• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน สยบฟ้าพิชิตปฐพี 37 บทที่ 2

    บทที่ 2

    สายลมกำลังพัด

     

    หลายปีให้หลังหนิงเชวียเดินผ่านซอยแห่งนั้น ได้ยินเสียงท่องหนังสือเจื้อยแจ้วดังมาจากด้านใน ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยบรรยายประวัติศาสตร์ให้เด็กๆ ฟัง ช่างน่าถอนใจเพราะกำลังกล่าวถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อเหมันต์ปีนั้นพอดี ยังมีคนอีกจำนวนมากที่รู้สึกเช่นเดียวกับมัน ทุกครั้งที่นึกถึงเหมันต์ปีนั้นจะรู้สึกคับแค้นใจ เศร้าใจ แต่ก็ปลื้มปีติ เป็นอารมณ์ที่ค่อนข้างซับซ้อน

    ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์แบบใด เหมันต์ปีนั้นต้องกลายเป็นเหมันต์ที่โลกมนุษย์ไม่มีทางลืมอย่างแน่นอน เพราะในครั้งนั้นโลกมนุษย์อยู่เฉียดความสงบสุขเพียงแค่เสี้ยวสัมผัส ในรอยร้าวของสงครามระหว่างสถานศึกษาและนิกายเต๋ามองเห็นทางออกสายหนึ่ง ความหวังอันไม่สิ้นสุดราวกับว่าอยู่ที่เบื้องหน้า

    ณ ทุ่งร้างที่หนาวเย็นมีหิมะตกหนัก ค่ายทหารต้าถังที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยจั้งกลายเป็นภาพขมุกขมัว ส่วนเงาร่างของแม่ทัพต้าถังฮว่าอิ่งยิ่งไม่รู้ว่าอยู่แห่งใด

    อาต่าหรี่ตา บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเยาว์วัยฉายแววเคืองแค้นขึ้นมาโดยบังเอิญ ริมฝีปากสีคล้ำพึมพำอธิษฐานถึงฉางเซิงเทียนอยู่ตลอดเวลา

    มันรออยู่ท่ามกลางพายุหิมะมานานแล้ว แต่ก็ยังไม่ลงมือ

    แรกเริ่มเพราะมันรับรู้ได้ถึงเจตนารมณ์แห่งธนูที่มีพลังทำลายล้างมหาศาลจากที่ไกลหมื่นลี้ทางทิศใต้ ส่วนยามนี้มันไม่ลงมือเพราะขบวนรถม้าที่แล่นช้าๆ มาทางนี้

    ราชครูผู้ท่องไปในดินแดนทุ่งหญ้าออกจากเมืองเฮ่อหลันมาถึงค่ายชายแดนเจ็ดเมือง

    ไม่มีใครรู้ว่ามันมาที่นี่ทำไม ไม่มีใครกล้าฝ่าฝืนเจตนารมณ์ของมัน…แม้แต่อาต่าก็ตาม ต่อให้มันคือของขวัญที่ฉางเซิงเทียนประทานให้ดินแดนทุ่งหญ้าและมีฐานะเป็นศิษย์ของราชครู

    ขบวนรถหยุดลงท่ามกลางหิมะ เสียงที่สงบนิ่งและชราภาพของราชครูฝ่าหิมะที่ตกแรงมาเข้าหูอาต่า

    “สิ่งที่ชาวถังอยากเห็นมากที่สุดคือพวกเราที่เบาปัญญา”

    อาต่ามองค่ายทหารของต้าถังที่อยู่ฝั่งตรงข้ามพลางเอ่ยว่า

    “ข้าฆ่ามันได้”

    เสียงของราชครูดังขึ้นอีกครั้ง

    “ชั่วขณะนั้นเจ้าก็อาจถูกฆ่าเช่นกัน”

    อาต่าเอ่ยอย่างแน่วแน่ว่า

    “ท่านอยู่ที่นี่ ข้าไม่กลัว”

    แม้มันกำลังคัดค้านความเห็นของราชครู แต่ที่จริงคือการแสดงความเคารพอย่างสูงต่อราชครู เพราะมันเชื่อมั่นว่าในเมื่อราชครูมาแล้ว เช่นนั้นธนูเหล็กทางทิศใต้ก็ทำร้ายมันไม่ได้

    ด่านฌานของราชครูราชสำนักจินจั้งสูงส่งเพียงไหนกันแน่ แม้หลังเทศกาลบูชาแสงสว่างมาแล้วก็ยังคงไม่รู้แน่ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากสายฝนฤดูวสันต์ของปีนี้ ใครจะรู้ว่ายอดฝีมือแห่งดินแดนทุ่งหญ้าผู้รับใช้ฉางเซิงเทียนอย่างศรัทธาผู้นี้ได้รับสิ่งใดเพิ่มเติมบ้าง ภายใต้การระวังป้องกันของมันผนวกกับมหาปุโรหิตที่แข็งแกร่งอีกสิบกว่าคน ธนูเหล็กของหนิงเชวียอาจถูกหยุดยั้งจริงๆ ก็ได้

    อาต่าคิดว่าในสถานการณ์เช่นนี้ควรกล้าหาญยิ่งกว่าปกติ มันต้องการสังหารแม่ทัพต้าถังผู้นั้นแล้วนำทหารม้าชุดเกราะทลายค่ายทหารต้าถังฝั่งตรงข้ามให้ย่อยยับ ต้องทำอย่างนี้เท่านั้นจึงส่งความเจ็บปวดคืนให้คนผู้นั้นที่อยู่ทางทิศใต้ได้

    ราชครูนิ่งเงียบอยู่ครู่ก่อนใช้คำพูดตอบแทนความเชื่อมั่นของลูกศิษย์

    “ปัญหาอยู่ที่พวกเราไม่รู้ว่านางอยู่ที่ไหน”

    ใช่ นี่ต่างหากคือปัญหาใหญ่ ธนูเหล็กทางทิศใต้ที่เล็งมาทางดินแดนทุ่งหญ้าอยู่ตลอดเวลาแน่นอนว่าน่ากลัว แต่หากมีการเตรียมการย่อมหาทางรับมือได้ ขอเพียงจำกัดพลังฌานหรือพลังจิตที่ส่งออกไป ธนูเหล็กก็ไม่อาจส่งผลกระทบต่อที่นี่ แต่อีกคนหนึ่งเล่า?

    คนผู้นั้นเกิดในทุ่งร้าง เติบโตในทุ่งร้าง แม้เคยหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยหลายสิบปี แต่ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่มันก็คือยอดฝีมือในตำนานแห่งดินแดนทุ่งหญ้าและมารปีศาจที่น่าพรั่นพรึง

    ประมุขพรรคมารหลินอู้ จักจั่นยี่สิบสามวรรษ ศิษย์พี่สามแห่งสถานศึกษาอวี๋เหลียน…ไม่ว่าชื่อใดหรือฐานะใดนางล้วนเป็นคนที่น่ากลัวที่สุดของบรรดาชาวหมานแห่งดินแดนทุ่งหญ้า

    ไม่กี่ปีมานี้มีข่าวว่านางอยู่ที่ทุ่งร้างตะวันออก ดังนั้นยอดฝีมือของราชสำนักจั่วจั้งจึงทยอยล้มหายตายจาก นางคนเดียวสังหารจนเกือบเรียบแล้ว ด้วยเหตุนี้ราชครูจึงนำปุโรหิตสิบสามคนเฝ้านอกเมืองเฮ่อหลันไว้ตลอด

    เหมันต์ปีนี้ในที่สุดราชครูก็เดินทางจากเมืองเฮ่อหลันมายังทุ่งร้างตอนใต้ ไม่มีใครรู้ว่ามันมาทำอะไร แต่ทุกคนต่างรู้ว่าต้องเกี่ยวข้องกับอวี๋เหลียนแน่นอน

    อาต่าเข้าใจแล้วจึงมองค่ายทหารต้าถังคราหนึ่งอย่างคับแค้น ก่อนหันกลับแล้วเดินเข้าไปในขบวนรถ ถอนกำลังกลับไปทางเมืองเว่ยพร้อมกับอาจารย์

    “ได้ยินว่า…อาศรมเทพกำลังเจรจากับสถานศึกษา”

    “ใช่”

    “ดังนั้นช่วงนี้จึงยังไม่อาจทำสงคราม”

    “ใช่”

    “จะสงบศึกหรือ ข้าเกลียดคำนี้”

    “เรื่องนี้ฉางเซิงเทียนเท่านั้นที่สามารถตัดสิน”

    ระหว่างที่สองศิษย์อาจารย์สนทนากัน ขบวนรถค่อยๆ เคลื่อนห่างออกไปเรื่อยๆ เพียงไม่นานก็หายไปจากทัศนวิสัยท่ามกลางหิมะตกหนัก ยังคงไม่มีใครรู้ว่าราชครูจะไปที่ใด จะทำอะไรบ้าง แต่ผู้คนต่างรู้ว่าราชครูกำลังรอการปรากฏตัวของคนผู้หนึ่ง รอการมาถึงของธนูเหล็ก และแน่นอนรอการตัดสินใจของเฮ่าเทียนด้วย

    เรื่องของโลกมนุษย์เฮ่าเทียนเป็นผู้ตัดสิน พูดให้ง่ายก็คือฟ้าลิขิต สามพยางค์นี้แฝงด้วยความจำใจ รวมถึงความสบายใจของการทำตามคำสั่ง ทว่าซังซังไปจากโลกมนุษย์แล้ว นางจะบอกเจตนารมณ์ของตนแก่สานุศิษย์นับล้านอย่างไร ในช่วงที่นางนิ่งเงียบเหมือนเมื่อครั้งอดีตกาล สิ่งที่เรียกว่าเจตนารมณ์ของเฮ่าเทียนก็คือเจตนารมณ์ของนิกายเต๋านั้นแล ส่วนปัจจุบันหากพูดให้ถูกก็คือเจตนารมณ์ของเจ้าอาราม

    เหิงมู่ลี่เหรินยืนอยู่หน้าทหารม้าชุดเกราะนับหมื่น มันสีหน้าเฉยชามองหุบเขาชิงสยาที่แน่นอนแล้วว่าต้องถูกจารึกในหน้าประวัติศาสตร์พลางยกแขนขวาขึ้นช้าๆ

    บนลานกว้างในเมืองหลวงของแคว้นซ่ง บรรดาทหารม้าที่ล้อมสานุศิษย์นิกายใหม่อยู่ต่างดึงบังเหียนม้าแล้วถอยห่าง เสินกวนและผู้ดูแลหยุดโจมตีเพราะในอารามเต๋ามีคำสั่งใหม่ส่งมา

    ราชสำนักจินจั้งรอการตัดสินใจของเจ้าอาราม ฉางอันรอการตัดสินใจของเจ้าอาราม คนทั้งหลายต่างรอการตัดสินใจของเจ้าอาราม…

    มีเพียงหลงชิ่งที่คล้ายไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไม่ได้ยินเสียงลมหายใจอันเคร่งเครียดของคนนับพันที่ดังมาจากนอกกำแพง ไม่ได้รับข่าวใหม่ล่าสุดจากอาศรมเทพ มันคิดว่ากองฟืนที่กองอยู่ในลานบ้านยังไม่สง่างามพอจึงใช้มีดผ่าฟืนผ่าฟืนเพิ่มอย่างไม่ค่อยชำนาญพลางจินตนาการถึงเปลวเพลิงที่อีกประเดี๋ยวก็จะลุกไหม้

    ราตรียาวนานขึ้นเรื่อยๆ โลกมนุษย์หนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ เหมันต์ปีนี้แม้แต่แคว้นเทพซีหลิงที่อบอุ่นก็มีหิมะตกหนักหลายระลอก ลานหน้าผาถูกหิมะปกคลุม ใต้แสงจันทร์รอยรถเข็นช่างชัดเจน

    นักพรตวัยกลางคนยืนอยู่หลังรถเข็น สีหน้าเคร่งขรึม เดิมทีมันคิดว่านิกายเต๋าจะใช้วิธีสงบสยบเคลื่อนไหวเป็นการทำลายแผนการของหนิงเชวียอย่างล้ำลึก แต่ดูแล้วเจ้าอารามไม่ได้คิดเช่นนั้น

    “หนิงเชวียอยากเห็นนิกายเต๋าปกครองด้วยความสงบ แต่…เรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผล”

    นักพรตวัยกลางคนเงยหน้ามองดวงจันทร์พร้อมนึกถึงการต่อสู้ที่อาจเกิดขึ้นในแดนเทพ พลันขมวดคิ้วเอ่ยว่า

    “จอมปราชญ์หมองลงเรื่อยๆ ยิ่งถ่วงเวลานานยิ่งไม่เป็นผลดีต่อสถานศึกษา”

    เจ้าอารามนั่งรถเข็นมองโลกภายใต้แสงจันทร์ นิ่งเงียบไม่พูดจา

    นักพรตวัยกลางคนจู่ๆ ก็นึกได้

    “ที่แท้นี่คือสิ่งที่มันต้องการ”

    หากกล่าวถึงรากฐานของศรัทธามันพอเข้าใจอยู่บ้าง แต่ไม่อาจใช้ถ้อยคำอธิบายอย่างชัดเจน

    หลังจบประโยคนี้ลานหน้าผาพลันหนาวเย็นกว่าเดิม ลมหนาวเสียดกระดูกพัดมา ดวงจันทร์ยังคงอยู่บนฟ้า แต่ไม่รู้เป็นเมฆจากที่ใดโปรยหิมะลงมา หิมะนี้ตกเร็วมาก เกล็ดหิมะก็หนา หวีดๆ หวิวๆ หวืดๆ หวือๆ ไม่นานเท่าไรก็ปกคลุมหน้าผาไว้ชั้นหนึ่ง รถเข็นก็ถูกปกคลุมชั้นหนึ่ง

    เจ้าอารามย่อมถูกเกล็ดหิมะปกคลุมด้วย คำพูดจากปากที่ถูกเกล็ดหิมะแทรกซึมพลันเย็นขึ้นหลายเท่าดุจเดียวกับเนื้อหาในคำพูด

    “มันอยากสนทนากับโลก ข้าก็อยากดูว่ามันอยากสนทนาอะไร น่าเสียดายที่มันขังตัวเองในฉางอันมาครึ่งปีแล้ว คิดว่าตนเองเข้าใจทุกเรื่องราวแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังคิดผิด”

    เจ้าอารามเอ่ย

    “มันไม่เข้าใจตัวมันเอง และไม่เข้าใจเยี่ยหงอวี๋อย่างสมบูรณ์ ที่สำคัญที่สุดคือมันไม่เข้าใจว่าโลกมนุษย์ในเวลานี้อยู่ในสภาพการณ์เช่นไร”

    นักพรตวัยกลางคนเอ่ยว่า

    “ยืนไม่สูงพอ ย่อมมองเห็นได้ไม่ไกลพอ”

    โลกมนุษย์ในเวลานี้ไม่มีใครยืนอยู่สูงเท่าเจ้าอาราม

    นักพรตวัยกลางคนเข็นรถเข็นไปบนลานหน้าผา รถเข็นทิ้งรอยลึกไว้บนพื้นหิมะ จากนั้นก็ถูกรอยเท้าเหยียบย่ำจนขาดหาย ก็เหมือนดั่งเส้นชะตาของโลกมนุษย์

    “เรื่องที่หนิงเชวียเล่าช่างน่าสนใจ หากใช้คำพูดของสถานศึกษาก็คือเรื่องสนุก เช่นนั้นก็เท่ากับเป็นเรื่องที่มีความหมายอย่างยิ่ง แม้ยากจะโน้มน้าวใจคน แต่อย่างน้อยก็ขู่ผู้คนให้กลัวได้”

    เจ้าอารามเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

    “ปัญหาอยู่ที่ในเรื่องเล่าของมันไม่มีซั่งตี้ ในโลกนั้นไม่มีซั่งตี้ แต่ในโลกของพวกเรามีเฮ่าเทียน”

    สีหน้านักพรตวัยกลางคนเคร่งขรึมยิ่งขึ้น แม้แต่เท้าก็หนักขึ้น รอยเท้าที่เหยียบบนพื้นหิมะลึกขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าประทับลึงลงในพื้นศิลา

    เรื่องของเฮ่าเทียนแน่นอนว่าเป็นหัวข้อที่หนักหนา

    “แต่แน่นอน เหมือนอย่างก่อนหน้านี้ที่พูดไป ข้าไม่อาจไม่ยอมรับการวิเคราะห์ของสถานศึกษา การวิเคราะห์ของข้าก็ได้ผลลัพธ์เช่นเดียวกัน นิกายเต๋าต้องพ่ายแพ้แน่นอน เฮ่าเทียนถึงอย่างไรก็ต้องดับสูญ”

    รอยยิ้มของเจ้าอารามหุบลง สีหน้าเปลี่ยนเป็นเย็นชาอีกครั้ง แต่อารมณ์ในแววตากลับซับซ้อน เริ่มงุนงงถึงขั้นหวาดกลัว สุดท้ายกลับกลายเป็นน้ำก้นบ่อที่สงบนิ่ง

    “แต่…เป็นเช่นนั้นแล้วอย่างไร”

    ประมุขนิกายเต๋าพูดว่านิกายเต๋าจะล่มสลาย สานุศิษย์ที่ศรัทธาที่สุดของเฮ่าเทียนผู้กล่าววาจาแทนเฮ่าเทียนที่แข็งแกร่งที่สุดพูดว่าเฮ่าเทียนจะต้องตาย หากคำพูดนี้แพร่กระจายไปในโลกจะนำมาซึ่งการสั่นสะเทือนและความวุ่นวายมากน้อยแค่ไหน

    เจ้าอารามผู้พูดคำพูดนี้กลับสงบนิ่ง มองโลกมนุษย์พลางยิ้มน้อยๆ ไม่คิดอะไรทั้งนั้น ดูอ่อนโยนและเป็นสุขดุจเด็กแรกเกิด

    “มีคำพูดหนึ่งที่หนิงเชวียพูดถูก…นิกายเต๋าและสถานศึกษา ข้าและจอมปราชญ์ ในบางแง่มุมคือ๑๑๑๑ผู้ร่วมมรรคาเดียวกันจริงๆ พวกเราเดินบนเส้นทางที่เหมือนกันคือคิดทำสิ่งต่างๆ เพื่อโลกนี้ เพียงแต่แนวทางที่เลือกไม่เหมือนกัน ความเห็นของพวกเราที่มีต่อโลกในอนาคตและอนาคตของมวลมนุษย์แตกต่างกัน ดังนั้นวิธีการที่เลือกและเป้าหมายสุดท้ายจึงแตกต่างกันแน่นอน หนิงเชวียไม่เห็นด้วยกับแนวทางที่ข้าเลือกจึงไม่มีการสงบศึก มรรคาเดียวกันที่ต่างกันเช่นนี้จะเป็นมรรคาเดียวกันจริงๆ ได้อย่างไร”

    เจ้าอารามเอ่ย

    “เป็นดังที่เจ้าพูด มันยืนไม่สูงพอ มองเห็นได้ไม่ไกลพอ มองไม่เห็น…คนผู้นั้นที่สำคัญที่สุด แต่ข้ามองเห็น ดังนั้นสถานศึกษาจึงแพ้แล้ว”

    โจทย์ที่หนิงเชวียออกให้นิกายเต๋าดูเหมือนยากทั้งคู่ บีบให้นิกายเต๋าต้องปกครองด้วยความสงบไม่มีทางแก้อื่น แต่สำหรับเจ้าอารามที่จริงแล้วโจทย์นี้ง่ายมาก

    ความเป็นความตายของเยี่ยซู การไปหรืออยู่ของเยี่ยหงอวี๋ สำหรับเจ้าอารามล้วนไม่ใช่ปัญหา

    เจ้าอารามคิดว่าฆ่าสองพี่น้องคู่นี้ทิ้งก็สิ้นเรื่อง

    มันไม่สนใจว่าหากเยี่ยซูบรรลุเป็นผู้หยั่งรู้ นิกายใหม่จะเผยแผ่ไปไกลแค่ไหน มันไม่สนใจว่าเยี่ยหงอวี๋จะตายหรือทรยศ วิหารพิพากษาล้วนวุ่นวายทั้งนั้น นิกายเต๋าต้องเกิดความโกลาหลเป็นแน่

    ไม่สนใจเพราะทุกสิ่งทุกอย่างคือฟ้าลิขิต นิกายเต๋าคือนิกายเต๋าของเฮ่าเทียน เฮ่าเทียนเองยังยอมแพ้แล้ว แล้วนิกายเต๋าของนางจะชนะได้อย่างไร

    โลกที่ไกลจากหน้าผาคือโลกมนุษย์ ทอดสายตามองไปมีแต่หิมะ ขาวโพลนไปทั้งแถบ แยกไม่ออกเลยระหว่างท้องฟ้ากับผืนดิน ราวกับว่าทั้งสองสิ่งเชื่อมต่อติดกันแล้ว

    “จากนั้นแล้วอย่างไร ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องของมนุษย์เอง เฮ่าเทียนตายแล้ว เช่นนั้นก็หาเฮ่าเทียนใหม่ นิกายเต๋าล่มสลายแล้ว เช่นนั้นก็สร้างนิกายเต๋าใหม่ เรื่องก็เท่านี้เอง”

    เจ้าอารามเอ่ย

    นักพรตวัยกลางคนพลันหน้าซีด มรรคจิตอันสงบนิ่งที่ลมไม่อาจพัดให้สั่นไหวฝนไม่อาจตกให้เปียกปอนสั่นสะเทือนอย่างยากระงับ ถึงขั้นแทบพังทลาย

    วาจาเหล่านี้ที่มันได้ยิน ความหมายที่ซ่อนแฝงอยู่ในวาจาและความคิดความอ่านของเจ้าอารามเป็นสิ่งที่โหดเหี้ยมน่ากลัวอย่างที่สุดสำหรับสานุศิษย์นิกายเต๋า

    ผู้คนต่างพูดว่าต้าเสินกวนหน่วยแสงสว่างคือผู้ที่อยู่ใกล้เฮ่าเทียนมากที่สุด แต่มันรู้ว่าตั้งแต่หนึ่งพันปีก่อนผู้ที่อยู่ใกล้เฮ่าเทียนมากที่สุดคือเจ้าอาราม คือเจ้าอารามตลอดมา

    แต่เมื่อหลายปีก่อนเฮ่าเทียนมาโลกมนุษย์ เจ้าอารามกับนางพบกัน การอยู่ใกล้กันรูปแบบนั้นเท่ากับเปลี่ยนจากความหมายเชิงนามธรรมมาสู่ความเป็นจริง ไม่ใช่มองเห็นแต่เป็นได้พบ เท่ากับไม่มีระยะห่าง

    เพราะมองเห็นดังนั้นจึงกลัว? มิใช่เลย หลังจากมองเห็นก็ไม่กลัวอีกต่อไป ก็กล้าคิด กล้าพิจารณา กล้าฆ่า กล้าทำลาย และกล้าแย่งชิง เมื่อเทียบกันแล้วไม่ว่าจะเป็นความทะเยอทะยานของเหลียนเซิง หรืออุดมคติของสถานศึกษา รวมถึงความคิดของเฮ่าเทียนเองล้วนด้อยกว่า ทำให้โจทย์ของหนิงเชวียยิ่งดูน่าขัน

    นักพรตวัยกลางคนคงไม่สงสัยการวิเคราะห์ของเจ้าอาราม มันมองเศษหิมะบริเวณหน้าผา สัมผัสลมหนาวที่พัดมาปะทะหน้า พลันรู้สึกเศร้าใจเพราะมันกำลังจะได้เห็นการทำลายโลกเก่าโดยสมบูรณ์ ซึ่งโลกเก่าใบนั้นคือโลกที่มันเคยปกป้องรับใช้อย่างสุดจิตสุดใจ คือโลกที่มันให้ความสำคัญ

    “ไม่มีทางอื่นแล้วจริงๆ หรือ”

    “เปลวเพลิงของนิกายใหม่ลุกไหม้โลกทั้งใบ นิกายเต๋าเก่ารวมถึงอาศรมเทพเก่าล้วนกำลังจะกลายเป็นเครื่องสังเวยในเปลวเพลิงสำหรับผู้เกิดใหม่ ต่อให้จอมปราชญ์แพ้พ่าย สถานศึกษาและต้าถังล่มสลาย นิกายเต๋าก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงบทสรุปนี้ แต่จะเจ็บปวดเศร้าใจไปไย ก็แค่การนิพพานเท่านั้น สมควรฉลองด้วยความยินดี”

    “นิพพานที่ปฐมพุทธะกล่าวถึงหรือว่าก็คือเหมันต์ปีนี้”

    “หลวงจีนนั่นสนใจแต่ตนเอง ไหนเลยสนใจโลกมนุษย์”

    “แล้วต่อจากนี้ควรทำอย่างไร”

    “สิ่งที่กำหนดโชคชะตาของโลกมนุษย์ เมื่อก่อนอยู่บนฟ้า…”

    เจ้าอารามละสายตาจากท้องฟ้าลงมามองโลกท่ามกลางพายุหิมะ มองอยู่ครู่แล้วเอ่ยต่อไปว่า

    “แต่เวลานี้กลับอยู่ในโลกมนุษย์ เช่นนั้นก็แน่นอนว่าพวกเราต้องหานางให้เจอก่อน”

    หนิงเชวียต้องการให้มันห่วงใยเรื่องของโลกมนุษย์ให้มาก ที่จริงแล้วมันห่วงใยมาตลอด ห่วงใยมากกว่าใครๆ เดิมทีควรอยู่บนฟ้า บัดนี้อยู่ในโลกมนุษย์ จะไม่ห่วงใยได้อย่างไร

    เอ่ยประโยคนี้จบแล้วเจ้าอารามก็ไม่พูดอะไรอีก มองพายุหิมะนอกหน้าผา มองหมู่บ้านและทุ่งนาที่อยู่อีกฟาก มองแสงจันทร์ที่พายุหิมะก็ไม่อาจหยุดยั้ง ยิ้มบางๆ โดยไม่พูดอะไร

    ชั้นเมฆบนม่านราตรีบางครั้งอยู่ทางตะวันออก บางครั้งอยู่ทางตะวันตก แม้โปรยปรายหิมะลงมาไม่หยุด แต่ก็ไม่อาจปกคลุมทุกสิ่งอย่าง ส่วนแสงจันทร์นั้นปกคลุมโลกทั้งใบ

    สายลมบนหน้าผากวาดม้วนเกล็ดหิมะและแสงจันทร์เข้าด้วยกัน กลางคืนยิ่งมืดสายลมยิ่งหนาวเย็น เจ้าอารามนั่งรถเข็นอยู่นานแล้ว สภาพจิตใจยังคงดีอยู่

    การต่อสู้ในฉางอันเมื่อหลายปีก่อนมันถูกคนของสถานศึกษาใช้พลังค่ายกลสยบเทวะทำให้บาดเจ็บสาหัส ต่อมาได้พบซังซังระหว่างทางก็ถูกเฮ่าเทียนลงโทษอีก เหตุนี้มันจึงกลายเป็นคนชราพิการที่ชี่ไห่เสวี่ยซานใช้การไม่ได้ ตามหลักแล้วค่ำคืนที่หนาวเย็นเช่นนี้มันน่าจะทนรับได้ยาก แต่มันกลับนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นโดยไม่ไอ หน้าก็ไม่ซีด ถึงขนาดหน้าแดงเล็กน้อย สีหน้าเรียบนิ่งอยู่ตลอดเวลา

    ในดวงตามันเต็มไปด้วยภาพอนาคตที่สวยงามของโลกมนุษย์ ความสนใจใคร่รู้ที่มีต่อแสงจันทร์และเกล็ดหิมะรวมถึงท้องฟ้าบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเหมือนเด็กๆ

    เหิงมู่ลี่เหรินและอาต่าผู้เป็นบุตรแห่งเทพที่เฮ่าเทียนมอบให้โลกมนุษย์ สีหน้าพวกมันก็มักปรากฏความไร้เดียงสา แต่ความไร้เดียงสาประเภทนั้นมาจากความรู้สึกที่เหินห่างจากโลกมนุษย์รวมถึงอายุของพวกมัน

    แต่ความไร้เดียงสาของเจ้าอารามนั้นต่างออกไป มันนิ่งมองพิจารณาโลกมนุษย์ราวกับไม่เข้าใจเรื่องใดเลย และราวกับเข้าใจทุกเรื่อง ออกจะทึ่มทื่อแต่ไม่น่ารังเกียจ ออกจะร่าเริงแต่ไม่น่ารำคาญ มันต่างจากพวกเหิงมู่ลี่เหรินและต่างจากตนเองในอดีต จิตใจมันผ่อนคลายมากกว่าเดิมดั่งก้อนเมฆไร้ใจที่พลิ้วลอยออกมาจากยอดเขา บริสุทธิ์สะอาดจนน่าอุทานอย่างชื่นชม

    เมื่อครั้งที่เข้าฉางอันมันพลิ้วกายไปกับลม เหินลอยดุจเทพเซียน มันเหมือนเซียนจริงๆ ในสายตาของราษฎรชาวถัง หลังจากพิการมันก็กลายเป็นคนธรรมดาจริงๆ จากเซียนคืนสภาพสู่คนสามัญ นี่คือมนุษย์ผู้บรรลุสัจธรรม

    นักพรตวัยกลางคนมองมันพลางสัมผัสรับรู้กระแสปราณของความไร้เดียงสา พอจะเข้าใจอะไรบางอย่างจึงทอดถอนใจ ที่แท้ในความวิเวกยังมีโลก

    เจ้าอารามพลันขยับตัว สองมือค่อยๆ ยกขึ้นจากตักมาวางบนที่พักแขน ใต้ฝ่ามือมีเศษหิมะที่ค่อยๆ ละลายเพราะถูกความร้อน อารมณ์มันก็เหมือนน้ำพุร้อนน่ารื่นรมย์

    นักพรตวัยกลางคนพลันสีหน้าแปรเปลี่ยน พูดอะไรไม่ออกด้วยตกตะลึง เพราะการคาดเดากลายเป็นความจริง การคาดเดาที่ทำให้มันตื่นเต้นจนเกินพรรณนาดูเหมือนว่ากำลังจะกลายเป็นจริง

    สองมือที่จับรถเข็นเริ่มสั่น

    แผนการในตอนแรกสุดของเจ้าอารามถูกสถานศึกษาทำลาย ตัวมันถูกเมืองฉางอันทำร้ายบาดเจ็บ แต่สิ่งที่ทำให้มันกลายเป็นคนธรรมดาอย่างแท้จริงคือฝีมือของเฮ่าเทียน เช่นนั้นแล้วการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ในตอนนี้หมายถึงอะไร

    เจ้าอารามลุกขึ้นยืน

    ไม่ผิดแผกกับการเคลื่อนไหวที่มนุษย์เคยทำตั้งแต่เมื่อไม่รู้กี่หมื่นปีมาแล้ว

    เกล็ดหิมะคลุกเคล้ากับแสงจันทร์ตกลงมาช้าๆ บนลานหน้าผา ลมหนาวโชยพัดไม่หยุด พัดชุดนักพรตสีเขียวของเจ้าอารามพลิ้วไหว แต่กลับพัดผมสีดอกเลาตรงจอนผมของมันไม่ขยับ

    “ดูสิ นั่นเหมือนสุนัขตัวหนึ่งจริงๆ”

    เจ้าอารามมองฟ้าพร้อมเอ่ยขึ้นลอยๆ

    นักพรตวัยกลางคนไม่เข้าใจความหมายของประโยคนี้ ยิ่งไม่รู้ด้วยว่าเมื่อยี่สิบปีก่อนจอมปราชญ์เคยยกถ้วยน้ำชาขึ้นฟ้าที่ภูเขาหลังสถานศึกษา แล้วเอ่ยวาจาที่ไม่คล้ายกันแต่ที่จริงแล้วมีความหมายเหมือนกันออกมา

    เอ่ยจบเจ้าอารามก็เดินสองมือไพล่หลังลงจากหน้าผาไปท่ามกลางพายุหิมะ ชุดเขียวพัดพลิ้ว พายุหิมะโหมแรง ราตรีดำมืด มันไปจากเขาเถาซาน หายไปอย่างไร้ร่องรอย

    พอมองรอยเท้าที่เจ้าอารามทิ้งไว้บนพื้นหิมะแล้วนักพรตวัยกลางคนก็นิ่งเงียบ เจ้าอารามลงจากเขาเถาซานแล้ว สิ่งที่ทิ้งไว้ให้มันมีเพียงเงาหลังและความเคารพยำเกรงอย่างสุดหัวใจ

    ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใดมันจึงได้สติ พบว่ามือยังจับรถเข็นอยู่ก็หัวเราะ จากนั้นก็เข็นรถเข็นเปล่าไปยังริมหน้าผาแล้วผลักลงไป

    หน้าผาสูงมาก หิมะที่ตกลงมามีเสียง เสียงรถเข็นร่วงลงพื้นย่อมไม่ได้ยินมาถึงที่นี่ ส่วนเจ้าอารามที่เดินไปในโลกมนุษย์ไม่รู้ว่าเมื่อใดจึงจะกลับมาที่เขาเถาซานอีก

    นักพรตวัยกลางคนสีหน้าสงบนิ่งลงได้อย่างรวดเร็ว เพราะมันคือยอดฝีมือของนิกายเต๋า ยิ่งเพราะมันมั่นใจอย่างเต็มที่ในตัวเจ้าอาราม นิกายเต๋าดำรงอยู่ในโลกมายาวนาน ไม่รู้ว่าเคยปรากฏบุคคลที่ยอดเยี่ยมมามากน้อยเท่าใด ทุ่มเทสติปัญญาเพื่อมวลมนุษย์มามากน้อยแค่ไหน พันปีที่ผ่านมาเกียรติภูมิของโลกดูเหมือนมีศูนย์รวมอยู่ที่จอมปราชญ์และสถานศึกษา แต่นิกายเต๋าคือนิกายเต๋าไม่เคยเปลี่ยน เจ้าอารามคือเจ้าอารามไม่เคยเปลี่ยน

    นักพรตวัยกลางคนออกจากลานหน้าผาไปวิหารโองการฟ้า

    ไม่มีใครรู้ว่ามันและเจ้าหนานไห่พูดอะไรกัน แต่ต่อมาเจ้าหนานไห่ตามมันไปวิหารพิพากษาอย่างนิ่งเงียบ ซึ่งในตอนนั้นเจ้านิกายได้ไปถึงก่อนแล้ว

    เมื่อเห็นสตรีผู้สวมเสื้อคลุมเทพสีโลหิตที่อยู่ตรงระเบียงแล้วมันก็เผยแววตาชื่นชม นางเดินมาที่ข้างบัลลังก์หยกดำภายใต้แสงจันทร์ ดูไปก็เหมือนบุปผาโลหิตที่เบ่งบาน

    มันชื่นชมนางมาตลอด ในอารามตอนนางยังเด็กมันก็ชอบนางมาก น่าเสียดายที่วันนี้มันต้องฆ่านาง เจ้าอารามกำหนดความเป็นความตายของนางและพี่ชายแล้ว

    “โปรดให้คำอธิบายที่แท้จริงแก่ข้า”

    “ขออภัย ข้ามิอาจบอกกล่าว”

     

     

    (ติดตามต่อได้ในเล่ม ‘สยบฟ้า พิชิตปฐพี 37’ วางขาย 21 กรกฎาคม 2020)

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook