• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์ 1 บทที่ 11 – 20

    บทที่ 11

    โหวเสี่ยวเม่ย

     

    ยามคับขันพลันปรากฏทางออก นี่คือความคิดแรกที่วาบขึ้นมาในสมองของชายนักการหน้ายาวหลังจากได้ยินคำพูดของไป๋เสี่ยวฉุน แต่เมื่อทอดสายตาไปตกที่ภูเขาเนื้อทั้งสองซึ่งมีรอยยิ้มชั่วร้ายด้านหลังไป๋เสี่ยวฉุน เขาก็ลังเลเล็กน้อย

    “เจ้า…”

    ไป๋เสี่ยวฉุนยิ้มเต็มหน้า ท่าทางน่าเอ็นดู เดินไปข้างหน้าสี่ห้าก้าวด้วยท่าทีไร้พิษภัยก่อนจะตบบ่าชายนักการหน้ายาว กล่าวด้วยรอยยิ้มพริ้มพราย

    “ยินดีด้วยที่ศิษย์พี่จะได้กลายเป็นศิษย์ฝ่ายนอก นับแต่นี้ก็เหมือนปลาหลี่ข้ามประตูมังกร ตำแหน่งเลื่อนขึ้นพรวดพราด อนาคตยาวไกลไร้ขีดจำกัด แต่ศิษย์น้องอย่างข้าวิ่งมาถึงนี่ด้วยความยากลำบาก ศิษย์พี่คิดว่าควรจะให้อะไรตอบแทนหน่อยดีหรือไม่”

    ชายนักการหน้ายาวสีหน้าเหยเกขึ้นมา ในเวลานี้หากเขายังไม่เข้าใจความหมายของอีกฝ่ายก็นับว่าเสียแรงที่มีชีวิตอยู่มานานหลายปีขนาดนี้ เขามองไป๋เสี่ยวฉุนหนึ่งที แล้วก็มองไปยังจางต้าพั่งและเฮยซานพั่งอีกหนึ่งที สีหน้าเดี๋ยวดีเดี๋ยวแย่ ความคิดหมุนเร็วจี๋ ประเมินผลได้ผลเสีย

    ไม่นานชายหนุ่มหน้ายาวก็กัดฟันกรอด จะให้เขาละทิ้งโอกาสนี้ก็ยอมไม่ได้จริงๆ รอไปอีกหนึ่งเดือนถือเป็นเรื่องเล็ก แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อถึงเดือนหน้าเขายังจะต้องเจอผู้แข็งแกร่งคนอื่นอีกหรือไม่ อีกทั้งสามคนที่อยู่ตรงหน้านี้…ไม่แน่ว่าเดือนหน้าก็อาจจะยังคงอยู่

    ที่สำคัญที่สุดคือเขาร้อนใจอยากจะเป็นศิษย์ฝ่ายนอกมากเหลือเกินแล้ว ในเวลานี้ความหวังมารออยู่ตรงหน้า ดังนั้นเขาจึงกระทืบเท้าอย่างแรงหนึ่งครั้งด้วยความร้อนรน

    “เจ้าต้องการค่าตอบแทนเท่าไร” เขากัดฟันพูด

    “ไม่มากๆ ข้าเตรียมตัวอยู่หลายเดือนเพื่อการทดสอบครั้งนี้ เอาอย่างนี้ ท่านให้ศิลาวิเศษข้าแค่ยี่สิบก้อนก็พอแล้ว” ไป๋เสี่ยวฉุนหน้าบานเป็นกระด้ง รีบโก่งราคาสูงทันที ชายหนุ่มหน้ายาวได้ยินก็ใจกระตุก ขณะที่สะบัดชายเสื้อเตรียมปฏิเสธ ไป๋เสี่ยวฉุนก็เอ่ยปากอีกครั้ง

    “นี่ไม่ใช่ว่าศิษย์น้องอยากได้อยากมีนะ ท่านก็เห็นว่าพวกเรามีกันสามคน ท่านจะให้ข้าแค่คนเดียวก็ไม่ได้ เพื่อการทดสอบครั้งนี้ศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่สามของข้าต้องอดอาหารกันจนผอมเลย”

    ข้อนี้ไป๋เสี่ยวฉุนไม่ได้โกหก ตลอดทางที่วิ่งขึ้นมาเพื่อทำความเร็วให้ได้ จางต้าพั่งและเฮยซานพั่งต่างก็ผอมลงไปเล็กน้อยจริงๆ

    ชายนักการหน้ายาวมองไปยังจางต้าพั่งและเฮยซานพั่ง ในใจไม่รู้ว่าแอบด่าไปแล้วกี่ประโยค จากนั้นก็ต่อรองราคากับไป๋เสี่ยวฉุนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตกลงกันได้ที่ศิลาวิเศษสิบหกก้อนในเวลาต่อมา ท้ายที่สุดจึงข่มกลั้นความเจ็บใจ โยนถุงห่อหนึ่งให้กับไป๋เสี่ยวฉุน

    “ได้แล้วใช่หรือไม่!” แม้แต่เสียงของเขาก็ยังแหบแห้ง

    “ไม่มีปัญหาแล้ว ศิษย์พี่รออยู่ข้างๆ นี้สักครู่ เดี๋ยวพอมีมาอีกสองคน พวกเราค่อยเปิดประตูพร้อมกัน” ไป๋เสี่ยวฉุนโยนศิลาวิเศษไปให้จางต้าพั่ง เอ่ยปากอย่างเบิกบานใจ

    ได้ยินว่าต้องรออีกสองคน ไม่รู้เหตุใดในใจของชายหน้ายาวถึงรู้สึกรอคอยเล็กน้อย นี่คือความรู้สึกซับซ้อนทำนองหากข้าไม่ได้ดี เจ้าก็อย่าหวังว่าจะได้ดี

    ขณะเดียวกันศิษย์ฝ่ายนอกสองคนที่ยืนอยู่ข้างทางออกเห็นภาพการแลกเปลี่ยนซื้อขายนี้ต่อหน้าต่อตาก็เบิกตากว้าง เผยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมา

    “พวกเจ้า…พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน ถึงขนาดขายตำแหน่งศิษย์ฝ่ายนอกกันอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ ช่างบังอาจนัก!” น้ำเสียงของศิษย์ฝ่ายนอกทั้งสองคนดุดันขึ้นมาอย่างฉับพลัน ตะโกนเสียงต่ำขึ้นมา

    “ตะโกนเพื่ออะไร พวกเราปีนมาถึงตรงนี้เหนื่อยแล้ว ไม่อยากปีนต่อ ยกให้พวกเดียวกันก็ไม่ได้อย่างนั้นหรือ ศิษย์น้องร่วมสำนักเห็นว่าพวกเราเหนื่อยยากขนาดนี้ เป็นฝ่ายเสนอค่าตอบแทนให้พวกเราเองไม่ได้หรือไร” จางต้าพั่งกำลังนับศิลาวิเศษด้วยความปรีดา ได้ยินคำพูดไม่เข้าหูก็หันกลับไปจ้องศิษย์ฝ่ายนอกสองคนนั้นอย่างดุดัน

    ประโยคนี้ของเขาทำให้ศิษย์ฝ่ายนอกสองคนนั้นไร้คำจะกล่าวไปชั่วคราว ไม่รู้ว่าควรจะโต้กลับอย่างไร

    และในเวลานี้บนบันไดเส้นทางทดสอบก็มีคนเจ็ดแปดคนกำลังดิ้นรนเดินขึ้นมาอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าเห่อแดง เสียงหอบหายใจดังราวฟ้าผ่า คนที่อยู่หน้าสุดคือชายร่างใหญ่อายุประมาณสามสิบปีคนหนึ่ง ชายร่างใหญ่ผู้นี้เปลือยท่อนบน รูปร่างกำยำล่ำสัน หลังจากที่เดินทีละก้าวจนมาถึงด้านบน สายตาของไป๋เสี่ยวฉุนก็เป็นประกาย รีบเดินเข้าไปรับหน้า

    “ศิษย์พี่ท่านนี้ ท่านมาช้าไปก้าวเดียวเอง แต่ว่าอยู่ๆ ศิษย์พี่ของข้าก็ไม่อยากเป็นศิษย์ฝ่ายนอกแล้ว ตำแหน่งนี้ท่านต้องการหรือไม่”

    ชายร่างใหญ่ผู้นั้นอึ้งไปเล็กน้อย หลังจากได้ยินคำพูดของไป๋เสี่ยวฉุน และก็เห็นว่าบนยอดเขามีคนอยู่มากมายก็เข้าใจได้ในทันที ส่งเสียงหึเย็นชาหนึ่งครั้ง

    “ลูกสุนัขอย่างเจ้าก็กล้ารีดไถข้าอย่างนั้นรึ ไสหัวไป!” เขาคำรามเสียงต่ำหนึ่งที มือขวายกขึ้นสะบัดแรงๆ พลังสะกดทางวิญญาณของการหลอมปราณขั้นที่สามช่วงท้ายกระจายออกมาในทันที

    ไป๋เสี่ยวฉุนถอยหลังหนึ่งก้าว ตะโกนเสียงดังหนึ่งคำ

    “ศิษย์พี่ใหญ่!”

    แทบจะเวลาเดียวกันกับที่ไป๋เสี่ยวฉุนเปล่งเสียงออกมา ภูเขาเนื้อลูกหนึ่งก็ลงมาจากด้านบนพร้อมเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น

    ชายร่างใหญ่หน้าเปลี่ยนสี ขณะที่มองด้านบนและได้ยินเสียงสะท้านสะเทือนดังมา ภูเขาเนื้อก็กระแทกทับร่างของเขาแนบสนิท

    ชายร่างใหญ่ร้องโหยหวน เขาถูกจางต้าพั่งนั่งทับทั้งตัว ดิ้นรนอยู่นานก็ยังไม่สามารถหนีออกมาจากใต้ภูเขาเนื้อลูกนั้นได้ หากไม่เพราะร่างกายของเขาแข็งแรงกำยำคงหายใจไม่ออกจนสลบไปนานแล้ว

    นักการอีกเจ็ดแปดคนที่ตามหลังชายร่างใหญ่มาติดๆ เห็นภาพเหตุการณ์นี้เข้าก็ล้วนตาโตอ้าปากค้าง หวาดหวั่นไปตามๆ กัน

    รวมถึงศิษย์ฝ่ายนอกสองคนนั้น ในเวลานี้ก็ยังอ้าปากพะงาบๆ เห็นชายร่างใหญ่ถูกทับอยู่ใต้ร่างจางต้าพั่งใกล้จะบี้แบนเข้าไปทุกทีก็อดเห็นใจไม่ได้

    “ศิษย์พี่ใหญ่ มีคนมองอยู่นะ” ไป๋เสี่ยวฉุนกลอกตา พูดเสียงเบาอยู่ข้างๆ จางต้าพั่ง

    จางต้าพั่งที่คลุกคลีกับไป๋เสี่ยวฉุนมาปีกว่าเมื่อได้ยินประโยคนี้ก็เข้าใจในทันที เขาเบิกตากว้าง ยกกำปั้นที่ขนาดพอๆ กับค้อนขึ้นแล้วทุบลงไปที่ชายตัวใหญ่ใต้ร่างด้วยเสียงอันดังสนั่น

    “คิดจะชักดาบเหมือนกินข้าวไม่จ่ายเงินต่อหน้าข้า ใจกล้านักนะ!” กำปั้นของจางต้าพั่งทุบลงไป

    “พวกเราพี่น้องขึ้นมาถึงบนนี้ด้วยความยากลำบาก เดิมต้องได้เป็นศิษย์ฝ่ายนอกแล้ว แต่เปลี่ยนใจกะทันหัน ให้เจ้าตอบแทนนิดๆ หน่อยๆ มันมากเกินไปนักหรือ! ย่าเจ้าเถอะ เจ้ากล้าปฏิเสธเชียวเรอะ!” ขณะที่พูด จางต้าพั่งไม่เพียงแต่ใช้กำปั้น เขายังยกตัวขึ้นและนั่งลงไปอีกครั้ง กดทับจนชายร่างใหญ่ร้องโหยหวนติดต่อกัน แทบจะขาดลมหายใจ เห็นตัวของจางต้าพั่งยกขึ้นอีกครั้ง สีหน้าของชายร่างใหญ่ก็มีแต่ความหวาดกลัว ดิ้นรนยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง ยกถุงขึ้นสูง รีบเอ่ยปาก

    “ข้าจะจ่ายค่าตอบแทนให้!”

    จางต้าพั่งชะงัก รีบลุกยืนประคองชายร่างใหญ่ขึ้นมาด้วยใบหน้าเบิกบาน ก่อนจะแย่งเอาถุงผ้ามาดูหนึ่งที สีหน้าดีใจจนกลั้นไม่อยู่ ถึงขนาดเดินเข้าไปช่วยปัดฝุ่นบนเสื้อผ้าของชายร่างใหญ่คนนั้นด้วยตัวเอง

    “ฮ่าๆ ศิษย์พี่ที่รัก ท่านก็พูดแต่แรกสิ มาๆๆ ไปเข้าแถวรอตรงนั้นก่อน เดี๋ยวมาเพิ่มอีกคนพวกเราก็จะเปิดประตูแล้ว”

    ชายร่างใหญ่อึดอัดคับข้องใจ โมโหแต่ไม่กล้าพูด ข่มอารมณ์มายืนอยู่ข้างชายนักการหน้ายาวด้วยความระทมทุกข์อย่างมาก ชายนักการหน้ายาวกลับสบายใจขึ้นเยอะ รู้สึกว่าก่อนหน้านี้ตัวเองฉลาดยิ่งนัก

    “ศิษย์พี่ใหญ่ช่างน่าเกรงขาม!” ไป๋เสี่ยวฉุนยิ้มหน้าบานจนปากแทบจะฉีกถึงใบหู โดยเฉพาะเมื่อเห็นคนกลุ่มนั้นที่ตามหลังชายร่างใหญ่มา ในเวลานี้แต่ละคนล้วนหยุดชะงักฝีเท้าและมีสีหน้าอกสั่นขวัญแขวนก็ยิ่งอารมณ์ดี

    ใบหน้าจางต้าพั่งเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เดินตัวโยกมาหยุดอยู่ข้างทางออก ขวางประตูเอาไว้ แล้วก็นั่งลงไปใหม่

    ศิษย์ฝ่ายนอกสองคนที่อยู่นอกทางออกมองหน้าสบตากันในเวลานี้ พวกเขารู้สึกว่าก่อนหน้านี้เจ้าสามคนนี่ทำเกินไป ถึงขั้นรีดไถกัน แต่ตอนนี้เห็นอย่างนี้แล้วก่อนหน้านี้ก็ดูจะนุ่มนวลไปเลย

    “พวกเขา…พวกเขาถึงขั้นกล้าบังคับแย่งชิง!”

    “นี่มันปล้นกันชัดๆ!” สองคนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่ลึกๆ ในใจแล้วกลับอิจฉาเสียมากกว่า แอบคิดว่าเหตุใดปีนั้นตนเองไม่คิดถึงวิธีนี้บ้าง

    เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้ว ผู้ที่มีความคิดสับสนมากยิ่งกว่าก็คือนักการเจ็ดแปดคนที่ตามหลังชายร่างใหญ่คนนั้นขึ้นมา พวกเขาเห็นภาพเหตุการณ์ที่ชายร่างใหญ่ถูกจางต้าพั่งนั่งทับตั้งแต่ต้นจนจบกับตาตัวเอง เวลานี้แต่ละคนยืนอยู่ตรงนั้น นัยน์ตากลับค่อยๆ ฉายแววประหลาดใจ

    เดิมทีเป็นเรื่องยากมากที่พวกเขาจะได้กลายเป็นศิษย์ฝ่ายนอก แต่ตอนนี้เมื่อมีเรื่องนี้เตะถ่วงอยู่ ก็เหมือนว่า…จะมีโอกาสแล้ว

    “ศิษย์พี่ทุกท่าน ยังเหลือตำแหน่งสุดท้ายอีกหนึ่งคน เอาอย่างนี้แล้วกัน พวกท่านใครให้ราคาสูงสุดคนนั้นก็ได้ไป!” ไป๋เสี่ยวฉุนช่างเฉลียวฉลาดนัก เห็นภาพนี้ก็เอ่ยปากทันที เสียงแหลมเล็กที่ดังไปทั่วทิศของเขาราวกับชักจูงความคิดของทุกคนให้ระเบิดออก ทำให้เสียงลมหายใจหอบฮักกลายเป็นเสียงหายใจอย่างรุนแรงขึ้นมาในทันที

    ความแปลกใจในแววตานักการเจ็ดแปดคนนั้นขยายวงกว้างจนแทบไร้ขีดจำกัดขึ้นมาอย่างฉับพลัน ในใจอดนึกถึงสิ่งที่ทำให้หัวใจเต้นกระหน่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ได้

    “ข้าให้ศิลาวิเศษสิบก้อน!”

    “สิบเอ็ด!”

    “ตำแหน่งนี้ต้องเป็นของข้า ข้าให้สิบห้าก้อน!”

    ชั่วพริบตาเสียงให้ราคาก็ดังขึ้นๆ ลงๆ ประหนึ่งว่าสถานที่นี้ได้กลายเป็นสนามประมูลไปแล้ว พวกไป๋เสี่ยวฉุนสามคนยิ่งได้ยินก็ยิ่งตื่นเต้น

    ส่วนศิษย์ฝ่ายนอกตรงประตูสองคนนั้นเมื่อได้ยินก็ยิ่งเหมือนราดน้ำมันลงบนกองไฟ ในสายตาของพวกเขา ไม่ต้องพูดถึงการรีดไถ ต่อให้เป็นการปล้นกันก็ช่าง แต่ถึงขั้นเปิดสนามประมูลกันที่นี่ สมองของทั้งสองจึงอื้ออึงทันที ความรู้สึกเหลวไหลในใจประหนึ่งคลื่นที่โหมซัดอย่างบ้าคลั่ง รู้สึกว่าในสามคนนี้คนที่น่ารังเกียจที่สุดไม่ใช่จางต้าพั่ง แต่เป็นไป๋เสี่ยวฉุนที่ภายนอกดูน่าเอ็นดูคนนี้นี่แหละ!

    “เกินไปแล้ว ไร้ยางอายเกินไปแล้ว!” หนึ่งในนั้นกัดฟัน ดวงตาแดงก่ำ ในใจลึกๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอิจฉาหรือว่าโมโหถึงได้รีบหมุนตัวเดินจากไปไกล จะไปรายงานให้ผู้ควบคุมของสำนักทราบเรื่อง

    การให้ราคายังคงดำเนินต่อ แต่ไป๋เสี่ยวฉุนยังรู้สึกว่าไม่ดุเดือดมากพอ ดวงตากลิ้งกลอกเป็นวงแล้วเอ่ยปากอีกครั้ง

    “ศิษย์พี่ทั้งหลายต้องเร็วหน่อยนะ ไม่อย่างนั้นเวลาถูกเตะถ่วงนานไป นักการคนอื่นพากันปีนขึ้นมา สำหรับพวกเขาแล้วนี่เป็นโอกาสที่ต่อให้ต้องขายตัวก็ยังยอมเชียวนา”

    เมื่อคำพูดนี้เปล่งออกไป บนเส้นทางทดสอบด้านหลังของฝูงชนก็มีน้ำเสียงตื่นเต้นของดรุณีน้อยผู้หนึ่งลอยมาอย่างฉับพลัน

    “ข้าโหวเสี่ยวเม่ยให้ศิลาวิเศษสามสิบก้อน! บ้านของข้าคือตระกูลผู้บำเพ็ญตน ไม่ขัดสนศิลาวิเศษ ใครหน้าไหนกล้าแก่งแย่งกับข้า!” ผู้พูดคือเด็กสาวอายุน้อย ผิวพรรณขาวผ่อง รูปร่างเล็กกะทัดรัด ทั้งยังหน้าตาสะสวย ในเวลานี้กำลังปีนขึ้นมาด้วยอาการหอบฮักๆ

    เมื่อจางต้าพั่งได้เห็นเด็กสาวผู้นี้สายตาก็แข็งทื่อ กำลังคิดอยากจะพูดอะไรบางอย่างทว่ากลับข่มกลั้นไว้ แต่ยังปรายตามองไปที่ไป๋เสี่ยวฉุนอย่างอดไม่อยู่

    จากการให้ราคาของโหวเสี่ยวเม่ย ฝูงชนที่กำลังเสนอราคากันอยู่ ณ ที่แห่งนี้ก็วงแตกในทันที ราคาพุ่งขึ้นสูงลิ่วในบัดดล จนถึงท้ายที่สุดโหวเสี่ยวเม่ยผู้อ้างว่าตนเองเป็นลูกหลานตระกูลผู้บำเพ็ญตนคนนั้นก็ให้ราคาที่ทำให้ชายหนุ่มหน้ายาวและชายร่างใหญ่ล้วนขวัญหนีดีฝ่อ ถึงขนาดรู้สึกว่าตนเองได้ราคาถูกเสียอีก

    ไม่นานนักโหวเสี่ยวเม่ยก็ยืดอก เดินออกมาจากฝูงชนด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ ปรายตามองฝูงชนที่อยู่ด้านหลังอย่างดูถูก จากนั้นจึงเดินขึ้นไปบนบันไดขั้นสุดท้ายพร้อมกับชายหน้ายาวที่หัวเราะขื่นๆ อยู่ในใจและชายร่างใหญ่ที่เรียกตนเองว่านายท่านหมาป่า เดินออกไปจากเส้นทางประลองกันสามคน

    เบื้องหลังพวกเขา พวกไป๋เสี่ยวฉุนสามคนประสานมือโค้งคำนับ

    “ยินดีกับสหายทั้งสามท่านด้วย นับแต่นี้ไปก็เป็นปลาหลี่ข้ามประตูมังกร เลื่อนตำแหน่งพรวดพราด!”

    พวกชายนักการหน้ายาวยืนอยู่บนยอดเขา ใจลอยเล็กน้อย ถึงแม้ว่าจะได้เป็นศิษย์ฝ่ายนอกแล้ว แต่กลับพบว่าตนเองไม่ได้ดีใจมากมายอย่างที่คิดไว้ คำพูดของพวกไป๋เสี่ยวฉุนสะท้อนไปมาในหู ชายนักการหน้ายาวและชายร่างใหญ่สบตากันหนึ่งครั้ง ทำได้เพียงยิ้มขื่นๆ อย่างปลงอนิจจัง

    มีเพียงแค่โหวเสี่ยวเม่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ เท่านั้นที่ยังคงตื่นเต้นไม่หยุด ใบหน้าขาวนวลเนียนในเวลานี้ขึ้นสีแดงเปล่งปลั่ง

    “ไม่นึกเลยว่าข้าโหวเสี่ยวเม่ยจะได้มาเจอเรื่องดีๆ แบบนี้กับเขาด้วย” โหวเสี่ยวเม่ยคิดอย่างภาคภูมิใจ

     

    บทที่ 12

    บนกำแพง

     

    การทดสอบนักการเลื่อนขั้นเป็นศิษย์ฝ่ายนอกในครั้งนี้ก็จบลงไปเช่นนี้ เมื่อพวกโหวเสี่ยวเม่ยทั้งสามคนเหยียบย่างบนยอดเขาและค่อยๆ เดินจากไปไกล จางต้าพั่งทอดสายตามองแผ่นหลังของโหวเสี่ยวเม่ย ลูบคางที่มีแต่ไขมัน สีหน้าแฝงความหมายลึกล้ำ

    “อืม ขาว ตัวเล็ก บริสุทธิ์…” พูดพลางเขม้นมองไป๋เสี่ยวฉุนที่อยู่ข้างๆ ไปด้วย

    ไป๋เสี่ยวฉุนเองก็กำลังมองไปยังแผ่นหลังของโหวเสี่ยวเม่ยเช่นกัน ในใจซับซ้อนเหลือจะกล่าว โดยเฉพาะเมื่อได้ยินคำพูดของจางต้าพั่งและเห็นสายตาที่จางต้าพั่งแอบมองตนเอง ไป๋เสี่ยวฉุนก็ทนไม่ไหวตะโกนขึ้นมาเสียงดัง

    “อย่ามามองข้า!”

    เมื่อเห็นว่าไป๋เสี่ยวฉุนโกรธ จางต้าพั่งก็รีบหัวเราะฮ่าๆ ทันที หยิบเอาถุงที่บรรจุศิลาวิเศษไว้จนเต็มออกมา เปลี่ยนหัวเรื่อง

    “มาๆๆ พวกเรามานับศิลาวิเศษกันเถอะ คราวนี้รวยเละแล้ว ฮ่าๆ วิธีนี้ไม่เลวเลยจริงๆ”

    “ศิลาวิเศษมีอันใดน่านับกัน นับไปนับมาก็ได้แค่นั้นอยู่ดี” ไป๋เสี่ยวฉุนส่งเสียงหึหนึ่งที

    “เรื่องนี้ศิษย์น้องเก้าไม่เข้าใจ ที่เห็นน่ะคือศิลาวิเศษ ที่นับน่ะคือชีวิตคน” นานๆ ทีจางต้าพั่งจะเอ่ยประโยคเข้าใจชีวิตเช่นนี้ออกมา ไป๋เสี่ยวฉุนได้ยินก็อึ้งไป ก่อนจะเริ่มนับศิลาวิเศษโดยเลียนแบบท่าทางของจางต้าพั่ง สุดท้ายรู้สึกเบื่อสุดๆ จึงโยนให้อีกฝ่ายทำ

    ในเวลานี้เองบนเส้นทางทดสอบก็มีประกายแสงสว่างวาบขึ้น ทุกคนดวงตาพร่าลาย กว่าจะมองเห็นได้ชัดดังเดิมก็มาอยู่ที่ตีนเขาแล้ว

    เมื่อผู้ควบคุมวัยกลางคนที่เปิดเส้นทางการทดสอบก่อนหน้านี้มองเห็นพวกไป๋เสี่ยวฉุนสามคน สีหน้าก็แปลกประหลาด เงียบไปครู่ใหญ่ถึงได้ส่ายศีรษะไม่สนใจอีกต่อไป เรื่องที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายครัวไฟ เขารู้สึกว่ามอบให้สำนักเป็นผู้จัดการจะดีกว่า

    ในใจพวกไป๋เสี่ยวฉุนสามคนตื่นเต้นเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าไม่มีเรื่องสามคนจึงมองหน้ากัน ไอแห้งๆ ออกมาสามสี่ทีแล้วรีบจากไปอย่างรวดเร็ว เลือกทางที่ใกล้ที่สุดตรงดิ่งไปยังฝ่ายครัวไฟ

    จางต้าพั่งเอาแต่สนใจนับศิลาวิเศษครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งกลับมาถึงฝ่ายครัวไฟ ศิษย์พี่ตัวอ้วนคนอื่นๆ ก็กลับมาแล้วเช่นกัน แต่ละคนยินดีปรีดา ครั้นมองหน้ากันและกันแล้วต่างก็เกิดความภาคภูมิใจเป็นที่สุด

    หลังจากได้ศิลาวิเศษส่วนของตัวเองมาแล้ว ไป๋เสี่ยวฉุนก็โยนไว้ในกระท่อม เขาแสวงหาความเป็นอมตะ หากไม่ใช่เพราะครั้งนี้จำเป็นต้องซื้อสมุนไพรมาแลกกับลูกกลอนเพิ่มอายุ เขาก็ไม่มีทางคิดวิธีนี้เพื่อหาศิลาวิเศษมา

    ค่ำคืนนี้ทุกคนในฝ่ายครัวไฟล้วนไม่มีใครได้นอนหลับดี พวกจางต้าพั่งหลังจากที่ร่ำรวยขึ้นมาอย่างฉับพลันก็ตื่นเต้นทั้งคืน ย้อนนึกถึงช่วงเวลาที่กระเป๋าลีบแบนหลายปีก่อนหน้านี้แล้วก็วาดฝันถึงอนาคตอันงดงาม จากนั้นก็กังวลว่าจะมีเรื่องตามมา ดังนั้นจึงนอนไม่หลับ

    ส่วนไป๋เสี่ยวฉุนที่คิดถึงแต่ลูกกลอนเพิ่มอายุก็นอนไม่หลับเช่นกัน

     

    เมื่อวันที่สองมาถึง เรื่องที่ฝ่ายครัวไฟไปขวางทางออกเส้นทางทดสอบแพร่กระจายออกไป เขตงานนักการของฝั่งทิศใต้คนหนึ่งบอกต่อสิบคน สิบคนบอกต่อร้อยคน จนสุดท้ายแทบจะไม่มีผู้ใดไม่รู้เรื่องนี้

    “ได้ยินหรือไม่ ฝ่ายครัวไฟสร้างเรื่องใหญ่แล้ว!!”

    “พวกเขาคงจะจนกรอบกันแทบบ้าแล้วถึงได้กล้าทำเรื่องเช่นนี้ สวรรค์ ขายตำแหน่งศิษย์ฝ่ายนอก! เกินไปแล้ว เหตุใดก่อนหน้านี้ข้าถึงคิดไม่ได้เช่นนี้บ้างนะ!”

    “ฝ่ายครัวไฟเนี่ยข้าได้ยินมานานแล้วว่าทุกคนที่อยู่ในนั้นล้วนมีเบื้องหลัง ล้วนเป็นผู้เกี่ยวข้องกับภายในสำนัก ไม่งั้นแต่ละคนจะกินกันจนตัวอ้วนน่าโมโหเช่นนั้นได้อย่างไร!” ในเขตงานนักการ ทุกฝ่ายทุกคนดูเหมือนจะวิพากษ์วิจารณ์ฝ่ายครัวไฟกันทั้งวัน

    ช่วงหลายวันมานี้ฝ่ายครัวไฟก็สงบเสงี่ยมกันลงไปเยอะ ทุกคนแทบจะไม่มีใครออกไปข้างนอกเพียงลำพัง จนกระทั่งช่วงสายัณห์ของวันหนึ่งหลังจากผ่านการทดสอบมาหลายวัน ขณะที่ไป๋เสี่ยวฉุนกำลังเทน้ำข้าวลงไปในถ้วยใหญ่ก้นหนาแต่ละใบนั้นก็พลันได้ยินเสียงฝีเท้าดังลอยมาจากทางเส้นเล็กด้านนอก

    “คนฝ่ายครัวไฟออกมานี่ ฝ่ายตรวจการได้รับคำสั่งให้มาตรวจสอบพวกเจ้าเรื่องเส้นทางทดสอบ!” ตอนที่น้ำเสียงเย็นเยียบดังขึ้นอย่างกะทันหัน ประตูใหญ่ของฝ่ายครัวไฟก็ถูกคนถีบเข้ามา

    ประตูใหญ่ถูกถีบเสียงดังโครม ศิษย์ของส่วนงานนักการที่สวมชุดฝ่ายตรวจการสิบกว่าคนบุกเข้ามาจากด้านนอก ผู้นำของพวกเขาก็คือชายร่างใหญ่แข็งแรงบึกบึนที่ก่อนหน้านี้ออกหน้าให้สวี่เป่าไฉคนนั้น

    “ข้าก็ว่าเหตุใดเมื่อเช้านี้ถึงได้ยินเสียงอีการ้องอีกแล้ว ที่แท้ก็เจ้าเฉินเฟยมาอีกแล้วนี่เอง” จางต้าพั่งและไป๋เสี่ยวฉุนมองหน้ากัน ต่างก็ทำท่าเหมือนไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไร มองไปที่กลุ่มคนจากฝ่ายตรวจการท่าทางดุดันที่เดินเข้ามาด้วยสายตาเรียบนิ่งเช่นเดียวกับคนอ้วนอื่นๆ

    เฉินเฟยหัวเราะเสียงเย็น สายตามองจางต้าพั่งหนึ่งที แล้วก็กวาดไปที่ไป๋เสี่ยวฉุนอีกหนึ่งที ทันใดนั้นก็ขมวดคิ้วฉับ คนของฝ่ายครัวไฟที่เห็นในตอนนี้ดูสงบเกินไป

    ระหว่างเดินทางมาที่นี่ในใจเขาฮึกเหิมเป็นอย่างมาก คิดไปว่าในที่สุดตนก็จับจุดอ่อนของฝ่ายครัวไฟได้แล้ว สามารถกำจัดฝ่ายครัวไฟได้ในหมัดเดียว สิ้นสุดการชิงดีชิงเด่นภายในที่ยืดเยื้อมาหลายปีของทั้งสองฝ่ายได้เสียที

    “แสร้งทำเป็นสงบนิ่ง!” เฉินเฟยหัวเราะเสียงเย็นอยู่ในใจ แววตาเผยความเฉียบขาด เอ่ยปากดุดัน

    “ฝ่ายครัวไฟ ข้าผู้แซ่เฉินขอถามพวกเจ้า การทดสอบนักการเพื่อเลื่อนขั้นเป็นศิษย์ฝ่ายนอกเมื่อหลายวันก่อน พวกเจ้าเก้าคนได้เข้าร่วมหรือไม่!”

    “เข้าร่วม” จางต้าพั่งตอบด้วยรอยยิ้ม

    “เข้าร่วมก็ดีแล้ว พาตัวไป!” เฉินเฟยไม่พูดมากอีก มือขวายกขึ้นมาชี้ นักการฝ่ายตรวจการสิบกว่าคนที่อยู่ด้านหลังก็บุกเข้ามาในทันที ในมือถือห่วงโซ่เหล็กเหมือนจะจับกุมเอาตัวคนของฝ่ายครัวไฟไป

    ไป๋เสี่ยวฉุนมองเห็นภาพนี้ก็พูดด้วยเสียงหัวเราะ

    “ฝ่ายตรวจการนี่จัดการได้ทุกเรื่องเลยรึ จำกัดคุณสมบัติในการเป็นศิษย์ฝ่ายนอกของพวกเราได้ด้วย น่าเกรงขามเสียจริง”

    เฉินเฟยมองไป๋เสี่ยวฉุน ในใจมีภาพกระบี่บินของไป๋เสี่ยวฉุนผุดขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ เมื่อโบกมือกลุ่มคนข้างกายก็หยุดชะงักลง เขาจ้องไป๋เสี่ยวฉุนเขม็ง แล้วก็ค่อยๆ หรี่ตาลง

    “ในเมื่อศิษย์น้องไป๋ไม่ยอมรับ ถ้าเช่นนั้นข้าผู้แซ่เฉินก็จะถามเจ้าอีกหนึ่งประโยค พวกเจ้าฝ่ายครัวไฟขวางกั้นทางออกของเส้นทางทดสอบ ขายตำแหน่งกันต่อหน้าผู้คนมากมาย ในเมื่อพวกเจ้ากล้าทำ แล้วกล้ารับหรือไม่!”

    “กล้ารับแน่นอนอยู่แล้ว พวกเรานี่แหละทำ!” ไป๋เสี่ยวฉุนตอบอย่างไม่สะทกสะท้านด้วยท่าทางน่าเอ็นดู พยักหน้าถี่ๆ แถมยังชี้พวกจางต้าพั่งด้วย “พวกเขาก็ทำเหมือนกัน”

    “มิผิด พวกเราทำกันทุกคน มีอันใดหรือ!” พวกจางต้าพั่งยอมรับ หัวเราะฮ่าๆ

    ภาพนี้ทำให้เฉินเฟยหน้าเปลี่ยนสี เขานึกไม่ถึงว่าคนของฝ่ายครัวไฟจะกล้ายอมรับเช่นนี้ ในความคิดของเขา นี่เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องชิงไหวชิงพริบกันอย่างยากลำบากเสียก่อนถึงจะทำให้คนของฝ่ายครัวไฟยอมรับอย่างไม่มีทางเลี่ยง

    ในเวลานี้เขารู้สึกประหลาดใจ ในใจแอบรู้สึกไม่ชอบมาพากล ดังนั้นจึงไม่พูดพร่ำทำเพลงอีกต่อไป คำรามเสียงต่ำหนึ่งครั้ง

    “ดีๆๆ ในเมื่อยอมรับแล้ว ข้าก็ไม่ต้องเหนื่อยถามต่อ ถ้าเช่นนั้นก็ตามข้าไปที่ฝ่ายคุมกฎเสีย หากใครกล้าต่อต้าน ตามกฎจะต้องโดนขับออกจากสำนัก!”

    เฉินเฟยพูดไป ตัวก็กระโจนขึ้นตรงดิ่งไปยังไป๋เสี่ยวฉุน กลุ่มคนด้านหลังของเขาก็พากันบุกเข้ามา

    แต่ในเวลานี้มือขวาของไป๋เสี่ยวฉุนกลับยกขึ้นอย่างฉับพลัน ระหว่างทำมุทราแสงของกระบี่เล่มหนึ่งก็ลอยลอดออกมาจากชายแขนเสื้อ กระบี่ไม้สีรุ้งเล่มนั้นลอยออกมาในชั่วพริบตา คำรามก้องกังวานขวางกั้นระหว่างฝ่ายครัวไฟและฝ่ายตรวจการ ไอเย็นยะเยือกแผ่กระจาย ทำให้ฝีเท้าของเฉินเฟยหยุดชะงักลง สีหน้าเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดในทันที

    “ไป๋เสี่ยวฉุน เจ้ากล้าต่อต้านหรือ!”

    “ศิษย์พี่เฉิน ฝ่ายตรวจการมีสิทธิ์สอบถาม แต่ถือสิทธิ์อันใดมาจับกุมผู้อื่นหรือ”

    “หึ พวกเจ้าล้วนยอมรับแล้วว่าทำผิดกฎของสำนัก ข้าย่อมมีสิทธิ์จับกุมตัวพวกเจ้าอยู่แล้ว!”

    “ไม่ทราบว่าพวกเราทำผิดกฎสำนักข้อไหนหรือ” ไป๋เสี่ยวฉุนยิ้มพรายถาม พวกจางต้าพั่งเองก็หรี่ตา มุมปากเผยรอยยิ้มเย็นชาขณะมองเฉินเฟย

    “พวกเจ้าขายตำแหน่งศิษย์ฝ่ายนอก ทำผิดกฎข้อที่…เอ่อ…” เฉินเฟยกำลังพูด ทันใดนั้นก็หยุดลง จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนอย่างรวดเร็ว หน้าผากค่อยๆ มีเหงื่อเย็นๆ ซึมออกมา

    เขาพลันค้นพบว่าในกฎสำนักไม่มีข้อใดระบุว่าไม่อนุญาตให้ผู้อื่นขายตำแหน่งศิษย์ฝ่ายนอกของเส้นทางทดสอบ…เพราะเรื่องแบบนี้น้อยคนนักที่จะคิดได้ และต่อให้คิดได้ก็ไม่มีใครกล้าพอจะทำ…

    “ศิษย์พี่เฉินเหตุใดจึงเหงื่อออกเสียเล่า สรุปว่าพวกเราทำผิดกฎข้อใดกันแน่ ท่านพูดมาสิ หรือว่าพวกเราไม่ได้ทำผิดกฎอะไร แต่เป็นศิษย์พี่เฉินเองที่โกหกฝ่ายคุมกฎ คิดชำระแค้นส่วนตัว มาที่นี่เพื่อตั้งศาลเตี้ยลงโทษพวกเราเสียเอง ศิษย์พี่เฉิน ครั้งนี้ที่ท่านทำนับว่าผิดกฎข้อที่สิบเอ็ดฉบับที่เก้าของสำนัก ตามกฎแล้ว บทลงโทษมิใช่เบาๆ เลย!” ไป๋เสี่ยวฉุนทำสีหน้าประหลาดใจ หลังจากถามกลับหนึ่งประโยคจบ น้ำเสียงก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ในใจชื่นมื่นอยู่กับตัวเอง

    “เจ้าพูดเหลวไหล ข้า…” เวลานี้ไม่ใช่แค่เฉินเฟยเท่านั้นที่หน้าเปลี่ยนสี นักการฝ่ายตรวจการคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านหลังเขาก็ล้วนตระหนักถึงปัญหาเช่นกัน แต่ละคนสีหน้าเปลี่ยนไปในพริบตา

    และในเวลาเดียวกันนั้น จางต้าพั่งก็แสยะยิ้มยกมือทั้งสองข้างขึ้นถูดังแกรกกรากสามสี่ที ดวงตาของศิษย์พี่ตัวอ้วนคนอื่นๆ ก็ฉายแววเอาเรื่อง เดินเข้าไปหากลุ่มของฝ่ายตรวจการ

    “เฉินเฟย เจ้าทำผิดกฎสำนัก ฝ่ายคุมกฎเป็นฝ่ายรับผิดชอบ ตอนนี้เจ้าทำประตูใหญ่ที่บรรพบุรุษจำนวนนับไม่ถ้วนของฝ่ายครัวไฟเราเป็นผู้สร้างพัง จะชดใช้อย่างไร วันนี้เจ้าต้องให้ความกระจ่างกับพวกเราให้ได้!” จางต้าพั่งแสยะยิ้ม พลิกมาเป็นฝ่ายกุมอำนาจในฉับพลัน

    ในเมื่อพวกเขากล้าไปกั้นขวางเส้นทางทดสอบ แน่นอนว่าต้องเตรียมตัวมาอย่างรอบคอบ ตั้งแต่เมื่อสองเดือนก่อนตอนที่ไป๋เสี่ยวฉุนเสนอความคิดนี้ขึ้น พวกเขาก็ได้ศึกษากฎของสำนักกันจนขึ้นใจ จึงกล้าทำเรื่องใหญ่แบบนี้ได้

    “ตี!” ที่ติดตามคำพูดของจางต้าพั่งมาคือร่างกายใหญ่โตดั่งภูเขาเนื้อของเขา ทำให้พวกเฉินเฟยหวาดผวา

    เวลาต่อมา เสียงทุบตีตุ้บตั้บก็ดังไปทั่วลานกว้าง ร่างของไป๋เสี่ยวฉุนแวบออกไป ยืนพิงกำแพงของลานด้วยความเคยชิน สะบัดปลายเสื้อแขนสั้นหนึ่งที มือสองข้างไพล่หลัง แสร้งทำเป็นมองออกไปไกลคล้ายครุ่นคิดลึกซึ้ง ทำสีหน้าท่าทางเป็นยอดฝีมือที่เบื่อหน่าย เสร็จธุระแล้วออกมายืนดูเฉยๆ

    “ข้าไป๋เสี่ยวฉุนแค่ดีดนิ้ว ฝ่ายตรวจการก็ราพณาสูร…”

     

    บทที่ 13

    เจ้าก็มาด้วยสิ

     

    การต่อสู้กันระหว่างฝ่ายตรวจการและฝ่ายครัวไฟยืดเยื้อติดต่อกันมาหลายปี ข้อขัดแย้งระหว่างกันมีมากมาย แต่ต่างฝ่ายกลับรักษาระดับไว้อย่างพอดี ไม่สร้างเรื่องให้ใหญ่โต อย่างมากที่สุดก็แค่บาดเจ็บกันเท่านั้น

    และการต่อสู้ที่เกิดจากเรื่องเส้นทางทดสอบในวันนี้ก็นานเพียงหนึ่งก้านธูปเท่านั้น ภายใต้มือต่อยเท้าเตะของพวกจางต้าพั่ง พวกเฉินเฟยจากฝ่ายตรวจการแต่ละคนล้วนหน้าเขียวปูดบวม จำต้องหยิบเอาศิลาวิเศษหลายก้อนออกมาชดเชยค่าประตู จากนั้นฝากคำอาฆาตแค้นไว้หนึ่งประโยคค่อยข่มกลั้นความเจ็บใจจากไป

    ก่อนจากไปเฉินเฟยหันกลับไปมองไป๋เสี่ยวฉุนที่แสร้งยืนทำท่าครุ่นคิดลึกซึ้งอยู่ตรงกำแพง ความโกรธแค้นในใจยิ่งมากขึ้น เขาพบว่านับแต่ไป๋เสี่ยวฉุนมาอยู่ฝ่ายครัวไฟ ฝ่ายครัวไฟแห่งนี้ก็ยิ่งน่ารังเกียจมากขึ้นทุกวัน

    การต่อสู้ในครั้งนี้ย่อมดึงดูดความสนใจของนักการทั้งหมด เมื่อนักการของฝั่งทิศใต้หลายคนพบว่าฝ่ายตรวจการจำต้องยอมให้ฝ่ายครัวไฟอย่างจนใจนั้น ในใจของแต่ละคนล้วนแค้นเคือง แต่ก็มีนักการบางส่วนที่เป็นเหมือนโหวเสี่ยวเม่ย รู้สึกว่าการกระทำของฝ่ายครัวไฟถือเป็นการสร้างโอกาสดีอย่างหนึ่งให้ตัวเอง

    จนกระทั่งเดือนที่สองมาถึง การทดสอบเปิดขึ้นอีกครั้ง กลุ่มคนจากฝ่ายครัวไฟก็พุ่งทะยานไปถึงก่อนใคร ยืนผ่าเผยเฝ้าอยู่ตรงทางเข้าเส้นทางทดสอบ

    นักการที่อยู่รอบทิศล้วนมองพวกเขาด้วยความโกรธเคือง

    “สหายร่วมสำนักทุกท่าน หากพวกท่านปีนขึ้นเขาได้เร็วกว่าพวกเรา แน่นอนว่าไม่ต้องมาซื้อตำแหน่งจากพวกเรา พวกเราทำเช่นนี้ก็เพื่อสำนักทั้งสิ้น เพื่อให้ทุกคนมีแรงผลักดันในการแข่งขัน เลือกคนเก่งในหมู่คนเก่ง!” จางต้าพั่งกระแอมไอแห้งๆ หนึ่งที เอ่ยปากพูดกับนักการรอบกาย ประโยคนี้ไป๋เสี่ยวฉุนเป็นคนบอกเขา เมื่อพูดออกมาในเวลานี้ก็ทำให้พวกนักการกัดฟันในทันที

    จนกระทั่งเสียงระฆังดังก้อง พริบตาที่เส้นทางการทดสอบเปิดขึ้นนั้นกลุ่มคนจากฝ่ายครัวไฟรวมไปถึงนักการทุกคนล้วนพุ่งไปข้างหน้าสุดชีวิต คล้ายว่าสะสมพลังเท้ากันมาอย่างเพียงพอเพื่อจะแข่งกับฝ่ายครัวไฟ

    แต่ไม่นานหลังจากที่พวกเขามองเห็นแผ่นหลังของเจ้าอ้วนหลายคนรวมถึงไป๋เสี่ยวฉุนจากฝ่ายครัวไฟหายลับไปจากสายตา ทุกคนก็ยิ้มขื่นทันใด แต่ก็กัดฟันเดินหน้าอย่างไม่ยอมแพ้

    เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงสอดคล้องกับคำพูดของจางต้าพั่งไม่มากก็น้อย…

    หลังจากที่ประสบความสำเร็จอีกหนึ่งครั้ง ชื่อเสียงของฝ่ายครัวไฟก็ยิ่งใหญ่เกรียงไกร สะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วเขตงานนักการอย่างแท้จริง ทำให้นักการจำนวนนับไม่ถ้วนที่ได้ยินข่าวแทบจะหน้าเปลี่ยนสีทันที ลำพังแค่วิชาขั้นสูงที่พวกเขาฝึกได้ บวกกับขนาดรูปร่างที่น่าตกใจก็ทำให้ผู้อื่นได้แต่โกรธทว่าไม่กล้าพูดออกมาอยู่แล้ว

    ความรุ่งโรจน์เช่นนี้หลายปีมานี้ฝ่ายครัวไฟไม่เคยมีมาก่อน แม้ว่าก่อนหน้านี้ฝ่ายครัวไฟจะมีชื่อเสียงยิ่งใหญ่มากในเขตงานนักการ แต่บัดนี้ชื่อเสียงยิ่งใหญ่ได้ขึ้นสู่จุดสูงสุดของประวัติศาสตร์ฝ่ายครัวไฟแล้ว

    จากนั้นเวลาก็ผ่านไปอีกสองเดือน แค่การทดสอบเริ่มขึ้น แต่ละคนของฝ่ายครัวไฟก็ล้วนคึกคักฮึกเหิม พากันพุ่งทะยานออกไป ในสายตาของพวกเขา วันนี้ของทุกเดือนก็คือวันที่พวกเขาจะร่ำรวยศิลาวิเศษ

    ไป๋เสี่ยวฉุนเองก็ตื่นเต้นเช่นเดียวกัน เมื่อเห็นว่าศิลาวิเศษของตนมีมากขึ้นเรื่อยๆ จนจำนวนใกล้จะพอเอาไปซื้อสมุนไพรได้แล้ว เส้นทางการทดสอบก็ได้เปิดขึ้นอีกครั้ง

     

    เช้าตรู่วันนี้ จางต้าพั่ง เฮยซานพั่ง และศิษย์พี่อ้วนคนอื่นๆ พร้อมด้วยไป๋เสี่ยวฉุนตื่นกันแต่เช้า ทั้งเก้าคนพุ่งทะยานออกไป แยกย้ายกันไปเส้นทางละสามคน พวกไป๋เสี่ยวฉุนสามคนตรงดิ่งไปที่ยอดเขาเซียงอวิ๋น

    แต่ขณะอยู่กลางทางคนของฝ่ายตรวจการก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน พูดจาเปะปะตามอำเภอใจหาเรื่องมาต่อสู้กับพวกไป๋เสี่ยวฉุนสามคน อีกฝ่ายคนมากกว่าจึงได้เปรียบ ทำให้การต่อสู้ตะลุมบอนครั้งนี้ใช้เวลานานเล็กน้อย จนกระทั่งเสียงระฆังดังจางต้าพั่งจึงร้อนใจขึ้นมาโดยพลัน แม้แต่ดวงตาแดงยังก่ำ

    และในเวลานี้เอง กลุ่มคนของฝ่ายตรวจการกลับแยกย้ายกันไปหลังจากถ่วงเวลาสมใจแล้ว ทำให้จางต้าพั่งโกรธเสียจนยกเท้ากระทืบแรงๆ ไม่ทันตามไปเอาเรื่องต่อก็รีบพุ่งทะยานไปยังเส้นทางทดสอบของยอดเขาเซียงอวิ๋นพร้อมกับไป๋เสี่ยวฉุนและเฮยซานพั่ง เมื่อไปถึงที่นั่นก็เห็นว่าบริเวณโดยรอบเหลือคนอยู่แค่ไม่กี่คน ทั้งสามคนต่างร้อนใจ รีบเร่งขึ้นเขาไป

    “เจ้าพวกสารเลวฝ่ายตรวจการกลุ่มนั้น เดี๋ยวรอข้าลงเขาไปก่อนเถอะ จะเรียกรวมศิษย์น้องของฝ่ายครัวไฟเราทุกคนไปพังฝ่ายตรวจการให้เละเลย!” จางต้าพั่งหอบฮัก ขณะที่เอ่ยปากด้วยความโกรธแค้น พลังแฝงทั้งหมดระเบิดออกมา ไขมันในร่างกายถูกเผาไหม้อย่างรุนแรง เนื้อบนร่างซูบลงไปเป็นเท่าตัวอย่างเห็นได้ชัด ความเร็วก็เพิ่มขึ้นพรวดพราดไม่มีหยุด

    ไป๋เสี่ยวฉุนเองก็เจ็บใจเช่นกัน อีกแค่นิดเดียวศิลาวิเศษของเขาก็จะพอแล้ว ในเวลานี้จึงกัดฟันกรอด ความเร็วที่แต่เดิมก็มากอยู่แล้วเพิ่มขึ้นไปอีกเท่าตัวในทันที พร้อมด้วยจางต้าพั่งและเฮยซานพั่ง ทั้งสามคนวิ่งทะยานอยู่บนเส้นทางทดสอบและวิ่งเลยพวกนักการแต่ละคนที่นำหน้าอยู่

    จนกระทั่งใกล้จะถึงยอดเขาสีหน้าของทั้งสามคนก็พลันบิดเบี้ยวขึ้นมา เพราะว่าบนยอดเขาตำแหน่งที่ใกล้กับทางออกมากที่สุดปรากฏเงาร่างสามร่างยืนอยู่ตรงนั้น

    ผู้นำของกลุ่มนั้นคือเฉินเฟยจากฝ่ายตรวจการ ด้านหลังของเขามีชายร่างใหญ่อีกสองคน ท่าทางล้วนฝึกขั้นหลอมปราณได้ถึงขั้นที่สามแล้ว ทั้งสามคนยืนอยู่ตรงนั้น เมื่อสัมผัสได้ถึงเงาร่างของพวกไป๋เสี่ยวฉุน แต่ละคนก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา

    “จางต้าพั่ง ไป๋เสี่ยวฉุน พวกเจ้ามาช้าไปแล้ว! แต่ว่าไม่เป็นไร ที่ข้ามีตำแหน่งอยู่พอดี พวกเจ้าต้องการหรือไม่เล่า”

    “ต่ำช้า หน้าไม่อาย คนถ่อย!” ดวงตาทั้งคู่ของจางต้าพั่งแดงก่ำ เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

    “ในเมื่อไม่ผิดกฎสำนัก พวกเจ้าฝ่ายครัวไฟมาได้ พวกเราฝ่ายตรวจการก็มาได้เหมือนกัน!”

    “ฮ่าๆ ต่อไปกิจการนี้ต้องตกเป็นของฝ่ายตรวจการของเรา!”

    เสียงของพวกเฉินเฟยลอยมาเข้าหูของพวกไป๋เสี่ยวฉุนสามคน จางต้าพั่งโกรธจนควันออกหู เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายวางแผนชั่วมาก่อนแล้ว ก่อนหน้านี้ถึงได้มีคนของฝ่ายตรวจการมาขวางทางพวกเขาสามคนไว้

    จางต้าพั่งคำรามด้วยความเดือดดาลหนึ่งที กำลังจะลงไม้ลงมือกับพวกเฉินเฟยสามคน ในความคิดเขาการต่อสู้ครั้งนี้ไม่มีทางเลี่ยงได้ อีกอย่างก็คือไม่รู้ว่าภายหน้าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นอีกกี่ครั้ง นี่ไม่ต่างอะไรจากการแย่งศิลาวิเศษไปจากเขา ทำให้ไฟแค้นของจางต้าพั่งปะทุเดือดอย่างถึงที่สุด

    เฮยซานพั่งก็โกรธแค้นเช่นเดียวกัน แต่ชั่วขณะที่ทั้งสองคนกำลังจะลงมือนั้น ไป๋เสี่ยวฉุนก็กลอกตาหนึ่งที พลันเอ่ยปากด้วยเสียงแผ่วเบา

    “ศิษย์พี่ใหญ่ วิ่งให้เร็วที่สุด ผลักพวกเขาสามคนขึ้นเขาไป พวกเรายอมอดได้ศิลาวิเศษครั้งนี้ แต่ต้องตัดหนทางที่วันหน้าฝ่ายตรวจการจะมาแย่งชิงกิจการของเรา!”

    เมื่อเขาพูดประโยคนี้ออกมา นัยน์ตาของจางต้าพั่งก็เผยความดีใจอย่างบ้าคลั่งโดยพลัน และยิ่งรู้สึกว่าเล่ห์เหลี่ยมของไป๋เสี่ยวฉุนนั้นมีมากมายเหลือเกิน พอเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง ร่างกายก็พุ่งพรวดออกไป ดวงตาทั้งคู่ของเฮยซานพั่งเองก็เป็นประกายเช่นกัน หัวเราะคิกคัก โยกร่างวิ่งไปพร้อมกับจางต้าพั่ง

    เส้นทางทดสอบนี้เดิมทีก็แคบมากอยู่แล้ว ในเวลานี้จางต้าพั่งและเฮยซานพั่งวิ่งมาเคียงคู่กัน จึงเหมือนกำแพงหนึ่งด้านพุ่งเข้ามา พัดพาจนเกิดเสียงลมหวีดหวิว

    ด้วยความเร็วที่พุ่งทะยานเข้าหาพวกเฉินเฟยนั้น พริบตาก็ใกล้ประชิดตัวแล้ว

    ไป๋เสี่ยวฉุนอยู่ด้านหลังจางต้าพั่งร้องเสียงแหลมสูง

    พวกเฉินเฟยทั้งสามคนเห็นภาพนี้เข้าก็พากันลงมืออย่างไม่ลังเล แต่ต่อให้พวกเขาทุกคนลงมือก็ยังสู้จางต้าพั่งและเฮยซานพั่งที่ตาแดงราวหมูป่าตื่นในเวลานี้ไม่ได้

    การบุกโจมตีของทั้งสองคนในเวลานี้พูดได้ว่าฟ้าดินยังตะลึงพญายมยังร้องไห้ พวกเขาพุ่งทะยานอย่างบ้าคลั่งจนกระแทกเข้ากับร่างของเฉินเฟย ร่างกายของพวกเฉินเฟยสามคนถอยหลังไปในทันที สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาของแต่ละคนฉายแววตะลึงพรึงเพริด ตอนนี้พวกเขารู้ความตั้งใจของฝ่ายครัวไฟแล้ว แต่ละคนเดือดดาลจนแทบระเบิด

    หากอยู่ที่อื่นพวกเฉินเฟยสามคนสามารถหลบเลี่ยงและจู่โจมกลับไปได้ แต่อยู่ที่นี่การโจมตีกลับของพวกเขาไม่เพียงไม่ได้ผล กลับยิ่งทำให้ร่างกายถอยไปด้านหลังเร็วขึ้นอีกด้วย

    ยิ่งถอยไปข้างหลัง สีหน้าของพวกเฉินเฟยสามคนก็ยิ่งหวาดกลัว

    พึงเข้าใจว่าพวกเขาเองก็ไม่อยากเป็นศิษย์ฝ่ายนอกเร็วขนาดนี้เช่นกัน หากไปเป็นศิษย์ฝ่ายนอกแล้วก็จะไม่ใช่ฝ่ายตรวจการและศิษย์ทั่วไปอีก ค่าน้ำร้อนน้ำชาที่ได้ก็ย่อมขาดหายไป…

    “ศิษย์พี่จางอย่าเพิ่งใจร้อน มีอะไรก็พูดกันดีๆ…” เหงื่อเย็นๆ ผุดขึ้นบนหน้าผากเฉินเฟย เขารีบเปิดปากทันที ทว่าเพิ่งจะพูดได้แค่ครึ่งเดียว เสียงแหลมเล็กของไป๋เสี่ยวฉุนก็ทะลุกลางปล้องขึ้นมา

    “ศิษย์พี่ใหญ่ดันเข้าไป ผลักพวกเขาขึ้นเขาไปเลย!”

    จางต้าพั่งได้ยินก็เงยหน้าคำรามเสียงดัง ร่างกายเพิ่มความเร็วอีกเท่าตัว เฮยซานพั่งเองก็ไม่ต่างกัน ทั้งสองคนเรียงหน้ากระดานช่วยกันดัน ขณะที่เสียงดังสนั่นลอยมา ชายร่างใหญ่ฝ่ายตรวจการคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังเฉินเฟยเป็นคนแรกที่ไม่อาจต้านทานได้ถูกผลักออกไปจากขั้นบันไดของเส้นทางแคบๆ ร่วงไปอยู่บนยอดเขา เมื่อได้ยืนอยู่ตรงนั้นแล้วเขาก็อยากร้องแต่ร้องไม่ออก

    แทบจะเวลาเดียวกันกับที่เขาถูกกระแทกออกไป ชายนักการร่างใหญ่ฝ่ายตรวจการอีกคนหนึ่งก็เปล่งเสียงร้องโหยหวน ร่างกายถอยกรูด หลังจากที่เท้าข้างหนึ่งออกนอกเส้นทางทดสอบไปยืนอยู่บนยอดเขา เขาก็ตีอกชกหัว ไม่ยินยอมอย่างถึงที่สุด

    สุดท้ายคือเฉินเฟย บนทางภูเขาแคบๆ นี้ลำพังแค่ตัวเขาจะต้านทานไหวได้อย่างไร สุดท้ายเมื่อเสียงตึงดังขึ้น เขาก็ถูกกระแทกออกไป ดวงตาแดงก่ำอย่างถึงที่สุด ขณะที่เหยียบลงบนยอดเขาแล้วมองไปที่พวกจางต้าพั่ง นัยน์ตาเผยแววสังหารออกมา

    “ไป๋เสี่ยวฉุน!” ที่เขาเกลียดที่สุดไม่ใช่จางต้าพั่ง แต่เป็นไป๋เสี่ยวฉุนที่ออกความคิดชั่วช้านี้

    ในเวลานี้บนยอดเขา ศิษย์ฝ่ายนอกสองคนที่รับผิดชอบอยู่ตรงนี้เห็นภาพเหตุการณ์เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาก็กระแอมไอแห้งๆ ให้กันหนึ่งทีแล้วถอยหลังไปสองสามก้าวโดยไม่พูดอะไร

    บนเส้นทางทดสอบที่อยู่ใกล้กับทางออก จางต้าพั่งและเฮยซานพั่งหัวเราะเสียงดังด้วยความสะใจ

    “เฉินเฟย ลาก่อนนะ ฮ่าๆ ต่อไปไม่ได้เห็นเจ้าในเขตงานนักการ ข้าจะคิดถึงเจ้า อิจฉาเจ้าจริงๆ ที่ได้กลายเป็นศิษย์ฝ่ายนอกเสียแล้ว” จางต้าพั่งตบท้อง เนื้อไขมันกระเพื่อมเป็นลูกคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วน

    พวกเฉินเฟยสามคนแทบจะกระอักเลือด ความคิดอยากสังหารคนเริ่มบังเกิดขึ้น

    “ศิษย์พี่ทั้งสามไม่ต้องขอบคุณ ยินดีกับพวกท่านด้วยที่ได้เป็นปลาหลี่ข้ามประตูมังกร กลายเป็นศิษย์ฝ่ายนอกเลื่อนตำแหน่งพรวดพราด ศิษย์น้องอิจฉาเหลือเกิน” ไป๋เสี่ยวฉุนเชิดคาง ใบหน้าลำพองใจ

    แต่ขณะที่คำพูดด้วยความลำพองใจของเขาเพิ่งจะเปล่งออกไป น้ำเสียงเย็นเยียบเสียงหนึ่งก็พลันดังขึ้นอย่างเนิบนาบบนยอดเขาเซียงอวิ๋น

    “ไม่ต้องอิจฉาหรอก เจ้าเองก็มาด้วยสิ”

    พริบตาที่เสียงนี้กระทบใบหูไป๋เสี่ยวฉุน ร่างกายของเขาก็สั่นไหวทันที ขณะที่นัยน์ตาเผยความหวาดกลัว แรงดึงดูดมหาศาลจากทางยอดเขาก็พุ่งมาปกคลุมทั่วร่างเขาอย่างรวดเร็ว ม้วนเอาตัวเขาเข้าไป พริบตาเดียวก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ยอดเขา

    ไป๋เสี่ยวฉุนร้องโหยหวน เอื้อมมือคว้าจับลำต้นของต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านข้างเส้นทางทดสอบ กอดไว้แน่นไม่ปล่อย เสียงร้องน่าเวทนายิ่งกว่าเดิม

    “ศิษย์พี่ช่วยข้าด้วย”

    ภาพเหตุการณ์นี้กะทันหันเกินไป จางต้าพั่งและเฮยซานพั่งยังไม่ทันตั้งตัว เสียงเปรี๊ยะก็ดังขึ้น ต้นไม้ที่ไป๋เสี่ยวฉุนกอดอยู่หักออก ร่างกายของเขาเหมือนว่าวสายป่านขาด ถูกม้วนเข้าไปยังยอดเขา ในเวลาเดียวกันนั้น ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากยอดเขา เขาสวมชุดคลุมยาวสีฟ้าอ่อน สีหน้าไม่โกรธเคืองแต่กลับดูเคร่งขรึม เขาก็คือ…

    หลี่ชิงโหว

     

    บทที่ 14

    ศิษย์พี่สาม? ศิษย์พี่หญิงสาม?

     

    มองเห็นภาพนี้ พวกเฉินเฟยสามคนเกิดความยินดีในความโชคร้ายของอีกฝ่ายทันที แต่ละคนมองไป๋เสี่ยวฉุนด้วยความรู้สึกว่าตาข่ายสวรรค์แผ่กว้าง ถึงแม้ตาจะห่างแต่ไม่โหว่รั่ว ส่วนศิษย์ฝ่ายนอกที่รับผิดชอบอยู่ตรงนี้สองคนนั้นก็เผยสีหน้าของคนที่ความแค้นได้รับการชำระเช่นกัน พวกเขาไม่เคยมีอารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้ต่อฝ่ายนักการมาก่อน

    “ข้าไม่ไป…” เมื่อร่างไป๋เสี่ยวฉุนร่วงลงพื้นก็ร้องโหยหวน เสียงคร่ำครวญนั้นดังไปทั่ว ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมจนเพียงพอจะทำให้คนฟังร้องไห้ตามได้

    จางต้าพั่งและเฮยซานพั่งที่อยู่บนเส้นทางทดสอบในตอนนี้ หลังจากมองเห็นหลี่ชิงโหวแล้ว ร่างกายก็สั่นไหวเล็กน้อย รีบก้มหน้าลง คิดจะถือโอกาสตอนหลี่ชิงโหวเผลอหนีไป

    “ศิษย์น้องเก้าเอ๋ย ไม่ใช่ว่าพี่ใหญ่ไม่ช่วยเจ้านะ แต่ถึงขนาดที่ท่านปรมาจารย์ใหญ่เขาเซียงอวิ๋นปรากฏตัวแล้ว เจ้าก็คงทำได้เพียงลำบากอยู่ฝ่ายนอกแล้ว…” จางต้าพั่งถอนหายใจในใจติดๆ กัน ขณะที่กำลังก้มหน้าก้มตาจะแอบหนีไปนั้นหูเขาก็ได้ยินเสียงของหลี่ชิงโหวลอยมาทันใด

    “แล้วก็พวกเจ้าสองคน มาด้วยกันสิ” แทบจะทันทีที่จางต้าพั่งได้ยินประโยคนี้ แรงดึงดูดมหาศาลก็แผ่มาถึงอย่างฉับพลัน ม้วนเอาตัวจางต้าพั่งและเฮยซานพั่งไปโดยตรง พวกเขาไม่มีแม้แต่โอกาสคว้ากอดต้นไม้ก็ถูกโยนไปอยู่บนยอดเขาเสียแล้ว

    “ข้าไม่อยากขึ้นเขานะ ยอมหิวตายอยู่ในครัวไฟ ไม่ไปแก่งแย่งศิษย์ฝ่ายนอก…” จางต้าพั่งร้องโหยหวน น้ำเสียงน่าเวทนายิ่งกว่าไป๋เสี่ยวฉุนอีกหลายเท่าตัวนัก ไป๋เสี่ยวฉุนที่ได้ยินถึงกับเงยหน้าขึ้นมองด้วยความแปลกใจ ลืมร้องโหยหวนต่อ

    เฮยซานพั่งไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมา แต่ใบหน้ากลับระทมทุกข์ ทำปากยื่น มองลงไปด้านล่างเขาเงียบๆ ด้วยความอาลัยอาวรณ์ลึกล้ำ

    “หุบปาก!” หลี่ชิงโหวได้ยินเสียงร้องโหยหวนของจางต้าพั่ง สีหน้าก็ดุดัน

    ชั่วพริบตานั้นไป๋เสี่ยวฉุนลุกขึ้นยืนในทันที สีหน้าเคร่งขรึม ยืนอยู่ข้างๆ อย่างนิ่งสงบ มองไม่เห็นท่าทางเป็นทุกข์เพราะไม่ได้รับความเป็นธรรมอีกแล้วราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

    จางต้าพั่งเองก็อึ้งไป รีบลุกขึ้นยืนเช่นเดียวกัน แต่ความไม่เป็นธรรมในใจกลับเหมือนมหาสมุทรกว้างใหญ่ที่ฉุดตนเองให้จมดิ่ง ก่อนหน้านั้นตอนที่ไป๋เสี่ยวฉุนร้องโหยหวน อีกฝ่ายไม่ว่าอันใด แต่เหตุใดพอตนเองร้องบ้างถึงได้ถูกตำหนิในทันที

    “จางต้าไห่ เจ้าไปที่เขาจื่อติ่ง นับแต่วันนี้ไป เจ้าก็คือศิษย์ฝ่ายนอกของเขาจื่อติ่ง!”

    “เฉินชิงโหรว เจ้าไปที่เขาชิงเฟิง!”

    “ไป๋เสี่ยวฉุน เจ้าอยู่ที่เขาเซียงอวิ๋นของข้า เป็นศิษย์ฝ่ายนอกของภูเขาลูกนี้ ตามข้ามา!” หลี่ชิงโหวมองไป๋เสี่ยวฉุนหนึ่งที รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย เขาเพียงกักตนบำเพ็ญตบะครั้งเดียวเท่านั้น พอออกมาก็ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับคนของฝ่ายครัวไฟ เรื่องนี้ถึงหูพวกผู้เฒ่าในสำนักแล้ว เพียงแต่ในสายตาของคนเหล่านั้นเรื่องแบบนี้ถือเป็นเรื่องสนุกที่นานๆ จะมีให้เห็นสักทีในช่วงการบำเพ็ญตน จึงไม่คิดจะลงโทษอะไรพวกเขา

    แต่ตนกลับรู้สึกว่าเป็นอย่างนี้ต่อไปจะไม่ดี หลี่ชิงโหวจึงได้มาที่นี่

    กล่าวจบเขาก็สะบัดชายแขนเสื้อ เดินขึ้นไปบนยอดเขาเซียงอวิ๋นที่อยู่สูงขึ้นไปโดยไม่สนใจพวกเฉินเฟยสามคน

    ไป๋เสี่ยวฉุนหน้าม่อย ถอนหายใจหนึ่งครั้ง บอกลาจางต้าพั่งและเฮยซานพั่ง ทันใดนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงหันมองเฮยซานพั่งด้วยสายตาประหลาดใจ ถามออกมาหนึ่งประโยคอย่างไม่แน่ใจ

    “ชื่อจริงของศิษย์พี่สามคือ…เฉินชิงโหรว ฮ่าๆ ชื่อดี ฟังแล้วเหมือนชื่อสาวงามคนหนึ่งเลย”

    เฮยซานพั่งกำลังกลัดกลุ้ม พอได้ยินก็ส่งเสียงหึหนึ่งที ก่อนจะหมุนตัวเดินลงเขาไป

    “เป็นอะไรของเขา” ไป๋เสี่ยวฉุนหันมองจางต้าพั่ง

    จางต้าพั่งเองก็มองไป๋เสี่ยวฉุนด้วยสายตาแปลกประหลาดหนึ่งครั้ง ตบไหล่ของเขาแล้วกล่าวประโยคที่อัดแน่นด้วยความหมายลึกซึ้ง

    “ศิษย์น้องเก้า ข้าไม่เคยบอกเจ้ามาก่อน เฮยซานพั่งที่เป็นศิษย์พี่ของเจ้า แท้ที่จริงแล้ว…นางคือศิษย์พี่หญิงของเจ้า” จางต้าพั่งกระแอมไอแห้งๆ หนึ่งทีก็รีบวิ่งไป

    ไป๋เสี่ยวฉุนยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น รู้สึกเหมือนถูกฟ้าดินลงโทษหลังทำเรื่องชั่ว ดั่งโลกทั้งใบพลิกคว่ำคะมำหงาย

    “ศิษย์…ศิษย์พี่หญิง?” เงียบไปพักใหญ่ ไป๋เสี่ยวฉุนก็อ้าปากพะงาบๆ กำลังจะมองไปยังแผ่นหลังของเฮยซานพั่ง หูก็ได้ยินน้ำเสียงเย็นชาของหลี่ชิงโหวลอยมา

    “พิรี้พิไรอยู่นั่น ยังไม่รีบตามมาอีก!”

    ไป๋เสี่ยวฉุนหน้าม่อยอีกครั้ง รีบวิ่งเร็วๆ ตามหลี่ชิงโหวไป เดินได้สามก้าวก็หันกลับไปมองฝ่ายครัวไฟที่อยู่ตีนเขาไกลๆ ทอดถอนใจอยู่ในใจ

    เขาสืบข่าวเรื่องตัวตนของหลี่ชิงโหวมานานแล้ว รู้ว่าฝั่งทิศเหนือของสำนักหลิงซีมีสี่ยอดเขา ฝั่งทิศใต้มีสามยอดเขา หลี่ชิงโหวก็คือผู้นำเขาเซียงอวิ๋นหนึ่งในสามยอดเขา ดังนั้นตำแหน่งในสำนักจึงสูงส่งและทรงอำนาจ

    เขาเซียงอวิ๋นนี้มองดูแล้วไม่ใหญ่ แต่ในความเป็นจริงแล้วเมื่อเดินเข้ามาข้างในจะได้ยินเสียงนกร้องจากรอบทิศ กลิ่นบุปผาหอมกำจาย ไม่ต้องพูดก็รับรู้ได้ว่าเหมือนเขตแดนของเซียน ยิ่งไปกว่านั้นคือมีขนาดใหญ่กว่าที่มองเห็นภายนอกหลายเท่าตัวนัก

    ยอดเขาทางออกของเส้นทางทดสอบนั้นแท้จริงแล้วเป็นเพียงยอดเขาย่อยที่แยกออกไปของเขาเซียงอวิ๋นเท่านั้น เมื่อเทียบกับเขาเซียงอวิ๋นทั้งหมดแล้วถือว่าเป็นเพียงแค่ตีนเขา

    เมื่อเดินเข้ามาในเขาเซียงอวิ๋น เมฆหมอกรอบกายลอยหมุนวนเป็นเกลียวขึ้นไป และยิ่งมีกลิ่นเครื่องหอมลอยแทรกเข้ามาในกลุ่มเมฆหมอกด้วยแล้ว แค่สูดดมทีเดียวก็ทำให้เป็นสุขทั้งดวงตาและจิตใจ ร่างทั้งร่างเหมือนอุ่นซ่านไปหมด ไป๋เสี่ยวฉุนรู้สึกได้ถึงความไม่ธรรมดาในทันที รีบสูดดมเข้าไปเฮือกใหญ่ วิชาการหลอมปราณขั้นที่สามในร่างกายซึ่งไม่กระเตื้องมาหลายเดือนแล้วก็คึกคักขึ้นมาไม่น้อย

    หลี่ชิงโหวที่เดินอยู่ด้านหน้า ถึงแม้ไม่ได้หันกลับมาแต่สายตากลับเผยความปีติยินดี รู้สึกพึงพอใจกับความเร็วในการฝึกวิชาของไป๋เสี่ยวฉุนในช่วงหนึ่งปีกว่าที่ผ่านมา

    “หลังจากเจ้ากลายเป็นศิษย์ฝ่ายนอกแล้วห้ามไปก่อเรื่องอีก พวกเราบำเพ็ญตน เหมือนดั่งพายเรือทวนน้ำ ต้องควบคุมจิตใจตนเองตลอดเวลา” หลี่ชิงโหวเอ่ยปากเนิบๆ

    ไป๋เสี่ยวฉุนไม่กล้าพูดอะไรคัดค้านอีกฝ่าย ได้แต่ทำตัวเป็นเด็กดี พยักหน้ารับหงึกหงัก

    “การฝึกวิชาของศิษย์ฝ่ายนอก ทรัพยากรในสำนักเป็นแค่ส่วนหนึ่ง ยังจำเป็นต้องมีความมุมานะของตัวเองและโชคลาภวาสนา ในสำนักจึงมีภารกิจมากมายรอให้ไปทำ เดี๋ยวอีกครู่เจ้าลงไปดูแล้วเลือกบางภารกิจมาฝึกฝนตนเองเสีย” หลี่ชิงโหวพูดกำชับอีกที

    ไป๋เสี่ยวฉุนได้ยินมาถึงตรงนี้หัวใจก็กระตุกวูบทันที นึกถึงก่อนหน้านี้ที่ศึกษากฎของสำนักว่าเคยอ่านเจอกฎข้อหนึ่งสำหรับศิษย์ฝ่ายนอก ดูเหมือนศิษย์ฝ่ายนอกจะจำเป็นต้องทำภารกิจให้สำเร็จอย่างน้อยหนึ่งภารกิจอยู่เป็นระยะๆ หากทำไม่สำเร็จจะถูกลงโทษ ยึดฐานะศิษย์ฝ่ายนอกกลับคืน ลดขั้นให้เป็นนักการ

    ในใจเขาตกตะลึงระคนดีใจในทันที แต่ขณะที่กำลังคิดถึงข้อนี้ หลี่ชิงโหวที่อยู่ด้านหน้าก็ดูเหมือนจะเดาความคิดของไป๋เสี่ยวฉุนได้ เอ่ยเนิบนาบประโยคหนึ่ง

    “ไม่ต้องไปคิดถึงกฎของสำนักหรอก คนอื่นทำภารกิจไม่สำเร็จถูกลดขั้นเป็นนักการ แต่หากเจ้าเกียจคร้าน ข้าจะไล่เจ้าออกจากสำนัก ส่งกลับไปยังหมู่บ้าน ร้อยปีให้หลังหากข้านึกได้จะไปจุดธูปให้เจ้าสักดอก”

    ไป๋เสี่ยวฉุนตกใจ หากไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นดินแดนของเซียนมาก่อนก็ว่าไปอย่าง ในเวลานี้ได้รู้ได้เห็นเรื่องพวกนี้ ได้ก้าวขึ้นมาบนเส้นทางของการเป็นอมตะแล้ว หากถูกส่งกลับไปยังหมู่บ้านก็เท่ากับว่าต้องตัดความคิดในการเป็นอมตะไปเสีย ดังนั้นจึงรีบตบหน้าอกตัวเองหนึ่งที รับประกันว่าตนเองสามารถทำภารกิจให้สำเร็จได้แน่นอน

    เดินไปไม่นานนักก็มาถึงช่วงกลางของเขาเซียงอวิ๋นนี้ หอแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางเมฆหมอก หอนี้ไม่ใหญ่โตแต่กลับงดงามเรียบง่าย เมื่อมองไปที่หน้าต่างจะสามารถมองเห็นได้ว่าในนั้นมีคนหนุ่มคนหนึ่งกำลังอ่านตำราอยู่เงียบๆ

    เมื่อสัมผัสได้ว่ามีคนมาชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลา หลังจากมองเห็นหลี่ชิงโหว เขารีบลุกขึ้นเดินออกมาจากหอ ทำความเคารพหลี่ชิงโหว

    “ศิษย์คารวะท่านปรมาจารย์ใหญ่”

    “เด็กคนนี้ชื่อไป๋เสี่ยวฉุน เจ้าพาเขาไปจัดการเรื่องยืนยันสถานะศิษย์ฝ่ายนอก” หลี่ชิงโหวมองไป๋เสี่ยวฉุนหนึ่งที สะบัดร่างกลายเป็นสายรุ้งเส้นยาวหนึ่งเส้นพุ่งทะยานไปยังยอดเขา

    เมื่อเห็นหลี่ชิงโหวจากไปแล้ว ไป๋เสี่ยวฉุนถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมา รู้สึกว่าแรงกดดันลดน้อยลงทันใด ถึงขั้นรู้สึกว่าอยู่ๆ ท้องฟ้าก็ยิ่งเป็นสีฟ้าสดใส

    ชายหนุ่มคนนั้นมองประเมินไป๋เสี่ยวฉุนสองสามที ทันใดนั้นก็หัวเราะออกมา

    “เจ้าก็คือคนที่หลายเดือนมานี้ปิดเส้นทางทดสอบเขาเซียงอวิ๋นของเราเพื่อขายตำแหน่ง…ไป๋เสี่ยวฉุนสินะ”

    “ศิษย์พี่ชมผิดไปแล้ว เรื่องเล็กแบบนี้ไม่ควรค่าให้พูดถึง” ไป๋เสี่ยวฉุนหัวเราะเจื่อน

    ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นเสียงหัวเราะก็ยิ่งดังกว่าเดิม นัยน์ตาที่มองไป๋เสี่ยวฉุนเผยความสนใจใคร่รู้ เขาไม่พูดถึงหัวข้อนี้อีกต่อไป แต่พาไป๋เสี่ยวฉุนเดินไปในเขาเซียงอวิ๋น เมื่อผ่านสิ่งปลูกสร้างก็จะเอ่ยแนะนำอยู่เนืองๆ

    “เขาเซียงอวิ๋นของเรามีฐานะอยู่เหนือข้อพิพาทใดๆ ในฝั่งทิศใต้ของสำนัก เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับเขาชิงเฟิงที่ฝึกเรื่องดาบ เขาจื่อติ่งที่ฝึกเวทคาถาแล้ว เขาเซียงอวิ๋นของเราถนัดด้านการกลั่นหลอมโอสถวิเศษ

    ถึงจะอยู่บนเทือกเขาสาขาของแม่น้ำทงเทียนซึ่งประกอบด้วยสี่สำนักใหญ่ เขาเซียงอวิ๋นของเราก็มีชื่อเสียงเกรียงไกร โดยเฉพาะท่านใต้เท้าปรมาจารย์ใหญ่ ท่านคือหนึ่งในสองของปรมาจารย์ด้านโอสถของทั้งเกาะตงหลิน

    ดังนั้นเมื่อเป็นศิษย์ฝ่ายนอกของเขาเซียงอวิ๋นของเราแล้ว ก็ต้องเป็นหลิงถง*ด้วย จำเป็นต้องศึกษาความรู้เกี่ยวกับพืชสมุนไพรและวิธีกลั่นหลอมโอสถ” ตลอดทางชายหนุ่มอธิบายให้ไป๋เสี่ยวฉุนฟังอย่างละเอียด แล้วจึงพาเขาไปรับชุดและเครื่องใช้ของศิษย์ฝ่ายนอก ซึ่งรวมไปถึงถุงเก็บของหนึ่งใบด้วย

    ถุงเก็บของใบนี้แม้ว่าจะมีพื้นที่น้อย แต่ก็ยังคงทำให้ไป๋เสี่ยวฉุนรู้สึกแปลกใจได้ หลังจากทดลองใช้อยู่หลายครั้งก็รีบเก็บไว้เหมือนได้รับของล้ำค่า

    จุดที่เขาดีใจที่สุดคือหลังจากกลายเป็นศิษย์ฝ่ายนอก ทางสำนักยังมอบศิลาวิเศษให้เป็นกำลังใจอีกยี่สิบก้อน นี่ทำให้จำนวนศิลาวิเศษที่สามารถนำไปซื้อสมุนไพรซึ่งขาดอยู่อีกนิดหน่อยของเขาพอดีขึ้นมาในทันที

    จนกระทั่งถึงช่วงสายัณห์ ภายใต้การแนะนำของชายหนุ่มผู้นี้ ไป๋เสี่ยวฉุนก็เข้าใจเรื่องราวของเขาเซียงอวิ๋นได้ค่อนข้างครอบคลุมแล้ว หลังจากนั้นอีกฝ่ายจึงพาเขาไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่ชื่อว่าหอหมื่นโอสถ

    เขาได้รับม้วนตำราหยกมาหนึ่งแผ่นจากที่นี่

    “ในม้วนตำราหยกนี้มีพืชหญ้าอยู่หนึ่งหมื่นชนิด เจ้าจำเป็นต้องท่องจำให้ขึ้นใจถึงจะแลกเปลี่ยนเอาม้วนตำราหยกแผ่นที่สองมาได้”

    “ศิษย์น้องไป๋ เส้นทางการบำเพ็ญตนนั้นยาวไกล โอสถวิเศษคือตัวช่วยที่มิอาจขาดได้ และหากได้เป็นอาจารย์ด้านโอสถ เจ้าก็จะมีฐานะสูงส่งอยู่ที่นี่ได้อย่างมั่นคง”

    “หลิงถง ศิษย์โอสถ อาจารย์โอสถ…วันหน้าศิษย์น้องไป๋จะก้าวเดินไปถึงไหนก็ต้องดูที่โชคของเจ้าแล้ว” ชายหนุ่มกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน พอพลบค่ำเขาก็พาไป๋เสี่ยวฉุนไปส่งยังที่พักในสำนักซึ่งจัดเตรียมไว้ให้

    “ศิษย์น้องไป๋ พรุ่งนี้ข้าต้องลงเขา คงไม่ได้ไปหอคัมภีร์เป็นเพื่อนเจ้าแล้ว เจ้าอย่าลืมว่าเช้าตรู่พรุ่งนี้ต้องไปที่นั่น ไปเอาเคล็ดวิชาระดับหลังๆ ของพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถางมา แล้วก็ยังสามารถเลือกวิชายุทธ์นอกเหนือจากนั้นได้อีกหนึ่งวิชา นี่คือโอกาสเลือกวิชายุทธ์ที่มีเพียงครั้งเดียวของศิษย์ฝ่ายนอกทุกคน นอกเหนือจากนั้นก็ต้องใช้คะแนนคุณความดีเอาแล้วล่ะ”

    “วันหน้าหากมีตรงไหนไม่เข้าใจ เจ้าสามารถมาหาข้าได้ตลอดเวลา ข้าชื่อโหวอวิ๋นเฟย ขอบคุณศิษย์น้องไป๋ที่วันนั้นดูแลน้องสาวให้ข้า” โหวอวิ๋นเฟยยิ้มบางๆ กำมือประสานบอกลาไป๋เสี่ยวฉุนแล้วหมุนตัวจากไป

    “โหวอวิ๋นเฟย?” หลังจากไป๋เสี่ยวฉุนคารวะกลับจึงเงยหน้าขึ้นมองไปยังแผ่นหลังของอีกฝ่าย หลังจากคิดไปคิดมา ทันในนั้นก็นึกถึงร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งขึ้นมา “โหวเสี่ยวเม่ย!” เขากะพริบตา มีความรู้สึกเหมือนไม่ตั้งใจปักกิ่งหลิ่วได้ต้นหลิ่วให้ร่มเงา*

    ผ่านไปเนิ่นนานเขาถึงสูดลมหายใจเข้า หมุนตัวหันไปมองเรือนพักของตนเอง ดวงตาค่อยๆ เผยถึงพลังอันคึกคัก เงาร่างของเขาภายใต้แสงจันทร์ยามพลบค่ำตั้งตระหง่านดุจยอดเขา

    “ช่างเถอะ เป็นศิษย์ฝ่ายนอกก็ดูเหมือนจะไม่เลวร้ายเท่าไร!” ไป๋เสี่ยวฉุนสะบัดชายเสื้อแขนสั้น ก่อนจะเดินเข้าไปในเรือน

     

    บทที่ 15

    วิชาอมตะมิวางวาย

     

    แสงจันทร์กระจ่างลอดผ่านกลุ่มเมฆหมอกออกมาบางๆ ส่องกระทบลงบนเขาเซียงอวิ๋นแห่งสำนักหลิงซี ทำให้ทั้งยอดเขาปรากฏเป็นภาพงดงามอย่างหาได้ยาก

    ช่วงกลางด้านตะวันออกของภูเขาลูกนี้ ปลายทางเดินภูเขาที่แยกออกไปเส้นหนึ่งมีลานแห่งหนึ่งตั้งอยู่ ลานแห่งนี้ขนาดใหญ่ประมาณหนึ่งหมู่** รอบด้านมีพืชพรรณดอกไม้ส่งกลิ่นหอม งดงามโดดเด่นเฉพาะตัว ในลานมีเรือนหลังหนึ่ง ด้านในไม่ว่าจะเป็นโต๊ะเก้าอี้หรือเตียงล้วนทำมาจากไม้สีม่วงทั้งสิ้น ไม้จันทน์ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ กระจายออกมาอย่างที่เขตงานนักการมิอาจเทียบเคียงได้เลย

    ในลานนอกเรือนมีแปลงผักที่ถูกไถพรวนดินแล้วผืนหนึ่ง ตรงมุมยังมีบ่อน้ำหนึ่งบ่อ เมื่อมาอยู่ภายใต้แสงจันทร์ในเวลานี้แล้ว นัยน์ตาของไป๋เสี่ยวฉุนที่มองไปรอบกายก็เผยความพึงพอใจ

    “ศิษย์ฝ่ายนอกถือเป็นศิษย์ที่สำนักหลิงซีให้การยอมรับแล้ว แน่นอนว่าต้องดูแลดีกว่าเป็นนักการมาก เรือนที่โดดเด่นไม่เหมือนใครนี้ไม่เลวเลยจริงๆ แต่ว่าเมื่อก่อนเคยได้ยินศิษย์พี่ใหญ่พูดว่าหากสามารถเป็นศิษย์ฝ่ายในของสำนักได้ก็จะได้อยู่ในถ้ำบำเพ็ญ…ไม่รู้ว่าในถ้ำจะรูปร่างเป็นอย่างไร” ไป๋เสี่ยวฉุนเงยหน้าขึ้นมองไปทางยอดเขาของเขาเซียงอวิ๋น

    เขาเซียงอวิ๋นลูกนี้มีเพียงศิษย์ฝ่ายในของสำนักเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติได้อยู่อาศัยในช่วงครึ่งบนของยอดเขา

    ไม่นานเขาก็ดึงสายตากลับมา บิดขี้เกียจอยู่ในเรือน หยิบเอาถุงเก็บของออกมาตบเบาๆ หนึ่งที ทันใดนั้นด้านหน้าก็ปรากฏขวดยาหนึ่งขวด แล้วก็ยังมีธูปสีเขียวอีกหนึ่งดอก

    “ของดีจริงๆ” ไป๋เสี่ยวฉุนถือถุงเก็บของไว้ไม่วาง ผ่านไปเนิ่นนานสายตาจึงมาตกอยู่บนขวดยาและธูปเขียว ขวดยามีสัญลักษณ์อย่างหนึ่งอยู่และสลักอักษร ‘หลอมพลังจิต’ ไว้ ส่วนบนธูปสีเขียวก็สลักคำว่า ‘สู่เยาว์วัย’ ครั้งเขายังเป็นนักการก็เคยได้รับของทำนองนี้เช่นกัน เมื่อกลืนกินลงไปแล้วพลังจะเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย ตัวธูปหลังจากที่จุดแล้วให้สูดควันเข้าไป ผลที่ได้ล้วนไม่ต่างกัน

    “จะกลืนลงไปทั้งอย่างนี้ออกจะสิ้นเปลืองไปหน่อย ไม่สู้หลอมพลังจิตก่อนแล้วค่อยใช้ บางทีอาจจะทำให้พลังของข้าทะลุเพดานไปเลยก็ได้” ไป๋เสี่ยวฉุนครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วจึงตัดสินใจ เพียงแต่ว่าตอนนี้ไม่มีฟืนหนึ่งสี เขากะว่าพรุ่งนี้จะลงเขาไปเอามา

    คิดมาถึงตรงนี้ ไป๋เสี่ยวฉุนก็นั่งลงขัดสมาธิแล้วเริ่มฝึกวิชา สำหรับการฝึกวิชานั้น ไป๋เสี่ยวฉุนไม่เคยคิดล้มเลิกแม้แต่นิด ต่อให้ช่วงหลายเดือนมานี้คืบหน้าไปอย่างเชื่องช้าก็ยังคงยืนหยัดทำอยู่ทุกวัน

    เขาบำเพ็ญตนก็เพื่อเป็นอมตะ ดังนั้นจึงมุมานะในการฝึกวิชาอย่างยิ่ง

    หนึ่งค่ำคืนผ่านไปอย่างเงียบเชียบ ยามรุ่งอรุณดวงตะวันทอแสงหลอมรวมกับกลุ่มเมฆหมอก ภายในหมอกจึงเปล่งประกายด้วยแสงที่สะท้อนหักเหออกมาเป็นสีสันงดงามจับตา ไป๋เสี่ยวฉุนฝึกวิชามาทั้งคืน หลังจากที่ลืมตาเขาก็รู้สึกจิตใจฮึกเหิม สวมชุดของศิษย์ฝ่ายนอก เดินเร็วๆ ออกมาจากเรือนเพื่อมุ่งไปยังหอคัมภีร์ตามตำแหน่งที่ศิษย์พี่โหวบอกไว้เมื่อวานนี้

    หอคัมภีร์อยู่อีกด้านหนึ่งของภูเขา ห่างจากที่พักของเขาค่อนข้างไกล เดินมาได้ครึ่งชั่วยามถึงได้เห็นหอสูงแห่งหนึ่งไกลๆ ที่นั่นมีแสงพร่างพรายหมุนวน พลังบางอย่างแผ่ซ่านจากภายในออกมาปกคลุมไปทั่วทิศ

    ระหว่างทางเขาได้เจอลูกศิษย์ฝ่ายนอกจำนวนไม่น้อย ส่วนใหญ่ล้วนมีท่าทางรีบร้อน หลังจากสัมผัสได้ว่าไป๋เสี่ยวฉุนฝึกวิชาได้เพียงขั้นหลอมปราณขั้นที่สามก็ยิ่งมองเมิน

    ไป๋เสี่ยวฉุนเองก็ไม่ได้ใส่ใจ เพียงแค่ระมัดระวังฝีเท้ามากขึ้น ศิษย์ฝ่ายนอกทุกคนที่เขาเจอตลอดทางมานี้ล้วนมีพลังมากกว่าเขา บางคนถึงขนาดทำให้เขารู้สึกถึงความลึกล้ำมิอาจประเมินได้ รอบกายของคนเหล่านี้มักจะรายล้อมไปด้วยศิษย์จำนวนไม่น้อยที่ส่งยิ้มบางๆ เดินผ่านร่างเขาไป

    ยิ่งเข้าใกล้หอคัมภีร์ ศิษย์ฝ่ายนอกที่อยู่รอบด้านก็ยิ่งมีมาก ไป๋เสี่ยวฉุนกำลังจะเข้าไปใกล้ตัวหอ เวลานั้นเองสายรุ้งเส้นหนึ่งก็ทอดยาวมาจากยอดเขาที่อยู่ห่างไกล หลังจากวนรอบเขาเซียงอวิ๋นหนึ่งรอบแล้วก็พุ่งทะยานไปยังขอบฟ้า

    ในสายรุ้งนั้นมองเห็นได้รางๆ ว่ามีชายหนุ่มผู้หนึ่งอยู่ ใต้ฝ่าเท้าเขาเหยียบล้อหนึ่งไว้ บินวนไปด้วยความรวดเร็ว

    “นั่นเฉียนต้าจินจากฝ่ายคุมกฎ ศิษย์พี่เฉียน!”

    “ศิษย์พี่เฉียนเป็นศิษย์ฝ่ายในของสำนัก แถมได้อยู่ในฝ่ายคุมกฎ ชื่อเสียงเลื่องลือ ว่ากันว่าฝึกวิชาได้ถึงการหลอมปราณขั้นเก้าอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว สามารถยืมใช้ของวิเศษมาช่วยในการโบยบินได้ในระยะเวลาสั้นๆ น่าอิจฉานัก”

    ไป๋เสี่ยวฉุนเองก็มองด้วยความอิจฉาเช่นกัน จนกระทั่งอีกฝ่ายหายลับไปที่ขอบฟ้าถึงได้ปลงอนิจจังอยู่ในใจ

    “รอวันใดที่ข้าบินได้แล้ว ข้าเองก็จะเลือกเวลาที่คนเยอะๆ บินวนบนเขาเซียงอวิ๋นหลายๆ รอบ!” ไป๋เสี่ยวฉุนแอบวาดหวังกับตัวเอง เดินสวนกลุ่มคนมายังด้านในหอคัมภีร์

    หอแห่งนี้ใหญ่มาก ชั้นหนึ่งว่างเปล่า มีเพียงโต๊ะยาวหนึ่งตัว ด้านหลังมีผู้เฒ่าคนหนึ่งนั่งหลับตาอยู่ ลูกศิษย์ทุกคนที่เดินผ่านคนผู้นี้ล้วนวางป้ายคำสั่งไว้บนโต๊ะยาว รอให้มีแสงวาบขึ้นหนึ่งทีจึงจะคำนับแล้วเดินจากไป

    ไป๋เสี่ยวฉุนเดินเข้าไปพลางเลียนแบบคนอื่น เมื่อวางป้ายคำสั่งลงบนโต๊ะก็มีแสงวาบขึ้นบนป้ายอย่างรวดเร็ว เขารีบหยิบขึ้นมาแล้วเดินขึ้นบันไดตามศิษย์พี่ที่อยู่ด้านหน้ามาถึงชั้นสองของหอคัมภีร์

    สถานที่แห่งนี้มีชั้นวางอยู่มากมาย ด้านบนจัดวางม้วนตำราหยกเอาไว้เป็นแถว บางจุดก็มีตำราไม้ไผ่อยู่ด้วย ทุกม้วนล้วนมีแสงอ่อนๆ ปกคลุม ทำให้ชั้นสองของหอคัมภีร์ดูแล้วไม่ธรรมดา

    ห่างออกไปไม่ไกลมีบันไดแถวหนึ่ง ไป๋เสี่ยวฉุนมองไปรอบกายแล้วเดินไปทางบันได ขณะที่กำลังจะก้าวขึ้น ทันใดนั้นก็มีแสงหนึ่งปรากฏขึ้นและดีดเขากลับมา

    ชายหนุ่มคิ้วดกหนาคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างกำลังเปิดตำราไม้ไผ่สัมผัสถึงเหตุการณ์นี้ได้ก็เงยหน้าขึ้นกวาดตามองไป๋เสี่ยวฉุนหนึ่งที

    “ศิษย์พี่ ชั้นสามนี้ต้องมีคุณสมบัติเช่นไรหรือถึงจะขึ้นไปได้” ไป๋เสี่ยวฉุนทำท่าน่าเอ็นดู ถามชายหนุ่มคิ้วหนาด้วยความอยากรู้

    “เจ้าคือศิษย์ที่มาใหม่สินะ ที่นั่นต้องฝึกการหลอมปราณได้ถึงขั้นที่ห้าถึงจะขึ้นไปได้” ชายหนุ่มเอ่ยปากเรียบๆ ก้มหน้าอ่านตำราไม้ไผ่ต่อ ไม่พูดอะไรอีก

    ไป๋เสี่ยวฉุนรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ต้องการให้ใครรบกวน ดังนั้นจึงไม่พยายามขึ้นไปชั้นสามอีก แต่เริ่มเดินเตร่อยู่ที่ชั้นสอง หยิบเอาม้วนตำราหยกขึ้นมาดู เปิดอ่านตำราไม้ไผ่บางส่วนไปมา เห็นวิชายุทธ์มากมายที่อยู่ด้านใน เขาล้วนรู้สึกสนใจทั้งสิ้น

    โดยเฉพาะวิชาวิถีอัคคี ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าไม่เลว

    ไม่นานนัก เขาก็หาม้วนตำราหยกของวิชาลมปราณม่วงควบคุมกระถางเจอ ข้างในมีรูปภาพและคาถาของขั้นที่สี่ถึงขั้นที่แปด ไป๋เสี่ยวฉุนรีบหยิบมาไว้ในมือและเริ่มเดินเตร่อีกครั้ง

    เวลาผ่านไปไม่นานด้านนอกก็ใกล้จะถึงยามสายัณห์แล้ว ไป๋เสี่ยวฉุนเพิ่งจะเดินได้ครบเจ็ดส่วนของชั้นสอง ผู้คนที่อยู่รอบกายก็ลดน้อยลงไปเยอะ

    “มีเจ็ดแปดอย่างที่ดูแล้วไม่เลว…” ขณะที่ในใจของเขากำลังชั่งน้ำหนักว่าจะเลือกวิชายุทธ์ใดดีนั้น มือก็หยิบตำราไม้ไผ่ขึ้นมาหนึ่งม้วน ตำราไม้ไผ่ม้วนนี้ค่อนข้างชำรุดเสียหาย แต่ไป๋เสี่ยวฉุนเพียงมองแวบเดียวดวงตาก็เบิกกว้างขึ้นมาในทันที นัยน์ตาเผยความตื่นเต้นและฮึกเหิม

    “วิชาอมตะมิวางวาย!”

    เขาสูดลมหายใจเข้าลึก อ่านคำแนะนำของวิชายุทธ์นี้อย่างละเอียด รู้ว่านี่คือวิชายุทธ์ที่ใช้ฝึกฝนร่างกายวิชาหนึ่ง หากทำสำเร็จได้ส่วนใหญ่ก็แทบจะสามารถทำให้คนเป็นอมตะไม่มีวันตายได้

    ลมหายใจของเขาถี่กระชั้นขึ้นมาอย่างฉับพลัน อ่านชื่อวิชายุทธ์นี้อีกครั้งก็ตัดสินใจเลือกวิชายุทธ์นี้ในทันที!

    เขาบำเพ็ญตนก็เพื่อเป็นอมตะ ได้เห็นวิชายุทธ์นี้ในเวลานี้ พลันรู้สึกว่าตนกับวิชายุทธ์นี้มีวาสนาต้องกันอย่างลึกล้ำ ดังนั้นจึงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง หยิบเอาตำราไม้ไผ่เดินลงบันไดไป

    ในโถงใหญ่ชั้นหนึ่ง ผู้เฒ่าที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะตัวยาวยังคงหลับตาเช่นเดิมไม่ต่างไปจากตอนเช้า แต่เมื่อไป๋เสี่ยวฉุนวางม้วนตำราหยกวิชาลมปราณม่วงควบคุมกระถางรวมถึงตำราไม้ไผ่วิชายุทธ์อมตะมิวางวายลงบนโต๊ะ ดวงตาทั้งคู่ของท่านผู้เฒ่าก็ค่อยๆ ลืมขึ้น กวาดมองไป๋เสี่ยวฉุนหนึ่งที

    สายตานี้ทำให้ร่างกายของไป๋เสี่ยวฉุนสั่นสะท้าน เขารู้สึกว่าสายตาของอีกฝ่ายดุจดั่งสายฟ้า ทำให้ผู้ที่เห็นตัวสั่นทั้งๆ ที่ไม่หนาว ไป๋เสี่ยวฉุนรีบทำท่าคำนับออกมา

    ยังดีที่ท่านผู้เฒ่าเก็บสายตาไปอย่างรวดเร็ว มองไปยังป้ายแทนตัวของไป๋เสี่ยวฉุนแทน

    “ศิษย์ที่ได้เลื่อนขั้นขึ้นมาใหม่ สามารถคัดลอกแปดขั้นแรกของพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถางไปได้หนึ่งฉบับ แล้วยังสามารถเลือกวิชายุทธ์นอกเหนือจากนั้นได้อีกหนึ่งวิชา” ผู้เฒ่าเอ่ยปากเนิบนาบ น้ำเสียงแหบแห้ง ขณะที่พูดสายตาของเขาก็ไปตกอยู่บนตำราไม้ไผ่วิชาอมตะมิวางวาย ขมวดคิ้วน้อยๆ “วิชายุทธ์นี้ถึงแม้จะบรรยายเอาไว้อย่างน่าตกตะลึง แต่ก็เป็นแค่บทที่ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์เท่านั้น อีกทั้งระดับความยากในการฝึกสูงยิ่ง ความเจ็บปวดทรมานมิใช่สิ่งที่คนธรรมดาสามารถทนได้ ที่แล้วมามีศิษย์ฝ่ายในน้อยคนนักที่ฝึกได้สำเร็จ ส่วนใหญ่ล้วนถอดใจ ดังนั้นจึงถูกเก็บอยู่ในหอคัมภีร์นี้มานานมากแล้ว เจ้าแน่ใจหรือว่าจะฝึกวิชานี้” ผู้เฒ่ามองไป๋เสี่ยวฉุน

    “ผู้อาวุโส ศิษย์แน่ใจอย่างยิ่ง!” เมื่อไป๋เสี่ยวฉุนได้ยินคำพูดของท่านผู้เฒ่าก็พลันรู้สึกว่าที่วิชานี้อยู่ที่นี่มาเนิ่นนานหลายปีก็เพื่อรอตนเอง โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงคำว่าอมตะแล้วก็เหมือนเลือดในกายเขาจะปะทุเดือดขึ้นมาทันที จึงรีบเอ่ยปาก

    ผู้เฒ่าไม่เกลี้ยกล่อมอีกต่อไป ยกมือขวาขึ้นสะบัด ม้วนตำราหยกว่างเปล่าสองแผ่นลอยออกมาทันใด หลังจากคัดลอกเรียบร้อยแล้วก็ตกลงมาอยู่ตรงหน้าของไป๋เสี่ยวฉุน เขาจึงหลับตาลงอีกครั้ง ไม่สนใจอีกต่อไป

    ไป๋เสี่ยวฉุนเก็บม้วนตำราหยกเอาไว้ สายตามีความคาดหวัง หมุนกายเดินออกไปจากหอคัมภีร์ตรงกลับไปยังเรือนของตน

    ตอนที่กลับมาท้องฟ้าเป็นสียามค่ำคืนแล้ว ไป๋เสี่ยวฉุนนั่งขัดสมาธิอยู่ในเรือน หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งทีค่อยหยิบม้วนตำราหยกของวิชาอมตะมิวางวายออกมา โคจรพลังสะกดทางวิญญาณในร่างกายมาหลอมรวมกับตำราหยกนี้ทันใด ดวงตาทั้งคู่ของเขาปิดลง ในสมองพลันมีวิธีฝึกของวิชานี้ลอยขึ้นมา

    ครึ่งชั่วยามต่อมา ไป๋เสี่ยวฉุนถึงได้ลืมตา นัยน์ตาฉายแววครุ่นคิด

    วิชาอมตะมิวางวายนี้เป็นอย่างที่ท่านผู้เฒ่าพูดไว้อย่างแท้จริง มันเป็นเพียงแค่บทที่ไม่ครบถ้วนเท่านั้น ด้านบนแนะนำว่าการฝึกวิชานี้แบ่งออกเป็นการฝึกสองอย่างคือภายในและภายนอก ซึ่งการฝึกภายนอกแบ่งออกเป็นผิวหนัง เนื้อ เอ็น

    ภายในคือกระดูกและเลือด

    อีกทั้งในบทที่ไม่ครบถ้วนนี้มีเพียงแค่วิธีการฝึกส่วนผิวหนัง และดูเหมือนว่าท่าทางที่ใช้ในการฝึกจะยากลำบากมากอย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังกล่าวว่าการฝึกฝนวิธีนี้สิ้นเปลืองพลังอย่างมาก ถึงในนั้นจะแนะนำเคล็ดวิชาเอาไว้สามสี่อย่าง แต่เคล็ดวิชาที่ว่าก็ออกจะเกินความจริงไปเล็กน้อย ยกตัวอย่างเช่นเคล็ดวิชาหนึ่งชื่อตรวนสลายลำคอที่มิมีของแข็งใดสามารถทำลายได้

    ไป๋เสี่ยวฉุนลังเลเล็กน้อย แต่หลังจากเห็นคำว่าอมตะมิวางวายแล้ว ดวงตาเขาก็ฉายความเด็ดเดี่ยวทันที เริ่มทำตามคำแนะนำของวิชายุทธ์ ลุกขึ้นยืนยกมือทั้งสองข้างตบไปยังตำแหน่งต่างๆ ในร่างกายไม่หยุด

    จนกระทั่งถึงวันที่สองทั้งร่างของเขาก็ปวดแสบปวดร้อนไปหมด ยืนไม่ขึ้นนั่งไม่อยู่ แม้แต่ยกแขนขึ้นก็ยังเจ็บปวดรุนแรงเกินจะทนไหว แต่ก็ยังกัดฟันทำตามวิธีฝึก พยายามเคลื่อนไหวร่างกายโดยใช้ความสามารถทั้งหมดที่มี

    “โอ๊ย…ปล่อยก่อนแล้วค่อยบีบ…อูย…บีบแล้วก็ปล่อย!” ไป๋เสี่ยวฉุนท่องประโยคหนึ่งในวิชาอมตะมิวางวาย กระโดดไปมาอยู่ในลานเรือน ร้องโหยหวนไม่หยุด น้ำตาแทบจะไหลออกมา สุดท้ายก็กัดฟันพกศิลาวิเศษเดินออกจากลานเรือน ลงเขาไปซะเลย

    เขาคิดว่าในเมื่อต้องเคลื่อนไหว ก็ถือโอกาสลงเขาไปซื้อสมุนไพรแลกเอาลูกกลอนเพิ่มอายุมาเลย ทำเช่นนี้อย่างไรก็ดีกว่าพยายามเคลื่อนไหวอยู่ในลานเรือนเยอะนัก

    ดังนั้นบนเขาเซียงอวิ๋นวันนี้ลูกศิษย์ฝ่ายนอกจำนวนไม่น้อยจึงล้วนเห็นเด็กหนุ่มผิวพรรณขาวสะอาดคนหนึ่งกระโดดเหยงๆ ด้วยท่าทางประหลาดไปตลอดทาง แถมยังเปล่งเสียงโอดโอยอยู่เป็นพักๆ ฟังแล้วน่าเวทนาไม่น้อย…

    “โอ๊ย…โอ๊ะ…อา…”

    ไป๋เสี่ยวฉุนเองก็ไม่ได้อยากจะร้องออกมา แต่มันเจ็บปวดมากจริงๆ ความเจ็บปวดชนิดนี้ทำให้เขารู้สึกว่าไม่ว่าจะขยับหรือไม่ก็ล้วนทรมานมากอยู่ดี แต่เมื่อนึกถึงคำว่าอมตะมิวางวาย เขาก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดจนสามารถเดินจากภูเขามาถึงตลาดนอกสำนักได้

    หลังจากซื้อยาสมุนไพรครบหมดแล้วด้วยร่างกายสั่นสะท้าน เขาก็ซื้อฟืนหนึ่งสีมาอีกจำนวนหนึ่ง ส่วนฟืนสองสีนั้นราคาสูงมาก ซื้อแค่ท่อนเดียวกระเป๋าเงินก็ว่างเปล่าเสียแล้ว

    เสร็จแล้วถึงได้กัดฟันเดินกลับไปยังสถานที่รับภารกิจ ทำภารกิจตอนที่เขาเคยรับไว้ครั้งยังเป็นนักการได้สำเร็จ แลกเอาลูกกลอนเพิ่มอายุมาได้หนึ่งเม็ด

    ลูกกลอนนี้ขนาดเท่าปลายนิ้วก้อย ทั้งเม็ดเป็นสีเหลือง ส่งกลิ่นหอมแปลกๆ เมื่อมองลูกกลอนนี้ ไป๋เสี่ยวฉุนก็เจ็บปวดจนพูดอะไรไม่ออกแล้ว เม็ดเหงื่อไหลรินออกมาทั่วร่างไม่หยุดจนแทบจะเปียกโชกไปทั้งร่าง

    ไป๋เสี่ยวฉุนกัดฟันแรงๆ ปีนขึ้นบันไดเขาเซียงอวิ๋นไปทีละขั้นๆ เบื้องหลังมีเหงื่อและคราบไคลไหลหยดเป็นทาง ตลอดทางมีศิษย์ฝ่ายนอกจำนวนไม่น้อยเผยสีหน้าประหลาดใจหลังจากเห็นเขา บางส่วนยังถึงขั้นเผยความรังเกียจออกมาด้วยซ้ำ เพราะกลิ่นเหงื่อของไป๋เสี่ยวฉุนนั้นเหม็นรุนแรงอย่างยิ่ง

    ขนาดเขาเองยังไม่รู้ว่าตนผ่านมันมาได้อย่างไร ขณะเดินทีละก้าวๆ จนกลับมาถึงเรือนก็เป็นเวลากลางดึกแล้ว ทันทีที่เหยียบย่างเข้าไปในลานเรือนได้ตัวเขาก็ลงไปนอนพังพาบ เจ็บปวดจนเป็นลมไป

    ค่ำคืนนี้ถึงแม้ว่าจะอยู่ในอาการสลบไสล เขาก็ยังถูกความเจ็บปวดปลุกให้ฟื้นขึ้นมาอยู่หลายครั้ง จวบจนฟ้าสาง เมื่อเขาลืมตาขึ้นความเจ็บปวดที่มีทั่วร่างถึงได้หมดไป

    “นี่เป็นเพียงแค่วงจรเล็กไม่สมบูรณ์…” ไป๋เสี่ยวฉุนนึกถึงคำแนะนำของวิชาอมตะมิวางวาย ต้องทำเช่นนี้ทั้งวันทั้งคืน อีกทั้งห้ามหมดสติ ถึงจะถือว่าเป็นวงจรเล็กที่สมบูรณ์ และต้องทำวงจรเล็กเช่นนี้ให้ครบแปดสิบเอ็ดครั้งจึงจะถือว่าเต็มหนึ่งรอบการโคจรรอบเล็ก* กระบวนการนี้เป็นเสมือนการเปลี่ยนผิวหนัง ภายหลังเมื่อผิวหนังมีความเหนียวแน่นในระดับหนึ่งแล้วก็จะไม่เจ็บปวดรุนแรงเช่นนี้อีก

    “หากวิชายุทธ์นี้ง่าย ทุกคนสามารถฝึกได้ก็ไม่เท่ากับว่าทุกคนสามารถเป็นอมตะหรอกหรือ ยิ่งเป็นเช่นนี้ข้าก็ยิ่งต้องฝึกฝน ฝึกอย่างนี้ต่อไปข้าจะต้องเป็นอมตะไม่มีวันตาย!” แววตาไป๋เสี่ยวฉุนเผยความเด็ดเดี่ยว ความมุ่งมั่นอันแรงกล้าต่อการเป็นอมตะของเขานั้นสามารถกล่าวว่าถึงระดับที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงได้แล้ว

    ฉวยโอกาสยามนี้ที่ร่างกายไม่เจ็บปวด ไป๋เสี่ยวฉุนเอาลูกกลอนเพิ่มอายุออกมา หลังจากมองอย่างละเอียดแล้ว อยู่ๆ ก็คิดอะไรขึ้นมาได้ขณะกำลังจะกินเข้าไป เขาเหลียวมองรอบกาย หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีคนก็รีบวิ่งกลับเข้าไปในเรือน มือขวาทำมุทราแล้วชี้ออกไป หม้อกระดองเต่าก็ปรากฏขึ้นในพริบตา

    “กินเช่นนี้ขาดทุนไปหน่อย หลอมพลังจิตแล้วค่อยกินถึงจะดี” ไป๋เสี่ยวฉุนเลียริมฝีปาก หยิบเอาฟืนสองสีออกมาจุดไฟแล้ววางไว้ใต้หม้อกระดองเต่า พลันฟืนท่อนนี้ก็ลุกไหม้อย่างรวดเร็ว กลายเป็นขี้เถ้าในชั่วพริบตา ลายเส้นสองเส้นบนหม้อกระดองเต่าสว่างขึ้น

    เขาสองจิตสองใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะหย่อนลูกกลอนเพิ่มอายุลงในหม้อ แทบจะชั่วขณะเดียวกันกับที่โอสถวิเศษนี้ร่วงลงไป แสงสีเงินเจิดจ้าบาดตาก็เปล่งประกายวาบขึ้นมา ไป๋เสี่ยวฉุนมีประสบการณ์มาก่อนแล้ว สีหน้าจึงไม่เปลี่ยน ตามองไม่กะพริบ

    ไม่นานนักแสงสีเงินก็เลือนหายไป บนผิวลูกกลอนเพิ่มอายุในหม้อมีลายเส้นสีเงินเพิ่มขึ้นมาสองเส้น กลิ่นหอมของยาที่ไม่รู้ว่าเข้มข้นกว่าก่อนหน้านี้มากเท่าไรกระจายออกมาในทันที แค่สูดดมทีเดียวก็คึกคักกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาก

    “น่าเสียดายที่หาเชื้อเพลิงของไฟสามสีไม่เจอ” ไป๋เสี่ยวฉุนหยิบโอสถวิเศษขึ้นมาโยนเข้าปากไป โอสถวิเศษนี้เมื่อเข้าปากก็ละลายกลายเป็นไอร้อนผ่าวซ่านอยู่ในร่างกาย

    ไป๋เสี่ยวฉุนรู้สึกแค่ว่าในสมองมีเสียงตูมดังขึ้นหนึ่งที ร่างทั้งร่างประหนึ่งเตาไฟที่กำลังลุกไหม้ เส้นผมขาวบนหน้าผากเส้นนั้นสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าว่ากลายเป็นสีดำ ในร่างมีความรู้สึกเหมือนว่าลมปราณเพิ่มพูนขึ้นมา ถึงขนาดว่าแม้จะผ่านไปแล้วพักใหญ่ ความรู้สึกเช่นนี้ไม่เพียงแต่ไม่หายไป แต่กลับยิ่งรุนแรงขึ้นด้วย โพรงจมูกของไป๋เสี่ยวฉุนถึงขั้นมีเลือดกำเดาไหลออกมา

    “บำรุงเยอะถึงเพียงนี้เชียวหรือ!” เขาเบิกตากว้าง รีบฝึกพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถาง แต่กลับไม่มีประโยชน์มากนัก ถึงอย่างไรสิ่งที่โอสถวิเศษนี้ช่วยบำรุงไม่ใช่พลังสะกดทางวิญญาณแต่เป็นลมปราณ เลือดกำเดาของเขายิ่งไหลมากขึ้นเรื่อยๆ ความร้อนที่ไหลรินในร่างเวลานี้ขยายเพิ่มมากขึ้น เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลูกหนังที่ใกล้จะระเบิด ความหวาดผวาจึงเกิดขึ้นในทันที

    ในความเป็นจริงแล้วโอสถวิเศษเม็ดนี้หลังจากที่ถูกหลอมพลังจิตมาแล้วสองขั้น ผลลัพธ์ย่อมเหนือล้ำกว่าเก่า สรรพคุณก็ยิ่งมากมายมหาศาล เพียงพลังขั้นที่สามของการหลอมปราณของไป๋เสี่ยวฉุนไม่มีทางแบกรับได้ไหว

    ในเวลาที่วิกฤตการณ์มาเยือนเช่นนี้ ไป๋เสี่ยวฉุนก็นึกถึงวิชาอมตะมิวางวายในทันใด จึงรีบดีดตัวขึ้น ใช้แรงทั้งหมดที่มีเอาสองมือตบลงไปบนร่างอย่างรวดเร็ว

    เสียงตุ้บตั้บดังสะท้อนไปมา ความร้อนที่ไหลรินในร่างกายของเขาถึงได้คลายลงไปบ้าง ไป๋เสี่ยวฉุนไม่กล้าหยุด จนกระทั่งผ่านไปครึ่งชั่วยามความร้อนในร่างกายของเขาถึงได้หมดไป ความเจ็บปวดที่แผ่ไปทั่วร่างทำให้เขาล้มลงไปกองทันที หอบหายใจฮักๆ แต่กำลังวังชากลับดีขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ในแววตายิ่งมีประกายแสงวาบผ่านอย่างเข้มข้น

    “ถึงจะเกี่ยวข้องกับการหลอมพลังจิตอยู่บ้าง แต่หลักๆ แล้วก็เพราะโอสถวิเศษ โอสถวิเศษ…มหัศจรรย์ถึงเพียงนี้…มีทั้งที่สามารถเพิ่มพลังสะกดทางวิญญาณ มีทั้งที่สามารถเพิ่มอายุขัย…เช่นนั้นก็ต้องมีโอสถชนิดที่ทำให้คนเป็นอมตะได้ใช่หรือไม่!” ไป๋เสี่ยวฉุนยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้น ประกายในดวงตาทั้งคู่ก็ยิ่งรุนแรง

    “เขาเซียงอวิ๋นคือสถานที่ฝึกฝนอาจารย์ด้านโอสถ…”

    “ข้าจะเป็นอาจารย์โอสถ กลั่นหลอมลูกกลอนที่…ทำให้เป็นอมตะ!” ลมหายใจของไป๋เสี่ยวฉุนถี่กระชั้น ความมุ่งมั่นเกี่ยวกับโอสถวิเศษก็เพิ่มขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชั่วพริบตา

     

    บทที่ 16

    ประณีตลึกซึ้ง

     

    ไป๋เสี่ยวฉุนออกมานอนอยู่ที่ลานเรือนพร้อมกับพกพาความมุ่งมั่นนี้ไว้ แม้ร่างกายจะปวดเมื่อยไร้เรี่ยวแรง แต่ก็พอจะเห็นได้ว่าผิวหนังเหมือนจะกระด้างขึ้นเล็กน้อย ภาพนี้ทำให้เขายิ่งคาดหวังจะเป็นอาจารย์ด้านโอสถ

    เขานอนอยู่ในลานเรือนเช่นนั้นจนผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม ความรู้สึกปวดเมื่อยถึงได้หายไป ไป๋เสี่ยวฉุนรีบยันตัวลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ หยิบเอาขวดยาและธูปหอมที่ได้รับหลังจากเป็นศิษย์ฝ่ายนอกออกมาด้วยดวงตาเป็นประกาย

    หลังจากพินิจดูอย่างละเอียดแล้วเขาจึงสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นก็จ้องเขม็งไปรอบทิศอีกหนึ่งครั้ง แล้วค่อยเดินกลับเข้าไปในเรือนแล้วเอาหม้อกระดองเต่าออกมา

    “ยาพวกนี้ตอนนี้สามารถใช้ได้แล้ว หลังหลอมพลังจิตก็น่าจะทำให้การหลอมปราณขั้นที่สามของข้าทะลุขึ้นไปเป็นการหลอมปราณขั้นที่สี่ เสียดายก็แต่ฟืนสองสีแพงเกินไป ถึงที่ครัวไฟจะมี แต่ข้าไม่ใช่นักการฝ่ายครัวไฟอีกแล้ว จะไปเอาก็ไม่ค่อยสะดวกนัก” ตอนนี้ไป๋เสี่ยวฉุนมีความสนใจในตัวยาเป็นอย่างยิ่ง ขบคิดอยู่ชั่วครู่ก็หยิบเอาฟืนไฟหนึ่งสีออกมาอย่างไม่ลังเล

    “งั้นหลอมพลังจิตแค่ครั้งเดียวก็พอ!” เขารีบจุดไฟที่ฟืนทันที พลันไฟหนึ่งสีก็ลุกไหม้ ลายเส้นแรกบนหม้อกระดองเต่าปรากฏแสงวาบขึ้นอย่างรวดเร็ว ไป๋เสี่ยวฉุนเปิดขวดลูกกลอนออก ด้านในมีโอสถลูกกลอนขนาดใหญ่เท่าผลลำไยอยู่สามเม็ด แบ่งออกมาหลอมพลังจิตทีละเม็ดรวมสามครั้ง

    แสงสีเงินส่องสว่างวูบวาบ ไม่นานโอสถลูกกลอนที่มีเส้นสีเงินทั้งสามเม็ดก็มาอยู่ในมือของไป๋เสี่ยวฉุน สุดท้ายเขาก็เอาธูปหอมนั้นมาหลอมพลังจิตเช่นกัน มองดูโอสถวิเศษสี่ชนิดตรงหน้าที่ผ่านการหลอมพลังจิตมาแล้วหนึ่งครั้ง ไป๋เสี่ยวฉุนนั่งขัดสมาธิ หลังจากนำธูปเขียววางไว้ด้านหน้าแล้วก็หยิบโอสถลูกกลอนสามเม็ดขึ้นมาโยนเข้าปากทั้งหมดทีเดียว

    จากนั้นก็ตั้งท่าตามภาพที่สี่ของวิชาพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถาง ฝึกฝนไปตามคาถาที่ระบุไว้ ไม่นานพลังสะกดทางวิญญาณในร่างเขาก็โหมซัดสาด คราวนี้เขายืนหยัดทำได้นานขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พลังในร่างกายโลดแล่นขึ้นมาในชั่วพริบตา เริ่มเพิ่มพูนมากขึ้น

    เวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป สายธารพลังสะกดทางวิญญาณสายเล็กในร่างกายเขาก็ไหลเชี่ยวกรากไปทั่วร่าง เขาเริ่มบุกทะยานไปยังการหลอมปราณขั้นที่สี่

    “ยืนหยัดอีกหนึ่งร้อยลมหายใจก็สามารถไปถึงการหลอมปราณขั้นที่สี่ได้แล้ว!” ไป๋เสี่ยวฉุนกัดฟันอดทนทำท่าตามภาพที่สี่ ทั้งร่างขดเข้าหากันเหมือนลูกหนังกลมดิก มีเสียงกร๊อบแกร๊บดังออกมา เม็ดเหงื่อหยดไหลลงพื้นไม่ขาดสาย

    แต่ในช่วงจังหวะนั้นจู่ๆ พลังสะกดทางวิญญาณในร่างเขาก็ขาดห้วงไปเล็กน้อย ดวงตาทั้งคู่ของไป๋เสี่ยวฉุนจ้องเขม็ง พลันอ้าปากคายพลังสะกดทางวิญญาณออกไปยังธูปที่อยู่ด้านหน้าหนึ่งคำ

    พลังสะกดทางวิญญาณนี้เพิ่งจะกระทบกับธูปเขียว ธูปนั้นก็ลุกไหม้ด้วยตัวเองทันใด แผ่ควันสีเขียวออกมา ควันสีเขียวเหล่านี้เหมือนงูเขียวหลายตัวที่พอปรากฏตัวขึ้นก็เลื้อยตรงมายังไป๋เสี่ยวฉุน มุดเข้าเจ็ดทวารรวมทั้งแทรกลงรูขุมขนของเขา แปรเป็นพลังสะกดทางวิญญาณเข้มข้นในร่างกายเขา ทำให้สายธารพลังสะกดทางวิญญาณสายเล็กนั้นขยายใหญ่ขึ้นมาอีกหนึ่งเท่าตัว

    เสียงตูมดังขึ้นหนึ่งที คลื่นลมปราณแตกซ่านออกมาจากร่างกายไป๋เสี่ยวฉุน กระจายไปทั่วห้อง แผ่อยู่ในลานเรือน คล้ายกับว่ามีลมหอบใหญ่พัดวูบเข้ามาในที่แห่งนี้ ดวงตาทั้งคู่ของไป๋เสี่ยวฉุนฉายแววปีติยินดีพลางหัวเราะออกมา

    “การหลอมปราณขั้นที่สี่!”

    เขาสัมผัสได้ทันทีว่าเวลานี้พลังสะกดทางวิญญาณในร่างซึ่งแฝงลมปราณเข้มข้นเอาไว้นั้นไหลเวียนอยู่ในร่างกายไม่หยุด ทำให้รู้สึกเบาสบายและคล่องตัวไปหมด เมื่อก้มหน้าลงก็มองเห็นคราบสกปรกสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนติดอยู่บนร่างกาย รู้ว่านี่คือสิ่งเจือปนในร่างกายที่ถูกขับออกมาอีกครั้ง

    เขาสะบัดร่าง เดินตัวปลิวออกมาจากเรือนแล้วชำระล้างร่างกายอยู่ในลานเรือนหนึ่งรอบ ไป๋เสี่ยวฉุนกระปรี้กระเปร่ามีกำลังวังชา มือขวาทำมุทรา กระบี่ไม้เล่มหนึ่งก็ลอยออกมาจากถุงเก็บของทันที ตรงดิ่งมาด้านหน้าด้วยความรวดเร็วจนบังเกิดกลายเป็นสายรุ้งเส้นยาวหนึ่งเส้น

    หลังจากควบคุมกระบี่ไม้ให้บินไปมาอยู่ในลานหลายต่อหลายครั้ง ความพอใจในแววตาของไป๋เสี่ยวฉุนก็ยิ่งเข้มข้น กระบี่ไม้ของเขาเล่มนี้เดิมทีก็ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว เมื่อรวมเข้ากับพลังขั้นที่สี่ก็ยิ่งน่าสะพรึงกลัวมากขึ้น

    “หลอมพลังจิตได้ไม่เลวเลย หากมีไฟสามสีก็คงดี แต่ลูกกลอนพวกนี้ก็สุดยอดเหมือนกัน!” ไป๋เสี่ยวฉุนรู้สึกทึ่งในโอสถวิเศษมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นลูกกลอนหรือธูปหอมล้วนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการฝึกวิชาทั้งสิ้น

    “ต้องเป็นปรมาจารย์โอสถผู้ยิ่งใหญ่ หลอมลูกกลอนอายุยืนออกมาให้ได้ จากนั้นก็หลอมพลังจิตสิบครั้ง…ไม่สิ หลอมพลังจิตสักร้อยครั้ง!” ความคิดที่จะกลายเป็นปรมาจารย์โอสถของไป๋เสี่ยวฉุนยิ่งเข้มข้นมากขึ้น คิดมาถึงตรงนี้ เขาก็ตบถุงเก็บของหนึ่งที ก่อนจะหยิบเอาม้วนตำราหยกจากด้านในออกมา

    ม้วนตำราหยกนี้ได้มาเมื่อครั้งโหวอวิ๋นเฟยพาเขาไปหอหมื่นโอสถก่อนหน้านี้ ด้านในมีคำแนะนำรวมถึงรูปภาพของพืชหญ้าหนึ่งหมื่นชนิด นี่คือตำราพิเศษที่มีอยู่บนยอดเขาเซียงอวิ๋นเท่านั้น เป็นสิ่งที่ผู้เป็นหลิงถงจำเป็นต้องรู้และเข้าใจ

    แต่เพียงแค่รู้จักพืชหญ้าหนึ่งหมื่นชนิดยังไม่เพียงพอ ไป๋เสี่ยวฉุนนึกขึ้นได้ว่าโหวอวิ๋นเฟยเคยบอกว่า ต้องจำพืชหญ้าหมื่นชนิดนี้ให้ได้ก่อนเท่านั้นถึงจะนำไปแลกตำราเล่มต่อไปมาได้

    เขารวบรวมสมาธิ โคจรพลังสะกดทางวิญญาณในร่างกาย พืชหญ้าหลากหลายชนิดค่อยๆ ปรากฏขึ้นในสมอง ยิ่งเห็นเขาก็ยิ่งรู้สึกแปลกใหม่ ราวกับประตูบานใหม่ของชีวิตได้เปิดออก ในตำรานี้มีแม้แต่สมุนไพรจำเป็นสำหรับหลอมลูกกลอนเพิ่มอายุที่เขาเคยไปแลกเอามาด้วย

    หลังจากดูผ่านๆ จนครบหมดแล้ว ไป๋เสี่ยวฉุนรู้สึกว่าหากคิดจะจำพืชหมื่นชนิดนี้ให้ได้หมดก็ไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไร แต่เขาเป็นใครกัน เป้าหมายของเขาคือได้เป็นปรมาจารย์โอสถผู้ยิ่งใหญ่ที่หลอมลูกกลอนอายุยืนออกมาได้

    ดังนั้นความมุ่งมั่นที่แฝงอยู่ในนิสัยของเขาจึงระเบิดออกมาอีกครั้ง ไม่ใช่เพียงแค่จำแบบง่ายๆ แต่ต้องศึกษาสมุนไพรแต่ละชนิดอย่างละเอียดจนถึงที่สุด ต้องเข้าใจสมุนไพรแต่ละชนิดให้ได้ถึงระดับสูงสุดก่อนจึงจะศึกษาชนิดต่อไป

    ปีนั้นที่ต้องตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากสวี่เป่าไฉ ไป๋เสี่ยวฉุนสามารถฝึกวิชาอย่างบ้าคลั่งได้ถึงครึ่งปี เวลานี้เมื่ออยู่ภายใต้อุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ เขาจึงระเบิดศักยภาพแฝงเร้นประเภทเดียวกันนั้นออกมา

    ภาพสมุนไพรแต่ละภาพถูกเขาศึกษาจนแทบจะใกล้เคียงกับระดับที่เรียกว่าประณีตลึกซึ้ง เพียงหลับตาลง ในสมองก็สามารถวาดเค้าโครงรูปร่างของสมุนไพรนั้นออกมาได้

    แต่ถึงกระนั้นก็ยังรู้สึกว่าไม่เพียงพอ เสียดายที่ไม่มีสมุนไพรจริงๆ มิเช่นนั้นเขาก็อยากเอาพวกมันมากรีดออกดูเพื่อศึกษาภายในให้ละเอียดยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อทำเช่นนั้นไม่ได้ เขาจึงทำได้แค่พินิจดูให้ละเอียดกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นลายเส้นหรือกิ่งและใบ หากไม่ได้ศึกษาจนทะลุปรุโปร่งถึงแก่นแท้ก็ไม่มีทางหยุดเด็ดขาด

    สุดท้ายก็ยังรู้สึกว่าไม่พอ ดังนั้นแม้แต่ส่วนลำต้นหรือผลของมันไป๋เสี่ยวฉุนก็ไม่ละเว้น ราวกับเอาสมุนไพรเหล่านั้นมาขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้นอีกหลายเท่าตัวแล้วขุดค้นไปทีละจุดๆ

    แต่แม้จะทำเช่นนั้นแล้วเขาก็ยังไม่วางใจ ท้ายที่สุดจึงถึงขั้นเอาขนอ่อนรวมไปถึงรูเล็กๆ ใต้ขนบนพืชทุกชนิดมาศึกษาอย่างลึกซึ้งด้วย

    เวลาผันผ่าน หนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตลอดหนึ่งเดือนมานี้ ทุกวันไป๋เสี่ยวฉุนล้วนฝึกวิชาขั้นที่สี่ของพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถาง ในที่สุดพลังที่ตีอยู่ในร่างกายก็ผ่อนลงเล็กน้อย ขณะเดียวกันเขาก็ไม่ได้หยุดฝึกวิชาอมตะมิวางวาย เขายังคงทนข่มกลั้นความเจ็บปวดรุนแรงทุกวัน วิ่งกระโดดไปมาอยู่ในลานเรือนไปพลางถือม้วนตำราหยกพืชหญ้าคอยท่องจำสมุนไพรทุกชนิดไปพลาง เขาในเวลานี้สามารถทำได้ถึงขั้นที่ว่าเอาสมุนไพรที่อยู่ในหัวมาเปรียบเทียบกันแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่มีบันทึกเอาไว้ในม้วนตำราหยก เขาทำได้แค่คลำหาหนทางศึกษาเอาเอง

    นอกจากนี้ทุกครั้งที่วิ่งกระโดดอยู่ในลานเรือน เขามักจะมาหยุดอยู่ตรงมุมบนขวาของลานครู่หนึ่ง ที่นั่นมีแปลงดินอยู่หนึ่งผืน ในแปลงดินวิเศษผืนนี้เขาเพาะเมล็ดพันธุ์สมุนไพรเอาไว้สิบเมล็ด

    สมุนไพรชนิดนี้มีชื่อว่าไผ่เหมันต์วิเศษ เป็นภารกิจที่ไร้ซึ่งอันตรายใดๆ อย่างหนึ่งของสำนักซึ่งหาได้ยากยิ่งบนป้ายศิลาภารกิจของศิษย์ฝ่ายนอกเขาเซียงอวิ๋น ไป๋เสี่ยวฉุนออกไปรับภารกิจนี้มาเมื่อครึ่งเดือนก่อน

    คำพูดของหลี่ชิงโหวไป๋เสี่ยวฉุนมิกล้าเพิกเฉย กฎที่กำหนดไว้ว่าทุกครึ่งปีศิษย์ของสำนักต้องทำภารกิจสำเร็จอย่างน้อยหนึ่งอย่าง ไป๋เสี่ยวฉุนจดจำได้อย่างแม่นยำ

    ภารกิจที่เขาเลือกนี้คะแนนคุณความดีที่ให้ไม่ถือว่าน้อย อีกทั้งสุดท้ายยังจะเพิ่มคะแนนคุณความดีให้อีกด้วยเมื่ออิงตามคุณภาพสิ่งของที่นำไปส่งมอบ แต่ถึงภารกิจนี้จะง่ายกลับเปลืองเวลาอย่างมาก อย่างน้อยต้องปลูกพืชชนิดนี้กับมือตนเองนานสามเดือนจึงจะถือว่าผ่านเกณฑ์

    ที่จริงแล้วไผ่เหมันต์วิเศษนี้สามารถใช้พลังสะกดทางวิญญาณที่ตนมีเร่งให้เติบโตเร็วขึ้นได้ เพียงแต่ว่าไป๋เสี่ยวฉุนไม่มีเวลาดูแลมันเลยจริงๆ ดังนั้นหลังจากรับเมล็ดพันธุ์กลับมาแล้วก็โยนไว้ในแปลงดินวิเศษ

    “โตช้าจริงๆ” ไป๋เสี่ยวฉุนมองไปยังแปลงดินวิเศษแล้วขมวดคิ้วมุ่น เขาเคยอ่านคำบรรยายเกี่ยวกับไผ่เหมันต์วิเศษจากม้วนตำราหยกพืชหญ้ามาก่อน รู้ว่าสมุนไพรชนิดนี้จำเป็นต้องใช้พลังสะกดทางวิญญาณสูง หากปลูกบนที่ดินที่ไม่มีพลังสะกดทางวิญญาณเข้มข้น ก็ต้องนำพลังสะกดทางวิญญาณของผู้ฝึกวิชามาใช้ในการบำรุงจึงจะเป็นวิธีการเพาะเลี้ยงที่ดีที่สุด

    “น่าจะเป็นเพราะแปลงดินวิเศษในลานเรือนข้าเหลือพลังสะกดทางวิญญาณอยู่น้อยมากแล้ว ไผ่เหมันต์วิเศษพวกนี้จึงโตช้าสินะ” ไป๋เสี่ยวฉุนนั่งยองๆ ลงไป คว้าก้อนดินของแปลงดินวิเศษขึ้นมาหนึ่งกำมือ ผ่านไปครู่ใหญ่ก็พึมพำอยู่คนเดียว “มีวิธีไหนสามารถทำให้พลังสะกดทางวิญญาณของแปลงดินวิเศษผืนนี้เข้มข้นขึ้นได้บ้างหรือไม่นะ…” ไป๋เสี่ยวฉุนครุ่นคิด ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยน เมื่อยกมือขวาขึ้นมาชี้ หม้อรูปกระดองเต่าก็ปรากฏขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ

    มองหม้อใบนี้ แล้วก็มองแปลงดินวิเศษอีกที นัยน์ตาไป๋เสี่ยวฉุนเปล่งประกาย

    “หม้อใบนี้เอามาใช้หลอมพลังจิตอะไรก็ได้หมด ถ้าเช่นนั้น…ดินวิเศษก็หลอมพลังจิตได้เหมือนกันหรือไม่” ไป๋เสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็อยากรู้อยากเห็นขึ้นมาในทันที หลังจากที่หยิบเอาเมล็ดพันธุ์ของไผ่เหมันต์วิเศษขึ้นมาจากในดินแล้วก็รีบขุดเอาดินวิเศษจำนวนไม่น้อยโยนใส่เข้าไปในหม้อกระดองเต่า จากนั้นก็เอาไฟหนึ่งสีออกมาเริ่มทำการทดสอบ

    ไม่นานแสงสีเงินสว่างวาบ ดินวิเศษในหม้อกระดองเต่าปรากฏลายเส้นสีเงินที่เกิดจากการหลอมพลังจิตหนึ่งครั้งขึ้นมาเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าสีค่อนข้างทึบ ถึงอย่างนั้นก็ยังเห็นได้ชัดว่าพลังสะกดทางวิญญาณของดินในหม้อนี้เข้มข้นขึ้นอย่างมาก

    ไป๋เสี่ยวฉุนสุขใจขึ้นมาโดยพลัน เขาไม่นึกเกียจคร้าน เทดินในหม้อแรกออกมาแล้วก็โกยดินใหม่ใส่เข้าไปอีกหม้อ ทำเช่นนี้ซ้ำไปมา หลังจากใช้เวลาไปกว่าครึ่งชั่วยาม ตอนที่ฟืนไฟหนึ่งสีของเขาถูกใช้ไปได้พอสมควรแล้ว แปลงดินวิเศษทั้งผืนนั้นก็ผ่านการหลอมพลังจิตแล้วหนึ่งครั้ง

    ทว่าดินที่ผ่านการหลอมพลังจิตเป็นเพียงดินชั้นบนเท่านั้น เนื่องจากฟืนของเขามีไม่พอ ตรงจุดที่อยู่ลึกไปกว่านั้นจึงไม่ได้นำไปหลอมพลังจิต ดินวิเศษนี้จึงไม่มีรากฐาน ยากที่จะคงอยู่ยาวนาน เมื่อเวลาผันผ่านก็จะค่อยๆ กลับสู่สภาพเดิม

    ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น พลังสะกดทางวิญญาณของแปลงดินวิเศษผืนนี้ก็เปลี่ยนแปลงจากก่อนหน้า ความเข้มข้นของพลังสะกดทางวิญญาณถึงขั้นที่ว่าเพียงสูดดมก็ได้กลิ่นหอมอบอวล

    ไป๋เสี่ยวฉุนรีบเอาเมล็ดพันธุ์ไผ่เหมันต์วิเศษเพาะลงไป ยืนมองอยู่ด้านข้างตาไม่กะพริบ ไม่นานก็เห็นหน่อสีเขียวแต่ละหน่อโผล่พ้นผิวดินขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เติบโตขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง

    ความรวดเร็วของการเติบโตนั้นพริบตาเดียวก็สูงขึ้นมาเกือบถึงสามฉื่อ*แล้ว หากศิษย์ที่เลือกวิชายุทธ์ด้านสมุนไพรโดยเฉพาะมาเห็นเข้าต้องอ้าปากค้างแน่นอน เพราะต่อให้ผู้บำเพ็ญตนใช้พลังสะกดทางวิญญาณของตนเองมาบำรุงก็ยากที่จะทำให้พืชเติบโตได้เร็วเช่นนี้

    เพราะถึงอย่างไร…ในโลกแห่งการบำเพ็ญตนนี้ก็ยังไม่เคยมีใครนำการหลอมพลังจิตมาใช้อย่างฟุ่มเฟือยกับผืนดิน เพียงเพื่อปลูกไผ่เหมันต์วิเศษแค่สิบกว่าต้นเท่านั้น…

    ต่อให้เป็นปรมาจารย์ด้านการหลอมพลังจิตที่มีชื่อเสียงเลื่องลือก็ไม่มีทางทำเช่นนี้แน่นอน เพราะนี่ช่างสิ้นเปลืองเหลือเกิน

    ไป๋เสี่ยวฉุนเห็นว่าไผ่เหมันต์วิเศษเหล่านี้โตขึ้นมาได้ไม่เลวก็รู้สึกพอใจ หมุนตัวไปวิ่งกระโดดอยู่ในลานโดยไม่สนใจมันอีก ศึกษาความรู้เรื่องหมื่นพืชหญ้าในม้วนตำราหยกอย่างละเอียดลึกซึ้งต่อไป

     

    ดวงตะวันลาลับ ท้องฟ้าค่อยๆ มืดหม่นลง ไผ่เหมันต์วิเศษในแปลงดินวิเศษของลานเรือนไป๋เสี่ยวฉุนเหล่านั้นขยายขนาดขึ้นอย่างรวดเร็วจนสูงสามฉื่อกว่าแล้ว…อีกทั้งเมื่อมองดูแล้วเหมือนว่านี่ยังห่างจากจุดสูงสุดอีกไกลนัก ไม่รู้ว่าอีกสามเดือนให้หลังจะเติบโตถึงระดับที่น่าตกใจเพียงใด…

    และในค่ำคืนนี้เองไป๋เสี่ยวฉุนก็วางม้วนตำราหยกพืชหญ้าที่อยู่ในมือลง พืชหญ้าหนึ่งหมื่นชนิดที่อยู่ในตำรานั้นเขาจดจำไว้ทั้งหมดด้วยความแน่วแน่แล้ว อีกทั้งยังจำแต่ละชนิดได้อย่างละเอียดถึงขั้นน่าตกตะลึง ถึงขนาดสามารถมองออกว่าคำบรรยายของสมุนไพรในม้วนตำราหยกนั้นเหมือนจะมีจุดที่ขัดแย้งกันอยู่ด้วย

    “พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปเอาตำราพืชหญ้าเล่มที่สองมา ไม่รู้ว่าหอหมื่นโอสถจะใช้วิธีไหนทดสอบว่าใครมีคุณสมบัติได้เรียนตำราเล่มที่สอง หรือว่าจะให้ท่องให้ฟังกัน”

    ไป๋เสี่ยวฉุนจับปลายคางแล้วสะบัดปลายแขนเสื้อ กำลังคิดจะเอ่ยคำพูดโอ่อ่าผ่าเผย แต่ก็รู้สึกไม่วางใจ จึงกระแอมแห้งๆ หนึ่งทีและหยิบม้วนตำราหยกขึ้นมาศึกษาอีกหนึ่งครั้ง กังวลอย่างยิ่งว่าพรุ่งนี้ตอนที่ไปเปลี่ยนเอาตำราพืชหญ้าเล่มที่สองมาจะเกิดปัญหา

     

    บทที่ 17

    เจ้าเต่าน้อย

     

    เช้าตรู่วันต่อมาไป๋เสี่ยวฉุนเดินออกจากเรือน แลเห็นว่าไผ่เหมันต์วิเศษในแปลงดินวิเศษผืนนั้นเติบโตขึ้นประมาณครึ่งตัวคนแล้วก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ เดินออกจากลานเรือนมุ่งหน้าไปยังหอหมื่นโอสถ

    ดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมาจากที่ไกลๆ แสงตะวันสาดส่องไปทั่วฟากฟ้า ไอหมอกดุจดังปลาทองแหวกว่ายอยู่ในไอแดด มองแล้วเป็นภาพอันงามสง่ายิ่งนัก ไป๋เสี่ยวฉุนย่างเท้าก้าวเดินรวดเร็ว ตลอดทางไม่เคยหยุดพัก ระหว่างทางค่อยๆ มองเห็นศิษย์ฝ่ายนอกจำนวนไม่น้อย เพียงแต่ไม่รู้จักใครสักคน จึงอดคิดถึงศิษย์พี่ทั้งหลายในฝ่ายครัวไฟไม่ได้

    “ไม่รู้ว่าตอนนี้ศิษย์พี่ใหญ่จะเป็นอย่างไรบ้าง แล้วก็ศิษย์พี่สาม…” ไป๋เสี่ยวฉุนทอดถอนใจอยู่ในใจ เดินมาได้ครึ่งชั่วยามกว่า เมื่อพระอาทิตย์ลอยอยู่บนฟ้าแล้ว เขาก็มองเห็นจารึกศิลาอันน่าตกตะลึงจำนวนสิบหลักของหอหมื่นโอสถอยู่ไกลๆ

    จารึกศิลาทั้งสิบหลักนี้คือสัญลักษณ์ของหอหมื่นโอสถ แต่ละหลักสูงหลายสิบจั้ง แผ่แสงสีเขียวอ่อนกระจายออกมา น่าเกรงขามราวกับมียักษ์สิบตนยืนอยู่ตรงนั้น พลังอำนาจไม่ธรรมดา

    บนจารึกศิลาสามารถมองเห็นตัวอักษรเป็นแถวๆ ได้อย่างชัดเจน เป็นการจัดอันดับตั้งแต่หนึ่งถึงร้อย

    เพียงแต่ด้านหลังอันดับไม่ใช่ชื่อทว่าเป็นภาพทั้งหมด ทุกภาพล้วนเป็นตราสัญลักษณ์ที่ใช้แทนตัวศิษย์ฝ่ายนอกซึ่งสร้างชื่อเสียงเลื่องลือในหอหมื่นโอสถ

    อาจารย์โอสถทุกคนล้วนมีตราสัญลักษณ์ของตัวเอง บนโอสถวิเศษที่กลั่นหลอมออกมาได้อย่างน่าพึงพอใจทั้งหมดล้วนสลักสัญลักษณ์เอาไว้และจะถูกส่งต่อรุ่นสู่รุ่นไปชั่วกาลนาน ดังนั้นสำหรับอาจารย์โอสถแล้ว ตราสัญลักษณ์ก็คือตัวแทนของเกียรติยศ เป็นสิ่งสำคัญยิ่งนัก

    วันที่โหวอวิ๋นเฟยพาไป๋เสี่ยวฉุนมาที่นี่ก็เคยแนะนำให้ฟังคร่าวๆ แล้ว คราวนี้ไป๋เสี่ยวฉุนมาเพียงลำพัง เมื่อเดินเข้าไปใกล้เรื่อยๆ เขาก็มองเห็นรายชื่อบนหลักจารึกศิลาทั้งสิบ

    ที่สะดุดตาที่สุดก็คือชื่อแรกบนจารึกศิลาด้านหน้าเขาหลักนั้น

    นั่นคือคนโทใบหนึ่ง!

    คนโทใบนี้โหวอวิ๋นเฟยเคยบอกไป๋เสี่ยวฉุนว่ามันเป็นตัวแทนของ…โจวซินฉี!

    ชื่อนี้ไม่แปลกหูสำหรับไป๋เสี่ยวฉุน เมื่อครั้งเขายังเป็นนักการก็เคยได้ยินจางต้าพั่งพูดถึงชื่อโจวซินฉีผู้นี้ขึ้นมาครั้งหนึ่งตอนที่กินหนวดโสมคนพลางปลงอนิจจังภายใต้แสงจันทร์

    หญิงผู้นี้เดิมคือมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง หลายปีก่อนผู้อาวุโสท่านหนึ่งสังเกตเห็นถึงสติปัญญาอันน่าตกตะลึงจึงชักชวนเข้าสำนัก หลังจากตรวจสอบความเฉลียวฉลาดอย่างละเอียดแล้ว นางก็สั่นสะเทือนทั้งสำนักหลิงซี

    นางมีพรสวรรค์ด้านสมุนไพรอย่างหาตัวจับยาก ไม่เพียงแต่ฝึกวิชาได้รวดเร็วกว่าคนทั่วไปหลายเท่าตัว ในด้านการกลั่นยาก็ยิ่งมีศักยภาพแฝงที่น่าตะลึง สุดท้ายได้เข้าเป็นศิษย์ของเขาเซียงอวิ๋นและกลายเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวของหลี่ชิงโหว ถูกมองเป็นผู้สืบทอดของหลี่ชิงโหว เป็นปรมาจารย์โอสถที่คอยค้ำจุนสำนักในอนาคต!

    ตามกฎของสำนักหลิงซีนั้นต่อให้มีสติปัญญาสูงส่งเพียงใดก็ไม่สามารถเป็นศิษย์ฝ่ายในได้โดยตรง ดังนั้นความภาคภูมิใจของหญิงสาวผู้นี้และศิษย์จากเขาอื่นอีกสองแห่งบนชายฝั่งทิศใต้จึงเหมือนกัน นั่นคือเริ่มจากการเป็นศิษย์ฝ่ายนอกและฝึกฝนตนเองอย่างหนักหน่วง ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น ทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนที่มีให้แน่นอนว่าต้องเป็นไปตามกฎของสำนัก

    แต่ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนรู้ดี โจวซินฉีผู้นี้ใช้เวลาอีกไม่นานก็คงจะกลายเป็นศิษย์ฝ่ายในได้อย่างเป็นทางการ

    อีกทั้งหญิงสาวผู้นี้ยังงดงามน่าหลงใหล ศิษย์ชายจำนวนนับไม่ถ้วนจึงชื่นชมบูชา

    ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ชื่อเสียงของนางจึงเลื่องลือในหมู่ศิษย์เขาเซียงอวิ๋น ไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก ต่อให้เป็นศิษย์ฝ่ายในก็ล้วนไม่เคยมองนางเป็นคนฝ่ายนอก แม้แต่คนฝ่ายในที่อยู่มายาวนานก็ล้วนยำเกรงหญิงสาวผู้นี้

    ไป๋เสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกประหลาดใจในตัวโจวซินฉีผู้นี้อย่างยิ่ง เขามองจารึกศิลาเหล่านั้นแล้วก็ถือโอกาสเดินวนไปหนึ่งรอบใหญ่เสียเลย ยามพิศมองจารึกศิลาแต่ละหลักก็ค่อยๆ ทึ่งมากขึ้นเรื่อยๆ

    “โจวซินฉีผู้นี้ร้ายกาจเกินไปแล้ว บนจารึกทั้งสิบนางอยู่อันดับหนึ่งถึงแปดหลัก เหตุที่อีกสองหลักไม่มีชื่อนางน่าจะเป็นเพราะนางยังไม่ได้ลงแข่ง!” ไป๋เสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง สายตากวาดไปทั่วจารึกศิลา

    ในเวลานี้เหล่าศิษย์ที่อยู่รอบๆ หอหมื่นโอสถค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น ไม่นานก็กลายเป็นฝูงชน ไป๋เสี่ยวฉุนดึงสายตากลับมาจะตามหาสถานที่แลกตำราพืชหญ้าเล่มที่สอง ครั้นมองเห็นว่าสถานที่แห่งนี้มีคนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ก็แปลกใจเล็กน้อย ไม่รู้เหตุใดผู้คนถึงมากมายขนาดนี้ ดังนั้นจึงเบียดไปข้างหน้า พลันได้ยินเสียงฮือฮาเหมือนเสียงคลื่นดังลอยมาจากรอบทิศอย่างรวดเร็ว

    “ศิษย์พี่หญิงโจวมาแล้ว!”

    “ฮ่าๆ ข่าวลือก่อนหน้านี้เป็นเรื่องจริงเสียด้วย ช่วงนี้ศิษย์พี่หญิงโจวจะต้องมาที่นี่แน่นอน ไม่เสียแรงที่ข้ามารออยู่หลายวัน”

    “คราวก่อนตำราพืชหญ้าเล่มที่ห้า ตำราสัตว์วิเศษเล่มที่สาม ศิษย์พี่หญิงโจวล้วนเป็นที่หนึ่ง คราวนี้นางจะต้องท้าชิงตำราสัตว์วิเศษเล่มที่สี่อย่างแน่นอน!”

    เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากรอบทิศดังขึ้นมาในทันทีทันใด กลุ่มคนเบียดเสียดกันแน่นขนัด ไป๋เสี่ยวฉุนถูกหนีบอยู่ข้างใน ยังดีที่ร่างกายของเขาในตอนนี้ไม่อ้วนแล้ว เบียดไปเบียดมา สุดท้ายก็ออกมาได้ ขณะที่เงยหน้าขึ้นก็มองเห็นสายรุ้งเส้นยาวเส้นหนึ่งจากที่ไกลๆ แวบผ่านไป

    สายรุ้งยาวเส้นนั้นคือแพรต่วนสีฟ้าเส้นหนึ่ง ด้านบนมีหญิงสาวสวมชุดศิษย์ฝ่ายนอกผู้หนึ่ง หญิงสาวผู้นี้มีเส้นผมสีดำขลับพลิ้วไหวตามสายลมดั่งผ้าไหม คิ้วเล็กเรียวยาว ดวงตาทั้งคู่ดุจจันทร์กระจ่าง ผิวพรรณงดงามน่าทึ่ง รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น สวยสง่าโดดเด่น

    ในเวลานี้หญิงสาวผู้นั้นกำลังบินตรงดิ่งไปยังจารึกศิลาหลักหนึ่งในบรรดาจารึกทั้งสิบหลัก ท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องของเหล่าศิษย์ฝ่ายนอก หญิงสาวร่อนลงมายังพื้นดินทว่ามิได้มองรอบกาย นัยน์ตามีแต่กระท่อมที่ตั้งเรียงรายอยู่ด้านหลังจารึกศิลาทั้งสิบเท่านั้น เมื่อเลือกกระท่อมหลังหนึ่งแล้วก็ก้าวยาวๆ เดินเข้าไป

    ไป๋เสี่ยวฉุนเพิ่งจะมองเห็นว่าด้านล่างจารึกศิลาทั้งสิบนี้ รอบๆ ล้วนมีกระท่อมตั้งเรียงรายอยู่หนึ่งแถว ในเวลานี้นอกจากกระท่อมหลังจารึกศิลาหลักที่หญิงสาวเดินเข้าไปแล้ว กระท่อมด้านล่างจารึกศิลาหลักอื่นล้วนมีคนจำนวนไม่น้อยเดินเข้าๆ ออกๆ อยู่

    “ในที่สุดก็ได้เห็นศิษย์พี่หญิงโจวอีกครั้ง ครั้งนี้ศิษย์พี่หญิงโจวจะต้องเป็นอันดับหนึ่งของหลักศิลาที่เก้าได้สำเร็จแน่!”

    “เป้าหมายของศิษย์พี่หญิงโจวคือขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของศิลาทั้งสิบอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน และก็มีแค่นางเท่านั้นถึงจะทำได้ เมื่อนางเข้าทดสอบตำราสัตว์วิเศษเล่มที่สี่ที่ห้าจะต้องได้เป็นที่หนึ่งแน่นอน!” ขณะที่ลูกศิษย์โดยรอบพากันตื่นเต้นขึ้นมา ไป๋เสี่ยวฉุนเดินไปหาศิษย์ฝ่ายนอกที่มองดูแล้วค่อนข้างผอมบางซึ่งยืนอยู่ด้านข้างคนหนึ่ง เขาตะโกนว่าศิษย์พี่หญิงโจวสู้ๆ ดังๆ ออกมาสองสามครั้งก่อนค่อยถือโอกาสสอบถาม ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะอารมณ์ดีมาก จึงตอบคำถามเขาอย่างละเอียด

    ไป๋เสี่ยวฉุนแน่ใจแล้วว่าการจะได้ตำราพืชหญ้าเล่มที่สองมาจำเป็นต้องผ่านการทดสอบในกระท่อมด้านล่างหลักจารึกศิลาเสียก่อน หากทำสำเร็จจึงจะได้มา ดังนั้นจึงรีบเบียดเข้าไปทางจารึกศิลาหลักแรก กว่าจะเข้ามาใกล้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย กลับพบว่าพื้นที่ในกระท่อมแห่งนี้เต็มเสียแล้ว รออยู่สักพักถึงได้เห็นว่ามีคนเดินหน้าม่อยคอตกออกมา เขาไม่ลังเล รีบก้าวเข้าไปทันที

    เพิ่งจะเข้ามาด้านใน เสียงเอะอะด้านนอกก็เหมือนถูกปิดกั้นเอาไว้ กลายเป็นความเงียบสงัด กระท่อมขนาดไม่ใหญ่ มีเบาะนั่งทรงกลมวางไว้ตรงกลาง ด้านหน้าเบาะนั่งมีป้ายศิลารูปร่างเหมือนอักษรหมายเลขหนึ่งขนาดเล็กตั้งอยู่

    ไป๋เสี่ยวฉุนทำตามวิธีที่สอบถามมา นั่งขัดสมาธิลงบนเบาะนั่ง หยิบเอาม้วนตำราหยกพืชหญ้าเล่มที่หนึ่งออกมาแตะสัมผัสกับป้ายศิลา ม้วนตำราหยกนี้ละลายในทันที ป้ายศิลาสั่นไหวเล็กน้อย มีแสงสว่างส่องกระจายออกมา

    “เมื่อครู่ศิษย์พี่คนนั้นบอกว่าในเวลานี้ต้องวาดสัญลักษณ์อาจารย์โอสถซึ่งจะเป็นตัวแทนของตนในอนาคตหนึ่งรูปลงบนป้ายศิลานี้” ไป๋เสี่ยวฉุนคิดอยู่สักพักก็หัวเราะคิกคัก วาดรูปเต่าตัวหนึ่งลงไป เขาชอบเต่า รูปเต่านี้บิดๆ เบี้ยวๆ ออกจะน่าเกลียดไปสักหน่อย แต่เขากลับรู้สึกว่ามันดูดีไม่เลวทีเดียว

    สัญลักษณ์รูปเต่าเปล่งแสงวาบแล้วก็หายไป ไป๋เสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก รวบรวมสมาธิอยู่ครู่หนึ่ง นัยน์ตาเผยแววฮึกเหิม ยกมือขวาขึ้นก่อนจะค่อยๆ กดฝ่ามือลงไปบนป้ายศิลา แทบจะเวลาเดียวกับที่สัมผัสป้ายศิลานั้น สมองของเขาก็มีเสียงตูมดังขึ้นมาหนึ่งที ดวงตาพร่าเลือนอย่างฉับพลัน เมื่อมองเห็นชัดอีกครั้ง รอบกายก็ไม่ใช่กระท่อมอีกต่อไป แต่กลับมาอยู่ในพื้นที่เขตแดนลวงตาแห่งหนึ่ง

    ยังไม่ทันที่ไป๋เสี่ยวฉุนจะประเมินสภาพรอบด้านเสร็จ แสงหนึ่งก็พลันวาบขึ้น ด้านหน้าเขามีสมุนไพรจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในชั่วพริบตา

    สมุนไพรเหล่านี้ไม่สมบูรณ์แบบ อีกทั้งยังแหว่งวิ่นไปหลายส่วน ถูกหั่นออกเป็นสิบกว่าชิ้นปะปนอยู่ด้วยกัน ปูแผ่แน่นขนัด

    เขามองไปและเห็นว่าสมุนไพรเหล่านั้นมีจำนวนมากมายไม่อาจนับหมดได้ในทันที

    นี่ก็คือการทดสอบอันน่าหวาดกลัวของหอหมื่นโอสถที่ทำให้ศิษย์ฝ่ายนอกจำนวนนับไม่ถ้วนของเขาเซียงอวิ๋นโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ หลายปีมานี้ผู้คนมากมายต้องทอดถอนใจต่อหน้าการทดสอบนี้ และด้วยเหตุนี้ผู้ใดก็ตามที่มีชื่อปรากฏเป็นร้อยอันดับแรกบนหลักจารึกศิลาได้จึงมักจะเป็นที่อิจฉาริษยาของผู้คนนับไม่ถ้วน และที่มากไปกว่านั้นก็คือการยอมรับจากใจจริง

    โดยเฉพาะอันดับหนึ่งถึงอันดับสิบ นับว่าเป็นเกียรติยศอย่างแท้จริง

    “ในเวลาหนึ่งก้านธูป จงต่อลำต้นวิเศษเข้าด้วยกัน ใช้จำนวนต้นที่สมบูรณ์แบบมากที่สุดเป็นการทดสอบ เริ่มได้” น้ำเสียงเย็นเยียบราวกับปราศจากอารมณ์ใดเสียงหนึ่งดังสะท้อนก้องอยู่ ณ พื้นที่เขตแดนลวงตาแห่งนี้

    “ง่ายเพียงนี้เชียว?” ไป๋เสี่ยวฉุนรู้สึกคาดไม่ถึงเล็กน้อย ด้วยระดับความลึกซึ้งที่เขาเข้าใจต่อสมุนไพรในม้วนตำราหยก ในเวลานี้แค่มองก็สามารถประกอบชิ้นส่วนเสียหายของสมุนไพรนับร้อยชนิดนั้นได้ทันที

    ก่อนจะมาเขากังวลไปต่างๆ นานา เวลานี้เห็นการทดสอบเช่นนี้จึงผ่อนคลายลง แต่ความรู้สึกไม่วางใจก็เกิดขึ้นตามมาติดๆ

    “ไม่ได้ การทดสอบง่ายดายเช่นนี้ สุดท้ายจำนวนที่จะทำให้ผ่านได้ต้องสูงมากเป็นแน่” พอไป๋เสี่ยวฉุนเครียดจึงรีบทำเวลาทันที ยกมือขวาขึ้นมาชี้ติดต่อกันสิบกว่าครั้ง เศษสมุนไพรที่ถูกเขาชี้ไปทุกชิ้นล้วนเข้ามารวมกันตามความคิดของเขา พริบตาเดียวก็ต่อเข้าด้วยกันกลายเป็นสมุนไพรสองต้น

    มือทั้งสองข้างของเขาไม่เคยหยุดพัก ชี้ติดต่อกันไปอีกครั้ง เศษซากจำนวนนับไม่ถ้วนลอยออกมาแทบจะไม่ได้หยุด แต่ละชิ้นบินเข้ามารวมกันอย่างรวดเร็ว กลายเป็นสมุนไพรทีละต้นและเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ เป็นร้อยชนิดในเวลาอันรวดเร็ว

    ไป๋เสี่ยวฉุนไม่กะพริบตา ตั้งสมาธิแน่วแน่ ลืมทุกเรื่องที่อยู่รอบกายไปหมด สายตาเห็นแค่เพียงเศษซากพืชหญ้าเหล่านี้ มือทั้งสองตวัดรัวเร็ว เขาร้อนใจ กังวลว่าการทดสอบจะล้มเหลว ดังนั้นในเวลานี้จึงยิ่งแน่วแน่ ดวงตาค่อยๆ มีเส้นเลือดฝอยปรากฏขึ้น มือทั้งสองก็ยิ่งตวัดเร็วกว่าเดิม

    หนึ่งร้อยต้น สองร้อยต้น สามร้อยต้น ห้าร้อยต้น…หนึ่งพันต้น!

    ศีรษะของไป๋เสี่ยวฉุนชุ่มไปด้วยเหงื่อ ถึงขนาดมีไอขาวลอยขึ้นกลางศีรษะ มือทั้งสองยิ่งตวัดเร็ว เศษซากพืชหญ้าเหล่านั้น เขามองเพียงครั้งเดียวก็สามารถจำได้ทันทีว่าเป็นชนิดไหน เพราะยามที่ท่องจำเนื้อหาจากม้วนตำราหยก เขาถึงขั้นอยากจะเอาพืชหญ้าเหล่านั้นมาบดให้เป็นฝุ่นผงเพื่อศึกษาด้วยซ้ำ

    ทว่าเมื่อทำเช่นนั้นไม่ได้ จึงทำได้เพียงสังเกตอย่างละเอียดลออที่สุด มองให้ถึงจุดที่เล็กน้อยที่สุดเพื่อให้เข้าใจครบทุกส่วน

    หากเหล่าศิษย์ด้านนอกเห็นภาพนี้เข้า ทุกคนจะต้องอ้าปากค้าง ไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน พวกเขาเข้าใจว่าการทดสอบนี้น่ากลัวจนขนหัวลุก แต่กลับคาดไม่ถึงว่าการศึกษาของพืชหญ้านับหมื่นชนิดในม้วนตำราหยกของไป๋เสี่ยวฉุนต่างหากที่ทำให้คนขนหัวลุกได้อย่างแท้จริง

    เวลาผ่านไป สองพันต้น สามพันต้น…

    ดวงตาทั้งคู่ของไป๋เสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย มือทั้งสองของเขาทำได้เพียงฝืนเคลื่อนไหวไปมา หากไม่ใช่เพราะพลังขั้นที่สี่ของการหลอมปราณค้ำยันเอาไว้ เกรงว่าคงจะมิอาจเคลื่อนตามความคิดได้ทันตั้งนานแล้ว

    มาถึงระดับนี้ ไป๋เสี่ยวฉุนเองก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วตนเองจะผ่านไปได้หรือไม่ ทำได้เพียงกัดฟันยืนหยัดต่อไปไม่หยุด

    สี่พันต้น ห้าพันต้น หกพันต้น เจ็ดพันต้น…

    ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ขณะที่เศษชิ้นส่วนของสมุนไพรเหล่านั้นเหลืออยู่ไม่มาก ทันใดนั้นทั้งหมดก็มีแสงวาบขึ้นมาแล้วหายไปในพริบตา ภาพด้านหน้าพร่าเลือนอีกครั้ง เมื่อมองเห็นได้ชัดเจนอีกทีตัวเขาก็กลับเข้ามาอยู่ในกระท่อมแล้ว บนป้ายศิลาปรากฏม้วนตำราหยกหนึ่งม้วน ซึ่งก็คือม้วนตำราหยกพืชหญ้าเล่มแรกของเขาที่หลอมละลายหายไปก่อนหน้านี้

    “ยังขาดอีกนิดเดียว ขาดแค่นั้นเอง…” เขาคับข้องใจ หยิบม้วนตำราหยกขึ้นมาแล้วหน้าม่อยคอตกเดินออกจากกระท่อม จากนั้นก็ได้ยินเสียงไชโยโห่ร้องของคนจำนวนนับไม่ถ้วนด้านนอก

    ไป๋เสี่ยวฉุนเงยหน้าขึ้นด้วยความแปลกใจ และเห็นในทันทีว่าเวลานี้โจวซินฉีผู้นั้นก็กำลังเดินออกมาจากกระท่อมด้านล่างหลักศิลาที่เข้าไปพอดีเช่นกัน อีกทั้งจารึกศิลาด้านหลังของนางก็ปรากฏรูปคนโทที่เป็นตัวแทนของนางขึ้นในอันดับที่หนึ่ง

     

    บทที่ 18

    ชักนำบรรยากาศ

     

    นั่นคือหลักจารึกศิลาของตำราสัตว์วิเศษเล่มที่สี่ หากนับดูจะมองเห็นว่าเป็นจารึกศิลาหลักที่เก้า อันดับที่หนึ่งในเวลานี้มีรูปคนโทปรากฏขึ้นมา

    เสียงไชโยโห่ร้องที่ดังเหลือประมาณสะท้อนไปทั่วทุกสารทิศในเวลานี้

    “ฮ่าๆ ศิษย์พี่หญิงโจวทำสำเร็จแล้ว ข้าบอกแล้วอย่างไร ศิษย์พี่หญิงโจวจะต้องเป็นผู้บุกเบิกอันดับหนึ่งของจารึกทุกหลักอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน!”

    “สมกับเป็นโจวซินฉีผู้มีสติปัญญาและพรสวรรค์ด้านสมุนไพรสูงส่ง อนาคตของนางต้องยาวไกลอย่างหาขอบเขตมิได้แน่นอน!”

    “ศิษย์พี่หญิงโจว พวกเรารอการทดสอบครั้งต่อไปของท่าน เป็นคนแรกที่ขึ้นอันดับหนึ่งของหลักศิลาทั้งสิบ ตีระฆังใหญ่ของสำนักหลิงซีให้สะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งสำนัก!” ศิษย์ฝ่ายนอกทั้งหมดที่อยู่รอบหอหมื่นโอสถต่างส่งเสียงไชโยโห่ร้องเป็นระลอก แม้ว่าในนั้นจะมีบางคนที่สีหน้าไม่น่าดูและกล่าววาจาเผ็ดร้อน แต่กลับถูกเสียงไชโยโห่ร้องนี้กลบเสียมิด ด้วยตำแหน่งของโจวซินฉีในใจของเหล่าศิษย์นั้นเป็นดั่งตะวันกลางฟากฟ้า ถึงขนาดว่าถูกทุกคนยกให้เป็นหน้าเป็นตาของเขาเซียงอวิ๋น

    โจวซินฉียิ้มบางๆ แม้ว่าปกตินางจะเป็นคนเย็นชา แต่เมื่อเห็นศิษย์มากมายไชโยโห่ร้อง ในใจก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกภูมิใจ รอยยิ้มนี้ของนางทำให้เสียงร้องของเหล่าศิษย์นับไม่ถ้วนยิ่งดุเดือดมากขึ้น

    ไป๋เสี่ยวฉุนเองก็อยู่ในกลุ่มคนด้วย เขามองโจวซินฉีด้วยสายตาอิจฉา ถอนหายใจอยู่ในใจแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองจารึกศิลาของตำราพืชหญ้าเล่มแรก เพียงแค่มองแวบเดียวดวงตาทั้งคู่ของเขาก็พลันเบิกกว้าง หลังจากอึ้งไปครู่ใหญ่ก็หยิบม้วนตำราหยกพืชหญ้าเล่มแรกออกมาอ่านอย่างละเอียดโดยด่วน ในนั้นนอกจากพืชหญ้าหนึ่งหมื่นชนิดของเล่มที่หนึ่งแล้ว ยังมีเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งหมื่นชนิด เขาเชิดหน้ายืดอกขึ้น เผยความภาคภูมิใจภายใต้ความตื่นตะลึงและยินดี

    เขามองเห็นว่าในเวลานี้บนจารึกศิลาตำราพืชหญ้าเล่มแรกมีภาพเต่าสวยงามตัวหนึ่งปรากฏพรวดขึ้นมา เบียดทับอยู่ด้านบนของคนโท ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้สึกสบายใจอย่างยิ่ง

    เดิมทีเขาคิดจะจากไปแล้ว แต่ในเวลานี้กลับยืนอยู่ในกลุ่มคน ข่มกลั้นความตื่นเต้น เตรียมรอฟังเสียงไชโยโห่ร้องที่คนรอบทิศจะมีให้กับตนเอง แต่รอแล้วรอเล่า ความสนใจของฝูงชนรอบด้านก็ล้วนอยู่ที่โจวซินฉีทั้งสิ้น ไม่มีผู้ใดสนใจจารึกศิลาพืชหญ้า แม้แต่ตัวโจวซินฉีเองก็กำลังจะหมุนตัวจากไปแล้วด้วยซ้ำ

    ไป๋เสี่ยวฉุนร้อนใจขึ้นมาทันที หลังจากกะพริบตาเขาก็ตะโกนเสียงดังอย่างจงใจแปลกใจออกมาทันที

    “พวกเจ้าดูบนหลักศิลาพืชหญ้าเล่มแรกสิ อันดับที่หนึ่งเหตุใดถึงไม่ใช่ศิษย์พี่หญิงโจวแล้วเล่า เปลี่ยนคนเสียแล้ว แปลกยิ่งนัก เต่าสวยขนาดนี้ใครเป็นคนวาดกันนะ!”

    เสียงของเขาแหลมสูงมากพอจนลอดทะลุไปในเสียงไชโยรอบทิศได้ อีกทั้งเนื้อหาคำพูดก็น่าตกตะลึงเกินไป ทันใดนั้นคนจำนวนไม่น้อยข้างกายเขาต่างพากันหันไปมองโดยไม่รู้ตัว ตามมาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เปล่งเสียงออกมาด้วยความตกตะลึง

    เมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้คนอีกมากจึงได้ยินเสียงตกใจนี้ ขณะที่มองไป ร่างกายทุกคนก็พากันสะท้านไหว เผยสีหน้าท่าทางไม่อยากเชื่อ ไม่นานทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้ล้วนพุ่งความสนใจไปยังจารึกศิลาของตำราพืชหญ้าเล่มที่หนึ่ง

    “นี่…นี่…จารึกศิลาหลักแรก ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนเหนือกว่าศิษย์พี่หญิงโจว!”

    “จะเป็นไปได้อย่างไร สวรรค์ มีคนอยู่เหนือศิษย์พี่หญิงโจวจริงๆ ด้วย คนผู้นี้เป็นใครกัน เต่ารูปนี้วาดได้น่าเกลียดเกินคำบรรยายเสียจริง เจ้านี่มันเป็นใคร!”

    “ไม่น่าเชื่อว่าจะมีผู้ท้าทายความรู้ลึกซึ้งด้านพืชหญ้าจนเบียดศิษย์พี่หญิงโจวลงไปได้ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว! ครั้งนี้ศิษย์พี่หญิงโจวไม่ได้เป็นอันดับหนึ่งของศิลาเก้าหลัก แต่ยังคงเป็นอันดับหนึ่งของศิลาแปดหลัก!”

    ผู้คนรอบทิศฮือฮาขึ้นมาทันใดจนเกิดเสียงดังกระหึ่ม เสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงขั้นดังกว่าเสียงไชโยให้โจวซินฉีก่อนหน้านี้เสียอีก จะว่าไปแล้วเรื่องเช่นนี้ก็ไม่มีผู้ใดได้ทันคาดคิดมาก่อน ความประหลาดใจจึงพุ่งสูงถึงขีดสุด

    ไป๋เสี่ยวฉุนอยู่ท่ามกลางฝูงชน ฉีกยิ้มภาคภูมิใจจนแก้มแทบจะปริ แต่กลับกังวลขึ้นมาว่ายอมรับตอนนี้ดูจะไม่ค่อยเหมาะสมนัก ดังนั้นจึงข่มกลั้นเอาไว้ ทว่าก็ยังส่งเสียงดังอยู่ตลอดเวลา เสียงแหลมสูงของเขาโดดเด่นอย่างมากในหมู่ศิษย์รอบข้าง

    เขาก็ยังคงนึกไม่ถึงอยู่ดีว่าตนจะได้เป็นที่หนึ่ง

    และในเวลานี้โจวซินฉีที่เดิมทีตั้งใจจะจากไปก็หยุดชะงัก นางได้ยินเสียงฮือฮาของผู้คนโดยรอบ ขณะที่หมุนตัวดวงตาคู่งามก็ตวัดมองไปยังหลักจารึกศิลาของตำราพืชหญ้าเล่มที่หนึ่ง ก่อนจะเห็นภาพเต่าที่อยู่ในอันดับหนึ่ง

    นางขมวดคิ้วน้อยๆ เป็นอย่างแรก จากนั้นก็คลายออกอย่างรวดเร็ว ในใจไม่เกิดระลอกคลื่นใดๆ ในความคิดของนาง อันดับหนึ่งของจารึกศิลาตำราพืชหญ้าเล่มที่หนึ่งนี้นางได้มาครองตอนที่เพิ่งเข้าเป็นศิษย์ฝ่ายนอก นางในตอนนั้นไม่ได้ใช้ความสามารถทั้งหมดที่มี จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงตัวเองในเวลานี้ที่แตกต่างไปจากปีนั้นอย่างสิ้นเชิง

    “ไม่เลว ในสำนักควรจะมีหน่ออ่อนที่ดีงอกขึ้นมาบ้าง” นางเอ่ยปากเรียบๆ น้ำเสียงนุ่มนวล เคลื่อนร่างตรงดิ่งไปยังหลักศิลาของตำราพืชหญ้าเล่มที่หนึ่ง

    ความคิดนางเรียบง่ายยิ่งนัก เพียงถูกชิงอันดับหนึ่งไปชั่วครู่เท่านั้น เอากลับมาใหม่ก็จบเรื่อง

    การเคลื่อนไหวนี้ของนางทำให้ศิษย์แต่ละคนรอบด้านตื่นเต้นขึ้นมาทันที สายตาทุกคู่มองตามไปตาไม่กะพริบ เมื่อมองเห็นว่าโจวซินฉีเข้าไปในกระท่อมที่อยู่ด้านล่างหลักศิลาของตำราพืชหญ้าเล่มที่หนึ่ง ในใจก็เต็มไปด้วยการรอคอยทันที

    “นี่ศิษย์พี่หญิงโจวกำลังจะไปเอาอันดับหนึ่งที่เป็นของนางกลับคืนมา ศิษย์น้องที่วาดรูปเต่าผู้นี้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว น่าเสียดาย อันดับหนึ่งนี่คงรักษาไว้ได้แค่ชั่วหนึ่งก้านธูปเท่านั้น”

    “เท่านี้ก็ดีแล้ว คนผู้นี้เองก็เป็นเลิศด้านพืชหญ้าอย่างแท้จริง เพียงแต่ว่ามาเจอกับศิษย์พี่หญิงโจว คงพูดได้แค่ว่าเขาโชคร้าย”

    ได้ยินเสียงจากรอบด้านไป๋เสี่ยวฉุนก็เริ่มเครียด รู้สึกไม่ค่อยมั่นใจขึ้นมา ด้านหนึ่งนึกถึงเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นที่ไม่ทันได้นำมาประกอบเข้ากันให้สมบูรณ์ อีกด้านก็เพราะชื่อเสียงของโจวซินฉีนั้นยิ่งใหญ่เกินไป

    ขนาดตัวเขาเองยังคิดว่าครั้งนี้คงจะได้อันดับสองเสียแล้ว

    “ไม่เป็นไร ที่สองก็ที่สองสิ บุรุษที่ดีไม่สู้กับอิสตรี!” ไป๋เสี่ยวฉุนปลอบใจตัวเอง ใจหนึ่งคิดจะจากไป แต่กลับไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ดังนั้นจึงยืนอยู่ที่นั่น รอคอยผลที่จะออกมาด้วยจิตใจพะวักพะวน

    ชั่วพริบตาเวลาหนึ่งก้านธูปก็ผ่านไป อันดับรายชื่อบนหลักศิลายังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไป๋เสี่ยวฉุนยังอยู่อันดับหนึ่ง ขณะที่โจวซินฉีเดินออกมาจากกระท่อม สีหน้าของนางราบเรียบ ในใจมีความมั่นใจอย่างยิ่ง ครั้งนี้นางใช้ความรู้อย่างน้อยแปดส่วน ประกอบสมุนไพรได้ครบสมบูรณ์สี่พันต้นจากทั้งหมดหนึ่งหมื่นต้น

    ในสายตาของนาง การอยู่เหนือลูกศิษย์ที่ไม่รู้ว่าเป็นใครซึ่งพอจะมีพรสวรรค์อยู่บ้างผู้นั้นเป็นเรื่องที่แน่นอนอย่างยิ่งแล้ว

    แต่ทันทีที่นางเดินออกมากลับไม่ได้ยินเสียงใดๆ ดังมาจากภายนอก ถึงขั้นเมื่อมองไป สายตาทุกคนล้วนเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด มีคนไม่น้อยเผยสีหน้าไม่อยากเชื่ออย่างรุนแรงออกมา

    โจวซินฉีอึ้งงัน เงยหน้าขึ้นมองหลักจารึกศิลาอย่างรวดเร็ว และได้เห็นว่าคนโทที่เป็นตัวแทนของนางถูกเต่าที่ยิ่งมองก็ยิ่งน่าเกลียดตัวนั้นขี่ทับไว้เบื้องล่างดังเดิม

    รอบทิศเงียบสนิท ทุกคนล้วนตะลึงงัน แม้แต่ไป๋เสี่ยวฉุนเองก็ยังอึ้งไปด้วย จากนั้นก็มองโจวซินฉีด้วยความแปลกใจ รู้สึกว่าหญิงสาวผู้นี้นอกจากหน้าตาสะสวยแล้ว ก็เหมือนว่า…จะไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดเอาไว้

    ดวงตาทั้งคู่ของโจวซินฉีหรี่ลงเล็กน้อย และกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว

    “มีสติปัญญาด้านพืชหญ้าอยู่บ้างจริงๆ ข้าเริ่มรู้สึกสนใจคนผู้นี้เสียแล้ว” นางหมุนตัว เดินกลับเข้าไปในกระท่อมด้านหลังตนเองอีกครั้งท่ามกลางสายตาของทุกคน

    ครั้งนี้ไป๋เสี่ยวฉุนยิ่งจากไปไม่ได้ เชิดหน้ารอคอยอยู่ในกลุ่มฝูงชน ส่วนลูกศิษย์ฝ่ายนอกคนอื่นๆ ก็ไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์กันเสียงดังอีกต่อไป แต่พูดคุยกันเบาๆ แทน เรื่องนี้ในสายตาของทุกคนถือเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จึงรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง

    ถึงขนาดว่าตอนที่ค่อยๆ มองไปยังเต่าตัวนั้นก็รู้สึกได้ถึงความลึกลับบางอย่าง ความลึกลับนี้หลังจากหนึ่งก้านธูปผ่านไป เมื่อโจวซินฉีเดินออกมาอีกครั้งก็พลันรุนแรงขึ้นอย่างหาใดเปรียบ

    เต่า…ยังคงอยู่ด้านบน!

    “สวรรค์ คนผู้นี้เป็นใคร!” ไป๋เสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง ตะโกนเสียงแหลมเล็กออกมาก่อนใคร ชักนำบรรยากาศของลูกศิษย์คนอื่นๆ ทันที

    “ศิษย์พี่หญิงโจวเข้าไปสองครั้งแต่ก็ยังไม่อาจอยู่เหนือคนผู้นี้ได้ เป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร เขาประกอบต้นสมุนไพรได้สมบูรณ์กี่ต้นกันแน่!”

    “ใครเห็นบ้างว่าเมื่อครู่ศิษย์พี่ท่านใดที่เดินเข้าไปทดสอบ”

    ในเวลานี้ฝูงชนที่เงียบไปนานก็อดไม่ได้ที่จะฮือฮากันขึ้นมาอีกครั้ง โจวซินฉียืนอยู่ด้านล่างหลักศิลาขมวดคิ้วงามเข้าหากันแน่น เมื่อครู่นางใช้ความรู้ทั้งหมดแล้ว ทำสำเร็จไปได้เกือบหกพันต้น แต่กลับนึกไม่ถึงว่าจะยังคงถูกกดให้อยู่เบื้องล่าง

    ดวงตาทั้งคู่ของนางหรี่ลง ส่งเสียงหึเย็นๆ หนึ่งทีก่อนจะหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในกระท่อมอีกครั้ง นัยน์ตาเผยแววจริงจัง

    ผ่านไปอีกหนึ่งก้านธูป เมื่อนางเดินออกมาอีกครั้ง สีหน้าก็เคร่งขรึมถึงขีดสุด หมุนตัวกลับเข้าไปอีก แล้วก็ผ่านไปอีกหนึ่งก้านธูป ตอนที่ออกมาใบหน้านางก็ซีดเผือดแล้ว แต่นัยน์ตากลับฉายความมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ เดินกลับเข้าไปอีกครั้ง

    หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง สี่ครั้ง…

    ลมหายใจของผู้บำเพ็ญตนทั้งหมดที่อยู่รอบทิศยิ่งถี่กระชั้นขึ้นเรื่อยๆ ตามการทดสอบแต่ละครั้งของโจวซินฉี แต่ท้ายที่สุดแล้วกลับต้องเงียบลงอีกครั้งอย่างไม่ได้นัดหมาย

    เพราะภาพที่เห็นนี้ได้แสดงถึงเรื่องน่าหวาดกลัวเกินไป พวกเขาไม่อาจนึกได้เลยว่าผู้ที่วาดเต่าตัวนี้ประกอบพืชสมุนไพรสำเร็จไปกี่ต้นกันแน่ ถึงขนาดทำให้โจวซินฉีไม่อาจก้าวข้ามไปได้เช่นนี้

    ในเวลานี้เต่าตัวนั้นได้สร้างความประทับใจอย่างรุนแรงถึงขีดสุดต่อฝูงชน ณ ที่นี้

    โดยเฉพาะหลังจากโจวซินฉีออกมาอีกครั้ง ในดวงตาคู่งามของนางถึงขั้นมีเส้นเลือดฝอยปรากฏออกมา คนรอบทิศล้วนอดสูดหายใจอย่างรุนแรงไม่ได้

    ไป๋เสี่ยวฉุนซึ่งอยู่ในกลุ่มคนทำได้เพียงไอแห้งๆ ไม่หยุด ในเวลานี้การไม่อาจพูดออกมาได้ว่าตนเองคืออันดับหนึ่งคนนั้นก็เหมือนกับในใจมีกรงเล็บแมวคอยข่วนให้รู้สึกคัน ทำให้เขาได้แต่แอบเบิกบานใจอยู่กับตัวเอง

    “ไม่ได้ ต่อไปต้องหาโอกาสบอกทุกคนภายใต้สถานที่ที่มีสายตานับหมื่นจ้องมองว่าอันดับหนึ่งบนหลักศิลาพืชหญ้าก็คือข้าไป๋เสี่ยวฉุน!” ไป๋เสี่ยวฉุนมองเห็นสีท้องฟ้าค่อยๆ มืดลงก็หาวหนึ่งที ทำท่าทางของยอดฝีมือผู้เบื่อหน่าย “ข้าไป๋เสี่ยวฉุนแค่ดีดนิ้ว โจวซินฉีก็สิ้นราพณาสูร…” เขาสะบัดปลายแขนเสื้อ หมุนตัวเดินออกไปจากกลุ่มคนอย่างภาคภูมิใจ ค่อยๆ เดินจากไปไกล

    ขณะที่ไป๋เสี่ยวฉุนเดินจากไปไกล โจวซินฉีที่อยู่ด้านล่างจารึกศิลาของตำราพืชหญ้าเล่มที่หนึ่งก็กัดฟันเดินเข้าไปในกระท่อมอีกครั้ง นางมุ่งมั่นอย่างยิ่ง…

    จนกระทั่งดวงจันทร์แขวนสูงกลางฟากฟ้า ใบหน้าของโจวซินฉีเต็มไปด้วยความอ่อนล้า จ้องเขม็งไปที่เต่าตัวนั้น นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีวันที่ตนเองต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ สุดท้ายก็จากไปไกลพร้อมความเงียบงัน

    ฝูงชนรอบด้านถึงได้กระจายตัวกันไปในยามนี้ ข่าวลือเกี่ยวกับเต่าแพร่กระจายไปทั่วทั้งเขาเซียงอวิ๋นภายในคืนเดียว

    เดิมนึกว่าเรื่องจะจบลงเพียงเท่านี้ แต่วันที่สองพอฟ้าสว่าง ศิษย์รอบๆ หอหมื่นโอสถต่างตะลึงมองโจวซินฉีพุ่งตรงเข้าไปยังกระท่อมของจารึกศิลาหลักที่หนึ่งอีกครั้ง และเดินเข้าไปอีกหลังจากล้มเหลว

    หนึ่งวัน สองวัน สามวัน…เวลาสามวันเต็มที่โจวซินฉีไม่ยอมแพ้ ทำให้การวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับลูกศิษย์เต่าผู้ลึกลับในเขาเซียงอวิ๋นไต่ไปถึงระดับที่ยากจะบรรยายออกมาได้

    ไม่มีผู้ใดไม่รู้ ไม่มีผู้ใดไม่ทราบ ถึงขั้นแพร่ไปถึงหูของศิษย์ฝ่ายใน

    จนกระทั่งเจ็ดวันให้หลัง โจวซินฉียืนเงียบงันอยู่ด้านล่างหลักศิลา เมื่อมองไปที่เต่าตัวนั้น ดวงตาของนางฉายแววมืดมนเป็นครั้งแรก เจ็ดวันมานี้นางทดสอบติดต่อกันไม่หยุด ได้ใช้ความสามารถทั้งหมดที่มีแล้ว ถึงขนาดแสดงฝีมือมากเกินกว่าปกติด้วยซ้ำ ผลคะแนนที่ดีที่สุดคือทำได้สำเร็จเจ็ดพันต้น แต่ก็ยังคงไม่สามารถอยู่เหนือศิษย์ลึกลับผู้นั้นได้

    “เจ้าเป็นใครกันแน่!” โจวซินฉีพึมพำกับตนเอง หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกก็กัดฟันหมุนตัว ไม่ท้าแข่งอีกต่อไป แต่เต่าตัวนั้นกลับประทับตรึงอยู่ในใจของนางอย่างล้ำลึก ไม่มีทางสลายหายไปได้

     

    บทที่ 19

    ตำนานของเจ้าเพียงพอนขาว

     

    ไป๋เสี่ยวฉุนที่มีฐานะเป็นศิษย์ฝ่ายนอกใช้ชีวิตในเขาเซียงอวิ๋นได้อย่างแช่มชื่น นอกเหนือจากการเอาแต่คิดถึงอาหารเลิศรสของฝ่ายครัวไฟแล้ว ด้านอื่นๆ เขาล้วนพึงพอใจอย่างมาก

    ไม่ว่าจะเป็นความเร็วในการฝึกวิชาหรือการศึกษาพืชหญ้าก็ต่างทำให้เขารู้สึกว่าชีวิตเต็มไปด้วยสาระ เพียงแต่ว่าบางครั้งก็รู้สึกเบื่อหน่าย ที่พักของเขาอยู่ในที่ค่อนข้างลับตาคน รอบด้านไม่มีคนรู้จัก หลายครั้งแค่จะพูดคุยกับผู้อื่นก็ยังไม่มีโอกาส

    “หรือว่าผู้บำเพ็ญตนต้องปลีกวิเวกเช่นนี้กันทุกคน” ไป๋เสี่ยวฉุนเงยหน้าขึ้นทอดถอนใจ ยืนอยู่ในลานเรือน เงยหน้ามองท้องฟ้า ท่าทางราวกับเด็กหนุ่มที่เป็นผู้ใหญ่ก่อนวัย

    ตอนนี้สายลมวสันต์ได้ผ่านไปแล้ว ลมหนาวพัดโชย เนื่องจากอุณหภูมิที่ลดต่ำลง บางครั้งระหว่างผืนฟ้าและผืนดินจึงมองเห็นเกล็ดหิมะร่วงหล่นลงมาได้ และการมาเยือนของเหมันต์ครานี้ ต้นไผ่เหมันต์วิเศษเองก็ยิ่งเจริญงอกงามอย่างแข็งแรง ความสูงในปัจจุบันเกินกว่าความสูงของไป๋เสี่ยวฉุนไปแล้ว สีเขียวขจีเป็นผืนแผ่นกลายเป็นภาพบรรยากาศของวสันตฤดูท่ามกลางเหมันต์นี้

    ขณะนี้ผ่านมาแล้วหนึ่งเดือนกว่านับตั้งแต่วันที่เขาได้ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของหลักจารึกศิลาตำราพืชหญ้าเล่มที่หนึ่ง เพียงแต่ระดับความยากของตำราพืชหญ้าเล่มที่สองนั้นมากกว่าที่เขาคาดไว้ ความเร็วในการศึกษาจึงค่อนข้างช้าเล็กน้อย ที่สำคัญที่สุดคือแม้สุดท้ายแล้วโจวซินฉีจะไม่สามารถชิงอันดับหนึ่งของจารึกศิลาหลักแรกคืนไปได้ ทว่าเมื่อไป๋เสี่ยวฉุนนึกถึงเศษชิ้นส่วนพืชหญ้าที่เหลือไว้ไม่ได้ประกอบกันให้สมบูรณ์ในช่วงสุดท้ายของการทดสอบนั้น ความกดดันก็เพิ่มขึ้นมา

    “ชื่อเสียงอันเลื่องลือของข้า จะให้สตรีตัวเล็กๆ อย่างโจวซินฉีนั่นมาเหนือกว่าไม่ได้” ไป๋เสี่ยวฉุนตัดสินใจกับตัวเองเงียบๆ เมื่ออุดมการณ์ลึกๆ ในจิตใจที่ต้องการพูดอย่างภาคภูมิภายใต้สายตาของคนนับหมื่นว่าตนเองคืออาจารย์โอสถเต่าผู้นั้นยังไม่สำเร็จผล เขาจึงรู้สึกว่าตนยิ่งต้องพยายามให้มากถึงจะดี

    แม้ว่าความคืบหน้าของการศึกษาตำราพืชหญ้าเล่มที่สองจะเป็นไปอย่างเชื่องช้า แต่การฝึกวิชาอมตะมิวางวายของเขาเกือบจะได้ถึงหนึ่งการโคจรรอบเล็กแล้ว

    ความเจ็บปวดรุนแรงจากการฝึกวิชายิ่งเพิ่มพูนทุกครั้ง แต่ความเด็ดเดี่ยวที่ไป๋เสี่ยวฉุนมีต่อวิชาอมตะมิวางวายทำให้เขายืนหยัดมาได้จนถึงตอนนี้

    “ยังมีเวลาอีกสามวัน ตามวิธีการที่บอกไว้ของวิชาอมตะมิวางวาย สามวันให้หลังจะถือว่าครบหนึ่งการโคจรรอบเล็กอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว” ไป๋เสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก กัดฟัน ศึกษาตำราพืชหญ้าเล่มที่สองพลางวิ่งห้อตะบึงไปมาอยู่ในลานเรือน

     

    สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ยามสายัณห์ของวันที่สาม หิมะปลิวว่อนอยู่ในอากาศ ทำให้สำนักหลิงซีประดับไปด้วยสีเงินเป็นประกายงดงามจับตา

    ขณะที่ไป๋เสี่ยวฉุนกำลังวิ่งตะบึงอยู่นั้น ร่างกายของเขาก็สะท้านไหวอย่างรุนแรงโดยฉับพลันจากนั้นก็หยุดลง เวลานี้ความเจ็บปวดมหาศาลต่อเนื่องกันมานานถึงแปดสิบเอ็ดวันได้หายไปในพริบตา

    กระแสความร้อนปะทุเดือดขึ้นมาพรวดพราด หลังจากไหลทะลักอย่างไม่หยุดยั้งอยู่ในร่างกายก็มารวมตัวกันบนผิวหนังเขาทั้งหมด ทำให้ผิวหนังร้อนผะผ่าวเหมือนดั่งเตารีดเหล็กที่เพิ่งออกมาจากเตาไฟ

    เกล็ดหิมะยังไม่ทันได้ร่วงหล่นลงบนร่างกายของเขาก็หลอมละลายในทันที จากนั้นก็กลายเป็นควันสีขาวลอยขึ้นไปในอากาศในทันใด

    “สำเร็จแล้ว!” ถึงแม้ปากของไป๋เสี่ยวฉุนจะแห้งผาก เนื้อตัวร้อนผ่าวอย่างยิ่ง แต่กลับตื่นตระหนกระคนดีใจไม่หยุด เขาก้มหน้าลงมองร่างกายของตนเอง เห็นได้ในทันทีว่าผิวหนังของตนมีแสงสีดำปรากฏออกมา แสงเหล่านี้หลังจากไหลเวียนไปแล้วหนึ่งรอบก็ค่อยๆ สลายหายไป

    ไป๋เสี่ยวฉุนยกมือขวาขึ้นมาทิ่มแขนทีหนึ่ง ความรู้สึกแข็งแกร่งและทรหดราวหนังวัวเช่นนั้นทำให้ดวงตาทั้งคู่ของเขาเปล่งประกาย จากนั้นก็เคลื่อนไหวร่างอีกหนึ่งครั้ง เขาค้นพบอย่างชัดเจนว่าความรวดเร็วของตนเองเหมือนจะเพิ่มขึ้นมาอีกเล็กน้อย ดังนั้นจึงพุ่งถลาไปข้างหน้า เสียงฟิ้วดังหนึ่งที ร่างกายก็ปรากฏอยู่ห่างจากตำแหน่งเดิมหลายจั้ง

    ความเร็วเช่นนี้มากกว่าก่อนหน้าเป็นเท่าตัว ไป๋เสี่ยวฉุนยิ่งเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนเช่นนี้ก็ยิ่งปีติยินดี หลังจากทดลองอยู่นานก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง

    ดังนั้นเขาจึงฝึกฝนตามคาถาวิชาอมตะมิวางวายต่ออย่างไม่ลังเล วิธีคือต้องปิดปากและจมูกเพื่อใช้ร่างกายในการหายใจ หายใจเข้าหนึ่งที หายใจออกหนึ่งที ถือเป็นวงจรเล็กวงจรหนึ่ง ทุกวันต้องทำให้ได้สิบเอ็ดครั้ง ทำติดต่อกันแปดสิบเอ็ดวันถึงจะถือว่าครบหนึ่งการโคจรรอบเล็ก

    หากสามารถยืนหยัดทำได้ เมื่อรวมเข้ากับการโคจรรอบเล็กรอบก่อนหน้านี้ก็จะสำเร็จขั้นผิวหนังคงกระพันขั้นเล็ก!*

    ไป๋เสี่ยวฉุนฝึกฝนอยู่พักหนึ่งถึงค่อยๆ จับหลักการได้ เริ่มยืนหายใจเข้าออกอยู่ในลานเรือน แต่หลังจากทำครบหนึ่งวงจรเล็กสำเร็จได้ด้วยความยากลำบากแล้วนั้นร่างกายของเขาก็ผ่ายผอมลงไปเป็นเท่าตัวอย่างเห็นได้ชัด

    และความรู้สึกหิวโหยก็บังเกิดขึ้นในเวลานี้ ทำให้ท้องของไป๋เสี่ยวฉุนส่งเสียงร้องดังโครกครากออกมา เขาไม่สนใจ ยังคงหายใจเข้าออกแบบนี้ต่อไป ร่างกายของเขาจึงค่อยๆ ซูบลงเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดหลังจากหายใจเข้าออกได้สำเร็จห้าสิบครั้ง ร่างกายของเขาก็มองดูแล้วแทบจะกลายเป็นหนังหุ้มกระดูก

    ส่วนที่บำรุงร่างกายทั้งหมดดูเหมือนถูกดึงออกไป แต่ผิวหนังของเขาในเวลานี้เมื่อมองดูกลับยิ่งแข็งแกร่ง

    แต่ไป๋เสี่ยวฉุนทนไม่ไหวอีกแล้ว เมื่อลืมตาขึ้นเขาก็เวียนหัวดวงตาพร่าลาย ความรู้สึกหิวโหยอันมิอาจบรรยายได้นั้นราวกับจะเขมือบช้างตัวมโหฬารลงไปได้ในคำเดียว

    “ไม่ไหวแล้ว ข้าหิวจะตายแล้ว!” ไป๋เสี่ยวฉุนกลืนน้ำลายอย่างแรง ดวงตาลุกโชน มองไปรอบๆ บริเวณ แต่รอบด้านนี้ไม่มีสิ่งใดที่กินได้เลย นอกจากต้นไผ่สีเขียวมันขลับพวกนั้นที่ดูแล้วน่ากินยิ่งนัก

    เขาอยากจะอดทน แต่ความหิวโหยนั้นทำให้ร่างกายเขาส่งเสียงซูมหนึ่งทีก็ตรงมาอยู่ด้านข้างไผ่เหมันต์วิเศษแล้ว เขากัดต้นไผ่พวกนั้นลงไปแรงๆ หนึ่งคำใหญ่

    ลำไผ่ถูกกัดดังกร้วมไปหนึ่งคำใหญ่ เขาเคี้ยวกร้วมๆ ทว่าหลังจากกลืนลงไปแล้วใบหน้าของไป๋เสี่ยวฉุนก็บิดเบี้ยวทันที ความขมนั้นทำให้เขาสั่นเยือกขึ้นมาทั้งตัว

    “ขมเกินไปแล้ว…”

    “ข้าอยากกินข้าว…” ชั่วพริบตานั้นความคิดถึงที่เขามีต่อฝ่ายครัวไฟรุนแรงขึ้นจนถึงขีดสุด เขาหิวจริงๆ แถมโตมาขนาดนี้ก็ยังไม่เคยหิวเท่านี้มาก่อน เวลานี้หิวจนหัวหมุนติ้ว ตาก็พร่าเลือนขึ้นเรื่อยๆ ลมหายใจถี่กระชั้น จากนั้นร่างกายก็พุ่งพรวดห้อตะบึงออกจากลานเรือน

    วิ่งทะยานไปตามเส้นทางด้วยความรวดเร็วถึงขีดสุด ศิษย์ฝ่ายนอกคนอื่นๆ ที่พบระหว่างทางรู้สึกเพียงลมพัดวูบผ่านไป พากันเหลียวมองแผ่นหลังของไป๋เสี่ยวฉุนด้วยความประหลาดใจ

    เขาตรงดิ่งลงจากภูเขา บุกพุ่งเข้าไปในเขตงานนักการ ห้อทะยานตรงไปยังฝ่ายครัวไฟ ไม่ยอมแม้แต่เสียเวลาเปิดประตูจึงกระโดดเข้าไปทั้งตัว

    เวลานี้ฝ่ายครัวไฟกำลังทำอาหารกันอยู่ หลังจากที่จางต้าพั่งและเฮยซานพั่งจากไปแล้ว หวงเอ้อร์พั่งก็กลายเป็นพี่ใหญ่ของที่นี่ ขณะที่เขากำลังเทน้ำข้าวอยู่นั้น ลมวูบหนึ่งพัดผ่านมา ถ้วยด้านหน้าหายไป ที่ปรากฏอยู่ด้านล่างน้ำข้าวนั้นคือไป๋เสี่ยวฉุนที่อ้าปากกว้าง

    “เอ๋?” หวงเอ้อร์พั่งตกใจ เจ้าอ้วนคนอื่นๆ ก็อึ้งงันไปเช่นกัน พวกเขายังไม่ทันได้พูดอะไรหลังจากมองเห็นชัดว่าเป็นไป๋เสี่ยวฉุน เด็กหนุ่มก็ยกเอาหม้อใหญ่หนึ่งใบขึ้นมาดื่มอึกๆ ลงไปหมดด้วยความหิวโหย จากนั้นก็ดูเหมือนยังรู้สึกว่าช้าไปจึงยื่นหัวเข้าไปในหม้อ น้ำข้าวในหม้อใบนั้นก็โดนสูบหายไปในพริบตาเดียว…

    หนึ่งคำ สองคำ สามคำ…ไป๋เสี่ยวฉุนดื่มน้ำข้าวติดๆ กันร้อยกว่าหม้อ ร่างกายของเขาเหมือนหลุมลึกไร้ก้น ไม่รู้สึกอิ่มเลยสักนิดเดียว

    “หิวจัง ไม่ไหวแล้ว ข้ายังหิวอยู่เลย…ข้าอยากกินเนื้อ!” ไป๋เสี่ยวฉุนร้อนรน มองสะเปะสะปะไปรอบด้าน สิ่งแรกที่มองเห็นก็คือศิษย์พี่ตัวอ้วนดั่งภูเขาเนื้อหลายคน จึงกลืนน้ำลายลงคอหนึ่งที

    คนอ้วนทั้งหลายของฝ่ายครัวไฟเบิกตาอ้าปากค้างมองไป๋เสี่ยวฉุน พวกเขาเคยเห็นคนหิวมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นใครหิวมากขนาดนี้ แถมนี่ยังเป็นไป๋เสี่ยวฉุน เห็นได้ชัดว่าเขาหิวจนกลายเป็นผีหิวโหยไปแล้ว

    โดยเฉพาะเมื่อพบว่าไป๋เสี่ยวฉุนจ้องเขม็งมายังพวกตนแล้วกลืนน้ำลาย พวกหวงเอ้อร์พั่งก็ผวาทันที รีบถอยหลังกรูด หวงเอ้อร์พั่งยิ่งตะโกนเสียงดัง

    “จิ่วพั่ง ในห้องครัวมีอาหารวิเศษที่เตรียมไว้ให้สำหรับท่านผู้เฒ่าโจว!”

    เมื่อไป๋เสี่ยวฉุนได้ยินประโยคนี้ ประกายแสงในดวงตาก็ลุกวาบขึ้นมาทันที ร่างกายพุ่งทะยานเข้าไปในห้องครัว

    พวกหวงเอ้อร์พั่งที่อยู่ด้านนอกมองหน้าสบตากัน ทุกคนล้วนสูดลมหายใจอย่างหวาดเสียว

    “เห็นแล้วหรือไม่ นี่ก็คือจุดจบของการเป็นศิษย์ฝ่ายนอก ศิษย์น้องเล็กต้องหิวโหยจนกลายเป็นเช่นนี้…”

    “ตีพวกเราให้ตาย พวกเราก็ไม่ยอมเป็นศิษย์ฝ่ายนอกเด็ดขาด!” เจ้าอ้วนคนอื่นๆ ล้วนตัดสินใจเด็ดขาด รู้สึกเห็นอกเห็นใจไป๋เสี่ยวฉุนเป็นอย่างมาก

    เวลานี้ไป๋เสี่ยวฉุนพยายามหักห้ามใจ ว่ากันตามหลักความจริงหกประการของครัวไฟแล้ว ไม้วิเศษนั้นกินได้แค่ริมขอบเท่านั้น ห้ามกินหมด เพราะหากทำผิดกฎขึ้นมา ผู้เคราะห์ร้ายย่อมเป็นศิษย์พี่เหล่านั้นของฝ่ายครัวไฟ เรื่องเช่นนั้นไป๋เสี่ยวฉุนทำไม่ลง

    ดื่มน้ำแกง กินไม้วิเศษริมขอบ ความรู้สึกหิวโหยของไป๋เสี่ยวฉุนในที่สุดก็ลดลงมาเล็กน้อย สามารถทนได้ในระยะเวลาสั้นๆ ถึงได้เดินออกมา เขาอยากร้องแต่ก็ร้องไม่ออก รู้สึกว่าวิชาอมตะมิวางวายช่างน่ากลัวยิ่งนัก ถึงแม้ตอนนี้จะไม่เจ็บปวดแล้ว แต่ความรู้สึกหิวโหยเช่นนี้กลับทำให้คนเป็นบ้าได้ยิ่งกว่า

    “ศิษย์พี่รอง…” ไป๋เสี่ยวฉุนมองหวงเอ้อร์พั่งตาปริบๆ

    หวงเอ้อร์พั่งเห็นว่าสายตาของไป๋เสี่ยวฉุนกลับมาเป็นปกติแล้วถึงได้วางใจ กล้าเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าไป๋เสี่ยวฉุน ตบไหล่เขาพลางมองด้วยสายตาเห็นใจ

    “ศิษย์น้องเล็กไม่ต้องกังวล อย่างมากพวกเราก็แค่เตรียมอาหารให้ท่านผู้เฒ่าโจวใหม่ก็เท่านั้น ดูเจ้าสิ หิวจนกลายเป็นเช่นนี้ เฮ้อ ต่อไปเจ้ากลับมาบำรุงร่างกายบ่อยๆ เถอะ”

    ไป๋เสี่ยวฉุนได้ยินคำพูดนี้ก็ซาบซึ้งใจ ทว่าเขาก็กัดฟันและตัดสินใจว่าต่อไปมาให้น้อยครั้งจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นสภาพของตนเองอย่างในวันนี้ หากวันใดข่มกลั้นไม่ได้จริงๆ เกรงว่าฝ่ายครัวไฟฝ่ายเดียวคงเลี้ยงไม่ไหว…

    หลังลาจากพวกหวงเอ้อร์พั่งที่มาส่ง ไป๋เสี่ยวฉุนทอดถอนใจเดินขึ้นเขาเซียงอวิ๋น ความรู้สึกงดงามและสบายใจก่อนหน้านี้ก็หายไปในพริบตา สิ่งที่แทนที่เข้ามากลับกลายเป็นความสิ้นหวัง เขากลัวจริงๆ ว่าตนเองจะหิวตาย

    “ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ในสำนักหลิงซีเคยมีลูกศิษย์คนใดหิวตายหรือไม่ ข้าไม่อยากกลายเป็นคนแรกนะ” ไป๋เสี่ยวฉุนหน้าเบ้ ขณะที่กำลังคิดว่ามีวิธีใดสามารถแก้ปัญหาเรื่องอาหารการกินในระยะยาวได้ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงไก่ร้องดังลอยมาจากที่ไม่ไกลนัก

    ชั่วขณะที่ได้ยินเสียงไก่ร้องนั้น ร่างของไป๋เสี่ยวฉุนก็หยุดชะงัก ค่อยๆ หันหน้ากลับไป จ้องเขม็งไปยังทิศทางที่เสียงไก่ลอยมา ดวงตาแข็งทื่อ ท้องก็เริ่มร้องดังโครกครากขึ้นมา

    “ไก่…” ไป๋เสี่ยวฉุนมองไปรอบด้าน พบว่าไม่มีใครสนใจตนเองก็สะบัดร่างหนึ่งที มุดเข้าไปในพุ่มหญ้าโดยตรง รวดเร็วราวกับตัวเพียงพอน เสียงสวบดังขึ้นหนึ่งทีก็ไม่เห็นเงาแล้ว

    ผ่านไปพักหนึ่ง ด้านนอกรั้วกั้นโดยรอบของสถานที่เลี้ยงสัตว์ปีกวิเศษโดยเฉพาะของเขาเซียงอวิ๋น ไป๋เสี่ยวฉุนหดตัวนั่งยองๆ อยู่ตรงนั้น มองกลุ่มไก่ตัวใหญ่พอๆ กับลูกวัวตัวเล็กๆ หางมีขนสามสีที่กำลังเดินไปเดินมาอย่างลำพองอยู่ในราวกั้น แววตาเปล่งประกายเจ้าเล่ห์ ไม่รู้ว่ากลืนน้ำลายลงคอไปแล้วกี่อึก

    “เนื้อ…” ไป๋เสี่ยวฉุนหัวเราะเสียงประหลาดอยู่ตรงนั้น เสียงหัวเราะนั้นเมื่อฟังแล้วน่าหวาดผวาเป็นพิเศษ

     

    บทที่ 20

    ขนไก่กระจายทั่วพื้น

     

    ไก่หางวิเศษมีขนาดใหญ่โตกว่าไก่บ้านที่เลี้ยงกันทั่วไปอยู่มาก ขนแข็ง นิสัยดุร้าย เมื่อโตเต็มวัยแล้วมีพลังเทียบได้กับขั้นที่สองของการหลอมปราณ

    เนื่องจากเนื้อเอามากินได้ ไข่สามารถบำรุงร่างกาย เลือดและกระดูกสามารถทำเป็นยา โดยเฉพาะหาง ยิ่งสามารถนำมาทำเป็นเชื้อเพลิงของไฟสามสีที่หาได้ยากยิ่ง ดังนั้นจึงทำให้ไก่หางวิเศษนี้ถูกนำมาเลี้ยงเป็นจำนวนมากในภูเขาทั้งสามของสำนักหลิงซีฝั่งทิศใต้

    เพียงแต่ว่าพวกมันไม่ได้เป็นสมบัติของสำนัก แต่เป็นสัตว์เลี้ยงส่วนตัวของหลี่ชิงโหวรวมไปถึงท่านผู้นำของอีกสองภูเขาซึ่งมอบหมายให้ลูกศิษย์เลี้ยงเป็นการเฉพาะ ดังนั้นบนเขาเซียงอวิ๋นจึงมีอยู่สามเขตที่ถูกล้อมรั้วไว้เพื่อใช้เป็นสถานที่ให้ไก่หางวิเศษแพร่พันธุ์

    ไป๋เสี่ยวฉุนนั่งยองๆ อยู่ในพุ่มหญ้าพลางมองไก่หางวิเศษเหล่านั้น ไก่ประเภทนี้เมื่อก่อนตอนอยู่ฝ่ายครัวไฟเขาไม่เคยเห็นแบบตัวเป็นๆ แต่เคยกินเนื้อ รู้ว่าเนื้อของมันรสชาติเลิศล้ำ จากที่เคยฟังจางต้าพั่งเล่าจึงรู้ว่าไก่พวกนี้ชอบกินแมลงวิเศษ

    หลังจากผ่านไปเนิ่นนานเขาก็เริ่มขยับร่างกาย แต่กลับไม่ได้ทำอะไรบุ่มบ่ามและเลือกจะลงเขาไป ใช้ศิลาวิเศษที่เหลืออยู่ไม่มากแลกแมลงวิเศษมาได้ถุงหนึ่งถึงได้กลับมาที่เรือน

    เพิ่งจะกลับมาท้องของเขาก็หิวอีกครั้ง ไป๋เสี่ยวฉุนข่มกลั้นความวิงเวียน เดินไปเดินมาเหมือนกำลังหาของอะไรบางอย่าง

    ไม่นานนัก ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมาทันทีเมื่อมองเห็นไผ่เหมันต์วิเศษพวกนั้น ขณะนี้ต้นไผ่พวกนี้โตจนสูงได้หนึ่งจั้งกว่าแล้ว ลำต้นก็หนาเท่ากำปั้น มีไอวิเศษแผ่กระจายออกมา มองดูไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง

    ไป๋เสี่ยวฉุนรีบเดินรุดหน้าไป เดินวนรอบต้นไผ่และมองดูอยู่หลายรอบก่อนจะหัวเราะฮ่าๆ ตัดต้นไผ่ที่แข็งที่สุดในบรรดาไม้ไผ่เหมันต์วิเศษออกมาสองท่อน ทำตามความรู้ด้านพืชหญ้าที่ตนศึกษามา

    ส่วนเรื่องที่ว่าจะขโมยไก่อย่างไรนั้น ไป๋เสี่ยวฉุนมีวิธีพิเศษ จุดสำคัญของการขโมยไก่อยู่ที่คำว่าขโมย ทำอย่างไรถึงจะไม่มีคนจับได้คือวิชาความรู้อย่างหนึ่ง

    ไม่นานเขาก็ใช้ไม้ไผ่สองท่อนนี้ทำกับดักไม้ไผ่อันหนึ่งออกมา

    ของสิ่งนี้เขาเรียนรู้มาจากบิดาตอนที่ยังเล็ก ว่ากันว่ามันคืออาวุธที่เจอไก่ฆ่าไก่ เจอหงส์ฆ่าหงส์ เขาใช้เส้นใยไผ่มาถักเป็นเชือกอีกหนึ่งเส้น หลังจากทดสอบความแน่นตึงแล้วก็นำกับดักและเชือกมาต่อกัน ถือโอกาสตอนฟ้ามืดพุ่งทะยานออกไป

    “ข้าจะกินไก่!” เสียงท้องร้องดังโครกครากไปตลอดทาง แต่ดวงตาทั้งคู่ของไป๋เสี่ยวฉุนกลับเต็มไปด้วยประกายแสงสีเขียว ในสภาพที่หิวจนร้อนรนไปหมดเช่นนี้ทำให้ความเร็วของเขายิ่งพุ่งสูง เด็กหนุ่มตรงดิ่งไปยังที่ลานเลี้ยงไก่หางวิเศษที่ใกล้ที่สุด

    ขณะที่เข้าไปใกล้ความเร็วของเขาก็ลดลง ค่อยๆ เดินย่องเข้าไปใกล้ราวกั้น เมื่อนำแมลงวิเศษแขวนไว้ในกับดักไม้ไผ่แล้วจึงออกแรงโยนเข้าไปข้างใน ก่อนจะนั่งยองๆ อยู่ข้างรั้ว มือถือเชือกที่โยงกับกับดักไม้ไผ่เอาไว้ ข่มกลั้นความหิวรอคอย

    กระท่อมบางส่วนอยู่ในราวกั้น ไกลออกไปยังมีที่พักของศิษย์ฝ่ายนอกที่ใช้บำเพ็ญตนอยู่ ส่วนในลานเลี้ยงขนาดใหญ่มากแห่งนี้มีไก่หางวิเศษนับร้อยตัว ส่วนใหญ่นอนอยู่ตรงนั้น มีไม่มากที่เดินกลับไปกลับมา เชิดหน้าด้วยความหยิ่งยโส ลักษณะไม่ธรรมดา ไม่นานนักไก่หางวิเศษตัวหนึ่งก็ดูเหมือนจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง หันหน้ามองไปยังจุดที่ห่างออกไปไม่ไกล หลังจากเดินเข้าไปก็พลันมองเห็นแมลงวิเศษ จึงอ้าปากกว้างจิกลงไป

    แต่ทันทีที่ไก่หางวิเศษตัวนี้จิกแมลงวิเศษก็เหมือนว่ามันได้ขยับกลไกบางอย่าง ไม้ไผ่ที่ถูกดัดให้งอดีดออกอย่างรุนแรง ง้างปากของไก่หางวิเศษตัวนี้ได้พอดิบดี ถูกค้ำยันทั้งบนล่าง ทำให้ปากของไก่ถูกบังคับให้อ้าออก

    ไก่หางวิเศษอยากจะเปล่งเสียง แต่ปากถูกค้ำยันเอาไว้ เสียงสักแอะก็มิอาจลอดออกมาได้ มันคิดจะออกแรงเพื่อบดไม้ไผ่ที่ค้ำเอาไว้ในปากให้แตกละเอียด แต่ไม้ไผ่นี้แข็งหาใดเปรียบ ออกแรงไปก็ไร้ประโยชน์ ขณะเดียวกันพละกำลังมหาศาลก็ส่งมาจากบนไม้ไผ่

    ไม่ว่าไก่หางวิเศษตัวนี้จะดิ้นรนอย่างไรก็ทำได้เพียงถูกลากไปอย่างรวดเร็วโดยไร้สุ้มเสียง หลังจากพุ่งดิ่งไปยังราวกั้น เชือกกระตุกหนึ่งครั้ง ไก่หางวิเศษถูกดึงให้ลอยขึ้นทันที ถูกไป๋เสี่ยวฉุนคว้าจับเอาไว้ พลังการหลอมปราณขั้นที่สี่ของเขามารวมกันอยู่บนมือ และยิ่งรวมกับผิวหนังแข็งแกร่งทรหด ทำให้แรงที่ใช้บิดคอไก่โดยตรงทรงพลังอย่างที่สุด เขาโยนไก่เข้าไปในถุงเก็บของ การกระทำนี้คล่องแคล่วเป็นอย่างยิ่ง เพียงมองก็รู้ได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ

    ขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลาไม่ถึงสามสิบลมหายใจ นี่เป็นเพราะว่าเสียเวลาไปกับการรอคอย มิเช่นนั้นจะยิ่งไวกว่านี้

    ในใจไป๋เสี่ยวฉุนตื่นเต้น ตรงดิ่งกลับไปยังบ้านพักของตน ไม่นานกลิ่นหอมก็กรุ่นกำจายออกมา เมื่อฟ้าสาง ไก่ตัวนั้นก็ถูกยัดลงท้องไป๋เสี่ยวฉุนทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว

    เหลือแค่เพียงขนไก่และกระดูกไก่ที่กระจัดกระจายเต็มพื้น…

    เมื่อกินไก่หางวิเศษนี้เข้าไป ความรู้สึกหิวโหยของไป๋เสี่ยวฉุนก็หายไปครึ่งใหญ่ทันที เห็นได้ชัดว่าร่างกายได้รับการบำรุงกลับมาบ้าง ทั้งร่างอุ่นซ่าน ทำให้เขารู้สึกสบายเป็นอย่างมาก

    ถึงขนาดว่าพลังสะกดทางวิญญาณในร่างกายก็เพิ่มขึ้นมาด้วยอีกสาย แต่ที่เห็นผลชัดที่สุดยังคงเป็นวิชาอมตะมิวางวายที่ทำให้วงจรหายใจเข้าหายใจออกของไป๋เสี่ยวฉุนโคจรได้ถึงเจ็ดแปดครั้งในทีเดียว

    ทุกครั้งที่หายใจเข้าออก ร่างกายของเขาจะมีความอบอุ่นลอยมารวมอยู่บนผิวหนังทำให้มองดูแล้วยิ่งแข็งแกร่งทรหด แม้ว่าจะมีแสงสีดำวาบผ่าน แต่เมื่อเพ่งมองอย่างละเอียดก็ยังคงเห็นเป็นผิวขาวสะอาดสะอ้าน

    “วิชาอมตะมิวางวายนี้เจ็บก่อนแล้วก็หิว ระดับความยากในการฝึกไม่น้อยเลยจริงๆ แต่ผลลัพธ์กลับยอดเยี่ยมมาก” ไป๋เสี่ยวฉุนยกมือขวาขึ้นหยิบกระบี่ไม้ออกมา แตะลงไปบนหลังมือเบาๆ อย่างระมัดระวัง

    กระบี่ไม้ที่ผ่านการหลอมพลังจิตสองครั้ง เมื่อมาสัมผัสโดนผิวหนังของไป๋เสี่ยวฉุน เขาก็รู้สึกได้ถึงแรงต้านทานบางส่วนอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่ได้สนใจทำต่ออีก แต่ยิ่งหันไปมุ่งมั่นในการฝึกฝนวิชาอมตะมิวางวายมากยิ่งขึ้น

    “ตามที่วิชาอมตะมิวางวายว่าไว้ หนังคงกระพันนี้แบ่งออกเป็นสี่ระดับ เหล็ก ทองแดง เงิน ทอง ตอนนี้ข้าน่าจะเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น หากสามารถควบคุมการหายใจเข้าออกได้ถึงแปดสิบเอ็ดวัน…ก็จะบรรลุขั้นเล็กของหนังเหล็กคงกระพันได้” ไป๋เสี่ยวฉุนมองกระดูกไก่ที่อยู่ข้างๆ หนึ่งที สำหรับวิธีที่ทำให้สามารถฝึกหนังเหล็กคงกระพันได้นั้นเขามีแผนในใจอยู่แล้ว

    “ยังดีที่ไก่หางวิเศษบนภูเขานี้มีมากพอ” ไป๋เสี่ยวฉุนหัวเราะฮ่าๆ ทวีความสนใจที่มีต่อไก่หางวิเศษยิ่งขึ้น

    เขาไม่รู้ว่าวิชาอมตะมิวางวายนี้มีคนจำนวนไม่น้อยในสำนักหลิงซีเคยฝึกฝนมาก่อนในช่วงหลายหมื่นปีที่ผ่านมา กว่าครึ่งในจำนวนนั้นล้วนยอมแพ้เนื่องจากมิอาจทนรับความทรมานอันน่ากลัวของแปดสิบเอ็ดวันแรกได้ แต่ก็มีบางคนที่ยืนหยัดต่อไป ทว่าจุดสำคัญของการฝึกฝนวิชานี้คือสิ้นเปลืองทรัพยากร

    หากคิดจะฝึกให้ถึงขั้นหนังทองคงกระพัน ราคาที่ต้องจ่ายนั้นน่ากลัวถึงขีดสุด ต่อให้เป็นทั้งสำนักก็ไม่มีทางยอมจ่ายโดยง่าย เพราะถึงอย่างไรทรัพยากรเดียวกันนี้หากนำไปใช้กับการฝึกฝนร่างกายสำหรับวิชาอื่น แม้ว่าจะไม่มหัศจรรย์เท่าวิชาอมตะมิวางวาย แต่กลับให้ผลคุ้มค่ามากกว่า

    ด้วยเหตุนี้วิชาอมตะมิวางวายจึงถูกวางไว้ในหอคัมภีร์โดยไม่มีใครสนใจ

    หลังฝึกฝนได้อีกครู่หนึ่ง ไป๋เสี่ยวฉุนก็จัดการกับกระดูกไก่เหล่านั้นโดยเอาไปฝังไว้ในดินวิเศษ ส่วนขนไก่ที่เหลือ เขาก็โยนลงไปใต้ดินด้วยวิธีเดียวกัน

    จากนั้นถึงได้เดินออกจากบ้านพัก ตั้งใจจะไปที่ที่มีลูกศิษย์ฝ่ายนอกอยู่เยอะเพื่อสืบข่าว จากประสบการณ์ปีนั้นที่เขาอยู่ในหมู่บ้าน เข้าใจได้ดีว่าเวลาในการขโมยไก่จำเป็นต้องห่างกันสามถึงห้าวันจึงจะดี

    เมื่อสืบข่าวได้พักหนึ่งก็ยังไม่ได้ยินเรื่องไก่หางวิเศษหายไป แต่กลับได้ยินโดยบังเอิญว่าหางสามสีของไก่หางวิเศษคือเชื้อเพลิงของไฟสามสี

    หลังจากรู้เรื่องนี้ไป๋เสี่ยวฉุนก็วิ่งกลับไปเรือนทันที รีบขุดเอาหางสามสีที่ถูกฝังอยู่ในแปลงดินวิเศษออกมา ถืออยู่ในมือและพิจารณาอยู่พักใหญ่ ดวงตาเผยแววครุ่นคิด

    “มิน่าเล่าไก่หางวิเศษนี้ถึงได้ถูกเลี้ยงไว้เป็นจำนวนมาก” ไป๋เสี่ยวฉุนรีบนำขนไก่สามสีใส่ไว้ในถุงเก็บของ ของสิ่งนี้สำหรับคนอื่นแล้วเป็นเพียงแค่เชื้อเพลิงไฟสามสีธรรมดาเท่านั้น แต่สำหรับเขาแล้วกลับหมายถึงการหลอมพลังจิตสามครั้ง

    เขาไม่ได้นำไปใช้ในทันที แต่วางแผนว่ารอให้มีโอสถวิเศษก่อนถึงค่อยนำไปหลอมพลังจิต เพื่อให้โอสถวิเศษนั้นให้ผลลัพธ์อันแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

     

    หลังจากผ่านไปหลายวัน ไป๋เสี่ยวฉุนซึ่งหยุดไปหลายวันก็เริ่มหิวขึ้นมาอีกครั้ง กลางดึกคืนนี้เขาจึงวางม้วนตำราหยกพืชหญ้าเล่มที่สองแล้วออกจากเรือนท่ามกลางความมืดอีกครั้ง ตอนที่กลับมาในถุงเก็บของก็มีไก่หางวิเศษเพิ่มเข้ามาแล้วสองตัว

    และเวลาก็ค่อยๆ ผ่านไปเช่นนี้ พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วหนึ่งเดือน และหนึ่งเดือนมานี้ก็เริ่มมีข่าวไก่หางวิเศษหายไปแพร่ไปทั่วทั้งเขาเซียงอวิ๋น

    แม้แต่หลี่ชิงโหวเองก็ยังรู้เรื่องนี้ เพราะหนึ่งเดือนมานี้ในลานเลี้ยงไก่หางวิเศษสามแห่งมีไก่หางวิเศษหายไปถึงสิบกว่าตัว ทว่าเขาไม่ได้ใส่ใจเท่าไรนักเพราะมีธุระต้องออกไปข้างนอก

    ผู้ที่กลัดกลุ้มที่สุดกลับเป็นเหล่าศิษย์ฝ่ายนอกซึ่งรับผิดชอบการเลี้ยงไก่หางวิเศษ คนเจ็ดแปดคนนี้ไม่ได้สงสารไก่เพราะอย่างไรก็ไม่ใช่ของตัวเอง อีกอย่างท่านปรมาจารย์ใหญ่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่พวกเขารู้สึกเสียหน้า เพราะถึงขนาดมีคนกล้ามาขโมยไก่ใต้จมูกตนเอง จึงยิ่งแค้นหัวขโมยไก่คนนั้นจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

    ทว่าก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่ว่าพวกเขาจะไปนั่งเฝ้าเช่นไร ไก่ก็ยังคงหายไปอย่างต่อเนื่อง และที่ยิ่งทำให้พวกเขาไม่เข้าใจก็คือทุกครั้งที่ไก่หายล้วนหายไปอย่างเงียบเชียบ ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อยราวกับว่าไก่เหล่านั้นหายไปในอากาศอย่างไรอย่างนั้น

    ด้านไป๋เสี่ยวฉุน หนึ่งเดือนมานี้ร่างกายของเขากลับมาเป็นปกติอย่างสมบูรณ์ แถมยังอ้วนขึ้นมาอีกเล็กน้อยด้วย ไม่ว่าวิธีการหายใจเข้าออกของวิชาอมตะมิวางวายจะดูดพลังเขาไปมากแค่ไหน เขาก็มีเนื้อไก่มาบำรุงมากพอ ใบหน้าแดงปลั่ง กลับไปมีชีวิตที่มีความสุขทุกวันดังเดิม

    เมื่ออารมณ์ดีแล้ว ท้องไม่หิวแล้ว ความเร็วในการศึกษาตำราพืชหญ้าเล่มที่สองก็สูงขึ้นมาไม่น้อย ในที่สุดวันนี้ก็ศึกษาตำราพืชหญ้าเล่มที่สองจนทะลุปรุโปร่งหมดทั้งเล่ม โดยเฉพาะหลังจากประสบการณ์คราวก่อน ครั้งนี้เขาก็ยิ่งเตรียมพร้อมในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นใบ ราก ขนล้วนจำได้ขึ้นใจ และก็ยิ่งมั่นใจว่าต่อให้ชิ้นส่วนถูกแบ่งแยกออกเป็นสิบกว่าส่วน เพียงมองปราดเดียวก็จำได้

    เมื่อพร้อมแล้วถึงได้เดินผึ่งผาย ก้าวยาวๆ ออกไปจากลานเรือน

    “ครั้งนี้ข้าจะทำให้ทุกคนรู้ว่าข้าก็คือท่านเต่าผู้ขี่อยู่บนโจวซินฉี!” ไป๋เสี่ยวฉุนพุ่งทะยานไปยังหอหมื่นโอสถด้วยความคาดหวัง

     

     

    * หลิงถง หมายถึงเด็กที่มีความฉลาดรอบรู้

    *  ‘ไม่ตั้งใจปักกิ่งหลิ่วได้ต้นหลิ่วให้ร่มเงา’ มาจากสำนวน ‘ตั้งใจปลูกดอกไม้ดอกไม้ไม่เบ่งบาน ไม่ตั้งใจปักกิ่งหลิ่วได้ต้นหลิ่วให้ร่มเงา’ หมายถึงเรื่องที่ตั้งใจทำไม่ประสบผลสำเร็จ เรื่องที่ไม่ตั้งใจทำกลับได้รับผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึง

    ** * หมู่ หรือไร่จีน เป็นหน่วยวัดพื้นที่ของจีน เทียบขนาดพื้นที่ประมาณ 666.67 ตารางเมตร

    * โคจรรอบเล็ก เป็นชื่อเรียกศาสตร์วิธีฝึกตนของลัทธิเต๋าเพื่อให้อายุยืนยาวหรือถึงขั้นสำเร็จเป็นเซียน โดยการโคจรพลังจากจุดตันเถียนไปยังเส้นลมปราณเริ่น (ควบคุมเกี่ยวกับโลหิต) และเส้นลมปราณตู (ควบคุมเกี่ยวกับกระแสพลังในร่างกาย)

    * ฉื่อ (尺)หน่วยวัดความยาว มีระยะประมาณ 1 ฟุต

    * ในที่นี้แบ่งขั้นความสำเร็จของวิชาหนังคงกระพันออกเป็นห้าขั้น แต่ละขั้นสื่อถึงอัตราส่วนที่สำเร็จในสิบส่วน ได้แก่ ขั้นต้น (สำเร็จเพียงหนึ่งส่วน) ขั้นเล็ก (สำเร็จเพียงสามส่วน) ขั้นใหญ่ (สำเร็จเพียงเจ็ดส่วน) ขั้นสูง (สำเร็จเก้าส่วน) และขั้นสูงสุด (สำเร็จครบสิบส่วน)

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook