• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน สยบฟ้าพิชิตปฐพี 38 บทที่ 1

    บทที่ 1

    โอ่อ่าผ่าเผย

     

    ราชสำนักโย่วจั้งได้รับคำสั่งจากนิกายพุทธให้ส่งกองกำลังไปช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด การได้ไปแดนพุทธในตำนาน สำหรับบรรดาชาวหมานที่ศรัทธานิกายพุทธถือเป็นเกียรติอันสูงสุดและโอกาสที่ไม่ควรพลาด พายุหิมะและหนทางอันยาวไกลไม่นับเป็นปัญหาแต่ประการใด ถือว่าเป็นการทดสอบจากปฐมพุทธะเท่านั้นเอง

    แต่สีหน้าของพวกหลวงจีนสัประยุทธ์ที่นำทางอยู่ด้านหน้าเคร่งขรึมนัก ต่างจากพวกชนชั้นสูงที่กำลังร้องรำทำเพลง เพราะพวกมันรู้ว่าการที่วัดเสวียนคงที่สูงส่งตลอดมาถึงกับต้องขอความช่วยเหลือจากแดนโลกิยะ บ่งบอกได้เพียงว่าสถานการณ์ของแดนพุทธในยามนี้ย่ำแย่ขนาดไหน ถึงขั้นมีอันตรายจริงๆ แล้ว

    ที่ก้นหลุมยุบยังคงมืดมนเหมือนอย่างที่ผ่านๆ มา เพียงแต่บนที่ราบมีกองไฟอยู่มากมาย กองไฟแผ่แสงสีเหลืองอันอบอุ่นออกมาทำให้โลกเบื้องล่างที่เหมือนโลกแห่งความมืดสว่างขึ้นไม่น้อย ทั้งยังช่วยบอกทิศทางให้บรรดาคนน่าสงสารที่เดินทางในยามกลางคืน และดึงดูดให้สหายมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ

    จวินโม่ยืนห่างจากกองไฟ มองยอดเขามหึมาซึ่งอยู่ไกลออกไปหลายร้อยลี้ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง เมื่อเทียบกับเมื่อหลายปีก่อนมันผอมลงมาก ใบหน้าที่หล่อเหลาก็ดำคล้ำลงมากเช่นกัน แขนเสื้อกลวงๆ ปลิวสะบัดตามสายลม หนวดเคราสั้นๆ แข็งตรงเหมือนกระบี่

    มันใช้ชีวิตที่นี่เป็นเวลานาน สู้รบเป็นเวลานาน วลีที่ว่า ไม่เพียงพอให้บรรยายทุกสิ่งทุกอย่างที่มันต้องประสบพบเจอ

    แต่ไม่มีใครรู้ว่าที่จริงแล้วมันเหนื่อยล้าเพียงใด เพราะไม่เคยมีใครมองเห็นความเหนื่อยล้าหรืออารมณ์ด้านลบอย่างเช่นความสิ้นหวังบนใบหน้านิ่งๆ ของมัน

    ยอดเขาปอเหร่อยังคงสูงตระหง่านอันตราย วัดวาอารามในป่าเขาหนาทึบยังคงน่าเกรงขามเหมือนที่ผ่านมา เสียงระฆังยามรุ่งอรุณและยามสนธยายังกังวานไกล วัดเสวียนคงยังคงสูงส่งเลิศล้ำราวกับว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

    เปลวเพลิงแห่งโทสะลุกลามจากขอบที่ราบเบื้องล่างเข้ามาจนถึงตีนเขา พวกกบฏที่เดือดดาลบุกมาถึงที่นี่นับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ต้องถูกโจมตีให้ถอยกลับไป ราวกับว่าจะไม่มีวันบุกขึ้นไปได้สำเร็จ หากความจริงมีหลายเรื่องที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ทั้งยังไม่อาจเปลี่ยนกลับไปเป็นเหมือนเก่าด้วย อย่างเช่นมหาวิหารบนยอดเขาที่ถูกซังซังทำลายไม่อาจซ่อมแซมได้ กระดานหมากของปฐมพุทธะที่ถูกนางโยนลงไปในกระแสหินหนืดไม่มีวันโผล่ขึ้นมาเห็นแสงเดือนแสงตะวันได้อีก

    ทั้งยังมีคนตายไปมากมาย และมีคนกำลังตายอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นหลวงจีนวัดเสวียนคง ชนชั้นสูงเผ่าต่างๆ กับนักรบที่ภักดีต่อพวกมัน หรือพวกทาสกบฏที่ถือกระบองไม้หรือกระบองกระดูกล้วนมีคนตายทั้งสิ้น…เสียงระฆังเหล่านั้นล้วนเป็นเสียงระฆังแห่งความโศกสลด แล้วจะดังกังวานไกลได้อย่างไร

    มองเขาปอเหร่อ มองหน้าผาสูงชันบนยอดเขา มองซากสังขารของปฐมพุทธะ จวินโม่นิ่งเงียบ สีหน้าแน่วแน่ มันไม่รู้ว่าเมื่อใดจึงจะนำพาผู้คนบุกขึ้นไปถึงยอดเขาและเผาทำลายวัดวาเหล่านั้นให้มอดไหม้เป็นผุยผงได้ แต่มันคิดว่าหากสู้ต่อไปเรื่อยๆ บางทีอาจมีสักวัน

    แขนเสื้อกลวงเปล่าถูกลมพัดสะบัดพลิ้ว บังเอิญม้วนขึ้นแล้วบิดเป็นเกลียว จวินโม่ชำเลืองมองเตรียมจะแก้ลงมา จู่ๆ ในหมอกเบื้องหน้าพลันปรากฏธนูดอกหนึ่ง มันสะบัดข้อมือใช้กระบี่เหล็กปัดทิ้ง คิ้วขมวดเล็กน้อย ทาสสตรีผู้หนึ่งเข้ามาช่วยมันแก้แขนเสื้อ

    การกบฏครั้งนี้ยืดเยื้อมานานหลายปี ไฟสงครามไหม้ลามไปทั่วที่ราบทั้งผืนนานแล้ว จวินโม่รู้ดีว่าถึงสุดท้ายวัดเสวียนคงต้องขอความช่วยเหลือจากขุมกำลังในโลกิยะอย่างแคว้นเยวี่ยหลุนหรือไม่ก็ราชสำนักโย่วจั้งโดยไม่สนใจความลึกลับของแดนพุทธและความสูงส่งแห่งศรัทธาอีกต่อไปอย่างแน่นอน

    หากเป็นเช่นนั้นสภาพการณ์ที่มันต้องพบเจอจะยากลำบากกว่าเดิม ถึงขั้นมีความเป็นไปได้ที่มันจะไม่มีวันนำพาพวกทาสขึ้นไปจากโลกเบื้องล่างเพื่อค้นหาบ้านที่แท้จริงได้

    แต่แล้วอย่างไร มันทำมาแล้วและยังทำอยู่

    วิญญูชน…อาจไม่ชนะ แต่ไม่อาจไร้ปณิธาน

    มันก้มหน้าอย่างเหนื่อยล้า ไม่อยากให้คนที่อยู่รอบๆ เห็น

    มันคือศิษย์พี่รองของสถานศึกษา ออกจากจงหยวนหลายปีมาสู้รบอยู่ที่โลกเบื้องล่างนี้โดยไม่มีใครรู้ ค่อยๆ ถูกคนบนโลกลืมเลือน มันเคยให้ความสำคัญกับจรรยาและพิธีการเป็นอย่างสูง ยามนี้กลับสวมจีวรเก่าขาดและรองเท้าหนังเปื่อยๆ ไม่หลงเหลือสง่าราศีเช่นในอดีตเลย

    แต่ผู้ที่รู้ว่ามันกำลังทำอะไรไม่มีสักคนที่กล้าดูถูกมัน แม้มันถูกหลิ่วไป๋ตัดแขนจนไม่เหลือความเป็นไปได้ที่จะอยู่เหนือด่านทั้งห้า แม้มันอยู่ไกลจากแดนจงหยวน แต่ทุกการเคลื่อนไหวของมันยังคงส่งผลกระทบต่อโลกทั้งใบ และส่งผลกระทบต่อชายแดนต่างๆ ของแผ่นดินใหญ่ตลอดเวลา

    วัดเสวียนคงบัดนี้ถูกเปลวไฟของกองกำลังกบฏเผาผลาญจึงไม่อาจเข้าร่วมสงครามของโลกมนุษย์ แคว้นเยวี่ยหลุนและราชสำนักโย่วจั้งก็ไม่อาจเป็นภัยคุกคามต่อแคว้นต้าถัง นิกายเต๋าและนิกายพุทธจึงไม่อาจร่วมมือกันต่อกรกับสถานศึกษาเหมือนอย่างในอดีต สถานการณ์ของโลกเปลี่ยนแปลงไปมากมายอย่างเงียบๆ และผู้ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้คือจวินโม่เพียงผู้เดียว

    มันมีมือข้างเดียว ใช้กระบี่เหล็กเล่มเดียว แต่ช่วยต้านศัตรูหนึ่งในสามของแคว้นต้าถังได้ คิดดูแล้วเรื่องที่มันกระทำช่างไม่ธรรมดา ไม่ธรรมดาสำหรับมวลมนุษย์ที่เป็นทาสของนิกายพุทธในโลกเบื้องล่างมานานปี และไม่ธรรมดาสำหรับแคว้นต้าถังด้วยเช่นกัน

    คุณงามความดีอันยิ่งใหญ่ของจวินโม่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมายากจะหาถ้อยคำใดมาบรรยายได้จริงๆ หากไม่สนใจความหมายของคำมากนัก บางทีคำว่าโอ่อ่าผ่าเผยอาจเป็นคำที่เหมาะสม

    จวินโม่ไม่ประจบผู้ใด ไม่พูดหยอกล้อ สีหน้าเคร่งขรึม มักใช้ไม้แข็งสั่งสอนศิษย์ร่วมสำนัก แม้แต่การชอบพอมันยังไม่รู้ว่าจะแสดงออกได้อย่างไร เหตุนี้มันจึงไม่เหมือนศิษย์พี่ใหญ่หรือเฉินผีผีที่มีผู้คนมากมายรักใคร่เอ็นดู

    จวินโม่ชอบถกเหตุผลกับศัตรู แต่ที่จริงแล้วเหตุผลเหล่านั้นไม่มีเหตุผล ทำให้บรรดาศัตรูเมื่อนึกถึงมันจึงต่างอยากกุมขมับ

    แต่จวินโม่ยังคงโอ่อ่าผ่าเผย

    ในสายตาจวินโม่มีท้องฟ้ามหาสมุทร ในใจมีความกว้างใหญ่ไพศาล มันไม่จำเป็นต้องรู้ว่าฟ้าสูงเท่าไร ดินหนาแค่ไหน ดังนั้นเมื่อมันก้าวเดินไปข้างหน้าจึงยังคงเห็นทัศนียภาพที่กว้างใหญ่ไพศาล

    และเพราะความโอ่อ่าผ่าเผยนี้จวินโม่จึงไม่คิดว่าตนเองกำลังสู้อยู่ผู้เดียว นี่คงเป็นจุดที่บุคคลประเภทหลงชิ่งไม่มีวันเทียบได้

    จวินโม่มีผู้ใต้บังคับบัญชา มีผู้ติดตาม จากหลายสิบคนเป็นหลายร้อยคนและหลายพันคน จนกระทั่งบัดนี้มีอยู่ทั่วผืนที่ราบ มันคิดเสมอว่าคนเหล่านี้ล้วนคือสหาย คือเพื่อนร่วมทาง

    นักรบนับพันคนที่กำลังเฝ้ายามอยู่ด้านหลังจวินโม่เป็นพวกแรกสุดที่ติดตามมัน คือขุมกำลังหลักของกลุ่มกบฏ ในสงครามช่วงที่ผ่านมาบรรดาทาสที่เคยรู้จักแต่ปลูกข้าวเลี้ยงแพะได้แข็งแกร่งขึ้นมาทีละน้อย มือที่เคยจับแต่เครื่องมือทำนา ยามนี้จับอาวุธได้อย่างมั่นคงแล้ว

    จิตปณิธานของพวกมันแน่วแน่ ในสนามรบไม่ว่าพบเจอการโจมตีรูปแบบใดล้วนเยือกเย็นได้ และไม่เคยสิ้นหวังถึงขั้นคิดยอมจำนนเพียงเพราะพ่ายแพ้เป็นครั้งคราว

    พวกมันล้วนคล้ายจวินโม่ หรืออาจกล่าวว่าลักษณะนิสัยคล้ายจวินโม่ พวกมันล้วนมีความโอ่อ่าผ่าเผย ล้วนมีจิตใจที่น่านับถือ

    ในการรบช่วงเหมันต์อันหนาวเหน็บนี้ ทาสกบฏนับหมื่นที่จวินโม่เป็นผู้นำได้ทำลายแนวป้องกันของพวกชนชั้นสูงได้สำเร็จจนไปถึงตีนเขาปอเหร่อ เหมือนอย่างที่พวกมันทำได้บ่อยครั้งในช่วงหลายปีมานี้ ทว่าไม่มีกบฏคนใดที่ยินดีปรีดาเพราะเรื่องนี้ เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่าพวกมันยากจะยืนหยัดอยู่ที่นี่ได้นานนัก ด้วยที่นี่อยู่ไม่ไกลจากวัดน้อยใหญ่นับพันบนยอดเขาปอเหร่อ บรรดาหลวงจีนในวัดเสวียนคงสามารถส่งกำลังมาช่วยเหลือได้ทันการณ์ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือนิกายพุทธ กระทั่งเวลานี้พวกทาสกบฏก็ยังไม่มีวิธีรับมือที่ใช้ได้ผล เพราะถึงอย่างไรจวินโม่ก็มีเพียงคนเดียว

    แต่พวกมันยังคงไม่เสียดายที่จะพลีชีพคนจำนวนมากเพื่อฝ่าแนวป้องกันมาให้ถึงที่นี่แม้ว่าพรุ่งนี้อาจต้องล่าถอยไปก็ตาม เพราะนี่เป็นคำขอของจวินโม่

    มันคิดแสดงให้วัดเสวียนคงเห็นถึงความแข็งแกร่งทรหดของกองกำลังกบฏอย่างนั้นหรือ

    หรือมันคิดปลุกเร้ากองกำลังกบฏให้มีขวัญกำลังใจเพิ่มขึ้นจากชัยชนะชั่วครั้งคราวกันแน่

    มีเพียงจวินโม่เท่านั้นที่รู้สาเหตุ บางครั้งมันก็ไม่แน่ใจว่าความคิดของตนถูกต้องหรือไม่ สามารถทำงานสอดรับกับสถานที่ที่อยู่ไกลนับหมื่นลี้ได้หรือไม่

    ที่ตีนเขาปอเหร่อ ด้านหลังกองกำลังทหารชุดเกราะนับหมื่นนายของชนชั้นสูงคือหลวงจีนสัประยุทธ์นับพันรูปของวัดเสวียนคง มีทั้งยอดฝีมือจากหอวินัย และด้านบนของบันไดหินทางขึ้นเขายังมียอดฝีมือขนานแท้ผู้มีสีหน้าแน่วแน่ด้วย ซึ่งก็คือชีเนี่ยนศิษย์สัญจรนิกายพุทธ

    “พวกเจ้าไม่อาจขึ้นเขา ฝืนกำลังเข้าโจมตีจนบาดเจ็บล้มตายเช่นนี้มีประโยชน์อันใด ฟ้าเบื้องบนกรุณาต่อสรรพชีวิต ปฐมพุทธะทรงเมตตา จงถอยกลับไปเถิด”

    เสียงของชีเนี่ยนดั่งเสียงระฆังดังกังวานไปในที่ราบเบื้องล่างอันมืดมน ทาสกบฏนับหมื่นคนได้ยินวาจาของมันแล้วก็มีปฏิกิริยาต่างๆ กันไป

    จวินโม่มองมันด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

    “ภูเขาลูกนี้ข้าเคยขึ้นไปแล้ว”

    มันมือซ้ายยกกระบี่ขึ้น มองแผลเป็นบนใบหน้าชีเนี่ยน คำพูดนี้เปิดแผลเป็นบนใบหน้าและกล่าวถึงเรื่องเจ็บปวดใจของอีกฝ่าย

    ครานั้นซังซังและหนิงเชวียถูกขังในกระดานหมากของปฐมพุทธะ เพื่อช่วยศิษย์น้องเล็กให้พ้นภัย จวินโม่บุกเดี่ยวขึ้นเขา ฝ่าแนวป้องกันไปหลายชั้นจนไปถึงหน้าผาแห่งนั้นและได้พบเจ้าคณะฝ่ายเทศนาในที่สุด หลังจากนั้นจึงมีเรื่องราวของการเปิดกระดานหมาก

    ในครั้งนั้นมันปะทะกับชีเนี่ยน มันชนะตามเหตุผลที่ควรจะเป็น ชีเนี่ยนเสียฟันไปหลายซี่และบาดเจ็บสาหัส

    “ต่อให้เจ้าขึ้นเขาได้แล้วอย่างไร”

    ชีเนี่ยนเอ่ยเสียงเรียบ ไม่ได้รู้สึกว่าถูกหยามหมิ่น

    “อาจารย์ข้านั่งอยู่ที่หน้าผา เจ้าจะทำอะไรได้”

    ถูกต้องแล้ว แม้บุกขึ้นเขาปอเหร่อได้แล้วจะทำอะไรได้ จวินโม่เคยขึ้นไปบนเขาแต่ไม่อาจอยู่บนนั้น ย่อมไม่ถือเป็นชัยชนะ ไม่มีความหมาย

    “ข้าไม่อย่างไรหรอก ข้าเพียงไม่ชอบฟังพวกเจ้าลาหัวโล้นเอ่ยคำพูดอย่างปฐมพุทธะทรงเมตตาหรือฟ้าเบื้องบนกรุณาต่อสรรพชีวิต ข้าฟังแล้วอยากอาเจียนและรู้สึกอารมณ์ไม่ดี”

    จวินโม่เอ่ย

    “เหตุนี้รอให้ข้าขึ้นเขาไปถ่มน้ำลายใส่หน้าอาจารย์เจ้าก่อน แล้วดูว่ามันจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ใช่รอให้ลมพัดจนแห้งไปเองหรือจะถือไม้เท้าลุกขึ้นมาสู้กับข้า แต่มันเดินช้ามาก คิดสังหารข้าคงยาก ส่วนพวกเจ้าคงได้แต่มองดูเท่านั้น”

    “เพื่อแสดงออกถึงความเก่งกาจทำให้คนจำนวนมากต้องตาย…ข้าคิดว่านี่ไม่สอดคล้องกับหลักการของสถานศึกษา ยิ่งไม่ใช่การสอนสั่งของจอมปราชญ์”

    ชีเนี่ยนมองบรรดาทาสกบฏที่สวมเสื้อหนังสัตว์เก่าขาดด้านหลังมัน ใบหน้าเผยอารมณ์สงสาร เอ่ยว่า

    “เพราะเหตุใดจึงไม่อาจสงบศึก”

    หากหนิงเชวียอยู่ที่นี่คงยิ้มหยันแล้วชูนิ้วกลางให้ชีเนี่ยนเป็นแน่ แต่จวินโม่ไม่ยิ้ม ทั้งไม่ชูนิ้วกลาง เพราะมันเป็นผู้มีมารยาท และเพราะมันไม่รู้ว่าการชูนิ้วกลางสื่อความหมายใด มันเพียงนิ่งเงียบมองชีเนี่ยนเหมือนมองคนปัญญาอ่อน

    ชีเนี่ยนขมวดคิ้ว

    “เจ้าคิดทำสิ่งใดกันแน่”

    จวินโม่ไม่บอกมันว่าตนคิดทำสิ่งใด แต่นั่งลงบนทุ่งหญ้า หยิบศิลาก้อนเล็กๆ ขึ้นมาแล้วโยน

    ศิลาก้อนเล็กๆ เหล่านั้นกลิ้งไปแล้วหยุด

    ผู้คนเห็นภาพนี้แล้วก็คิดในใจว่านี่คือการทำนายดวงชะตาหรือ ศิลาก้อนเล็กๆ เหล่านั้นใช้ประโยชน์ได้เหมือนกระดองเต่ากระดูกวัวหรือ เช่นนั้นเวลานี้ทำนายได้ความว่าอย่างไร

    จวินโม่ไม่ได้ทำนายดวงชะตา

    หลังจากแขนขาดผมสีดำของมันก็ค่อยๆ กลายเป็นสีเทา จากนั้นมันก็โกนผมจนเกลี้ยงแล้วเริ่มศึกษาคัมภีร์พุทธ ด่านฌานสูงขึ้นเรื่อยๆ บนที่ราบแห่งนี้มันถูกเรียกว่าซั่งซือ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่ามันนับถือปฐมพุทธะและกลายเป็นหลวงจีนจริงๆ มันยังคงยึดถืออุดมคติของสถานศึกษา ไม่เอ่ยถึงสิ่งแปลกประหลาด พลังเหนือธรรมชาติ เหตุโกลาหล และผีสางเทวดา ไม่ดูฤกษ์ดูยาม ไม่ครุ่นคิดถึงเรื่องหลังความตาย ไม่ฝากดวงชะตาไว้กับการทำนายทายทัก เวลานี้มันกำลังคำนวณโดยอาศัยข้อมูลจำนวนมากที่มันสัมผัสรับรู้ได้ กระบวนการนี้ซับซ้อนนัก จำเป็นต้องมีทักษะด้านการคำนวณที่สูงล้ำ และเป็นที่รู้กันว่าทักษะด้านนี้ของมันดีเยี่ยมอย่างมิต้องสงสัย

    ศิลาก้อนเล็กๆ กระจัดกระจายไปตามต้นหญ้าที่เหี่ยวแห้ง จวินโม่นิ่งมองก้อนศิลาและต้นหญ้า ใคร่ครวญอยู่นาน เยี่ยซูตายแล้ว แสดงว่าเจ้าอารามไม่สนใจอนาคตของนิกายเต๋า ไม่สนใจรากฐานของการศรัทธาเฮ่าเทียน และไม่สนใจว่าเฮ่าเทียนจะอ่อนแอลง…เพราะเหตุใดกัน

    มันละสายตาจากต้นหญ้าและก้อนศิลาไปมองท้องฟ้าสีเทาหม่น แล้วก็นึกออกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง ที่นั่นมีนาง ที่นี่มีนาง ที่นี่หมายถึงโลกมนุษย์ หากศรัทธาอ่อนแอ นางที่อยู่ที่นี่ย่อมอ่อนแอก่อน แต่แน่นอนต้องพิสูจน์ให้ได้ว่ามีสองนางจริงๆ

    จวินโม่ไม่อาจพิสูจน์จึงได้แต่จำลองพฤติกรรมของเจ้าอารามอย่างคร่าวๆ ทำแบบนี้จึงสามารถเข้าใจความคิดและการกระทำของเจ้าอาราม

    ซังซังไม่ได้กลับแดนเทพ? ยังอยู่ในโลกมนุษย์?

    จวินโม่พลันคิ้วขมวด ไม่ว่าเจ้าอารามต้องการสังหารซังซังเพราะนี่คือเจตนารมณ์ของนางในแดนเทพ หรือมันต้องการสังหารซังซังด้วยเจตนารมณ์ของตัวมันเอง จวินโม่ล้วนรับไม่ได้

    บางทีอาจเป็นเพราะนี่เป็นเรื่องที่คู่ต่อสู้ต้องการทำ มันจึงไม่อาจปล่อยให้อีกฝ่ายทำได้สำเร็จ แต่ก็อาจเพียงเพราะนางที่อยู่โลกมนุษย์…คือซังซัง

    จวินโม่คิดว่าหนิงเชวียก็น่าจะคิดเรื่องนี้ได้ หรืออาจรู้แล้วถึงความเป็นไปได้นี้ เช่นนั้นศิษย์น้องต้องออกจากฉางอันเพื่อไปตามหานางแน่นอน

    สำหรับเรื่องนี้มันไม่สงสัยแต่อย่างใด เพราะมันเข้าใจหนิงเชวียและซังซังอย่างทะลุปรุโปร่ง มันรู้ว่าสำหรับหนิงเชวียซังซังสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด แม้แต่โลกทั้งใบก็ตาม

    ก่อนหนิงเชวียจะออกจากฉางอันมันจะทำสิ่งใดบ้าง ปฐมธนูสิบสามดอกเมื่อไม่ได้อยู่ในค่ายกลสยบเทวะจะสูญเสียฤทธานุภาพแห่งการสังหารพันลี้ ดังนั้นมันต้องยิงตอนที่ยังอยู่ในฉางอันแน่นอน แล้วมันจะยิงไปที่ใด ไม่ใช่อาศรมเทพเพราะเขาเถาซานมีค่ายกลแสงวิสุทธิ์ปกป้อง ศิษย์พี่ใหญ่ยังไม่อาจเข้าไป ธนูเหล็กย่อมเข้าไม่ได้เช่นกัน ไม่ใช่ราชสำนักจินจั้ง และยิ่งไม่ใช่แคว้นเยี่ยนหรือทุ่งร้างตะวันออก

    ใคร่ครวญแล้วมีเพียงที่นี่เท่านั้น

    ใช่แล้ว ยามนี้หนิงเชวียกำลังเล็งธนูมายังวัดเสวียนคง

    จวินโม่คิดว่าในเมื่อหนิงเชวียออกจากฉางอันก็ต้องอยากให้ตนกลับไปเร็วขึ้นสักหน่อย จวินโม่ไม่ได้หลงตัวเอง แต่รู้ถึงความแข็งแกร่งของตน

    อาจกล่าวอีกอย่างได้ว่าตัวเลือกนี้คุ้มค่าที่สุด

    หนิงเชวียเป็นพวกขี้เหนียว หากมันจะสิ้นเปลืองลูกธนูสักดอกหรืออาจหลายดอกก็ต้องได้รับผลประโยชน์ที่มากที่สุด

    พอคิดถึงตรงนี้จวินโม่ก็เงยหน้ามองลานหน้าผาบนเขา

    เจ้าคณะฝ่ายเทศนาอยู่ที่นั่น

    หลายปีก่อนเจ้าคณะฝ่ายเทศนาถูกศิษย์พี่ใหญ่และมันผลัดกันตี ภายหลังยังถูกซังซังเล่นงานจนบาดเจ็บอีก จึงปลีกวิเวกมาตลอด

    แต่การที่มันยังนั่งอยู่ที่ลานหน้าผาทำให้ยอดเขามหึมาลูกนี้ราวกับว่าจะไม่มีวันพังถล่ม พวกหลวงจีนในวัดและพวกทหารของชนชั้นสูงก็ไม่มีวันสูญเสียความมั่นใจ

    จวินโม่ตัดสินใจได้แล้วว่าตนเองจะทำอะไร

    หลังจากโยนก้อนศิลามันก็นิ่งเงียบอยู่นาน ไม่ว่าศัตรูที่อยู่อีกฟากหรือกองกำลังกบฏล้วนเริ่มประหลาดใจ

    จวินโม่ชักกระบี่ ที่เรียกว่าชักที่จริงคือยกขึ้นมา กระบี่เหล็กเหลี่ยมตรงที่ชี้ท้องฟ้าหมองหม่นช่างดูไม่ต่างกับคบไฟ

    ด้านหลังมัน ทาสนับพันที่ศรัทธาและกล้าหาญที่สุดพลันเกิดความสับสน เพราะนี่ไม่ใช่สัญญาณให้บุกโจมตี พวกมันจึงสงสัยและไม่สบายใจ

    ทว่าไม่ว่าจะสงสัยไม่สบายใจอย่างไรก็ไม่อาจฝ่าฝืนคำสั่ง กองกำลังกบฏหน้าภูเขาค่อยๆ ถอยไปดุจคลื่นน้ำ

    ทาสนับพันที่ทำหน้าที่ควบคุมแนวรบถอนตัวเป็นลำดับสุดท้าย สายตามองจวินโม่ผู้ยืนอยู่บนทุ่งหญ้า แม้ยังคงสงสัย แต่มิได้กังวลใจ

    จวินโม่ไม่เคยประกาศตนว่าคือผู้ปลดปล่อย ผู้นำทาง เทพผู้เมตตา หรือพุทธะแห่งโลก แต่ในสายตาของทาสเหล่านี้มันคือผู้ช่วยเหลือที่เมตตากรุณา คือพุทธะแท้จริงที่จะนำพาพวกตนเข้าสู่แดนสุขาวดี

    ท่านพุทธะต้องปลอดภัยแน่นอน

    ชีเนี่ยนขวางฝ่ามือที่หน้าอก ลูกประคำพลิ้วไสวตามสายลม ธรรมกายนอกกายที่ทรงอานุภาพและน่าเกรงขามปรากฏรางๆ ท่ามกลางแสงสลัว

    “เจ้าคิดจะทำอะไร”

    มันมองจวินโม่ด้วยสีหน้าวิตก

    ทาสนับหมื่นกำลังถอยไปดุจคลื่นน้ำดำพืดที่ท่วมโขดหินในแม่น้ำและกลืนกินทุกอย่างที่ขวางหน้า ภาพนี้ช่างโอ่อ่าผ่าเผย

    จวินโม่จับกระบี่เหล็กเดินหน้าเข้าหาศัตรูนับหมื่นโดยไม่ตอบคำถาม แม้เดียวดาย แต่โอ่อ่าผ่าเผยยิ่งกว่า

    กระบี่เหล็กแหวกผ่านลมหนาว ทุกผู้คนพลันหยุดหายใจไปชั่วขณะ

    จวินโม่จะบุกขึ้นเขาอีกครั้ง!

    ในอดีตมันถือกระบี่ยืนหน้าหุบเขาชิงสยา ทหารม้าชุดเกราะทั้งกองทัพไม่อาจผ่านมันไปได้ วันนี้มันจะบุกขึ้นเขา คนนับหมื่นพวกนี้จะขวางมันได้หรือไม่

    ชีเนี่ยนและบรรดายอดฝีมือจากหอวินัยร่วมมือกันบางทีอาจชนะกระบี่เหล็กของมันได้ แต่เขาปอเหร่อใหญ่โตมโหฬารเช่นนี้จะเฝ้ารักษาได้อย่างไร

    ขอเพียงทุ่มเททุกสิ่งอย่างจวินโม่ย่อมบุกขึ้นเขาได้ เพียงแต่ชีเนี่ยนสงสัยยิ่งนักว่าทำเช่นนี้แล้วจะได้ประโยชน์อะไร เพราะเหตุใดจวินโม่ต้องทำเช่นนี้

    ครั้งก่อนที่บุกขึ้นเขาเพราะต้องการช่วยศิษย์น้องเล็ก ครั้งนี้บุกขึ้นเขาก็ด้วยเหตุผลเดียวกัน มันต้องการให้ศิษย์น้องเล็กออกจากฉางอันไปทำเรื่องที่ต้องทำได้อย่างวางใจ

    มีสาเหตุ มีเหตุผล เรื่องนี้จึงต้องทำและทำได้อย่างสบายใจ

    ในโลกเบื้องล่างกระบี่เหล็กแหวกอากาศ เสียงฉัวะฉับดังก้องฟ้า แขนขามากมายขาดกระเด็น โลหิตมากมายสาดกระเซ็น

    เสียงสวดคัมภีร์พุทธดังอยู่ไม่ขาด เสียงระฆังในวัดด้านบนดังกังวาน กระแสปราณนิกายพุทธแผ่ขยาย ยอดฝีมือมากมายเข้าโอบล้อม แต่กลับไม่อาจดับประกายกระบี่

    จวินโม่เริ่มบุกขึ้นเขา

    มันบุกอย่างต่อเนื่องสามวันสามคืน

    ยามเที่ยงคืนหลังจากสามวันสามคืน จวินโม่ก็ไปถึงลานหน้าผาแห่งนั้นในที่สุด และพอถึงรุ่งเช้ามันก็ไปถึงตรงจุดที่เคยมีต้นหลี

    บนเส้นทางขึ้นเขาเต็มไปด้วยศพของหลวงจีน โลหิตไหลนองเหมือนลำธาร กายมันถูกโลหิตย้อมจนแดงฉาน

    ที่ลานหน้าผาไม่มีต้นหลีแล้ว มีเพียงต้นชิงเถิง วิหารเก่ากลายเป็นซากปรักหักพังไปนานแล้ว เหลือเพียงเจดีย์ขาวฝุ่นเขรอะ

    เบื้องหน้าเจดีย์ขาวนั่งไว้เพียงหลวงจีนชราหน้าตาธรรมดารูปหนึ่ง มันก็คือพุทธะแห่งโลก

    จวินโม่เดินไปเบื้องหน้าหลวงจีนชรา เมื่อครู่ชีเนี่ยนถูกมันตีด้วยกระบี่เหล็กจนตกลำธารบนภูเขา ในเวลาอันสั้นคงไม่อาจตามมา จึงไม่มีใครหยุดยั้งมันได้แล้ว

    หลวงจีนทั้งหลายที่จริงแล้วก็ไม่ได้คิดจะหยุดยั้งมันอย่างจริงจัง เพราะต่อให้มันขึ้นเขาได้สำเร็จ มาที่ลานหน้าผาได้ แล้วมันจะทำอะไรได้อีก

    มันคือศิษย์พี่รองผู้เก่งกาจแห่งสถานศึกษา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเจ้าคณะฝ่ายเทศนาผู้เป็นอมตวัชระ หรือยังเพ้อฝันว่าจะชนะได้

    เจ้าคณะฝ่ายเทศนาลืมตาขึ้น เอ่ยว่า

    “หลายปีแล้วมิได้พบกัน เซียนเซิงรองเปื้อนฝุ่นเต็มตัวมิต่างจากวันวาน เพียงแต่ซูบเซียวลงไปบ้าง”

    เจ้าคณะฝ่ายเทศนายิ้มอย่างอ่อนโยน แววตาสงบนิ่ง

    จวินโม่มองรอยแหว่งริมผา นิ่งเงียบอยู่ครู่ก่อนเอ่ยว่า

    “ไม่อาจเผาทำลายแดนพุทธที่ชั่วร้ายนี้หนึ่งวันก็ไม่อาจนอนหลับอย่างสบายหนึ่งวัน เปื้อนฝุ่นซูบเซียวย่อมเป็นเรื่องธรรมดา”

    ตรงนั้นเคยมีต้นหลี แต่ถูกมันใช้กระบี่เหล็กตัดหน้าผา ต้นหลีจึงถูกนำไปปลูกที่ภูเขาด้านหลังสถานศึกษา

    บัดนี้ต้นหลีต้นนั้นไม่รู้ออกใบใหญ่โตเท่าไรแล้ว

    จวินโม่จู่ๆ ก็เกิดคิดถึง

    แต่ตอนนี้มิใช่เวลาให้หวนถึงความหลัง มันควรรีบเร่งสักหน่อย

    เจ้าคณะฝ่ายเทศนาเอ่ยเสียงเรียบว่า

    “ธนูนั่น…ยิงอาตมาไม่ตายหรอก”

    วิธีการที่ดีที่สุดของสถานศึกษาหรืออาจกล่าวว่ามีประสิทธิภาพในการสังหารมากที่สุด ยามนี้สำหรับบุคคลระดับสูงในโลกแห่งการฝึกฌานไม่ใช่ความลับอีกต่อไปแล้ว

    หลายปีก่อนที่วัดไป๋ถ่า แคว้นเยวี่ยหลุน เจ้าคณะฝ่ายเทศนาก็เคยรับธนูเหล็กของหนิงเชวีย หากกล่าวให้ถูกกว่านั้นคืออย่าว่าแต่รับ เพราะมันแม้แต่หลบก็ไม่ได้หลบ

    ธนูเหล็กที่มีค่ายกลแห่งฉางอันเสริมพลังย่อมทรงอานุภาพมากกว่าธนูเหล็กในครั้งนั้นมากมายหลายเท่า แต่เจ้าคณะยังคงไม่หวั่นเกรง เพราะมันเป็นอมตวัชระ

    แม้เผชิญหน้าปฐมธนูสิบสามดอกเช่นเดียวกัน แต่สีหน้าเจ้าคณะเรียบนิ่งกว่าคนขายเนื้อมาก หนึ่งเพราะความแตกต่างด้านทัศนะต่อความเป็นความตาย สองเพราะมันเคยสัมผัสมาแล้ว

    เห็นจวินโม่โลหิตโซมกาย ใบหน้าซีดเผือด คิ้วของเจ้าคณะก็พลิ้วไสวตามลม มิได้แสดงความลำพองใจ แต่แสดงความไม่สนใจของสุดยอดฝีมือแห่งโลก

    “โลกนี้ไม่เคยมีของวิเศษที่ชนะได้ทุกสิ่ง กระดานหมากของปฐมพุทธะทำไม่ได้ กระดิ่งพิสุทธิ์ทำไม่ได้ ธนูเหล็กของสถานศึกษาที่คนธรรมดาเป็นผู้สร้างจะทำได้อย่างไร”

    เจ้าคณะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

    “อาตมาไม่เข้าใจจริงๆ ธนูเหล็กยิงคนมากมายให้ตายได้ เหตุใดพวกเจ้าต้องเจาะจงเลือกยิงอาตมา”

    “ท่านและเจ้าอาราม ปีศาจสุราและคนขายเนื้อ สี่คนนี้ธนูเหล็กยิงไม่ตาย ส่วนคนอื่นๆ นอกจากนี้ล้วนถูกธนูเหล็กยิงตายได้ หรือพูดอีกอย่างคือถูกสังหารให้ตายได้ ไยต้องสิ้นเปลือง”

    จวินโม่เอ่ย นี่คือความคิดเห็นของมัน ฟังดูเหมือนเอ่ยอย่างจนใจ แต่ที่จริงแล้วความนัยที่แฝงอยู่คือความมั่นใจอันเฉียบขาดของมันและสถานศึกษา

    “แต่พวกเจ้ายิงอาตมาไม่ตายไม่ใช่หรือ”

    เจ้าคณะเอ่ย

    “เจ้าทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างฝืนบุกขึ้นเขามาอีกครั้งเพียงเพื่อแทงอาตมาหนึ่งกระบี่เพื่อให้หนิงเชวียยิงธนู บัดนี้อาตมารู้แล้ว ธนูเหล็กก็เท่ากับไร้ความหมายต่ออาตมา เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าสามวันสามคืนที่ต่อสู้อย่างดุเดือดไม่ได้หลับไม่ได้นอน…รวมถึงหลายปีมานี้ที่เจ้าต่อสู้อย่างไม่หยุดพัก ไม่มีความหมายอะไรเลย”

    เจ้าคณะมองมันอย่างสงสาร

    จวินโม่กุมกระบี่เหล็กมั่น

    เพลิงโทสะที่เผาไหม้ไปทั่วโลกเบื้องล่างดูเหมือนลุกท่วมท้องฟ้าแล้ว เพลิงโทสะนี้ย่อมมีสักวันที่เผาไหม้วัดเสวียนคงจนกลายเป็นผุยผงได้ แต่มีเพียงมันที่รู้ว่าหากไม่อาจเอาชนะหลวงจีนชรารูปนี้ เช่นนั้นสงครามครั้งนี้ก็ยังต้องดำเนินต่อไปอย่างไม่มีวันจบสิ้น

    บางทีอาจไร้ความหมายจริงๆ

    แต่ก็ช่างสนุกจริงๆ

    “ท่านถามว่าเพราะเหตุใดพวกเราจึงยิงท่าน เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะท่านช้า วันๆ นั่งอยู่แต่บนลานหน้าผาเช่นนี้ ไม่ยิงก็ออกจะน่าเสียดาย”

    จวินโม่เดินหน้าไปหนึ่งก้าวถึงเบื้องหน้าเจดีย์ขาว มีน้ำฝนจากเมื่อสองคืนก่อนหยดลงมาจากชายคาเจดีย์ ไหลมาตามรอยแตกจนถึงใต้เท้ามัน

    โลหิตหยดลงจากกายมันสู่แอ่งน้ำนั้นทำให้น้ำกระเซ็นขึ้นมา น้ำที่กระเซ็นขึ้นมารับแสงอาทิตย์จากนอกหลุมยุบจึงเห็นโลหิตทุกอณูที่อยู่ในหยดน้ำ รวมทั้งแสงที่ไหลเวียนเป็นรูปร่างต่างๆ ซึ่งปะปนอยู่ด้วยกันได้อย่างชัดเจน

    แล้วจู่ๆ แสงมากมายในหยดน้ำพลันสลายไปทำให้หยดน้ำใสกระจ่าง

    ที่เป็นเช่นนี้เพราะกระบี่เหล็กตัดทุกสิ่งทุกอย่างบนลานหน้าผาจนแหลกละเอียด ตัดทั้งแอ่งน้ำรวมถึงหยดน้ำที่กระเซ็นขึ้นมา และดูเหมือนแม้แต่แสงก็ถูกตัดด้วย

    เพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วพริบตากระบี่เหล็กก็แหวกผ่านสายลมไปถึงเบื้องหน้าเจ้าคณะฝ่ายเทศนา

    กระบี่เหล็กแทงถูกทรวงอกเจ้าคณะ เกิดเสียงทุ้มทึบเหมือนของหนักกระแทกถูกกลองหิน ทั้งเหมือนก้อนหินกระแทกถูกระฆังดังเวิงวาง

    สรุปแล้วนี่ไม่ใช่เสียงอาวุธแทงถูกร่างกายคน เพราะเจ้าคณะฝ่ายเทศนาฝึกฌานถึงขั้นกายเนื้อคือพุทธะ เป็นอมตวัชระ อยู่เหนือความธรรมดาสามัญนานแล้ว

    กระบี่เหล็กของจวินโม่เคยตัดสายลมและหน้าผามามากมาย แม้แต่มหานทีทางทิศใต้มันก็เคยตัดมาแล้ว วันนี้กลับแทงเจ้าคณะไม่เข้าแม้สักกระผีกริ้น

    เจ้าคณะฝ่ายเทศนาสีหน้าเคร่งขรึมเรียบนิ่ง สีหน้าจวินโม่ก็เฉยเมยมิได้ตกใจแต่ประการใด สองคิ้วที่เหมือนกระบี่เพียงเลิกขึ้นเท่านั้น

    เสียงกู่ร้องกังวานถ่ายทอดออกไปรอบๆ ยอดเขาปอเหร่อจากลานหน้าผา วิหคในป่าแตกตื่นบินกันวุ่นวาย น้ำตกสาดกระเซ็นเพราะปะทะคลื่นเสียง ใบไม้ร่วงกราวแล้วปลิวว่อน

    จวินโม่กู่ร้องถ่ายเทพลังฌานทั้งหมดเข้าไปในกระบี่เพื่อ…งัด!

    มันเลิกคิ้วอีก จากนั้นงัดกระบี่ขึ้นข้างบน

    กระบี่เหล็กยุบเข้าไปเล็กน้อยตรงหน้าอกเจ้าคณะ

    หลายสิบปีที่ผ่านมากระบี่เหล็กก็เหมือนจวินโม่ ยอมหักไม่ยอมงอ ทว่ายามนี้กลับงอเล็กน้อยเพราะต้องรับแรงกดที่มหาศาล

    จวินโม่คิดใช้กระบี่เหล็กงัดเจ้าคณะขึ้น กล่าวให้ถูกคือต้องการแยกเจ้าคณะออกจากผืนปฐพี เพราะพลังของเจ้าคณะมีที่มาจากผืนปฐพี

    สงบนิ่งทนทานปานประหนึ่งปฐพี…นี่คือคำบรรยายด่านฌานอันน่ากลัวของเจ้าคณะฝ่ายเทศนาแห่งวัดเสวียนคง และเป็นคำอธิบายแหล่งที่มาของพลังด้วย

    เรื่องที่จวินโม่จะทำคือทำให้เจ้าคณะหลุดจากผืนดิน แม้ไม่อาจทำลายธรรมกายอมตวัชระได้ หากก็ต้องลดทอนพุทธานุภาพของอีกฝ่ายให้ได้มากที่สุด

    เจ้าคณะฝ่ายเทศนาคือยอดฝีมืออันดับหนึ่งของนิกายพุทธ คือพุทธะแห่งโลก ด่านฌานของมันสูงส่งลึกล้ำ ในเมื่อพลังของมันขึ้นอยู่กับการเชื่อมต่อกับผืนปฐพี เช่นนั้นมันย่อมไม่ให้ผู้อื่นตัดการเชื่อมต่อนี้โดยง่าย

    การเชื่อมต่อระหว่างวัตถุกับผืนดินคือแรงดึงดูด แรงดึงดูดคือน้ำหนัก การเชื่อมต่อยิ่งแน่นแรงดึงดูดก็ยิ่งมาก วัตถุก็ยิ่งหนัก

    และการเชื่อมต่อระหว่างเจ้าคณะฝ่ายเทศนากับผืนปฐพีก็ไม่มีผู้ใดเทียบได้ในโลก เช่นนั้นหากพิจารณาอีกแง่มุมหนึ่ง มันคือคนที่มีน้ำหนักมากที่สุดในโลก

    ศิษย์พี่ใหญ่เคยกล่าวว่าเจ้าคณะฝ่ายเทศนาและคนขายเนื้อคือคนไม่กี่คนที่เดินช้าอย่างที่สุด เหตุผลเป็นเพราะสองคนนี้ตัวหนักมาก

    การตัดการเชื่อมต่อระหว่างเจ้าคณะกับผืนปฐพีจึงเท่ากับต้องแบกน้ำหนักมากอย่างมิอาจจินตนาการ เสมือนหนึ่งแบกปฐพีทั้งผืน ผู้ใดเล่าจะทำได้

    กระบี่เหล็กท่ามกลางลมหนาวก่อให้เกิดเสียงอันชวนเสียวฟัน ตัวกระบี่ที่งอเล็กน้อยสั่นไม่หยุดราวกับว่าอีกครู่จะหักสะบั้น

    สีหน้าจวินโม่ยังคงเฉยเมย ใต้คิ้วกระบี่ที่เลิกขึ้น ดวงตาที่เหมือนดวงดาวยามเหมันต์ไม่แสดงอารมณ์ใด มีแต่ความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่

    เสียงกู่ร้องดังสะท้านลานหน้าผาอีกครั้ง จากนั้นถ่ายทอดไปทั่วทั้งเบื้องบนเบื้องล่างของยอดเขา ทำให้พวกหลวงจีนที่กำลังรีบรุดมาที่นี่ทั้งตกใจและหวาดหวั่น

    ขณะกู่ร้องจวินโม่ย่ำไปข้างหน้าหนึ่งก้าว กระบี่เหล็กยันหน้าอกเจ้าคณะอยู่ ทำให้เจ้าคณะถอยหลังไปหนึ่งฉื่อ

    เจ้าคณะยังคงนั่งอยู่บนพื้น การเชื่อมต่อกับผืนปฐพียังไม่ถูกตัดขาด แต่มันถูกกระบี่เหล็กยันจนเขยื้อน นี่เพียงพอแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้บางอย่าง

    ถูกแล้ว ร่างกายของเจ้าคณะกับผืนปฐพีเชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวราวกับว่าไม่อาจตัดให้ขาดจากกัน แต่อันที่จริงเมื่อหลายปีก่อนเคยมีคนทำให้มันหลุดจากผืนดินได้

    ครั้งนั้นมือของเจ้าคณะวางบนกระดานหมากของปฐมพุทธะ ชั่วขณะที่กระบี่เหล็กของจวินโม่งัดกระดานหมากขึ้นมาได้ ร่างของเจ้าคณะก็ถูกงัดขึ้นมาชั่วขณะหนึ่งด้วย

    และชั่วขณะนั้นหลี่มั่นมั่นได้ลอยล่องมาพาเจ้าคณะไปจากลานหน้าผา ขึ้นไปบนฟ้าแล้วปล่อยลงมากระแทกพื้น

    วันนี้หลี่มั่นมั่นไม่อยู่ แต่กระบี่เหล็กอยู่

    แกรก!

    ร่างที่ดูเหมือนอ่อนแอของเจ้าคณะฝ่ายเทศนาสัมผัสถูกซากเจดีย์ขาว บนตัวเจดีย์พลันปรากฏรอยตัวคน

    เสียงกู่ร้องดังขึ้นอีกครั้ง นี่เป็นครั้งที่สามแล้ว

    เรื่องเดียวกันไม่ควรทำซ้ำเกินสามครั้ง

    กระบี่เหล็กของจวินโม่ไม่งอแล้ว แต่เหยียดตรงขึ้นอย่างฉับพลัน ราวกับที่ถูกศิลาใหญ่กดทับอยู่นับหมื่นปีในที่สุดก็ทลายพันธนาการออกมาได้

    กระบี่เหล็กเป็นอิสระแล้ว

    จากโค้งงอกลับเป็นตรงแน่ว พลังที่ปล่อยออกมาโดนร่างเจ้าคณะฝ่ายเทศนาอย่างเต็มที่ ร่างที่ซูบผอมในที่สุดก็หลุดจากพื้น!

    บัดนี้เจ้าคณะไม่อาจนั่งนิ่งดุจผืนปฐพีอีกแล้ว

    มันยังคงเป็นอมตวัชระ มั่นคงดั่งขุนเขา

    แต่ขุนเขาแม้ตั้งตระหง่านเพียงใดก็ไม่อาจเทียบผืนปฐพี

    กระบี่เหล็กของจวินโม่มิเคยก้มศีรษะให้ขุนเขาใด

    กระบี่เหล็กยกสูงขึ้นอีก เจ้าคณะห่างจากพื้นมากขึ้นอีกหนึ่งฉื่อ

    ผิวเจดีย์ขาวถูกกระแทกแตกทลายไม่หยุด กรวดหินกระเด็นกระดอนไปทั่ว สองคิ้วของเจ้าคณะเองก็พลิ้วไหวไม่หยุด พอดีมีใบไม้แห้งร่วงลงมา เมื่อสัมผัสถูกคิ้วของเจ้าคณะก็แหลกเป็นผุยผง

    มันนิ่งมองจวินโม่แล้วจู่ๆ ก็หลับตา เริ่มสวดคัมภีร์พุทธ นี่เพราะมันรับรู้ถึงอันตราย ทั้งจากกระบี่เหล็กที่หน้าอก และจากธนูเหล็กที่อยู่ไกล

    บนท้องฟ้าหน้าเขาปอเหร่อจู่ๆ ก็มีเสียงหวีดหวิว เมื่อเทียบกับเสียงกู่ร้องสามครั้งของจวินโม่แล้ว เสียงหวีดหวิวนี้ดังกว่าและน่ากลัวกว่ามากมายหลายเท่านัก ไม่มีอารมณ์ใดๆ และเย็นชาสุดขีด บางทีอาจเป็นเพราะสิ่งที่ทำให้เกิดเสียงนี้คือเหล็กกล้าอันเย็นเฉียบ ไม่ใช่มนุษย์ที่มีอารมณ์ความรู้สึก เป้าหมายแห่งการดำรงอยู่ของมันคือสังหารผู้คน

    ต้นหลีที่เดิมทีอยู่บนลานหน้าผาบัดนี้ปลูกอยู่ที่สถานศึกษา บริเวณหน้าผายังมีต้นไม้จำพวกต้นชิงเถิงและต้นโพธิ์อยู่เป็นจำนวนมาก ยามนี้ไม่ว่าใบเล็กหรือใบใหญ่ หลังจากได้ยินเสียงหวีดหวิวแล้วล้วนร่วงจากกิ่งลงสู่พื้นดิน ต้นไม้มากมายใบร่วงกราว

    ฤดูนี้คือเหมันต์ หากสิ่งที่เย็นเฉียบไม่ใช่สายลม แต่คือเจตนารมณ์แห่งธนู

    ซากอารามเก่าตรงลานหน้าผาถล่มครืนลงมากลายเป็นกรวดหินเต็มพื้นรวมถึงท่อนไม้มากมาย เผยให้เห็นปากถ้ำหลังหน้าผา

    ธนูเหล็กดอกหนึ่งปรากฏขึ้นที่อกซ้ายของเจ้าคณะฝ่ายเทศนา

    ธนูเหล็กเป็นสีดำทั้งดอก ตรงแน่วราวกับเส้นตรง ไม่บิดเบี้ยวแม้แต่น้อย ไม่รู้ทำจากวัสดุอะไร บนธนูสลักลายยันต์ที่ซับซ้อนทำให้รู้สึกว่ามันสามารถคร่าได้กระทั่งวิญญาณ

    ธนูเหล็กโผล่ออกมาแบบนี้ โผล่ออกมาอย่างไร้เหตุผลและคาดไม่ถึง ไม่มีใครให้เหตุผลได้ และไม่มีใครบรรยายความลึกล้ำของมันได้ ครู่หนึ่งก่อนหน้านี้มันยังอยู่ไกลนับหมื่นลี้ ครู่หนึ่งหลังจากนั้นกลับปรากฏที่ยอดเขาปอเหร่อ

    ธนูเหล็กราวกับว่าไม่ได้เดินทางข้ามน้ำข้ามเขามา ทั้งไม่เหมือนทะลุผ่านชั้นพลังปฐมแห่งฟ้าดินเช่นด่านไร้ระยะ แต่เหมือนหยุดอยู่ที่อกซ้ายของเจ้าคณะฝ่ายเทศนามาตั้งแต่แรกแล้วมากกว่า เพียงแค่มีคนคิดมันก็ปรากฏเงาร่างให้เห็น

    เจ้าคณะก้มหน้ามองธนูเหล็กที่หน้าอก

    ธนูเหล็กยังไม่อาจทะลวงเข้าเนื้อหนัง หัวธนูที่แหลมคมราวกับหยุดนิ่งอยู่ แต่มันรู้ว่าอีกครู่ธนูเหล็กจะเคลื่อนไหว

    พลันธนูเหล็กเคลื่อนไหวแล้ว พุ่งแทงอย่างแน่วแน่และอำมหิต!

    เพียงชั่วอึดใจการสั่นนับหมื่นครั้งเกิดขึ้นบนร่างของเจ้าคณะฝ่ายเทศนา หัวธนูที่แหลมคมพุ่งทะลวงไม่หยุด

    หากสังเกตอย่างละเอียดจะเห็นว่าที่ปลายหัวธนูมีสิ่งที่คล้ายผงเหล็กกำลังร่วงลงมามากมาย

    กายของเจ้าคณะคืออมตวัชระที่แข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อจริงๆ แม้แต่ปฐมธนูสิบสามดอกที่ทำจากโลหะชนิดพิเศษของสถานศึกษายังพังเสียหายถึงขั้นนี้

    ทันใดนั้นมีเสียงหวีดหวิวดังขึ้นอีกรอบ

    ธนูเหล็กดอกที่สองปรากฏขึ้นที่หน้าอกด้านขวาของเจ้าคณะอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

    ธนูเหล็กนำพาพลังจากที่ไกลนับหมื่นลี้ถาโถมมาที่นี่!

    ธนูเหล็กหนึ่งดอกคือเมืองฉางอันหนึ่งเมือง ธนูเหล็กสองดอกก็คือเมืองฉางอันสองเมือง

    เจ้าคณะและผืนปฐพีถูกตัดการเชื่อมต่อ ต่อให้เป็นอมตวัชระ หากถูกฉางอันสองเมืองทุ่มกระแทก จะรับไหวได้อย่างไร

    สีหน้ามันขาวซีดสุดขีด ร่างที่ถูกกระบี่เหล็กของจวินโม่งัดค้างอยู่กลางอากาศสั่นเทา สองมือที่ซูบผอมคีบดอกไม้กลางสายลม

    สายลมคือลมหนาวบนลานหน้าผา และคือสายลมที่ลูกธนูนำพามาจากฉางอันด้วย นิ้วมือของเจ้าคณะกำลังงอกลับเข้ามา นิ้วโป้งยังสัมผัสไม่ถึงก็ถูกสายลมจากธนูพัดหลุดไปเสียก่อน เจตนารมณ์แห่งการคีบดอกไม้พลันสลายไป

    มันหมายเอ่ยพุทธวจนะ แต่สายลมจากธนูโหมกระหน่ำเข้ามา มันจึงไม่อาจเปล่งเสียง ต่อให้มีเสียงพึมพำเล็ดลอดก็ถูกลมพัดจนพร่าเลือน ไม่มีประโยชน์อันใด

    ฉางอันสองเมืองผนึกอยู่กับธนูเหล็กสองดอกสามารถบดทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า บัดนี้กระแทกถูกร่างอันซูบผอมของเจ้าคณะอย่างจัง

    ตูม!

    ร่างของเจ้าคณะจมเข้าไปในเจดีย์ขาว เจดีย์ขาวที่เดิมทีทรุดโทรมอยู่แล้วพลันแตกแยกเป็นสองเสี่ยง

    ภายใต้อานุภาพของธนูเหล็ก จวินโม่ยังคงไม่ห่างไปไหน กระบี่เหล็กยังคงปักอยู่

    ท่ามกลางเสียงตูม ฝุ่นควันฟุ้งตลบ ในถ้ำเกิดการสั่นสะเทือนหลายครั้ง ผ่านไปเนิ่นนานการสั่นสะเทือนและเสียงจึงค่อยลดน้อยลง

    ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าคณะถูกธนูเหล็กสองดอกยิงจมเข้าไปในเขาปอเหร่อจนถึงส่วนไหน ฝุ่นควันฟุ้งตลบ หน้าผาสั่นสะเทือนไม่หยุดราวกับว่าจะพังถล่มลงมา

    บนเขาปอเหร่อ หลวงจีนมากมายกำลังรีบรุดไปยังลานหน้าผา พวกมันได้ยินเสียงหวีดหวิวบนทางขึ้นเขา และเห็นฝุ่นควันลอยฟุ้งบริเวณลานหน้าผา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่รู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก ต่อมาพวกมันก็ได้ยินเสียงหวีดหวิวครั้งที่สอง เวลานี้พวกมันยังไม่รู้ว่าเสียงนี้เกิดจากธนูเหล็กที่ยิงมาจากฉางอันเพราะไม่เห็นลูกธนู บรรดาหลวงจีนเห็นเพียงช่องว่างยาวเป็นลำในฝุ่นควันที่ฟุ้งอยู่ทั่ว

    เขาปอเหร่อที่ใหญ่โตมโหฬารคือซากร่างที่ปฐมพุทธะทิ้งไว้หลังละสังขาร ลานหน้าผาตรงที่เจ้าคณะฝ่ายเทศนาฝึกฌานคือมือซ้ายของปฐมพุทธะ ในอดีตปฐมพุทธะแบฝ่ามือคีบดอกไม้อยู่ที่หว่างนิ้วซึ่งก็คือต้นหลีต้นนั้น หลายปีก่อนต้นหลีถูกสถานศึกษาขุดไป หว่างนิ้วของปฐมพุทธะจึงไม่มีดอกไม้อีก และไม่เหลือบรรยากาศของการคีบดอกไม้ด้วย ฝ่ามือที่แบขึ้นฟ้าจึงคลับคล้ายหันเข้าหาหน้าอกซึ่งก็คือหน้าผาที่มีพวกต้นชิงเถิงและต้นโพธิ์ขึ้นอยู่

    เมื่อพวกหลวงจีนไปถึงลานหน้าผาก็เห็นภาพที่น่าสลดใจ ต้นชิงเถิงที่เคยหนาแน่นแหลกกระจุยไปทั่ว ดูไม่ผิดแผกกับซากงูตายในเจดีย์ขาวและอารามเก่าที่ปรักหักพัง ส่วนบรรดาต้นโพธิ์หายไปอย่างไม่เหลือร่องรอย ดูท่าคงกลายเป็นฝุ่นธุลีผสมอยู่กับกรวดหินไปแล้ว

    รอยแยกบนลานหน้าผาลึกยิ่งนัก ราวกับว่าจะลึกเข้าไปในตัวภูเขาจนถึงชั้นกระแสน้ำ ถ้ำลึกบนหน้าผายิ่งชวนให้รู้สึกหวาดกลัว ไม่มีใครรู้ว่าถ้ำนั้นลึกแค่ไหน ลึกเข้าไปจนถึงหัวใจของซากร่างปฐมพุทธะ หรือว่าจะทะลุผ่านไปแล้ว

    ที่ส่วนลึกของเขาปอเหร่อห่างจากผิวหน้าผาเข้าไปสิบกว่าลี้ยังเหลือเสียงตูมดังสนั่น กรวดหินมากมายปลิวกระเด็นไปทั่ว บ้างกระแทกชนกับผนังถ้ำ

    ลึกเข้าไปในถ้ำ นอกจากผนังถ้ำที่มีแสงสีแดงอ่อนๆ แล้วก็ไม่มีแสงอื่นใดอีก แต่คนสองคน ณ ที่นี่ไม่ใช่คนธรรมดา พวกมันสามารถมองเห็นอย่างชัดเจน

    ฝุ่นควันค่อยๆ สงบ เสียงดังสนั่นค่อยๆ หยุดลง

    มือที่จับกระบี่ของจวินโม่สั่นเล็กน้อย โลหิตจำนวนมากกำลังไหลออกจากบาดแผลลงสู่ผืนดินที่ร้อนลวกจนเกิดเสียงฉ่า

    เจ้าคณะยังคงถูกมันใช้กระบี่ยกค้างอยู่กลางอากาศ จีวรถูกเสียดสีจนกลายเป็นเศษผ้าไปแต่แรกแล้ว ส่วนไม้เท้าก็ไม่รู้หายไปที่ใด บนร่างซูบผอมแก่ชราเต็มไปด้วยฝุ่นละออง เห็นแล้วน่าเวทนานัก

    ธนูเหล็กสองดอกแทงทะลุหน้าอกซ้ายขวาของเจ้าคณะ หัวธนูอันแหลมคมปักเข้าไปในผนังด้านหลังมัน ด้านหน้าเหลือเพียงก้านธนูครึ่งก้านที่โผล่ออกมา รวมถึงหางธนูที่ยังสั่นเบาๆ

    นับแต่ฝึกด่านอมตวัชระสำเร็จ นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่เจ้าคณะฝ่ายเทศนาถูกอาวุธในโลกทำร้ายบาดเจ็บ หากพวกหลวงจีนวัดเสวียนคงเห็นภาพนี้คงตกตะลึงจนพูดไม่ออก

    แต่เจ้าคณะไม่มีเลือดไหล แม้มันถูกธนูเหล็กแทงทะลุร่างก็ยังไม่มีเลือดไหล บนใบหน้าขาวซีดไม่มีสีเลือด ที่หน้าอกก็ไม่มีโลหิต

    บนร่างที่ถูกธนูเหล็กแทงมีบาดแผลชัดเจน แต่บริเวณบาดแผลมองไม่เห็นเลือดเนื้อหรือกระดูกเลย ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นหินหรือโลหะ ราวกับว่านี่ไม่ใช่ร่างของมนุษย์

    เจ้าคณะเอ่ยกับจวินโม่ว่า

    “อาตมาบอกแล้ว พวกเจ้ายิงอาตมาไม่ตาย”

    จวินโม่ไม่พูดอะไร รวบรวมพลังฌานทั้งร่างหวดกระบี่ตีลูกธนูทั้งสองด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

    เสียงปึงๆ ดังอยู่ในส่วนลึกของถ้ำ

    ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใดเสียงจึงค่อยหยุดลง

    จวินโม่ใช้กระบี่เหล็กพยุงร่างที่อ่อนล้า หลังพักหายใจอยู่ครู่หนึ่งก็ยืดตัวขึ้น มองผนังถ้ำแล้วพยักหน้าอย่างพอใจ

    คาดไม่ถึงว่าธนูเหล็กที่แข็งแรงจะถูกมันใช้กระบี่หวดจนงอ ธนูเหล็กกลายเป็นเครื่องพันธนาการคล้องร่างเจ้าคณะไว้ทำให้มันหลุดออกมาได้ยากกว่าเดิม

    เท้าของเจ้าคณะไม่อาจแตะพื้น หลังของมันไม่อาจสัมผัสผนังถ้ำ การเชื่อมต่อเพียงหนึ่งเดียวที่มันมีกับโลกนี้คือธนูเหล็กงอๆ สองดอก

    การเชื่อมต่อของมันกับผืนปฐพีถูกตัดขาดโดยสมบูรณ์

    จวินโม่ย่อมพอใจ จากนั้นค่อยตอบคำพูดเมื่อครู่ของเจ้าคณะ

    “ยิงท่านไม่ตาย แต่ตอกท่านให้ตายได้”

    ยามกล่าวคำ สีหน้ามันเรียบนิ่งแต่เต็มไปด้วยความภูมิใจ ศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมมือกันเอาชนะพุทธะแห่งโลกได้ ทั้งยังขังลืมมันอยู่ในภูเขา อย่างนี้แล้วจะไม่ให้รู้สึกโอ่อ่าผ่าเผยได้อย่างไร

     

     

    (To Be Continued…)

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook