• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน สยบฟ้าพิชิตปฐพี 33 ตอนที่ 1

    2 of 2หน้าถัดไป

    ในกระท่อมหญ้าฟางด้านที่ติดหน้าผาของสวนโม่ฉือ โม่ซันซันนั่งคัดอักษรอยู่ริมหน้าต่างด้วยสีหน้าสงบนิ่ง นางยังคงสวมกระโปรงขาวตัวเดิม เส้นผมดำขลับที่เหมือนม่านน้ำตกมัดเป็นมวยแบบเรียบง่าย ไม่ต้องใช้เครื่องประทินโฉมผิวพรรณก็ขาวอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องใช้ชาดทาปากริมฝีปากก็เป็นสีแดงผุดผาด โฉมนางยังคงสะคราญดุจกาลก่อน แต่ไม่ว่ามองอย่างไรก็ไม่เหมือนเจ้าสาวที่กำลังจะแต่งงานเลย

    ประตูไม้เปิดเข้ามาพร้อมเสียงแอ๊ดเบาๆ บุรุษในเสื้อคลุมยาวสีดำเดินเข้ามาช้าๆ บุรุษผู้นี้ผมขาวเหลือบสีเงิน อายุของมันเป็นเหตุให้หางตามีริ้วรอยลึก แต่แววตากลับยังสดใสมีชีวิตชีวา รูปร่างสูงโปร่งสะโอดสะองราวกับว่าอายุยังน้อย มันคือหวังซูเซิ่งในตำนาน

    ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นอันดับหนึ่งในด้านอักษร เหมือนกับเทพกระบี่หลิ่วไป๋ที่เป็นอันดับหนึ่งในด้านวิชากระบี่

    หวังซูเซิ่งคือนักอักษรลายพู่กันที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ขณะเดียวกันก็เป็นจอมยันต์เทวะผู้เลื่องชื่อด้วย มันคือผู้ปกป้องที่แข็งแกร่งที่สุดสำหรับต้าเหอดุจเดียวกับหลิ่วไป๋สำหรับหนานจิ้น จึงเป็นที่เคารพเทิดทูนอย่างสูง แม้แต่จักรพรรดิยังต้องถือว่าตนเป็นศิษย์เมื่ออยู่เบื้องหน้ามัน

    พอได้ยินเสียง โม่ซันซันก็ลุกขึ้นคารวะอาจารย์ด้วยอาการสงบนิ่ง ครั้นนั่งลงแล้วก็หยิบพู่กันจุ่มหมึกเล็กน้อย อาศัยแสงแดดจากนอกหน้าต่างบรรจงเขียนอักษรต่อไป

    หวังซูเซิ่งเดินมาที่เบื้องหลังนาง เมื่อเห็นตัวอักษรที่สวยงามแต่ทรงพลังบนกระดาษก็รู้ว่านางรักษาสภาพจิตใจที่สงบนิ่งได้จริงๆ จึงอดขมวดคิ้วอย่างกังวลใจมิได้

    “หรือเจ้ายังไม่เข้าใจ? เจ้าคือศิษย์ที่ข้ารักและเอ็นดูมากที่สุด เป็นจอมยันต์เทวะที่ไม่มีผู้ใดกล้าดูหมิ่น หลังจากข้าตาย เจ้าก็คือผู้ปกป้องแคว้นต้าเหอ ข้าจะไม่กีดกันความสุขของเจ้า แม้แต่จักรพรรดิก็ไม่มีสิทธิ์พรากความสุขของเจ้าไป แต่เจ้าต้องแต่งงาน และจักรพรรดิคือตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว”

    หวังซูเซิ่งมองนางพลางเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม มือขวาที่ถือพู่กันของโม่ซันซันหยุดลง

    “ข้าทราบแล้ว”

    กล่าวจบนางก็เขียนอักษรต่อไปด้วยอาการสงบนิ่ง มีลายพู่กันที่เป็นธรรมชาติ

    ทว่ายิ่งนางสงบนิ่งผ่อนคลาย หวังซูเซิ่งก็ยิ่งกระวนกระวาย สีหน้ามันเคร่งขรึมขึ้น น้ำเสียงก็แข็งกร้าวขึ้น

    “ข้าจำเป็นต้องเตือนเจ้าอีกครั้งว่าถ้าเจ้าไม่อยากให้เมืองจิงตูถูกอุทกภัยกลืนกิน ไม่อยากเห็นชาวต้าเหอจำนวนนับไม่ถ้วนต้องตายอย่างอนาถ เช่นนั้นเจ้าก็ต้องตาย หรือไม่ก็รีบแต่งงาน!”

    หวังซูเซิ่งมองใบหน้าด้านข้างของนางที่สวยสะคราญ รู้สึกว่าหัวใจที่ชราภาพของตนเจ็บปวดอยู่ลึกๆ มันพยายามข่มกลั้นความสงสารและยากตัดใจ เอ่ยเสียงแข็งว่า

    “มนุษย์…ไม่อาจสู้ฟ้าได้ ตามข่าวที่ส่งมาจากซีหลิง หนิงเชวียเข้าไปในวิหารเทพแสงสว่างแล้วไม่ออกมา ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้ในอาศรมเทพเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ต่อให้สุดท้ายเฮ่าเทียนสังหารหนิงเชวีย นางก็คงไม่ยินดีที่จะเห็นเจ้ายังอยู่เป็นโสด และโทสะของนางคือสิ่งที่โลกมนุษย์มิอาจต้านทานได้”

    กล่าวจบหวังซูเซิ่งก็หันกายเตรียมจากไป

    โม่ซันซันวางพู่กันบนแท่นฝนหมึก ลุกขึ้นมามองแผ่นหลังมันแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า

    “อาจารย์ ข้ารู้ว่าท่านชอบข้า ท่านชอบข้ามาตลอดตั้งแต่ข้ายังเด็ก”

    ร่างของหวังซูเซิ่งพลันสะท้าน แผ่นหลังที่เหยียดตรงกลับงอลงเล็กน้อย

    “น่าเสียดายที่ข้าเติบโตเร็วเกินไป และท่านก็ไม่คิดว่าข้าอายุน้อยเพียงนี้จะกลายเป็นจอมยันต์เทวะได้ ถูกแล้ว เป็นอย่างที่ท่านพูด ไม่มีใครกีดกันความสุขของข้าได้อีกแล้ว แต่สุดท้ายข้ายังต้องแต่งงาน นอกจากจะสงสารและยากตัดใจแล้ว ท่านคงดีใจด้วยกระมัง”

    สีหน้าของโม่ซันซันสงบนิ่งมาก

    “แน่นอนข้ายอมรับว่าสิ่งที่ท่านพูดนั้นถูกต้อง ไม่มีใครรู้ว่าเฮ่าเทียนจะคิดอย่างไร ต้าเหอไม่อาจเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ ข้าจะแต่งงานตามที่ท่านต้องการ”

    “พูดจาเหลวไหล!”

    หวังซูเซิ่งตวาดเสียงกร้าวก่อนโบกแขนเสื้อออกจากกระท่อมไป ไม่รู้ว่าใช่หรือไม่ที่เพราะถูกโม่ซันซันเปิดโปงความดำมืดในใจที่เก็บซ่อนมานานปี จึงไม่รู้จะมองหน้านางได้อย่างไร มันจึงลงจากเขาตรงไปเมืองจิงตู เข้าวังหลวงไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิ แล้วเริ่มเตรียมงานอภิเษกสมรส

    ประตูกระท่อมที่เปิดอยู่ครึ่งหนึ่งถูกสายลมแผ่วเบาจากผิวสระน้ำโชยพัด ทำให้ประเดี๋ยวปิดประเดี๋ยวเปิด โม่ซันซันนิ่งมองอยู่นาน จากนั้นจึงนั่งลง

    นางคัดอักษรต่อไปอย่างใจสงบ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยเผยรอยยิ้มแห่งความยินดี นิ่งเงียบมานานปี ในที่สุดก็ได้พูดสิ่งที่อยากพูดออกไปสักที นางรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก

    ครู่ต่อมาจั๋วจือหวากับเทียนเมาหนี่ว์ก็เข้ามาในกระท่อม เทียนเมาหนี่ว์มานั่งข้างโม่ซันซันพร้อมยื้อแขนเสื้อนาง มองนางด้วยความสงสารพลางเอ่ยว่า

    “ประมุข จะทำอย่างไรดี”

    โม่ซันซันนึกถึงเหตุการณ์ในทุ่งร้างเมื่อหลายปีก่อนที่ตนถามหนิงเชวียว่าจะทำอย่างไรดี แม้นางไม่ค่อยเข้าใจคำตอบของหนิงเชวียที่แฝงอารมณ์ขัน แต่ตอนนั้นนางก็ยังหัวเราะอย่างเบิกบานใจ

    “ทำอย่างไรหรือ ก็ช่างมันน่ะสิ”

    เทียนเมาหนี่ว์ถามว่า

    “ก็แต่งไปแบบนี้หรือ”

    โม่ซันซันยิ้ม

    “แน่นอนว่าไม่”

    เทียนเมาหนี่ว์ดีใจ ก่อนจะเสียใจ

    “เซียนเซิงสิบสามช่างใจจืดใจดำ ถ้าประมุขไม่แต่งกับจักรพรรดิยังจะแต่งกับผู้ใดได้”

    สตรียิ่งงดงามยิ่งหาสามียาก สตรียิ่งมีความสามารถยิ่งยากออกเรือน เพราะมักมีปัญหาเรื่องคู่ครองที่เหมาะสม โม่ซันซันขึ้นชื่อเรื่องความงาม และเป็นยอดฝีมือในมรรคาแห่งยันต์ตั้งแต่อายุยังน้อย ตอนนี้คือจอมยันต์เทวะรุ่นเยาว์ที่ยากจะหาได้ในประวัติศาสตร์ หากคิดจะแต่งงาน ตัวเลือกย่อมมีไม่มาก

    “ไยจึงต้องแต่งงานเล่า”

    โม่ซันซันลูบศีรษะเทียนเมาหนี่ว์อย่างเอ็นดูพลางพูด

    “การคิดบังคับให้จอมยันต์เทวะแต่งงานนั้นเป็นเรื่องน่าขำ ดังนั้นถ้าเจ้าไม่อยากแต่งงาน จงจำไว้ว่าต้องฝึกฌานอย่างพากเพียร”

    เทียนเมาหนี่ว์คิดในใจว่ามีเหตุผล ถ้าบุรุษที่หมั้นหมายกันไว้นั้นไม่ดี ถึงเวลาตนจะไม่ยอมแต่งเด็ดขาด ได้ยินว่ามีหลายครอบครัวที่สมาชิกในครอบครัวมีตำแหน่งในกองทัพ ฉะนั้นตนจะต้องมีด่านฌานที่สูงขึ้นให้ได้โดยเร็ว

    จั๋วจือหวามองโม่ซันซันโดยไม่พูดอะไร แต่หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความกังวล

    โม่ซันซันรู้ว่านางกังวลสิ่งใด จึงเอ่ยเสียงเรียบว่า

    “คนทั้งโลกเคารพเฮ่าเทียน ทว่าก็กลัวเกรง ข้าก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แต่พอนึกถึงว่าข้าเคยช่วงชิงกับนางมาแล้ว เช่นนั้นกลัวนางต่อไปจะมีประโยชน์อะไร ถ้าเฮ่าเทียนบันดาลโทสะเพราะข้าก็ไม่ใช่ความผิดของข้า แต่เป็นความชั่วร้ายของนาง”

     

    ภูเขายามเหมันต์ที่ปกคลุมด้วยใบต้นเฟิงของเมืองจิงตูแคว้นต้าเหอเป็นทัศนียภาพที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ ถ้าไม่ใช่เพราะจักรพรรดิทรงใกล้จะอภิเษกสมรส ทำให้การคุ้มกันของวังหลวงเข้มงวดขึ้น ที่นี่ต้องมีผู้คนเดินทางมาท่องเที่ยวอย่างเนืองแน่นแน่นอน

    บนถนนหลวงหน้าวังมีใบไม้แดงชั้นบางๆ ปูอยู่ ซังซังเดินอยู่บนถนน รองเท้าเหยียบย่ำใบไม้แดงแห้งกรอบจนแหลกละเอียด ทำให้เกิดเสียงที่น่าพรั่นใจ

    เมื่อเทียบกับตอนที่เพิ่งออกจากอาศรมเทพ นางเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว ยกตัวอย่างเช่นด้วยการร้องขอวิงวอนของหนิงเชวีย นางใส่รองเท้าแล้ว อีกทั้งตอนนี้สองมือนางก็ไม่ไพล่หลังแล้วด้วย

    มือซ้ายซังซังถือชามน้ำแกงลูกชิ้นปลา มือขวาถือไม้เสียบลูกชิ้น กำลังกินไม่หยุด แม้สีหน้านางยังเย็นชาดุจเดิม แต่จากความเร็วของการหายไปของลูกชิ้นปลาทำให้มองออกว่านางพอใจมาก

    สำหรับนาง เห็นได้ชัดว่าถนนหลวงใบไม้แดงไม่น่าดึงดูดใจเท่าลูกชิ้นปลา ส่วนใบไม้แดงที่ถูกเหยียบเละอยู่ใต้รองเท้า นางก็ไม่มีความเสียดายเหมือนอย่างที่สตรีแรกรุ่นมี

    พอเดินถึงประตูหน้าของวังหลวง นางก็กินลูกชิ้นปลาหมดพอดี จึงส่งชามไปด้านหลัง

    หนิงเชวียจูงเจ้าดำเดินตามนางมาตลอดก็รีบรับชามมา การเคลื่อนไหวช่ำชองเป็นอย่างยิ่ง เพราะตลอดทางมามันชินกับฐานะคนรับใช้เสียแล้ว

    “เจ้าเลือกตัดสินใจอย่างไร”

    ริมฝีปากของซังซังถูกลูกชิ้นปลาลวกเล็กน้อยจึงแดงเด่นชัด ดูน่ารักยิ่ง

    ถ้าเลือกทำลายงานแต่งระหว่างจักรพรรดิแคว้นต้าเหอและโม่ซันซันนั่นเท่ากับพิสูจน์ว่ามันรักโม่ซันซัน จากนั้นก็พิสูจน์ได้ว่าไม่มีความรักที่แท้จริง และสุดท้ายพิสูจน์ว่ามันไม่ได้รักซังซัง?

    แต่ถ้าเลือกนิ่งเฉยไม่ทำอะไรเลย ดูโม่ซันซันแต่งงานกับจักรพรรดิไร้สมอง เท่ากับพิสูจน์ว่ามันไม่ได้รักโม่ซันซัน จากนั้นก็พิสูจน์ว่ารักแท้มีอยู่จริง และมันกับซังซังก็สมควรอยู่ด้วยกันอย่างนี้ต่อไป?

    “ทำไมต้องให้ข้าเลือกอย่างลำบากใจเช่นนี้ด้วย เจ้าก็รู้ว่าสถานศึกษาใฝ่หาความอิสระ การไม่เลือกก็เป็นอิสระอย่างหนึ่ง”

    “อย่างที่พูดไปแล้วนอกเมือง มนุษย์เสแสร้งเก่งจริงๆ”

    ซังซังเอ่ยพลางมองมัน

    “เจ้าน่าจะรู้ดีว่าเพราะเหตุใดนางจะแต่งงาน”

    แน่นอนว่าหนิงเชวียรู้ดีว่าเหตุใดโม่ซันซันจะแต่งงานกับจักรพรรดิ เพราะเรื่องในอดีตของมันกับนาง และเพราะสตรีข้างกายมันคือเฮ่าเทียน

    ซังซังถามว่า

    “ข้าควรรับผิดชอบที่ทำให้นางถูกบังคับให้แต่งงานไหม”

    หนิงเชวียส่ายหน้า

    “ข้าคงไม่ตัดสินอย่างปัญญาอ่อนเช่นนี้”

    “เช่นนั้นผู้ใดควรรับผิดชอบ”

    หนิงเชวียชี้จมูกตัวเองพลางเอ่ย

    “เป็นข้า แต่ข้าไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร”

    “ข้าออกความเห็นให้ แค่ฆ่าจักรพรรดินั่นทิ้งนางก็แต่งไม่ได้แล้ว”

    หนิงเชวียมองประตูวัง นิ่งเงียบอยู่ครู่ก่อนเอ่ยว่า

    “ฟังดูแล้วก็เป็นความเห็นที่ไม่เลวเลยจริงๆ”

    “เช่นนั้นยังลังเลอะไร”

    “ข้ากังวลว่าพอข้าเข้าไปแล้ว เจ้าจะหนีไป”

    ฟังจบซังซังก็นิ่ง หนิงเชวียจึงเอ่ยต่อ

    “วิธีคิดของเจ้าบุ่มบ่ามเกินไป ดังนั้นข้าจึงทำอะไรไม่ได้”

    ซังซังก้มหน้ามองปลายรองเท้าที่โผล่พ้นชุดเขียวออกมา ได้ยินหนิงเชวียเอ่ยว่า

    “เว้นแต่…เจ้าจะมาช่วยข้า?”

    นางเงยหน้าขึ้นมองมันพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง

    “บุรุษช่างเลวทรามต่ำช้าจริงๆ”

    “ให้ข้าเลวทรามแบบนี้ไปจนตายเถอะนะ”

    “ข้ายังฆ่าเจ้าไม่ได้ในตอนนี้ จึงได้แต่ดูเจ้าทำตัวเลวทรามไปเรื่อยๆ ใช่ไหม”

    หนิงเชวียกล่าวสาบานว่า

    “นับแต่นี้ไปข้าจะเลวให้เจ้าดูคนเดียว”

    “เพราะเหตุใดข้าต้องช่วยเจ้าแก้ปัญหาเลือกยากข้อนี้ด้วย”

    หนิงเชวียยืดอกกล่าวอย่างมั่นใจในเหตุผลของตัวเองว่า

    “หัวข้อคำถามเจ้าเป็นคนออก ข้าตอบไม่ได้ ดังนั้นเจ้าจึงต้องให้คำตอบแก่ข้า”

    “มนุษย์เป็นเหมือนเจ้าทุกคนไหม”

    หนิงเชวียประหลาดใจกับคำถามนี้ของนาง

    “เจ้ากับข้านอนเตียงเดียวกันมานานหลายปี ยังไม่รู้อีกหรือว่าข้าเป็นตัวประหลาดที่ไม่เหมือนใคร”

    จิตใจของซังซังว้าวุ่น นางคิดว่าเรื่องนี้ยุ่งยากซับซ้อน

    สุดท้ายหนิงเชวียเอ่ยว่า

    “เครื่องประทินโฉมเฉินจิ่นจี้ตอนนี้ล้วนอยู่ในวังหลวง”

    ซังซังคิดดูแล้วพบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องจัดการจริงๆ ดังนั้นนางจึงเอามือไพล่หลังเดินเข้าวังหลวง

    หนิงเชวียจูงเจ้าดำเดินตามอย่างว่าง่าย ก่อนที่มันจะแอบยิ้มระรื่น

    การให้ภรรยาตัวเองพาไปทำลายงานแต่งของสตรีผู้หนึ่ง ซึ่งสตรีผู้นั้นก็ชอบมัน หนิงเชวียรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยถูกต้องเท่าไร แต่ก็ไม่คิดจะคัดค้าน

    ซังซังเดินถึงหน้าวังหลวง สองมือไพล่หลังทอดทัศนาอยู่ตามสบายเหมือนนักท่องเที่ยวธรรมดาคนหนึ่ง แต่ในสายตาของพวกองครักษ์ เรื่องนี้ถือเป็นการหมิ่นพระเกียรติองค์จักรพรรดิอย่างใหญ่หลวง

    องครักษ์ตวาดตำหนิหลายครา และทำท่าว่าจะเดินเข้ามาไล่นางกับหนิงเชวียไป ถ้าไม่ใช่นึกถึงว่าใกล้ถึงวันงานมงคล องครักษ์พวกนี้อาจชักกระบี่เข้าจู่โจมแต่แรกแล้วก็ได้

    ซังซังเหมือนมองไม่เห็นองครักษ์พวกนี้ เงยหน้ามองไม้ดอกต้นหนึ่งที่อยู่ตรงมุมหนึ่งของกำแพงวัง รู้สึกอยากรู้อยากเห็นจึงเดินเข้าใกล้ประตูวังเข้าไปทุกที

    คนที่เดินเข้าวังหลวงอย่างสบายๆ ต่อหน้าองครักษ์มากมายแบบนี้ ถ้าไม่ใช่คนปัญญาอ่อนก็ต้องเป็นสุดยอดฝีมือที่ประสงค์ร้ายต่อคนในวังเป็นแน่

    สถานการณ์ในที่นั้นพลันตึงเครียด ท่ามกลางเสียงเสียดสีของโลหะ พวกองครักษ์ทยอยกันชักกระบี่ออกจากฝัก กระบี่ชั้นดีที่เป็นเอกลักษณ์ของต้าเหอสะท้อนแสงแดดยามเหมันต์ ดูไม่ผิดแผกกับต้นไม้น้ำแข็ง ขณะเดียวกันพลธนูบนกำแพงวังก็เล็งเป้ามาข้างล่างแล้ว

    หนิงเชวียไม่กังวลเรื่องความปลอดภัยของซังซัง มันแค่กังวลว่าจะมีคนธรรมดาตายด้วยน้ำมือนางมากเกินไป ต้าเหอมีสัมพันธไมตรีอันดีกับต้าถังมาหลายยุคหลายสมัย มันที่เป็นชาวถังไม่อาจปล่อยให้เกิดการนองเลือด จึงจูงเจ้าดำเดินไปข้างหน้าแล้วกล่าวกับองครักษ์ผู้หนึ่งว่าสถานศึกษามาเยี่ยมเยียน

    มันคิดว่าชื่อของสถานศึกษาจะทำให้เข้าวังหลวงได้โดยง่าย แต่ไม่ทันคิดว่าตนไม่มีหลักฐานแสดงฐานะ ป้ายแขวนเอวตกอยู่ที่อาศรมเทพ พวกองครักษ์ไหนเลยจะยอมเชื่อ

    กระบี่ยาวจำนวนนับไม่ถ้วนฟันแหวกอากาศมาที่ศีรษะของพวกมัน ซังซังรู้ว่าหนิงเชวียกำลังคิดอะไร แต่นางไม่สนใจ จึงเดินสองมือไพล่หลังต่อไป

    คมกระบี่ฟันใส่แขนนาง ทหารองครักษ์ของแคว้นต้าเหอดำเนินการอย่างเหมาะสม ไม่ถึงกับแรกลงมือก็คิดสังหาร ด้วยเหตุนี้องครักษ์ผู้นั้นจึงรอดตายอย่างโชคดี

    สายลมของเมืองจิงตูอบอุ่นอ่อนโยนมาแต่ไหนแต่ไร จึงมีดอกไม้นับพันนับหมื่นเบ่งบาน ใบไม้แดงบนถนนหลวงจึงปกคลุมถนนอยู่อย่างนั้นไม่ถูกพัดพาไป แต่สายลมยามนี้กลับหนักหน่วงขึ้น

    สายลมเป็นสิ่งไร้รูป มาตรแม้นหนักจะหนักได้สักเท่าไร ซังซังเดินมือไพล่หลังไปอย่างสงบนิ่ง สายลมที่หมุนรอบกายก็สงบนิ่งเช่นเดียวกับอารมณ์บนใบหน้านาง ทั้งหนักดุจเขาเถาซาน

    กระบี่ยาวที่แหวกอากาศมาถึงเบื้องหน้านางราวร่วงลงไปในบ่อน้ำไร้ก้น แล้วค่อยถูกม้วนเข้าไปในมหาสมุทรที่บ้าคลั่งจนลอยละลิ่วปลิวไป

    องครักษ์ผู้นั้นมองฝ่ามือตนอย่างตกตะลึง ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

    เรื่องแบบเดียวกันเกิดขึ้นกับองครักษ์ทุกคน กระบี่ในมือพวกมันถูกสายลมกวาดม้วนกลายเป็นจอกแหนในน้ำซึ่งถูกลมพัดคลื่นพาจนไม่รู้ว่าไปตกยังที่ใด

    หน้าวังหลวงเกิดเสียงฮือฮา ธนูบนกำแพงวังในที่สุดก็ยิงลงมา ทว่ามีหรือจะสัมผัสถึงซังซังได้ ล้วนหายวับไปในสายลม

    ชาวเมืองจิงตูยกย่องธรรมเนียมของชาวถัง ลักษณะนิสัยก็คล้ายคลึงกัน ยามนี้พวกองครักษ์เดาออกแล้วว่าสตรีสูงใหญ่ผู้นี้ต้องเป็นผู้ฝึกฌานที่ด่านฌานสูงล้ำอย่างแน่นอน แต่แม้ในมือพวกมันปราศจากอาวุธแล้วก็ตาม คนยังกระโจนเข้าหานางอย่างห้าวหาญ หมายใช้ร่างกายเลือดเนื้อของตนขวางนางไว้นอกวัง

    ทว่านางคือเฮ่าเทียน แม้แต่กระบี่ของหลิ่วไป๋ยังไม่อาจเข้าสู่โลกของนาง แล้วคนธรรมดาเยี่ยงมดปลวกพวกนี้จะทำได้อย่างไร

    เงาร่างของคนทยอยลอยละลิ่วแล้วตกลงราวหยาดฝน เกิดเสียงทึบทุ้มดังเป็นระยะ

    ซังซังสองมือไพล่หลังเดินหน้าต่อไปด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ตอนที่มาถึงหน้าวัง ประตูวังย่อมเปิดออก

    หนิงเชวียจูงเจ้าดำตามอยู่หลังนาง มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่เงียบๆ การต่อสู้ครั้งนี้พลังของทั้งสองฝ่ายห่างชั้นกันมากจนถึงขั้นจะเรียกว่าการต่อสู้ก็ยังไม่ได้ ซังซังไม่ได้ลงมืออย่างจริงจัง แต่มันก็ยังอยากหาสิ่งที่มันต้องการจากในภาพเหตุการณ์เหล่านี้

    ซังซังคือกฎ นางไม่สามารถเปลี่ยนกฎ แต่การใช้กฎของนางคือขีดขั้นที่มนุษย์ไม่อาจสัมผัสถึง นี่คือสิ่งที่เรียกว่าความยอดเยี่ยมในการใช้ขึ้นอยู่กับสติปัญญา

    สายลมในเมืองจิงตู ดอกไม้ที่มุมหนึ่งของวังหลวง แกงลูกชิ้นปลาที่นางถืออยู่ในมือก่อนหน้านี้ น้ำในลำธารหรือแม่น้ำสายใหญ่ที่เดินทางผ่านมา ยามนางเคลื่อนพลังจิต ทุกสิ่งทุกอย่างในธรรมชาติจะกลายเป็นอาวุธของนาง

    ประตูวังเปิดแล้ว ซังซังเดินเข้าไปอย่างสงบนิ่ง พวกองครักษ์และทหารในวังต่างแตกตื่นจนพูดไม่ออก ทว่าก็ไม่อาจขัดขวาง แววตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังทำอะไรไม่ถูก

    ขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนโลกิยะไม่มีความหมายอันใดเบื้องหน้านาง ในความเห็นของนาง วังหลวงกับหอคณิกาไม่มีอะไรแตกต่างกัน ถ้านางอยากเข้าไปเดินเล่นย่อมเข้าไปได้

    หนิงเชวียจูงเจ้าดำเดินตามอยู่หลังนาง มีความรู้สึกที่น่าอัศจรรย์อย่างหนึ่งเกิดขึ้น

    ความรู้สึกนี้มันเคยสัมผัสได้ใกล้ๆ หน้าผาหิมะในทุ่งร้าง นั่นคือความเดียวดายของอาจารย์อาที่ทอดตาไปทั่วแผ่นดินแล้วไร้คู่ต่อสู้ และมันก็เคยสัมผัสได้จากอาจารย์ นั่นคือความมั่นใจของผู้เป็นอาจารย์ของคนทั้งโลก

    ในเทศกาลบูชาแสงสว่างมันเคยมีความรู้สึกแบบนี้ นั่นเป็นเพราะพลังของนางอยู่ในร่างมัน ส่วนตอนนี้เป็นเพราะมันเดินอยู่หลังนาง

    ความรู้สึกแบบนี้เรียกว่าไร้เทียมทาน ความไร้เทียมทานของมันล้วนมาจากนาง แต่มันก็มิได้รู้สึกละอายแต่อย่างใด เพราะพวกมันเป็นสามีภรรยากัน สิ่งที่เป็นของนางก็คือของมัน ความไร้เทียมทานของนางก็คือความไร้เทียมทานของมันด้วย ผู้ใดกล้าพูดว่าไม่ใช่?

    วังหลวงของแคว้นต้าเหอสวยงามวิจิตร บริเวณตำหนักไม้ชายคาดำปลูกไม้ดอกไว้มากมายเช่นเดียวกับตามถนนหนทางในเมืองจิงตู พื้นศิลาหน้าตำหนักเต็มไปด้วยร่องรอยการกัดเซาะของลมฝน ท่ามกลางความไม่จีรังย่อมแฝงความสวยงามสดใหม่

    หนิงเชวียจูงเจ้าดำเดินมาถึงหน้าตำหนักหลัก ขณะกำลังมองดูบรรดาตำหนักต่างๆ พลางทอดถอนใจอยู่เงียบๆ ทันใดนั้นมันก็พบว่าซังซังหายตัวไป ไม่ว่าจะหาอย่างไรก็ไม่เห็นแม้แต่เงา

    หากควบคุมที่ว่างในอากาศให้กลายเป็นกระจกบานเล็กๆ ก็จะเปลี่ยนแปลงทางเดินของแสงได้ ทำแบบนี้เงาร่างในสายลมย่อมไม่มีใครมองเห็น เรื่องนี้ฟังแล้วอาจไม่ซับซ้อน แต่อันที่จริงนอกจากซังซังแล้วก็ไม่มีใครทำได้ เพียงแค่การคำนวณในการจะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จก็อาจทำให้ศิษย์พี่สี่คิดจนหัวหงอกในคืนเดียวแล้ว

    หนิงเชวียรู้ว่าซังซังไม่ได้หนีไป มันเคลื่อนพลังจิตก็รู้แล้วว่านางกำลังเดินเล่นอยู่ในตำหนักข้างสักหลังหนึ่ง ไม่รู้กำลังดูอะไร แต่การไม่เห็นนางทำให้มันใจเสีย

    องครักษ์และทหารจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังกรูเข้ามาหามันจากทุกซอกทุกมุมของวังหลวง แออัดยัดเยียดจนน่ากลัว มันยืนอยู่หน้าตำหนักเพียงคนเดียว และจำเป็นต้องเผชิญหน้าอย่างโดดเดี่ยว

    หนิงเชวียเข้าใจความตั้งใจของซังซังแล้ว

    มันไม่อยากเห็นซันซันแต่งงาน แต่กลัวซังซังผิดหวังมากยิ่งกว่า ดังนั้นมันจึงนิ่งเงียบอย่างไร้ยางอายดุจเดียวกับบุรุษจำนวนมากบนโลก มันไม่ยอมตอบคำถามของซังซังพร้อมผลักความรับผิดชอบให้นาง

    ด้วยเหตุนี้นางจึงพามันเข้าวัง จากนั้นหายตัวไป ตอนนี้คนที่ยืนอยู่หน้าตำหนักคือมัน คนที่เดินเข้าวังก็คือมัน เช่นนั้นเรื่องนี้สุดท้ายแล้วยังคงเป็นมันเองที่ต้องเลือก

    มันเงยหน้าขึ้นมองตำหนักที่เงียบสงบสง่างามเบื้องหน้า ชักดาบออกจากฝักแล้วจูงบังเหียนม้าเดินหน้าไปช้าๆ อย่างมั่นคง

     

    ผมของหวังซูเซิ่งขาวมาก หวีอย่างเรียบร้อยทุกกระเบียดนิ้ว ดูแล้วเหมือนเครื่องสานสีเงินเลื่องชื่อของแคว้นเยวี่ยหลุน ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งกับภาพลักษณ์ของมันในสายตาของจักรพรรดิและราษฎรแคว้นต้าเหอ

    ในตำหนักยังมีชายวัยกลางคนอีกผู้หนึ่ง ชายผู้นี้สวมเสื้อคลุมจักรพรรดิ หน้าซีดขาวแสดงถึงความไม่แข็งแรง แววตาแม้ยังถือได้ว่าสงบนิ่ง แต่ความยินดีและความไม่สบายใจกลับคละเคล้ากันอยู่ในส่วนลึกของดวงตา มันคือจักรพรรดิแห่งต้าเหอ

    จักรพรรดิทอดพระเนตรหวังซูเซิ่ง ตรัสว่า

    “เรื่องนี้พิจารณาทบทวนกันดีแล้วหรือ”

    “ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย ขอเพียงนางไม่คัดค้านก็ไม่มีใครคัดค้าน”

    จักรพรรดิทรงขมวดคิ้ว คิดในใจว่าข่าวที่ได้มาจากสวนโม่ฉือไม่ใช่เช่นนี้ ประมุขหุบเขาแม้ไม่พูดคัดค้านตรงๆ แต่ดูอย่างไรก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมแต่งงานเลย

    หวังซูเซิ่งเห็นสีพระพักตร์ก็รู้ว่าจักรพรรดิทรงคิดอะไร

    “แม้นางคัดค้านก็ไม่มีความหมาย อาจารย์เปรียบเหมือนบิดา กระหม่อมตัดสินใจแทนนางได้พ่ะย่ะค่ะ”

    “เราชื่นชอบนางมานานแล้วจริงๆ เพียงแต่ด้านต้าถัง…”

    หวังซูเซิ่งเอ่ยอย่างขัดใจว่า

    “สถานศึกษาถือสิทธิ์อะไรมาก้าวก่าย หนิงเชวียส่งสารมาขอแต่งหรือ ต้าถังและต้าเหอมีไมตรีต่อกันมาช้านาน ต่อให้ไร้เหตุผลอย่างไรก็คงไม่ไร้เหตุผลถึงเพียงนั้น”

    จักรพรรดิตรัสอย่างไม่สบายพระทัยว่า

    “แต่เซียนเซิงใหญ่…”

    บรรดาบุคคลระดับสูงในโลกแห่งการฝึกฌานรวมถึงโลกิยะรู้อยู่นานแล้วว่าผู้งมงายอักษรโม่ซันซันกับเซียนเซิงใหญ่แห่งสถานศึกษาเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน ถ้าไม่มีความสัมพันธ์ตรงส่วนนี้ การที่โม่ซันซันช่วยสถานศึกษาสู้กับเจ้าอารามที่ฉางอันคงทำให้แคว้นต้าเหอถูกอาศรมเทพกวาดล้างจนราบคาบไปนานแล้ว

    หวังซูเซิ่งเอ่ยเสียงเข้มว่า

    “บัดนี้สถานศึกษายังเอาตัวแทบไม่รอด ยังมีเวลามายุ่งวุ่นวายเรื่องของผู้อื่นหรือพ่ะย่ะค่ะ”

    สนทนากันอยู่ดีๆ จู่ๆ นอกตำหนักก็มีเสียงอึกทึกครึกโครม ตามมาด้วยเสียงฆ่าฟัน มีขันทีผลุนผลันเข้ามาในตำหนักด้วยสีหน้าขาวซีด กราบทูลว่า

    “ฝ่าบาท!มีนักฆ่าบุกเข้าวังพ่ะย่ะค่ะ!”

    แคว้นต้าเหอสงบสุขมาช้านาน นานแล้วที่เมืองจิงตูไม่มีศึกสงครามหรือเหตุการณ์ความไม่สงบ บัดนี้ใกล้ถึงวันงานมงคลกลับมีนักฆ่าบุกเข้าวัง เรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกันอย่างแน่นอน

    พอคิดถึงตรงนี้สีหน้าหวังซูเซิ่งก็ขุ่นเคือง มันปล่อยพลังจิตออกไปตรวจสอบนอกตำหนักทันที

    มันเป็นจอมยันต์เทวะอันดับต้นๆ ของโลก คิดดูก็รู้ได้ว่าพลังจิตของมันแข็งแกร่งทรงพลังเพียงใด ทว่าสิ่งที่ทำให้มันตกตะลึงคือมันสัมผัสอะไรไม่ได้เลย ต่อให้ผู้ที่บุกเข้าวังคือหลิ่วไป๋ก็ไม่อาจซ่อนกระแสปราณได้สมบูรณ์ถึงขนาดนี้ ทั้งเป็นไปไม่ได้ที่จะหลบหลีกการสัมผัสรับรู้ด้วยพลังจิตของมัน เช่นนั้นแล้วคนที่บุกเข้าวังคือผู้ใด

    มันผลักเปิดประตูเดินออกไปนอกตำหนัก เมื่อเห็นบุรุษหนุ่มผู้จูงอาชาสีดำ สีหน้ามันพลันแปรเปลี่ยน นอกจากตกตะลึงแล้วยังงุนงงสงสัยด้วย

    “หนิงเชวีย!เจ้าน่าจะอยู่ในวิหารเทพแสงสว่างมิใช่หรือ”

    หนิงเชวียเห็นชายชราผมขาวเหลือบสีเงินก็เดาฐานะของอีกฝ่ายได้ จึงตอบด้วยรอยยิ้มว่า

    “ถึงอย่างไรก็ไม่อาจอยู่ที่ซีหลิงไปตลอดทั้งชาติ พอดีเดินทางท่องเที่ยวมาแคว้นต้าเหอ จึงถือโอกาสมาคารวะทักทายท่านปรมาจารย์อักษร”

    หวังซูเซิ่งเลิกคิ้ว แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา

    “ไม่ว่าเจ้าจะหนีออกจากอาศรมเทพมาได้อย่างไร แต่ข้าคิดว่าการที่เจ้าบุกเข้าวังในวันนี้คงไม่ใช่แค่มาทักทายเป็นแน่”

    “แน่นอนว่าที่ข้าพูดไปเมื่อครู่เป็นคำโกหก ข้าไม่ใช่เฮ่าเทียน จึงคำนวณไม่ถึงว่าท่านก็อยู่ในวังด้วย ข้ามาวังหลวงเพื่อเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ”

    “เจ้าจะเข้าเฝ้าฝ่าบาทด้วยเรื่องใด”

    หนิงเชวียยิ้ม

    “ข้าจะมาทูลองค์จักรพรรดิว่าวันอภิเษกระหว่างพระองค์กับซันซันอาจต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด”

    หวังซูเซิ่งมองมันอย่างคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม

    “แม้ว่าเฮ่าเทียนจะบันดาลโทสะน่ะหรือ”

    หนิงเชวียทอดถอนใจคราหนึ่ง

    “ดูจากสีหน้าที่ดูขัดตาของท่านแล้วก็รู้เลยว่าท่านไปฟังข่าวลือพวกนี้มาจากไหน แต่น่าเสียดายที่ท่านคงไม่รู้ว่าเรื่องใหญ่ในบ้านข้า ข้าคือคนตัดสินใจ”

     

    2 of 2หน้าถัดไป

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook