• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน สยบฟ้าพิชิตปฐพี เล่ม 31 ตอนที่ 1

    บทที่ 1 หน้าดอกไม้ใต้แสงจันทร์

    ยามวิกาลเงียบสงัด เจ้าดำวิ่งกลับวิหารเทพแสงสว่าง ไม่กล้าร้องฮี้ แต่สะบัดศีรษะอย่างมีความสุข เสียงวิ่งถี่กระชั้นแผ่วเบา แผงคอที่เปียกน้ำค้างพลิ้วไสวตามสายลม

    ทันใดนั้นมันรู้สึกว่ามีคนกำลังมอง มันจึงหันไปมองอย่างงงงัน พอเห็นเงาร่างสูงใหญ่ในส่วนลึกของวิหาร เหงื่อพลันแตกพลั่กออกมาชะล้างน้ำค้างบนตัวไปจนหมด

    ซังซังไม่ได้ลงโทษที่มันไม่จงรักภักดี เพียงเดินมือไพล่หลังไปยังราวระเบียงหลังวิหาร นิ่งเงียบมองชายหนุ่มที่ร่วงลงจากหน้าผาช้าๆ ราวกับใบไม้

    ในช่วงไม่กี่คืนที่ผ่านมาล้วนมีเมฆบดบังดวงจันทร์ สีของเทือกเขาที่ทอดยาวในแคว้นเทพซีหลิงดูเข้มขึ้น อีกทั้งเงียบสงบมาก มีเพียงหน้าผาเบื้องล่างวิหารเท่านั้นที่มีเสียงเบาๆ ดังขึ้นเป็นครั้งคราว

    นอกจากนางแล้วไม่มีใครได้ยินเสียงเหล่านี้

    ตั้งแต่คืนแรกนางก็ยืนที่ราวระเบียงมองภาพนี้อยู่เงียบๆ นางเห็นมันกระโดดจากดงต้นท้อไปยังหน้าผา เห็นมันร่วงลงและปีนขึ้นมาอย่างลำบากลำบน เห็นมันรออยู่ที่ทางตะวันออกของคอกม้าทุกคืน และเห็นมันรีบกลับไปยังเชิงเขาก่อนฟ้าสาง

    นางไม่ได้ทำสิ่งใด เพียงมองเงียบๆ อยู่อย่างนั้น จนกระทั่งคืนนี้เวลานี้ นางเห็นชายผู้นั้นเงยหน้ามองวิหารที่ตนอยู่

    นางรู้ว่ามันกำลังมองตน นางรู้ว่ามันมองไม่เห็นตน แต่นางมองเห็นสิ่งที่อยู่ในดวงตามัน สิ่งที่อยู่ในดวงตาชายผู้นั้นเรียกว่า ‘มุ่งใฝ่คะนึง* ’ไม่ใช่การขจัดตัดขาดจากความคิดทั้งปวง แต่เป็นการส่งความคิดไปยังที่ใดที่หนึ่ง หรือกล่าวอีกอย่างได้ว่ามันกำลังส่งความนึกคิดของมันมายังวิหารเทพแสงสว่าง

    นางคือคนที่มันคิดถึง แต่นางคือเฮ่าเทียน มนุษย์ที่เป็นเยี่ยงมดปลวกไม่มีสิทธิ์คิดถึงนาง นางจึงคิดว่านี่เป็นการไม่เคารพตนอย่างมาก ถึงขั้นควรเรียกว่าการลบหลู่

    ความเกลียดชังและความโกรธในจิตสำนึกของนางระเบิดออกมาอีกครั้ง

    เช่นเดียวกับความคิดถึงในดวงตาของชายผู้นั้นที่ระเบิดออกมา

    ลมพายุซึ่งเกิดขึ้นในทะเลแคว้นซ่งที่ห่างออกไปไกลนับพันลี้พัดหวีดหวิวผ่านหนทางยาวไกลมายังแคว้นเทพ พัดเมฆบนฟ้ายามราตรีจนสั่นไหวเหมือนใยฝ้ายบนปลายเชือกที่ราวกับจะฉีกขาดได้ทุกเมื่อ

    ดอกท้อทั่วภูเขาถูกพัดกระเพื่อม ไม่รู้มีกลีบดอกมากน้อยเท่าใดที่ต้องปลิดปลิว ยอดวิหารที่ทำจากหยกและทองคำของหมู่วิหารบนเขาเถาซานเริ่มร้องครวญครางราวเสียงร้องของภูตผี

    วิหารเทพแสงสว่างอยู่ไกลถึงยอดเขา ไม่ว่าสายตาของหนิงเชวียจะดีอย่างไรก็มองไม่ชัด หรือต่อให้มองชัดก็ไม่มีทางเห็นสตรีร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงราวระเบียง อีกทั้งในจินตนาการของมัน ถ้าหากมันเป็นเจ้าหลัว** อะไรนั่น และหน้าผาคือเบื้องล่างของระเบียง เช่นนั้นหญิงสาวตรงราวระเบียงก็ควรผิวดำและผอมบอบบาง

    มันมองที่นั่นพลางยิ้ม เก็บความคิดถึงและความสงสัยในโชคชะตาเข้าไปในส่วนลึกของห้วงแห่งความนึกคิดจนหมด เมื่อใจสงบก็ไต่หน้าผาลงไปเบื้องล่าง

    ทันใดนั้นลมภูเขาที่รุนแรงซึ่งมีกลิ่นของทะเลก็พัดหวีดหวิวลงมาจากฟ้าปะทะร่างมันอย่างแรง ใบหน้ามันสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นและเปียกชื้น เมื่อรวมกับสายตาคู่นั้นที่มันสัมผัสได้เลือนรางก่อนหน้านี้‘ห้วงฌาณแน่วนิ่ง’ อันสงบว่างเปล่าของมันก็พังทลายลงทันที

    ห้วงฌาณแน่วนิ่งหายไป มุทราที่หนิงเชวียใช้อยู่ย่อมคลายออก ที่น่ากลัวกว่านั้นคือในช่วงคับขันนี้ไม่ว่ามันจะเยือกเย็นสุขุมเพียงใด หรือถึงขั้นเข้าสู่ห้วงฌาณแน่วนิ่งได้อีกครั้ง แต่สองมือก็ไม่อาจประกบมุทราได้แล้ว

    ลมหอบนี้หนาวเย็นและรุนแรงมากจริงๆ พัดหวีดหวิวอย่างบ้าคลั่งล้อมตัวมัน ทุกครั้งที่มันจะประกบมุทรา มุทราจะถูกพัดให้แยกออก

    มุทราของนิกายพุทธใช้ไม่ได้ผล หนิงเชวียถูกตัดขาดจากผนังผาแล้วถูกพัดลงสู่เบื้องล่าง เวลานี้ไม่เหมือนใบไม้ แต่เหมือนก้อนหินเสียมากกว่า

    สภาวะการร่วงลงข้างล่างครั้งนี้น่ากลัวยิ่งกว่าการลื่นไถลในคืนแรก เพียงชั่วอึดใจก็ร่วงลงมาหลายร้อยจั้ง ทั้งร่วงเร็วขึ้นเรื่อยๆ

    เฮ่าเทียนไม่สนใจหนิงเชวียแล้ว เพราะอีกครู่มันอาจถูกเหลี่ยมผากระแทกออก สองมือไม่มีที่ให้ยึดจับอีก จากนั้นร่วงทะลุหมอกหนาจนกระแทกพื้นตายคาที่

    แต่ก่อนจะอับจนหนทางหนิงเชวียทำบางสิ่งอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด มันระเบิดลมปราณสุดไพศาลออกมาสุดแรงเกิด ทิ่มสองมือไปเบื้องหน้าอย่างแรงเหมือนดาบสองเล่มแทงเข้าไปในผนังผาอย่างดุดัน!

    ฉึกๆ!

    แขนทั้งท่อนที่แข็งประดุจเหล็กผ่าหินผาจนเกิดรอยแตกยาวประมาณสองจั้ง จนกระทั่งสภาวะการร่วงลงข้างล่างหยุดชะงัก ทำให้มันหยุดอยู่กลางหน้าผา

    หนิงเชวียยังไม่พ้นจากสถานการณ์คับขัน แม้ตอนนี้จับหน้าผาได้มั่นคงแล้ว แต่ยังไม่อาจเข้าสู่ห้วงฌาณแน่วนิ่ง ค่ายกลกระทบเนตรเริ่มโจมตีดวงตาและห้วงแห่งความนึกคิดของมัน มันได้แต่ทนอาการปวดแปลบในดวงตาและคลื่นขนาดใหญ่ในห้วงแห่งความนึกคิด เกาะหน้าผาที่เย็นเยือกไว้อย่างสุดกำลัง

    ต่อมาเรื่องที่แปลกประหลาดกว่าก็เกิดขึ้น พลังหลายสายที่มันเคยสัมผัสได้ในหมอกหนาบริเวณหน้าผากลางเขาเลื้อยมาเหมือนอสรพิษเข้าปกคลุมร่างกายมันอย่างรวดเร็ว

    หนิงเชวียทนความเจ็บปวดในห้วงแห่งความนึกคิด ปล่อยพลังจิตไปสัมผัสพลังเหล่านั้น แต่ก็ไม่อาจรู้ได้อย่างชัดเจนว่าพลังเหล่านั้นคืออะไร เวลามองด้วยตาเปล่าจะเห็นเป็นหมอกเส้นๆ เท่านั้น

    หมอกเหล่านี้หมุนวนอยู่บริเวณหน้าผาทำหน้าที่ปิดกั้นศาลามืด ต้องไม่ใช่หมอกธรรมดาอย่างแน่นอน พวกมันแทรกซึมเข้าไปในเสื้อผ้าหนิงเชวีย จากนั้นซึมต่อเข้าไปในร่างกาย แม้ไม่มีโลหิตไหลออกมา แต่มันกลับรู้สึกได้ถึงการถูกเชือดเฉือนที่เจ็บปวดและชัดเจน หลังจากหมอกแทรกซึมเข้ามามันก็รู้สึกราวกับว่าตนกำลังถูกมีดนับหมื่นเล่มเชือดเฉือนไม่หยุดยั้ง

    เวลานี้หนิงเชวียรู้สึกเคารพนับถือเจ้าอารามอย่างที่สุด เพราะตอนนี้มันรู้แล้วว่าการถูกมีดนับพันนับหมื่นเชือดเฉือนนั้นรู้สึกอย่างไรและเจ็บปวดขนาดไหน

    เรื่องที่เกิดขึ้นตามมายิ่งเป็นเรื่องไม่คาดฝัน หลังจากสองมือของมันแทงเข้าไปในผนังผา หน้าผาที่ไม่เคยสั่นสะเทือนมานับหมื่นปีพลันสั่นสะเทือน

    ไม่มีใครเห็นการสั่นสะเทือนของหน้าผาได้ แม้แต่หนิงเชวียที่อยู่ใกล้เพียงฉื่อก็มองไม่เห็น ไม่มีใครได้ยินเสียงหน้าผาสั่นสะเทือนได้ แม้แต่หูของหนิงเชวียก็ไม่ได้ยิน แต่ใจของมันได้ยิน

    หน้าผาสั่นสะเทือนเป็นจังหวะช้าๆ การสั่นสะเทือนนี้ถ่ายทอดสู่ร่างกายแล้วถ่ายทอดสู่ห้วงแห่งความนึกคิด สุดท้ายถ่ายทอดสู่หัวใจมันผ่านสองมือที่แทงอยู่ในผนังผา

    ร่างของหนิงเชวียสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุม เสื้อผ้าสั่นไหวจนเกิดเงาลวงตา ในห้วงแห่งความนึกคิดเหมือนเกิดแผ่นดินไหวและคลื่นทะเลที่รุนแรง ที่น่ากลัวที่สุดคือหัวใจมันเต้นตึงตังราวกับจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

    หน้าผาเปลี่ยนเป็นกลองรบขนาดใหญ่ที่สั่นสะเทือนโดยไร้เสียงท่ามกลางฟ้าดิน หนิงเชวียนาบติดอยู่บนหน้ากลอง ไม่ว่าจะเหมือนใบไม้ร่วงหรือก้อนศิลาล้วนกำลังจะถูกกลองรบใบนี้กระแทกจนใกล้แตกเป็นเสี่ยงทั้งกายใจ

    หน้าผาซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลามืดมีค่ายกลสองชุด หนึ่งชื่อ ‘กระทบเนตร’ อีกหนึ่งชื่อ‘กระเทือนใจ’เมื่อรวมกันก็สามารถทำให้ผู้บุกรุกทั้งหลายกระทบเนตรกระเทือนใจจนตาย

    ยามนี้หนิงเชวียรู้สึกเหมือนมีมีดนับหมื่นเล่มกำลังทิ่มแทงดวงตาไม่หยุด ทั้งมีกลองนับหมื่นใบตีระรัวอยู่ในร่างกาย หัวใจอาจแตกสลายได้ทุกเมื่อ

    ถ้าไม่ได้ประสบการณ์หลายคืนที่ผ่านมา มันคงยืนหยัดมาถึงตอนนี้ไม่ได้แน่ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะร่างกายถูกฝึกจนแข็งแกร่งราวเหล็กกล้าทั้งนอกใน มันคงกระอักเลือดตายไปนานแล้ว

    แม้เป็นเช่นนี้ใบหน้ามันยังคงขาวซีด เจ็บปวดจนเกินพรรณนา แต่สิ่งที่ทำให้มันรู้สึกรับไม่ไหวจริงๆ คือหมอกเป็นเส้นๆ ที่หมุนวนอยู่ทั้งนอกและในร่างกายมัน

    หมอกเหล่านี้ไม่ได้ก่อตัวจากพลังปฐมของฟ้าดิน แต่เป็นการใช้เคล็ดวิชาระดับสุดยอดของนิกายเต๋าหลอมความแค้นของพวกนักโทษที่ตายอยู่ในศาลามืดนับหมื่นปีให้เป็นค่ายกลเฝ้าศาลามืด

    นักโทษที่มีคุณสมบัติถูกขังในศาลามืดโดยมากเป็นยอดฝีมือที่มีด่านฌานสูง พลังจิตก่อนตายของพวกมันแข็งแกร่งเท่าใด ความอาฆาตแค้นของพวกมันก็น่ากลัวเท่านั้น หลังสิ้นลมหายใจทั้งพลังจิตและความอาฆาตผสานเข้าด้วยกันแล้วถูกค่ายกลของนิกายเต๋าหลอมรวม หมอกแต่ละสายเต็มไปด้วยคมมีดแห่งความคั่งแค้นและทุกข์ทรมานซึ่งมีอานุภาพรุนแรงอย่างสุดประมาณ ไม่เช่นนั้นคงไม่อาจขังบุคคลระดับเว่ยกวงหมิงไว้ได้ถึงสิบกว่าปี

    แม้พลังจิตของหนิงเชวียกล้าแข็งถึงขั้นยืนหยัดภายใต้ความเจ็บปวดของค่ายกลกระทบเนตรกระเทือนใจได้ แต่ก็ไม่อาจทนทานต่อการตัดเฉือนของคมมีดแห่งความเคียดแค้นสุดคณานับได้ เพราะถึงอย่างไรมันก็ไม่ใช่เจ้าอารามผู้เป็นหนึ่งในใต้หล้า

    หัวใจมันเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ หน้าผาเบื้องหน้ามันขมุกขมัวมากยิ่งขึ้น เลือดที่ไหลซึมออกจากมุมปากก็มากขึ้นตาม สติสัมปชัญญะของมันพร่าเลือน แต่ความเจ็บปวดกลับชัดเจนยิ่งนัก

    มันทนต่อไปไม่ไหวแล้ว

    ตอนที่มันกำลังจะปล่อยมือยอมตกหน้าผาตายเพื่อให้รอดพ้นจากค่ายกลและหมอกหนาที่น่าพรั่นพรึง จู่ๆ ก็มีแสงสว่างจ้าปรากฏขึ้นเบื้องหน้ามัน

    มันคิดว่าตนเกิดอาการประสาทหลอน ทว่าครู่ต่อมาจึงรู้ว่ามันไม่ได้ประสาทหลอน หน้าผาเบื้องหน้าที่มืดมนและหนาวเย็นสว่างจ้าขึ้นจริงๆ

    เมฆบนฟ้าเหนือเขาเถาซานถูกพายุที่พัดมาจากทะเลอันห่างไกลนับพันลี้พัดจนกระจายตัว เผยให้เห็นดวงจันทร์ที่อยู่ในสภาพเต็มดวงพอดี แสงจันทร์สีเงินยวงสาดส่องลงมายังภูเขา ส่องลงบนหน้าผารวมถึงบนร่างกายมัน

    ริมระเบียงของวิหารแสงสว่าง ซังซังยืนมือไพล่หลังมองดวงจันทร์อยู่ ใบหน้าที่ธรรมดาสามัญค่อนข้างขาวซีด ไม่รู้เป็นเพราะร่างมนุษย์อันอ่อนแอหรือสาเหตุอื่น

    แสงจันทร์ไม่มีความร้อนเหมือนอย่างแสงตะวัน แต่เมื่อส่องลงบนร่างหนิงเชวีย มันกลับรู้สึกอบอุ่นตั้งแต่ภายนอกไปจนถึงภายใน แม้แต่หัวใจที่เต้นตึงตังก็สงบลงมาก

    หมอกหนาที่หมุนวนบริเวณหน้าผาถูกแสงจันทร์ขับไล่ไป หนิงเชวียอาศัยโอกาสเพียงชั่วขณะนี้เพ่งสมาธิเข้าสู่ห้วงฌาณแน่วนิ่งอีกครั้ง มือซ้ายใช้ออกด้วยมุทราขจัดนิวรณ์เตรียมจะหนีไป

    ทันใดนั้นมันพลันเหลือบไปเห็นหน้าต่างศิลาที่อยู่ข้างๆ

    วันนั้นมันเห็นหน้าต่างศิลาบานนี้จากริมหน้าผาฝั่งตรงข้าม เพียงแต่หน้าผามีหมอกหนาหมุนวนเป็นครั้งคราว ทั้งมีค่ายกลบดบัง มันจึงไม่ได้มองสำรวจอย่างละเอียด ยามนี้หมอกหนาถูกแสงจันทร์ขับไล่ไป มันเข้าสู่ห้วงฌาณแน่วนิ่งได้อีกครั้ง จึงเห็นหน้าต่างศิลารวมถึงคนที่อยู่ข้างใน

    ในเวลาเช่นนี้ที่จริงแล้วหนิงเชวียควรฉวยโอกาสรีบหนีไปจากหน้าผาที่น่ากลัวนี่ ทว่าพอเห็นหน้าต่างศิลามันก็รู้ว่าตนไม่อาจจากไป

    เพราะคนในหน้าต่างศิลาคือชายหนุ่มร่างอ้วน

    คนผู้นี้เดิมทีซูบผอมลงบ้างแล้ว แต่ไม่รู้ว่าใช่หรือไม่ที่อาหารในศาลามืดรสชาติไม่เลว มันจึงอ้วนขึ้นมาอีกครั้ง

    มันเองก็เห็นหนิงเชวียที่อยู่นอกหน้าต่าง ตกใจจนพูดไม่ออก

    ดวงตายังใสซื่อบริสุทธิ์ดุจเดิม สีหน้ายังน่ารักน่าสนิทสนม ยามตกใจยังเหมือนสมัยก่อน อ้าปากกว้างเสียจนสามารถยัดหมัดของถังเสี่ยวถังเข้าไปได้

    หนิงเชวียคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าจะได้เห็นใบหน้าอ้วนฉุแต่น่ามองของเฉินผีผีที่นี่ หนิงเชวียและบรรดาศิษย์พี่ที่สถานศึกษาล้วนคิดว่าเฉินผีผีพาเจ้าอารามกลับอารามจือโส่วไปแล้ว ใครจะคิดว่ามันถูกขังอยู่ที่นี่ กลายเป็นนักโทษในศาลามืดของอาศรมเทพ

    เฉินผีผีก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่านอกหน้าต่างศิลาที่ทัศนียภาพไม่เคยเปลี่ยนแปลงจะได้เห็นใบหน้าน่าทุบตีของหนิงเชวียผ่านแสงตะเกียง เฉินผีผีดูเหมือนทึ่มทื่อ แต่ที่จริงฉลาดหลักแหลม มันคำนวณได้แต่แรกแล้วว่าหนิงเชวียต้องกลายเป็นนักโทษของฉางอันแน่นอน คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะขวัญกล้าถึงขนาดกล้ามาอาศรมเทพ ทั้งยังปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าตนด้วย

    นี่เป็นการจากลาเพื่อพานพบใหม่ที่ใครก็คาดไม่ถึง ศิษย์พี่ศิษย์น้องตะลึงลานมองหน้ากันและกันอยู่เนิ่นนานผ่านหน้าต่างศิลา จากนั้นก็หัวเราะฮาๆ

    ในห้องขังมีสิ่งของจัดวางอย่างเรียบง่าย มีเพียงเตียงหนึ่งเตียงและของใช้เพียงเล็กน้อย หนิงเชวียมองเข้าไปด้านใน พอเห็นว่าแห้งสะอาดไม่มีคราบเลือด ทั้งบนโต๊ะตัวเล็กมีอาหารและน้ำวางอยู่ จึงค่อยคลายใจลงบ้าง

    จากนั้นมันเริ่มสำรวจหน้าต่างศิลา แม้การพบกันครั้งนี้กะทันหันไปหน่อย สถานศึกษาไม่รู้เลยว่าเฉินผีผีถูกขังอยู่ในศาลามืด จึงไม่ได้เตรียมแผนใดๆ ไว้ แต่ในเมื่อได้พบแล้วยังมีสิ่งใดต้องลังเล มันไม่ไตร่ตรองแม้สักนิดก็จะช่วยเฉินผีผีออกจากศาลามืดให้ได้

    หลังการสำรวจสีหน้ามันพลันเคร่งขรึม ไม่ใช่เพราะหมอกหนาที่ถูกแสงจันทร์ไล่ไปเริ่มตัดเฉือนร่างกายมันอีกรอบ แต่เป็นเพราะมันพบว่าการช่วยเฉินผีผีนั้นทำได้ยากจริงๆ

    หน้าต่างศิลาเล็กมาก มองจากข้างในออกมาข้างนอกเห็นได้เพียงท้องฟ้า แม้แต่นกที่ตัวใหญ่สักหน่อยก็บินเข้าไปไม่ได้แล้ว หากจะช่วยเฉินผีผีออกจากห้องขังต้องงัดหน้าต่างศิลาให้ใหญ่ขึ้น ทว่าตอนที่มันยื่นมือเข้าไปมือกลับถูกขวางกั้น มันค่อนข้างแตกตื่นเมื่อพบว่าหน้าผาแห่งนี้รวมกันเป็นผืนเดียว หน้าต่างศิลาคือรูของหน้าผาที่ถูกเจาะ ถ้าหนิงเชวียจะงัดหน้าต่างศิลาให้ใหญ่ขึ้นก็เท่ากับต้องงัดหน้าผาทั้งผืน ซึ่งค่ายกลอันร้ายกาจที่ซ่อนอยู่ในภูเขาอาจกลายเป็นกรงขังขังมันไว้ด้วย แล้วแบบนี้จะช่วยเฉินผีผีได้อย่างไร

    เคล็ดวิชาของอาศรมเทพร้ายกาจขนาดนี้ นอกจากบุคคลระดับจอมปราชญ์แล้ว ใครกันจะงัดเขาเถาซานที่มีข่ายยันต์ซ่อนอยู่มากมายได้ แม้แต่เว่ยกวงหมิงที่หนีจากศาลามืดได้สำเร็จเป็นคนแรกนับแต่อดีตกาลที่ผ่านมาก็ยังไม่กล้าเพ้อฝันว่าจะงัดหน้าต่างศิลา แต่เลือกทำลายรั้วไม้ที่อยู่เบื้องหน้าตน

    หนิงเชวียเอ่ยว่า

    “ดูแล้วเจ้าคงต้องอยู่ข้างในอีกสักสองวัน ข้าจะคิดหาวิธีดู”

    เฉินผีผียืนงงอยู่ริมหน้าต่าง ไม่มีการตอบสนอง

    หนิงเชวียจึงนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่ที่ทั้งคู่มองหน้ากันแล้วหัวเราะ มันไม่ได้ยินเสียงของเฉินผีผี พลันนึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง จึงลากเสียงถามช้าๆ ว่า

    “ไม่ได้ยินใช่ไหม”

    เฉินผีผีอ่านปากมันแล้วพยักหน้า จากนั้นพูดอะไรบางอย่าง หนิงเชวียอ่านปากมันได้ความว่านอกจากแสงแล้วไม่มีสิ่งใดเข้ามาในหน้าต่างบานนี้ได้

    หนิงเชวียครุ่นคิดแล้วกำลังจะพูดบางอย่าง เฉินผีผีพลันมีสีหน้าร้อนรน เอ่ยปากพูดไม่หยุด

    หนิงเชวียอ่านปากออกว่าเป็นชื่อของซังซังและถังเสี่ยวถัง มันรู้ว่าเฉินผีผีอยากบอกอะไร จึงพยักหน้าเป็นนัยให้รู้ว่าตนรู้เรื่องซังซังแล้ว จากนั้นบอกมันว่าถังเสี่ยวถังอยู่ที่ภูเขาหลังสถานศึกษา ไม่ต้องกังวล

    แสงจันทร์ส่องฉายลงมายังหน้าผา ส่องลงมายังร่างของหนิงเชวีย มีบ้างที่ส่องผ่านช่องหน้าต่างแคบๆ เข้าไปยังใบหน้าของเฉินผีผี ทั้งสองคนสนทนากันแบบไม่ใช้เสียง

    “รอข้าช่วยเจ้าออกไป”

    หนิงเชวียเอ่ยพลางมองตาเฉินผีผี มันพูดช้ามาก ทั้งทำปากออกเสียงอย่างแม่นยำเพื่อให้แน่ใจว่าเฉินผีผีสามารถอ่านออกทุกคำที่ตนพูด และรับรู้ถึงการตัดสินใจของตน

    เฉินผีผีมองมันนิ่ง จู่ๆ ก็หัวเราะแล้วส่ายหน้า

    หนิงเชวียเห็นมันหัวเราะจึงชูนิ้วกลางให้

    “ตอนนี้เจ้าเป็นนักโทษ นอกจากรอข้ามาช่วยแล้วไม่มีสิทธิ์เลือกใดๆ”

    กล่าวจบมันมองนิ้วกลางของตนที่อาบแสงจันทร์ พลันคิดในใจว่าข้าเหลือเพียงมุทราตั้งจิตในมือขวา แต่ยังปลอดภัยอยู่บนหน้าผาเช่นนี้ได้อย่างไร

     

    บนหน้าผาใต้แสงจันทร์ การที่หนิงเชวียพยายามยื่นมือเข้าไปในหน้าต่างศิลาเป็นการทำผิดข้อห้ามของศาลามืด อาศรมเทพรู้แล้วว่ามีคนเข้าใกล้ศาลามืดจึงเริ่มตื่นตัว บนลานหน้าผาสามแห่งของเขาเถาซานเต็มไปด้วยเงาร่างของผู้ดูแลชุดดำหน่วยพิพากษา เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่มีใครตรวจสอบไปถึงเทียนอวี้ย่วนที่อยู่บริเวณเชิงเขา

    หนิงเชวียไม่กังวลว่าพวกมันจะตรวจสอบมาถึงตน ดงต้นท้อกลางเขาเป็นเกราะกำบังที่ดีที่สุด ขอเพียงอาศรมเทพไม่คิดว่ามีใครสามารถผ่านดงต้นท้อได้ก็จะไม่สงสัยพวกคนที่อยู่ที่เชิงเขา

    นอกจากต้องครุ่นคิดเรื่องช่วยเฉินผีผีออกจากศาลามืดที่มีการป้องกันแน่นหนาแล้ว สิ่งที่ทำให้มันรู้สึกกังวลอย่างแท้จริงคือสายตาเย็นชาจากยอดเขาในคืนนั้น

    มันแน่ใจว่าตอนนั้นที่ยอดเขาไม่มีใคร แต่ไม่รู้เหตุใดจึงรู้สึกว่ามีคนมองตนอยู่ตลอด สายตาที่เย็นชานั่นเป็นของใครกัน

    มันยอมรับว่าความกล้าเป็นสิ่งสำคัญในการต่อสู้ แต่โดยพื้นฐานแล้วไม่ใช่ตัวตัดสินผลแพ้ชนะ ดังนั้นการที่มันออกจากฉางอันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะอาศัยแค่ความกล้า สถานศึกษาเตรียมการไว้ล่วงหน้าทั้งหมดแล้ว การที่มันลอบเข้าอาศรมเทพเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในแผนการ ถ้าสายตาเย็นชาคู่นั้นเป็นไปตามที่มันคาดเดาล่ะก็ แผนของสถานศึกษาก็ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ

    ผลกระทบที่แท้จริงอยู่ที่เฉินผีผี

    โลกของเฮ่าเทียนมั่นคงแน่นอนเช่นนี้ ราวกับว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปชั่วกาลนาน แต่โลกมนุษย์ประกอบด้วยเรื่องราวน้อยใหญ่นับหมื่นพัน มีรายละเอียดปลีกย่อยมากมาย การเปลี่ยนแปลงต่างหากจึงเป็นสภาวะปกติ หลังจากมันเห็นหน้าเฉินผีผีที่หน้าผาแล้ว แผนของสถานศึกษาก็ไม่อาจไม่ปรับเปลี่ยน อาจถึงขั้นต้องรื้อแล้วสร้างใหม่

    หนิงเชวียไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดอาศรมเทพจึงขังเฉินผีผีไว้ในศาลามืด ต่อให้เจ้าอารามตายแล้ว ต่อให้อารามจือโส่วไม่อาจควบคุมอาศรมเทพอยู่หลังม่านอีกต่อไป หรือต่อให้นิกายเต๋าไม่ยอมรับฐานะศิษย์สถานศึกษาของเฉินผีผีก็ตาม การขังเฉินผีผีไว้อย่างลับๆ ก็ยังน่าประหลาดใจอยู่ดี หรือบุคคลระดับสูงในอาศรมเทพไม่กลัวนิกายเต๋าแตกแยกเพราะเหตุนี้?

    กลางดึก หนิงเชวียเดินผ่านดงต้นท้อไปยังหน้าผาอีกครั้ง ทว่าคืนนี้เมฆหนามาก แสงจันทร์ไม่อาจส่องลงมา หมอกเบื้องล่างหมุนวนไม่กระจายตัว พอนึกถึงกลิ่นอายความเคียดแค้นในหมอกและความเจ็บปวดจากการถูกมีดนับพันนับหมื่นเชือดเฉือนเมื่อคืน มันก็ไม่กล้าลงไป

    หลายคืนต่อมาล้วนเป็นเช่นนี้ มันไม่อาจพบเฉินผีผี

    ช่วงเวลาหลังจากนั้นหนิงเชวียใช้ลมปราณสุดไพศาลรักษาอาการบาดเจ็บภายในที่ได้รับจากหน้าผา เปิดคัมภีร์เก่าๆ จำนวนนับไม่ถ้วนอ่านเพื่อหาวิธีการที่ใช้การได้ จากนั้นก็สังเกตดวงจันทร์ทุกคืน

    หน้าต่างศิลาแคบๆ นั่นในเมื่อแสงลอดเข้าไปได้ เช่นนั้นภาพก็เข้าไปได้ มันไม่อยากเล่นละครใบ้กับเฉินผีผีที่หน้าผาเหมือนคนโง่ ด้วยเหตุนี้มันจึงเริ่มเขียนจดหมาย

    พู่กันชุ่มหมึกจรดลงบนกระดาษขาวทิ้งลายมือที่ชัดเจนและงดงามไว้ หนิงเชวียนั่งอยู่ที่โต๊ะ เขียนแผนการของสถานศึกษาและความคิดเห็นของตนลงไปอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ท้ายจดหมายยังพูดถึงเรื่องสัพเพเหระที่ภูเขาด้านหลังด้วย ทั้งถามมันด้วยว่าอาหารในศาลามืดอร่อยขนาดนั้นจริงๆ หรือ

     

    ในสวนป่าหน้าเทียนอวี้ย่วน หลงชิ่งและผู้งมงายบุปผาลู่เฉินจยาก็กำลังมองดวงจันทร์

    ลู่เฉินจยายังคงงดงามดุจบุปผาแรกผลิ เพียงแต่ไม่รู้บนกลีบดอกเลอะคราบละอองน้ำตั้งแต่เมื่อใด จึงดูไม่ทรงเสน่ห์เช่นกาลก่อน

    หลงชิ่งใส่หน้ากากสีเงิน ไม่มีใครที่จะเห็นใบหน้าใต้หน้ากากได้อีกแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยทำให้หญิงสาวมากมายบนโลกหลงใหล บัดนี้เหลือเพียงความทรงจำ

    “การกินมันเผาในช่วงคิมหันต์ไม่รู้ว่ากลายเป็นธรรมเนียมตั้งแต่เมื่อใด ได้ยินว่าธรรมเนียมนี้ที่แท้อยู่คู่กับอาศรมเทพมาพันปีแล้ว ขึ้นชื่อว่าธรรมเนียมล้วนฝังแน่น”

    หลงชิ่งมองมันเผาครึ่งหัวในมือ มุมปากที่โผล่พ้นหน้ากากออกมาหยักขึ้น เอ่ยเสียงเรียบว่า

    “เพียงแต่ข้าคิดไม่ถึงว่าการสร้างธรรมเนียมใหม่จะเรียบง่ายเช่นนี้”

    ลู่เฉินจยามองรอยแผลเป็นที่ริมฝีปากมันด้วยสีหน้าหม่นหมอง ในความคิดของนางการแพ้จนเป็นธรรมเนียมนั้นไม่น่ากลัว แต่เรื่องที่น่าเศร้าคือการลืมความเคยชินในอดีต…เมื่อก่อนยามอยู่หน้าดอกไม้ใต้แสงดาวท่านกับข้าไม่เคยห่างเหินกันถึงเพียงนี้

    สงครามบุกโค่นต้าถังจบลงแล้ว หลงชิ่งกลับอาศรมเทพ แต่พบว่าทุกอย่างเปลี่ยนไป

    เดิมทีมันเป็นหัวหน้าหน่วยของหน่วยพิพากษา แต่บัดนี้ผู้ที่นั่งบนบัลลังก์หยกดำคือเยี่ยหงอวี๋ จะให้มันกลับหน่วยพิพากษาได้อย่างไร อีกอย่างมันเคยถูกตัดสินโทษว่าทรยศต่อนิกาย แม้ว่าพ้นโทษเพราะคำพูดของเจ้าอาราม ทว่าเจ้าอารามพ่ายแพ้อย่างอนาถในฉางอัน สายตาของคนจำนวนมากในอาศรมเทพที่มองมันจึงเปลี่ยนแปลงไปต่างๆ นานา

    อาศรมเทพสูญเสียอย่างมากในสงครามครั้งนี้ มันที่เป็นยอดฝีมือด่านรู้ชะตาขั้นปลายสุดเดิมทีควรได้รับการเทิดทูนมากกว่าเดิม ด้วยลำดับอาวุโส ความสามารถ และด่านฌานของมันในนิกายเต๋า ต่อให้มีเยี่ยหงอวี๋และความผิดติดตัวในอดีตก็ไม่มีผลกระทบต่อตำแหน่งของมัน ถึงขั้นที่แม้มันจะเข้ารับตำแหน่งต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้าก็เชื่อว่าไม่มีใครออกความเห็นคัดค้าน

    ทว่าทุกคนต่างรู้ว่ามันพบกับลมสีดำทางทิศใต้ของฉางอัน ด่านฌานที่มันภาคภูมิใจนักหนาถูกเจตนารมณ์แห่งดาบในสายลมฟันขาดกระจุยไม่เหลือชิ้นดี กลับถึงอาศรมเทพแล้วยังคงบาดเจ็บสาหัส

    ไม่มีใครเชื่อว่ามันยังจะสามารถปีนขึ้นจากหลุมลึกแห่งความสิ้นหวังเหมือนอย่างเมื่อคราก่อนที่ถูกหนิงเชวียยิงจนพิการแล้วกลับสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง เป็นดังที่ลู่เฉินจยาคิด การแพ้นั้นไม่น่ากลัว ทว่าการแพ้ทุกครั้งจนกลายเป็นธรรมเนียม ไม่ว่ามรรคจิตแข็งแกร่งแค่ไหน แต่จะรับเรื่องสะเทือนใจเช่นนี้ได้อย่างไร

    ถ้าไม่ใช่เพราะฉงหมิงจักรพรรดิองค์ใหม่แห่งแคว้นเยี่ยนมอบผลประโยชน์ให้อาศรมเทพอย่างมหาศาล รวมทั้งแสดงท่าทีสนับสนุนหลงชิ่งอย่างแน่วแน่ ถ้าไม่ใช่เพราะหลงชิ่งยังมีทหารม้าชั้นดีนับหมื่นในทุ่งร้างตะวันออกอยู่ในความควบคุม อย่าว่าแต่ต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้า แม้แต่ตำแหน่งเล็กๆ อย่างก้งเฟิ่งของเทียนอวี้ย่วนมันก็ไม่อาจรักษาไว้ได้

    “ธรรมเนียมใหม่ที่ข้าเอ่ยถึงไม่ได้หมายถึงการแพ้ต่อหนิงเชวีย แต่หมายถึงการที่ข้ารวมทั้งทุกคนในอาศรมเทพคุ้นเคยกับดวงจันทร์เหนือศีรษะดวงนี้ภายในเวลาแค่ครึ่งปี”

    หลงชิ่งมองดวงจันทร์บนฟ้าที่แทรกตัวออกมาจากกลุ่มเมฆ

    “ดอกท้อที่ไม่เคยบานมาหลายสิบปี ปีนี้จู่ๆ ก็บานสะพรั่งจนกระทั่งวันนี้ยังมิโรยรา เรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้ผู้คนก็ยังเคยชินได้ ไม่มีใครเคยมองดอกท้อแล้วถามสักคำเลยว่าเพราะเหตุใด”

    สายตาของมันมองไปยังวิหารเทพแสงสว่างบนยอดเขา

    “แต่ข้าอยากถามสักหน่อย”

    แสงตะเกียงหมื่นปีในวิหารเทพแสงสว่างดับไปแล้ว ดอกท้อทั่วภูเขาบานแล้ว เจ้านิกายตั้งแต่กลับจากสถานศึกษาก็ไม่ได้พบใคร แต่ทุกคนต่างรู้ว่ามันได้รับบาดเจ็บชนิดยากจะฟื้นฟู ทว่าในวันที่ดอกท้อบาน เสลี่ยงเทพของเจ้านิกายปรากฏ ผู้คนเห็นเงาร่างหลังม่านที่สว่างไสวจึงพบว่าอาการบาดเจ็บของมันหายดีแล้ว ซ้ำยังมีพลังมากกว่าเดิมด้วย

    ตั้งแต่ฤดูวสันต์ อาศรมเทพเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายหากแต่ราวกับว่าไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น บางคนสัมผัสรับรู้ไม่ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงระดับนี้ ส่วนบางคนนั้นไม่กล้าสัมผัสรับรู้

    “เรื่องพวกนี้ได้แต่คาดเดา ทว่าก็กลับไม่อาจคาดเดาเช่นกัน ดังนั้นขั้นตอนในการหาคำตอบจึงน่าสนุก คนในอาศรมเทพล้วนฉลาดยิ่ง ฉลาดจริงๆ ดังนั้นพวกมันคงไม่อยากตายเพราะความฉลาด”

    หลงชิ่งมองลู่เฉินจยา

    “บางเรื่องแม้พอคาดเดาได้ แต่ข้าอยากพิสูจน์ให้เห็นกับตา ข้าอยากไปที่ศาลามืดสักครั้ง ตอนนี้หน่วยพิพากษาจับตาดูข้าอยู่ตลอดเวลา เยี่ยหงอวี๋กำจัดคนของข้าไปจนหมด ข้าไม่เหลือโอกาสใดๆ แต่เจ้าไม่เหมือนข้า ข้าจึงอยากขอให้เจ้าช่วยข้าในเรื่องนี้”

    สีหน้าและน้ำเสียงของมันในตอนนี้อ่อนโยนกว่าเมื่อก่อนมาก ไม่เย็นชายโสแล้ว ทว่ากลับเย็นเยือกในความรู้สึกของลู่เฉินจยา เพราะมีความห่างเหินหมางเมินแฝงอยู่ในนั้น

    “ข้าไม่เหมือนท่านตรงไหน”นางเอ่ยถาม

    หลงชิ่งมองวิหารเทพแสงสว่างบนยอดเขา

    “ได้ยินว่าก่อนจ้าวบัลลังก์โองการฟ้าจะตาย นางอยู่กับจ้าวบัลลังก์ และนางก็ไปพบเจ้านิกาย ด้วยเหตุนี้ดวงตาที่บอดของเจ้านิกายจึงหายดี ทว่าดอกท้อบนเขาบานมานานขนาดนี้แล้ว นางไม่เคยเข้าหน่วยพิพากษาไปพบเยี่ยหงอวี๋เลย”

    “ท่านอยากบอกอะไรกันแน่”

    “ถ้าข้าเดาไม่ผิด คนในวิหารเทพแสงสว่างตอนนี้คือนางจริงๆ เจ้าเคยบาดหมางกับหนิงเชวียเช่นนี้กลับกลายเป็นเรื่องดี ขอเพียงเด็กหญิงชุดขาวสองคนในวิหารเทพนั้นพูดอะไรสักคำ เจ้าก็ช่วยข้าได้ แม้แต่เยี่ยหงอวี๋ก็ไม่กล้าขัดขวาง”

    ลู่เฉินจยาก้มหน้าถามว่า

    “เพราะเหตุใด”

    หลงชิ่งตอบว่า

    “เพราะนางรู้ว่าช่วยเจ้าก็คือช่วยข้า ขอเพียงเป็นเรื่องที่ทำให้สถานศึกษาและหนิงเชวียไม่มีความสุข นางต้องทำแน่นอน สถานศึกษาและหนิงเชวียเป็นสองสิ่งที่นางเกลียดชังมากที่สุด”

    “เหตุใดท่านจึงไม่ไปวิหารเทพแสงสว่างเอง ทุกคนต่างรู้ว่าถ้าจะหาคนที่แค้นหนิงเชวียมากที่สุดในโลกนี้ คนผู้นั้นย่อมเป็นท่าน”

    หลงชิ่งนิ่งเงียบไปครู่ก่อนเอ่ยว่า

    “ข้าไม่กล้าเสี่ยง เพราะนางก็เคยเกลียดชังข้ามาก”

    ลู่เฉินจยามองตาหลงชิ่ง

    “เมื่อครู่ท่านเพิ่งพูดเป็นเชิงว่าคนฉลาดอาจตายเพราะความฉลาด มนุษย์ธรรมดาคาดเดาเจตนารมณ์แห่งฟ้ากันไปส่งเดช การทำแบบนี้ก็เสี่ยงมากเช่นกัน”

    “เรื่องบางเรื่องแม้ตายก็ต้องทำ”

    ลู่เฉินจยามองพุ่มไม้เบื้องหน้าพลางถามว่า

    “เมื่อไหร่”

    “ยิ่งเร็วยิ่งดี เพราะข้าเหลือเวลาไม่มากแล้ว”

    “ข้าชอบที่ท่านตรงไปตรงมากับข้าเช่นนี้ ดังนั้นข้าจะทำ แต่ข้ายังไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านต้องไปศาลามืด”

    “ข้าจะไปพบคนคนหนึ่ง”

    ลู่เฉินจยาเอ่ยถามว่า

    “เพราะเหตุใด”

    หลงชิ่งตอบว่า

    “ข้าไปอารามจือโส่วมาแล้ว แต่ประตูปิด”

    ลู่เฉินจยามองหน้ามันพลางเอ่ยเสียงสั่นว่า

    “ท่าน…ยังไม่ยอมล้มเลิก?”

    หลงชิ่งเอ่ยเสียงเรียบว่า

    “ถ้าล้มเลิกง่ายๆ เช่นนี้ ความทุกข์ที่ข้าได้รับในช่วงหลายปีมานี้ รวมถึงการไม่ยอมล้มเลิกในยามที่ต้องจนตรอกนับครั้งไม่ถ้วนก็เท่ากับสูญเปล่า”

    ลู่เฉินจยาสัมผัสได้ถึงพลังที่ถ่ายทอดมาจากตัวมัน เข้าใจว่าใจของมันสงบลงอย่างแท้จริงแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงยิ่งไม่เข้าใจว่าบุรุษผู้มีใจสงบเช่นนี้เหตุใดจึงยังคงดึงดันนัก

    “ใจสงบแล้วมิได้หมายถึงท้อแท้สิ้นหวังแล้ว”

    หลงชิ่งมองหน้าอกของตนภายใต้เสื้อคลุมเทพสีดำ ตรงนั้นมีร่องที่ไม่มีหัวใจ มีเพียงดอกท้อสีดำ เมื่อดอกท้อบนเขาบานสะพรั่ง ดอกท้อสีดำที่อกมันซึ่งแทบจะร่วงโรยที่ทางใต้ของฉางอันก็คืนสู่สภาพเดิมอย่างน่าอัศจรรย์ด้วย มันคิดว่านี่คือประกาศคำสั่งของเฮ่าเทียน

    มันมองวิหารเทพแสงสว่างพลางเอ่ยเสียงเรียบว่า

    “เมื่อก่อนข้าคิดมากเกินไป มรรคจิตมั่นคงหากแต่ไม่บริสุทธิ์ ความไม่บริสุทธิ์นี้คือร่องรอยแห่งเงามืด เช่นเดียวกับความฝันที่เห็นตอนทดสอบขึ้นเขาหลังสถานศึกษา ข้าเห็นแสงสว่างและเห็นความมืด แต่ไม่รู้ว่าตนควรยืนอยู่ข้างไหน ตอนนี้ข้าคิดเพียงรักษาอาการบาดเจ็บให้หาย จากนั้นค่อยสู้กับหนิงเชวียอย่างยุติธรรมจริงๆ อยากดูว่าเฮ่าเทียนจะเลือกใคร ต่อให้เฮ่าเทียนไม่เลือกข้า ข้าก็ไม่อาจไม่เลือกตัวเอง!”

     

    ดวงจันทร์ส่องฉายต้นไม้ใบหญ้าของเทียนอวี้ย่วน ทั้งส่องฉายดอกท้อทั่วภูเขา หนิงเชวียยืนมองดวงจันทร์อยู่ริมผา เมื่อแน่ใจว่าคืนนี้ไม่มีเมฆบดบังมันก็กระโดดไปยังหน้าผาฝั่งตรงข้าม

    สองมือใช้มุทราของนิกายพุทธเกาะหน้าผา ทั้งตั้งจิตและขจัดนิวรณ์ ไม่สนใจเจตนารมณ์แห่งค่ายกลจากหน้าผาที่เข้ามากระทบ จากนั้นคลายมือขวาช้าๆ จับเชือกที่หย่อนลงมาจากด้านบน

    ปลายข้างหนึ่งของเชือกที่ทั้งยาวมากและแข็งแรงมากผูกอยู่กับคอของเจ้าดำบนลานหน้าผา ส่วนปลายอีกข้างที่ห้อยลงไปในหน้าผาหนิงเชวียจับมัดไว้กับเอวตน

    มันกระตุกเชือกเบาๆ เป็นการส่งสัญญาณขึ้นไปข้างบน เจ้าดำรู้สึกถึงการสั่นของเชือกจึงเดินไปริมผาช้าๆ หนิงเชวียค่อยๆ โรยตัวลงเบื้องล่าง

    มีแสงจันทร์สาดส่อง หมอกหนาที่ปกคลุมศาลามืดจึงลดน้อยลงมาก เผยให้เห็นหน้าต่างศิลาที่เหมือนรังมด เมื่อหนิงเชวียมาถึงหน้าห้องขังที่เฉินผีผีอยู่ก็กระตุกเชือกเบาๆ

    เจ้าดำพลันหยุดเดิน

    หนิงเชวียเพราะกังวลว่าจะถูกหมอกหนากลืนทำให้เกาะหน้าผาไม่อยู่แล้วตกหน้าผาตาย จึงมัดตนเข้ากับเจ้าดำด้วยเชือก ทำเช่นนี้แล้วมันสมควรวางใจได้ แต่เมื่อเห็นหมอกหนาเบื้องล่างซึ่งอยู่ห่างจากฝ่าเท้าไม่ไกลนักก็ยังมิวายรู้สึกหวาดหวั่น

    มันไม่กล้ามองลงไปข้างล่างอีก จึงมองเข้าไปในหน้าต่างศิลา

    เฉินผีผีหัวเราะฮิๆ มองหนิงเชวียอยู่

    มีเพียงแสงเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในหน้าต่าง ต่อให้มีคนใช้ดาบใหญ่สีโลหิตเจาะหน้าผา เสียงก็ไม่เล็ดลอดเข้าไป แรกสุดที่เฉินผีผีเห็นหนิงเชวียนอกหน้าต่างศิลาไม่ใช่เพราะมันและหนิงเชวียมีสื่อสัมผัสทางใจต่อกัน และไม่ใช่เพราะมันสามารถจับยามสามตา แต่เพราะมันมองออกไปนอกหน้าต่างอยู่ตลอดเวลา

    กล่าวให้ถูกกว่านั้นคือช่วงระยะเวลาหลายวันมานี้มันไม่ได้นอนหลับสักเท่าไร นอกจากกินข้าว อาบน้ำ และผายลมแล้ว เวลาที่เหลือล้วนใช้มองหน้าต่าง

    ผู้ดูแลและเสินกวนในศาลามืดคิดว่ามันถูกขังจนเป็นบ้าไปแล้วถึงได้เหม่อมองฟ้าอยู่อย่างนั้น ที่จริงมันแค่กำลังรอหนิงเชวีย มันรู้ว่าหนิงเชวียต้องมาแน่แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไร จึงได้แต่มองหน้าต่างอยู่อย่างนั้นเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่คลาดกัน

    หนิงเชวียหยิบจดหมายออกจากอกเสื้อแล้วกางออกเบื้องหน้าหน้าต่างศิลา

    เฉินผีผีอาศัยแสงจากตะเกียงน้ำมันในห้องขังอ่านตัวอักษรที่เล็กเท่าหัวแมลงวันพลางขมวดคิ้ว มิเสียทีที่เป็นผู้มีพรสวรรค์หนึ่งเดียวของสถานศึกษาที่สอบได้คะแนนระดับจย่าบนทั้งหกวิชา อ่านปราดเดียวก็จำเนื้อหาที่เขียนไว้ในจดหมายได้อย่างครบถ้วน ถ้ามีใครให้มันท่องออกมาในตอนนี้ คิดว่าคงไม่ใช่เรื่องยากอะไร

    หนิงเชวียเก็บจดหมายกลับ ยิ้มพลางเอ่ยถาม “เยี่ยมมากใช่ไหม”

    เฉินผีผีเพิ่งรู้ว่าที่แท้แผนของสถานศึกษาเป็นเช่นนี้ อดคิดไม่ได้ว่าเป็นเรื่องเพ้อฝัน แต่เมื่อไตร่ตรองดูแล้วจึงค่อยเข้าใจกระจ่างมีเหตุผล แต่สุดท้ายมันยังคงส่ายหน้า

    นี่ไม่เกี่ยวกับแผนของสถานศึกษา มันเพียงไม่เห็นด้วยกับการช่วยตนออกจากศาลามืดที่หนิงเชวียเพิ่มเข้ามาในแผน แผนของสถานศึกษายิ่งมีเหตุผลมากเท่าไร มันก็ยิ่งยอมรับไม่ได้หากว่าตนอาจมีส่วนทำให้แผนพัง

    เห็นเฉินผีผีส่ายหน้า หนิงเชวียก็ไม่พูดอะไรอีก เพียงชูนิ้วกลางให้

    เฉินผีผียังคงส่ายหน้า ใช้นิ้วเขียนข้อความในอากาศ

    หนิงเชวียอ่านข้อความแล้วขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าเหตุใดต้องเอ่ยถึงนาง

    หนิงเชวียใช้นิ้วเขียนข้อความหยาบคายตรงหน้าต่าง

    เฉินผีผีโมโห จึงเขียนข้อความที่หยาบคายยิ่งกว่า

    หนิงเชวียกลับไม่โมโห ภาพในตอนนี้ทำให้มันนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตตอนเข้าสถานศึกษาใหม่ๆ ที่เขียนจดหมายโต้ตอบกับเจ้าอ้วนในหอจิ้วซู จึงอดหัวเราะมิได้

    กาลเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ใครจะคิดว่าหลายปีให้หลังมันและเฉินผีผีจะได้มาเขาเถาซานและเขียนจดหมายโต้ตอบกันอีกครั้งที่หน้าผา

    เฉินผีผีก็คงนึกถึงเรื่องราวในช่วงนั้นเช่นกันจึงยิ้ม

    “อาหารในศาลามืดอร่อยมากจริงๆ ถ้าเจ้าสนใจก็น่าจะเข้ามาชิมดู”

    ทันใดนั้นมันพลันได้ยินเสียงเปิดประตูดังมาจากด้านหลัง จากนั้นมีคนเดินเข้ามา มันหุบยิ้มทันทีแล้วยักคิ้วให้หนิงเชวีย

    หนิงเชวียเข้าใจความหมายจึงรีบหลบไปด้านข้าง อาศัยแสงและมุมเพื่อให้คนในห้องขังไม่อาจมองเห็นตน จากนั้นค่อยมองเข้าไปในห้องขังอีกครั้ง พอเห็นคนที่เดินเข้ามาก็อดตกใจมิได้ เพราะมันไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนผู้นี้จึงปรากฏตัวที่นี่

    ถ้าจำไม่ผิดเฉินผีผีไม่เคยพบชายผู้นี้ที่เดินเข้ามาในห้องขังมาก่อน แต่มันรู้จักหน้ากากสีเงิน จึงค่อนข้างตกใจและไม่เข้าใจ

    “ถ้าข้าคาดการณ์ไม่ผิด เวลานี้เจ้าอยู่ในอาศรมเทพควรเจียมเนื้อเจียมตัวถึงจะถูก เหตุใดจึงมาพบข้าซึ่งเป็นเรื่องต้องห้ามเช่นนี้ อีกอย่างเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าถูกขังอยู่ที่นี่ อย่าบอกนะว่าเจ้ายังมีคนสนิทหลงเหลืออยู่ในหน่วยพิพากษา มีหรือข้าจะไม่รู้ว่าเยี่ยหงอวี๋เลือดเย็นและร้ายกาจแค่ไหน”

    หลงชิ่งมองเฉินผีผีพลางเอ่ยว่า

    “มิเสียทีที่เป็นผู้มีพรสวรรค์ของนิกายเต๋า ถูกขังอยู่ในศาลามืดกลับเหมือนสามารถเห็นทุกเรื่องที่เกิดขึ้นภายนอก แต่น่าเสียดาย…เจ้าในตอนนี้เป็นเพียงแค่เศษสวะ”

    “แม้ข้าอารมณ์ดีอยู่เสมอแต่ใช่ว่าจะโกรธไม่เป็น หนำซ้ำต่อให้ตาบอดข้าก็ยังดูออกว่าเจ้าไม่มีคุณสมบัติเรียกข้าว่าเศษสวะ”

    หลงชิ่งยิ้ม

    “ชี่ไห่เสวี่ยซานของเจ้าไม่มีแล้ว ไม่ใช่เศษสวะแล้วจะเป็นอะไรได้”

    เฉินผีผีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ยิ้มร่าเอ่ยว่า

    “แม้แต่เศษสวะขนานแท้เช่นเจ้าถูกหนิงเชวียยิงทะลุอกแล้วยังฟื้นฟูสภาพกลับมาใหม่ได้ คิดหรือว่าผู้มีพรสวรรค์เช่นข้าจะทำไม่ได้”

    “แม้เจ้าทำได้ เจ้าก็ยังเป็นเศษสวะอยู่ดี”

    เฉินผีผีถอนหายใจ

    “ดูท่าเจ้าคงถูกหนิงเชวียรังแกจนกลายเป็นเด็กขี้แยแล้วจริงๆ”

    หลงชิ่งเอ่ยว่า

    “อันที่จริงการเถียงกันเหมือนเด็กอย่างนี้ไม่จำเป็นเลย อีกไม่นานเจ้าก็จะถูกไฟศักดิ์สิทธิ์เผาตายในเทศกาลบูชาแสงสว่าง ข้าจะดูหมิ่นเจ้าต่อไปอีกทำไม”

    “แต่ข้ายังอยากฟังว่าเหตุใดเจ้าจึงพูดว่าข้าเป็นเศษสวะ”

    เฉินผีผียืนอยู่เบื้องหน้าหลงชิ่ง สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย มันคิดยืนบังเพื่อไม่ให้หนิงเชวียเห็นว่าหลงชิ่งพูดอะไร ทว่าการเคลื่อนไหวของมันช้าเกินไป

    หนิงเชวียเห็นที่หลงชิ่งพูดอย่างชัดเจน

    เทศกาลบูชาแสงสว่างเป็นพิธีบูชาเฮ่าเทียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอาศรมเทพ จำเป็นต้องมีเครื่องบูชาที่ล้ำค่าอย่างสูงสุด แต่จนถึงวันนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าเครื่องบูชานั้นคืออะไร

    คืนนี้หนิงเชวียจึงได้รู้ว่าที่แท้เฉินผีผีคือเครื่องบูชา สิ่งที่รอมันอยู่คือการเผาไหม้อย่างไม่จบไม่สิ้นของแสงเจิดจรัสแห่งเฮ่าเทียนที่บริสุทธิ์ รวมถึงการตายอย่างสมบูรณ์

    “เครื่องบูชาชิ้นนี้ล้ำค่า…มากจริงๆ”

    มองแผ่นหลังอวบกว้างของเฉินผีผีแล้วหนิงเชวียก็เหยียดยิ้ม ก่นด่าในใจถึงสตรีน่าตายที่อยู่ในวิหารเทพแสงสว่างผู้นั้น

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook