• Connect with us

    Enter Books

    Uncategorized

    ทดลองอ่าน สยบฟ้าพิชิตปฐพี เล่มที่ 29 ตอนที่ 1

    ณ อารามเต๋าแห่งหนึ่ง คนที่ดูแลการงานต่างๆ ในอารามคือนักพรตร่างผอม นักพรตผอมชอบกินบะหมี่มาก เรื่องที่ทำมามากที่สุดในชีวิตนอกจากทำก๋วยเตี๋ยวแล้วก็คือช่วยเพื่อนบ้านซ่อมแซมหลังคาบ้านที่ถูกพายุฝนพัดจนพังเสียหาย เพราะมันทำได้เพียงงานแบบนี้ ถ้าไม่ทำงานนี้ก็ต้องใช้เวลานานมากกว่าจะเก็บเงินเพียงพอซื้อสุราชั้นดีเพื่อดึงดูดให้เพื่อนบ้านมาฟังมันปาฐกถาหลักคำสอนของซีหลิงสักครั้ง

    อารามเต๋าแห่งนี้มิได้สะดุดตา แต่ที่นี่กลับเคยเกิดเรื่องมากมายที่ในวันข้างหน้าจะถูกจารึกลงในบันทึกประวัติศาสตร์ เช่นศิษย์สัญจรนิกายเต๋าเยี่ยซูเคยเผยแผ่คำสอนของนิกายที่นี่ ศิษย์พี่ใหญ่แห่งสถานศึกษาและเยี่ยซูเคยปุจฉาวิสัชนากันที่หน้าบันไดหิน เยี่ยซูเคยรู้แจ้งมรรคที่นี่ เคยทำลายอารามเต๋าจนพังแล้วสร้างขึ้นใหม่

    นักพรตผอมเป็นนักพรตธรรมดา มันรู้ได้จากมวยผมว่าเยี่ยซูเป็นนักพรต แต่ไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของฝ่ายตรงข้าม และไม่รู้ด้วยว่าในอารามเล็กๆ ของตนเคยเกิดเรื่องพวกนี้ ไม่เช่นนั้นมันอาจจะไม่รำคาญใจเหมือนอย่างตอนนี้ หรือบางทีอาจจะรำคาญใจเสียยิ่งกว่า

    “ข้ารำคาญใจจริงๆ”นักพรตผอมมองบรรดาพรตน้อยที่อยู่เบื้องหน้า สีหน้าเต็มไปด้วยความเครียด “ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าควรทำอย่างไร พวกเจ้ามีความเห็นอะไรบ้างไหม”

    แต่ละวันพวกพรตน้อยท่องแต่คัมภีร์ ไหนเลยจะออกความเห็นอะไรได้

    นักพรตผอมเงยหน้ามองเมฆหิมะที่กำลังเผาไหม้อยู่เหนือเมืองพลางเอ่ยว่า

    “ข้าเคยได้ยินเรื่องของอารามจือโส่ว ที่นั่นคือสถานที่ที่เป็นปริศนาของนิกายเต๋า เช่นนั้นเจ้าอารามก็เท่ากับเป็นบุรพาจารย์ของพวกเรา”

    พรตน้อยคนหนึ่งเอ่ยว่า

    “แต่เพื่อนบ้านพูดกันว่าบุรพาจารย์กำลังจะทำลายฉางอัน”

    “ข้าถึงได้รำคาญใจอยู่นี่อย่างไร…เจ้าว่าพวกเราควรไปช่วยมันหรือควรไปยับยั้งมัน”

    นักพรตผอมถอนหายใจ แล้วจู่ๆ มันก็กระทืบเท้าอย่างแรงราวกับคับแค้น ตะโกนไปยังเมฆหิมะที่กำลังเผาไหม้ว่า

    “เพ้ย!ข้าไม่สนแล้วว่ามันเป็นบุรพาจารย์หรือว่าอะไร ชีวิตนี้ทั้งชีวิตข้าดูแลอารามเต๋าแห่งนี้ ต่อให้เป็นเฮ่าเทียนที่จะทำลายอารามเต๋าแห่งนี้ ข้าก็จะสู้กับมันอย่างถึงที่สุด!”

    นักพรตผอมพาบรรดาพรตน้อยออกจากอารามเต๋า พวกมันอุ้มกระถางธูปที่หนักอึ้ง แบกท่อนไม้ที่กองอยู่ที่มุมกำแพงมานานปีแต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ เตรียมจะไปสู้กับบุรพาจารย์ของตน

    ต่างจากพวกชาวบ้านที่ศาลาชุนเฟิงตรงที่ในใจของพวกมันเกิดการขัดแย้งอย่างรุนแรง แต่พอตัดสินใจได้แล้วพวกมันก็ไม่ลังเลอีก ไม่ว่าจะทำอะไรก็เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพราะพวกมันล้วนมีศรัทธา

    เรื่องเป็นศัตรูกับนิกายเต๋านี้ดูเหมือนเป็นการขัดต่อศรัทธาอย่างรุนแรง แต่ไม่ว่าจะเป็นนักพรตผอมหรือพรตน้อย พวกมันไม่แน่ใจตั้งแต่แรกแล้วว่าสิ่งที่ตนเองศรัทธาคืออะไรกันแน่ พวกมันเป็นชาวถัง อาศัยอยู่ในฉางอันมาทั้งชีวิต พวกมันเคยคิดว่าสิ่งที่ตนเองศรัทธาคือเฮ่าเทียน แต่ตอนที่ประคองกระถางธูปและท่อนไม้เดินออกจากอารามเต๋าจึงได้รู้ว่าสิ่งที่ศรัทธาคือความศรัทธานั่นเอง สรุปก็คือพวกมันล้วนเป็นคนที่มีศรัทธา

    ในคำสอนของอาศรมเทพ การฆ่าตัวตายเป็นบาปมหันต์อย่างหนึ่ง ตนเองเป็นนักพรตแต่กลับเป็นศัตรูกับนิกายเต๋าถือเป็นบาปมหันต์ยิ่งกว่า ล้วนต้องถูกลงโทษอย่างหนักจากเฮ่าเทียน

    การที่เฉาเหล่าไท่เหยียพาพรรคพวกไปที่ถนนจูเชวี่ยคือการรนหาที่ตายและฆ่าตัวตาย

    การที่นักพรตผอมพาบรรดาพรตน้อยไปยืนขวางเจ้าอารามคือการทรยศต่อนิกายและไม่เคารพผู้อาวุโส

    พูดอีกอย่างได้ว่าพวกมันทุกคนล้วนมีบาปที่ไม่อาจชำระล้าง

    คนเช่นนี้ยังมีอีกมาก

    นักพรตจากอารามฝ่ายใต้สามคนกำลังวางค่ายกล พวกมันเป็นยอดฝีมือของหน่วยเทียนซู เป็นสาวกที่ศรัทธาต่อเฮ่าเทียนอย่างมาก ใบหน้าของพวกมันซีดขาว ในใจเจ็บปวดอย่างสุดขีด แต่การเคลื่อนไหวกลับไม่มีความลังเลใดๆ

    ฉู่เหล่าไท่จวิน* พาบรรดาสตรีและเด็กในจวนขวางดาบอยู่บนถนนสายยาว ฉู่เหล่าไท่จวินคือภรรยาม่ายของฉู่สยงถูแม่ทัพใหญ่บัญชาการสิบหกหน่วยราชองครักษ์ ผมสีขาวโพลนของนางพลิ้วไสวกลางสายลม ชีวิตนี้นางให้กำเนิดบุตรเจ็ดคน มีหลานสามสิบเจ็ดคน หลายสิบปีก่อนบุตรสองคนและหลานสามคนพลีชีพที่ชายแดนของต้าถัง ปีนี้ที่เมืองหลวงของแคว้นเยี่ยน ที่ค่ายทหารชายแดนทั้งเจ็ดเมือง และที่เทือกเขาชงหลิ่งมีลูกและหลานของนางทั้งหมดสิบเอ็ดคนที่สู้รบจนตัวตาย บุรุษทุกคนของสกุลฉู่ตอนนี้ล้วนอยู่ในสนามรบทั้งสี่ทิศสู้รบกับข้าศึก ข้างกายนางมีเพียงลูกหลานสตรี เด็กน้อย และสะใภ้ม่ายที่อ่อนแอสิบกว่าคน มีดาบเพียงไม่กี่เล่ม รู้ดีว่ามาที่นี่คือมารนหาที่ตาย แต่สีหน้าของพวกนางกลับเฉยเมย ไม่แยแสแม้แต่น้อย สกุลฉู่ทั้งตระกูลล้วนเป็นผู้พลีชีพเพื่อบ้านเมือง แม้ตายหมดทั้งตระกูลก็ยังเป็นผู้พลีชีพเพื่อบ้านเมือง!

    ถ้าเฮ่าเทียนมีตา ทุกคนบนถนนสายนี้ล้วนมีบาป บาปของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ฉางอันในวันนี้คือเมืองแห่งบาป

    เมืองแห่งบาปอันมหาศาล

     

    ลมปราณแห่งการดับสูญที่แผ่ออกมาจากดวงตาของเจ้าอารามถูกวิชาเทาเที่ยของหนิงเชวียดูดกลืนผ่านดวงตาค่ายกลแล้วปกคลุมฉางอันทั้งเมือง เหตุนี้ลมหิมะจึงพัดแรงขึ้น ความหนาวเหน็บแทรกซึมอยู่ทุกที่

    ถนนจูเชวี่ยก็หนาวเย็นมาก แต่ชาวถังปรากฏตัวบนกำแพงรวมถึงบนถนนหนทางมากขึ้นเรื่อยๆ พวกมันยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ ไหล่ต่อไหล่เสียดสี เบียดเสียดกันอยู่บนถนน เหยียบเท้ากันเป็นครั้งคราว กระไอร้อนบนถนนจูเชวี่ยจึงค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้น หิมะและน้ำแข็งละลายทีละน้อย ถึงขั้นทำให้ผู้คนรู้สึกร้อนนิดๆ

    จิตใจของชาวถังร้อนเร่า เลือดของพวกมันจึงร้อนขึ้นจนถึงขนาดเนื้อตัวร้อนผ่าว พวกมันกำหมัดแน่น ชูแขนขึ้น แหกปากระบายโทสะของตน

    รอบๆ ถนนจูเชวี่ยมีเสียงตะโกนและคำด่าทอหยาบคายดังอยู่ไม่ขาด ผู้คนขว้างปาก้อนอิฐ บ้างก็โยนกาน้ำชา เศษอาหาร และกระโถนฉี่เด็กใส่เจ้าอาราม

    ชาวถังนับถือเฮ่าเทียน แต่แปลกมากที่ทุกคนพากันเชื่อว่าคนชนะฟ้าได้อย่างแน่นอน นี่เป็นเพราะจอมปราชญ์ แม้ไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องทางโลกเป็นเวลานาน แต่แนวคิดของจอมปราชญ์ที่ว่าการสู้กับฟ้ามีความสุขอย่างไม่สิ้นสุดกลับกลายเป็นขุมพลังอันแข็งแกร่งแผ่ขยายผ่านสถานศึกษา ราชนิกุล ราชสำนัก รวมถึงกองทัพไปยังทุกเขตทุกเมืองของต้าถัง ซึมเข้าไปในสายเลือดของชาวถังทุกคน

    ดังนั้นแม้รู้อยู่เต็มอกว่านักพรตชุดเขียวบนถนนเป็นยอดฝีมือที่คนธรรมดายากจะจินตนาการได้ เป็นผู้ไร้เทียมทานในปฐพีอย่างแท้จริง ต่อหน้าคนผู้นี้ คนธรรมดาอ่อนแอไม่ต่างจากมดปลวก แต่เด็กน้อยสองคนจากซานหยวนหลี่ถือเพียงมีดและส้อมขุดสวนยังกล้ามาสู้ด้วย ต่อให้เจ้าอารามเป็นปีศาจกินคน ทุกคนก็ต้องขอลองสักตั้ง

    พวกเราคนมากอย่างนี้สู้ชนะเจ้าไม่ได้ หรือว่าจะด่าไม่ชนะเจ้าด้วย? ต่อให้เจ้าหน้าหนาไร้ยางอายถูกด่าก็ไม่ระคาย ข้าเอาอุจจาระปัสสาวะสาดใส่เจ้า หรือว่าเจ้าจะไม่เลอะ?

    ถนนหิมะที่ก่อนหน้านี้ดูเหมือนตำหนักสีขาวที่สะอาดบริสุทธิ์ มีความงดงามคล้ายไม่ใช่ของโลกมนุษย์ สายลมที่พัดก็สะอาดบริสุทธิ์ดุจกัน ไม่มีฝุ่นธุลีแม้แต่น้อย เสมือนหนึ่งใบหน้าของเฮ่าเทียน แต่บัดนี้ฝูงชนบุกเข้ามา ถนนสายยาวพลันสกปรกเลอะเทอะ เสียงตะโกนด่าทออย่างหยาบคาย รวมถึงกลิ่นเหม็นจากโลกมนุษย์ถูกพัดลอยขึ้นไปสู่ท้องนภา ฉาบทาใบหน้าของเฮ่าเทียนจนอัปลักษณ์

    เจ้าอารามเห็นกระแสปราณแห่งโลกมนุษย์ที่สกปรกลอยขึ้นสู่นภากาศก็ขมวดคิ้ว ของสกปรกและสิ่งปฏิกูลต่างๆ ย่อมไม่อาจเปื้อนเสื้อผ้ามัน แต่ทำให้มันมีโทสะนิดๆ ภายในขอบเขตทัศนวิสัยของมัน บนถนนมีชาวถังนับพันคน มันยังสัมผัสได้ด้วยว่ามีชาวถังจำนวนมากกว่านี้กำลังมาที่ถนนจูเชวี่ย มาหาความตาย

    เจ้าอารามค่อนข้างประหลาดใจที่เห็นชาวถังจำนวนมากปรากฏตัวบนถนนสายยาว แต่มันไม่สนใจ สิ่งที่มันสนใจคือการปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของเฮ่าเทียน จบประวัติศาสตร์พันปีที่จอมปราชญ์สร้างไว้ในโลก

    ฉางอันในยามนี้เต็มไปด้วยสายลมและหิมะ ในสายลมและหิมะแฝงยันต์รูปอี้ที่หนิงเชวียเขียนไว้ก่อนหน้านี้อยู่เป็นจำนวนมาก ยันต์เหล่านี้ปะซ่อมช่องโหว่ของค่ายกลสยบเทวะได้มากแล้ว เหลืออีกเพียงเส้นทางเดียว สถานการณ์ตอนนี้ไม่ต่างจากก่อนหน้า เจ้าอารามจำเป็นต้องฆ่าหนิงเชวีย หนิงเชวียอยู่บนถนนจูเชวี่ย และตอนนี้กึ่งกลางระหว่างมันกับเจ้าอารามคือฝูงชนที่หลั่งไหลกันมาดั่งน้ำในมหาสมุทร

    เหตุนี้เจ้าอารามจึงเดินเข้าไปในฝูงชน

    เจ้าอารามชื่อเฉินโหม่ว การมีชื่อที่แสนธรรมดาดูแล้วช่างเหมือนคนธรรมดา ตอนที่มันเข้าไปในฝูงชนนั้นก็เหมือนน้ำหยดหนึ่งรวมตัวเข้าไปในมหาสมุทรแห่งผู้คน จากนั้นมีลมพายุพัดขึ้น เงาร่างของนักพรตจำนวนมากถูกกระแทกปลิว เฉกเช่นระลอกคลื่นที่ซัดโดนโขดหินแล้วนำพาละอองน้ำกระจายไปในสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย พวกชายฉกรรจ์ชุดเขียวที่ถือมีดวิ่งถาโถมเข้ามาล้มลงจมกองเลือดไปทีละคนๆ ส่วนทหารกองกำลังอวี่หลินสิบกว่านายที่ควบม้าเข้ามาซึ่งยังอยู่ห่างจากเจ้าอารามอีกหลายสิบจั้งก็ตกม้าแล้วลุกขึ้นไม่ได้อีก เงาร่างของเจ้าอารามค่อยๆ ปรากฏเด่นชัดในมหาสมุทรแห่งผู้คน ด้านหลังมันเละเทะระเนระนาดไปหมด ภายใต้แรงกดดันของกระแสปราณที่น่ากลัว มหาสมุทรแห่งผู้คนแยกออกเป็นทางทีละน้อยๆ

    และตอนนี้เองที่เหล่าผู้ฝึกฌานของต้าถังลงมือ

    จอมข่ายเวทของหน่วยเทียนซูที่ดักซุ่มอยู่โดยรอบกางค่ายกลตาข่ายสวรรค์ พลังปฐมแห่งฟ้าดินบริเวณถนนจูเชวี่ยพลันเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง กระแสพลังปฐมจำนวนนับไม่ถ้วนควบรวมกลายเป็นโซ่พลังปฐมปรากฏขึ้นกลางอากาศรอบตัวเจ้าอาราม ปิดกั้นทางไปทุกทางของมัน แทบจะในขณะเดียวกัน จอมกระบี่ของกรมทหารสิบกว่าคนที่แฝงตัวอยู่ในฝูงชนก็ลงมือพร้อมกัน กระบี่บินวาววับพุ่งแหวกอากาศแทงตรงเข้าหาใบหน้าของเจ้าอาราม

    เจ้าอารามสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน โบกแขนเสื้อเบาๆ แล้วเดินหน้าต่อไป

    การโบกแขนเสื้อทำให้เจตนารมณ์กระบี่ที่มีอยู่เต็มถนนกลายเป็นหญ้าฟางเปียกฝน กระจายออกไปอย่างไร้เรี่ยวแรง ส่วนโซ่พลังปฐมที่ร้ายกาจเหล่านั้นก็เหมือนผลผิงกั่วสุกงอมยามฤดูสารทที่ร่วงลงสู่ดิน กระทบพื้นก็แหลกละเอียดจนน้ำในผลกระเซ็นออกมามากมาย จอมข่ายเวทที่ซ่อนตัวอยู่โดยรอบถูกพลังปฐมสะท้อนกลับจนกระอักเลือดตายคาที่ ส่วนกระบี่แก่นฐานชีวิตของจอมกระบี่สิบกว่าคนนั้นถูกเจ้าอารามโบกทำลาย ทำให้ร่างกายบาดเจ็บสาหัส ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย

    เจ้าอารามเดินหน้าต่อไป ค้นหาหนิงเชวียที่อยู่หลังฝูงชน

    พอฝูงชนสั่นสะเทือน ก้อนอิฐที่ลอยปลิวพลันหยุดชะงัก จากนั้นร่วงลงราวฝนกระหน่ำ ขนาดกระบี่บินของผู้ฝึกฌานยังไม่อาจเข้าใกล้เจ้าอาราม สำมะหาอะไรกับก้อนอิฐ กระทั่งสร้อยประคำของหวงหยางต้าซือยังไม่อาจเหนี่ยวรั้งเจ้าอารามแม้ชั่วพริบตา สำมะหาอะไรกับอุจจาระปัสสาวะ

    เจ้าอารามเดินหน้าอย่างสงบ ผู้คนที่ขวางหน้าล้วนถูกกระแทกปลิวหรือไม่ก็ถูกบดขยี้เหมือนมดปลวก

    ชาวถังที่กล้าหาญพุ่งเข้าหามันอย่างต่อเนื่อง แล้วก็ตายอย่างต่อเนื่อง

    ถนนหิมะกลายเป็นถนนโลหิตแล้ว มีโลหิตเปรอะเต็มไปทั่ว

    ความกล้าเป็นสิ่งที่คู่ควรให้นับถืออย่างหนึ่งของโลกมนุษย์ แต่ต่อหน้าพลังที่แข็งแกร่งอย่างสุดขีดซึ่งเป็นตัวแทนของเฮ่าเทียน มนุษย์ผู้กล้าทั้งหลายกลับดูอ่อนแอและน่าหัวร่อ ถึงขั้นยากจะกล่าวว่าได้ประกอบวีรกรรม เมื่อเผชิญหน้ากับความห่างชั้นอย่างไม่อาจต่อต้าน ที่จริงผู้คนในเมืองฉางอันควรจะรู้สึกสิ้นหวังแล้วล้มเลิกเหมือนอย่างพวกมดที่เงยหน้ามองฟ้า แต่เรื่องที่ไม่น่าเชื่อคือบนสีหน้าของชาวถังในตอนนี้เห็นได้ถึงความเจ็บปวด โทสะ และความไม่ยอมแพ้ แต่กลับไม่เห็นถึงความสิ้นหวังเลยแม้แต่น้อย

    ผู้คนไม่ได้สิ้นหวัง ไม่ได้ร้องไห้ ถึงขั้นแม้แต่คำหยาบคายก็ไม่ด่าออกมาแล้ว พวกมันเพียงสู้ต่อไปอย่างนิ่งเงียบ แม้เป็นการสู้ที่ไร้ความหวังก็ต้องสู้จนถึงที่สุด

    คนหาบของคนหนึ่งตายเพราะเอาไม้คานฟาดเจ้าอาราม พ่อค้าบ้านนอกคนหนึ่งตายเพราะถือมีดสั้นที่ใช้ในป่าเสือกแทงเจ้าอาราม ชายคนหนึ่งที่ดูไม่รู้ว่ามีฐานะอะไรตายเพราะพุ่งเข้าหาเจ้าอาราม ผู้คนมากมายตายเพราะหยิบก้อนอิฐขึ้นมาปา ถือมีดเข้าไปฟัน เอาธนูจากที่บ้านมายิง เหล่านี้ล้วนคือการรนหาที่ตาย

    การรนหาที่ตายไม่ใช่คำที่น่าฟังแต่อย่างใด ออกจะโง่เขลา แต่มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาด รู้ทั้งรู้ว่ามีเรื่องราวมากมายที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ แต่ก็ยังมีคนจำนวนมากที่ถ้าไม่เพราะสาเหตุนี้ก็เพราะสาเหตุนั้น ยืนกรานที่จะทำต่อไป มนุษย์ถึงขั้นสร้างคำเรียกใหม่ที่ความหมายใกล้เคียงกันเพื่อการนี้โดยเฉพาะ นั่นคือคำว่า ‘เดินเข้าหาความตาย’

    วันนี้ชาวถังกำลังเดินเข้าหาความตาย

    ทยอยเดินเข้าหาความตาย

    พวกมันต้องการขัดขวางเจ้าอาราม

    กำแพงเมืองฉางอันที่สูงตระหง่านไม่อาจขวางศัตรู เหตุนี้พวกมันจึงใช้เลือดเนื้อของตนสร้างกำแพงใหม่ขึ้นมา

    คนบนถนน คนที่ยืนขวางเจ้าอาราม คนที่นอนอยู่ในกองเลือด คนทุกคนที่ก่อร่างสร้างเป็นกำแพงผืนใหม่นี้ที่จริงแล้วล้วนเข้าใจดีว่าความตายของพวกมันไม่แน่ว่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แต่พวกมันยังคงทำเช่นนี้ เพราะเมื่อพันปีก่อนจอมปราชญ์และบรรพบุรุษของพวกมันสร้างต้าถังขึ้นบริเวณแม่น้ำเว่ยและแม่น้ำซื่อ หลังจากวันที่สถานศึกษาถือกำเนิด อย่างน้อยพวกมันก็เปลี่ยนแปลงตนเองแล้ว

    ก่อนหน้านี้หนิงเชวียพูดคำพูดทำนองนี้ต่อเจ้าอาราม แม้รู้อยู่แน่ชัดว่ารักษาไม่ได้ก็ยังรักษา นี่คือการรู้และรักษาของมัน ยามนี้ชาวถังที่กำลังจะตายคล้ายพิสูจน์คำพูดของหนิงเชวีย ทว่าพอเห็นถนนสายยาวที่ถูกย้อมด้วยเลือดจนแดงฉาน เห็นผู้คนทยอยล้มลง ใจของหนิงเชวียก็เริ่มสั่น

    ในที่ห่างไกลมีเสียงหวีดหวิวดังถ่ายทอดมา มันรู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่มาถึงแล้ว และลงมือแล้ว นี่ไม่ใช่โอกาสที่สถานศึกษาต้องการ โอกาสของสถานศึกษาขึ้นอยู่กับหนิงเชวีย ทว่าเมื่อเห็นถนนสายยาวเต็มไปด้วยเลือด ศิษย์พี่ใหญ่ก็ไม่อาจนิ่งเฉยรอคอยอีกต่อไป เหมือนหนิงเชวียในตอนนี้ที่แทบจะทนต่อไปไม่ไหวแล้วเช่นกัน

    มาที่โลกนี้ยี่สิบกว่าปีแล้ว มันยังคงเชื่อว่าตนไม่ใช่ชาวถังแบบมาตรฐาน ตัวมันที่พบเจอกับความมืดมนของชีวิตมามาก ที่ผ่านมายึดถือหลักการมีชีวิตอยู่อย่างเลือดเย็น ขอเพียงสามารถมีชีวิตต่อไป จะให้ทุ่มเทสิ่งใดล้วนทำได้ ใจของมันเย็นเฉียบเหมือนร่างกายที่ถูกลมปราณแห่งการดับสูญของเจ้าอารามแช่แข็งก่อนหน้านี้

    น้ำแข็งหลุดลอกไปกว่าครึ่ง ร่างของหนิงเชวียยังเย็นอยู่ แต่ตอนนี้มันกลับรู้สึกว่าร่างของตนค่อยๆ ร้อนขึ้น เลือดในกายเริ่มเดือด หนิงเชวียสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ไม่ได้สัมผัสมานาน ความรู้สึกที่เรียกว่าเลือดร้อน

    แต่ไหนแต่ไรมันไม่ชอบพวกคำที่มักนิยามถึงวีรบุรุษ คำว่าเลือดร้อนนี้ยิ่งเป็นคำต้องห้าม แต่พอเห็นชาวถังจำนวนนับไม่ถ้วนตายอยู่ตรงหน้าเจ้าอาราม เลือดที่ไหลออกมาจากปากแผลมันจะไม่เดือดจนระเหยเป็นไอได้อย่างไร ความเลือดร้อนแสดงออกถึงความหวังและความปรารถนา หนิงเชวียปรารถนาที่จะมีชีวิตรอด และหวังว่าจะสามารถชนะเจ้าอาราม แต่เมื่อพบกับบทสรุปของเรื่องราวที่หาความหวังไม่เจอแม้แต่น้อยนี้ เลือดร้อนแล้วจะมีประโยชน์อันใด

    มีคนวิ่งผ่านข้างกายมันอยู่เป็นระยะ พุ่งเข้าหาเจ้าอารามที่อยู่ไม่ไกลนัก มันหยิบดาบที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา ค้ำยันร่างของตนอย่างยากลำบาก คมดาบแทงทะลุชั้นหิมะ ปักเข้าไปในพื้นหินของถนน

    ศิษย์พี่ใหญ่แพ้อีกครั้งแล้ว โลหิตไหลทะลักออกมาจากรอยขาดของเสื้อนวม มันยืนอยู่ทางทิศใต้ของถนนจูเชวี่ย ไอไม่หยุดจนตัวงอ ทรมานและโดดเดี่ยว ส่วนอวี๋เหลียนไม่รู้ว่าไปที่ใด

    เจ้าอารามเดินหน้าต่อไป ฆ่าคนไปมากมาย ซัดคนปลิวไปมากมาย ข้ามผ่านคนมากมาย เพิกเฉยต่อคนมากมาย เดินมาทีละก้าวๆ ด้านหลังมันมีแต่เลือด ถนนจูเชวี่ยเต็มไปด้วยฝูงชนที่บาดเจ็บล้มตาย เจ้าอารามเดินมาถึงจุดที่ห่างจากหนิงเชวียไม่ไกล เวลานี้ระหว่างคนสองคนเหลือเพียงเด็ก สตรี และคนชราที่อ่อนแอไม่กี่ร้อยคน

    นักพรตผอมอยู่ในฉางอันมาทั้งชีวิต จากพรตน้อยที่ธรรมดาสามัญที่สุดจนกลายมาเป็นมันในปัจจุบัน แต่ยังคงใช้ชีวิตอยู่ที่อารามเต๋าเล็กๆ มันไม่เคยเห็นเสินกวนชุดแดงของอาศรมเทพ เมื่อไม่กี่ปีก่อนที่ต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้าเป็นทูตมาฉางอัน มันคุกเข่าอยู่หนึ่งคืนเต็มๆ ก็ยังไม่ได้รับโอกาสให้ฟังคำสอนของจ้าวบัลลังก์ แต่ในตอนนี้มันกลับได้พบผู้มีตำแหน่งสูงสุดอย่างแท้จริงของนิกายเฮ่าเทียน ร่างของมันยากจะระงับอาการสั่นได้ มันอยากจะคุกเข่าลงเบื้องหน้านักพรตชุดเขียวแล้วก้มลงจูบหลังเท้าของฝ่ายตรงข้ามอย่างศรัทธา

    ทว่าจู่ๆ มันก็ตะโกนเสียงดัง รับกระถางธูปมาจากพรตน้อยแล้วขว้างใส่เจ้าอาราม

    กระถางธูปใช้สำหรับบูชาเฮ่าเทียน หลอมจากวัสดุชั้นดี มีน้ำหนักมาก นักพรตผอมมีจิตใจที่หมองเศร้า อีกทั้งผอมแห้งอ่อนแอ ไหนเลยจะขว้างได้ไกล เสียงตุบดังทุ้มต่ำ กระถางธูปร่วงใส่เท้าของนักพรตผอม เท้าของมันพลันเลือดไหล มันร้องโอดโอยอย่างเจ็บปวด แต่เพราะมีพรตน้อยช่วยประคองจึงไม่ล้มลง

    ฉู่เหล่าไท่จวินถือดาบยืนขวางหน้าเจ้าอารามอยู่

    เฉาเหล่าไท่เหยียถือไม้เท้า เดินจากด้านหลังมาอยู่ด้านหน้าสุดของฝูงชน

    เจ้าอารามสีหน้าสงบนิ่ง แววตาเฉยชาเป็นอย่างยิ่ง

    ในดวงตาของมันคล้ายมีดวงดาวนับล้านถูกทำลาย จากนั้นเหลือเพียงความว่างเปล่าอันน่าพรั่นพรึง ด้วยการจ้องมองของสายตาที่ว่างเปล่านี้ทุกสิ่งทุกอย่างจะจบสิ้น ชาวถังที่เดินเข้าหาความตาย ฉางอันที่ไม่ยอมสยบ ต้าถังที่ยิ่งใหญ่ สถานศึกษาพันปี ไม่ว่าสูงส่งมีเกียรติหรือโหดหินทมิฬชาติ ห้าวหาญหรือชั่วร้าย สว่างหรือมืด ล้วนกำลังจะจบลง ณ ที่นี่

    ถนนสายยาวหนาวเย็นและอ้างว้าง

    หนิงเชวียมองใบหน้าที่ธรรมดาและตาคู่นั้นของเจ้าอารามทำให้นึกถึงเหล่าบุคคลอันยอดเยี่ยมที่ตนได้เคยพบหรือสัมผัสมาในชีวิตนี้ ไม่ว่าจะเป็นจอมปราชญ์ อาจารย์อา หรือเหลียนเซิงต้าซือ ล้วนเป็นผู้รู้แจ้งอย่างแท้จริง หลุดพ้นจากอัตตา เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าที่จริงแล้วตนเองต้องการอะไร ดังนั้นคนเหล่านี้จึงแข็งแกร่งอย่างยากจะจินตนาการ เจ้าอารามก็เป็นคนประเภทนี้เช่นกัน

    วันนี้สถานศึกษาพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของเจ้าอารามเป็นเรื่องที่สมควรแก่เหตุผล สถานศึกษาเชื่อในเรื่องที่สมควรแก่เหตุผล เช่นนั้นมันก็ควรสงบนิ่งและทำใจให้สบายเช่นเดียวกับผู้คนที่ตายไปบนถนนสายยาว

    แต่มันทำไม่ได้

    เพราะมันไม่ยอมแพ้

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in Uncategorized

    นิยายยอดนิยม

    Facebook