• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน สยบฟ้าพิชิตปฐพี 36 บทที่ 2

    บทที่ 2 ไยต้องกล่าวขอโทษ

     

    เสียงถอนใจเสียงนี้แผ่วเบาอ่อนจาง คล้ายน้ำที่ถูกดอกไม้รองไว้ และคล้ายดอกไม้ที่สะท้อนภาพบนน้ำ เสียงดังมาจากมุมมืด ล้างค่ำคืนที่เงียบสงบให้สะอาดขึ้น ดวงจันทร์ที่ลอยอยู่บนฟ้าผ่องใสยิ่งกว่าเดิม ซากกำแพงวังที่เต็มไปด้วยฝุ่นละอองก็ดูสะอาดสะอ้านขึ้นด้วย กิ่งหลิวสั่นไหวเบาๆ เหนือผิวน้ำราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    หลังผู้คนได้ยินเสียงถอนใจครั้งนี้ก็มีปฏิกิริยาแตกต่างกันไป บางคนตกตะลึง บางคนหวั่นกลัว บางคนนิ่งเงียบ และหลายคนหน้าซีดถอยเข้าไปในฝูงชนเงียบๆ เพราะพวกมันรู้ว่าคนผู้นั้นในความมืดต้องมาจากสถานศึกษาแน่นอน เพียงไม่รู้ว่าเป็นเซียนเซิงท่านใด

    หลงชิ่งรู้ว่าผู้มาคือใคร พอมองไปทางต้นเสียงกลับไม่เห็นคนผู้นั้น สีหน้ามันพลันเคร่งขรึมสุดขีด หลายปีก่อนที่ยอดเขาหิมะในทุ่งร้าง คนผู้นี้ถอนใจเบาๆ ก่อนออกโรงยับยั้งการต่อสู้ระหว่างนิกายเต๋าและพรรคมาร หลังจากนั้นไม่กี่ปีที่วัดไป๋ถ่า คนผู้นี้ถอนใจครั้งหนึ่งก่อนออกโรงขังเจ้าคณะฝ่ายเทศนา ช่วยหนิงเชวียและซังซังหลบหนี คืนนี้มันถอนใจแล้วออกโรงอีกครั้ง มันจะทำอะไรบ้าง

    หลิ่วอี้ชิงที่อาการร่อแร่ได้ยินเสียงถอนใจแล้วใบหน้าพลันปรากฏรอยยิ้ม ไม่ใช่เพราะมันรอจนพบคนผู้นี้แล้วพิสูจน์อะไรได้ แต่เพราะมันแน่ใจว่าความปรารถนาของตนต้องเป็นจริงแน่นอน

    เหิงมู่ลี่เหรินก็เดาได้ว่าผู้มาคือใคร เพราะโลกแห่งการฝึกฌานมีเพียงคนผู้นี้เท่านั้นที่ฝ่าแนวป้องกันของทหารม้าพิทักษ์นิกายสองพันนายได้อย่างเงียบเชียบจนเข้ามาใกล้ตนได้ถึงขนาดนี้

    มันสูดหายใจลึก แสงเจิดจรัสลุกไหม้อย่างรวดเร็ว ดาบสิบสามเล่มเปล่งประกายสว่างกว่าเดิม ดอกไม้สีทองทั้งด้านหน้าด้านหลังเบ่งบานมากยิ่งขึ้น พร้อมโจมตีไปทางต้นเสียงทุกชั่วขณะ

    สีหน้ามันไม่มีแววหวาดหวั่นครั่นคร้ามแต่ประการใด บนใบหน้าซูบตอบเผยความปรารถนาการต่อสู้อย่างแรงกล้า แต่ความบ้าคลั่งในแววตาหายไปจนสิ้น สีหน้าอันโหดเหี้ยมไร้เดียงสาก่อนหน้านี้กลับกลายเป็นสุขุมเยือกเย็น เพราะต่อให้มันทะนงตนมั่นใจในตัวเองเพียงใด เมื่อเผชิญหน้ากับบุคคลระดับตำนานก็ต้องรวบรวมสมาธิทั้งหมดจึงมีหวังที่จะชนะฝ่ายตรงข้ามได้

    หลงชิ่งมองความมืดพร้อมเอ่ยว่า

    “วางมือ”

    คำพูดนี้มันไม่ได้พูดกับคนผู้นั้น แต่พูดกับเหิงมู่ลี่เหริน…หลิ่วอี้ชิงบาดเจ็บสาหัสใกล้ตาย เหิงมู่ลี่เหรินไม่อยากให้มันตาย ต้องการให้มันมีชีวิตเพื่อรับการทรมานที่ไม่สิ้นสุด แต่เวลานี้ในความมืดมีเสียงถอนใจที่สั่นสะเทือนทั้งภูเขาและสายน้ำ สื่อความหมายชัดเจนว่าคนผู้นั้นจะไม่ยอมให้เรื่องโหดเหี้ยมเช่นนี้เกิดขึ้น

    เหิงมู่ลี่เหรินสีหน้าไร้อารมณ์ ฝ่ามือยังคงทาบบนร่างหลิ่วอี้ชิง เอ่ยขณะมองความมืดว่า

    “สถานศึกษามีคนมาจริงๆ นี่มิใช่สิ่งที่อาศรมเทพอยากเห็นหรอกหรือ เหตุใดต้องให้ข้าวางมือ”

    หลงชิ่งเอ่ยว่า

    “คนที่ข้ารอคือหนิงเชวีย ไม่ใช่มัน”

    เหิงมู่ลี่เหรินเอ่ยว่า

    “ต่างกันตรงไหน ล้วนเป็นโจรสถานศึกษา อีกอย่างคนผู้นี้ก็สำคัญกว่าหนิงเชวียมาก”

    “ยิ่งสำคัญก็ยิ่งแข็งแกร่ง…คืนนี้สถานศึกษาไม่ว่าใครมาข้าก็ตั้งใจว่าจะรั้งตัวไว้ แต่ในเมื่อผู้มาคือมัน เช่นนั้นก็เปล่าประโยชน์แล้ว”

    ในส่วนลึกของดวงตาเหิงมู่ลี่เหรินมีสะเก็ดดาวกำลังลุกไหม้ ดูไม่ต่างกับเปลวเพลิงอันร้อนแรง เสียงก็กลายเป็นเหมือนกองไฟที่ถูกลมพัด หวีดหวือและทรงพลัง มันมองความมืดพลางเอ่ยว่า

    “ข้าอยากลองรั้งมันดู”

    แววตาหลงชิ่งปรากฏความเวทนา สงสารความกล้าแต่เบาปัญญาของมัน

    ทันใดนั้นในความมืดก็เกิดเสียงถอนใจของคนผู้นั้นอีกครั้ง ฟังดูเหมือนกำลังอ่อนใจ ที่พูดว่าอ่อนใจก็ดุจเดียวกับความรู้สึกเวลาที่ผู้ใหญ่เห็นเด็กก่อเรื่องก่อราว ย่อมมีความสงสารเจืออยู่ด้วย

    เหิงมู่ลี่เหรินสัมผัสได้ชัดเจนถึงความรู้สึกนี้ สีหน้าจึงเคร่งขรึม แต่จิตใจกลับสงบนิ่งกว่าเดิม เพราะในเมื่อมันต้องการรั้งฝ่ายตรงข้ามก็จำเป็นต้องเยือกเย็นอย่างที่สุด

    ในที่สุดคนผู้นั้นก็พูดจา

    “มีอะไรจะสั่งเสียหรือไม่”

    โดยทั่วไปแล้วคำถามนี้มักปรากฏขึ้นหลังจากยอดฝีมือสองคนตัดสินแพ้ชนะกันแล้ว ผู้ชนะมองผู้แพ้แล้วถามด้วยความเห็นใจ ทำให้ผู้ชมรู้สึกได้ถึงความอาลัยเสียดายระหว่างผู้กล้าทั้งสอง แต่ถ้าคำถามนี้ปรากฏขึ้นก่อนการต่อสู้ก็ถือว่าเป็นการดูแคลนอย่างที่สุด

    เหิงมู่ลี่เหรินไม่ได้เข้าใจผิดคิดว่าคนผู้นั้นกำลังเหยียดหยามมัน แม้เป็นการพูดที่เชื่องช้าเรียบนิ่ง ฟังแล้วคล้ายน้ำเสียงดูแคลน แต่มันรู้ว่าไม่ใช่ เพราะคนผู้นั้นไม่ใช่คนประเภทนั้น

    คำถามนี้คือถามหลิ่วอี้ชิง

    หลิ่วอี้ชิงเงยหน้ามองเมืองหลินคังยามราตรี แม้ยามนี้มันมองไม่เห็น แต่เมื่อก่อนมันมองมาหลายครั้งแล้ว จำรายละเอียดส่วนใหญ่ของเมืองนี้ได้

    ในฐานะผู้ฝึกฌานมันเข้าด่านรู้ชะตามาหลายปีแล้ว ในฐานะจอมกระบี่คืนนี้มันถือกระบี่เล่มเดียวเข้ามาหาความตาย กระบี่เดียวทลายกำแพงวัง รู้แจ้งสัจธรรมแห่งมรรคากระบี่ ในฐานะบุรุษผู้หนึ่งชาตินี้มันสังหารจักรพรรดิหนานจิ้นสององค์ ชื่อมันกำหนดแน่นอนแล้วว่าจะถูกบันทึกลงในประวัติศาสตร์ ไม่มีสิ่งใดให้เสียดาย

    ในฐานะมนุษย์ผู้หนึ่งมันบรรลุความปรารถนาของชีวิตแล้ว เพียงแต่ในฐานะเจ้าสำนักศาลากระบี่และชาวหนานจิ้นผู้หนึ่ง มันยังมีเรื่องราวและผู้คนอีกมากที่ปล่อยวางไม่ลง แต่มันไม่ได้พูดออกมาอย่างเป็นรูปธรรม เพราะมันเชื่อมั่นว่าถ้าต้าถังและสถานศึกษาได้ชัยชนะในสงครามครั้งนี้ ย่อมจัดการทุกเรื่องได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าไม่ชนะ คิดว่าโลกนี้คงไม่เหลือหนานจิ้นและศาลากระบี่อีกต่อไป ในเมื่อเป็นเช่นนี้ไยต้องพูดจาให้มากความ

    ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่พูดอะไร ปิดปากสนิท รอวาระสุดท้ายด้วยความสุขเปี่ยมล้น

    ในความมืดเสียงถอนใจดังขึ้นอีกครั้ง เสียงถอนใจนี้เต็มไปด้วยความเสียดายและเคารพนับถือ ทั้งคล้ายการบอกลา

    มีสายลมเย็นอ่อนโยนพัดขึ้นบริเวณคูน้ำตรงขึ้นสู่ฟ้า พัดเมฆที่หมายบดบังดวงจันทร์ให้กระจายไป พัดเศษหินบนพื้นให้กระจัดกระจายจนมาถึงหน้าวังหลวง มาถึงเบื้องหน้าเกี้ยว

    เหิงมู่ลี่เหรินพลันตวาดเสียงห้วน ดาบสิบกว่าเล่มออกจากฝักพร้อมกัน เปล่งแสงสว่างไร้ขอบเขตท่ามกลางสายลม สองมือจับดาบผนึกแสงเจิดจรัสแล้วฟันไปที่สายลมเย็น!

    หนึ่งดาบผ่าสายลม! ต่อให้เจ้าเป็นสายลมจริงๆ ก็ต้องถูกข้าฟันตัวขาดอยู่ดี ต่อให้เจ้าคือตำนานของโลกแห่งการฝึกฌาน แต่จะทะลุผ่านตาข่ายที่สร้างจากเจตนารมณ์แห่งดาบที่ผนึกแสงเจิดจรัสของข้าไปได้อย่างไร!

    ดาบแห่งแสงส่องความมืดให้สว่าง ดวงตาเหิงมู่ลี่เหรินสว่างไสว เจตนารมณ์แห่งดาบและแสงเจิดจรัสของมันปลดปล่อยออกมาเต็มที่ มันรู้สึกว่าทั้งร่างสว่างเจิดจ้าคล้ายจะลอยไปกับสายลม มันไม่เคยรู้สึกยอดเยี่ยมอย่างนี้มาก่อนเลย

    ทว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น สายลมเย็นไม่ได้ถูกตัด และไม่มีสิ่งใดทะลุผ่านตาข่ายไป สิ่งที่ยอดเยี่ยมยังคงยอดเยี่ยม เพียงแต่เมื่ออยู่ในความมืดกลับดูอ้างว้างเดียวดาย

    เพราะก่อนที่มันจะตวัดดาบ สายลมหอบนั้นก็พัดผ่านไปแล้ว ก่อนที่มันจะใช้เจตนารมณ์แห่งดาบและแสงเจิดจรัสสร้างตาข่าย เงาร่างนั้นก็ปรากฏเบื้องหน้าเกี้ยวแล้ว ก่อนการโจมตีที่ยอดเยี่ยมของมันจะเริ่มต้น การต่อสู้ก็จบลงแล้ว

    บัณฑิตผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าเกี้ยว มันสวมเสื้อนวมเก่าที่เต็มไปด้วยฝุ่น ที่สายคาดเอวมีกระบองไม้รวมทั้งตำราเก่าเล่มหนึ่งเสียบอยู่ สีหน้ามันอ่อนโยน ดูทรงภูมิเหมือนอาจารย์สอนหนังสือที่พบเห็นได้ทั่วไปตามชนบท

    พอเห็นคนผู้นี้ สองมือที่จับดาบของเหิงมู่ลี่เหรินก็สั่นระริก ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะโกรธ มันถามเสียงเย็นชาว่า

    “ท่านก็คือเซียนเซิงใหญ่แห่งสถานศึกษา?”

    บัณฑิตผู้นี้ย่อมเป็นศิษย์พี่ใหญ่แห่งสถานศึกษา

    ศิษย์พี่ใหญ่ไม่สนใจเหิงมู่ลี่เหริน มองหลิ่วอี้ชิงแล้วเอ่ยว่า

    “ขอโทษ”

    หลิ่วอี้ชิงยังไม่ตายแต่บาดเจ็บสาหัส เหิงมู่ลี่เหรินใช้แสงเจิดจรัสแห่งเฮ่าเทียนอันไม่มีที่สิ้นสุดรักษาชีวิตมันไว้ได้ชั่วคราว การมีชีวิตเช่นนี้แน่นอนว่าทรมานเสียยิ่งกว่าตาย

    ศิษย์พี่ใหญ่ปรากฏตัวที่เมืองหลินคัง ปรากฏตัวหน้าซากกำแพงวังหลวง ยืนอยู่ระหว่างเหิงมู่ลี่เหรินและหลิ่วอี้ชิง แสงเจิดจรัสของเฮ่าเทียนย่อมถูกตัดขาด หลิ่วอี้ชิงกำลังจะหลุดพ้น และเพราะการหลุดพ้น รวมถึงอาจเพราะเรื่องราวก่อนหน้าการหลุดพ้น ศิษย์พี่ใหญ่จึงกล่าวขอโทษหลิ่วอี้ชิงอย่างหนักแน่นและจริงใจ

    เหิงมู่ลี่เหรินไม่ต้องการให้หลิ่วอี้ชิงหลุดพ้นจากความทรมาน มันจึงโกรธจัด ศิษย์พี่ใหญ่ไม่เห็นมันอยู่ในสายตา ทำให้มันรู้สึกว่าตนไม่ได้รับความเคารพอย่างเพียงพอ จึงโกรธมากขึ้นอีก

    มันเอ่ยเสียงเย็นชาว่า

    “เซียนเซิงใหญ่มาช้าไปแล้ว หรืออาจกล่าวว่าเดิมทีก่อนที่เรื่องนี้จะจบท่านไม่กล้าปรากฏตัว เช่นนี้แล้วท่านปรากฏตัวในเวลานี้แล้วกล่าวขอโทษคนที่กำลังจะตายยังมีประโยชน์อันใด เซียนเซิงใหญ่ไม่รู้สึกว่าเสแสร้งไปหน่อยหรือ หรือจะบอกว่าทำแบบนี้แล้วปลอบใจตัวท่านเองได้”

    ไม่ว่าด้วยเหตุใดคืนนี้สถานศึกษาไม่ได้ลงมือตั้งแต่ต้น หลิ่วอี้ชิงต้องตายแน่แล้ว คำพูดถากถางของเหิงมู่ลี่เหรินจึงเป็นใบมีดแหลมคมที่แทงใจดำ

    แต่ศิษย์พี่ใหญ่กลับเหมือนไม่ได้ยิน ไม่ได้ใส่ใจคนผู้นี้เลย มองหลิ่วอี้ชิงที่โลหิตโซมกายแล้วเอ่ยอีกครั้งว่า

    “ขอโทษ”

    หลิ่วอี้ชิงเอ่ยเสียงเรียบ

    “เซียนเซิงใหญ่ก็รู้ดีว่านี่คือการตัดสินใจของตัวข้าเอง”

    ศิษย์พี่ใหญ่ครุ่นคิดก่อนเอ่ยว่า

    “เดิมทีสถานศึกษาอาจทำให้เจ้าไม่ต้องตัดสินใจแบบนี้ก็ได้”

    หลิ่วอี้ชิงส่ายหน้า

    “จอมปราชญ์กล่าวไว้ว่าทำตามปรารถนาแล้วสมปรารถนา ไยต้องขุ่นเคืองใจ”

    ได้ฟังคำพูดนี้ ศิษย์พี่ใหญ่ไม่รู้ควรตอบอย่างไร หลิ่วอี้ชิงเอ่ยต่อไป

    “สถานศึกษาไม่อาจแก้ทุกปัญหาของโลก เรื่องของโลกมนุษย์จำเป็นต้องให้มนุษย์แต่ละคนร่วมกันแก้ไข เซียนเซิงใหญ่ไยต้องโทษตัวเอง”

    “ทว่าเห็นเขื่อนพังทลายจะนิ่งดูดายได้อย่างไร”

    “นี่คือจุดที่เซียนเซิงใหญ่สู้เซียนเซิงสิบสามไม่ได้”

    ศิษย์พี่ใหญ่ส่ายหน้า

    “ศิษย์น้องเล็กในตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว”

    หลิ่วอี้ชิงชะงักไปเล็กน้อยแล้วนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบเลือดเผยรอยยิ้มแล้วถอนใจว่า

    “ที่แท้เซียนเซิงสิบสามอยู่บนกำแพงเมืองฉางอันมองที่นี่อยู่ตลอด”

    “อาจเห็นไม่ค่อยชัด แต่มันต้องมองที่นี่อยู่แน่นอน”

    หลิ่วอี้ชิงมองซากปรักหักพังในความมืดแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า

    “โชคดีที่ข้าคิดได้ล่วงหน้าว่ามันอาจมองที่นี่อยู่จึงเลือกตำแหน่งไม่ผิด”

    มันฝึกฌานมายาวนาน แต่ช่วงเวลาที่มันได้เฉิดฉายในโลกแห่งการฝึกฌานกลับไม่นานนัก มันเคยเลือกตำแหน่งผิด และเพราะเหตุนั้นจึงต้องสูญเสียอย่างสาหัส แต่หลังจากนั้นก็ไม่เคยผิดพลาดอีกเลย

    คืนนี้มันนั่งเกี้ยว นี่ก็คือตำแหน่งของมัน

    เกี้ยวหันหน้าไปทางกำแพงวังที่กลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้วพอดี

    นั่งทิศเหนือหันหน้าไปทางทิศใต้ ทิศที่ตั้งเหมาะแก่การฝังศพ

    ศิษย์พี่ใหญ่เอ่ยกับมันว่า

    “ขอโทษ และโปรดวางใจ”

    กระทั่งสุดท้ายสถานศึกษายังคงรู้สึกผิดจึงต้องขอโทษ ครั้นสถานศึกษาบอกให้มันวางใจ มันก็วางใจได้ ไม่ว่าหนานจิ้นในอนาคต หรือบรรดาศิษย์ศาลากระบี่ที่แตกฉานซ่านเซ็น มันไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงอีกแล้ว

    สองตาหลิ่วอี้ชิงปิดลงช้าๆ จนเข้าสู่ความมืดสนิท

    หลายปีที่ผ่านมามันคุ้นชินกับความมืดแล้วจึงไม่หวาดกลัว การตายก็ไม่ต่างจากการนอนหลับ

    ศิษย์พี่ใหญ่มองหลิ่วอี้ชิงที่สิ้นลมหายใจ นิ่งเงียบอยู่นาน จากนั้นก็หันกายไปช้าๆ มองหลงชิ่งและเหิงมู่ลี่เหรินพลางกล่าวว่า

    “ไยต้อง?”

    ตอนกล่าวสองพยางค์นี้มันมองเหิงมู่ลี่เหริน

    มันมองเด็กหนุ่มผู้มีพรสวรรค์ที่ได้รับของขวัญจากเฮ่าเทียนด้วยสีหน้าสงบนิ่งผ่อนคลาย แม้ว่ามันจะมองทะลุชุดนักพรตสีเขียวของอีกฝ่ายไปเห็นแสงเจิดจรัสของเฮ่าเทียนที่ราวกับว่าไม่มีที่สิ้นสุดในร่างนั้นก็ตาม

    ทั้งร่างของเหิงมู่ลี่เหรินคือแสงสว่าง มันคือผู้ถูกเลือกของเฮ่าเทียน

    ทว่านับแต่เคอเฮ่าหรานชักกระบี่ขึ้นฟ้า สถานศึกษาและเฮ่าเทียนก็เป็นศัตรูกันมาแล้วหลายสิบปี แต่หากย้อนไปก่อนหน้านั้น ตั้งแต่จอมปราชญ์สร้างสถานศึกษา วางค่ายกลสยบเทวะในเมืองฉางอัน สถานศึกษาและเฮ่าเทียนเป็นปฏิปักษ์กันมาแล้วร่วมพันปี

    แม้แต่เฮ่าเทียนสถานศึกษายังไม่กลัว แล้วจะกลัวผู้ถูกเลือกของเฮ่าเทียนได้อย่างไร แม้แต่เฮ่าเทียนสถานศึกษายังไม่เคารพ แล้วจะเคารพผู้ถูกเลือกของเฮ่าเทียนได้อย่างไร

    พอศิษย์พี่ใหญ่มองหลงชิ่งสีหน้ากลับแปรเปลี่ยนเล็กน้อย

    มันศึกษาตำราต่างๆ อย่างกว้างขวางมาตั้งแต่เด็ก แม้ไม่เคยฝึกวิชานิกายเต๋า แต่เคยอ่านคัมภีร์นิกายเต๋ามาไม่น้อย ไม่เช่นนั้นคงไม่อาจปุจฉาวิสัชนากับเยี่ยซูหน้าอารามเต๋าเล็กๆ ได้ถึงสามวัน มันไม่เคยฝึกความสว่างของมรรคจิต แต่โลกนี้มีใครบ้างที่มีดวงตาแห่งปัญญาเหนือกว่ามัน มันมองเห็นแสงสว่างไร้ขอบเขตใต้ชุดเขียวของเหิงมู่ลี่เหรินได้ย่อมมองเห็นความมืดไร้ขอบเขตที่ซ่อนไว้ใต้เสื้อคลุมของหลงชิ่งได้เช่นกัน

    ไม่ว่าจะเป็นเพชฌฆาตแห่งพรรคมาร หรือคนชั่วช้าสามานย์ขนาดไหน ศิษย์พี่ใหญ่ก็ไม่เคยเห็นความดำมืดที่เข้มข้นถึงขั้นนี้มาก่อน ใต้เสื้อคลุมเสินกวนธรรมดามันมองเห็นได้รางๆ ว่าหมอกมืดในร่างหลงชิ่งมีวิญญาณอาฆาตนับไม่ถ้วนกำลังร้องไห้ มีจิตอาฆาตนับไม่ถ้วนกำลังหมุนวน

    ศิษย์พี่ใหญ่มองหลงชิ่งพลางถอนใจว่า

    “ไยต้อง?”

    หลงชิ่งไม่สบายใจ มันรู้สึกว่าต่อหน้าเซียนเซิงใหญ่ตัวมันเหมือนคนเปลือยล่อนจ้อน ไม่หลงเหลือความลับใดๆ ทุกเรื่องที่เคยทำและทุกเรื่องที่คิดจะทำ อีกฝ่ายล้วนรู้อย่างแจ่มชัด

    ด้วยเหตุนี้มันจึงค่อยๆ ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ด้านหลังมันคือความมืดสนิท มีเพียงอยู่ใกล้ความมืดเท่านั้นมันจึงรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น ถึงขั้นรู้สึกอบอุ่น

    แต่ยังคงไม่พอ หลงชิ่งยังคงรู้สึกหนาว ความรู้สึกของการถูกผู้อื่นมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งช่างเจ็บปวดยิ่งนัก มันเคลื่อนพลังจิตช้าๆ เก็บกระแสปราณทั้งหมดเข้าสู่ส่วนลึกของร่างกาย

    กระแสปราณที่เข้าสู่ร่างกายทำให้สายลมหน้าวังหลวงหมุนเบาๆ สายลมอ่อนๆ ซึมเข้าไปในเสื้อผ้ามัน ถึงขั้นแม้แต่แสงก็คล้ายถูกร่างกายมันดูดกลืนเข้าไปด้วย

    ร่างของหลงชิ่งพร่าเลือนไปเรื่อยๆ ในสายตาผู้คน และกำลังจะผสานรวมเข้ากับความมืด

    เหิงมู่ลี่เหรินตัดสินใจทำตรงข้ามโดยสิ้นเชิง ตอนที่หลงชิ่งถอยหลังหนึ่งก้าวแล้วอาศัยความมืดอำพรางตน ถึงขั้นเปลี่ยนตัวเองให้เป็นสีดำสนิท มันกลับย่ำเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว

    มันก้าวเข้าหาศิษย์พี่ใหญ่หนึ่งก้าว สีหน้าเฉยชาและหยิ่งลำพอง

    แสงเจิดจรัสของเฮ่าเทียนมากมายเปล่งออกจากร่างมัน แสงที่คล้ายของเหลวระยิบระยับอันบริสุทธิ์ไหลออกมาจากตา หู จมูก ปาก และทุกรูขุมขน ก่อให้เกิดสภาวะกดดันที่มิอาจบรรยายขึ้นเบื้องหน้าวังหลวง

    เหิงมู่ลี่เหรินกลายเป็นเทวรูปที่ลุกไหม้สว่างโชติช่วง สามารถเผาทำลายและชำระล้างทุกสิ่งทุกอย่าง

    พลังที่มันสำแดงออกมาในเวลานี้เพียงพอให้โลกแห่งการฝึกฌานตื่นตะลึง

    มันรู้ดีว่าด้วยด่านฌานแท้จริงของตน การสังหารหลิ่วอี้ชิงนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่หากหมายสังหารบัณฑิตสวมเสื้อนวมผู้นี้กลับไม่ง่ายดาย เพราะถึงอย่างไรตำนานก็คือตำนาน

    แต่เหิงมู่ลี่เหรินยังคงอยากลอง เพราะมันโกรธจัด โกรธที่อีกฝ่ายมองตนแล้วสีหน้าผ่อนคลายสบายใจ แต่เวลามองหลงชิ่งกลับสีหน้าแปรเปลี่ยน สรุปแล้วทุกเรื่องในคืนนี้ล้วนทำให้ผู้สืบทอดของเฮ่าเทียนผู้หยิ่งทะนงคนนี้เกิดโทสะ และมันต้องให้เซียนเซิงใหญ่แห่งสถานศึกษารับรู้ถึงโทสะของมัน

    อีกอย่างหนึ่งมันรู้ดีว่าต่อให้มันพ่ายแพ้ เซียนเซิงใหญ่ก็ไม่มีทางทำอันตรายมัน หรือพูดอีกอย่างคือเซียนเซิงใหญ่ไม่กล้าทำอันตรายมัน ไม่เช่นนั้นก่อนหลิ่วอี้ชิงตายไยต้องกล่าวขอโทษ

    เมื่อเทียบกับเหิงมู่ลี่เหรินที่เด่นชัดเจิดจรัส หลงชิ่งที่ซ่อนตัวเข้าไปในความมืดก็เหมือนคราบสกปรกเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตา แต่ในความเห็นของศิษย์พี่ใหญ่หลงชิ่งอันตรายกว่าเหิงมู่ลี่เหริน แน่นอนว่ามันไม่ได้ประมาทเหิงมู่ลี่เหรินที่ยืนอยู่ตรงหน้า แม้สถานศึกษาเป็นศัตรูกับเฮ่าเทียนมาจนชิน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะดูถูกเฮ่าเทียน

    เด็กหนุ่มชุดเขียวคือดอกไม้ที่สวยงามที่สุดในหมู่ดอกไม้ที่เกิดขึ้นจากสายฝนยามวสันต์ คือของขวัญที่เฮ่าเทียนมอบให้โลกมนุษย์ บรรดาสานุศิษย์มองว่าเป็นผู้ถูกเลือกหรือผู้สืบทอดในตำนาน แม้มันคือศิษย์พี่ใหญ่ของสถานศึกษา เมื่อเผชิญหน้ากับบุคคลประเภทนี้ก็ยังต้องให้ความสำคัญพอสมควร

    ด่านฌานอันแข็งแกร่งที่เหิงมู่ลี่เหรินแสดงออกมาเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน แสงเจิดจรัสที่เหมือนของเหลวระยิบระยับไหลกลับเข้าไปในร่างมันด้วยความเร็วที่ตาเนื้อไม่อาจเห็นได้ชัด เข้าไปในผิวหนังมันรวมถึงตัวดาบ ร่างกายและดาบไม่ได้มืดลง แต่กลายเป็นใสเหมือนแก้วผลึก แสงเจิดจรัสอันศักดิ์สิทธิ์สะท้อนไปมาอยู่ภายใน ลำแสงมากมายซ้อนทับกันไม่หยุดจนสว่างขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นกลายเป็นสีขาวบริสุทธิ์ หากลำแสงเหล่านี้ยิงออกมาไม่รู้ว่าจะน่ากลัวสักเพียงใด

    มือขวาของศิษย์พี่ใหญ่ยังอยู่ห่างจากกระบองไม้ตรงเอวอีกครึ่งฉื่อ มันรับรู้ได้ชัดเจนว่าพลังที่เหิงมู่ลี่เหรินกำลังจะปล่อยออกมานั้นน่ากลัวถึงขั้นไหน แต่เรื่องน่าแปลกคือมันยังคงนิ่งเฉยไม่ลงมืออยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่าเพราะมั่นใจในตัวเอง หรือเพราะกลิ่นสุราที่โชยมาจากในความมืด…

    ร่างของเหิงมู่ลี่เหรินสว่างใสขึ้นเรื่อยๆ ดาบที่ถืออยู่ในมือและดาบสิบสองเล่มด้านหลังมันเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นเหมือนน้ำแข็งไปแล้ว เปลวแสงลุกโชนขาวบริสุทธิ์สะท้อนไปมาไม่หยุดในร่างกายและดาบของมัน เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เข้าใกล้จุดสูงสุดไปทีละน้อย มีเล็กน้อยที่ซึมออกมาภายนอก ส่องซากกำแพงวังท่ามกลางความมืดให้สว่างในพริบตา

    ขณะเดียวกันนี้กลิ่นสุราที่โชยมาจากในความมืดก็เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน สายลมไม่อาจพัดให้กระจัดกระจาย เข้มข้นถึงขั้นไม่อาจสลายไป

    ผู้คนที่มองเหิงมู่ลี่เหรินได้รับความเจ็บปวดเพราะแสงเจิดจรัสจนต้องเอามือปิดตา พอได้กลิ่นสุราก็เมาเคลิ้มในทันทีราวกับว่าได้เข้าสู่แดนเทพ ด้วยเหตุนี้จึงตัดขาดจากโลกแห่งความเป็นจริงไปชั่วคราว

    ศิษย์พี่ใหญ่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง อยู่ท่ามกลางแสงอันบริสุทธิ์และกลิ่นสุราของคนเมา สีหน้ามันสงบอ่อนโยน ไม่มีใครรู้ว่าต่อจากนี้มันจะทำอะไร

    ก่อนที่กลิ่นสุราจะโชยออกมาจากความมืดมันก็รู้อยู่ก่อนแล้ว เพราะในช่วงหลายวันที่ผ่านมามันไล่ตามกลิ่นสุรานี้มาตลอด ไม่เช่นนั้นเมื่อครู่ก่อนที่หลิ่วอี้ชิงจะตาย ไยมันต้องกล่าวขอโทษ

    อาศรมเทพวางกำลังมากขนาดนี้ไว้ในเมืองหลินคัง นอกจากต้องการฆ่าหลิ่วอี้ชิงแล้วยังคิดใช้โอกาสนี้ฆ่ายอดฝีมือของสถานศึกษาด้วย เช่นนี้แล้วมันไยต้องมา

    หรือจะบอกว่าเพียงเพราะต้องการกล่าวขอโทษหลิ่วอี้ชิงมันจึงมา?

    กระทั่งเวลานี้ที่ได้กลิ่นสุราและได้เห็นแสงสว่างสีขาว มันจึงพบว่าอาศรมเทพอาจรั้งตนไว้ได้จริงๆ เพราะคนผู้นั้นที่อยู่ในความมืดก็เร็วมากเหมือนกัน ส่วนเหิงมู่ลี่เหรินก็แข็งแกร่งเกินกว่าที่คิดไว้

    เหิงมู่ลี่เหรินผู้แข็งแกร่ง โดดเด่น และสว่างเจิดจ้านั้นยืนอยู่เบื้องหน้า ศิษย์พี่ใหญ่หรี่ตามองแต่ไม่ตื่นเต้น ดูไปเหมือนกับอาจารย์สอนหนังสือตามชนบทที่มองเด็กดื้อ

    มันนึกถึงเหตุการณ์เมื่อนานมาแล้ว ในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งมันเคยเลี้ยงปลา เย็นวันหนึ่งที่เมฆแดงยามสนธยาเต็มท้องฟ้า น้ำในสระเลี้ยงปลาก็เป็นประกายเจิดจรัสเช่นนี้ ช่างเหมือนเด็กหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าจริงๆ

    มันถอนหายใจ ย่ำไปข้างหน้าทางขวาหนึ่งก้าว

    โลกเบื้องหน้าเหิงมู่ลี่เหรินกลายเป็นโลกแห่งแสงสว่างไปแล้ว ใบหน้าของบัณฑิตในสายตามันขาวมาก แต่ไม่ใช่ขาวซีด ด้วยเหตุนี้มันจึงระวังตัว เพราะมันไม่เข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงไม่ตื่นตัวเลย

    ปัจจุบันมันเป็นบุคคลสำคัญของนิกายเต๋า รู้ความลับมากมาย ดังนั้นจึงแน่ใจว่าเซียนเซิงใหญ่ไม่กล้าลงมือถึงได้กล่าวขอโทษหลิ่วอี้ชิง แต่ยามนี้ต่อให้เซียนเซิงใหญ่จำเป็นต้องลงมือก็สายเกินไปแล้ว เพราะนี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่นิกายเต๋าเตรียมการไว้ล่วงหน้า แต่เป็นโชคชะตาอันประจวบเหมาะ แม้แต่การคำนวณของฟ้ายังคำนวณไม่ถึง แล้วมันจะหลีกพ้นได้อย่างไร

    ไม่มีใครคำนวณได้ว่าเวลานั้นคือเวลาไหน ดุจเดียวกับที่ไม่มีใครรู้ว่าเวลานั้นที่สรรพสิ่งเริ่มต้นคือเวลาไหน แม้แต่เหิงมู่ลี่เหรินเองก็ไม่รู้ ต่อให้มันสังหรณ์ใจก็ไม่อาจยับยั้ง

    เวลานั้นเอง หรืออาจกล่าวว่าชั่วขณะที่ศิษย์พี่ใหญ่ย่ำเท้าขวาไปข้างหน้า แสงเจิดจรัสอันเจิดจ้าก็ไหลออกจากร่างกายและดาบของมันอย่างเต็มที่แล้วยิงใส่ร่างศิษย์พี่ใหญ่!

    ชั่วขณะต่อมาแสงเจิดจรัสที่ลุกโชติช่วงก็ส่องท้องฟ้ายามราตรีให้สว่าง ไม่ว่าจะเป็นดวงจันทร์ที่สวยงามหรือดวงดาวเต็มฟ้าที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงนับแต่โบราณมาล้วนกำลังจะถูกแย่งความโดดเด่นไป

    เหิงมู่ลี่เหรินจะส่องโลกทั้งใบให้สว่าง

    และโลกทั้งใบก็จะรู้ตำแหน่งของมันอย่างชัดเจน

    มีเพียงเทวานุภาพที่น่ากลัวเช่นนี้เท่านั้นจึงจะเผาเซียนเซิงใหญ่แห่งสถานศึกษาให้กลายเป็นจุณได้ในพริบตา

    กลิ่นสุราที่โชยมาจากความมืดพลันเข้มขึ้นทันที สายลมโบราณที่ก่อตัวจากฝุ่นละอองหอบหนึ่งไม่รู้พัดมาจากไหนเข้าล้อมรอบศิษย์พี่ใหญ่ ในสายลมแฝงพลังที่ไม่อาจบรรยายไว้มากมาย

    ศิษย์พี่ใหญ่ยังคงไม่ขยับและไม่หลบหลีก ทางหนึ่งมันไม่แน่ว่าจะหลบแสงเจิดจรัสที่เหิงมู่ลี่เหรินยิงออกมาได้พ้นภายใต้พันธนาการของสายลมโบราณ ส่วนอีกทางหนึ่งสายลมเพียงหอบเดียวไม่เพียงพอ มันอยากเห็นมากกว่านี้ มันอยากเห็นคนผู้นั้นปรากฏร่างเหมือนอย่างเหิงมู่ลี่เหรินที่คนทั้งโลกมองเห็นได้

    นี่เป็นช่วงเวลาที่สั้นมากจริงๆ ไม่ใช่ชั่วอึดใจ และไม่ใช่ชั่วขณะ ไม่มีคำใดจะมานิยามได้เพราะไม่มีสิ่งใดที่เร็วกว่าแสง ไม่ว่าจะเป็นศิษย์พี่ใหญ่หรือคนผู้นั้นที่เป็นที่มาของสายลมโบราณล้วนไม่อาจเร็วกว่าแสง เช่นนั้นนี่ก็หมายความว่าบทสรุปถูกกำหนดแล้ว

    ไม่มีใครหยุดเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ แต่มีคนลงมือแล้ว มันคิดเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในตอนนี้

    ไม่ใช่เพราะมันเร็วกว่าแสง แต่เพราะมันดูดกลืนแสงที่เหิงมู่ลี่เหรินปล่อยออกมาเข้าร่างตัวเอง!

    ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่หลงชิ่งยืนอยู่เบื้องหน้าเหิงมู่ลี่เหริน รอบตัวมันเต็มไปด้วยหมอกสีดำ แสงเจิดจรัสของเฮ่าเทียนที่ลุกโชติช่วงถูกหมอกดำดูดกลืนอยู่ตลอดเวลา ใบหน้ามันที่ซีดขาวอย่างยิ่งค่อยๆ ปรากฏออกมาจากหมอกดำ ดูคล้ายภูตผี

    วูบ!

    แสงเจิดจรัสที่เหิงมู่ลี่เหรินปล่อยออกมาถูกหลงชิ่งกลืนกินจนหมด มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่กระจายหายไป อย่าว่าแต่ส่องโลกทั้งใบให้สว่าง แม้แต่ต้นหลิวริมคูน้ำยังไม่สว่าง

    หน้าซากกำแพงวังคืนสู่ความเงียบสงบในบัดดล แสงจันทร์แสงดาวส่องฉายบนพื้นอีกครั้ง

    สายลมโบราณที่เต็มไปด้วยฝุ่นละอองหยุดลงช้าๆ กลิ่นสุราไม่รู้หายไปหนใด

    เหิงมู่ลี่เหรินมองหลงชิ่งที่อยู่เบื้องหน้า รับรู้ได้ถึงความดับสูญรวมทั้งกระแสปราณอันน่ากลัวที่มีอยู่ในหมอกดำ ตกตะลึงและโกรธจนเกินจะระงับ

    การโจมตีด้วยแสงสว่างที่ตนเตรียมไว้อย่างดี ผนวกกับผู้เป็นตำนานที่อยู่ในความมืด เห็นอยู่ตรงหน้าแล้วว่าจะเผาเซียนเซิงใหญ่ให้กลายเป็นจุณได้ สุดท้ายกลับถูกคนผู้นี้ใช้วิธีที่เหลือเชื่อทำลายสิ้น! มันตะลึงในด่านฌานที่หลงชิ่งแสดงออกมา แต่โกรธการกระทำครั้งนี้ยิ่งกว่า หลงชิ่งคิดจะทำอะไรกันแน่

    ในชั่วขณะสั้นๆ เช่นนี้ฝืนดูดกลืนแสงเจิดจรัสของเฮ่าเทียนมากขนาดนั้นเข้าไป ใบหน้าขาวซีดของหลงชิ่งปรากฏแสงวูบวาบขึ้นมาไม่หยุด ดูเหมือนได้รับบาดเจ็บไม่น้อย

    มันก้มหน้าอย่างเหนื่อยล้า หอบหายใจอยู่เป็นนาน จากนั้นเงยหน้าจ้องตาศิษย์พี่ใหญ่พร้อมเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่าว่า

    “เจ้าหนิงเชวีย…มันมองที่นี่อยู่ตลอดเลยสินะ”

     

    (ติดตามต่อได้ในเล่ม ‘สยบฟ้า พิชิตปฐพี 36’ วางขาย 23 มิถุนายน 2020)

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook