• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน หมื่นยุทธ์พิชิตหล้า ใต้ฟ้าไร้พันธนาการ 1 ครั้งที่ 4

    บทที่ 16

    ยอดบรรพชิตส่ายศีรษะ

     

    อู๋ซินขมวดคิ้วมุ่น ไม่เข้าใจว่าจิ่นเซียนกงกงท่องกวีบทนี้ด้วยเหตุอันใด

    เหลยอู๋เจี๋ยสูดลมหายใจลึก เมื่อครู่มันต่อยไม่โดนอีกฝ่ายก็จริง ทว่าชั่วพริบตาที่มันปล่อยหมัด มันเห็นอย่างชัดเจนว่าปราณกระบี่สามสายได้พุ่งมาหา มันโยกหลบอย่างรวดเร็ว แต่ทั้งที่มั่นใจว่าหลบพ้นแล้ว มันกลับรู้สึกเจ็บแสบที่แก้ม เมื่อลองลูบดูเบาๆ ก็พบรอยเลือด สุดท้ายมันยังคงบาดเจ็บอยู่ดี

    “ผลีผลามลงมือใส่กระบี่ลมเหมันต์ เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ หากเมื่อครู่จิ่นเซียนคิดสังหาร เจ้าคงกลายเป็นศพไปแล้ว” เซียวเซ่อพิงเสาประตู เอ่ยเสียงเนิบ

    ภิกษุเครายาวที่เฝ้ามองทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างนิ่งเฉยมาโดยตลอดพลันก้าวเท้าออกมาหนึ่งก้าว

    “ตั้งค่ายกล!” หลิงจวินตะโกนเสียงดัง ปั๋วยงกับชายฉกรรจ์ทั้งสี่คนที่ยังไม่เคยออกโรงต่างชักอาวุธของตนออกมาล้อมรอบจิ่นเซียนกงกงไว้

    “ไม่ต้องหรอก พวกเรากลับ” จิ่นเซียนกงกงเก็บกระบี่ลงฝักแล้วเดินขึ้นเกี้ยวไปโดยไม่หันมามองอู๋ซินแม้แต่น้อย ชายฉกรรจ์ทั้งสี่เก็บอาวุธโดยพลันแล้วไปประจำที่เตรียมหามเกี้ยวขึ้น

    แม้ว่าหลิงจวินกับปั๋วยงจะไม่เข้าใจ แต่เมื่อสบตากันแล้วก็ต่างเก็บกระบี่ในมือ

    “ยกเกี้ยว!” หลิงจวินตะโกนลั่น

    ชายฉกรรจ์ทั้งสี่แบกเกี้ยวขึ้นท่ามกลางสายตางุนงงของผู้คนแล้วมุ่งตรงไปยังประตูของวัดต้าฟั่นอิน

    “นี่มันอันใดกัน เหตุใดจู่ๆ ก็กลับไปเล่า” เหลยอู๋เจี๋ยหันมองเซียวเซ่ออย่างไม่เข้าใจ

    เซียวเซ่อส่ายหน้าอย่างแช่มช้า “ข้าจะรู้ได้อย่างไร มันเห็นหมัดเจ้าแล้วตระหนักว่าไม่อาจต่อกร เลยรีบหนีไปกระมัง”

    เหลยอู๋เจี๋ยนิ่งไปแล้วลูบรอยแผลที่ยังแสบอยู่เล็กน้อย “หากที่เจ้าพูดเป็นเรื่องจริงคงดี…”

    ยามที่เกี้ยวหลังนั้นเคลื่อนผ่านอู๋ซิน มันก็ได้ยินจิ่นเซียนกงกงเอ่ยเสียงเบา “อู๋ซินน้อย คนของวัดจิ่วหลงเร่งเดินทางมาที่นี่แล้ว จะหนีก็รีบหนีเถิด”

    อู๋ซินฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉยและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หนีไม่พ้น”

    “ใช่ เจ้าเอาตัวรอดได้ แต่เจ้าหนีไม่พ้นโชคชะตา” จิ่นเซียนกงกงพูดถ้อยคำที่ไม่เชื่อมโยงกัน จากนั้นก็ไม่พูดอันใดอีก เกี้ยวหลังนั้นเคลื่อนออกไปจากประตูของวัดต้าฟั่นอิน

    “อาจารย์ เหตุใดล้มเลิกกะทันหันเล่า เห็นได้ชัดว่าบรรพชิตผู้นั้นมิใช่คู่ต่อสู้ของท่าน” เมื่อออกจากวัดต้าฟั่นอิน ในที่สุดปั๋วยงก็อดเอ่ยปากถามมิได้

    “บรรพชิตผู้นั้นฝึกวรยุทธ์ลับของวิหารหลัวช่าทั้งสามสิบสองวิชาสำเร็จแล้ว มิอาจต่อกรได้ง่ายดายอย่างที่เห็น แต่ว่า…หลิงจวิน เอาพู่กันมา ข้าจะส่งจดหมายให้ขันทีใหญ่!” จิ่นเซียนกงกงพลันเน้นหนักน้ำเสียง

    หลิงจวินไม่เคยได้ยินอาจารย์พูดด้วยน้ำเสียงกังวลเช่นนี้มาก่อน มันรีบเอากระดาษพู่กันจากหลังเกี้ยวออกมาแล้วส่งให้อย่างพินอบพิเทา

    จิ่นเซียนกงกงรับมา ทว่าเขียนลงไปได้ไม่กี่คำก็วางพู่กันลง มันครุ่นคิดครู่ใหญ่ก่อนจะฉีกกระดาษนั้นจนไม่เหลือชิ้นดี แล้วรำพึงรำพันกับตนเองว่า “ไม่ได้การ ส่งจดหมายไม่ได้ หากถูกผู้อื่นพบเข้าล่ะก็…”

    ปั๋วยงกับหลิงจวินสบสายตากันเล็กน้อย จิ่นเซียนกงกงดำรงตำแหน่งหงหลูซื่ออย่างสง่างามไม่ครั่นคร้ามมาหลายปี แม้เผชิญพิธีบวงสรวงใหญ่ก็ไม่เคยกระวนกระวาย แล้วเกิดเรื่องอันใดที่พวกมันไม่ทันสังเกตเห็นในวัดแห่งนั้นกันแน่ อาจารย์ถึงได้หวาดหวั่นเช่นนี้

    “ไม่ได้การ! หลิงจวิน เจ้ารีบไปเลือกม้าเร็วจากจุดพักม้าละแวกนี้มาให้ข้าโดยด่วน ข้าจะรีบกลับนครหลวงไปพบขันทีใหญ่ด้วยตนเอง!” จิ่นเซียนกงกงโยนกระดาษกับพู่กันออกมา

    ยอดฝีมือห้าอันดับแรกในวังหลวง ขันทีจั่งเซียงผู้มีศักดิ์ฐานะเป็นที่สองในห้าขันทีใหญ่จะห้อม้าเร็วพันหลี่กลับนครหลวงด้วยตนเองเพียงเพื่อส่งสาร มันเป็นเรื่องอันใดกันแน่ถึงได้สำคัญเพียงนี้

    “รับบัญชา!” หลิงจวินไม่กล้าคิดมาก มันพุ่งตัวออกไปทันที

    จิ่นเซียนกงกงทอดถอนใจ ในที่สุดก็สงบสติอารมณ์ลงได้ “สายลมเย็นพัดมาพาหนาวเหน็บ คนเร่ร่อนแสนสะท้านไร้อาภรณ์” มันท่องกวีวรรคหนึ่งขึ้นมา

     

    หลังจากขบวนของจิ่นเซียนกงกงออกจากวัดต้าฟั่นอินไป เหลยอู๋เจี๋ยกับเซียวเซ่อก็เดินไปหาอู๋ซิน

    เหลยอู๋เจี๋ยเอ่ยถาม “อู๋ซิน ที่แท้แล้วเจ้ามายังวัดต้าฟั่นอินเพื่อหาผู้ใด”

    “เกรงว่าคงจะเป็นบรรพชิตที่เมาสุราผู้นั้นกระมัง” เซียวเซ่อพูดเดา

    ภิกษุเครายาวผู้เมาสุราเมื่อครู่นั้นเยื้องย่างเข้ามาอย่างแช่มช้า ในมือยังถือดาบบรรพชิตเล่มนั้นอยู่ ดูแล้วน่าเกรงขามยิ่งนัก

    เซียวเซ่อสายตาเย็นวูบ “ระวังไว้ วรยุทธ์ของบรรพชิตผู้นี้ไม่ต่างจากจิ่นเซียนกงกงสักเท่าใด”

    อู๋ซินส่ายศีรษะก่อนผลักเหลยอู๋เจี๋ยออก แล้วก้าวออกไปยืนประจันหน้ากับภิกษุรูปนั้น ทั้งสองหยุดฝีเท้าอยู่ห่างกันสามก้าว

    “เจ้าโตขึ้นแล้ว” ภิกษุเครายาวทอดถอนใจเสียงแผ่ว

    “พูดจาเหลวไหล ผ่านไปตั้งสิบสองปีแล้ว” อู๋ซินดูเหมือนจะรู้จักภิกษุเครายาวเป็นอย่างดี มันว่าอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม “จะยังเป็นเด็กน้อยห้าขวบเช่นตอนนั้นได้อยู่หรือ”

    ภิกษุเครายาวก็ยิ้มเช่นกัน “เรื่องตอนห้าขวบ เจ้าจำได้มากน้อยเท่าใด”

    “จำได้เยอะมาก จำได้ว่ายามนั้นมักจะขี่อยู่บนไหล่ของเจ้า ถอนเครายาวของเจ้า จำได้อีกว่ายามนั้นเจ้ายังไม่ได้ออกบวช เจ้าสำแดงดาบทลายเวหาได้อย่างยอดเยี่ยมเลิศล้ำ ข้าร้องจะเรียนจากเจ้า ยังจำอันใดได้อีกนะ…” สายตาของอู๋ซินพลันเย็นวูบ “จำได้ว่าเจ้าหักหลังบิดาของข้า”

    เหลยอู๋เจี๋ยกับเซียวเซ่อหัวใจกระตุกวูบ อู๋ซินพลันเผยจิตสังหารที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทว่าครู่เดียวก็เลือนหายไป

    “ข้าคิดมาตลอดว่าเมื่อเจ้าโตขึ้นแล้วจะมาฆ่าข้าหรือไม่ ข้าเคยถามวั่งโยวต้าซือ ท่านบอกว่าสรรพสิ่งใต้หล้าล้วนมีเหตุและผล ก่อนจะสวดข้อพระธรรมยกใหญ่ แต่ข้าเป็นบรรพชิตจอมปลอม ไม่อาจเข้าใจหลักการเหล่านั้น ภายหลังข้าจึงคิดว่าหากเจ้าจะมาฆ่าข้า ข้าจะทำอันใดได้ อย่างมากก็คงส่งดาบให้เจ้ากระมัง” ภิกษุเครายาวควงดาบบรรพชิตในมือแล้วโยนขึ้นไปกลางอากาศ ดาบหมุนเป็นวงก่อนตกลงเบื้องหน้าอู๋ซิน ตัวดาบกว่าครึ่งปักลงไปบนพื้น

    อู๋ซินสัมผัสด้ามดาบนั้นเล็กน้อย ทว่าไม่ได้ดึงขึ้นมา “บรรพชิตเฒ่าบอกว่าข้าต้องมีมุทิตาจิต ยามนี้ข้าเป็นภิกษุ จะเข่นฆ่าไม่เลือกหน้าได้อย่างไร วางใจเถิด ข้าไม่ฆ่าเจ้าหรอก”

    ภิกษุเครายาวส่ายศีรษะ “ข้าหวังว่าเจ้าจะมาฆ่าข้า เจ้าไม่ฆ่าข้า แปลว่าต้องให้ข้าทำเรื่องที่ยุ่งยากกว่านั้น”

    “ไม่ยุ่งยาก แค่ต้องการให้เจ้าช่วยข้าประกอบพิธีกรรมเท่านั้น”

    “ประกอบพิธีกรรม? ข้าเป็นแค่บรรพชิตจอมปลอม หลายปีมานี้กระทั่งคัมภีร์สักเล่มก็ยังท่องไม่ได้”

    “มิได้ให้เจ้าทำคนเดียว ข้าต้องการให้ภิกษุทั้งวัดต้าฟั่นอินช่วยข้าทำพิธี”

    วัดต้าฟั่นอินเป็นวัดประจำแคว้นอวี๋เถียน วันนี้เนื่องจากมีผู้บุกรุก ภิกษุส่วนใหญ่จึงหลบไปอยู่ในโถงสวดมนต์หลังวิหารกันหมด หากภิกษุทุกรูปเคลื่อนไหว อย่างน้อยคงมีมากถึงสามร้อยรูป พิธีกรรมอันยิ่งใหญ่เช่นนี้เกรงว่าคงมีแต่ประมุขแคว้นอวี๋เถียนที่ทำได้

    ภิกษุเครายาวนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนหันไปมองสมณเจ้าฝ่าหลันเล็กน้อยแล้วเอ่ยเรียก “ศิษย์พี่!”

    สมณเจ้าฝ่าหลันสะดุ้งโหยงและลืมตาขึ้นอย่างงุนงง มันมองภิกษุเครายาวโดยที่มุมปากยังมีรอยน้ำลายอยู่ ที่แท้เมื่อครู่นี้ขณะปราณกระบี่พวยพุ่งหักโหมโรมรันกันยกใหญ่ สมณเจ้าฝ่าหลันรูปนี้ได้แสร้งว่าส่ายศีรษะอยู่ตลอดเวลา ทว่าที่จริงแอบหลับไปตั้งนานแล้ว

    “ยอดคน!” เหลยอู๋เจี๋ยอดยกนิ้วหัวแม่มือให้มิได้ มันชื่นชมสมณเจ้าผู้ส่ายศีรษะรูปนี้ยิ่งนัก นี่เหมือนกับยอดบรรพชิตในตำนานเล่าขานของยุทธภพที่มันเคยได้ฟัง เพียงแต่ในตำนานนั้นเล่าว่ายอดบรรพชิตยังคงเพ่งจิตเข้าณานได้แม้ยามเผชิญภยันตราย ทว่าสมณเจ้ารูปนี้เปลี่ยนการเพ่งจิตเข้าฌานเป็นการหลับไปเสียเลย…

    “ศิษย์พี่ ข้ามีเรื่องขอร้อง” ภิกษุเครายาวกล่าวเสียงดังลั่น

    สมณเจ้าฝ่าหลันยกมือเช็ดน้ำลายที่มุมปาก ก่อนพยักหน้าเล็กน้อย

    “ข้าต้องประกอบพิธีกรรม ต้องใช้บรรพชิตของท่านประมาณสามร้อยรูป” ภิกษุเครายาวไม่เกรงใจแม้แต่น้อย

    ทว่าสมณเจ้าฝ่าหลันสีหน้าไม่เปลี่ยน มันเผยรอยยิ้มแล้วพยักหน้าแผ่วเบาเช่นเดิม

    “เจ้าเป็นสหายเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของบรรพชิตเฒ่า ให้เจ้าเป็นผู้นำพิธี นับว่าเป็นการตอบแทนที่มันพร่ำบ่นมาหลายปี” อู๋ซินแย้มยิ้มแล้วหมุนกาย “วันรุ่งขึ้นข้าจะรอเจ้าที่นั่น”

    “แล้วหลังจากพรุ่งนี้เล่า” ภิกษุเครายาวถาม

    “เรื่องหลังจากพรุ่งนี้ รอให้ข้ารอดชีวิตไปได้ค่อยว่ากันเถิด” อู๋ซินกระโดดขึ้นไปบนกำแพงวัดโดยไม่หันกลับมาอีก “วันรุ่งขึ้นหลังเริ่มพิธีกรรมเจ้าก็ไปเสีย สิบสองปีก่อนพวกมันบังคับให้เจ้ามีส่วนร่วมเรื่องนี้ สิบสองปีให้หลังเจ้าอย่าได้ถลำซ้ำรอยเดิมอีก” สิ้นเสียง เงาร่างสีขาวนั้นก็กระโดดลงไปอีกฟากของกำแพง

    “เหลยอู๋เจี๋ย…เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าทุกครั้งที่บรรพชิตอู๋ซินผู้นี้จากไป มันไม่ได้คิดจะพาพวกเราไปด้วย” เซียวเซ่อกล่าวอย่างเนิบนาบ

    “ข้าก็รู้สึก…” เหลยอู๋เจี๋ยเกาหัวแกรก

    “เช่นนั้นตัวประกันอย่างพวกเราทั้งสอง…เหตุใดต้องตามไปด้วยเล่า” เซียวเซ่อหันมาถามเหลยอู๋เจี๋ย

    “นั่นสิ ข้าว่าไปหาศิษย์พี่ใหญ่กันดีกว่า” เหลยอู๋เจี๋ยไม่ได้ดึงดันจะตามไปอีกแล้ว

    ขณะที่ทั้งสองเห็นพ้องต้องกันอย่างหาได้ยากยิ่ง ศีรษะรูปงามพลันโผล่ขึ้นเหนือกำแพงวัดอีกครั้ง ศีรษะนั้นกะพริบตาใส่เหลยอู๋เจี๋ยกับเซียวเซ่อ “ไยสหายทั้งสองยังไม่ตามมาอีกเล่า ยามนี้พวกเราจะไปยังดินแดนอันไกลแสนไกล ต้องเช่าม้าสองสามตัว ข้าไม่มีเงินหรอกนะ”

    “ช่างชั่วร้ายเหลือเกินบรรพชิตผู้นี้!” เซียวเซ่อทำได้เพียงก่นด่าอย่างโมโห

     

     

    บทที่ 17

    บรรพชิตผู้สง่างามแห่งยุค

     

    ดินแดนอันไกลแสนไกลที่อู๋ซินกล่าวถึงเป็นเพียงภูเขาเล็กๆ ลูกหนึ่งซึ่งอยู่นอกเมืองไม่ไกลเท่านั้น บนภูเขามีวัดเก่าแก่แห่งหนึ่งตั้งอยู่ ตัวอักษรบนนั้นเลือนรางไม่ชัดเจนแล้ว พระพุทธรูปในวิหารก็แขนหัก ราวกับไม่มีคนมาที่แห่งนี้เนิ่นนาน อู๋ซินนั่งอยู่บนหลังคาวิหารเพียงลำพัง จีวรขาวพลิ้วไหว สายตาทอดมองแคว้นอวี๋เถียนเบื้องหน้าอย่างเหม่อลอย

    เหลยอู๋เจี๋ยกระโดดตามขึ้นมาบนหลังคาก่อนเอ่ยถาม “มองสิ่งใดอยู่”

    “เจ้าดูแคว้นอวี๋เถียนนี้” อู๋ซินชี้ไปยังเมืองที่อยู่ไม่ไกล

    “มีอันใดหรือ” เหลยอู๋เจี๋ยงุนงง

    “ยากจนหรือไม่” อู๋ซินถาม

    เหลยอู๋เจี๋ยครุ่นคิดดูก่อนพยักหน้า เมืองซานกู้ที่พวกมันอยู่เมื่อหลายวันก่อนยังเจริญรุ่งเรืองถึงเพียงนั้น ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงปี้หลัวที่เป็นเมืองอิสระติดชายแดน ทว่าเมื่อมาอยู่ในแคว้นอวี๋เถียน สิ่งที่มันพบเห็นมีแต่คนท้องถิ่นที่ยากจนและภิกษุที่บำเพ็ญทุกรกิริยา

    “บรรพชิตเฒ่ากลับบอกว่ามันอยากกลับมาที่นี่มาก” อู๋ซินกล่าวเสียงแผ่ว

    เหลยอู๋เจี๋ยไม่เข้าใจความหมายในถ้อยคำของอู๋ซิน จึงเพียงเอ่ยเสียงเบาว่า “อืม”

    “บรรพชิตเฒ่าเกิดที่แคว้นอวี๋เถียน แตกฉานข้อพระธรรมตั้งแต่อายุหกขวบ มันเคยถามคำถามขณะที่ซวีวั่งต้าซือเจ้าอาวาสวัดต้าฟั่นอินในยามนั้นกำลังปาฐกถาอยู่ว่า ‘แคว้นที่ข้าอยู่นั้นยากจนปานนี้ ผู้คนใบหน้าหม่นหมองไร้รอยยิ้ม เหตุใดการแสวงธรรมจึงทุกข์ทรมานเช่นนี้ มนุษย์มายังโลกใบนี้เพื่อทนทุกข์ทรมานอย่างนั้นหรือ’ ”

    “แล้วซวีวั่งต้าซือตอบอย่างไร”

    “ซวีวั่งต้าซือกล่าวว่าบุปผาผลิบานนั้นงดงาม บุปผาโรยรายังคงดำรงอยู่ ชั่วอายุนับร้อยปีท่ามกลางโลกาผันแปร จะมีแต่ความยินดีไม่เป็นทุกข์ได้อย่างไร ชีวิตคนไม่เที่ยง มีทุกข์ จึงจะมีสุขได้ ทั้งสองบังเกิดพร้อมกัน”

    “ข้าไม่เข้าใจ” เหลยอู๋เจี๋ยกล่าวอย่างงงงัน

    “บรรพชิตเฒ่าก็ฟังไม่เข้าใจเช่นกัน มันเลยไปจากแคว้นอวี๋เถียนตอนอายุหกขวบ แสวงธรรมทั่วสารทิศ จวบจนอายุสี่สิบปีก็ได้ไปเทศนาแสดงธรรมที่วัดหานซาน ทว่าความสงสัยในใจของมันไม่เคยรับการคลี่คลาย…หากการฆ่าคนผู้หนึ่งจะช่วยเหลือพันหมื่นคนได้ แต่คนผู้นั้นไร้ความผิด เจ้าจะฆ่าหรือไม่”

    “นี่…” เหลยอู๋เจี๋ยลังเลชั่วขณะ

    “หากเป็นข้าก็จะฆ่า” เซียวเซ่อที่นั่งอยู่ข้างล่างบนขั้นบันไดหน้าวิหารเอ่ยเสียงเนิบ

    “คนมากมายประสงค์ฆ่าข้า แต่บรรพชิตเฒ่าไม่เห็นด้วย จึงถ่ายทอดวรยุทธ์ลับของวิหารหลัวช่าแก่ข้า ทำให้ไม่ว่าผู้ใดในใต้หล้าก็ไม่อาจสังหารข้าได้โดยง่าย” อู๋ซินทอดถอนใจ

    “ข้าว่า…ข้าพอจะรู้แล้วว่าเจ้าเป็นใคร” เซียวเซ่อพลันกล่าว

    “สหายเซียวมีความรู้กว้างขวาง ข้าก็สนใจในตัวเจ้ามากเช่นกัน แต่ข้าคาดเดาภูมิหลังของเจ้าไม่ออก” อู๋ซินแย้มยิ้ม

    “เจ้าแซ่เยี่ย” เซียวเซ่อเอ่ยอย่างมั่นใจ

    “ใช่แล้ว เจ้าเดาไม่ผิด ก่อนเข้าเป็นศิษย์วัดหานซานข้าแซ่เยี่ย ชื่ออันซื่อ เป็นบุตรของเยี่ยติ่งจือ”

    “เยี่ยติ่งจือ? ประมุขพรรคมาร!” เหลยอู๋เจี๋ยเอ่ยอย่างตกตะลึง

    “คนที่ทำให้เทียนไว่เทียน เมืองเสวี่ยเยวี่ย สำนักพุทธในใต้หล้า หรือแม้กระทั่งราชสำนักเห็นความสำคัญถึงเพียงนี้ได้ ข้าคิดดูแล้วอย่างไรก็ต้องเกี่ยวข้องกับเยี่ยติ่งจือ”

    “อันใดคือเทียนไว่เทียน” เหลยอู๋เจี๋ยเอ่ยถาม

    “ผู้คนต่างทราบว่าเมื่อสิบสองปีก่อนพรรคมารรุกรานดินแดนบูรพา ราษฎรทุกข์ยากลำบาก แต่คนที่เข้าใจพรรคมารอย่างแท้จริงกลับมีไม่มาก ที่จริงแล้วพรรคมารเป็นชื่อเรียกรวมกันของลัทธิน้อยใหญ่ในดินแดนนอกเขตทั้งสิบหกลัทธิ ซึ่งลัทธิที่มีอำนาจที่สุดคือเทียนไว่เทียน เยี่ยติ่งจือประมุขพรรคมารรุ่นก่อนคือเจ้าลัทธิของเทียนไว่เทียน หลังจากพรรคมารยกทัพไปโจมตีแดนบูรพาล้มเหลว พวกมันก็ได้ทำข้อตกลงกับยุทธภพจงหยวนว่าจะไม่ย่ำกรายดินแดนต้าเสวียนแม้ครึ่งก้าว ว่ากันว่าในข้อตกลงมีตัวประกันด้วยคนหนึ่ง ตัวประกันนั้นถูกบุคคลลึกลับรับเลี้ยงดู ระยะเวลาที่กำหนดไว้ก็คือเวลาสิบสองปีเช่นกัน เห็นทีคงเป็นเจ้ากระมัง” เซียวเซ่อกล่าว

    “เป็นข้า…ยามนั้นข้าอายุห้าขวบ ได้ติดตามท่านพ่อยกกองทัพไปโจมตีดินแดนบูรพา ภายหลังถูกวั่งโยวรับเลี้ยงไว้ บัดนี้ครบกำหนดเวลาสิบสองปีแล้ว ตามหลักข้าสมควรกลับไปยังเทียนไว่เทียน แต่หากปล่อยข้าไปแล้วพรรคมารจะหวนคืนอำนาจอีกครั้งหรือไม่ ไม่มีผู้ใดคาดเดาได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีบางคนคิดจะทำลายวรยุทธ์ของข้า บางคนคิดจะคุมขังข้า และบางคนคิดจะสังหารข้า” อู๋ซินกล่าว

    “แล้วเจ้าเล่า เจ้าคิดเช่นไร”

    “ข้าอยากกลับวัดหานซาน ฟังบรรพชิตเฒ่าสวดมนต์ต่อ” อู๋ซินแย้มยิ้ม

    เซียวเซ่อนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน มือทั้งคู่รวบอยู่ในแขนเสื้อ มันเดินไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว สายตาทอดมองแคว้นอวี๋เถียนที่อยู่ห่างไกลก่อนเอ่ยเสียงเบา “ชีวิตคนเราไม่ยืนยาวถึงร้อยปี ไยจึงต้องโศกเศร้าถึงพันปี”

    “กำหนดเวลาสิบสองปีสิ้นสุดลงแล้ว คนทั้งหลายต่างเคลื่อนไหว บรรพชิตเฒ่ารู้ว่าไม่อาจต้านทานคนเหล่านั้นจึงเป็นทุกข์จนเสียสติ” อู๋ซินกล่าว

    “คนผู้นั้นเมื่อกลางวันคือดาบทลายเวหาหวังเหรินซุน?” เซียวเซ่อถาม

    “ใช่ ดาบทลายเวหาหวังเหรินซุนคือสหายสนิทของบิดาข้าเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ มันคือศิษย์ของสำนักเทียนซาน (เวหะคีรี) มันเคยเตือนท่านพ่อว่าอย่ายกทัพไปโจมตีดินแดนบูรพาแต่ก็ไม่เป็นผล เดิมมันคิดจะถอนตัว แต่สุดท้ายก็ถูกสำนักบังคับให้เข้าร่วมการล้อมปราบพรรคมาร หลังจากการต่อสู้ครั้งนั้นมันก็ออกจากสำนักด้วยเหตุผลว่าได้ตอบแทนบุญคุณสำนักแล้ว แล้วกราบซวีวั่งต้าซือแห่งวัดต้าฟั่นอินเป็นอาจารย์ หากยามนั้นไม่ได้ออกจากสำนัก ตอนนี้มันคงได้เป็นเจ้าสำนักเทียนซาน” อู๋ซินกล่าว

    “นับว่าเป็นคนที่มีไมตรีและคุณธรรมสูงส่ง” เหลยอู๋เจี๋ยพยักหน้ากล่าวชม

    “วันรุ่งขึ้นเจ้าจะต้องตาย” เซียวเซ่อพลันโพล่งออกมา “ยามนี้เจ้าควรหาม้าเร็วสักตัวแล้วห้อไปยังแดนประจิมโดยไม่หยุดพัก”

    “หากข้าคิดหนีก็คงหนีไปตั้งแต่อยู่ที่หอเหม่ยเหรินแล้ว” อู๋ซินระบายยิ้ม “บอกแล้วว่าข้ายังมีเรื่องที่ต้องทำ กาลก่อนบรรพชิตเฒ่ามักพูดอยู่เสมอว่าอยากกลับมาที่นี่ ยามนี้ศพของมันไม่อยู่แล้ว ดังนั้นข้าจะนำวิญญาณของมันกลับมาแทน”

    “พิธีกรรมใหญ่ของบรรพชิตสามร้อยรูปในวันพรุ่งนี้จะสั่นสะเทือนทั่วแคว้นอวี๋เถียนทั้งแคว้นแน่ วัดจิ่วหลงอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกล ถึงตอนนั้นจะมียอดฝีมือจำนวนมากเร่งเดินทางมา เจ้ามั่นใจว่าจะรับมือได้หรือ”

    “เรื่องของพรุ่งนี้ ค่อยว่ากันพรุ่งนี้” อู๋ซินลุกขึ้นยืน จีวรสีขาวปลิวไสวตามแรงลม

    “แต่มีเรื่องบางเรื่องที่ข้าคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ”

    “โอ้…เจ้ารู้จักเทียนไว่เทียน รู้จักหวังเหรินซุน กระทั่งเรื่องจิ่นเซียนกงกงคือเสิ่นจิ้งโจวกระบี่ลมเหมันต์ผู้ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วยุทธภพก็ยังรู้ ข้านึกว่าเรื่องทั้งหมดล้วนอยู่ในกำมือเจ้าแล้วเสียอีก”

    “สิ่งเดียวที่ข้าไม่เข้าใจคือเจ้าพาพวกเราสองคนมาด้วยเพราะเหตุใด เดิมทีพวกเราไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลยสักนิด” เซียวเซ่อกล่าว

    “นั่นสิ! หากเจ้าต้องการผู้ช่วยจริง ให้ยอดฝีมือของเทียนไว่เทียนสองคนนั้นช่วยไม่ดีกว่าหรือ” เหลยอู๋เจี๋ยก็ถามเช่นกัน

    “ข้าบอกแล้ว ข้าไม่มีเงิน พวกเจ้าคนหนึ่งสวมเสื้อขนสัตว์ล้ำค่า อีกคนหนึ่งสวมเสื้อทอด้วยใยเพลิงพญาหงส์ ดูอย่างไรก็มีฐานะ” อู๋ซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงใจ

    “บรรพชิตเช่นเจ้าราวกับมีคำโกหกนับพันอยู่ใต้ลิ้น ตวัดออกมาใช้ได้ทุกเมื่อ” เซียวเซ่อรู้สึกจนปัญญา

    “เรื่องนี้พวกเจ้าช่างเหมือนกันจริงๆ” เหลยอู๋เจี๋ยบ่นพึมพำ

    อู๋ซินเดินไปข้างหน้าหลายก้าวจนถึงข้างชายคา ทันใดนั้นมันสะบัดแขนเสื้อยาว แสงจันทร์ถูกชโลมไปด้วยความมืดสลัว มันเงยหน้าหัวร่อเนิ่นนาน แขนเสื้อยาวพลิ้วไหวร่ายรำสู้ลม

    “ข้าใคร่ขี่ลมท่องอุดร หิมะโปรยเซวียนหยวนทั้งขุนเขา ข้าใคร่ยืมสะเภาล่องบูรพา อัจฉรางามชดช้อยคล้อยรับลม ข้าใคร่เหินเมฆาพันหมื่นหลี่ วิหารมังกรคำรามอาจบีฑาข้าไฉน ยอดบรรพตคุนหลุนอาบแสงสุรีย์ มหานทีจนหนทางยลเขาเขียว นกนางแอ่นคืนเหย้าไกลละลิบ ไม่เห็นปลายขอบฟ้าไม่หวนคืน!”

    อู๋ซินเก็บแขนเสื้อแล้วก้มหน้ามองเบื้องล่าง เวลานี้เซียวเซ่อก็เงยหน้าขึ้นมาเช่นกัน ชั่วพริบตานั้นทั้งสองราวกับมองเห็นตนเองในสายตาของกันและกัน

    “ข้าไม่ตายหรอก ข้ายังต้องไปอีกหลายที่” อู๋ซินกล่าวอย่างจริงจัง

     

     

    บทที่ 18

    อิทธิฤทธิ์วิหารหลัวช่า

     

    “ยามนี้เจ้าดูเหมือนยอดฝีมือเสียที” เซียวเซ่อเก็บสายตากลับและเอ่ยเสียงเนิบ

    “เป็นยอดฝีมือหรือไม่มิสำคัญ เรื่องสำคัญคือพรุ่งนี้ต้องมีชีวิตรอด” อู๋ซินทอดสายตาไปเบื้องหน้า “อีกอย่างเจ้าก็เดาได้ถูกต้อง ข้าเลือกพวกเจ้าย่อมมีเหตุผลที่แท้จริงของข้า”

    “เหตุผลอันใด” เซียวเซ่อถาม

    “ยามที่ข้าฝึกชนวนจิตมารสำเร็จ บรรพชิตเฒ่ากล่าวว่าใต้หล้านี้มีเพียงคนสองประเภทที่ไม่ได้รับผลจากพลังนี้ ประเภทหนึ่งคือผู้ที่มีจิตใจละเอียดอ่อนโดยกำเนิด ไม่เคยถูกโลกโลกีย์เข้าครอบงำ อีกประเภทหนึ่งคือผู้ที่มีจิตใจลึกล้ำ กระทั่งตนเองยังมองตนเองไม่ทะลุปรุโปร่ง” อู๋ซินกล่าว

    “เห็นทีประเภทแรกคงจะเป็นเหลยอู๋เจี๋ย ประเภทหลังคงจะเป็นข้ากระมัง” เซียวเซ่อรวบมือทั้งสองข้างในแขนเสื้อราวกับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

    อู๋ซินพนมมือ เพียงยิ้มไม่เอ่ยคำ

    “เช่นนั้นเสิ่นจิ้งโจวคือประเภทใด” เหลยอู๋เจี๋ยพลันถาม “ตอนอยู่ในวัดต้าฟั่นอิน มันก็ทะลวงชนวนจิตมารของเจ้าได้เช่นกันมิใช่หรือ”

    “จิ่นเซียนกงกงหาได้ทะลวงชนวนจิตมารของข้า มันดำดิ่งสู่จิตมารของตนอย่างแท้จริง เพียงแต่ปณิธานของมันแน่วแน่เกินไปจึงกักขังไว้ได้เพียงชั่วครู่ แต่พวกเจ้าต่างออกไป พวกเจ้าสบตาข้าแล้วกลับไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย” แสงสีม่วงในนัยน์ตาของอู๋ซินพรั่งพรูออกมา

    “อ้อ เจ้าพบคนที่ชนวนจิตมารไม่เป็นผลแล้วจะทำอย่างไรเล่า” เซียวเซ่อเอ่ยถามอย่างไม่ยี่หระ

    “วิหารหลัวช่าถูกบรรพชิตเฒ่าทำลายไปแล้ว หากข้าตายไปวรยุทธ์เหล่านั้นก็จะไร้ผู้สืบทอด ดังนั้นข้าจึงอยากถ่ายทอดวรยุทธ์ให้เจ้าทั้งสองคนละหนึ่งวิชา แม้จะมีเวลาเพียงคืนเดียว แต่ก็เพียงพอสำหรับพวกเจ้า เช่นนี้ก็จะไม่ถือว่าผิดต่อบรรพชิตเฒ่าแล้ว” อู๋ซินหมุนกายส่งยิ้มให้เหลยอู๋เจี๋ย

    แน่นอนว่าเหลยอู๋เจี๋ยย่อมยินดีปรีดา “เป็นวรยุทธ์อันใด”

    “หากข้าจำไม่ผิด เจ้าใช้หมัดใช่หรือไม่” อู๋ซินถาม

    “ใช่” เหลยอู๋เจี๋ยพยักหน้า

    “เคยมีตำราอาวุธที่ไป่เสี่ยวเซิงเขียนในยุทธภพ นำอาวุธเจ็ดประเภทที่อันตรายที่สุดในยุทธภพมารวมไว้ด้วยกัน มีนามว่า ‘เจ็ดศัสตราวุธ’ หมัดก็นับเป็นหนึ่งในนั้น มันไม่ใช่อาวุธแต่เอาชนะอาวุธได้ สิ่งที่ข้าจะสอนเจ้าคืออิทธิฤทธิ์วชิระไร้เทียมทานอรหันต์สยบมาร!” อู๋ซินอมยิ้มน้อยๆ น้ำเสียงเต็มไปด้วยมาดอันน่าเกรงขามของยอดฝีมือ

    เหลยอู๋เจี๋ยนิ่งอึ้งไป “ช่างเป็นชื่อที่ยาวยิ่งนัก…”

    “ดูให้ดี!” อู๋ซินก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมถลกแขนเสื้อทั้งสองข้าง มันควงหมัดขวาปล่อยวิชาหมัดหนึ่งชุดออกไปอย่างคล่องแคล่ว

    ทว่าแม้อู๋ซินจะมีความน่าเกรงขามเต็มเปี่ยม หมัดที่ซัดออกไปก็ทรงพลัง แต่เซียวเซ่อกลับมองดูโดยขมวดคิ้วมุ่น หลังจากหมัดชุดนั้นจบลง อู๋ซินก็ถามเหลยอู๋เจี๋ย “เห็นหมดแล้วหรือไม่”

    เหลยอู๋เจี๋ยลังเลเล็กน้อยก่อนพยักหน้า

    “ลองดูหนึ่งรอบ” อู๋ซินกล่าว

    “อ้อ ได้” เหลยอู๋เจี๋ยรับคำก่อนหวนคิดถึงท่าทางเมื่อครู่อย่างละเอียด แล้วปล่อยกระบวนท่าหมัดชุดนั้นออกไปตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีคลาดเคลื่อนแม้แต่น้อย เพียงแต่พลังไม่เต็มที่เท่าอู๋ซิน

    “ประเสริฐ! เรียนรู้ได้เร็วจริงๆ” อู๋ซินกล่าวชม “สมกับเป็นคนของสกุลเหลยแห่งเจียงหนาน”

    เหลยอู๋เจี๋ยก้มหน้ามองกำปั้นของตนเอง ในที่สุดก็เอ่ยปากถามสิ่งที่สงสัย “โปรดอภัยที่ข้าโง่เขลา วิชาหมัดนี้เหนือล้ำตรงที่ใด”

    เซียวเซ่อแค่นเสียงเฮอะ “เจ้าโง่ มันหลอกเจ้าต่างหาก นี่ใช่อิทธิฤทธิ์วชิระไร้เทียมทานอรหันต์สยบมารนั่นเสียที่ใด นี่คือหมัดอรหันต์ วรยุทธ์เบื้องต้นของวัดเส้าหลินที่จ่ายเงินเพียงยี่สิบเหวิน* ก็ซื้อคัมภีร์ได้ที่ตีนเขาซงซานชัดๆ เสี่ยวเอ้อร์ที่โรงเตี๊ยมข้ายังรำเป็นหลายกระบวนท่า”

    “อ๋า?” เหลยอู๋เจี๋ยสีหน้างุนงง

    “เหลวไหล!” คำว่า ‘เหลวไหล’ นี้อู๋ซินพูดออกมาอย่างเคร่งขรึม “วรยุทธ์ใต้หล้าต่อให้เรียบง่ายเพียงใด ขอเพียงฝึกซ้อมเกินร้อยพันรอบ ปาฏิหาริย์ย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอน จิตใจอันละเอียดอ่อนแต่กำเนิดของเจ้า วิชาหมัดอันเรียบง่ายเช่นนี้เหมาะสมที่สุด”

    “จริงหรือ” เหลยอู๋เจี๋ยเห็นอู๋ซินพูดอย่างจริงจัง ทว่าในใจมันกลับไม่ค่อยเชื่อ

    “จริงแท้ แต่ฝึกฝนห้าสิบปีนั้นนานเกินไป คนหนุ่มผู้สง่างามต้องฝึกจนแก่หงำเหงือกจึงจะเป็นผู้ไร้เทียมทานในใต้หล้าอย่างนั้นหรือ คนหนุ่มสมควรไปบุกตะลุยยุทธภพแท้ๆ! เจ้าฟังให้ดี หมัดอรหันต์เมื่อครู่นี้เป็นเพียงกระบวนท่าครึ่งแรกเท่านั้น กระบวนท่าครึ่งหลังคือหมัดสยบมาร เมื่อนำทั้งสองมารวมกันจึงจะเป็นอิทธิฤทธิ์วชิระไร้เทียมทานอรหันต์สยบมารที่แท้จริง! แต่กระบวนท่าครึ่งหลังค่อนข้างยาก ข้าจะจับมือสอนเจ้าเอง!” อู๋ซินก้าวเข้ามาจับมือของเหลยอู๋เจี๋ยไว้ แล้วเริ่ม ‘จับมือสอน’ อย่างแท้จริง

    อู๋ซินนำเหลยอู๋เจี๋ยออกหมัดอยู่บนหลังคา เริ่มแรกมันยังต่อยอย่างแข็งทื่อ ทว่าชั่วครู่ให้หลังกลับรัวเร็วขึ้นเรื่อยๆ เซียวเซ่อที่อยู่ข้างล่างมองกระบวนท่าไม่ชัดตา เห็นเพียงเงาร่างสีขาวประสานรวมกับเงาร่างสีแดงกระโดดไปกระโดดมาอยู่บนหลังคา เนิ่นนานผ่านไปทั้งสองจึงค่อยหยุดลง เหลยอู๋เจี๋ยเหงื่อโซมกาย หายใจหอบถี่ ขณะที่อู๋ซินสีหน้าสงบนิ่ง ท่าทางเอ้อระเหยลอยชาย มันปล่อยมือของเหลยอู๋เจี๋ยแล้วถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว “เมื่อครู่นี้ข้านำเจ้าออกหมัดไปสามรอบ เจ้าจงจำไว้ให้ดี”

    “จะ…จำได้แล้ว” เหลยอู๋เจี๋ยหอบหายใจคำโต

    “ประเสริฐ! ลองอีกรอบให้ข้าดู” อู๋ซินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

    เหลยอู๋เจี๋ยพักเหนื่อยครู่หนึ่ง ก่อนปรับลมหายใจแล้วพยักหน้า “ได้!” มันโคจรพลังปราณแล้วก้าวไปข้างหน้าอย่างหนักแน่นจนกระเบื้องหลังคาทะลุ มันไม่ทันระวังจึงร่วงพรวดลงไปในตัววิหาร

    “โอ๊ย!” มันนอนร้องโอดครวญอยู่บนซากปรักหักพัง

    “ประเสริฐ เรียนรู้ได้ไม่เลว” อู๋ซินยอบกายลงตรงรูโหว่นั้น มองเหลยอู๋เจี๋ยด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม

    “ไม่เลวตรงที่ใดกัน…” เหลยอู๋เจี๋ยฝืนยิ้ม มันอยากลุกขึ้น แต่ก็รู้สึกว่าพลังปราณรั่วไหลจากทั้งร่าง กระทั่งแรงขยับเขยื้อนก็ยังไม่มี

    ทว่าอู๋ซินมิได้สนใจเหลยอู๋เจี๋ยอีก มันลุกขึ้นแล้วก้มมองเซียวเซ่อที่อยู่เบื้องล่าง “ถึงคราวเจ้าแล้ว”

    “ข้าไม่เป็นวรยุทธ์ รู้เพียงวิชาตัวเบาเล็กน้อยสำหรับใช้หนี วิชาหมัดอันใดข้าก็ไม่เป็นสักนิด เจ้าจะสอนสิ่งใดให้ข้าได้ ทว่าวิชาเดินเหินบนน้ำนั้นไม่เลว ข้าเลือกอันนั้นได้หรือไม่” เซียวเซ่อเอ่ย

    “จิตใจของเจ้าหนักเกินไป อิทธิฤทธิ์เหินฟ้าย่ำคลื่นเจ้าเรียนไม่ได้ เรียนไปมีแต่จะจมน้ำกลางทาง” อู๋ซินส่ายศีรษะ

    “อิทธิฤทธิ์เหินฟ้าย่ำคลื่น?” เซียวเซ่อมุ่นคิ้ว “วรยุทธ์ในวิหารหลัวช่าตั้งชื่อส่งเดชเช่นนี้หมดเลยหรือ”

    “มิใช่ ที่จริงชื่อในคัมภีร์วรยุทธ์เหล่านี้ล้วนเลือนหายไปหมดแล้ว ข้าเลยตั้งขึ้นเอง” อู๋ซินเอ่ยอย่างมาดมั่น

    “หากจะถ่ายทอดวรยุทธ์อื่นนอกจากวิชาตัวเบา เจ้าคงหาคนผิดแล้ว” เซียวเซ่อยักไหล่ประหนึ่งไม่สนใจต่อยอดวรยุทธ์ในใต้หล้าแม้แต่น้อย

    “ไม่ได้หาคนผิด วรยุทธ์ที่ข้าจะถ่ายทอดให้แก่เจ้าไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานใด เพียงแต่ต้องใช้เวลาเท่านั้น วันนี้ข้าสอนเจ้าเกรงว่าต้องใช้เวลาเนิ่นนานนักกว่าเจ้าจะใช้เป็น” อู๋ซินกระโดดลงมายังเบื้องหน้าเซียวเซ่อ นัยน์ตาคู่นั้นปรากฏแสงสีม่วง

    “นี่มัน…” เซียวเซ่อมุ่นคิ้วเล็กน้อย

    “วิชาที่ข้าจะสอนเจ้าคือชนวนจิตมาร!” มุมปากของอู๋ซินยกขึ้นเล็กน้อย แสงสีม่วงในดวงตามันวาวโรจน์

     

     

    บทที่ 19

    ทำตามประสงค์

     

    ณ ยอดเขาชังซาน

    มีหมากล้อมขาวดำกระดานหนึ่ง

    ทว่าที่กระดานกลับมีคนนั่งอยู่เพียงคนเดียว คนผู้นั้นสวมชุดคลุมสีดำตลอดทั้งร่าง ในมือถือหมากสีขาว

    “ถังเหลียนถึงวัดจิ่วหลงแล้วหรือยัง” เสียงหนึ่งดังขึ้นโดยไม่ทราบว่ามาจากทิศใด

    คนชุดดำที่นั่งอยู่หน้ากระดานหมากล้อมแย้มยิ้มพลางส่ายศีรษะ “ถึงแล้ว แต่ถึงมือเปล่า”

    “ด้วยเหตุอันใด ถังเหลียนทำพลาดอย่างนั้นรึ”

    “ใช่ เพราะมีสหายเก่าปรากฏตัว”

    “ไป๋ฟ่าเซียน? จื่ออีโหว?”

    “เป็นพวกมันแน่แท้ แม้วรยุทธ์ของถังเหลียนจะก้าวหน้าไปหลายขั้น ถือเป็นยอดฝีมือในบรรดาคนหนุ่มรุ่นนี้ แต่หากเผชิญหน้ากับสองคนนั้น เกรงว่าก็คงรับมือไม่ไหว” คนชุดดำกล่าวพลางวางหมากสีขาวลงไปบนกระดาน “ถึงตาเจ้าแล้ว”

    มีเสียงรับคำ บนกระดานพลันเกิดรูโหว่

    ผู้ถือหมากขาวส่ายศีรษะ “ทุกครั้งเวลาเล่นหมากล้อมกับเจ้า เจ้าล้วนต้องทำลายกระดานของข้า ปราณกระบี่ของเจ้าฝึกฝนจนแข็งแกร่งเพียงใด ยังต้องโอ้อวดกับข้าอีกหรือ”

    “บรรพชิตรูปนั้นถูกเทียนไว่เทียนพาตัวไปแล้วหรือ หากเป็นเช่นนั้นจริง เจ้าก็ไม่ควรมาเล่นหมากล้อมกับข้าที่นี่” อีกฝ่ายกล่าวอย่างไม่สนใจมัน

    “ไม่ใช่ สายสืบบอกว่าเทียนไว่เทียนลงมือไม่สำเร็จ บรรพชิตรูปนั้นหนีไปตอนที่พวกมันปะทะติดพัน ทั้งยังจับสหายร่วมทางของถังเหลียนไปสองคน จากนั้นก็ไม่ทราบทิศทางที่ไปแล้ว ข้าเดาว่ามันน่าจะเร่งเดินทางไปวัดต้าฟั่นอินแล้ว หวังเหรินซุนสหายสนิทในกาลก่อนของบิดามันอยู่ที่นั่น และยังเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของภิกษุวั่งโยวอาจารย์ของมันด้วย”

    “เจ้าเพิ่งกล่าวว่าถังเหลียนมีผู้ร่วมทางอีกสองคน เป็นศิษย์เมืองเสวี่ยเยวี่ยอย่างนั้นรึ”

    “มิใช่ ในจดหมายของถังเหลียนกล่าวว่าคนหนึ่งเป็นลูกหลานสกุลเหลย ออกเดินทางมาครานี้ก็เพื่อไปกราบอาจารย์ที่เมืองเสวี่ยเยวี่ย”

    “สกุลเหลย? ช่วงนี้สำนักเหลยไม่ได้ส่งข่าวมาว่าจะมีศิษย์เข้าเมือง หรือนี่เป็นการหลอกลวง”

    “ไม่หรอก ถังเหลียนระแวดระวังทุกเรื่อง เรื่องนี้ไม่ต้องกังวล”

    “เช่นนั้นอีกคนหนึ่งเป็นใคร”

    “อีกคนหนึ่งมิใช่ชาวยุทธ์ ไม่เป็นวรยุทธ์ เป็นเพียงเถ้าแก่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ศิษย์สำนักเหลยไปติดเงินมันไว้ก้อนหนึ่ง มันเลยตามมาด้วยตลอดทาง ถังเหลียนบอกว่าคนผู้นี้จิตใจลุ่มลึก หาใช่บุคคลธรรมดาสามัญไม่”

    “ชื่อแซ่ใด”

    “มันแซ่เซียว” คนที่ถือหมากสีขาวกล่าวอย่างมีนัยล้ำลึก

    อีกคนหนึ่งที่มองไม่เห็นเงียบงันไปครู่ใหญ่ ก่อนถามขึ้นอีกครั้ง “ยังมีข่าวอื่นอีกหรือไม่”

    “มี…ยังมีข่าวที่ไม่ดีมากๆ อีกข่าวหนึ่ง เป็นไปตามที่เจ้าคิดไว้ คนผู้นั้นในวังเริ่มนั่งไม่ติดแล้ว ยอดฝีมืออันดับสองในห้าขันทีใหญ่ ขันทีจั่งเซียง จิ่นเซียนกงกงได้ออกจากนครหลวงอย่างเงียบๆ ทั้งยังมุ่งหน้าไปยังแคว้นอวี๋เถียนอีกด้วย”

    “เสิ่นจิ้งโจวก็ไปเช่นกันหรือ…เห็นทีคนผู้นั้นในวังคงยังไม่เชื่อใจพวกเรา”

    “เกรงว่าไม่เคย…ยิ่งกว่านั้นเจ้าเคยเชื่อใจคนผู้นั้นด้วยหรือ สำหรับเรื่องนี้วังหลวงต้องการให้พวกเราสามคนลงมืออย่างน้อยหนึ่งคน แต่ยามนี้พวกเราคนหนึ่งกำลังฝึกกระบี่ คนหนึ่งกำลังเล่นหมากล้อม ส่วนอีกคนหนึ่งไม่ทราบว่าไปร่ำสุรา ณ แห่งหนใด”

    “เดิมทีครานี้เจ้าควรไปด้วยตนเอง แม้ถังเหลียนจะโดดเด่นที่สุดในบรรดาศิษย์รุ่นนี้ของเมืองเสวี่ยเยวี่ย แต่ตัวคนเดียวไม่อาจรับมือยอดฝีมือจำนวนมากเช่นนั้นได้ ลำพังแค่ภิกษุอู๋ซินผู้นั้นรับมือได้ง่ายหรือ”

    “ศิษย์พี่ใหญ่กล่าวว่าควรให้โอกาสคนหนุ่มได้ฝึกปรือเสียบ้าง”

    “แล้วยามนี้เล่า เจ้าจะเร่งเดินทางไปอวี๋เถียนหรือไม่”

    “ฮ่าๆๆ ศิษย์พี่ใหญ่กล่าวว่าการฝึกปรือของคนหนุ่มยังไม่สิ้นสุดลงแค่นี้” คนชุดดำอารมณ์ดียิ่งและวางหมากลงอย่างเบามือ

    อีกฝ่ายนิ่งงันไป ครู่หนึ่งชายชุดดำผู้ถือหมากสีขาวพลันรู้สึกว่าเบื้องหน้ามีใบไม้ปลิวผ่าน เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็พบคนสวมอาภรณ์สีขาวยืนอยู่ ในมืออีกฝ่ายยังถือกระบี่เรียวยาวเล่มหนึ่ง

    “เจ้าคิดจะไปเพียงลำพังหรือ” คนชุดดำปัดเศษใบไม้บนร่างก่อนลุกขึ้นยืน

    “เรื่องราวเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของจงหยวน หาใช่เรื่องล้อเล่น” คนอาภรณ์ขาวตอบอย่างจริงจัง

    “เจ้าน่ะเห็นเรื่องของบ้านเมืองสำคัญเกินไป เด็กอายุสิบเจ็ดคนหนึ่งจะปลุกลมสร้างฝนได้สักเท่าไร” คนชุดดำทอดถอนใจ

    “เป็นเด็กอายุสิบเจ็ดที่ฝึกวรยุทธ์ทั้งหมดในวิหารหลัวช่าจนสำเร็จ ทั้งยังมีฐานะเป็นบุตรของประมุขพรรคมาร”

    “แล้วอย่างไร คนที่มีวรยุทธ์ระดับมันในเมืองเสวี่ยเยวี่ยก็มีอย่างน้อยเจ็ดแปดคน ในวังหลวงเกรงว่าจะมีถึงสิบคน สำนักถังมีกี่คน คฤหาสน์สกุลเหลยมีกี่คน ต้องกลัวมันด้วยหรือ”

    “วันนั้นเทียนไว่เทียนมีกี่คน ลัทธิดินแดนนอกเขตทั้งสิบหกแห่งของพรรคมารมีอีกกี่คน” คนสวมอาภรณ์ขาวถามกลับ

    “เจ้าอยากปกป้องใต้หล้า แต่ใช่ว่าพรรคมารจะหวดกระหน่ำใต้หล้าทุกวี่วันเสียหน่อย จะว่าไปข้อตกลงสิบสองปีก็สิ้นสุดลงแล้ว เดิมทีควรจะปล่อยมันไป แต่ตอนนี้เรากลับออกไล่ล่า เป็นคนถ่อยสถุลผิดสัจจะจริงๆ”

    “ศิษย์พี่ใหญ่คิดเห็นอย่างไร”

    “เจตนารมณ์ของศิษย์พี่ใหญ่นั้นเรียบง่ายยิ่ง สิบสองปีก่อนพรรคมารรุกรานดินแดนบูรพา เมืองเสวี่ยเยวี่ยไม่ครั่นคร้าม สิบสองปีให้หลังประมุขน้อยพรรคมารหวนคืน เมืองเสวี่ยเยวี่ยยิ่งไม่กริ่งเกรง เรื่องของคนหนุ่มก็ยกให้คนหนุ่มจัดการ จัดการไม่ได้ค่อยถึงคราวตาเฒ่าอย่างพวกเราออกโรง มันส่งจดหมายให้ถังเหลียนตั้งแต่สามวันก่อน ยามนี้ถังเหลียนน่าจะได้รับแล้ว”

    “ในจดหมายเขียนว่าอย่างไร”

    “มีเพียงสี่คำ”

    “สี่คำใด”

    “ทำตามประสงค์”

    คนอาภรณ์ขาวนิ่งอึ้งไป “ทำตามประสงค์?”

    “เหมือนจดหมายที่อาจารย์เขียนให้พวกเราเมื่อสิบสองปีก่อน…ทำตามประสงค์” คนชุดดำแย้มยิ้ม

    “ไป่หลี่ตงจวิน…เจ้านั่นทำอันใดตามใจเหมือนเคย” คนอาภรณ์ขาวครุ่นคิดเนิ่นนานก่อนจะทอดถอนใจเหยียดยาว เงาร่างสีครามพลันหายวับไปกับตา

    “ยังจะเล่นหมากล้อมอยู่หรือไม่” คนชุดดำถามเสียงดังลั่น

    ไม่มีใครตอบมันอีก เพียงแต่กระดานหมากล้อมตรงหน้าพลันถูกผ่าครึ่งในชั่วพริบตา

    คนชุดดำส่ายศีรษะอย่างเหนื่อยใจ “ยังนิสัยเกรี้ยวกราดเหมือนเคย แล้วปีใดเดือนใดจึงจะฝึกวิชากระบี่ยั้งนทีที่ต้องให้จิตใจสงบนิ่งดั่งหยุดสายน้ำได้สำเร็จ”

     

    ณ วัดจิ่วหลง เมืองปี้หลัว เขตชายแดน

    ถังเหลียนยืนอยู่กลางลานกว้างของวัด ปล่อยนกสื่อสารบินออกจากมือไป

    อู๋ฉานยืนก้มหน้าอยู่ข้างกายมันพลางถามว่า “ในจดหมายเขียนว่าอย่างไร”

    “อาจารย์เขียนเพียงสี่คำ” ถังเหลียนแหงนหน้ามองดวงจันทร์อย่างเหม่อลอย

    อู๋ฉานนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนสวดภาวนา “อมิตาภพุทธ”

    “หาใช่สี่คำนี้ไม่” ถังเหลียนส่ายหน้า

    อู๋ฉานแย้มยิ้ม “โยมถัง อาตมาแค่สวดภาวนาเท่านั้น”

    ถังเหลียนเรียกสติคืนมาและอดหัวร่อมิได้ “ข้าใจลอยเสียแล้ว เพียงแต่ข้าไม่เข้าใจถ้อยคำนั้นที่อาจารย์เขียน…ทำตามประสงค์…อย่างไรคือทำตามประสงค์ ในข้อพระธรรมมีคำอธิบายหรือไม่”

    อู๋ฉานตรึกตรองครู่ใหญ่ก่อนกล่าว “พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่าตามประสงค์ ตามนิสัย ตามโชคชะตา”

    ถังเหลียนได้ยินดังนั้นก็ทอดถอนใจ “ข้าอาศัยอยู่ในสำนักถังตั้งแต่เล็ก กฎสำนักเข้มงวดมาก ต้องฝึกวิชาพิษพลังจิตด้วยประสาทสัมผัสภายในทั้งหกก่อนอายุสิบสอง อายุสิบหกก็ฝึกวิชาอาวุธลับภายนอกทั้งสามสิบสองส่วนได้สำเร็จ อายุสิบเจ็ดมายังเมืองเสวี่ยเยวี่ยเพื่อกราบอาจารย์ นับแต่บัดนั้นจนวันนี้ก็เก้าปีแล้ว เส้นทางตลอดยี่สิบหกปีที่ผ่านมาราวกับถูกกำหนดไว้แต่แรก ข้าแค่ต้องทำมันให้ลุล่วงเท่านั้น ตามประสงค์ ตามนิสัย ตามโชคชะตา คำสามคำนี้ข้ากระจ่างแจ้งนัก แต่ในเมื่ออู๋ซินสำคัญถึงเพียงนั้น อาจารย์ควรจะออกคำสั่งสังหารของเมืองเสวี่ยเยวี่ยให้ข้ามิใช่หรือ”

    “คำสั่งสังหาร? โยมถังคิดว่าศิษย์น้องอู๋ซินสมควรตายหรือ” อู๋ฉานลังเลเล็กน้อยก่อนเอ่ยปากถาม

    “ไม่สมควร” ถังเหลียนส่ายศีรษะ “แต่หากมันเขียนอยู่บนจดหมายของอาจารย์ ข้าจะไม่ลังเล”

    อู๋ฉานทอดถอนใจไม่เอ่ยคำ

    “จริงสิ อู๋ฉานต้าซือ ข้าไม่เคยถามท่านเลยสักครั้ง อู๋ซินเป็นคนเช่นไรหรือ” ถังเหลียนพลันถาม

    “อาตมาจากวัดหานซานมานานแล้ว เคยอยู่กับอู๋ซินเพียงไม่กี่เดือน ยามนั้นมันยังเป็นเด็กน้อยคนหนึ่ง อันที่จริงอาตมาก็ไม่ทราบว่าอู๋ซินเป็นคนเช่นไร เพียงแต่เมื่อครั้งยังเยาว์มีอยู่เรื่องหนึ่งที่จดจำได้จวบจนวันนี้ วันนั้นอาตมาฝึกวิชาหมัดอยู่ในลาน อู๋ซินนั่งอยู่บนหลังคา เมื่ออาตมาฝึกเสร็จอู๋ซินก็พลันเอ่ยว่านี่น่ะหรืออิทธิฤทธิ์วชิระสยบมาร แล้วหากมารอยู่ในใจเล่าควรทำเช่นไร อาตมายามนั้นออกบวชมาได้หกปี ฝึกอิทธิฤทธิ์วชิระสยบมารมาสามปีแล้ว แต่เมื่อได้ยินถ้อยคำนี้ก็พลันรู้สึกเหมือนฟ้าผ่าลงกลางหัว อาตมาคิดใคร่ครวญอยู่เนิ่นนาน พอหันไปดูอีกทีอู๋ซินก็หายตัวไปเสียแล้ว หลังจากนั้นอาตมาได้นึกถึงถ้อยคำที่อู๋ซินกล่าวแล้วลองฝึกอิทธิฤทธิ์วชิระสยบมารอีกครั้ง และรู้สึกว่าความสงสัยที่มีต่อวิชาหมัดก่อนหน้านี้ล้วนแก้ไขได้อย่างง่ายดาย เมื่อเจ้าอาวาสต้าเจวี๋ยแห่งวัดจิ่วหลงมายังวัดหานซาน อาตมาก็ฝึกไปถึงขั้นที่สี่ของอิทธิฤทธิ์วชิระสยบมารแล้ว” อู๋ฉานกล่าว

    “หากมิใช่ต้าซือเป็นผู้เล่าเอง คงยากจะเชื่อว่านี่เป็นถ้อยคำที่เด็กอายุห้าขวบจะพูดออกมา” ถังเหลียนผงกศีรษะ “ขอถามต้าซือสักประโยค ยามนี้จิตสยบมารของพวกเราหนักเกินไปแล้วหรือไม่”

    “อู๋ซินหาใช่มารไม่ พระอาจารย์วั่งโยวก็มิใช่มาร เพียงแต่ถูกมารครอบงำเท่านั้น” อู๋ฉานกล่าวตอบเสียงต่ำ

    “ดังนั้นอู๋ฉานต้าซือ พรุ่งนี้ท่านจะทำเช่นไร” ถังเหลียนถามต่อ

    อู๋ฉานครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ทำตามประสงค์”

    ถังเหลียนมองสายตาอู๋ฉาน เห็นแววตาอีกฝ่ายเปี่ยมความจริงใจ ไม่มีท่าทีล้อเล่นสักน้อยนิด จึงถอนหายใจกล่าว “ข้าคิดว่าจิตใจของต้าซือหนักแน่นดุจหินผาตั้งนานแล้ว”

    “โยมถังไม่ใช่บรรพชิตเฒ่าในวิหารเหล่านั้นเสียหน่อย กล่าวเรื่องหนักแน่นดุจหินผาอันใด” อู๋ฉานก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว กระโดดขึ้นไปบนหลังคา “ค่อยๆ คิดเถิด อาตมาขอตัวไปจำวัดก่อน”

    ถังเหลียนนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ภิกษุผู้มักตีหน้าเคร่งขรึม ไม่พูดจาล้อเล่นส่งเดชผู้นี้กลับเผยนิสัยเช่นเด็กหนุ่มออกมาหลายส่วน ทำให้มันรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก

    อู๋ฉานที่อยู่บนหลังคาหมุนกาย จีวรตัวยาวโบกสะบัด มันยิ้มบางๆ ใต้แสงจันทร์ เผยมาดความเป็นศิษย์พี่ของอู๋ซินอยู่หลายส่วน “อันคำว่าทำตามประสงค์ ตามประสงค์ ตามนิสัย ตามโชคชะตา หมายความว่าไม่ต้องคิดให้มากนัก ความรู้สึกที่บังเกิดขึ้นยามเผชิญหน้าเพียงชั่ววูบนั้นก็คือประสงค์ของโยม”

    ถังเหลียนนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย และเมื่อจีวรสีเทาบนหลังคาสะบัดไหวอีกครั้ง อู๋ฉานก็หายตัวไป วิหารใหญ่ข้างหลังยังคงมีเสียงสวดมนต์ดังแว่วออกมาเช่นเดิม ถังเหลียนคลี่ยิ้มแล้วเงยหน้ามองไปไกล “ทำตามประสงค์…นี่เป็นบทเรียนที่อาจารย์จะสอนข้าหรือ ถังเหลียนจะจดจำไว้ขอรับ”

     

     

    บทที่ 20

    โล่วจิ้นทง

     

    ฟ้าสาง

    “บรรพชิต…พวกนั้นมาแล้ว” เซียวเซ่อลุกขึ้นยืนพลางหาวหวอดก่อนเดินไปยังริมหน้าผา มันทอดสายตามองภิกษุหลายร้อยรูปที่เดินมารวมตัวกันอยู่บริเวณตีนเขาอย่างแน่นขนัด ไม่นานภิกษุเหล่านั้นก็นั่งลงอย่างพร้อมเพรียงกันโดยหันหน้ามาทางวัดแห่งนี้ หลังจากนั้นฆ้องและกลองในมือก็เริ่มส่งเสียงดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงสวดมนต์ บนผืนดินอันกว้างใหญ่ไพศาลทั้งแผ่นผืนแผ่ซ่านกลิ่นอายความศักดิ์สิทธิ์อยู่หลายส่วน กระทั่งคนที่เฉื่อยชาอย่างเซียวเซ่อก็ยังอดตีหน้าเคร่งขรึมมิได้ “บรรพชิตสามร้อยรูปสวดมนต์นำทางผู้คนในที่เวิ้งว้าง ดูศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าราชพิธีบวงสรวงของราชวงศ์เสียอีก”

    เหลยอู๋เจี๋ยเดินตามเซียวเซ่อมาดูและพลันชี้ไปที่ตีนเขา “นั่นมัน…”

    มันเห็นภิกษุท่าทางเด็ดเดี่ยวยืนถือดาบอย่างตระหง่านอยู่ข้างหลังภิกษุสามร้อยรูปที่กำลังสวดมนต์ ภิกษุผู้ถือดาบทอดสายตามองไปยังที่ไกลเบื้องหน้าด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม หากมองตามสายตาของภิกษุผู้นั้นไปจะเห็นว่ามียอดอาชาเก้าตัวกำลังห้อตะบึงมาทางเนินเขาแห่งนี้ บนยอดอาชายังมีภิกษุนั่งอยู่หลายรูป

    “เป็นหวังเหรินซุน” เซียวเซ่อหันมามองอู๋ซิน “ดูเหมือนมันจะไม่ได้หลบหายไปตามที่เจ้าบอก คราวนี้มันคงตัดสินใจแตกต่างจากเมื่อสิบสองปีก่อน”

    “เข้ามาเถิด” อู๋ซินทอดมองด้วยแววตาเย็นเยียบ มันไม่ได้กล่าวอันใดต่อ เพียงก้าวเข้าไปในวิหารซอมซ่อผุพังอย่างแช่มช้า

     

    ที่ตีนเขา หวังเหรินซุนนำดาบบรรพชิตในมือปักลงดินแล้วหลับตาลง ก่อนสูดลมหายใจลึก

    ปรมาจารย์ลัทธิพุทธทั้งเจ็ดรูปแห่งวัดจิ่วหลง ต้าเจวี๋ยต้าซือ ต้าไหวต้าซือ ต้าเวยต้าซือ ต้ากวนต้าซือ ต้าโม่ต้าซือ ต้าวั่งต้าซือ ต้าผู่ต้าซือ รวมถึงภิกษุอู๋ฉานกับถังเหลียนกำลังห้อม้ามายังเบื้องหน้ามัน

    “นั่นคือใคร” ถังเหลียนถาม

    “ท่านสมณเจ้าฝ่าเยี่ยแห่งวัดต้าฟั่นอิน” อู๋ฉานมุ่นคิ้วเล็กน้อย ในความทรงจำของมันสมณเจ้าฝ่าเยี่ยผู้นี้มักจะผีเข้าผีออก มันเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับพฤติกรรมอันเหลวแหลกเช่นดื่มสุรากินเนื้อสัตว์ของคนผู้นี้อยู่บ่อยๆ แต่ไม่เคยได้ยินว่าสมณเจ้าผู้นี้เป็นวรยุทธ์ด้วย และยิ่งไม่ทราบว่ามันนำดาบมาขวางทางด้วยเหตุอันใด

    ทันใดนั้นหวังเหรินซุนก็ลืมตาขึ้น มันดึงดาบออกจากพื้นอย่างแรงและฟาดฟันใส่คนทั้งเก้า คลื่นดาบไร้เทียมทานโหมฝุ่นธุลีบนพื้นฟุ้งกระจาย พลังอันเหี้ยมเกรียมพลันปรากฏ คนทั้งเก้ารีบกระโดดออกจากอาน ขณะที่ยอดอาชาทั้งเก้าตัวถูกคลื่นดาบนั่นบั่นขาดเป็นสองท่อนในชั่วพริบตา!

    ครั้นเห็นโลหิตสาดกระจายประดุจหยาดฝน ถังเหลียนก็ยังอดรำพึงรำพันมิได้ “จิตสังหารช่างแรงกล้า! พลังดาบแกร่งกล้ายิ่งนัก!”

    หวังเหรินซุนปักดาบลงบนดินอย่างหนักแน่นอีกครั้งแล้วตวาดลั่น “หยุด!”

    ต้าเจวี๋ยต้าซือผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มนั้นสวมจีวรสีเหลือง ดวงหน้าอารี เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ก็สวดภาวนาแผ่วเบา “อมิตาภพุทธ”

    ภิกษุรูปอื่นที่อยู่ข้างหลังก็ก้มหน้าสวดภาวนาเช่นกัน ต้าเจวี๋ยต้าซือทอดถอนใจ “สมณเจ้าฝ่าเยี่ย ท่านวางดาบสังหารมาสิบสองปี เหตุใดจึงฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอีกครั้ง”

    “เดิมคิดว่าจะบวชตลอดชีวิตเพื่อชดใช้ความผิดของตนเอง แต่กลับค้นพบว่าแท้จริงแล้วข้ามิอาจหันหลังกลับได้ คิดไปคิดมาพบว่ามีเพียงการถือดาบต่อไปจึงจะพอชดใช้ความผิดได้บ้าง” หวังเหรินซุนหลับตาลงอีกครั้ง ดาบทลายเวหาของมันแตกต่างจากวิชาดาบทั่วไปยิ่งนัก ทุกครั้งที่ออกดาบล้วนต้องผ่านการไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง

    “วิชาดาบของสมณเจ้าฝ่าเยี่ยเหนือล้ำยิ่ง อาตมายังเคยขอคำชี้แนะเมื่อสิบสองปีก่อน ทว่าสมณเจ้าจะรั้งผู้ปราบมารทั้งหมดของอาตมาไว้ได้ด้วยดาบเล่มเดียวหรือ”

    “เกรงว่าจะรั้งทั้งเก้าท่านไว้มิได้…แล้วท่านคิดว่าข้ารั้งได้กี่คน” หวังเหรินซุนสัมผัสด้ามดาบแผ่วเบา

    “สมณเจ้าฝ่าเยี่ย เจ้าเกิดจิตสังหาร” ต้าเจวี๋ยต้าซือเน้นเสียงหนัก

    “ใช่! ข้าเกิดจิตสังหาร!” หวังเหรินซุนจับด้ามดาบไว้แน่นแล้วดึงมันขึ้นมาอีกครั้ง

    “อู๋ฉาน เจ้ากับโยมถังขวางมันเอาไว้!” ต้าเจวี๋ยต้าซือกระโดดทะยานออกไปแล้วปล่อยพลังฝ่ามือใส่หวังเหรินซุน ยามฝ่ามือนั้นยื่นออกไป พลันปรากฏเป็นเงาฝ่ามือนับไม่ถ้วน เกรงว่าวิชาหัตถ์พันพุทธของต้าเจวี๋ยต้าซือคงเข้าถึงระดับสุดยอดแล้ว หวังเหรินซุนไม่กล้าต้านรับตรงๆ จึงถีบตัวหลบไปด้านข้าง ต้าเจวี๋ยต้าซือเห็นหวังเหรินซุนหลบก็มิได้ตามโจมตี แต่ฉวยโอกาสนี้พุ่งไปยังเนินเขาลูกนั้นพร้อมต้าซืออีกหกรูป

    ครั้นหวังเหรินซุนตั้งหลักได้ก็เงื้อดาบหมายจะไล่ตามไป แต่มันพลันได้ยินเสียง ‘ชิ้ง’ ดังขึ้นข้างหู จึงรีบหมุนกายกลับมาพร้อมเหวี่ยงดาบออกไป ตะปูที่สะท้อนประกายเหี้ยมเกรียมถูกฟันกระเด็นลงพื้น

    “ตะปูตอกกระดูกของสำนักถัง?” หวังเหรินซุนมุ่นคิ้วเล็กน้อย “ลงมือครานี้มีคนของสำนักถังด้วย? ทั่วทั้งยุทธภพคิดจะเอาชีวิตเด็กคนหนึ่งให้ได้จริงๆ หรือ เจ้าเป็นศิษย์ของผู้ใด ถังหวง? ถังเสวียน? หรือว่าถังเหลียนเยวี่ย?”

    ถังเหลียนนิ่งอึ้งไป มันไม่เคยรู้จักสมณเจ้าฝ่าเยี่ย ทว่าคนผู้นี้พอเอ่ยปากก็เอ่ยชื่อผู้อาวุโสที่สอนวรยุทธ์เฉพาะทางและไม่ยุ่งเกี่ยวทางโลกออกมาถึงสามท่านราวกับรู้จักสำนักถังเป็นอย่างดี มันจึงแสดงคารวะ “ข้าน้อยถังเหลียน สิบหกปีก่อนร่ำเรียนวิทยายุทธ์ภายนอกกับอาจารย์ถังเหลียนเยวี่ย หลังจากนั้นไปเมืองเสวี่ยเยวี่ยตามคำสั่ง บัดนี้เป็นศิษย์ไป่หลี่ตงจวินแห่งเมืองเสวี่ยเยวี่ย”

    “เจ้าคือศิษย์ของไป่หลี่ตงจวิน? ประเสริฐ เช่นนั้นข้าจะไม่ฆ่าเจ้า แล้วบรรพชิตรูปนี้เป็นใคร ดูไปแล้วคุ้นหน้าเหมือนเคยพบกัน เป็นศิษย์ของต้าเจวี๋ยอย่างนั้นรึ” หวังเหรินซุนหันมาถามอู๋ฉาน

    อู๋ฉานพนมมือคารวะ “อาตมาคือศิษย์ของพระอาจารย์วั่งโยว นามว่าอู๋ฉาน ขณะนี้ฝึกอิทธิฤทธิ์วชิระสยบมารอยู่ที่วัดจิ่วหลง”

    “วั่งโยว? ล้วนเป็นศิษย์ของสหายเก่าทั้งสิ้น ถ้าอย่างนั้นอู๋ซินก็เป็นศิษย์น้องของเจ้า?” หวังเหรินซุนเอ่ยถาม

    “ใช่แล้ว” อู๋ฉานตอบอย่างตรงไปตรงมา

    “เช่นนั้นข้าขอถาม เจ้าจะไปช่วยหรือว่าจะไปฆ่า” หวังเหรินซุนถามเสียงแผ่ว

    “ไม่ทราบ” อู๋ฉานส่ายหน้า

    “ไม่ทราบ?” หวังเหรินซุนมุ่นคิ้วเล็กน้อย

    “สมณเจ้าโปรดตอบคำถามอาตมาสักข้อ” อู๋ฉานก้มหน้า

    “คำตอบอยู่บนดาบนี้แล้ว มาแสวงหาเองเถิด” นัยน์ตาหวังเหรินซุนหดวูบ มันกระชับดาบในมือ

    “ไม่ทราบว่าก่อนสมณเจ้าออกบวช มีชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร” ถังเหลียนพลันนึกถึงคนผู้หนึ่งจึงเอ่ยถาม

    “…หวังเหรินซุน”

    “…ดาบทลายเวหา!” เมื่อได้ยินชื่อนี้ถังเหลียนก็ตกตะลึง ดาบทลายเวหาที่ปราณดาบยังคงคุกรุ่นแม้ผ่านไปสามวัน อันกระบวนท่าหนึ่งดาบตัดสะบั้นท้องนภาของมันถูกขนานนามว่าดาบอหังการยามเมื่อฟาดฟัน เมื่อสิบสองปีก่อนยังเคยถูกจัดว่าเป็นหนึ่งในสามของดาบใต้หล้า เทียบเท่าดาบคุนอู๋ของเยี่ยมู่ไป๋ผู้อาวุโสแห่งเมืองเสวี่ยเยวี่ย!

    หวังเหรินซุนวาดดาบอย่างรุนแรงพร้อมประกาศกร้าว “มาหาคำตอบของเจ้าเถิด!”

     

    ขณะเดียวกันที่วัดเก่าผุพังบนเนินเขา ภายในวิหารอู๋ซินได้หยิบเอาห่อผ้าในจีวรของตนออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม มันเดินไปข้างหน้าอย่างแช่มช้าพลางเปิดห่อผ้าออก แล้วก้าวขึ้นไปวางลงบนแท่นบูชา

    “นั่นคือสิ่งใด” เหลยอู๋เจี๋ยถาม

    เซียวเซ่อมุ่นคิ้วมองดูเนิ่นนานก่อนกล่าว “หรือจะเป็นอัฐิธาตุตามที่เล่าลือกัน”

    “อัฐิธาตุ?”

    “มีเกาเซิงบางส่วนที่หลังเข้าฌานละสังขาร ร่างได้ถูกนำไปเผา แต่ยังคงหลงเหลือวัตถุคล้ายอัญมณีที่ไม่สลายเป็นเถ้าธุลี สิ่งนั้นถูกเรียกว่าอัฐิธาตุ ในพุทธคัมภีร์จารึกไว้ว่าอัฐิธาตุตกผลึกจากการบำเพ็ญบุญกุศล เช่น ‘ปารมิตาหก’ และ ‘ไตรสิกขา’ เป็นผลมาจากบุญบารมีจากการบำเพ็ญไตรสิกขา แสดงให้เห็นถึงการรวมเป็นหนึ่งของจิตและพระธรรม อัฐิธาตุแต่ละเม็ดล้วนล้ำค่า เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิพุทธ” เซียวเซ่ออธิบาย

    หลังจากอู๋ซินนำอัฐิธาตุวางลงบนแท่นบูชาก็เดินลงมาช้าๆ “ทุกคนต่างพูดว่าเมื่อบรรพชิตเฒ่ามรณภาพ ร่างกายก็พลันสลายเป็นเถ้าธุลี แต่ที่จริงยังมีอัฐิธาตุอยู่ในกองเถ้าธุลีนั้น ข้าจึงคิดว่าจะต้องนำอัฐิธาตุกลับมายังแคว้นอวี๋เถียนให้จงได้ บรรพชิตเฒ่าไม่อาจกลับมาที่นี่ตอนยังมีชีวิตอยู่ เมื่อตายไปแล้วก็ควรได้กลับมา”

    อู๋ซินกล่าวจบก็นั่งลงแล้วหลับตา มือฟั่นลูกประคำ เริ่มสวดมนต์ตามภิกษุสามร้อยรูปที่อยู่ตีนเขา

    ทันใดนั้นอัฐิธาตุก็เปล่งแสงสีทองออกมาตามเสียงสวดมนต์ บนแท่นบูชาเกิดเป็นภาพมายาคล้ายเงาร่างของคนผู้หนึ่ง…

    “เซียวเซ่อ นี่…” เหลยอู๋เจี๋ยตกตะลึง อดเอ่ยปากถามมิได้

    เซียวเซ่อยกมือเป็นเชิงบอกให้หยุดพลางส่ายศีรษะกล่าว “อย่าพูด”

    เงาร่างบนแท่นบูชานั้นค่อยๆ ปรากฏชัดขึ้นตามเสียงสวดมนต์ มันเป็นภิกษุเฒ่าสวมจีวรสีเทา คิ้วและผมขาวโพลน ดวงหน้าโอบอ้อมอารี ภิกษุเฒ่าผู้นั้นเดินลงมาจากแท่นบูชาและทอดสายตามองอู๋ซินที่นั่งอยู่บนพื้น ก่อนค้อมกายลงมาลูบหัวอย่างเบามือ “เด็กน้อย…”

    “อาจารย์!” อู๋ซินที่เรียกภิกษุวั่งโยวว่า ‘บรรพชิตเฒ่า’ มาโดยตลอด ในที่สุดก็เรียกอีกฝ่ายว่า ‘อาจารย์’ เสียที มันคุกเข่าลงกราบกับพื้น น้ำตาไหลนองหน้า

    “เด็กดี อย่าร้องไห้” วั่งโยวอมยิ้มน้อยๆ “มาที่นี่ด้วยเหตุใด เจ้าควรกลับบ้านได้แล้ว”

    “บ้านของอู๋ซินอยู่ที่วัดหานซาน” อู๋ซินพูดเสียงสะอื้น

    “เด็กโง่ วัดหานซานเป็นแค่ที่ค้างแรมชั่วคราวของเจ้า บัดนี้เจ้าเติบใหญ่ ควรกลับบ้านตัวเองได้แล้ว บ้านของเจ้าเป็นที่ที่อิสรเสรี เป็นดินแดนนอกเขต เหนือขอบฟ้าแสนไกล” วั่งโยวส่ายศีรษะ

    “ศิษย์แค่อยากกลับวัดหานซาน” อู๋ซินยามนี้พูดประโยคเดิมซ้ำไปซ้ำมาราวกับเด็กน้อยที่ดื้อรั้น

    “ช่างเป็นเด็กที่โง่เขลาเสียจริง มีแต่คนเหล่านั้นที่คิดว่าเจ้าจะกลายเป็นเชื้อไฟที่จะทำลายใต้หล้า” วั่งโยวทอดถอนใจ ก่อนยืดกายตรงแล้วหันหลังกลับ

    “อาจารย์! โปรดชี้แนะหนทางให้ด้วย” ในที่สุดอู๋ซินก็เงยหน้า มองเงาร่างของวั่งโยว

    “อันที่จริงข้าคิดมาตลอดว่าพวกเราหาใช่ศิษย์อาจารย์ไม่ เพียงเดินร่วมทางกันมาชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น บัดนี้ทางของข้าถึงคราวสิ้นสุดแล้ว หนทางข้างหน้าเจ้าต้องเดินต่อไปด้วยตนเอง จงจำไว้เพียงประโยคเดียว…อย่าหันหลังกลับ” วั่งโยวไม่ได้หันมามองอู๋ซินอีก มันเดินไปข้างหน้าทีละก้าว เงาร่างเลือนหายไปทีละนิด

    “อู๋ซินจะเชื่อฟังคำของอาจารย์!” อู๋ซินโขกศีรษะกับพื้นอย่างแรง

    “นี่คือผี…หรือ” เหลยอู๋เจี๋ยร่างกายสั่นเทา

    “เคยได้ยินว่าในอภิญญาทั้งหกของลัทธิพุทธ มีญาณหนึ่งประการเรียกว่า ‘โล่วจิ้นทง’ แม้ว่าจะตายไปแล้วแต่ดวงวิญญาณกลับยังดำรงอยู่ไม่ดับสูญ จนกว่าความยึดติดสุดท้ายในโลกมนุษย์จะมลายสิ้นไป” เป็นครั้งแรกที่เซียวเซ่อเห็นคนตายไปแล้วแต่ดวงวิญญาณไม่ดับสูญ มันพลันตระหนักว่าความลึกซึ้งของพระธรรมมิอาจกล่าวส่งเดช

    ยามนี้อู๋ซินลุกขึ้นมาแล้ว มันเช็ดน้ำตาบนใบหน้า สะบัดจีวรยาว กลับมาเป็นภิกษุที่สง่างามอีกครั้ง ราวกับลืมไปหมดแล้วว่าเมื่อครู่ตนเองร้องไห้ฟูมฟายอยู่กับพื้นราวกับเด็กน้อยไม่รู้ความ อู๋ซินกระแอมกระไอเล็กน้อยแล้วเอ่ยเสียงเข้ม “ไปกันเถิด”

    “อย่าแสร้งทำเป็นขาวบริสุทธิ์ผุดผ่องราวหิมะหน่อยเลย เมื่อครู่นี้พวกเราเห็นหมดแล้ว” เซียวเซ่อถากถางมัน

    “เฮ้อ เดิมคิดจะทำตัวเป็นบรรพชิตผู้สูงส่งที่ดูแคลนชาวโลกอย่างโอหังอวดดี นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายข้าจะตัดใจไม่ได้กระทั่งบรรพชิตเฒ่ารูปหนึ่ง เสียแผนยิ่งนัก เสียแผนยิ่งนัก” อู๋ซินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แต่บรรพชิตเฒ่าบอกแล้วมิใช่หรือ หนทางข้างหน้าต้องเดินเอง แม้มันตายไปแล้ว หนทางแรกของข้าก็ยังเป็นหน้าผาหมื่นจั้ง”

    “วั่งโยวต้าซือเข้าใจพระธรรมลึกซึ้ง แต่ว่ามีประโยคหนึ่งกล่าวไม่ถูกต้อง หนทางข้างหน้าเจ้ามิได้เดินเพียงลำพัง” เซียวเซ่อกล่าวเสียงแผ่ว

    “โอ้?” อู๋ซินยิ้มราวกับครุ่นคิดอันใดอยู่

    “ยังมีพวกเราเดินไปด้วย” เหลยอู๋เจี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้มแล้วสาวเท้าเดินออกประตูไป

    เซียวเซ่อรวบมืออยู่ในแขนเสื้อ เดินตามไปอย่างเนิบนาบ อู๋ซินระบายยิ้มก่อนส่ายหน้าแล้วเดินตามไป

    ทั้งสามคนเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันออกจากวิหาร คนหนึ่งอาภรณ์แดงฉานยิ่งกว่าโลหิต นัยน์ตางามพิสุทธิ์ คนหนึ่งอาภรณ์ขาวปานหิมะ มุมปากอมยิ้ม อีกคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมขนสัตว์อันเลอค่า เดินสองก้าวก็หาวหวอด ทว่ามีอยู่อย่างหนึ่งที่เหมือนกัน ในแววตาของคนทั้งสามลุกโหมด้วยแสงสว่างแห่งดรุณ

    เมื่อเดินออกมานอกประตูวิหาร เซียวเซ่อก็เอ่ยเสียงเนิบ “เป็นพวกมันหรือ”

    “เป็นพวกมัน” อู๋ซินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

    เบื้องหน้าพวกมันคือภิกษุเจ็ดรูปที่กำลังนั่งอยู่ในลานกว้างหน้าวัดตัวตรงแหน็ว บ้างใบหน้าอารีแย้มยิ้มไม่เอ่ยคำ บ้างถลึงตาขมึงทึง บ้างก้มศีรษะหลับตาราวกับงีบหลับ

    เป็นค่ายกลอรหันต์เผยพักตร์!

     

    * เหวิน คือหน่วยเงินสำริด ซึ่งมีค่าเล็กที่สุดในหน่วยเงินตราสมัยก่อนของจีน โดยทั่วไป 1000 เหวินเท่ากับ 1 ตำลึง

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook