• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน สยบฟ้าพิชิตปฐพี 34 บทที่ 2

    บทที่ 2

    เจดีย์ขาวทะยานฟ้า

     

    ยอดเขาคือพุทธะ ลานกว้างริมผาคือฝ่ามือแห่งพุทธะ พุทธรัศมีหมื่นจั้งที่เต็มไปด้วยแรงกดดันแห่งการดับสูญไม่ใช่ลงมาจากฟ้า แต่มาจากฝ่ามือแห่งพุทธะ มาจากความเชื่อความศรัทธาของหลวงจีนจำนวนนับไม่ถ้วนในวัดเสวียนคงและสานุศิษย์บนผืนที่ราบก้นหลุมยุบ

    พระสูตรที่ล้อมรอบยอดเขาอยู่เป็นพระสูตรที่ปฐมพุทธะเขียนขึ้นเมื่อนานมาแล้ว บัดนี้บรรดาลูกศิษย์และเหล่าสานุศิษย์สวดท่องโดยศรัทธา พุทธจิตชโลมพระสูตรให้เป็นสีทอง พุทธานุภาพย่อมไร้ขอบเขต

    ซังซังนิ่งมองลานกว้างริมผา มองพระสูตรที่ลอยอยู่กลางอากาศ และมองพุทธรัศมี ทัศนวิสัยที่ต่างกันล้วนปรากฏขึ้นในสายตานางเพียงแวบเดียว จากนั้นนางก็เห็นวัดลั่นเคอยามฤดูสารทเมื่อหลายปีก่อน

    วัดลั่นเคอในครั้งนั้นก็มีแสงแห่งการดับสูญเช่นนี้เหมือนกัน แสงแห่งพุทธะนั่นมาจากพระพุทธรูปศิลาปฐมพุทธะบนยอดเขาหว่าซาน โดยเริ่มจากเสียงกระดิ่งในมือของเป่าซู่ซึ่งเป็นเจ้าคณะหอวินัย

    วัดเสวียนคงในวันนี้ พุทธรัศมีที่ดูเหมือนเมตตากรุณายังคงอำมหิต ส่องขึ้นมาจากลานกว้าง ส่องขึ้นมาจากฝ่ามือของซากร่างปฐมพุทธะ โดยเริ่มต้นจากเสียงระฆังที่ดังขึ้นด้านหลังมหาวิหารบนยอดเขา

    แสงแห่งพุทธะของวัดลั่นเคอในวันนั้นเกิดขึ้นเพื่อสังหารบุตรีของหมิงหวัง พุทธรัศมีของวัดเสวียนคงในวันนี้เกิดขึ้นเพื่อกำราบเฮ่าเทียน เฮ่าเทียนก็คือบุตรีของหมิงหวัง ไม่ว่าจะแสงแห่งพุทธะหรือพุทธรัศมี อันที่จริงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

    เรื่องราวทั้งหมดกระจ่างแล้ว

    เพื่อจัดการจอมปราชญ์ เฮ่าเทียนจัดฉากมาพันปี แต่ก่อนหน้านั้นปฐมพุทธะได้อ่านคัมภีร์สวรรค์เล่มแสงสว่างแล้วเขียนบันทึกไว้ มันรู้การณ์ล่วงหน้าและพยากรณ์ว่าเมื่อราตรีนิรันดร์ใกล้มาเยือนจะมีดวงจันทร์ปรากฏ แต่ไม่ได้เปิดเผยว่าเฮ่าเทียนจะมาโลกมนุษย์และอ่อนแอลงเรื่อยๆ

    ด้วยเหตุนี้ปฐมพุทธะจึงจัดฉากด้วยเช่นกัน มันทิ้งของวิเศษมากมายไว้ในโลกมนุษย์ เช่น กระดิ่งอวี๋หลัน กระดานหมาก แสงแห่งพุทธะ และพุทธรัศมีหมื่นจั้ง โดยบอกว่าสิ่งเหล่านี้มีเพื่อปิดทางเข้าโลกแห่งความมืด ทว่าด้วยความสามารถของปฐมพุทธะจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าโลกแห่งความมืดไม่มีอยู่จริง

    แต่ต้นจนจบคนที่ปฐมพุทธะต้องการสังหารก็คือนาง

    ปฐมพุทธะต้องการกำจัดเฮ่าเทียน

    กระดิ่งอวี๋หลันถูกจวินโม่บดขยี้จนเป็นเศษเหล็ก พระพุทธรูปศิลาปฐมพุทธะบนยอดเขาหว่าซานถูกจวินโม่ฟันจนแหลกเป็นชิ้นๆ ส่วนกระดานหมากถูกหนิงเชวียกับซังซังนำมาที่ทุ่งร้าง ทว่ายอดเขามหึมาที่แปลงมาจากซากร่างปฐมพุทธะสูงใหญ่กว่าพระพุทธรูปศิลาบนหว่าซานไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า เสียงระฆังวัดเสวียนคงก็ดังกังวานกว่ากระดิ่งอวี๋หลันไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า พุทธรัศมีจึงทรงอานุภาพยิ่งกว่าไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่าด้วยเช่นกัน

    ซังซังเข้าใจเรื่องทั้งหมดอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว จิตใจของนางกับหนิงเชวียเชื่อมโยงถึงกัน หนิงเชวียจึงพลอยรู้ที่มาที่ไปของเรื่องทั้งหมดด้วย รู้ว่าที่แท้ยอดเขาอันเป็นที่ตั้งของวัดเสวียนคงแห่งนี้คือร่างของปฐมพุทธะ

    มันตกตะลึง เวลาแบบนี้คงไม่มีใครไม่ตกตะลึง มันหน้าซีดเผือด นอกจากเพราะตกตะลึงแล้วยังเป็นเพราะตัวอักษรสีทองที่หมุนวนอยู่รอบยอดเขาเริ่มเรียงลำดับกันและใกล้จะประกอบกันเป็นพระสูตรที่สมบูรณ์แล้วด้วย

    ตัวอักษรหนึ่งตัวมีขนาดใหญ่เท่าวัดหนึ่งหลัง ตัวอักษรนับพันย่อมรวมกันเป็นพระสูตรขนาดใหญ่ พระสูตรสีทองเหลืองอร่ามลอยอยู่กลางอากาศเหนือวัดเสวียนคง บดบังชั้นเมฆจนมิด

    เคร้ง

    หนิงเชวียจับด้ามดาบมั่น ดาบออกจากฝักมาครึ่งหนึ่ง ประกายดาบเย็นเยียบสุดขีด

    ขณะที่มันกำลังจะใช้ดาบ ซังซังก็โบกแขนเสื้อเบาๆ

    ชุดเขียวที่เต็มไปด้วยดอกไม้ส่องแสงระยิบระยับขึ้นภายในพุทธรัศมีเสมือนหนึ่งเสื้อคลุมงามสง่าของจักรพรรดิ

    เดิมทีนางก็คือจักรพรรดิของโลกนี้อยู่แล้ว

    นางโบกแขนเสื้อเบาๆ ไปยังท้องฟ้าก็มีลมพายุพัดหวืดหวือมาราวกับเสียงมังกรคำราม ทะลวงผ่านวัดวาอารามที่หนาแน่นบนยอดเขา ทำให้หลวงจีนไม่รู้มากน้อยเท่าไรถูกพัดตกหน้าผา

    เมื่อลมพัดถึงหน้ามหาวิหารบนยอดเขา ระฆังโบราณพลันสั่นไหว เสียงระฆังพลันสับสน

    เศษหญ้าบนบันไดหินปลิวว่อน ชีเนี่ยนรวมถึงหลวงจีนชรารูปอื่นๆ หลับตาอยู่ แม้ไม่กลัวถูกทำให้ตามืดตามัว ทว่าฌานจิตกลับเริ่มไม่สงบและเริ่มว้าวุ่นสับสน จมูกปากมีโลหิตไหลซึมออกมา

    ทันใดนั้นชีเหมยที่คุกเข่าอยู่หน้าพระพุทธรูปในมหาวิหารก็เปลี่ยนอิริยาบถจากคุกเข่าเป็นนั่งด้วยสีหน้าแน่วแน่เด็ดเดี่ยว ใช้ไม้เท้าตีมู่อวี๋ที่อยู่เบื้องหน้าอย่างหนักหน่วงจนมู่อวี๋แตกกระจุยเป็นชิ้นๆ ในทันที

    แทบจะในเวลาเดียวกัน คทาวัชระที่รูปปั้นพระเถระข้างพระพุทธรูปถืออยู่ก็ฟาดลงมาที่ศีรษะของชีเหมยอย่างหนักหน่วง

    เผละ!

    ชีเหมยศีรษะแหลกลาญ สมองและโลหิตสาดกระจายไปทั่ว

    คราบเลือดเป็นแต้มๆ เปรอะพระพุทธรูป มหาวิหารที่สั่นสะเทือนแทบพังทลายท่ามกลางลมพายุกลับมามั่นคงและเชื่อมเป็นหนึ่งเดียวกับยอดเขาอย่างแนบแน่นอีกครั้ง ในที่สุดบรรดาหลวงจีนก็สงบลงได้ทั้งกายและใจ

    ซังซังโบกแขนเสื้อเกิดลมซึ่งเป็นลมจากฟ้าที่ไม่สูญสลายไปง่ายๆ สายลมลอยจากยอดเขาขึ้นไปยังตำแหน่งที่ตัวอักษรนับพันรวมตัวกันเป็นพระสูตรในชั่วพริบตา

    เมฆบนท้องฟ้าลอยสับสน ตัวอักษรใต้ชั้นเมฆก็กระเด็นกระดอนออกไปทั้งสี่ทิศ ท่ามกลางความสับสนอลหม่านของแสงสีทอง ขอบของพระสูตรที่กำลังจะเป็นรูปเป็นร่างพลันสับสนยุ่งเหยิงจนยากจะอ่านออกได้ว่าเนื้อหาคืออย่างไร

    ซังซังโบกแขนเสื้อก็ทำลายพระสูตรที่ปฐมพุทธะทิ้งไว้ได้แล้ว แต่สีหน้ากลับเคร่งขรึมขึ้น

    เพราะระหว่างที่โบกแขนเสื้อนางก็สัมผัสได้ชัดเจนกว่าเดิมถึงสภาพแวดล้อมรอบตัว และไม่เข้าใจเมื่อพบว่าตนไม่อาจพาหนิงเชวียออกจากลานกว้างแห่งนี้ได้

    พลังอำนาจที่ปิดผนึกลานกว้างริมผาไม่ใช่กฎและไม่ใช่เคล็ดวิชาของผู้ฝึกฌานทั่วไป การฝึกฌานยังคงต้องอยู่ภายใต้กฎ แม้แต่โลกเล็กๆ ที่เหนือด่านทั้งห้าก็ยังอยู่ในโลกของเฮ่าเทียน หากสภาพการณ์เป็นแบบนั้น แม้นางอ่อนแอลงมากหลังจากมาโลกมนุษย์ก็ยังเคลื่อนพลังจิตเพื่อทำลายได้

    แต่สิ่งที่ขังนางและหนิงเชวียอยู่ในตอนนี้คือโลกขนาดใหญ่

    ในโลกของเฮ่าเทียนมีโลกที่แท้จริงขนาดใหญ่ได้อย่างไร

    ปฐมพุทธะแปลงร่างของตนเป็นยอดเขา บนยอดเขาสร้างวัดขึ้นมากมาย ที่ราบเบื้องล่างสะสมสานุศิษย์ไว้จำนวนนับไม่ถ้วน

    แต่เดิมยอดเขาไม่มีความรู้สึก ไม่มีความคิด ไม่มีจิตวิญญาณ และไม่มีชีวิต แต่กาลเวลาล่วงเลยมาเนิ่นนาน การบูชาในวัดบนยอดเขาดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง หลวงจีนสวดมนต์อยู่มิขาด สานุศิษย์บนที่ราบกราบกรานเคารพ ในที่สุดจึงอบรมบ่มเพาะจนเกิดพุทธจิต

    พุทธจิตนั้นก็คือความรู้สึกนึกคิดของบรรดาหลวงจีนและเหล่าสานุศิษย์

    วันเวลาอันยาวนาน ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน ความรู้สึกนึกคิดจำนวนนับไม่ถ้วน และชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนทำให้โลกนี้กลายเป็นแดนพุทธ แดนพุทธที่แท้จริงคือโลกที่แท้จริง โลกขนาดใหญ่แห่งสุขาวดี

    โลกนี้อยู่ทางสุดขอบตะวันตกของโลกมนุษย์ จึงชื่อว่าแดนสุขาวดีเบื้องประจิม

    แม้กายอยู่ในแดนสุขาวดีเบื้องประจิมจึงทำให้ไม่อาจจากไปโดยง่าย แต่ซังซังก็ไม่แยแส นางคือเฮ่าเทียน ต่อให้ต้องสู้กับสานุศิษย์นิกายพุทธนับล้านหรือมากกว่านั้นนางก็ไม่มีเหตุผลที่จะแพ้ หากแต่นางมาโลกมนุษย์นานแล้ว จอมปราชญ์ถ่ายเทพลังแห่งโลกมนุษย์ไว้ในร่างนางทำให้นางอ่อนแอลงเรื่อยๆ ถ้านางหมายทำลายแดนสุขาวดีก็ต้องสูญเสียพลังอย่างมหาศาลแน่นอน หลังนางทำลายแดนสุขาวดีนี้แล้วโลกมนุษย์ยังมีเมืองฉางอัน ยังมีสถานศึกษา และยังมีค่ายกลสยบเทวะ ถึงเวลานั้นนางที่อ่อนแอสุดขีดจะทำอย่างไร ด้วยเหตุนี้นางจึงลังเล

    หนิงเชวียไม่รู้ว่านางลังเลเพราะเหตุใด…สถานการณ์ตอนนี้คับขันยิ่งนัก พระสูตรที่ถูกลมพัดกระจัดกระจายยังมิได้สูญสลาย บางส่วนเริ่มร่วงลงมายังลานกว้างริมผา!

    ตัวอักษรเรืองแสงที่มีขนาดใหญ่เท่าวัดพวกนั้นระหว่างที่ร่วงลงมาก็เล็กลงช้าๆ จนสุดท้ายมีขนาดพอๆ กับกลีบดอกไม้ และส่งกลิ่นหอมประหลาด

    แดนพุทธมีนางฟ้าโปรยดอกไม้เป็นภาพที่สวยงามตระการตา

    แต่สีหน้าหนิงเชวียกลับเคร่งขรึม เพราะกลีบดอกไม้ที่กลายมาจากพระสูตรแต่ละกลีบซึ่งร่วงลงบนร่มดำหนักอึ้งไม่ต่างกับศิลาขนาดยักษ์

    เดิมทีพุทธรัศมีก็มีแรงกดดันมากอยู่แล้ว กลีบดอกไม้มากมายยังร่วงลงมาปกคลุมร่มเป็นชั้นๆ อีก ความหนักขนาดนี้ยากที่มนุษย์จะรับได้ เพียงพริบตาเดียวมันก็รู้สึกว่าแขนจะหักแล้ว

    หนิงเชวียปักด้ามร่มลงพื้น มันคิดว่าในเมื่อยอดเขาคือร่างของปฐมพุทธะก็ต้องรับแรงกดดันเหล่านี้ได้แน่นอน

    มันมองซังซังที่ยืนนิ่งเงียบอยู่ในพุทธรัศมีคราหนึ่ง จากนั้นชักดาบออกมาฟันไปยังกลีบดอกไม้ที่ร่วงลงมาจากฟ้า

    ดาบทิ้งร่องรอย ร่องรอยคือตัวอักษร ตัวอักษรคือยันต์เทวะ ยันต์เทวะรูปอี้

    แม้เห็นเป็นกลีบดอกไม้ แต่อันที่จริงยังคงเป็นตัวอักษร คือตัวอักษรในคัมภีร์พุทธ

    พุทธธรรมไม่มีสิ่งใดเทียบเทียมได้ ตัวอักษรจึงหนักดุจขุนเขา

    ถ้าเคล็ดวิชาที่ปฐมพุทธะทิ้งไว้คืออย่างอื่น ด้วยด่านฌานในตอนนี้หนิงเชวียไม่มีทางต่อกรได้แน่นอน คงได้แต่จับแขนเสื้อซังซังแล้วหลบอยู่หลังนางอย่างเจียมสังขาร แต่ในเมื่อนี่คือพระสูตร และสิ่งที่ร่วงลงมาคือตัวอักษร เช่นนั้นมันก็ทำลายได้ เพราะมันคือนักเขียนอักษรลายพู่กันที่เก่งกาจและจอมยันต์เทวะที่แข็งแกร่ง มันแยกตัวอักษรในหอจิ้วซูที่สถานศึกษามาแล้วไม่รู้กี่มากน้อย สิ่งที่มันชำนาญมากที่สุดในชีวิตคือการแยกตัวอักษร

    ยันต์รูปอี้เจ็ดชุดปรากฏขึ้นกลางอากาศริมผา

    กลีบดอกไม้ที่ร่วงลงมาพอสัมผัสเจตนารมณ์แห่งยันต์ก็แหลกเป็นผุยผง นี่เป็นเพราะตัวอักษรในดอกไม้ถูกตัดแยกจนกลายเป็นเส้นที่ไร้ความหมาย

    ตัวอักษรนับพันตัวก็คือกลีบดอกไม้นับพันกลีบที่โปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่องและยาวนานเหมือนฝนยามวสันต์

    ยันต์รูปอี้เจ็ดชุดที่ต้านทานพลานุภาพแห่งปฐมพุทธะยืนหยัดอยู่ได้ไม่นานก็สลายไป

    หนิงเชวียมองพระสูตรที่ยังเหลืออยู่เกินครึ่งบนฟ้า มองตัวอักษรที่โปรยปรายลงมาอย่างสับสนรวมถึงกลีบดอกไม้ที่เข้ามาใกล้ แล้วตวัดดาบฟันต่อไปอย่างไม่หวั่นเกรง

    ครั้งนี้มันไม่ได้แยกตัวอักษร แต่เขียนตัวอักษรตัวหนึ่ง

    มันเขียนไปตามอารมณ์ แม้แต่ตนเองก็ไม่รู้ว่าอักษรตัวนั้นคือตัวอักษรใด

    ปฐมพุทธะต่อให้ตายแล้วรู้กาลล่วงหน้าได้ห้าร้อยปีก็เดาไม่ถูก

    ภาพอักษรลายพู่กันที่ใช้ดาบเขียนบนพระสูตรช่างเหมือนการวาดภาพบนกำแพง

    แม้เป็นพระสูตรที่ไม่ซับซ้อนและง่ายต่อการเข้าใจแค่ไหน ขอเพียงเด็กซนใช้พู่กันจุ่มหมึกระบายมั่วๆ ลงไปก็ทำให้พระเถระผู้ทรงความรู้ไม่เข้าใจความหมายได้

    คัมภีร์แห่งแดนพุทธจึงถูกเพลงดาบมั่วซั่วของหนิงเชวียทำลายลง

    มันคือตัวประหลาดที่จอมปราชญ์และเหยียนเซ่อร่วมกันอบรมบ่มเพาะมา มันไม่ใช่คนในโลกของเฮ่าเทียน ยิ่งไม่ใช่คนในโลกของปฐมพุทธะ สถานที่ที่มันไม่อยากอยู่มากที่สุดก็คือแดนสุขาวดีเบื้องประจิม

    การใช้มรรคาแห่งตัวอักษรจัดการหนิงเชวียก็เหมือนการแล่เนื้อปลาต่อหน้าจอมปราชญ์ หรือการขายก๋วยเตี๋ยวเปรี้ยวเผ็ดหน้าซอยสี่สิบเจ็ด

    มันเก็บดาบเข้าฝัก มองซังซังแล้วเอ่ยว่า

    “เจ้ายังไม่ลงมืออีกหรือ”

    ไม่รู้ว่าซังซังกำลังคิดอะไรจึงไม่ได้สนใจมัน

    หนิงเชวียเทกลีบดอกไม้ที่อยู่บนร่มดำทิ้งแล้วกางไว้เหนือศีรษะนาง ช่วยนางต้านพุทธรัศมี

    ซังซังขมวดคิ้ว

    “เคล็ดวิชาพวกนี้ทำอะไรข้าได้อย่างนั้นหรือ”

    “เจ้าหน้าซีดซะขนาดนี้ ยังจะฝืนอีก”

    “ข้าแข็งแกร่งอยู่แล้ว ไม่ได้ฝืน”

    หนิงเชวียคิดในใจว่าสมเป็นเฮ่าเทียน ช่างรักศักดิ์ศรี ถึงเวลานี้แล้วยังจะฝืนทน

    มันยัดด้ามร่มใส่มือนาง แล้วตะโกนไปทางยอดเขาว่า

    “พวกเรายอมแพ้! ไม่สู้แล้วจะได้ไหม!”

    ซังซังขมวดคิ้วไม่พอใจ หนิงเชวียจึงเอ่ยเสียงเข้มว่า

    “เจ้าดูอย่างข้าสิ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยรู้จักว่าศักดิ์ศรีคืออะไร”

    วัดเสวียนคงรู้ดีว่าเฮ่าเทียนไม่มีทางยอมแพ้ ดังนั้นหนิงเชวียก็คงไม่ยอมแพ้เช่นกัน สิ่งที่ตอบมันจึงเป็นเสียงระฆังทั่วทั้งเขา เสียงสวดมนต์อย่างเคร่งครัดที่ไม่จบไม่สิ้น รวมทั้งเสียงอีกเสียงหนึ่ง

    “ในเมื่อเป็นการสู้กับเฮ่าเทียน เหตุใดสถานศึกษาจึงยืนเคียงข้างเฮ่าเทียน”

    เสียงนี้สงบนิ่งแต่น่าเกรงขาม หากพิเคราะห์ให้ดีคงได้แต่ใช้คำว่า ‘ยิ่งใหญ่’ มาพรรณนา อีกทั้งเรื่องที่ถามก็ชี้ตรงอย่างถึงแก่น ไม่ว่าใครก็ยากจะตอบได้

    ได้ยินคำถาม หนิงเชวียกลับหัวเราะอย่างมีความสุข

    “เจ้าคณะ ตอนนี้ท่านน่าจะยังถูกฝังอยู่ในดิน แต่เอ่ยวาจาได้ทรงพลังขนาดนี้ ช่างน่านับถือจริงๆ”

    หนิงเชวียหัวเราะอย่างมีความสุขและสบายใจ เสียงหัวเราะลอยออกไปจากริมผาผ่านต้นหลี ผ่านพุทธรัศมีและกลีบดอกไม้พระสูตรที่ร่วงโรย ก้องกังวานไปในหมู่วัดวาอารามโดยที่แม้แต่เสียงสวดมนต์ของคนนับล้านและเสียงระฆังโบราณที่ดังอยู่ห่างไกลล้วนไม่อาจกลบได้

    หลังจากไร้เทียมทานในโลกมนุษย์ตอนอยู่ที่เทศกาลบูชาแสงสว่าง มันก็ถูกซังซังทรมานนับครั้งไม่ถ้วนโดยไม่มีแรงกำลังจะตอบโต้แม้แต่น้อย ระหว่างทางที่พาซังซังท่องเที่ยว เวลาเจอเรื่องต่างๆ ก็เป็นนางที่ออกหน้าลงมือ ส่วนมันได้แต่ยืนข้างหลังอย่างน่าสงสาร ไม่มีโอกาสได้ลงมือเลย ในวังหลวงของเมืองจิงตูมันดูเหมือนสู้ชนะหวังซูเซิ่ง แต่ที่จริงยังคงเป็นเพราะพลังของนาง สุดท้ายมันตกต่ำถึงขั้นได้แต่แบกสัมภาระและจูงม้า นอกนั้นก็ทำงานเย็บปะซ่อมแซมและปัดกวาดเช็ดถู…

    ส่วนในวันนี้ การเผชิญหน้ากับพุทธรัศมีหมื่นจั้ง รวมทั้งกลีบดอกไม้เต็มฟ้าที่ร่วงโรยลงมา ซังซังถูกกักขัง มันชักดาบเขียนยันต์จำนวนหนึ่งก็ทำลายอานุภาพแห่งปฐมพุทธะได้บ้าง จะไม่ให้มันอารมณ์ดีได้อย่างไร

    เสียงของเจ้าคณะดังขึ้นอีกครั้งท่ามกลางพุทธรัศมี

    “ครั้งก่อนนิกายพุทธจะสังหารนาง เจ้าช่วยเหลือนาง บัดนี้เจ้าก็ยังช่วยเหลือนางอีก เป็นเพราะเหตุใดกันแน่ หรือว่าสถานศึกษาไม่สนใจเจตนารมณ์ของจอมปราชญ์แล้ว”

    หนิงเชวียตอบว่า

    “สถานศึกษาเป็นปฏิปักษ์ต่อฟ้าคือเรื่องของสถานศึกษา ส่วนนางคือภรรยาข้า ระหว่างพวกเราต่อให้มีปัญหาก็เป็นเรื่องในครอบครัว ส่วนปฐมพุทธะเล่าทำอะไร หลบๆ ซ่อนๆ อยู่นานแสนนาน แล้วอาศัยจังหวะที่พวกเราสองคนไม่ทันระวังตัวลอบจู่โจมอย่างหนักหน่วงเพื่อให้ตนเป็นฝ่ายได้เปรียบ ช่างน่ารังเกียจจริงๆ”

    เจ้าคณะเอ่ยว่า

    “กฎแห่งกรรม กฎแห่งกรรม สุดท้ายแล้วต้องดูที่ผลของการกระทำ”

    หนิงเชวียเอ่ยกลับไป

    “ถ้าผลที่ปฐมพุทธะต้องการคือทำให้โลกมนุษย์กลายเป็นเหมือนโลกเบื้องล่างนั่น เช่นนั้นสถานศึกษาก็ไม่อาจยอมให้กฎแห่งกรรมของมันดำรงอยู่ต่อไป”

    เจ้าคณะถามเสียงเคร่งขรึมว่า

    “เพราะเหตุใด”

    หนิงเชวียตอบว่า

    “เพราะน่ารังเกียจ”

    เจ้าคณะนิ่งเงียบไม่พูดอะไร

    ส่วนหนิงเชวียอารมณ์กำลังพลุ่งพล่านจึงไม่หยุดเพียงแค่นี้ พูดขึ้นเสียงต่อไปว่า

    “ปฐมพุทธะทรงเมตตาอย่างนั้นหรือ หลวงจีนนับหมื่นในวัดเสวียนคงมีสักรูปไหมที่กล้ายืนยันว่าความเมตตาอยู่ที่ใด”

    เจ้าคณะเอ่ยเสียงเย็นชาว่า

    “เช่นนั้นเจ้าก็ไปกับเฮ่าเทียนเถอะ”

    “การวางท่าของท่านคล้ายลักษณะของข้าในสมัยก่อน น่ารังเกียจจริงๆ”

    ซังซังกางร่มดำอยู่ มองหนิงเชวียพลางเอ่ยว่า

    “ตอนนี้เจ้าก็น่ารังเกียจเหมือนกัน”

    หนิงเชวียเอ่ยเซ็งๆ

    “ช่วยรู้ตำแหน่งและจุดยืนของตัวเองหน่อยจะได้ไหม”

    คัมภีร์พุทธบนฟ้าแม้ถูกขีดเขียนจนเละเทะ แต่ยังคงมีกลีบดอกไม้จำนวนนับไม่ถ้วนโปรยปรายลงมา ต่อให้ไม่กระจายกลิ่นหอมแปลกๆ และไม่มีพุทธานุภาพที่แข็งแกร่งเหมือนอย่างก่อนหน้านี้แล้ว แต่ยังคงอันตราย

    เจ้าคณะไม่เปล่งเสียงอะไรอีกเพราะมีอีกหลายคนที่ยังเปล่งเสียง วัดบนยอดเขารวมถึงสานุศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนบนที่ราบสวดมนต์และอธิษฐานไม่หยุด พุทธรัศมีบนลานกว้างสว่างยิ่งขึ้น

    ปฐมพุทธะเตรียมแผนการอันยิ่งใหญ่ดั่งทะเลไร้ขอบเขตไว้มากมายสำหรับเฮ่าเทียน มิใช่สิ่งที่หนิงเชวียจะแก้ไขได้ และของวิเศษที่อันตรายอย่างแท้จริงจนถึงบัดนี้ยังรออยู่ในโลกมนุษย์

     

    เมืองเฉาหยางมีฝนตก

    วัดใหญ่เจ็ดสิบสองแห่งดูโอ่อ่าสง่างามกลางสายฝน

    ตอนที่มีเสียงระฆังดังมาจากวัดเสวียนคงทางทุ่งร้างตะวันตก วัดเจ็ดสิบสองแห่งก็มีเสียงระฆังดังขึ้นพร้อมกันด้วย เสียงระฆังดังกังวานอยู่ทุกซอกทุกมุมของเมือง และดังกังวานในใจของสานุศิษย์รวมถึงชาวเมืองทุกคน

    เสียงระฆังทำให้ใจสงบและทำให้ตกใจได้ ไม่ว่าจะเป็นสตรีสูงอายุที่เย็บพื้นรองเท้าอยู่ที่มุมถนน หรือจักรพรรดิน้อยที่ใบหน้าอ่อนเยาว์ในวังหลวง ต่างล้วนไปที่วัดเพราะเสียงระฆัง

    วัดวาอารามทุกแห่งในเมืองเฉาหยางล้วนเต็มไปด้วยสานุศิษย์ บุรุษสตรีคนชราและเด็กต่างคุกเข่าเบื้องหน้าพระพุทธรูปปฐมพุทธะ กราบไหว้อธิษฐานไม่หยุด วัดไป๋ถ่าก็เป็นเช่นนี้ ลานหินหน้าทะเลสาบมีสานุศิษย์คุกเข่ากันอยู่อย่างแน่นขนัด ดำพืดไปทั้งแถบ

    น้ำในทะเลสาบใสและสงบนิ่ง ผิวทะเลสาบที่สะท้อนภาพเจดีย์ขาวอันสวยงามและต้นหลิวริมฝั่งคือทัศนียภาพที่ขึ้นชื่อลือชาที่สุดของเมืองเฉาหยาง และคือความทรงจำที่สวยงามที่สุดสำหรับผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ด้วย

    สายลมฤดูสารทพัดมาเบาๆ น้ำในทะเลสาบเกิดคลื่น ภาพเจดีย์ขาวที่ผิวทะเลสาบค่อยๆ เปลี่ยนแปลง นี่เป็นภาพที่พบเห็นอยู่เป็นประจำ ทว่าเหล่าสานุศิษย์ที่สวดอธิษฐานอยู่ริมทะเลสาบต่างตกตะลึงสุดขีด เพราะหลังจากที่ภาพสะท้อนของเจดีย์ขาวในทะเลสาบเปลี่ยนแปลง เจดีย์ขาวองค์จริงก็เปลี่ยนแปลงด้วย!

    เงาเจดีย์คือสิ่งมายา จะส่งผลต่อเจดีย์องค์จริงได้อย่างไร

    สายลมพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ ผิวทะเลสาบเกิดเสียงหวีดหวิว สายลมพัดน้ำในทะเลสาบสั่นไหว เงาเจดีย์และเงาต้นไม้ล้วนถูกฉีกเป็นชิ้นๆ จนเลอะเลือน เจดีย์ขาวริมทะเลสาบก็เกิดการเปลี่ยนแปลง มันคล้ายจะหายไปในอากาศ!

    ผิวทะเลสาบสั่นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดคลื่นที่เต็มไปด้วยฟองอากาศเหมือนเมฆบนท้องฟ้าและเหมือนน้ำเดือดในหม้อ เงาเจดีย์ขาวกลายเป็นฟองแล้วในที่สุดก็หายไป เสียงตูมดังสนั่น! น้ำในทะเลสาบหายวับไปในทันใด เหลือเพียงก้นทะเลสาบที่แห้งผาก เจดีย์ขาวริมทะเลสาบเองก็ไม่รู้หายไปไหนแล้ว!

    เจดีย์ขาวอยู่คู่กับเหล่าสานุศิษย์แคว้นเยวี่ยหลุนมานานแสนนานจนกลายเป็นที่ศรัทธาของจิตวิญญาณ หรืออาจเรียกว่าความทรงจำแห่งชีวิตของพวกมันนานแล้ว ทว่าวันนี้หายวับไปต่อหน้าต่อตาพวกมัน ทุกคนที่เห็นภาพนี้ต่างเกิดความรู้สึกอย่างเดียวกันว่าพวกมันคงไม่ได้เห็นเจดีย์ขาวกลับมาแล้ว ทัศนียภาพอันเลื่องชื่อที่สุดของเมืองเฉาหยางคงไม่อาจหวนคืนกลับมาแล้ว

    เหล่าสานุศิษย์ต่างตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก เสียใจอย่างสุดที่จะพรรณนาได้ ไม่รู้ว่าเวลานี้ควรคิดอย่างไรจึงได้แต่คุกเข่าโขกศีรษะอธิษฐานต่อฐานเจดีย์ที่ยังเหลืออยู่อย่างศรัทธายิ่งกว่าก่อนหน้านี้

     

    ท้องฟ้าเหนือวัดเสวียนคงถูกชั้นเมฆหนาปกคลุมมาตลอด

    ในเมื่อปฐมพุทธะจะกำจัดเฮ่าเทียน ย่อมไม่อาจให้นางมองเห็นฟ้าคราม

    บนฟ้าที่สูงขึ้นไปจู่ๆ ก็มีเสียงลมที่น่ากลัวดังมา

    ตำแหน่งศูนย์กลางของชั้นเมฆกดต่ำลงมาหลายร้อยจั้ง ขณะที่กลุ่มเมฆที่กดลงมากำลังจะสัมผัสยอดเขา ส่วนล่างสุดของเมฆพลันมีเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า จากนั้นน้ำฝนก็สาดเทลงมา

    น้ำฝนหาใช่น้ำฝนจริงไม่ แต่เป็นน้ำในทะเลสาบของวัดไป๋ถ่าที่อยู่ห่างออกไปไกลโข ภายในนั้นถึงขั้นมีมัจฉาและซากก้านดอกบัวอยู่มากมาย

    ฝนตกลงมาอย่างหนัก กลุ่มเมฆที่กดลงมากระจายออกอย่างฉับพลัน

    เจดีย์ขาวโผล่ออกมาจากเมฆ ร่วงลงสู่ลานกว้างริมผา!

    เจดีย์ขาวมาจากสถานที่ห่างไกล นำพาความรู้สึกนึกคิดของบรรดาสานุศิษย์ในโลกมนุษย์ของปฐมพุทธะทะลุห้วงมิติมายังแดนสุขาวดีเบื้องประจิมเพื่อกำราบเฮ่าเทียนไว้ใต้เจดีย์

    ฤดูสารทเมื่อหลายปีก่อน เจ้าคณะฝ่ายเทศนาก็เคยจะให้ซังซังเข้าไปถูกขังอยู่ในเจดีย์ขาว ฤดูสารทปีนี้ กลอุบายของปฐมพุทธะในที่สุดก็ทำให้ฉากนี้กลายเป็นจริงแล้ว!

    มวลน้ำฝนตกลงบนลานกว้างริมผา ต้นหลีถูกซัดจนกิ่งโค้งงอ แต่ลูกหลีบนต้นกลับไม่ร่วงหล่นลงพื้น น้ำมากมายไหลลงไปเบื้องล่างกลายเป็นน้ำตกเล็กๆ

    ซังซังกางร่มดำยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

    หนิงเชวียไม่มีร่มจึงเปียกไปทั้งตัวในชั่วพริบตา บนบ่ามีก้านบัวที่เหมือนซากงูตายอยู่สองสามก้าน ในอกเสื้อมีปลาหนีชิวมุดเข้าไปตัวหนึ่ง สภาพมันดูน่าสมเพชอย่างยิ่ง แต่สิ่งที่ทำให้มันกังวลจริงๆ ไม่ใช่น้ำในทะเลสาบ หากแต่เป็นเจดีย์ขาวที่โผล่ออกมา ชั้นเมฆใกล้ยอดเขาเข้ามามากแล้ว เจดีย์ขาวหลังโผล่พ้นเมฆก็ผ่านมหาวิหารบนยอดเขาลงมาอย่างรวดเร็ว ตรงดิ่งลงมายังลานกว้างริมผาที่มันและซังซังยืนอยู่!

    เจดีย์ขาวที่ร่วงลงมาแฝงพุทธานุภาพอันสูงสุด พุทธรัศมีบริเวณลานกว้างก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ด้วย สองสิ่งนี้มีบางอย่างเชื่อมโยงกันซึ่งไม่อาจทำลายได้

    ลานกว้างริมผาคือฝ่ามือของปฐมพุทธะ เจดีย์ขาวร่วงลงมาก็ต้องร่วงลงบนฝ่ามือ เพราะเดิมทีของสิ่งนี้คือของวิเศษที่มีอานุภาพสูงสุดที่ปฐมพุทธะทิ้งไว้ในโลกมนุษย์

    ถ้าปฐมพุทธะจะเก็บของวิเศษของตนกลับ หนิงเชวียก็ไม่ขัดข้อง แต่มันกับซังซังยังยืนอยู่บนฝ่ามือของปฐมพุทธะและออกไปไม่ได้ หากเจดีย์ขาวร่วงลงมาพวกมันก็ต้องถูกทับ ถ้าเป็นเช่นนั้นยังจะเห็นแสงเดือนแสงตะวันได้อีกไหม

    เจดีย์ขาวร่วงลงมา พุทธานุภาพใกล้เข้ามาแล้ว หนิงเชวียมือกุมด้ามดาบ มองไปทางไหนก็ไม่เห็นทางออก ไม่รู้จริงๆ ว่าควรรับมืออย่างไร พอหันหลังไปมองก็เห็นนางยืนอึ้งอยู่ใต้ร่ม

    มันกระอักเลือด

    หลังเช็ดเลือดที่มุมปากแล้วนางยังคงยืนเหม่อ

    หนิงเชวียจนปัญญาจริงๆ เจ็บปวดทรมานเป็นที่ยิ่ง จึงตะโกนใส่นางว่า

    “ท่านเฮ่าเทียนผู้ยิ่งใหญ่! เวลานี้แล้วท่านยังเหม่ออะไร ยังไม่รีบสำแดงฤทธิ์เดชออกมาอีกหรือ!”

    ซังซังเงยหน้าขึ้นมองเจดีย์ขาวที่กำลังร่วงลงมา

    ฝนหนักพลันหยุดตก ชั้นเมฆพลันหยุดนิ่ง ความเร็วของเจดีย์ขาวพลันช้าลงจนคล้ายลอยค้างอยู่กลางอากาศ

    แค่เพียงช้าลง ไม่ใช่หยุดนิ่ง แต่ต่อให้ช้าแค่ไหน ขอเพียงยังร่วงลงมา ย่อมมีสักเวลาที่เจดีย์ขาวร่วงจนถึงลานกว้างทับนางและหนิงเชวียไว้ใต้เจดีย์

    หากจะรอดพ้นจากสถานการณ์ตรงหน้าก็ต้องออกจากลานกว้าง และหากจะออกจากลานกว้างก็ต้องทลายโลกที่สร้างจากพุทธรัศมี พระสูตร และความรู้สึกนึกคิดของสานุศิษย์นับล้านนี้ออกไป

    ซึ่งคือแดนสุขาวดีเบื้องประจิมของปฐมพุทธะ

    ซังซังไม่อยากสูญเสียพลังมากมายมหาศาลขนาดนั้น เพราะโลกมนุษย์ยังมีสถานศึกษา

    นางสองมือไพล่หลัง สีหน้าเรียบนิ่งมองเจดีย์ขาวพลางครุ่นคิด

    เห็นสภาพนางอย่างนี้แล้วหนิงเชวียก็จนปัญญา จึงตวัดดาบฟันทำลายพระสูตรที่ลอยอยู่ตรงหน้าผาไปเล็กน้อย แล้วพุ่งตัวเบียดเข้าไปอยู่กับนางใต้ร่มดำ ตะโกนใส่หูนางว่า

    “ตื่นได้แล้ว!”

    ซังซังเอ่ยสีหน้าเรียบนิ่งว่า

    “ยามนี้ข้าไม่ได้หลับ”

    “เช่นนั้นก็รีบหาวิธี ข้าไม่อยากเป็นสวี่เซียน* ”

    “คนที่ถูกขังอยู่ใต้เจดีย์คือไป๋เหนียงจื่อ** ต่างหาก”

    หนิงเชวียโกรธจัด เอ่ยว่า

    “ถ้าเจ้าเป็นไป๋เหนียงจื่อ หรือว่าข้ายังจะอยู่นอกเจดีย์ได้?”

    ซังซังมองเจดีย์ขาวพลางเอ่ยว่า

    “ข้าถูกพวกเจ้าสถานศึกษาทำให้อ่อนแอลง จึงทำลายเจดีย์นี้ไม่ได้”

    “เรื่องนี้กลายเป็นความรับผิดชอบของข้าหรือ ก็ได้…ต่อให้เป็นความรับผิดชอบของข้า แต่เจ้าคือเฮ่าเทียน ควรต้องพกของวิเศษอะไรมาบ้างใช่ไหม”

    ซังซังมองมันแล้วชี้ๆ ร่มดำ

    หนิงเชวียอารมณ์เสีย

    “ดูซิ ปฐมพุทธะมีของวิเศษตั้งเยอะ ส่วนเจ้ามีร่มเส็งเคร็งแค่คันเดียว”

    มันพูดเน้นเสียงที่คำว่าเส็งเคร็ง

    ร่มดำตอนนี้เส็งเคร็งจริงๆ แต่ถ้าเจ้าร่มมีความรู้สึก มันต้องรู้สึกคับข้องใจเป็นแน่

    ทว่าซังซังไม่คับข้องใจ เพราะความคับข้องใจเป็นอารมณ์ที่มนุษย์อ่อนแอเท่านั้นที่มี

    “เพราะมันเป็นคนอ่อนแอจึงต้องเตรียมการมากมายอย่างนี้ ข้ามาโลกมนุษย์ไม่จำเป็นต้องมีอะไร”

    ในความเห็นนาง ปฐมพุทธะคือคนอ่อนแอ

    หนิงเชวียเอ่ยว่า

    “แต่ตอนนี้คนอ่อนแอที่เจ้าเอ่ยถึงกำลังจะกำราบยอดฝีมืออย่างเจ้าแล้ว”

    ซังซังมองมันพลางตอบกลับ

    “เจ้าคิดว่าวิธีการพวกนี้ของปฐมพุทธะจะชนะข้าได้?”

    “ข้าคิดว่าข้ากำลังจะได้เห็นโศกนาฏกรรม”

    “อย่าเพ้อฝันว่าฟ้าจะเปิด* ”

    “ก็เรื่องที่มันคิดฝันมิใช่จะเปิดฟ้าหรอกหรือ”

    “ถ้าข้าไม่ให้เปิด ก็เปิดไม่ได้”

    จู่ๆ นางก็มองห่อสัมภาระบนหลังหนิงเชวีย มองกระดานหมากของปฐมพุทธะ ก่อนเอ่ยสีหน้าเรียบนิ่งว่า

    “เพราะข้าคือเฮ่าเทียน ส่วนเจ้า…ไม่รู้เป็นตัวอะไร”

     

     

    (ติดตามต่อได้ในเล่ม ‘สยบฟ้า พิชิตปฐพี 34’ วางขาย 21 เมษายน 2020)

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook