตอยู่ต่อเด็ดขาด ไม่แน่ว่าอาจฆ่าพวกเราหมดสำนัก นับว่าเพื่อตนเองแล้ว ข้าก็จะทำเป็นไม่เคยได้ยินเรื่องนี้”

    เจาหยวนตกอยู่ในภวังค์มองเขาครู่ใหญ่ก่อนปล่อยมือออกอย่างช้าๆ

    เล่อเยวี่ยลูบหน้าผากก่อนถอนใจสายหนึ่ง “พูดไปแล้ว ข้าเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ข้ากำลังฝันอยู่ใช่หรือไม่”

     

    เทพมังกรผู้พิทักษ์ ทุกคนในใต้หล้าต่างรู้จัก เพียงแต่เล่อเยวี่ยคิดมาตลอดว่านั่นคือการพูดที่ไร้มูลความจริง

    เล่าลือกันว่าหลังจากผานกู่เบิกฟ้าแยกดิน* หนี่ว์วาใช้ดินเหลืองสร้างมนุษย์** บนโลกมนุษย์เรียกอย่างนับถือว่าพระแม่มารดรหรือพระแม่หนี่ว์วา หนี่ว์วาศีรษะเป็นมนุษย์กายเป็นงู เชื้อวงศ์พงศ์พันธุ์ของนางก็คือนาคา จักรพรรดิสวรรค์ได้ประทานเขามังกรและเกล็ดมังกรแก่เทพนาคาจึงได้กลายร่างเป็นมังกรในสระสวรรค์ คอยปกป้องประมุขของโลกมนุษย์นับจากบัดนั้น ปฏิบัติตามเจตจำนงของสวรรค์ คัดเลือกจักรพรรดิ ปกปักรักษาแผ่นดินของคนผู้นั้น หรือล้มล้างราชวงศ์เพื่อแต่งตั้งเจ้าแผ่นดินใหม่ เรียกว่าเทพมังกรผู้พิทักษ์

    เทพมังกรผู้พิทักษ์ไม่นับรวมอยู่ในสามระดับขั้นของเผ่าพันธุ์มังกร นับเป็นสายที่แยกมาต่างหาก เหตุผลหลักเนื่องเพราะการดำรงอยู่ของเทพมังกรผู้พิทักษ์ ทำให้มังกรเป็นที่สักการบูชาของโลกมนุษย์ ทุกยุคทุกสมัย มังกรล้วนเป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดิ ชุดคลุมของจักรพรรดิ ธงของแผ่นดิน และบนเครื่องใช้ของจักรพรรดิล้วนประดับตกแต่งด้วยมังกรเพื่อเป็นการให้เกียรติ จักรพรรดิในอดีตล้วนตั้งแท่นบูชาเซ่นไหว้เทพมังกร มังกรในสายตามนุษย์นั้นสื่อถึงอำนาจสูงสุด

    เล่าลือกันว่านอกจากเทพมังกรผู้พิทักษ์แล้ว สวรรค์ยังจัดตั้งเทพผู้พิทักษ์อีกสามสาย ได้แก่ พญาหงส์มีหน้าที่ปกป้องคุ้มครองมเหสีและชายา กิเลนคอยพิทักษ์ปกป้องวีรบุรุษผู้กล้าและขุนพลที่องอาจห้าวหาญในยามกลียุค เต่าวิเศษคอยปกปักรักษาขุนนางประเสริฐที่ดูแลบ้านเมืองให้สงบสุข

    ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามนุษย์จึงเล่าลือและบูชาบรรดาเทพผู้พิทักษ์ด้วยเหตุนี้ จนกระทั่งหนึ่งร้อยกว่าปีก่อน

    ยามนั้นจักรพรรดิเฉิงหยวนแห่งราชวงศ์อิงสวรรคต องค์รัชทายาทเหอซีจึงสืบราชบัลลังก์ตามพระพินัยกรรมมอบราชสมบัติ ทว่าองค์ชายเหอชั่งได้ยกพลแย่งชิงตำแหน่ง สรรเสริญตนว่ามีเทพหงส์ของพระมารดาคอยพิทักษ์

    เหอชั่งสังหารพี่ชายแย่งชิงบัลลังก์ เปลี่ยนนามรัชศกเป็นเฟิ่งเสียงตามพระนามที่ตั้งใหม่…จักรพรรดิเฟิ่งเสียง หลังจากจักรพรรดิเฟิ่งเสียงสืบราชบัลลังก์ก็ได้เปลี่ยนราชวงศ์เปลี่ยนการปกครอง เปลี่ยนชุดคลุมมังกรเป็นชุดคลุมหงส์ ธงมังกรประจำราชวงศ์เปลี่ยนเป็นธงหงส์ จัดตั้งแท่นบูชาขึ้นใหม่ ปลดตำแหน่งฐานะของเทพมังกรลงแล้วบวงสรวงเทพหงส์แทน ทั้งยังออกคำสั่งว่าภายในเขตวังหลวง ทุกแห่งที่ประดับด้วยมังกรให้เปลี่ยนเป็นหงส์ทั้งหมด หงส์มีทั้งตัวผู้และตัวเมีย จักรพรรดิตบแต่งด้วยหงส์ตัวผู้ มเหสีชายาตบแต่งด้วยหงส์ตัวเมีย ลดศักดิ์ขั้นเทพมังกรอย่างสิ้นเชิง รวมทั้งมีพระราชโองการไม่อนุญาตให้ใต้หล้าบูชาเทพมังกร หนึ่งร้อยกว่าปีให้หลังเทพหงส์จึงสูงศักดิ์เหลือคณานับ เทพมังกรถูกลดขั้นลงมาไม่รู้สิ้น ถึงกระทั่งเชิดชูการตามล่าภูตมังกร สี่สัตว์เทพผู้พิทักษ์เปลี่ยนเป็นเทพพญาหงส์ผู้พิทักษ์ เทพนางหงส์ผู้พิทักษ์ เทพกิเลนผู้พิทักษ์ และเทพเต่าผู้พิทักษ์ ส่วนการกล่าวถึงเทพมังกรผู้พิทักษ์มิอาจทำได้อย่างเปิดเผย ทำได้เพียงเล่าลือต่อกันลับๆ

    การกล่าวถึงเทพผู้พิทักษ์นั้นลี้ลับมหัศจรรย์เกินไป แม้ว่าเล่อเยวี่ยจะเป็นศิษย์เอกของสำนักบำเพ็ญเซียนก็ยังคงไม่ค่อยเชื่อตำนานประเภทนี้

    ทว่าในวันนี้เทพมังกรผู้พิทักษ์ได้มาอยู่ตรงหน้าแล้ว จะไม่เชื่อก็ค่อนข้างลำบาก

    เมื่อครู่เจาหยวนแพร่งพรายความลับของสวรรค์จึงหวาดหวั่นเกินไปเสียจนไม่อาจคงร่างมนุษย์ไว้ได้ ทำให้คืนสู่ร่างของลูกมังกรและไปคุดคู้อยู่บนเตียงของเล่อเยวี่ยมุดหัวเข้าไปในผ้าห่ม

    เล่อเยวี่ยมองไปยังร่างเล็กๆ ที่ตั้งแต่หัวจรดหางความยาวไม่ถึงหนึ่งฉื่อ หากว่ามังกรน้อยตัวนี้เป็นเทพมังกรผู้พิทักษ์จริง เขาก็เข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดเทพหงส์ช่วยองค์ชายช่วงชิงบัลลังก์และรับช่วงแทนเทพมังกรได้

    เล่อเยวี่ยตบผ้าห่ม “เอ่อ…เล่าลือกันว่าจักรพรรดิเฟิ่งเสียงยามนั้นได้อาศัยการสนับสนุนของเทพหงส์ถึงได้เป็นจักรพรรดิ ที่เทพหงส์เอาชนะเทพมังกรได้เป็นเรื่องจริงหรือไม่”

    ร่างของเจาหยวนขดตัว หัวที่แทรกอยู่ใต้ผ้านวมผงกเล็กน้อย ผ้านวมขยับขึ้นลงอย่างแผ่วเบา

    เล่อเยวี่ยลูบจมูก “ที่แท้คือเรื่องจริง เหตุใดเทพหงส์ผู้พิทักษ์ถึงกำราบพวกเจ้าเทพมังกรผู้พิทักษ์ได้ มังกรสมควรเก่งกาจกว่าหงส์มิใช่หรอกหรือ”

    ร่างของเจาหยวนแข็งทื่อ ไม่ขยับแม้แต่น้อย

    เรื่องนี้น่าจะแทงใจดำของมัน เกรงว่าอย่าไปทิ่มแทงอย่างไร้ความปรานีอีกดีกว่า ครั้นแล้วเล่อเยวี่ยก็เปลี่ยนคำถาม “หงส์แย่งชิงตำแหน่งของพวกเจ้า แล้วสวรรค์นิ่งดูดายหรือ ไปกราบทูลอวี้หวงต้าตี้ร้องทุกข์ก็ได้แล้วมิใช่รึ”

    กรงเล็บของเจาหยวนจับผ้าปูเตียงแน่น

    โธ่ๆๆ ดูเหมือนว่าเรื่องนี้เองก็แทงใจดำของเผ่าพันธุ์พวกมันเช่นกัน ก็ไม่ต้องถามต่อแล้วเถิด

    เล่อเยวี่ยชะงักไปครู่หนึ่ง และอดเอ่ยถามขึ้นอีกมิได้ “ครั้งนี้เจ้ามาตามหาลั่วหลิงจือเพราะต้องการให้เขาคิดแย่งชิงบัลลังก์ขึ้นเป็นจักรพรรดิใช่หรือไม่ เช่นนี้แล้วพวกเจ้าก็เอาชนะเทพหงส์ และเป็นเทพมังกรผู้พิทักษ์ใหม่อีกครั้งอย่างนั้นหรือ”

    เจาหยวนขยับขยุกขยิกชั่วครู่ ก่อนดึงหัวออกมาจากผ้านวม กะพริบสองตาที่บวมแดง “ลั่วหลิงจือมิได้คิดแย่งชิงบัลลังก์ เป็นหงส์ที่ต้องการให้ผู้อื่นคิดแย่งชิงบัลลังก์เพื่อเปลี่ยนราชวงศ์”

    เล่อเยวี่ยเบิกตากว้าง “ว่าอันใดนะ”

    เจาหยวนกลับมุดหัวเข้าไปในผ้านวมอีกครั้ง

    เล่อเยวี่ยถอนใจเฮือกหนึ่ง “เอาเถิด ถามอันใดไปเจ้าก็คงไม่ยอมตอบ ข้าเองก็จะไม่ถามแล้ว อย่างไรเสียความลับนี้ของเจ้า ยิ่งข้ารู้มากเท่าไรก็ยิ่งตายเร็วขึ้นเท่านั้น” เขาลุกขึ้นยืนพลางเดินไปยังข้างหน้าต่าง ฟ้าใกล้สว่างเต็มทีแล้ว

     

     

    * ศัตรูบนทางแคบ เป็นสำนวน หมายถึงการเผชิญกับเรื่องหรือสิ่งที่ไม่ปรารถนาโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

    * จั้ง เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน เทียบได้ระยะประมาณ 3.33 เมตร

    * ‘แค้นชิงชังย่อมมีอริ เป็นหนี้สินย่อมมีเจ้าหนี้’ เป็นสำนวน หมายถึงการจะเข้าใจเรื่องราวได้นั้นต้องสืบหาต้นตอของสาเหตุที่แท้จริงเสียก่อน

    * ชื่อสำนักชิงซาน แปลตรงตัวว่าเขาเขียว และสำนวน ‘เขาเขียวยังคงอยู่ มิต้องกลัวไร้ฟืนเผา’ หมายถึงตราบใดยังมีชีวิตอยู่ก็ยังมีโอกาสและความหวัง

    * ยามสาม หมายถึงยามจื่อ คือช่วงเวลา 23.00 น. ถึง 00.59 น.

    * ฉื่อ (เชียะ) เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน 1 ฉื่อ เท่ากับความยาว 10 ชุ่น หรือเทียบความยาวประมาณ 10 นิ้ว

    * ชุ่น เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน 1 ชุ่น เท่ากับความยาวประมาณ 1 นิ้ว

    * วานโต้ว หมายถึงถั่วลันเตา

    * อวี้หวงต้าตี้ หรือจักรพรรดิสวรรค์ (เทียนตี้) หมายถึงเง็กเซียนฮ่องเต้ เทพเจ้าผู้ปกครองสวรรค์ตามความเชื่อของศาสนาเต๋า ดูแลทั้งแดนสวรรค์ โลกมนุษย์ จรดเมืองบาดาล

    ** ไท่ซั่งเหล่าจวิน เป็นหนึ่งในสามวิสุทธิเทพ (ซานชิง) หมายถึงสามปฐมเทพสูงสุดตามหลักความเชื่อของศาสนาเต๋า สถิตในดินแดนสูงสุดเหนือจากเก้าสวรรค์ชั้นฟ้า ได้แก่ หยวนสื่อเทียนจุนแห่งแดนอวี้ชิง (หยกวิสุทธิ์) หลิงเป่าเทียนจุนแห่งแดนซั่งชิง (เหนือวิสุทธิ์) และเต้าเต๋อเทียนจุนหรือไท่ซั่งเหล่าจวินแห่งแดนไท่ชิง (บรมวิสุทธิ์)

    * ผานกู่ คือเทพในตำนานกำเนิดจักรวาลของจีน เล่ากันว่าในสมัยบุพกาล ฟ้าดินรวมกันเป็นก้อนเหมือนไข่ไก่ ข้างในมีแต่ความมืดมิด เทพผานกู่หลับใหลอยู่ภายในเป็นเวลานาน เมื่อตื่นขึ้นจึงใช้ขวานเบิกฟ้าแยกดิน สิ่งเบาลอยขึ้นเป็นท้องฟ้า สิ่งหนักจมลงกลายเป็นแผ่นดิน เขายันตัวยืนค้ำแผ่นฟ้ากับผืนดินไว้ จนเมื่อสิ้นใจ อวัยวะต่างๆ รวมทั้งเลือดเนื้อก็กลายเป็น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ก้อนเมฆ สายลม และสายน้ำ

    ** หนี่ว์วา ตามตำนานคือเทพธิดาผู้มีร่างกายครึ่งบนเป็นมนุษย์ครึ่งล่างเป็นงู ไม่เพียงเป็นผู้สร้างมนุษย์และสรรพสิ่งในโลก ยังเป็นผู้ใช้ศิลาห้าสีอุดฟ้าเมื่อครั้งที่เกิดฟ้ารั่ว จึงได้รับการยกย่องเป็น ‘เทพมารดร’ ของจีน

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook