• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน สยบฟ้าพิชิตปฐพี 35 บทที่ 1

    บทที่ 1 อีกาบนหลังสุกร

     

    แม่ค้าขายผักไม่พูดจา เพียงยิ้มมองหนิงเชวีย มือซ้ายถือฮ่วยซัว มือขวาถือผักขึ้นฉ่าย สองอย่างนี้เป็นทั้งผักและสมุนไพร

    หนิงเชวียพลันยิ้ม

    “หรือว่าท่านคือพุทธะเภสัชในตำนาน”

    แม่ค้ายิ้มน้อยๆ

    “ถูกแล้ว”

    “พุทธะเภสัชรักษาคนได้ ภรรยาข้าป่วยหนักน่าจะเพราะถูกพิษ ไม่รู้ว่าท่านช่วยดูอาการแล้วเขียนเทียบยาให้จะได้หรือไม่”

    แม่ค้ามองซังซังแล้วเอ่ยอย่างเวทนา

    “พิษนี้ไม่มียาใดรักษาได้ มิสู้กลับไป”

    หนิงเชวียชี้ท้องฟ้า

    “กลับไม่ได้จะทำอย่างไร”

    “ตายก็คือหลุดพ้น”

    “คำพูดนี้มีเหตุผลอยู่หลายส่วน”

    หนิงเชวียเอ่ยยิ้มๆ ก่อนชักดาบออกจากฝักมาฟันแม่ค้าที่อยู่หลังแผงผัก

    บนใบของพวกผักที่กองพะเนินอยู่บนแผงเต็มไปด้วยน้ำค้าง ดูสดใหม่

    ตามหลักแล้วดาบของหนิงเชวียควรจะฟันแผงผักขาดเป็นสองซีก ฟันใบผักขาดเป็นชิ้นๆ และฟันน้ำค้างกลายเป็นคราบน้ำชื้นๆ อย่างง่ายดาย

    แต่ไม่เลย

    เพราะแผงผักกลายเป็นผืนที่ราบ ผักบนแผงกลายเป็นพืชพันธุ์เขียวชอุ่ม ฮ่วยซัวในมือซ้ายของแม่ค้ากลายเป็นกิ่งไม้ ผักขึ้นฉ่ายในมือขวากลายเป็นบาตร

    แม่ค้าขายผักกลายเป็นพุทธะเภสัช ผมดำขลับ ติ่งหูสองข้างห้อยย้อยถึงบ่า รูปร่างหน้าตาสง่าน่าเกรงขาม วงรัศมีและเมฆมงคลมากมายหมุนวนอยู่เบื้องหลัง

    เบื้องหน้าพุทธะเภสัชมีธงสีต่างๆ นับพันโบกสะบัด ธงพวกนี้เองที่ป้องกันดาบของหนิงเชวียไว้

    หนิงเชวียเห็นพุทธะที่ใกล้อยู่เบื้องหน้าแต่เหมือนไกลสุดสายตาแล้วก็ตกตะลึง

    “ใช่จริงๆ ด้วย”

    พุทธะเภสัชยิ้มน้อยๆ ปานแดงที่หว่างคิ้วปล่อยแสงสว่างส่องที่ราบโดยรอบให้เจิดจ้า ธงสีต่างๆ โบกสะบัดเร็วยิ่งขึ้น พืชพันธุ์นานาชนิดเติบโตสูงใหญ่เจริญงอกงาม

    หนิงเชวียและซังซังยืนอยู่บนที่ราบ สองขาพลันถูกต้นชิงเถิงรัดแน่นจนไปไหนไม่ได้

    พุทธะเภสัชกล่าวสรรเสริญพระพุทธคุณคราหนึ่งแล้วเทบาตรช้าๆ น้ำสีดำที่มีกลิ่นยาในบาตรไหลลงพื้นดินกลายเป็นแม่น้ำพุ่งเข้าปะทะหนิงเชวียและซังซัง

    ยาคือสิ่งที่ใช้รักษาโรค ช่วยเหลือคน แต่ใช้ฆ่าคนก็ได้ ยาดีบางครั้งก็กลายเป็นยาพิษที่ร้ายแรงที่สุดได้ พอได้กลิ่นแปลกๆ ในแม่น้ำแห่งยา หนิงเชวียพลันรู้สึกแน่นหน้าอก จากนั้นก็เจ็บปวดอย่างรุนแรง เอามือกุมหน้าอกแล้วไอ ราวกับว่าจะไออวัยวะภายในออกมานอกร่างกาย

    ซังซังยืนอยู่ข้างมัน ขมวดคิ้วมองพุทธะเภสัช

    “น่าขันจริงๆ”

    กล่าวจบนางกะพริบตา ที่ราบพลันพังทลาย พืชหนาแน่นแหลกเป็นชิ้นๆ แม่น้ำแห่งยาที่ส่งกลิ่นประหลาดก็สะเทือนจนเกิดร่องน้ำแล้วไหลออกไปทั้งสี่ทิศ

    แผงผักกลับมาเป็นแผงผัก

    หนิงเชวียตวัดดาบ เสียงเสียดสีที่รุนแรงดังขึ้นคราหนึ่ง คมดาบวาดผ่านร่างแม่ค้าทำให้เกิดบาดแผลที่เรียบสนิท ภายในมีแสงสีทองแผ่กระจายออกมารางๆ

    แม่ค้าขายผักมองทั้งสองคนพลางยิ้มน้อยๆ

    ฉัวะ!

    ร่างนางขาดเป็นสองท่อนร่วงลงพื้น บริเวณบาดแผลที่เรียบสนิทเต็มไปด้วยแสงสีทอง ราวกับว่ามีทองคำเหลวมากมายกำลังไหลออกมา

    ทองคำเหล่านี้เมื่อถูกลมก็สลายกลายเป็นหมอกสีทอง ค่อยๆ ลอยไปทั่วตลาด หมอกบางส่วนลอยไปเบื้องหน้าซังซัง นางขมวดคิ้ว หน้าซีดเผือดกว่าเดิม ดูเจ็บปวดทรมาน

    เมื่อฆ่าคนขายผักแล้วย่อมไม่อาจซื้อผัก จึงกลับบ้าน หนิงเชวียรู้สึกหนักใจ และยิ่งไม่สบายใจเมื่อนึกถึงภาพสุดท้ายที่ได้เห็น

    ไม่ว่าจะเป็นพุทธะเภสัชจริงหรือปลอมเมื่ออยู่ต่อหน้ามันและซังซังก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งสักเท่าไร เหมือนหลวงจีนชิงปั่นที่กลายเป็นพุทธะปิดหน้า

    แต่ปราณพุทธะที่ปลดปล่อยออกมาหลังพุทธะพวกนั้นตายดูเหมือนว่าสามารถทำร้ายซังซัง ต่อไปถ้าเจอพุทธะพวกนี้อีกจะทำอย่างไร พวกมันต้องไปจากโลกนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด

    “ต้องหาวิธีถอนพิษในตัวเจ้า”

    มันเอ่ยกับซังซัง

    ซังซังค่อนข้างหน้าซีด

    “ถ้าถอนไม่ได้จะทำอย่างไร”

    หนิงเชวียไม่อยากให้นางเครียดจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า

    “แม้ถอนไม่ได้เจ้าก็ไม่ตาย ต้องใช้ชีวิตต่อไป”

    ซังซังสบตามันนิ่ง

    “การใช้ชีวิตก็คือพิษ”

    หนิงเชวียเข้าใจแล้ว แต่ไม่รู้ควรตอบอย่างไร จึงนิ่งเงียบอยู่ครู่ก่อนเอ่ยว่า

    “ไปเถอะ”

    ครั้งนี้มันไม่ใช้ประโยคคำถาม เพราะการไปที่มันเอ่ยถึงไม่ใช่การไปจากโลกกระดานหมาก แต่ไปจากบ้านนี้ หรือก็คือไปจากเมืองเฉาหยาง มันจะไปหาวิธีรักษาซังซัง

    เหมือนเมื่อหลายปีก่อน

    พวกมันอาศัยอยู่ในบ้านเล็กมาหลายปีย่อมมีความทรงจำรวมทั้งข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นต้องใช้มากมาย แต่สัมภาระที่หนิงเชวียเตรียมจะเอาไปนอกจากอาวุธและเสบียงอาหารแล้วก็มีผักดองหนึ่งกระปุกเท่านั้น

    ซังซังถามว่า

    “จะไปที่ไหน”

    หนิงเชวียมองไปทางทิศตะวันออกอีกครั้งด้วยจิตใต้สำนึก แต่เกิดความหวาดกลัวขึ้นรางๆ จึงตอบว่า

    “ไปทางใต้”

    ใบหน้าขาวซีดของซังซังพลันปรากฏวงแดง

    “เจ้าจะไปหานาง?”

    หนิงเชวียตะลึงลาน รู้ว่านางหมายถึงอะไรจึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า

    “ทางใต้ของโลกนี้ไม่มีแคว้นต้าเหอ”

    “แต่ความเคยชินของเจ้าคือไปทางใต้”

    หนิงเชวียถามอย่างไม่เข้าใจว่า

    “แล้วอย่างไร”

    “ใจเจ้าคิดจะไปหานาง”

    หนิงเชวียค่อนข้างโมโห

    “นี่มันเวลาไหนแล้ว ยังพูดเรื่องนี้ทำไม”

    ซังซังนิ่งเงียบ พบว่าเกิดปัญหาขึ้นกับตนจริงๆ

    ไม่ใช่ว่าเกิดปัญหาขึ้นกับท่าทีของนางที่มีต่อมัน นางคือเฮ่าเทียน มันคือคนธรรมดา แม้ว่าพวกมันเป็นสามีภรรยา แต่ไม่ว่านางจะปฏิบัติกับมันอย่างไรล้วนมีเหตุผล

    ปัญหาอยู่ที่สภาพจิตใจนางแปรปรวน

    เมื่อครู่คือโกรธ ทั้งยังแฝงด้วยโลภและหลงด้วย พิษในตัวนางกำเริบหนักขึ้นเรื่อยๆ

    หนิงเชวียเข้าใจจึงกอดนางไว้ในอ้อมอก

    “ข้ารักษาเจ้าให้หายได้แน่นอน”

    หลังผูกสัมภาระหนักอึ้งไว้ด้านหลัง หนิงเชวียก็กางร่มดำออกจากบ้านเดินไปทางประตูเมือง ซังซังจับมือมันอยู่ใต้ร่ม ดูค่อนข้างอ่อนแอ

    หากต้องการเปิดกระดานหมากของปฐมพุทธะ ซังซังก็จำเป็นต้องฟื้นฟูพลัง จำเป็นต้องขจัดพิษในร่างกาย จำเป็นต้องหาวิธีขจัดพิษให้เจอ จำเป็นต้องไปค้นหา ดังนั้นจึงต้องไปจากที่นี่

    หลวงจีนชิงปั่นไม่ต้องการให้พวกมันจากไป พุทธะเภสัชไม่ต้องการให้พวกมันจากไป เมืองเฉาหยางไม่ต้องการให้พวกมันจากไป โลกนี้ไม่ต้องการให้พวกมันจากไป พวกมันย่อมไม่อาจจากไปโดยง่ายดายเช่นนี้

    ตรงมุมถนนสายใหม่มีร้านขายตะเกียงและน้ำมันตะเกียง ทั้งยังขายเทียนไขด้วย หนิงเชวียซื้อน้ำมันตะเกียงที่นี่เป็นประจำจึงสนิทกับเจ้าของร้าน แต่วันนี้พอเห็นเจ้าของร้าน สีหน้ามันก็แปรเปลี่ยน

    เจ้าของร้านไม่อยู่ในร้าน ไม่อยู่มุมถนน แต่ขวางทางเดินพวกมัน

    หนิงเชวียชักดาบแล้วถามว่า

    “ท่านคือพุทธะรูปใด”

    เจ้าของร้านสวมหมวก ใบหน้าอ่อนโยนน่าสนิทสนม ยิ้มพลางเอ่ยว่า

    “ลองทายดู”

    หนิงเชวียมองตะเกียงที่แขวนมากมายอยู่ในร้านจึงทายอย่างไม่ค่อยมั่นใจว่า

    พุทธะดวงประทีป?”

    ใช่พุทธะดวงประทีปจริงๆ

    บนถนนไม่เหลือเจ้าของร้านขายตะเกียงอีก เหลือเพียงบรรพพุทธะผู้ชราภาพ

    รอบกายบรรพพุทธะล้วนเป็นดวงประทีปอันสว่างโชติช่วง แม้แต่รังมดตรงมุมกำแพงยังถูกส่องจนเห็นได้ชัดเจน ถึงขั้นแม้แต่ท้องฟ้าที่ดำมืดยังราวกับสว่างขึ้นมา

    แสงสว่างเริ่มเผาไหม้ ความร้อนบนถนนเริ่มสูงขึ้น ปลายจมูกของซังซังปรากฏเหงื่อหนึ่งหยด

    ตอนที่ยังเป็นคนธรรมดา เพราะมีไอเย็นตั้งแต่กำเนิดนางจึงไม่ค่อยมีเหงื่อออก หลังกลายเป็นเฮ่าเทียน กายเทพเย็นเฉียบประหนึ่งหยก ยิ่งไม่ควรมีเหงื่อออก

    แต่ที่เบื้องหน้าพุทธะดวงประทีป นางเหงื่อออกแล้ว

    หนิงเชวียรู้สึกว่าหัวใจร้อนลวกราวกับว่าภายในถูกใครใส่ตะเกียงน้ำมันเข้าไป

    ลมปราณสุดไพศาลระเบิดขึ้น ชั่วพริบตามันก็พุ่งไปถึงเบื้องหน้าบรรพพุทธะแล้วฟันหนึ่งดาบ

    บรรพพุทธะใช้ตะเกียงต้านรับ ตะเกียงทองแดงดวงนั้นดูธรรมดาแต่ราวกับว่ามีน้ำหนักเท่าโลกทั้งใบ กดดาบของหนิงเชวียไว้แผ่วเบา

    บรรพพุทธะเริ่มจุดตะเกียง ตะเกียงพันดวงหมื่นดวงส่องสว่าง ทำให้โลกทั้งใบสว่างเจิดจ้า

    เพียงพริบตาก็มีตะเกียงหมื่นกว่าดวงถูกจุดขึ้น หนิงเชวียเร็วไม่พอที่จะตอบสนอง

    ขณะที่ตะเกียงดวงที่หนึ่งหมื่นหกพันถูกจุด ซังซังก็ลงมือ

    นางยื่นนิ้วชี้มือขวาออกไปต้านตะเกียงทองแดงแผ่วเบา

    บรรพพุทธะพลันสีหน้าแปรเปลี่ยน ต่อให้เป็นบรรพพุทธะก็ไม่อาจเทียบเคียงเฮ่าเทียน

    ตะเกียงทองแดงไม่อาจกดลงมาได้อีก

    หนิงเชวียพลิกข้อมือ ดาบขวางอยู่เบื้องหน้าปลายแขน ฟันไปที่ลำคอของบรรพพุทธะ

    บรรพพุทธะศีรษะยังไม่หลุด เพียงลำคอปรากฏบาดแผล

    ภายในบาดแผลยังคงไม่มีเลือด มีเพียงแสงสีทองเข้มข้น จากนั้นมีทองคำไหลซึมออกมาช้าๆ จากบาดแผล เปียกจีวรของบรรพพุทธะก่อนหยดลงพื้น

    ของเหลวที่เหมือนทองคำพวกนั้นล้วนเป็นปราณพุทธะ ภายในมีพุทธานุภาพและเจตนารมณ์แห่งพุทธะอันมหาศาล พอปะทะกับลมก็กลายเป็นหมอกสีทอง ส่วนแสงที่เปล่งออกมาล้วนคือพุทธรัศมี

    หนิงเชวียพลันสีหน้าแปรเปลี่ยน จูงมือซังซังวิ่งไปอีกฟากของถนน

    มันรวดเร็วมากจนไม่มีเวลาหันกลับไปดูเลยว่าพุทธะดวงประทีปตายหรือยัง มันเอาแต่วิ่งหนีสุดชีวิต จนกระทั่งมาถึงปลายสุดของถนนยาวจึงหยุดวิ่ง

    ซังซังหน้าซีดเผือด คิ้วขมวดแน่น ดูเหมือนเจ็บปวดทรมาน

    พอเห็นหยดของเหลวสีทองติดอยู่ที่ชายชุดเขียวลายดอกไม้ของนาง หนิงเชวียจึงรู้ว่าเมื่อครู่หลบไม่พ้น

    “ครั้งต่อไปยืนอยู่หลังข้า พุทธรัศมีจะได้ไม่ถูกตัวเจ้า”

    มันดึงซังซังมามองตาพลางเอ่ยอย่างจริงจัง

    ซังซังมองปลายรองเท้าที่โผล่พ้นชายกระโปรงออกมา เอ่ยเสียงเบาว่า

    “ข้ากลัวพลัดหลง”

    หนิงเชวียนิ่งเงียบไปครู่ก่อนปลดสัมภาระลง หยิบกล่องธนูและถุงผ้าแพรที่ใส่กระดาษยันต์ออกมา โยนสัมภาระอื่นๆ ทิ้งไปรวมทั้งผักดองกระปุกนั้นด้วย

    มันแบกนางขึ้นหลัง ใช้เชือกมัดร่างของทั้งคู่เข้าด้วยกัน ส่งร่มดำให้นาง มือหนึ่งถือกล่องธนู มือหนึ่งถือดาบ แล้วมุ่งไปทางประตูเมือง

    บนถนน กระปุกผักดองแตกแล้ว ส่งกลิ่นหอมซึ่งเป็นกลิ่นเฉพาะของกระปุกเก่าออกมา

    หนิงเชวียแบกซังซังมุ่งหน้าออกนอกเมืองเฉาหยาง ระหว่างทางยังพบพุทธะอีกจำนวนมาก

    เจ้าหน้าที่หอดนตรีที่ถือเครื่องตั้งสายอยู่กลายเป็นพุทธะทำนองชัย

    นักเล่านิทานในซอยเครื่องปั้นดินเผากลายเป็นพุทธะยากทำลาย

    หลวงจีนในศาลเจ้าแห่งหนึ่งกลายเป็นพุทธะผดุงธรรม

    คนมากมายล้วนกลายเป็นพุทธะ จากนั้นก็ถูกมันสังหาร

    หนิงเชวียไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนเหล่านี้จึงกลายเป็นพุทธะ เหตุใดจึงมีพุทธะมากมายเช่นนี้ พุทธะเหล่านี้มาจากไหน พวกมันบรรลุพุทธะได้อย่างไร

    “ทุกคนล้วนบรรลุพุทธะได้”

    ซังซังซบไหล่มันเอ่ยอย่างอ่อนแรง

    “นี่ก็คือจิตตะแห่งเวไนยสัตว์”

    พวกทาสที่อาศัยอยู่ในโลกเบื้องล่างของวัดเสวียนคงทั้งชีวิตรู้จักเพียงท้องฟ้าที่เหมือนปากบ่อน้ำและพุทธะเท่านั้น พวกมันไม่มีทางเลือกอื่นใด ดังนั้นศรัทธาของพวกมันจึงบริสุทธิ์อย่างที่สุด ในโลกมนุษย์สานุศิษย์ที่ศรัทธาต่อนิกายพุทธเช่นนี้ยังมีอีกมาก หลายยุคหลายสมัยผ่านไป บรรดาสานุศิษย์ตายไป ความรู้สึกนึกคิดของพวกมันเข้ามาในกระดานหมากของปฐมพุทธะแล้วประกอบกันเป็นแดนสุขาวดีแห่งนี้

    ตามแนวคิดของนิกายพุทธ โลกที่มีคุณสมบัติพอให้เรียกว่าแดนสุขาวดีคือโลกที่ทุกคนล้วนบรรลุพุทธะได้ เมืองเฉาหยางในเวลานี้ไม่ว่าจะเป็นคนงาน พ่อค้า ขุนนาง หรือหลวงจีนล้วนมีความเมตตาปรากฏบนใบหน้า สวดมนต์ตลอดเวลา พวกมันก็คือพุทธะ พวกมันทุกคนล้วนเป็นพุทธะ

    หนิงเชวียและซังซังอยากรู้ว่าหลังจากพวกตนได้สติจากห้วงภวังค์แล้วปฐมพุทธะจะใช้วิธีการใดกำจัดพวกตน บัดนี้พวกมันเห็นคำตอบแล้ว… รูปลักษณ์แห่งเวไนยสัตว์และจิตตะแห่งเวไนยสัตว์

    ทั้งบุรุษสตรี ชราและเยาว์วัย ทุกคนบรรลุพุทธะเข้าล้อมพวกมัน สีหน้าของทุกคนเมตตาน่าเกรงขาม ปากสวดภาวนา ไม่กล่าวว่าจะฆ่า แต่เจตนารมณ์ของพวกมันคือการฆ่า ต้องการฆ่าเฮ่าเทียน ฆ่าซังซัง

    มีชายหนุ่มที่ยกหาบมาหลายสิบปีจนไหล่ด้าน นั่นคือพุทธะไหล่เพลิง มีหญิงสาวที่ตื่นเพราะแสงยามเช้า นั่นคือพุทธะตะวันฉาย มีชายชราชาวประมง นั่นคือพุทธะตาข่ายจรัส

    นอกจากนี้ยังมีพุทธะนามขจร พุทธะธงธรรม พุทธะนามส่อง พุทธะกายผ่องเรืองรัตนะ พุทธะหอมกำจร พุทธะหอมประกาย พุทธะนักษัตร พุทธะเห็นนิยาม รวมถึงพุทธะอีกจำนวนมากที่ไม่มีฉายาทางธรรม

    ทุกคนในเมืองล้วนคือพุทธะ เบียดเสียดกันแน่นขนัด พุทธะรูปนี้เหยียบจีวรพุทธะรูปนั้น พุทธะรูปนั้นชนดอกไม้หยกในมือของพุทธะรูปนี้แหลก พุทธะเบียดพุทธะ พุทธะดันพุทธะ เดินเข้าหาหนิงเชวียและซังซัง

    พอเห็นภาพอันน่าตื่นตระหนกนี้หนิงเชวียคล้ายย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ในเมืองเฉาหยางเมื่อครั้งที่คนจำนวนนับไม่ถ้วนหมายฆ่าซังซังบนหลังมัน หมายฆ่าบุตรีของหมิงหวัง

    กระทั่งมันเห็นนักแสดงละครลิงกลายเป็นพุทธะ ลิงที่นั่งอยู่บนไหล่มันก็กลายเป็นพุทธะที่อารมณ์ดุร้ายด้วย มันก็รับไม่ได้อีกต่อไป จึงตวัดดาบแล้วพุ่งเข้าหา

    บนเส้นทางออกนอกเมืองมันสังหารพุทธะไปมากมาย เดิมทีคิดยั้งมือไว้ก่อนเพราะพุทธะเหล่านี้ล้วนมีธรรมานุภาพ ไม่ใช่สังหารได้ง่ายๆ ที่สำคัญกว่านั้นคือมันรู้ดีว่าหลังจากพุทธะเหล่านี้ถูกสังหารแล้วจะกลายเป็นพุทธรัศมีที่ทำให้ซังซังเจ็บปวดทรมาน

    แต่ยามนี้ถ้าไม่สังหารมันก็ไม่มีทางแบกซังซังหนีออกนอกเมืองได้ มันได้แต่จับดาบเข้าฟาดฟันเหล่าพุทธะ

    ราวกับมีคนกำลังถือไม้กวาดกวาดพื้น เสียงดังสวบๆ ดาบเหล็กตวัดไปมาท่ามกลางเหล่าพุทธะผู้มีใบหน้าสง่างาม คมดาบฟันตัดลำคอและหน้าอกของพุทธะพวกนั้น พุทธะมากมายล้มลง ของเหลวสีทองเปรอะเต็มตัวดาบ จากนั้นก็กลายเป็นแสงสว่างอันบริสุทธิ์

    พุทธะนักษัตรตายแล้วล้มลงกับพื้นราวกับนอนหลับ จากนั้นก็ถูกพุทธะรูปอื่นเหยียบกลายเป็นแผ่นทอง พุทธะไหล่เพลิงตายแล้ว ไหล่ขวามันถูกดาบตัดขาดจนดูเหมือนรูปปั้นทองคำที่ยังสร้างไม่เสร็จ พุทธะตะวันฉายตายแล้ว ใบหน้าอันงดงามของสาวน้อยมีรอยดาบสีทอง ดูน่ากลัวยิ่งนัก

    หนิงเชวียตวัดดาบเดินหน้าไป แต่ละดาบล้วนมีพุทธะตาย สีหน้ามันไม่เผยอารมณ์ใดๆ ไม่ว่าเบื้องหน้าคือใคร คนชราหรือว่าเด็กน้อย ล้วนสังหารในดาบเดียว

    บรรดาพุทธะถูกฟันแล้วเลือดไม่ไหล มีแต่ของเหลวสีทองไหลออกมา แต่ภาพที่ปรากฏยังคงโหดเหี้ยมอำมหิต ความเลือดเย็นสุดขีดที่หนิงเชวียแสดงออกมารุนแรงกว่าที่เมืองเฉาหยางในครั้งก่อนเสียอีก

    การทดสอบขึ้นเขาหลังสถานศึกษาปีนั้นมันเคยเลือดเย็นเช่นนี้ ไม่ว่าสิ่งที่ขวางหน้ามันคือความจำเก่าหรือความรู้ใหม่ คือญาติสนิทหรือมิตรสหาย ล้วนถูกมันสังหารในดาบเดียว เพราะมันรู้ว่าคนพวกนั้นล้วนคือคนตาย

    พุทธะพวกนี้ก็คือคนตาย ในเมื่อตายแล้ว ฆ่าอีกรอบจะเป็นไรไป

    แต่แน่นอนพุทธะถึงอย่างไรก็คือพุทธะ ต่างมีของวิเศษของตน หนิงเชวียแม้แข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ทั้งยังมีซังซังช่วยเหลืออยู่ข้างหลัง แต่การจะฆ่าพุทธะเหล่านี้ยังคงเป็นเรื่องที่ยากลำบาก

    การฆ่าพุทธะให้หมด…ไม่เคยอยู่ในความคิดมัน

    หนึ่งดาบฟันคอพุทธะหน้ายิ้มขาด พอเห็นศีรษะพุทธะบนพื้นที่ใบหน้ายังยิ้มแย้ม หนิงเชวียก็รู้สึกเหนื่อย ทันใดนั้นพุทธานุภาพสายหนึ่งพุ่งลงมาจากฟ้าโจมตีหลังมันจากด้านขวา นั่นเป็นอิฐทองคำเหลืองอร่ามก้อนหนึ่งที่พุทธะเขาซวีหมี (เขาพระสุเมรุ) โยนมาแต่ไกล!

    หนิงเชวียถ้าไม่ขยับ อิฐทองคำที่แฝงพุทธานุภาพมหาศาลก้อนนี้จะโดนซังซัง มันจึงเบี่ยงตัวอย่างรวดเร็วปล่อยให้อิฐทองคำโดนแขนขวา

    ปึก!

    หนิงเชวียรู้สึกเหมือนวิญญาณแทบหลุดจากร่างเพราะโดนอิฐกระแทก กระอักเลือดออกมาคำโต ซังซังได้รับผลกระทบด้วยจึงกระอักเลือดเปียกคอเสื้อมัน

    ถ้าผู้ฝึกฌานนิกายพุทธหรือนิกายเต๋าถูกอิฐก้อนนี้กระแทก คิดว่ากระดูกแขนคงแหลกละเอียดไปแล้ว โชคดีที่หนิงเชวียฝึกลมปราณสุดไพศาลสำเร็จในขั้นสูง ร่างกายจึงแข็งแกร่งประดุจวัชระ เพียงแค่รู้สึกเจ็บปวดเท่านั้น

    มันเก็บดาบเข้าฝัก ปลดคันธนูลงมาจากบ่า น้าวสายเต็มเหนี่ยวแล้วยิงพุทธะเขาซวีหมีที่ร่างสูงเกือบสามจั้ง

    บนสายไร้ลูกธนู มีเพียงความว่างเปล่า ทว่าครู่ต่อมาหน้าอกของพุทธะเขาซวีหมีก็ปรากฏรอยแตกลึก ของเหลวสีทองไหลออกมาไม่หยุด รูปร่างของรอยแตกเหมือนสายธนูมาก

    หนิงเชวียใช้สายธนูสังหารพุทธะ

    ในที่สุดก็ถึงประตูเมือง รอบกายมันยังคงเต็มไปด้วยพุทธะ พุทธะเหล่านี้มีเลือดสีทองไหลออกมามากมาย เลือดสีทองกลายเป็นแสงจำนวนมากส่องฉายประตูเมืองให้เห็นเด่นชัด

    ในพุทธรัศมีอันเจิดจ้า ใบหน้าซังซังซีดเผือดลงเรื่อยๆ วิธีการของปฐมพุทธะคือจิตตะแห่งเวไนยสัตว์ พุทธะทั้งหลายใช้พุทธรัศมีสังหารเฮ่าเทียน พุทธรัศมีเหล่านี้คือสิ่งที่นางกลัวที่สุด

    หนิงเชวียสัมผัสได้ชัดเจนถึงความเจ็บปวดของนาง หัวใจสั่นสะเทือนถึงขั้นเริ่มเจ็บปวด แต่มันเพิกเฉย ทั้งไม่ปลอบใจนาง บุกฝ่าไปยังที่ราบนอกประตูเมืองต่อไป

    มือซ้ายถือคันธนู มือขวาง้างสาย

    ติงๆๆๆ

    เสียงคล้ายสายพิณขาดและคล้ายมีคนกำลังดีดดอกฝ้าย พุทธะรอบประตูเมืองปรากฏริ้วรอยจำนวนมากขึ้นบนร่างกายแล้วตายไป

    พุทธรัศมีซึมออกมาจากรอยเหล่านั้น แผ่เต็มผืนที่ราบ ทั้งหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ คิ้วซังซังจึงขมวดแน่นขึ้นเรื่อยๆ เลือดที่กระอักออกมาก็มากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน

     

    ซังซังสะดุ้งตื่น มองส่วนลึกของถ้ำที่ดำมืด นิ่งเงียบไม่พูดจา แววตาหม่นหมอง ไม่รู้กำลังคิดอะไร

    หนิงเชวียกอดนางไว้ ถามว่า

    “เป็นอะไรไป”

    “ข้าฝันร้าย”

    หนิงเชวียตะลึงงัน จากนั้นก็ฝืนยิ้ม

    “เป็นเรื่องแปลกใหม่นะเนี่ย เจ้าฝันเห็นอะไร”

    เฮ่าเทียนไม่อาจฝัน มีเพียงคนธรรมดาเท่านั้นจึงฝันได้

    นางเริ่มฝัน แสดงว่านางเริ่มกลายเป็นคนธรรมดาจริงๆ แล้ว ไม่ว่าจะความเป็นโลกิยะที่จอมปราชญ์ใส่ไว้ในร่างนาง หรือสามพิษที่ปฐมพุทธะวางยานาง ล้วนร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ

    “ข้าฝันเห็นพุทธะมากมาย พวกมันใช้ดาบเฉือนหน้าเฉือนเนื้อตัวเอง แล้วออกแรงบีบแผลให้เลือดไหลออกมาเร็วขึ้น สีหน้าพวกมันไม่มีความเจ็บปวด มีบางรูปเดินเข้ากองไฟเพื่อให้เลือดระเหยเร็วขึ้น บางรูปถึงกับกระโดดลงมาจากหน้าผา”

    ซังซังสีหน้าเรียบนิ่ง แต่แววตากลับหวาดกลัว

    หนิงเชวียนึกถึงภาพตอนที่บุกฝ่าออกนอกประตูเมืองเฉาหยาง นิ้วมือพลันเย็นเฉียบ

    ตอนนี้ซังซังอ่อนแอมาก โลกที่เต็มไปด้วยพุทธรัศมีแห่งนี้น่ากลัวมากสำหรับนาง

    “แข็งใจอีกหน่อย”

    มันลูบหลังนางเบาๆ

    “ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ข้าต้องตายแน่ๆ”

    ใบหน้าซังซังยังคงไร้อารมณ์ ในแววตานอกจากความหวาดกลัวแล้วยังมีความเจ็บปวดปนอยู่ด้วย

    การตายหมายถึงการสิ้นสุด คือการหลับตลอดกาล นี่เป็นเรื่องน่ากลัวที่สุดสำหรับสิ่งที่มีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตัวเอง นางไม่เคยคิดว่าตนเองจะตาย ดังนั้นนางจึงไม่เคยกลัว จวบจนกระทั่งเวลานี้

    หนิงเชวียเอ่ยว่า

    “ข้าจะไม่ให้เจ้าตาย”

    “คำพูดแบบนี้เจ้าพูดมาตั้งไม่รู้กี่ครั้ง นอกจากปลอบใจตัวเจ้าเองแล้วก็ไม่มีประโยชน์อื่นใด”

    “ตอนจบของเรื่องไม่ควรเป็นแบบนี้ ในเมื่อพวกเราได้สติแล้ว เช่นนั้นก็ต้องหาวิธีออกไปได้อย่างแน่นอน”

    “เมื่อก่อนเจ้าเคยพูดว่านี่ไม่ใช่นิทานในหนังสือ”

    “ไม่ว่านี่จะใช่นิทานหรือไม่ถึงอย่างไรข้าก็เป็นพระเอก ส่วนเจ้าเป็นนางเอก ดังนั้นพวกเราจึงไม่ควรตาย”

    “บางทีในเรื่องนี้พวกเราอาจเป็นแค่ตัวประกอบ”

    ซังซังมองฟ้ายามราตรีอันมืดมิดนอกถ้ำบนภูเขา มองพุทธรัศมีที่ค่อยๆ แผ่ขยายบนที่ราบ ฟังเสียงสวดมนต์ที่ค่อยๆ ดังชัดเจนขึ้นแล้วเอ่ยว่า

    “เพราะนี่คือนิทานของปฐมพุทธะ”

    หนิงเชวียนิ่งเงียบไปนานก่อนเอ่ยว่า

    “นอนอีกสักหน่อย ตอนนี้ยังพอหยุดพักได้”

    ซังซังหันตะแคงไปแล้วหลับต่อ

    หนิงเชวียนั่งอยู่ข้างนาง เห็นคิ้วนางที่ขมวดเป็นระยะ มุมปากนางที่ดูคับข้องใจ และใบหน้านางที่ดูเป็นทุกข์ มันรู้สึกเจ็บปวดจึงยื่นมือไปลูบคิ้วนางให้เป็นปกติ เพราะตอนที่ซังซังตื่นนอนแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยปรากฏสีหน้าแห่งความทุกข์

     

    ตอนเช้าเดินทางออกจากถ้ำ ตามแผนที่วางไว้ในตอนแรก หากเดินทางลงใต้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่นานก็จะเข้าสู่ป่าเขาอันห่างไกลจากผู้คนที่มีต้นไม้หนาแน่น

    หนิงเชวียค่อนข้างผ่อนคลาย คิดในใจว่าที่นี่ห่างไกลจากเขตเมืองมาก คงไม่เหมือนเมืองเฉาหยางที่มองไปทางไหนก็เจอแต่พุทธะและพุทธรัศมี

    มันคิดไม่ผิด แต่ก็คิดได้ไม่แม่นยำพอ

    ในป่าเขาทางใต้ไม่มีพุทธะมากมายอย่างนั้นก็จริง แต่ยังคงมี คนตัดฟืนที่พบบนเขาคือพุทธะ เวลากลางคืนยังมีพุทธะขี่เสือตัวใหญ่มาหา

    หนิงเชวียสังหารพุทธะต่อไป สังหารได้อย่างลำบากยากเย็น บาดแผลบนร่างกายมีมากขึ้นเรื่อยๆ ซังซังก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ สามพิษทรมานนางจนใบหน้านางซีดขาวราวหิมะ

    เพื่อผ่อนคลายอารมณ์มันเริ่มร้องเพลงหมูดำ ซังซังไม่ชอบใจ อยากปั้นหน้าให้ดำคล้ำ แต่หน้านางซีดขาวเกินไปจริงๆ จึงไม่น่ากลัวเลยสักนิด

    นางตวาดอย่างเดือดดาลว่า

    “เจ้าก็ดีแต่ฉวยโอกาสตอนข้าอ่อนแอรังแกข้า!”

    หนิงเชวียยื่นมือไปด้านหลังตบๆ แขนนาง

    “เหตุผลหากไม่ถกเถียงกันก็จะไม่ชัดเจน คนที่ทำให้เจ้าถูกพิษคือปฐมพุทธะ ไม่เกี่ยวกับข้า ข้ารังแกเจ้าก็จริง แต่จะใช้คำว่าฉวยโอกาสไม่ได้”

    ทันใดนั้นหมูป่าที่ทั้งตัวเปรอะโคลนก็กระโดดออกมาจากพุ่มไม้ เจ้าหมูป่ายืนเซ่อมองหนิงเชวีย จากนั้นคงรู้สึกถึงอันตรายจึงรีบวิ่งหนีไป

    ซังซังเอ่ยอย่างอ่อนแรงว่า

    “อีกาเกาะบนหลังสุกร* ลาหัวโล้นและสถานศึกษาล้วนเป็นโจรใจดำต่ำช้า”

    ได้ยินเสียงกาแปลกหูดังขึ้นคราหนึ่ง อีกาตัวหนึ่งบินมาเกาะบนต้นไม้ ชั่วครู่หนึ่งเจ้าหมูป่าตัวเดิมก็เดินออกจากป่ามาอย่างสลดหดหู่

    อีกายืนบนหลังมันสำแดงท่าทางองอาจ

    ซังซังเอ่ยว่า

    “ตอนเย็นกินเนื้อสุกร”

    หนิงเชวียเอ่ยอย่างอารมณ์เสียว่า

    “อีกาเกาะบนหลังสุกร เจ้าอยู่บนหลังข้า หรือว่าข้าก็คือสุกร”

    ซังซังซบไหล่มัน เอ่ยเสียงเบาว่า

    “ถ้าเจ้าไม่ใช่สุกร** ไยต้องมาอยู่ที่นี่”

     

    (To Be Continued…)

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook