• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน หมื่นยุทธ์พิชิตหล้า ใต้ฟ้าไร้พันธนาการ 1 ครั้งที่ 5

    บทที่ 21

    ค่ายกลอรหันต์เผยพักตร์

     

    “ข้าจะทะลวงออกไปเอง!” เหลยอู๋เจี๋ยก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว

    “ศิษย์เมืองเสวี่ยเยวี่ยเช่นเจ้าจะต่อสู้กับปรมาจารย์ลัทธิพุทธต่อหน้าสาธารณชนหรือ” เซียวเซ่อเหลือบมองมัน

    “ไม่เป็นไร จริงๆ แล้วข้ายังไม่ได้เข้าเมืองเสวี่ยเยวี่ยเสียหน่อย อีกอย่างศิษย์พี่ใหญ่ก็ไม่อยู่ที่นี่ หรือหากศิษย์พี่ใหญ่มา ข้าค่อยหนีก็ได้มิใช่หรือ” เหลยอู๋เจี๋ยแย้มยิ้ม

    “นี่คือค่ายกลอรหันต์เผยพักตร์ ทะลวงยากเชียวล่ะ” อู๋ซินมองต้าเจวี๋ยต้าซือที่นั่งคุกเข่าพนมมืออยู่ตรงกลางในท่าปางครุ่นคิดพลางเอ่ยเสียงแผ่วเบา

    “ทะลวงง่ายหรือไม่ ลองดูถึงรู้” เหลยอู๋เจี๋ยก้าวออกไปหนึ่งก้าว เพียงก้าวเดียวก็เข้าสู่ค่ายกล มันรู้สึกทันทีว่ามีหมัดโจมตีเข้ามาทางขวา เป็นหมัดของภิกษุปางพิโรธ

    “นิสัยไม่ดีจริงๆ” เหลยอู๋เจี๋ยก็ปล่อยหมัดสวนออกไปเช่นกัน เป็นวรยุทธ์ของลัทธิพุทธ หมัดอรหันต์…วิชาที่เด็กเจ็ดขวบในวัดเส้าหลินยังออกกระบวนท่าได้ชนิดเหมือนต้นฉบับ สองหมัดปะทะกัน เหลยอู๋เจี๋ยรู้สึกว่าหน้าอกมีเลือดลมพลุ่งพล่าน ภิกษุรูปนั้นเองก็ไม่สบายนัก พลังหมัดของมันเกรี้ยวกราดดุดัน ทว่าหมัดของเหลยอู๋เจี๋ยก็รุนแรงไม่น้อยเช่นกัน ครั้นเห็นว่าหนึ่งหมัดไม่เป็นผล ภิกษุผู้นั้นก็ตวาดกร้าว “โยมเป็นใคร!”

    “เซียวอู๋เซ่อ รองเถ้าแก่คฤหาสน์เขาเสวี่ยลั่ว!” เหลยอู๋เจี๋ยกล่าวเสียงดังลั่น

    “ใครให้เจ้าเป็นกัน!” เซียวเซ่อร้องด้วยความเกรี้ยวกราด เหลยอู๋เจี๋ยคลุกคลีกับตนแค่ไม่กี่วันก็ลื่นเหมือนปลาไหล อ้าปากก็แต่งเรื่องโกหกได้โดยที่หน้าไม่แดง หายใจไม่ติดขัด

    ภิกษุผู้นั้นมุ่นคิ้วครุ่นคิดครู่หนึ่งว่าคฤหาสน์เขาเสวี่ยลั่วเป็นสำนักใดพรรคใด ทว่าสุดท้ายก็คิดไม่ออก “ไม่ทราบว่าโยมมาขวางด้วยเหตุอันใด”

    “ที่นี่มีแต่คนอยากกลับบ้าน คนที่ขวางทางคือต้าซือต่างหาก” เหลยอู๋เจี๋ยส่ายศีรษะ

    ภิกษุรูปนั้นนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย มันนึกไม่ถึงว่าเหลยอู๋เจี๋ยจะเอ่ยถ้อยคำลึกซึ้งเช่นนี้ออกมา แม้ว่ามันจะอยู่ในปางพิโรธของค่ายกลอรหันต์เผยพักตร์ แต่ที่จริงแล้วเป็นคนจิตใจอ่อนโยน ในหมู่ยอดบรรพชิตทั้งหลายเรื่องแตกฉานในพระธรรมมันเป็นรองเพียงต้าเจวี๋ยต้าซือ ยามนี้มันจึงจมดิ่งสู่ห้วงความคิด

    ภิกษุผู้ถือคทาปราบมารทอดถอนใจแล้วเอ่ยว่า “ศิษย์พี่ต้าไหว ยามนี้หาใช่เวลาเข้าฌานไม่”

    ต้าไหวต้าซือเรียกสติคืนมา ก่อนกล่าวชื่นชม “ช่างคมคายยิ่งนัก!”

    “คมคายอันใด ข้าไม่เห็นเข้าใจ” เหลยอู๋เจี๋ยส่ายหน้า “มาสู้กันเถิด” พูดจบมันก็ปล่อยหมัดออกไป ศึกนี้มันระวังตัว ไม่อยากเปิดเผยสำนัก จึงใช้อิทธิฤทธิ์วชิระไร้เทียมทานอรหันต์สยบมารที่อู๋ซินถ่ายทอดให้

    “อย่าได้ดูถูกอาตมา!” ต้าไหวต้าซือก็ก้าวไปข้างหน้าและปล่อยฝ่ามือออกไปเช่นกัน มันเห็นว่าวิชาหมัดของเหลยอู๋เจี๋ยคือหมัดอรหันต์อันเป็นวรยุทธ์พื้นฐานที่สุด จึงกรุ่นโกรธในใจ คิดว่าอีกฝ่ายดูแคลนตนเองและจงใจยั่วยุ แต่เมื่อผ่านไปหลายกระบวนท่าจึงค้นพบว่าหมัดอรหันต์ของอีกฝ่ายซ่อนเร้นเงื่อนงำไว้ แม้ว่าวิชาหมัดนี้จะเริ่มและจบลงอย่างหมัดอรหันต์ทั่วไป แต่พลังมันกลับเป็นดุจสายน้ำล้ำลึก ยากจะมองให้ทะลุ คล้ายกระบวนท่าที่แสนธรรมดานั้นซุกซ่อนจิตสังหารเอาไว้มากมาย มันตกตะลึงและไม่ออมมืออีกต่อไป พลังฝ่ามือพลันเพิ่มอานุภาพขึ้นอีกเก้าขั้น

    เป็นครั้งแรกที่เหลยอู๋เจี๋ยใช้วิชาหมัดชุดนี้ แม้ไม่คล่องมือเหมือนหมัดไร้ทิศ แต่ก็รู้สึกว่าหลังจากเหวี่ยงแต่ละหมัดออกไปในใจจะรู้สึกสบายขึ้นหนึ่งส่วน เริ่มแรกอาจยังติดขัดอยู่บ้าง แต่สุดท้ายยิ่งออกหมัดก็ยิ่งลื่นไหล ร่างกายราวกับเดินเล่นอยู่ในสวน หมัดของมันโหมกระหน่ำราวกับขุนเขาล้มครืน มหานทีซัดสาด

    “บรรพชิต เจ้าคิดว่าเจ้าเด็กโง่ผู้นี้ทะลวงอรหันต์ได้กี่องค์” เซียวเซ่อหันมาถาม

    อู๋ซินส่ายหน้า “น่าจะทะลวงไม่ได้สักองค์”

    “ไม่เชื่อใจถึงเพียงนี้เลย?” เซียวเซ่อรวบมือในแขนเสื้อแล้วเอ่ยเสียงเนิบ “มันเป็นถึงรองเถ้าแก่แห่งคฤหาสน์เขาเสวี่ยลั่วของข้าเชียวนะ สู้ไม่ได้สักคน จะไม่ขายหน้าเกินไปหรือ”

    “ค่ายกลอรหันต์เผยพักตร์ มิอาจกล่าวให้ชัดแจ้งได้ว่าเป็นหนึ่งคนหรือเจ็ดคน เพราะเมื่อตั้งค่ายกลขึ้น เจ็ดคนก็เหมือนหนึ่งคน หนึ่งคนก็เหมือนเจ็ดคน เหลย…เซียวอู๋เซ่อยามนี้ยังไม่เสียเปรียบ เพราะว่าค่ายกลอรหันต์เผยพักตร์นี้แค่ตั้งค่ายเท่านั้น ยังมิได้ตั้งจิต” อู๋ซินกล่าว

    “เห็นทีคู่ต่อสู้คงไม่เห็นเซียวอู๋เซ่อผู้นี้อยู่ในสายตา” เซียวเซ่อถอนหายใจอย่างจริงจัง

    ฝ่ายต้าไหวต้าซือนั้นฝึกวิชาฝ่ามือยูไลมาหลายสิบปี แต่ยามนี้มันต่อสู้กับเด็กหนุ่มคนหนึ่งหลายสิบกระบวนท่ากลับไม่ได้เปรียบ จึงอดรู้สึกกระวนกระวายมิได้ ขณะที่เด็กหนุ่มตรงหน้ายิ่งสู้ก็เหมือนยิ่งสบายอารมณ์ มุมปากยังเผยรอยยิ้มอยู่หลายส่วน มันคิดในใจว่าหรือเด็กหนุ่มผู้นี้ยังเก็บไม้ตายเอาไว้? พอคิดดังนั้นทั้งร่างก็ปั่นป่วนจนเกือบถูกโจมตีหลายครา

    ยามนี้ต้าเจวี๋ยต้าซือที่หลับตามาโดยตลอดได้ลืมตาขึ้น มันเอ่ยเสียงเข้ม “ต้าไหว เข้าค่ายกล”

    ต้าไหวต้าซือทอดถอนใจแผ่วเบาแล้วกระโดดถอยหลังไปรวมกับภิกษุที่เหลือ พวกมันตั้งขบวนเป็นรูปครึ่งวงกลมโดยมีต้าเจวี๋ยต้าซือเป็นศูนย์กลาง ล้อมเหลยอู๋เจี๋ยเอาไว้

    “ค่ายกลเริ่มแล้ว” อู๋ซินสะบัดแขนเสื้อแล้วก้าวไปข้างหน้าหมายจะออกไปต่อสู้เอง

    ทว่าเซียวเซ่อกลับยกมือห้ามไว้ “นี่เป็นโอกาสอันดีของมัน ลองดูต่ออีกหน่อยเถิด”

    เหลยอู๋เจี๋ยรู้สึกว่าหลังจากต้าไหวต้าซือถอยกลับไป บรรยากาศของค่ายกลก็ผันเปลี่ยน ต้าไหวต้าซือเตรียมปล่อยพลังฝ่ามือยูไลออกไปอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้เห็นชัดว่าพลังมหาศาลยิ่งกว่าเดิม อีกทั้งยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ราวไร้ที่สิ้นสุด เหลยอู๋เจี๋ยไม่กล้าชะล่าใจอีก สายตาพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงในทันที

    “วิชาอัคคีแผดเผา?” ต้าเจวี๋ยต้าซือมองวรยุทธ์นี้ออกในปราดเดียว

    เดิมเหลยอู๋เจี๋ยรู้สึกถึงอันตรายเบื้องหน้าจึงรีบโคจรพลังอัคคีแผดเผาเพื่อต้านรับ มันคิดในใจว่าวรยุทธ์นี้ไม่โด่งดังเท่าหมัดไร้ทิศ น่าจะไม่เผยฐานะที่แท้จริงของตนเอง แต่คิดไม่ถึงว่าภิกษุเฒ่าผู้นี้จะเปิดโปงมันได้ในพริบตา “อาจารย์บอกว่าในใต้หล้าน้อยคนนักจะรู้จักวรยุทธ์นี้ แล้วเหตุใดข้าจึงเห็นมีแต่คนรู้จัก”

    “เหลยฮงแห่งสำนักเหลย นับว่าเป็นสหายเก่าของอาตมา โยมเป็นศิษย์ของมันหรือ” ต้าเจวี๋ยต้าซือถาม

    “สำนักเหลยอันใด บอกแล้วว่าข้าคือรองเถ้าแก่แห่งคฤหาสน์เขาเสวี่ยลั่ว เดินไม่เปลี่ยนชื่อ นั่งไม่เปลี่ยนแซ่ เซียวอู๋เจี๋ย!” เหลยอู๋เจี๋ยกล่าวเสียงดัง

    “แต่เมื่อครู่โยมเพิ่งบอกว่าตนเองชื่อเซียวอู๋เซ่อ ไยผ่านไปไม่นานก็เปลี่ยนชื่อเสียแล้ว” ต้าเจวี๋ยต้าซือเอ่ยด้วยเสียงสงบนิ่ง

    เหลยอู๋เจี๋ยใบหน้าแดงเรื่อขึ้นมาทันที “แค่พูดผิดเท่านั้น!”

    “เช่นนั้นโยมชื่ออันใดกันแน่” ต้าเจวี๋ยต้าซือถามต่ออย่างใจเย็น

    “ฟังให้ดี ข้าคือเซียวอู๋ซิน รองเถ้าแก่คฤหาสน์เขาเสวี่ยลั่ว!” เหลยอู๋เจี๋ยตวาดกร้าวอย่างน่าเกรงขาม

    ฝั่งเซียวเซ่อรู้สึกเหมือนเกียรติของคฤหาสน์เขาเสวี่ยลั่วถูกทำลายจนสิ้น มันตบบ่าอู๋ซินอย่างจนปัญญา “เจ้าไปลากมันกลับมาดีกว่า”

    อู๋ซินส่ายศีรษะ “ให้มันถูกซัดจนตายไปเถิด”

    “ฟังดูเข้าท่า” เซียวเซ่อคิดในใจว่าในที่สุดบรรพชิตผู้นี้ก็พูดความในใจออกมา

    คำพูดของเหลยอู๋เจี๋ยกระทั่งต้าเจวี๋ยต้าซือก็ยังชะงักงัน ก่อนคลี่ยิ้มบางๆ “โยมจะลองคิดดูอีกทีหรือไม่”

    เหลยอู๋เจี๋ยคร้านจะต่อล้อต่อเถียงในที่สุด มันง้างหมัดพุ่งเข้าใส่ต้าเจวี๋ยต้าซือพร้อมตะโกนเสียงดัง “เหลยอู๋เจี๋ยสำนักเหลย มากราบคารวะค่ายกลอรหันต์เผยพักตร์แห่งวัดจิ่วหลง! โปรดชี้แนะ!”

    “อาตมารับจะหมัดของโยมเอง” ภิกษุอีกรูปหนึ่งก้าวออกไปเบื้องหน้าต้าเจวี๋ยต้าซือพร้อมยื่นฝ่ามือไป ฝ่ามือข้างนั้นเคลื่อนคล้อยอย่างอ่อนโยนจนดูเหมือนเพียงสัมผัสหมัดของเหลยอู๋เจี๋ยที่ต่อยใส่อย่างแผ่วเบา ทว่าเหลยอู๋เจี๋ยกลับตกตะลึง มันรู้สึกว่าความอ่อนโยนนั้นลึกล้ำสุดจะหยั่ง พลังหมัดของมันถูกดูดซับไปจนไม่เหลือ

    ภิกษุรูปนี้หาได้มีสีหน้าถมึงทึงเหมือนต้าไหวต้าซือ หากแต่แย้มยิ้มละไม ท่าทางปีติยินดียิ่ง

    เหลยอู๋เจี๋ยอยากซัดใบหน้ายิ้มแย้มตาหยีนั้นอย่างยิ่งยวด ทว่ามันทำไม่ได้ มันค้นพบว่าหมัดของตนเองถูกดูดตรึงอยู่บนฝ่ามือของภิกษุหน้ายิ้ม ดึงอย่างไรก็ดึงกลับมาไม่ได้

    “ช่างชั่วร้ายยิ่งนัก!” เหลยอู๋เจี๋ยกระโดดขึ้นถีบขาคู่ไปที่หน้าอกของภิกษุรูปนั้น ภิกษุรูปนั้นกระโดดตัวลอยตามและรับลูกถีบเอาไว้โดยตรง ทว่าใบหน้ามันกลับไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงแย้มยิ้มอยู่อย่างนั้น “พลังขาของโยมไม่รุนแรงเท่าพลังหมัด”

    เหลยอู๋เจี๋ยอดยิ้มอย่างขมขื่นมิได้ ภิกษุรูปนี้ดูผิวเผินเหมือนอ่อนยวบไร้เรี่ยวแรง ทว่ากลับดูดซับแรงของมันไปทั้งหมด ยามนี้แม้กระทั่งขาทั้งสองข้างก็ดึงกลับมาไม่ได้

    “ไม่ทราบว่าโยมอู๋ซินหรืออู๋เจี๋ยยังมีกระบวนท่าอื่นอีกหรือไม่” ภิกษุรูปนั้นเอ่ยถามพลางยิ้มแย้ม

    “ชื่ออู๋ซินหรืออู๋เจี๋ยนั้นไม่สำคัญ” เหลยอู๋เจี๋ยคลี่ยิ้มเลียนแบบมัน

    “หือ?” ภิกษุผู้นั้นเลิกคิ้ว

    “เจ้าลืมเรื่องที่สำคัญที่สุดไปเสียแล้ว ที่สำคัญคือข้าแซ่เหลย!” เหลยอู๋เจี๋ยตวาดลั่น จากนั้นพลันเกิดเสียงระเบิดหลายเสียงดังสนั่นจากบนร่างกายของภิกษุผู้นั้น ภิกษุหน้ายิ้มตวาดลั่น “คืนกลับ!”

    เหลยอู๋เจี๋ยรู้สึกว่าพลังที่ใช้โจมตีไปเมื่อครู่ไหลทะลักกลับมา มันรีบดีดตัวถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว

    ภิกษุหน้ายิ้มหลังปล่อยเหลยอู๋เจี๋ยก็ถอยกรูดไปหลายก้าวจึงค่อยตั้งหลักได้ จีวรบนร่างมันถูกระเบิดจนขาดเป็นรูใหญ่ ทว่ารอยยิ้มบนหน้านั้นไม่ลดลงแม้แต่น้อย “โยมช่างวรยุทธ์เลิศล้ำ”

    “บรรพชิต เจ้าก็มิใช่ชั่ว” เหลยอู๋เจี๋ยหอบหายใจอย่างหนัก

    “อาตมานับว่าธรรมดา” ภิกษุหน้ายิ้มพนมมือ

    “ยิ้มอยู่ตลอดไม่เหนื่อยรึ” เหลยอู๋เจี๋ยดูเหมือนจะตอบโต้อย่างสงบนิ่ง แต่เหงื่อเย็นกลับผุดพรายท่วมแผ่นหลัง ขณะนี้ค่ายกลอรหันต์เผยพักตร์เป็นรูปเป็นร่างแล้ว แม้ว่าภิกษุอีกหกรูปจะไม่ได้ลงมือ แต่แรงกดดันกลับแผ่ไปทั่วจนเหลยอู๋เจี๋ยรู้สึกว่ากระทั่งเอ่ยคำก็ยากเย็นแสนเข็ญ

    “โยมเหนื่อยแล้วหรือ” ต้าผู่ต้าซือเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

    “ข้า…” เหลยอู๋เจี๋ยเอ่ยได้เพียงเท่านั้น มันรู้สึกว่าเปล่งคำพูดต่อไปไม่ไหวอีก

    “โยมเหนื่อยแล้ว” ต้าผู่ต้าซือยิ้มพลางยกมือขึ้นข้างหนึ่ง “โยมเหนื่อยแล้วก็นั่งลงเถิด” ต้าผู่ต้าซือลดมือลงอย่างแผ่วเบา เหลยอู๋เจี๋ยรู้สึกเหมือนมีพลังหนักราวพันจวินโถมใส่ร่างมันจากเบื้องบนจนเข่าแทบจะทรุดลงพื้นเสียให้ได้ มันโคจรพลังปราณต้านรับเอาไว้ พยายามยืดร่างให้ตรงไม่โอนอ่อน ทว่าขาทั้งสองข้างกลับจมลงไปในดินแทน จนแทบจะหายไปครึ่งท่อน

    “พละกำลังของโยมยอดเยี่ยมยิ่งนัก เช่นนั้นจมดินสามฉื่อคงไม่เป็นไรกระมัง” ต้าผู่ต้าซือเพิ่มแรงกดลงอีก

    ทว่าเหลยอู๋เจี๋ยกลับไม่ได้จมลงไปอีก มันถอนขาทั้งสองข้างขึ้นมาด้วยใบหน้าแดงก่ำแล้วก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ก่อนกัดฟันกรอดเอ่ยว่า “จมดินสามฉื่อ! ถุย!” มันถ่มน้ำลายแล้วเหวี่ยงหมัดที่อดกลั้นมานานออกไปในที่สุด!

    หมัดนั้นหนักราวพันจวิน!

    รอยยิ้มหายวับไปจากใบหน้าของต้าผู่ต้าซือในทันใด

    ชั่วพริบตานั้นภิกษุอีกห้ารูปพลันปรากฏตัวเบื้องหน้าเหลยอู๋เจี๋ย บ้างใบหน้าถมึงทึงโกรธเกรี้ยว บ้างถือคทาปราบมาร บ้างอุ้มบาตรด้วยใบหน้าอารี บ้างถือย่าม บ้างลูบคิ้วยาวแผ่วเบา ต้าผู่ต้าซือเองก็มีรอยยิ้มคืนกลับมาอีกครั้ง นอกจากต้าเจวี๋ยต้าซือที่นั่งกรรมฐานครุ่นคิดอยู่ ภิกษุทั้งหกรูปล้วนโจมตีเข้าใส่เหลยอู๋เจี๋ย

    หมัดเดียวของเหลยอู๋เจี๋ยจะซัดอีกฝ่ายถอยไปได้สักกี่รูป…มันไม่ทราบ ซัดก่อนค่อยว่ากัน!

    “อู๋ซิน!” เซียวเซ่อหันไปยังข้างกายพร้อมตวาดลั่น

    ทว่าเงาร่างสีขาวพุ่งออกไปตั้งนานแล้ว

    “อู๋ซินจากวัดหานซาน มาทะลวงค่ายกล!”

    เหลยอู๋เจี๋ยพลันรู้สึกว่าภาพเบื้องหน้าพร่าเลือน รู้สึกตัวอีกทีมันก็กลับมายืนอยู่ข้างเซียวเซ่อแล้ว ส่วนคนที่ยืนอยู่ในค่ายกลกลับเป็นอู๋ซินที่จีวรสีขาวพลิ้วไหว

    ภิกษุเฒ่าทั้งเจ็ดรูปยังคงยืนและนั่งอย่างสงบนิ่ง คนที่ยิ้มก็ยังคงยิ้ม คนที่หน้าถมึงทึงก็ยังคงมีทีท่าไม่พอใจเช่นเดิม ราวกับภาพเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ล้วนเป็นภาพมายาก็มิปาน

    เหลยอู๋เจี๋ยปาดเหงื่อบนหน้าผาก ถามเซียวเซ่อที่อยู่ข้างกาย “เมื่อครู่ข้าเกือบตายแล้วหรือ”

    เซียวเซ่อพยักหน้า แต่ไม่ได้หันมามองมัน “ตายเสียยิ่งกว่าตาย”

     

     

    บทที่ 22

    ต้าเจวี๋ยต้าซือ

     

    “พระอาจารย์ต้าเจวี๋ย” อู๋ซินพนมมือให้ต้าเจวี๋ยต้าซือที่นั่งกรรมฐานอยู่ตรงกลาง

    “ศิษย์หลานอู๋ซิน ไม่พบกันนาน” ต้าเจวี๋ยต้าซือมิได้เงยหน้าและไม่ได้ลืมตา ยังคงอยู่ในท่านั่งกรรมฐานเช่นเคย

    “ทั้งที่บอกว่าไม่พบกันนาน แต่เหตุใดไม่ลืมตามองศิษย์หลานผู้นี้ของท่านหน่อยเล่า” อู๋ซินแย้มยิ้มพลางเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว

    ภิกษุทั้งหกรูปตั้งท่าป้องกันทันทีที่มันก้าวเดินเข้าไป

    “แม้วัดจิ่วหลงจะเป็นวัดอันดับหนึ่งของเขตชายแดน แต่หาได้เชี่ยวชาญวรยุทธ์ไม่ ดังนั้นจึงมีค่ายกลอรหันต์เผยพักตร์ที่สืบต่อกันมา ว่ากันว่าเมื่อค่ายกลนี้ตั้งขบวน ต่อให้เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในใต้หล้าก็ไม่อาจทะลวงได้” อู๋ซินแย้มยิ้ม เงาร่างมันขยับวูบไปยังข้างกายภิกษุหน้ายิ้ม “ต้าซือท่านนี้ ยิ้มเหนื่อยหรือไม่”

    “เหนื่อย แต่ไม่เหนื่อย” ต้าผู่ต้าซือยังคงรักษารอยยิ้มบนใบหน้า

    “ไม่ ท่านเหนื่อยแล้ว” อู๋ซินจ้องตาของต้าผู่พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

    “ศิษย์หลานไยกล่าวเช่นนี้” ต้าผู่ต้าซือไม่เปลี่ยนสีหน้า

    “ศึกเมื่อครู่นี้ท่านบาดเจ็บแล้ว ดังนั้นการทะลวงด่านแรกของค่ายกลนี้ ข้าเลือกท่าน” อู๋ซินเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ

    ต้าผู่ต้าซือได้ยินดังนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นถมึงทึง และปล่อยฝ่ามือใส่ทันที ทว่าอู๋ซินเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว มันเบี่ยงกายหลบพร้อมโบกแขนเสื้อซัดต้าผู่ต้าซือลอยกระเด็นขึ้นไป วรยุทธ์นี้อู๋ซินเคยใช้ตอนสู้กับจิ่นเซียนกงกงในวัดต้าฟั่นอิน แขนเสื้อที่ดูเหมือนอ่อนยวบ ทว่าเมื่ออยู่ในมือมันกลับกลายเป็นอาวุธอันแกร่งกล้า

    “นี่มันวรยุทธ์อันใด” เหลยอู๋เจี๋ยเอ่ยถาม

    “น่าจะเป็นประเภทเดียวกับกระบี่แขนเสื้อของเขาจิ่วหวา แต่รุนแรงกว่ากระบี่แขนเสื้อหลายขุม” เซียวเซ่อมุ่นคิ้วน้อยๆ “อู๋ซินทะลวงด่านนี้ก่อนย่อมได้เปรียบ แต่ว่า…”

    นอกจากต้าเจวี๋ยต้าซือที่นั่งกรรมฐานกับต้าผู่ต้าซือที่บาดเจ็บ ภิกษุอีกห้ารูปต่างโจมตีใส่อู๋ซินพร้อมกัน

    “คทาวชิระสยบมาร ฝ่ามือยูไล ดรรชนีคีบบุปผา วชิระบาตร ย่ามฟ้าดิน! มาได้ประเสริฐ!” อู๋ซินเอ่ยชื่อวิชายุทธ์ของภิกษุทั้งห้ารูปอย่างไม่สะทกสะท้านและไม่ร้อนรนสักน้อยนิด มันเพียงกระโดดเบาๆ แล้วหมุนกาย แขนเสื้อยาวสะบัดไหวกลางอากาศ ภิกษุทั้งห้ารูปรู้สึกว่าเพียงแวบเดียวอู๋ซินก็พุ่งมาถึงเบื้องหน้าเสียแล้ว

    ภิกษุห้ารูป จึงมีอู๋ซินห้าคน!

    เป็นวรยุทธ์ที่อู๋ซินเคยใช้ในวัดต้าฟั่นอิน ระบำเทวมารแปดทิศ

    “มารร้ายอวดดี คิดจะล่อลวงข้าให้เสียสติรึ!” ต้าไหวต้าซือที่ใบหน้าถมึงทึงตวาดกร้าว

    ทว่าเงาร่างอู๋ซินที่ดูเลือนรางเบื้องหน้าไม่ได้ตอบคำ มันเพียงสะบัดแขนเสื้อยาวด้วยท่วงท่ายั่วยวนยิ่งยวดประหนึ่งกำลังร่ายรำ แต่กลับหลบหลีกการโจมตีตรงหน้าได้ทุกครั้ง

    ต้าไหวต้าซือบังเกิดจิตสังหาร มันซัดฝ่ามือออกไป เป็นฝ่ามือยูไลที่มีอานุภาพเต็มเปี่ยม

    แต่แล้วอู๋ซินก็ออกท่าเหมือนกันทุกประการ เป็นฝ่ามือยูไลเช่นกัน!

    ขณะเดียวกันดรรชนีคีบบุปผาของต้าเวยต้าซือก็กำลังประมือกับดรรชนีคีบบุปผาเช่นเดียวกัน มันตะลึงลาน “อู๋ซิน เจ้าใช้ดรรชนีคีบบุปผาเป็นได้อย่างไร!”

    ต้าโม่ต้าซือใช้วชิระบาตรในมือหวดออกไปด้วยแรงกำลังหนักปานพันจวิน แต่ก็เห็นว่าอู๋ซินควักเอาวชิระบาตรออกมารับการโจมตีของมัน

    ต้าวั่งต้าซือกำลังควงคทาวชิระสยบมารในมือ ก็พลันเห็นอู๋ซินถือคทาวชิระสยบมารพุ่งตรงเข้ามาโจมตีตนเอง

    ต้ากวนต้าซือเหวี่ยงย่ามฟ้าดินในมือหมายจะจับอู๋ซินไว้ แต่แล้วก็พบเห็นว่าอู๋ซินพลันปรากฏกายอยู่ข้างหลังมัน ในมือถือย่ามเอาไว้…

    ขณะที่เหลยอู๋เจี๋ยกับเซียวเซ่อที่ชมการต่อสู้อยู่กลับตกตะลึงยิ่งกว่า อู๋ซินพุ่งตัวออกห่างจากภิกษุเหล่านั้นสามจั้ง แขนเสื้อยาวโบกสะบัดร่ายรำระบำเทวมาร ส่วนภิกษุเหล่านั้นราวกับเสียสติไป พวกมันซัดหมัดใส่ความว่างเปล่าตรงหน้า แต่ละคนเหงื่อเย็นผุดพรายท่วมร่างราวกับรับมือกับศัตรูตัวฉกาจ

    “พวกมันถูกระบำเทวมารครอบงำแล้วหรือ” เหลยอู๋เจี๋ยหันมาถามเซียวเซ่อ

    เซียวเซ่อยักไหล่ “เห็นทีบรรพชิตของวัดจิ่วหลงจะมีวรยุทธ์ไม่เท่าไรจริงๆ”

    “บรรพชิตที่วรยุทธ์ไม่เท่าไร แต่เมื่อครู่เกือบฆ่าข้าแล้วเนี่ยนะ” เหลยอู๋เจี๋ยเกาหัวแกรก รู้สึกว่าตัวเองต่างหากที่ ‘ไม่เท่าไร’ อย่างแท้จริง

    “วรยุทธ์ที่อู๋ซินใช้ไม่อาจนำวรยุทธ์อื่นมาเปรียบเทียบ…มันเทียบกันไม่ได้เลย” เซียวเซ่อยากยิ่งจะไม่ซ้ำเติม “อีกอย่างค่ายกลอรหันต์เผยพักตร์นี้ก็ยังไม่ถูกทะลวง”

    เหลยอู๋เจี๋ยทอดสายตามองต้าเจวี๋ยต้าซือที่นั่งกรรมฐานตัวตรงแหน็วอยู่ตรงกลาง “บรรพชิตทั้งหลายต่างลงมือแล้ว แต่ดูเหมือนคนที่สวมจีวรสีเหลืองนั้นจะไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย”

    “มันคือต้าเจวี๋ยต้าซือ เจ้าอาวาสวัดจิ่วหลง เป็นอาจารย์สอนวรยุทธ์ของอู๋ฉานผู้นั้น” เซียวเซ่อมุ่นคิ้วเล็กน้อย “ลำพังอิทธิฤทธิ์วชิระสยบมารของอู๋ฉานก็แกร่งกล้าเหนือล้ำกว่าบรรพชิตเฒ่าหกรูปนี้แล้ว เกรงว่าต้าเจวี๋ยผู้นี้คงจะไม่ธรรมดา..”

    “พระอาจารย์ต้าเจวี๋ย หากท่านยังไม่ลืมตา ศิษย์น้องของท่านคงต้องตายเสียแล้ว” อู๋ซินพลันตะโกนด้วยรอยยิ้ม

    “ศิษย์หลานอู๋ซิน หากอาตมาลืมตาแล้วอย่างไร” ต้าเจวี๋ยต้าซือเอ่ยเสียงขรึม

    “ค่ายกลอรหันต์เผยพักตร์จะสมบูรณ์แบบ ผู้ที่อยู่ในค่ายกลต้องตายสถานเดียว” จีวรยาวของอู๋ซินปลิวไสว น้ำเสียงไม่ยี่หระ

    “เหตุใดต้องบังคับอาตมา…มิตรภาพสามสิบปีของอาตมากับวั่งโยว…” ต้าเจวี๋ยต้าซือทอดถอนใจ

    “พระอาจารย์ต้าเจวี๋ย ท่านพูดมากเสียจริง หากท่านไม่เบิกเนตรค่ายกล คิดว่าเหล่าศิษย์น้องของท่านจะทนได้ถึงหนึ่งก้านธูป* หรือไม่”

    “เฮ้อ” ต้าเจวี๋ยต้าซือทอดถอนใจอีกครั้ง ในที่สุดก็ลืมตาขึ้นอย่างแช่มช้า

    ชั่วพริบตานั้น เงาร่างอู๋ซินพลันเลือนหายไป!

    เดิมภิกษุทั้งห้ารูป ต้าไหวต้าซือ ต้าเวยต้าซือ ต้ากวนต้าซือ ต้าโม่ต้าซือ และต้าวั่งต้าซือต่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรง พวกมันออกกระบวนท่าใด เงาร่างอู๋ซินที่อยู่ตรงหน้าก็ออกกระบวนท่าที่เหมือนกันทุกประการ กระทั่งบางครายังออกกระบวนท่านำหน้าพวกมันไปก่อน หลังจากผ่านไปหลายสิบรอบ ไม่เพียงกำลังยืนหยัดยิ่งลดน้อย กระทั่งสติก็ยังเลื่อนลอยจนแทบจะเป็นลมล้มไป

    แต่เมื่อต้าเจวี๋ยต้าซือลืมตาขึ้น ห้วงสมองของภิกษุทั้งห้าก็พลันกระจ่างแจ้ง เงาร่างอู๋ซินที่แยกออกมาเสมือนมารร้ายจางหายไป ต้าไหวต้าซือพบว่าตนเองปล่อยฝ่ามือยูไลใส่ความว่างเปล่า เมื่อเพ่งสายตาดู เบื้องหน้าก็ไม่มีเงาร่างอู๋ซินอยู่แล้ว

    ภิกษุทั้งห้าพลันพบว่าร่างจริงของอู๋ซินยืนอยู่ห่างออกไปสามจั้ง

    อู๋ซินรวบแขนเสื้อแล้วทอดสายตามองต้าเจวี๋ยต้าซือด้วยรอยยิ้ม “จิตใจใสสะอาดปานคันฉ่อง มารใดมิอาจกล้ำกราย คิดไม่ถึงว่าวิชาโพธิจิตของพระอาจารย์ต้าเจวี๋ยจะล้ำหน้าปานนี้”

    “เจ้ามารร้าย บังอาจนัก!” ต้าไหวต้าซือตวาดอย่างเดือดดาล

    “ชีวิตข้าไม่เคยทำเรื่องชั่วร้ายแม้สักเรื่อง แต่อ้าปากก็เรียกข้าว่ามารร้าย ถ้อยคำนี้ช่าง…” อู๋ซินมุ่นคิ้วเล็กน้อย ก่อนตรึกตรองดูครู่หนึ่ง “หน้าไม่อาย!”

    เหลยอู๋เจี๋ยหัวเราะพรวดออกมาอย่างไร้กาลเทศะ จนเซียวเซ่ออดกลอกตาใส่มิได้

    ต้าไหวต้าซือโกรธเกรี้ยวจนใบหน้าแดงก่ำ ทว่าไม่กล้าเข้าโจมตีต่อด้วยเพราะเกรงกลัววรยุทธ์ประหลาดของอู๋ซิน

    “อู๋ซิน อาตมาเจอเจ้าครั้งแรกเมื่อไร” ต้าเจวี๋ยต้าซือลุกขึ้นยืนในที่สุด อันที่จริงรูปร่างของมันเล็กที่สุดในบรรดาภิกษุทั้งหมด ทว่าตลอดทั้งร่างกลับแผ่ซ่านกลิ่นอายสงบเรียบเฉยชนิดบรรยายเป็นถ้อยคำไม่ได้ ความเรียบเฉยเช่นนี้ได้มาจากการท่องพุทธคัมภีร์หลายสิบปี ทั้งเป็นความเรียบเฉยหลังจากแตกฉานในสัจธรรมอย่างแท้จริง

    “ย่อมจำได้ ยามนั้นข้าเพิ่งมาอยู่วัดหานซานได้สี่เดือน พระอาจารย์ต้าเจวี๋ยมาจากวัดจิ่วหลง หลังจากปาฐกถากับพระอาจารย์วั่งโยวเจ็ดวันก็พาศิษย์พี่อู๋ฉานไป” อู๋ซินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

    “เช่นนั้นอู๋ซิน เจ้ารู้หรือไม่ ครั้งแรกที่อาตมาพบเจ้า ในใจคิดสิ่งใด” ต้าเจวี๋ยต้าซือเดินตรงเข้ามาทีละก้าว

    “ลัทธิพุทธมีศีลห้าข้อ คือไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดเท็จ ไม่ดื่มสุรา ข้าเดาว่าพระอาจารย์ต้าเจวี๋ยเห็นข้าครั้งแรกคงคิดจะทำผิดศีลข้อหนึ่งกระมัง” อู๋ซินยังคงยิ้มกรุ้มกริ่มเช่นเคย

    ต้าเจวี๋ยต้าซือพยักหน้า ดวงหน้าโอบอ้อมอารีของมันพลันฉายแววโกรธเกรี้ยวแล้วตวาดลั่น “ถูกต้อง! คราแรกที่พบเจ้า ข้าก็อยากสังหารเจ้าเสีย!”

    ร่างกายของต้าเจวี๋ยต้าซือพลันแปรเปลี่ยน มันสูงขึ้นมาหนึ่งชุ่น กล้ามเนื้อปูดโปนขยายใหญ่ขึ้นโดยพลัน

    “นี่มันวรยุทธ์อันใด” เหลยอู๋เจี๋ยตะลึงลาน มันไม่เคยพบเห็นวรยุทธ์เช่นนี้มาก่อน มีมนุษย์ที่เปลี่ยนแปลงสรีระร่างกายได้ในชั่วพริบตาด้วยหรือ

    “แข็งแกร่งไม่อาจสั่นคลอน หมื่นพิษมิอาจกล้ำกราย วชิระไม่อาจทลาย คงกระพันไร้เทียมทาน” เซียวเซ่อสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาอย่างหาได้ยาก “นี่เป็นหนึ่งในยอดวิทยายุทธ์ทั้งสิบของลัทธิพุทธ อิทธิฤทธิ์วชิระคงกระพัน”

     

     

    บทที่ 23

    เมืองอู๋ซวงในใต้หล้า

     

    เหนือทะเลทรายกว้างใหญ่ พลม้ากลุ่มหนึ่งกำลังห้อตะบึงมา

    พวกมันสวมเสื้อคลุมสีดำที่ติดกับหมวกบังลม ผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มคลุมผ้าด้วยผ้าฝ้ายสีดำ มันทอดสายตามองไปข้างหน้า ก่อนรั้งบังเหียนหยุดยอดอาชาจื่อเยี่ยนหลิว* ใต้ร่างไว้โดยพลัน

    เหล่าผู้ติดตามมันรีบหยุดม้าตาม หนึ่งคนในนั้นเลิกหมวกบังลมขึ้นเผยให้เห็นดวงหน้าอ่อนวัย “ศิษย์พี่ ถึงแล้วหรือ ตลอดทางมานี้ทำข้าเหนื่อยจะแย่แล้ว”

    ผู้เป็นหัวหน้ามิได้สนใจถ้อยคำพร่ำบ่นนี้ มันเพียงล้วงเอาม้วนหนังแกะออกมาจากอกเสื้อ กางออกแล้วเทียบกับทิศทางภูมิทัศน์เบื้องหน้า หลังเพ่งสายตามองครู่หนึ่งก็ผงกศีรษะเบาๆ “ทางนี้แหละ ตรงไปข้างหน้าอีกห้าหลี่ก็ถึงแคว้นอวี๋เถียนแล้ว ต้าซือทั้งหลายของวัดจิ่วหลงก็น่าจะถึงแล้ว”

    เด็กหนุ่มผู้บ่นอุบบังคับม้ามาข้างกายผู้เป็นหัวหน้าพลางเอ่ยถาม “ศิษย์พี่ บรรพชิตผู้นั้นสำคัญยิ่งเลยหรือ ตลอดทางมานี้พวกเราห้อตะบึงไม่หยุดพัก ข้าเหนื่อยจะแย่แล้ว”

    “หลังจากวั่งโยวเสียสติมรณภาพ อู่เซิงสำนักเส้าหลินมายังวัดหานซาน พบว่าวิหารหลัวช่าถูกวั่งโยวแอบทำลายไปแล้ว คัมภีร์วรยุทธ์ทั้งสามสิบสองเล่มกลายเป็นเถ้าธุลี ใต้หล้านี้ผู้ที่ทำให้วรยุทธ์เหล่านั้นกลับคืนมาได้ก็เหลือเพียงอู๋ซินเพียงผู้เดียวแล้ว หากมิใช่เมืองเสวี่ยเยวี่ยฉวยโอกาสนำหน้าไปเสียก่อน ทั่วยุทธภพในใต้หล้านี้ผู้ใดไม่อยากได้ตัวบรรพชิตผู้นี้บ้าง” ผู้เป็นหัวหน้าว่าพลางม้วนเก็บแผนที่

    “แต่วรยุทธ์ในวิหารหลัวช่าเป็นคัมภีร์ลับของลัทธิพุทธ หากมีผู้ใดควรได้ก็คงเป็นเส้าหลินไม่ก็อวิ๋นหลิน อย่างไรก็คงเวียนมาไม่ถึงเมืองอู๋ซวงของพวกเรา การไปร่วมแย่งชิงคัมภีร์ลับนี้จะไม่เป็นการบาดหมางกับบรรพชิตทั่วหล้าหรือ” เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างสงสัย

    “เจ้าพูดถูก ยอดวิชาในใต้หล้ามีนับไม่ถ้วน แม้ว่าวรยุทธ์ลับทั้งสามสิบสองของวิหารหลัวช่าจะเหนือล้ำก็ตาม แต่มิใช่ประเภทเดียวกับพวกเรา แย่งมาได้ก็ไร้ประโยชน์” ผู้เป็นหัวหน้าพยักหน้า

    เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ การได้คำชมจากศิษย์พี่ผู้ไม่เคยไว้หน้าใครถือเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก

    “แต่ว่า…” ผู้เป็นหัวหน้าพลันกล่าว “ตัวบรรพชิตอู๋ซินไม่ได้มีเพียงเท่านั้น”

    “ยังมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาอันใดอีกหรือ” เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างสงสัย

    “เจ้าเคยได้ยินชื่อเยี่ยติ่งจือหรือไม่” ผู้เป็นหัวหน้าถาม

    “ศิษย์พี่ ท่านอย่าล้อข้าเล่น แม้ข้าจะหัวไม่ดี แต่จะไม่เคยได้ยินนามอันยิ่งใหญ่ของประมุขพรรคมารได้อย่างไร พรรคมารรุกรานแดนบูรพาเมื่อสิบสองปีก่อน ถล่มเป่ยหลีกว่าครึ่งพังพินาศ ว่ากันว่ายามนั้นแค่ตะโกนใส่เด็กหกขวบว่า ‘เยี่ยติ่งจือมาแล้ว!’ ก็ทำให้เด็กตกใจจนร้องไห้ได้ ในพวกเรามีใครบ้างไม่ได้โตมากับเรื่องเล่าของเยี่ยติ่งจือ ถึงแม้ว่ามันเป็นประมุขพรรคมาร แต่ก็เป็นผู้ปรีชาในยุทธภพที่ร้อยปีจะประสบพบเจอสักครั้ง” เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

    “สิบสองปีก่อนพรรคมารรุกรานดินแดนบูรพา เยี่ยติ่งจือบุกไปยังนครหลวงเทียนฉี่ ตลอดทางต่อสู้กับยอดฝีมือจากทั่วหล้า ทว่าไม่พบคู่ต่อสู้ที่ฝีมือทัดเทียม แต่ภายหลังมันกลับพ่ายแพ้แก่ไป่หลี่ตงจวินครึ่งกระบวนท่า ทั้งที่ยามนั้นไป่หลี่ตงจวินยังเป็นเพียงศิษย์ทั่วไปของเมืองเสวี่ยเยวี่ย จากนั้นมันก็ถูกสำนักใหญ่ทั้งเจ็ดล้อมโจมตี สุดท้ายก็สิ้นแรงตาย พรรคมารแม้ยังมีกำลังสู้รบอยู่ แต่ประมุขสิ้นแล้ว พวกมันจึงทำข้อตกลงกับยุทธภพจงหยวนว่าจะไม่กล้ำกรายเป่ยหลีแม้แต่ครึ่งก้าวเป็นเวลาสิบสองปี” ผู้เป็นหัวหน้ากล่าว

    “เรื่องนี้ข้าพอรู้ คำสัตย์แห่งเขาสั่วเหอใช่หรือไม่! เรื่องที่นักเล่าเรื่องข้างถนนเล่ากันจนเบื่อ” เด็กหนุ่มสอดปากกล่าว

    “ใช่…แต่เรื่องที่นักเล่าเรื่องเหล่านั้นไม่ทราบคือในข้อตกลงยังมีตัวประกันคนหนึ่ง คือลูกของเยี่ยติ่งจือ เป็นเด็กอายุห้าขวบ ว่ากันว่าเด็กคนนั้นมีบุคลิกเหมือนเยี่ยติ่งจือตอนเยาว์วัย เฉลียวฉลาดไม่ธรรมดา แม้อายุเพียงห้าขวบแต่ก็ประมือกับผู้อาวุโสพรรคมารได้แล้ว หลายฝ่ายต่างแย่งชิงเด็กคนนั้น เมืองเสวี่ยเยวี่ย วัดเส้าหลิน รวมถึงเมืองอู๋ซวงของพวกเราต่างอยากได้ตัวเด็กคนนั้น แต่สุดท้ายคนที่พาเด็กคนนั้นไปกลับเป็นวั่งโยวแห่งวัดหานซาน แม้ว่าวัดหานซานเป็นเพียงวัดเล็กๆ แต่วั่งโยวเป็นปรมาจารย์วิถีฌานที่ใต้หล้ายอมรับ ในเมื่อมันยอมรับเผือกร้อนนี้ไป สำนักอื่นย่อมยินดี เพราะวางไว้ในมือตัวเองก็กลัวว่าผู้คนจะครหา วางไว้ในมือผู้อื่นก็กลัวว่าผู้อื่นจะได้ประโยชน์ มอบให้คนที่ไม่ยุ่งเกี่ยวทางโลกอย่างวั่งโยวย่อมเป็นการดีที่สุด แต่วั่งโยวก็แปลกพิกล ถึงกับเปิดวิหารหลัวช่าให้บุตรชายของประมุขพรรคมาร” ผู้เป็นหัวหน้ากล่าวอย่างแช่มช้า

    “ฉะนั้นจุดมุ่งหมายที่พวกเรามาชิงตัวบรรพชิตผู้นี้ในครั้งนี้คือ…” เด็กหนุ่มมุ่นคิ้ว

    “ประการแรก นำวรยุทธ์ในวิหารหลัวช่าคืนเจ้าของเดิม เส้าหลินก็ดี วัดจิ่วหลงก็ดี ให้มันหวนคืนสู่ปรมาจารย์ในใต้หล้า ส่วนตัวอู๋ซินผู้นี้ก็นำกลับเมืองอู๋ซวง ครานี้จะปล่อยให้เมืองเสวี่ยเยวี่ยแย่งไปอีกไม่ได้ ตอนที่เมืองเสวี่ยเยวี่ยยังไม่ก่อตั้ง เมืองอู๋ซวงของพวกเรานับเป็นหนึ่งในใต้หล้าอย่างแท้จริง บัดนี้เล่า…เหล่าผู้เฒ่าต่างกลั้นโทสะนี้ไว้ โทสะนี้รุ่นพวกเราต้องเอาคืนมาให้ได้” ผู้เป็นหัวหน้าทอดสายตามองเบื้องหน้า

    เด็กหนุ่มไม่ได้จมอยู่ในความอาจหาญของศิษย์พี่แม้แต่น้อย มันถามโพล่งขึ้นมาว่า “ปรมาจารย์ทั้งเจ็ดแห่งวัดจิ่วหลงลงมือพร้อมกันก็จับมันไม่ได้หรือ”

    “อันที่จริงวัดจิ่วหลงไม่เชี่ยวชาญวรยุทธ์ ที่รับมือได้ยากมีเพียงค่ายกลอรหันต์เผยพักตร์ที่สืบทอดต่อกันมา แต่ต้าเจวี๋ยต้าซือเจ้าอาวาสรุ่นนี้คือผู้สำเร็จวรยุทธ์สูงสุดนับแต่วัดจิ่วหลงก่อตั้งมา อาจารย์เคยกล่าวว่าต้าเจวี๋ยต้าซือฝึกอิทธิฤทธิ์วชิระคงกระพันสำเร็จแล้ว”

    “อิทธิฤทธิ์วชิระคงกระพัน? แข็งแกร่งไม่อาจสั่นคลอน หมื่นพิษมิอาจกล้ำกราย วชิระไม่อาจทลาย คงกระพันไร้เทียมทาน นั่นเป็นหนึ่งในยอดวิทยายุทธ์ทั้งสิบของลัทธิพุทธเชียว ว่ากันว่าในวัดเส้าหลินยามนี้ก็ยังไม่มีบรรพชิตคนใดฝึกสำเร็จ…ทั้งที่มีวรยุทธ์เช่นนี้แต่ก็ยังจับอู๋ซินไม่ได้หรือ” เด็กหนุ่มกล่าวอย่างตกตะลึง

    “จับได้หรือไม่ล้วนต้องไปดูให้เห็นด้วยตา พวกเราเร่งเดินทางมาสามวันสามคืน บัดนี้ห่างจากแคว้นอวี๋เถียนเพียงห้าหลี่ แต่ข้ากลับหยุดพูดคุยกับเจ้า รู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด” ผู้เป็นหัวหน้าหันมาถามมัน

    “ความคิดศิษย์พี่ลึกล้ำสุดจะหยั่ง ศิษย์น้องเดาไม่ออก” เด็กหนุ่มเกาหัวแกรก

    “แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่อาจารย์บอกว่าเจ้าเป็นคนที่มีพรสวรรค์ที่สุดในรอบหนึ่งร้อยปีของเมืองอู๋ซวง หากเมืองอู๋ซวงอยากเป็นหนึ่งในใต้หล้าอีกครั้งคงต้องพึ่งพาเจ้าเท่านั้น ดังนั้นการต่อสู้ครั้งนี้ข้าหวังว่าเจ้าจะทุ่มเทกำลังทั้งหมด” ผู้เป็นหัวหน้าดึงบังเหียนม้าแล้วตะโกนใส่ผู้ติดตามข้างหลัง “เบื้องหน้าก็เป็นแคว้นอวี๋เถียนแล้ว เดินหน้าต่อ!”

    พูดจบผู้เป็นหัวหน้าก็สะบัดเชือกบังเหียน ห้อม้าตะบึงออกไป

    เด็กหนุ่มผู้เป็นศิษย์น้องนิ่งอึ้งไป ก่อนรีบร้อนสะบัดแส้ไล่ตาม การขี่ม้าของมันไม่ดีเท่าไรนัก ก่อนหน้านี้ก็รั้งท้ายขบวนตลอด ต้องออกแรงอย่างหนักกว่าจะไล่ตามมาได้

    ผู้เป็นหัวหน้าเห็นศิษย์น้องผู้นี้เหนื่อยจนหอบแฮกแต่ก็ยังขมวดคิ้วมุ่น จึงเอ่ยขึ้น “เจ้ายังมีคำถามอันใดอีก”

    “ข้าแค่อยากถามว่าเหตุใดก่อนออกเดินทางศิษย์พี่จึงไม่บอก แต่เพิ่งมาเอ่ยกับข้าตอนที่ใกล้จะถึง” เด็กหนุ่มถามพลางหอบหายใจ

    “ข้า…” ผู้เป็นหัวหน้ามองใบหน้าของศิษย์น้องที่เต็มไปด้วยความสงสัย แล้วนึกถึงพฤติกรรมในยามปกติของมัน ก่อนทอดถอนใจ “เกรงว่าเจ้าจะหลงลืมระหว่างทาง…”

    “อย่างนี้นี่เอง มีเหตุผล!” เด็กหนุ่มคล้ายกระจ่างแจ้งโดยพลัน

    ผู้เป็นหัวหน้าเบือนหน้ากลับไปแล้วรำพึงรำพันในใจ รากฐานนับร้อยปีของเมืองอู๋ซวงจะต้องพึ่งพาเจ้าคนทึ่มเช่นนี้จริงหรือ

     

    “นี่น่ะหรืออิทธิฤทธิ์วชิระคงกระพันที่บรรพชิตเฒ่าเคยกล่าว” อู๋ซินกระโดดไปยังเบื้องหน้าต้าเจวี๋ยต้าซือพร้อมเหวี่ยงหมัดใส่ แต่กลับเกิดเสียงดัง ‘ตึง’ ราวกับต่อยผนังเหล็กกำแพงทองแดงก็มิปาน มันนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนถอยหลังไปหนึ่งก้าว

    “เป็นอย่างไรบ้าง!” เหลยอู๋เจี๋ยจะโกนถาม

    “เจ็บเหลือเกิน!” อู๋ซินสะบัดมืออย่างแรง ใบหน้าเหยเก

    “ฮ่าๆๆ เช่นนั้นข้าถ่ายทอดวิชาหมัดไร้ทิศให้เจ้าดีหรือไม่ หมัดยังไม่ถึง ปราณถึงก่อน รับรองว่าเจ้าไม่เจ็บแน่” เหลยอู๋เจี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

    “อิทธิฤทธิ์วชิระคงกระพันเปลืองกำลังภายในยิ่งนัก ถึงแม้พลังของต้าเจวี๋ยต้าซือไม่ธรรมดา แต่อย่างไรก็อายุเจ็ดสิบปีแล้ว เจ้าถ่วงเวลาเอาไว้ อย่าปะทะตรงๆ” เซียวเซ่อกล่าว

    “เกรงว่าลูกไม้นี้คงใช้ไม่ได้” อู๋ซินส่ายศีรษะ มันเห็นภิกษุทั้งห้ารูป รวมถึงต้าผู่ต้าซือที่ถูกซัดกระเด็นไปก่อนหน้านี้ต่างฝืนพยุงร่างมานั่งเรียงแถวกันและหลับตาอยู่เบื้องหลังต้าเจวี๋ยต้าซือ ปากสวดมนต์พึมพำแผ่วเบา

    “นี่มัน…” เซียวเซ่อมุ่นคิ้ว

    “ค่ายกลอรหันต์เผยพักตร์ด่านสุดท้าย อรหันต์รวมเป็นหนึ่ง ยามนี้กำลังภายในของทั้งเจ็ดคนล้วนมาอยู่บนร่างของต้าเจวี๋ยต้าซือ หากจะถ่วงเวลา เกรงว่าข้าคงสิ้นแรงตายก่อน” แม้ว่าถ้อยคำของอู๋ซินจะฟังดูคับขันอันตราย แต่ใบหน้ามันยังคงประดับรอยยิ้ม

    “เช่นนั้นเจ้าคิดจะทำเช่นไร” เซียวเซ่อหาได้ตื่นตระหนกไม่ อู๋ซินผู้นี้ดูภายนอกไม่รู้ว่ายังมีวรยุทธ์ก้นหีบที่ยังไม่ได้นำออกมาใช้อีกเท่าไร อิทธิฤทธิ์วชิระคงกระพันกอปรกับค่ายกลอรหันต์เผยพักตร์จะกำราบมันได้หรือไม่ก็ยังยากจะคาดเดา

    “มันใช้วชิระอรหันต์ เช่นนั้นข้าก็จะสู้จนวชิระของมันจะทลายเอง! หากวชิระไม่อาจทลาย ข้าจะสู้จนดวงวิญญาณของมันดับสูญ!” อู๋ซินเก็บรอยยิ้มแล้วก้าวไปข้างหน้า ก่อนปล่อยหมัดโจมตีต้าเจวี๋ยต้าซือเสียงดัง ‘ตึง’

    อีกหนึ่งหมัด! และอีกหนึ่งหมัด! อู๋ซินปล่อยหมัดออกไปนับไม่ถ้วนอย่างบ้าคลั่ง

    ทว่าต้าเจวี๋ยต้าซือกลับไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย มันเพียงเลิกคิ้ว “หัตถ์สำรวจวิญญาณหรือ”

    ยามนี้อู๋ซินเหมือนกลายเป็นคนละคน ความสุขุมสง่างามที่มีก่อนหน้านี้มลายสิ้น แปรเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยมดุดัน ความร้ายกาจของปราณหมัดที่มันใช้ทำให้วิหารที่อยู่ข้างหลังสั่นโยกคล้ายจะพังลงมา อู๋ซินตวาดเสียงกร้าว “ต้าเจวี๋ย เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดพระอาจารย์ของข้าจึงเสียสติ!”

    ต้าเจวี๋ยต้าซือพนมมือ ไม่เอ่ยคำ ปล่อยให้อู๋ซินโจมตีโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยน

    “เพราะบรรพชิตจอมปลอมอย่างพวกเจ้าบีบให้ข้าเป็นเช่นนี้!” อู๋ซินตวาดลั่น ภิกษุทั้งหกข้างหลังต้าเจวี๋ยร่างกายสั่นสะท้านเล็กน้อย หัวคิ้วมุ่นเข้าหากันแน่น บทสวดที่ท่องเริ่มถี่กระชั้นยิ่งขึ้น

    “ชีวิตนี้ข้าไม่เคยทำความชั่วแม้เพียงเรื่องเดียว แต่ผู้คนใต้หล้าต่างอยากให้ข้าตาย พระอาจารย์อยากช่วยข้าจึงส่งข้าเข้าไปในวิหารหลัวช่า แม้ว่าข้าจะฝึกวิชามาร แต่พวกเจ้าต่างหากที่เป็นมาร!”

    “เจ้ากับข้าต่างเป็นมนุษย์” ต้าเจวี๋ยต้าซือทอดถอนใจแผ่วเบา ไหล่ของมันสั่นเทิ้ม แล้วต่อยอู๋ซินกระเด็นออกไป

    มันลงมือในที่สุด

     

    ที่ตีนเขา หวังเหรินซุนปักดาบในมือลงพื้น

    ‘แม้ว่าข้าฝึกวิชามาร แต่พวกท่านต่างหากที่เป็นมาร!’ เสียงนี้ของอู๋ซินดังกึกก้องไปทั่วทั้งตีนเขา

    อู๋ฉานพนมมือสวดภาวนาเสียงเบา ถ้อยคำเช่นเดียวกันนี้ มันเคยได้ยินอู๋ซินพูดตอนพบกันครั้งแรก ยามนี้จีวรสีเทาของมันขาดวิ่นไม่มีชิ้นดีเพราะการต่อสู้ สภาพอดสูยิ่งนัก ส่วนถังเหลียนที่อยู่ข้างกายนั้นสภาพย่ำแย่ยิ่งกว่า อาวุธลับของมันตกเกลื่อนกลาดรอบกาย แต่ละชิ้นล้วนเป็นที่ร่ำลือในยุทธภพ ทว่าก็ยังมิอาจก้าวข้ามดาบทลายเวหาหวังเหรินซุน

    อีกทั้งมันยังรู้ว่าแม้จะถูกเล่นงานจนสภาพดูไม่ได้ แต่นี่เป็นเพราะหวังเหรินซุนออมมือให้แต่แรก ไม่อย่างนั้นชีวิตของมันคงจบสิ้นไปนานแล้ว

    “คำตอบของคำถาม เจ้าหาพบแล้วหรือไม่” หวังเหรินซุนพลันถาม

    อู๋ฉานสบสายตาถังเหลียน ทว่าไม่ตอบคำ

    หวังเหรินซุนระบายยิ้ม มันดึงดาบบรรพชิตที่ปักอยู่บนพื้นขึ้นมาอีกครั้งแล้วทุ่มพลังขว้างดาบไปทางเนินเขา ชั่วพริบตานั้นถังเหลียนพลันตระหนักว่าตำนานยุทธภพที่เล่าลือกันได้ปรากฏขึ้นตรงหน้า

    หนึ่งดาบตัดสะบั้นท้องนภา!

     

    ต้าเจวี๋ยต้าซือที่อยู่กลางลานหน้าวิหารพลันสัมผัสได้ มันหมุนกายขวับไปทางตีนเขา ก่อนตวาดกร้าวขึ้นฟ้า “หวังเหรินซุน!”

    ดาบบรรพชิตเล่มนั้นแหวกฟ้าผ่าอากาศลงมา!

    ต้าเจวี๋ยต้าซือเหวี่ยงหมัดออกไป หมัดกระทบเข้ากับคมดาบ!

    ดาบหักสะบั้นในชั่วพริบตา

    ต้าเจวี๋ยต้าซือกระอักเลือด

    หวังเหรินซุนอยู่ที่ตีนเขารับดาบหักที่กระเด็นกลับมาไว้ในมือ สีหน้าของมันซีดขาวราวกับแก่ชราไปสิบปี มันกุมดาบหักในมือแน่นแล้วเดินหลีกทางไป ยามที่ก้าวผ่านอู๋ฉานกับถังเหลียนยังเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ไปเถิด”

     

     

    บทที่ 24

    โศกาอาดูร

     

    เมื่อต้าเจวี๋ยต้าซือกระอักเลือด ภิกษุทั้งหกรูปข้างหลังมันก็หน้าดำคร่ำเคร่ง ต้าผู่ต้าซือที่เดิมบาดเจ็บหนักอยู่แล้วถึงขั้นเป็นลมล้มไป

    “นี่…นี่…นี่…” เหลยอู๋เจี๋ยสีหน้าตกตะลึง มันชี้นิ้วไปยังทิศที่ดาบพุ่งมาจากฟ้าและลอยหายไป มันเคยเห็นดาบยักษ์ของหมิงโหวในคืนหิมะตก ดาบนั้นพลังรุนแรงหาใดเปรียบ แต่ดาบที่มันเห็นเมื่อครู่สูงล้ำยิ่งกว่าไม่รู้เท่าไร

    “อานุภาพของดาบเล่มนั้น อย่างน้อยช่วยอู๋ซินทะลวงอิทธิฤทธิ์วชิระคงกระพันไปได้กว่าครึ่ง” เซียวเซ่อทอดถอนใจ “แต่ก็กระตุ้นจิตสังหารของต้าเจวี๋ยได้สิบเท่า”

    ต้าเจวี๋ยต้าซือเช็ดรอยเลือดที่มุมปากแล้วทอดสายตามองอู๋ซิน “ความลึกซึ้งของวิถีพุทธ ใช่สิ่งที่มารร้ายอย่างพวกเจ้าถามได้เสียที่ใด!”

    อู๋ซินแค่นหัวเราะ “ความลึกซึ้งของวิถีพุทธหรือ ทอดตามองทั่วใต้หล้าแล้ว ถ้อยคำนี้อาจารย์ของข้ากล่าวได้ แต่เจ้ากล่าวไม่ได้!”

    ต้าเจวี๋ยต้าซือสองมือสั่นสะท้าน จีวรสีเหลืองบนร่างสะบัดไหวเข้าคลุมศีรษะของอู๋ซินหมายจับกุม อู๋ซินก็มิได้หลบ มันเงยหน้ากระโดดพุ่งใส่ จีวรผืนนั้นพลันสลายเป็นผุยผง ร่างอู๋ซินลอยขึ้นกลางอากาศ ปากท่องคาถาที่ฟังไม่รู้เรื่อง แต่เสียงดังฟังชัด ท่วงทำนองน่าสนใจ ราวกับกำลังร้องเพลงอยู่

    “มันร้องอันใดอยู่” เหลยอู๋เจี๋ยถาม

    เซียวเซ่อมุ่นคิ้ว ไม่ได้ตอบ

    ภิกษุข้างหลังต้าเจวี๋ยต้าซือเป็นลมล้มไปอีกสองรูปแล้ว ประคำที่อยู่ในมือของภิกษุอีกสามรูปก็ค่อยๆ แตกออก ไม่ว่าจะเร่งท่องบทสวดอย่างไรก็ยังคงกดข่มเลือดลมที่พลุ่งพล่านกลางอกมิได้

    “ลำนำคาถาสะกดวิญญาณรึ!” ต้าเจวี๋ยต้าซือถลึงตา “อู๋ซิน เจ้าคิดจะทำอันใด!”

    อู๋ซินไม่ตอบและยังคงท่องคาถาไม่หยุด ร่างค่อยๆ ลอยถอยออกห่าง

    สีผิวของต้าเจวี๋ยต้าซือพลันเปลี่ยนเป็นสีทองเหลือบแดง มันพุ่งตัวไปคว้าจับอู๋ซินลงมาจากกลางอากาศในพริบตา ด้วยความเร็วนี้กระทั่งอู๋ซินก็ไม่ทันตั้งตัว และยังบีบคอของอู๋ซินไว้

    แต่ว่าคาถามิได้เลือนหายไป

    อู๋ซินพลันคลี่ยิ้ม แสงสีม่วงในดวงตาวูบไหว เย้ายวนพริ้มเพราดังเช่นที่ผ่านมา

    ต้าเจวี๋ยต้าซือรู้สึกเหมือนข้างหูราวกับมีคนนับพันนับหมื่นคนกำลังขับขานลำนำคาถาสะกดวิญญาณอยู่ จิตใจคล้ายจะล่องลอยออกจากร่าง ทว่าอิทธิฤทธิ์วชิระคงกระพันได้ต้านทานเอาไว้ มันรีบตั้งจิตให้มั่นคง แต่ทันใดนั้นอู๋ซินก็จับไหล่ของมัน พลังปราณทั่วทั้งร่างรั่วไหลออกไปราวกับกระแสน้ำในทันใด

    “อู๋ซิน…เจ้า…” ต้าเจวี๋ยต้าซือตะลึงลาน ในยุทธภพมีวรยุทธ์สายมารประเภทเดียวกับมหามนต์สลายปราณก็จริง แต่สำหรับต้าเจวี๋ยผู้แตกฉานในวรยุทธ์ของลัทธิพุทธ มันไม่เกรงกลัววรยุทธ์สายมารนี้แม้แต่น้อย ทว่าวิชาที่อู๋ซินใช้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่มหามนต์สลายปราณทั่วๆ ไป

    “เลิกจ้องข้าได้แล้ว ข้าก็ไม่รู้ว่าวรยุทธ์นี้เรียกว่าอย่างไร ปกคัมภีร์ก็ถูกทำลายไปแล้ว” อู๋ซินสีหน้าซีดขาว “แต่ข้าตั้งชื่อให้ใหม่แล้ว…มันชื่อว่าโศกาอาดูร!”

    อู๋ซินผลักต้าเจวี๋ยต้าซือกลับไปด้วยฝ่ามือเดียว ต้าเจวี๋ยต้าซือสีหน้าเศร้าหมองปานเถ้าถ่านที่ดับมอด สีทองบนร่างจางหายไป ร่างกายที่สูงใหญ่ขึ้นก็คืนสู่สภาพเดิม กลับไปเป็นภิกษุเฒ่าที่แก่ชราซูบเซียวอีกครั้ง เพียงแต่เทียบกับเมื่อก่อนแล้ว คล้ายว่ามันโรยรากว่าเดิมหลายส่วน ภิกษุทั้งหกรูปที่อยู่ข้างหลังมันเป็นลมล้มไปจนหมดแล้ว มีเพียงมันที่ยังคงสู้ทนฝืนยืนหยัดไว้ได้

    “ต้าเจวี๋ย พลังบำเพ็ญของเจ้าตลอดหลายสิบปี ข้าทำลายสิ้นแล้ว…ส่วนวรยุทธ์ลับทั้งสามสิบสองในวิหารหลัวช่าของพวกเจ้า ข้ามิได้เอาไปสักวิชา!” อู๋ซินกล่าวจบก็กระอักเลือดทำท่าจะทรุดลง

    เหลยอู๋เจี๋ยรีบก้าวเข้าไปประคอง

    “ทำลายกำลังภายในของตนเองหรือ เพื่ออันใดกัน เห็นอยู่ว่าเจ้ามีวิธีอื่นแท้ๆ” เซียวเซ่อเดินขึ้นหน้ามา สายตาทอดมองอู๋ซิน

    อู๋ซินแย้มยิ้ม “หากไม่ทำลายวิชามารนี้เสีย เกรงว่าต่อให้ตาย บรรพชิตเฒ่าผู้นี้ก็คงไม่ปล่อยข้าไป”

    เซียวเซ่อคล้ายอยากพูดบางอย่าง แต่มันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็มิได้พูดออกไป

    “อยากพูดอันใดกันแน่” อู๋ซินถาม

    เซียวเซ่อแย้มยิ้ม “โศกาอาดูร…ชื่อครั้งนี้ตั้งได้ไม่เลว”

    “ข้าตั้งได้ดีอยู่แล้ว” อู๋ซินยิ้ม

    เหลยอู๋เจี๋ยมองต้าเจวี๋ยต้าซือที่สีหน้าซูบซีด ก่อนเอ่ยถามว่า “ต้าซือ…วิวาทก็วิวาทกันแล้ว วรยุทธ์ของอู๋ซินก็ไม่มีแล้ว จะหลบทางได้หรือไม่”

    ต้าเจวี๋ยต้าซือส่ายศีรษะทอดถอนใจ “ขอบคุณศิษย์หลานอู๋ซินที่ไว้ชีวิต”

    “ข้าเป็นภิกษุของวัดหานซาน จะฆ่าสัตว์ตัดชีวิตได้อย่างไรเล่า” อู๋ซินอยากจะยืนตรงด้วยตนเอง แต่กลับหน้ามืดตาลาย ทั้งร่างอ่อนระทวยทรุดลงกับพื้น

    “ข้าแบกเจ้าเอง” เหลยอู๋เจี๋ยคว้าแขนอู๋ซินพยุงขึ้นมา

    “เกรงว่าเรายังไปไม่ได้” เซียวเซ่อส่ายศีรษะ

    “เพราะเหตุใดหรือ” เหลยอู๋เจี๋ยมองตามสายตาของเซียวเซ่อไป มันพลันเห็นถังเหลียนกับอู๋ฉานเดินขึ้นมาบนเนินเขาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้และกำลังมองพวกมันด้วยสายตาแปลกพิกล

    เหลยอู๋เจี๋ยรีบปล่อยมือ อู๋ซินร่วงลงพื้นพร้อมเสียงดัง ‘อั่ก’ อย่างเจ็บปวด เหลยอู๋เจี๋ยถีบมันออกไปเล็กน้อย ก่อนหันไปหาถังเหลียนพลางลูบหัวตนเอง “ศิษย์พี่ใหญ่…บังเอิญยิ่งนัก!”

    เซียวเซ่อกลอกตาใส่เหลยอู๋เจี๋ย สองมือรวบอยู่ในแขนเสื้อ มิได้เอ่ยคำ

    เวลานี้อู๋ฉานเดินตรงเข้ามาประคองอู๋ซินที่อยู่บนพื้นพลางทอดถอนใจ “ศิษย์น้อง ลำบากเจ้าแล้ว”

    “ศิษย์พี่…ไม่ได้กลับวัดหานซานกี่ปีแล้ว” ยามที่อู๋ซินแย้มยิ้ม ดวงหน้าไม่มีความงดงามเย้ายวนเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว มีเพียงความใสบริสุทธิ์อย่างที่เด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดปีทั่วๆ ไปควรจะมี

    “เกือบสิบสองปีแล้ว” อู๋ฉานกล่าวตอบ

    “คิดถึงวัดหานซานหรือไม่” อู๋ซินถาม

    อู๋ฉานไม่ได้ตอบคำ มันแบกอู๋ซินขึ้นหลังอย่างเงียบเชียบแล้วเดินกลับไปทีละก้าว ยามที่มาถึงเบื้องหน้าต้าเจวี๋ยต้าซือก็ทำความเคารพด้วยมือข้างเดียว “ต้าเจวี๋ยต้าซือ การอบรมสั่งสอนตลอดสิบสองปีมานี้ อู๋ฉานจดจำไว้ในใจแล้ว”

    “…อันที่จริงสิบสองปีก่อน ข้าเคยคิดเดิมพันกับวั่งโยว” ต้าเจวี๋ยต้าซือพลันกล่าว

    “เดิมพันอันใด” อู๋ฉานมุ่นคิ้วเล็กน้อย

    “ผู้ใดชนะ” อู๋ซินที่นอนอยู่บนหลังอู๋ฉานถามถึงผลลัพธ์ทันที

    “การเดิมพันมิได้เกิดขึ้น ทุกสิ่งเป็นเพียงความคิดของอาตมาฝ่ายเดียว” ต้าเจวี๋ยต้าซือฝืนยิ้ม

    “เห็นทีบรรพชิตเฒ่าคงชนะแล้ว” อู๋ซินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

    “พ่ายแพ้แก่ปรมาจารย์วิถีฌานอันดับหนึ่งในใต้หล้าก็ไม่นับว่าขายหน้านัก” ต้าเจวี๋ยต้าซือเป็นฝ่ายเบี่ยงกายหลบหนึ่งก้าว

    เมื่อเหลยอู๋เจี๋ยเห็นภาพเหตุการณ์ประหลาดนี้ ในใจก็พลันอึดอัด ศิษย์พี่ใหญ่กับอู๋ฉานมิได้มาจับอู๋ซินพร้อมกับภิกษุเฒ่าเหล่านี้หรือ เหตุใดบรรยากาศจึงดูปรองดองปานนี้

    “ศิษย์พี่ใหญ่…นี่?” เหลยอู๋เจี๋ยเดินถามถังเหลียน

    ถังเหลียนไม่ได้สนใจมัน เพียงหมุนกายแล้วกล่าวว่า “ไปได้แล้ว”

    เหลยอู๋เจี๋ยไม่เข้าใจ “ไปที่ใด”

    ถังเหลียนชี้ไปยังแดนไกล “เมืองเสวี่ยเยวี่ย”

    อู๋ฉานทำความเคารพต้าเจวี๋ยต้าซืออีกครั้งก่อนเดินต่อไปข้างหน้า “พวกเรากลับวัดหานซานกันเถอะ”

     

    ขณะเดียวกันที่ตีนเขา พลม้าที่สวมชุดคลุมและหมวกบังลมสีดำหลายสิบคนได้เดินทางมาถึงแล้ว ผู้เป็นหัวหน้าซึ่งปิดหน้าครึ่งหนึ่งด้วยผ้าสีดำกับเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างกายต่างดึงหมวกบังลมออก พวกมันทอดสายตามองกลุ่มคนที่เดินลงมาจากเนินเขา

    “เหล่าบรรพชิตวัดจิ่วหลงพ่ายแพ้แล้วหรือ” เด็กหนุ่มเอ่ยถาม

    “เห็นทีคงจะใช่” ผู้เป็นหัวหน้าเอ่ยเสียงเรียบ

    “แต่ดูเหมือนพวกมันก็บาดเจ็บหนักเหมือนกัน ผู้ที่ภิกษุจีวรสีเทาแบกอยู่คงจะเป็นคนที่พวกเราตามหากันอยู่กระมัง พวกเรามาถูกเวลาแล้วใช่หรือไม่” เด็กหนุ่มถาม

    ผู้เป็นหัวหน้าผงกศีรษะ

    “ต้องซ้ำเติมคนเจ็บ ไม่องอาจเสียเลย” เด็กหนุ่มเบ้ปาก

    อู๋ฉานและคนอื่นๆ เมื่อเห็นคนชุดดำบนหลังม้าหลายสิบคนก็หยุดฝีเท้า

    เหลยอู๋เจี๋ยเอ่ยอย่างงุนงง “คนเหล่านี้เป็นใคร”

    “เมืองอู๋ซวง” ถังเหลียนเอ่ยเสียงเย็น

     

     

    บทที่ 25

    เด็กหนุ่มผู้ควบคุมกระบี่

     

    ดินแดนซีสู่มีเมืองแห่งหนึ่ง เลื่องลือว่ารวบรวมผู้ปรีชาสามารถจากทั่วหล้า ครอบครองทรัพย์สมบัติอันเป็นของแคว้นศัตรู เป็นหนึ่งในใต้หล้า นามว่าเมืองอู๋ซวง*

    แต่ว่าดินแดนซีสู่ถูกจักรพรรดิแห่งเป่ยหลีทำลายไปเมื่อร้อยปีก่อน แม้เมืองอู๋ซวงจะมีผู้รอดชีวิต แต่ก็ถูกทำลายไปกว่าครึ่ง ให้หลังแม้ว่าจะหยุดลั่นกลองรบและค่อยๆ ฟื้นคืนอำนาจบารมีได้ถึงแปดส่วน แต่ยุทธภพก็มีเมืองเสวี่ยเยวี่ยก่อตั้งขึ้นมาแล้ว แม้กระทั่งสกุลใหญ่ชื่อเสียงโด่งดังอย่างสำนักถังและคฤหาสน์สกุลเหลยก็ยังส่งศิษย์ในสังกัดไปกราบอาจารย์ที่เมืองเสวี่ยเยวี่ย อีกทั้งเมื่อสิบสองปีก่อนยังทำลายจิตใจมุ่งมาดทะเยอทะยานในการรุกรานบูรพาของพรรคมาร ซ่งเยี่ยนหุยเจ้าเมืองของเมืองอู๋ซวงได้ชื่อว่า ‘หนึ่งกระบี่สะบั้นวารี พันสายชลหยุดรินไหล’ ทว่ามันเคยประลองกระบี่กับหลี่หานอีเจ้าเมืองรองของเมืองเสวี่ยเยวี่ยสามครั้ง และพ่ายแพ้ทั้งสามครั้ง เมืองอู๋ซวงยังคงได้ชื่อว่าเมืองอู๋ซวง แต่คำว่า ‘เป็นหนึ่งในใต้หล้า’ ห้าคำนี้กลับไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงอีก

    “เมืองอู๋ซวงก็มาย่ำน้ำครำนี้ด้วยหรือ” ถังเหลียนก้าวไปข้างหน้า สายตามองอีกฝ่ายอย่างเย็นชายิ่ง

    ผู้เป็นหัวหน้าซึ่งปิดบังครึ่งหน้าด้วยผ้าดำลงจากม้าแล้วสะบัดเสื้อคลุมสีดำบนร่างทิ้ง ในมือมันถือทวนยาวสีเงินเอาไว้ “น้ำที่เมืองเสวี่ยเยวี่ยใสสะอาดเพียงใดกัน”

    “เจ้าคิดจะขวางทางพวกเรารึ” ถังเหลียนกระตุกยิ้มอย่างเหยียดหยาม

    ผู้เป็นหัวหน้าชี้ทวนไปยังอู๋ซินที่อยู่บนหลังอู๋ฉาน “พวกเราแค่อยากได้ตัวบรรพชิตผู้นี้”

    “แล้วถ้าข้าไม่ให้เล่า” รูม่านตาของถังเหลียนหดเล็กลง

    “อย่าฝืนเลย” ผู้เป็นหัวหน้าแค่นหัวร่อหนึ่งเสียง “อย่าคิดว่าข้ามองไม่ออก พวกเจ้าทุกคนต่างบาดเจ็บหนัก”

    ถังเหลียนแค่นเสียงอย่างเย็นชา ทว่าที่อีกฝ่ายกล่าวมาเป็นความจริง หลังจากมันกับอู๋ฉานต่อสู้กับหวังเหรินซุนก็เหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก อู๋ซินก็ทำลายวรยุทธ์ตนเองไปแล้ว ยามที่เหลยอู๋เจี๋ยพยายามทะลวงค่ายกลอรหันต์เผยพักตร์ก็บาดเจ็บมิใช่น้อย เซียวเซ่อยิ่งไม่เป็นวรยุทธ์ หากต้องเผชิญหน้ายอดฝีมือหลายสิบคนของเมืองอู๋ซวง กล่าวได้ว่าไม่มีโอกาสชนะแม้แต่น้อย

    “เช่นนั้นพวกเจ้าจะทำอย่างไร ฆ่าพวกเราหรือ เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าหลังจากนั้นเมืองเสวี่ยเยวี่ย สำนักถัง คฤหาสน์สกุลเหลย และลัทธิพุทธทั่วใต้หล้าจะร่วมกันเหยียบย่ำเมืองอู๋ซวงของพวกเจ้าจนแหลกเป็นผุยผง” ถังเหลียนกล่าวอย่างเหี้ยมเกรียม

    “ทำร้ายโดยไม่ฆ่า พวกข้ายังพอทำได้อยู่บ้าง” ผู้เป็นหัวหน้ากระชับทวนยาวในมือแน่น

    “ศิษย์พี่ ข้าลงมือเองดีกว่า” เด็กหนุ่มที่อยู่เบื้องหลังผู้เป็นหัวหน้าลงจากม้า ในมือมันถือหีบใบยาวอยู่ ปากยังแย้มยิ้มจนเห็นฟันขาวซี่ใหญ่ “หากศิษย์พี่ลงมือก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะเอาชนะได้ ท่านอาจไม่รีบ แต่ข้าอยากกลับเมืองอู๋ซวงยิ่งนัก”

    ผู้เป็นหัวหน้านิ่งอึ้งไปเล็กน้อย แต่ดูเหมือนมันจะไม่โกรธที่ถูกศิษย์น้องผู้นี้เยาะเย้ยวรยุทธ์ มันเพียงเอ่ยเสียงเบา “ทำร้ายโดยไม่ฆ่า…จำให้ดีล่ะ”

    “รู้แล้วน่า ข้ามิใช่มารร้ายที่วันๆ คิดแต่เรื่องฆ่าคนเสียหน่อย แต่ดาบกระบี่ไม่มีตา หากควบคุมไม่อยู่ชั่วขณะ ข้าก็ทำอันใดไม่ได้แล้วล่ะ” เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

    เผชิญหน้ากับศิษย์รุ่นใหญ่ของเมืองเสวี่ยเยวี่ย เด็กหนุ่มผู้นี้กลับพูดจาเหมือนไม่เห็นใครอยู่ในสายตาโดยแท้ ทว่าผู้เป็นหัวหน้ามันกลับพยักหน้าแล้วถอยหลังไปหลายก้าว

    ถังเหลียนอดเดือดดาลมิได้ “เมืองอู๋ซวงปากดียิ่งนัก! เจ้าชื่ออันใด”

    เด็กหนุ่มผู้นั้นนั่งลงกับพื้นแล้ววางหีบกระบี่ไว้เบื้องหน้าตนเอง ก่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อู๋ซวง”

    “อู๋ซวง?” คนทั้งหลายต่างอึ้งงัน ถึงกับนำชื่อของเมืองมาตั้งเป็นชื่อตนเอง เทียบกับถ้อยคำที่เด็กหนุ่มกล่าวไปก่อนหน้านี้ ชื่อของมันต่างหากที่ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาอย่างแท้จริง

    “มีปัญหาอันใดหรือ” เด็กหนุ่มที่นามว่าอู๋ซวงถามด้วยใบหน้าใสซื่อ

    คนทั้งหลายต่างสบตากัน ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอันใด

    “ในเมื่อไม่มีปัญหา เช่นนั้นข้าจะเริ่มล่ะนะ” อู๋ซวงเปิดหีบกระบี่ออก ข้างในนั้นมีกระบี่ยาวสีแดงเพลิงเล่มหนึ่ง และกระบี่รูปร่างเรียวเล็กอีกสิบสองเล่ม

    “นี่คือ…” เหลยอู๋เจี๋ยดวงตาเบิกโพลง ในฐานะคนที่ชอบฟังเรื่องเล่าต่างๆ ของยุทธภพตั้งแต่เล็ก มันย่อมเคยได้ยินถึงวิชากระบี่ชนิดหนึ่งชื่อว่าวิชาควบคุมกระบี่ วิชานี้มิได้ถือกระบี่ฆ่าฟัน แต่ควบคุมกระบี่บินหลายเล่มพร้อมกันด้วยการดีดนิ้วเบาๆ พูดคุยยิ้มแย้มพลางสังหารคน ปลิดชีพผู้อื่นได้ง่ายดายปานเทพเซียนสอยดวงดารา แต่ว่าวรยุทธ์เช่นนี้มีอยู่ในตำนานเล่าขานของยุทธภพเท่านั้น ผู้ที่เคยได้ยินมีมากมาย แต่ผู้ที่ได้พบเห็นจริงๆ กลับน้อยนิด ว่ากันว่าผู้ที่ใช้วิชาควบคุมกระบี่ได้นั้นย่อมไปถึงระดับเซียนกระบี่แล้ว ทว่าเด็กหนุ่มตรงหน้านี้ดูอายุพอๆ กับมันเท่านั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เหลยอู๋เจี๋ยรู้สึกพ่ายแพ้

    “อวิ๋นซัว” อู๋ซวงเอ่ยเสียงเบาแล้วดีดนิ้วไปทางกระบี่เล่มหนึ่งในหีบ กระบี่เล่มนั้นลอยขึ้นหมุนวนกลางอากาศแล้วพุ่งตรงเข้าใส่ถังเหลียน

    “ชิงซวง” กระบี่เล่มหนึ่งพุ่งใส่อู๋ฉาน

    “เร่าจื่อโหรว” กระบี่เล่มหนึ่งพุ่งไปหาเหลยอู๋เจี๋ย

    “อวี้หรูอี้” กระบี่อีกเล่มพุ่งไปยังเซียวเซ่อ

    ในที่สุดถังเหลียนก็เชื่อว่าอู๋ซวงผู้นี้มิใช่ไม่เห็นผู้ใดในสายตา กระบี่อวิ๋นซัวเล่มนั้นพุ่งตรงมาหามันด้วยความเร็วสูง มีดลับในมือของมันสาดประกายวูบสกัดการโจมตีเอาไว้ ทว่าอู๋ซวงเพียงวนนิ้วเบาๆ กระบี่อวิ๋นซัวก็บินกลับมาจู่โจมถังเหลียนอีกครั้ง

    อู๋ฉานไม่กล้ารับโดยตรง มันจึงโคจรพลังปราณทั่วร่าง สร้างม่านกำบังเอาไว้รอบกายตนเองและอู๋ซิน ขวางกระบี่บินเล่มนั้นเอาไว้

    เหลยอู๋เจี๋ยหงุดหงิดยิ่งนัก กระบี่ที่มันต้องรับมือด้วยคือกระบี่บินที่ชื่อว่าเร่าจื่อโหรว* กระบี่เล่มนี้รับมือยากเหมือนดั่งนามของมัน หมัดของเหลยอู๋เจี๋ยวาดเหวี่ยงใส่อากาศครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่โดนเสียที ทว่าเพียงพริบตากระบี่บินนั่นกลับทิ้งรอยแผลไว้บนร่างมันหลายรอย เหลยอู๋เจี๋ยจับห่อผ้ายาวด้านหลังไว้แน่น ตลอดทางมานี้มันไม่เคยคิดเปิดห่อผ้าสักครั้ง ทว่ายามนี้กลับเริ่มอดกลั้นไว้ไม่อยู่

    ขณะเดียวกันเซียวเซ่อก็กำลังวิ่งหลบไปมาอย่างสง่างาม วิชาตัวเบาของมันเลิศล้ำ แม้ว่าจะไม่อาจต้านรับกระบี่บินได้เหมือนถังเหลียนและอู๋ฉาน แต่กระบี่บินก็ไม่อาจทำร้ายมันได้

    “เฟิงเซียว” อู๋ซวงเอ่ยเสียงเบาแล้วโบกแขนเสื้อ กระบี่เรียวยาวอีกเล่มหนึ่งพุ่งออกไปผ่าเกาทัณฑ์ปีกแดงของถังเหลียนที่โจมตีใส่เป็นสองซีก เด็กหนุ่มยื่นนิ้วออกไป กระบี่บินเล่มนั้นหมุนควงแล้วลอยกลับมาวนอยู่รอบนิ้วมัน อู๋ซวงกล่าวอย่างไม่ยี่หระ “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าควบคุมกระบี่ห้าเล่มพร้อมกัน พวกเจ้าอย่าทำให้ข้าหมดสนุกล่ะ”

    เซียวเซ่อวิ่งหนีกระบี่บินจนมาถึงข้างกายเหลยอู๋เจี๋ยโดยที่สีหน้ามิได้ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย “เหลยอู๋เจี๋ย ยามนี้เจ้าท้อใจมากใช่หรือไม่”

    “หือ? มีอันใด” ยามนี้เหลยอู๋เจี๋ยกำลังยุ่งอยู่กับการตั้งรับกระบี่บินจนเหงื่อผุดพรายท่วมศีรษะ

    “เจ้าคิดว่าหนุ่มน้อยอย่างตนเองเป็นวีรบุรุษ ออกท่องยุทธภพย่อมไร้เทียมทาน แต่เอาเข้าจริงกลับพบเจอแต่คนที่เก่งกาจกว่าตนเอง ใช่หรือไม่” เซียวเซ่อพูดพลางเบี่ยงกายหลบกระบี่อวี้หรูอี้

    ก่อนหน้านี้ยังพอทำเนา อย่างไรหมิงโหวเยวี่ยจีก็ล้วนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในยุทธภพมาหลายปี ส่วนวิชาที่อู๋ซินใช้ไม่นับว่าเป็นวรยุทธ์เสียด้วยซ้ำ ทว่าเด็กหนุ่มคนนี้ดูแล้วก็อายุพอๆ กับตนเอง แต่กลับเป็นถึงยอดฝีมือผู้ใช้วิชาควบคุมกระบี่ ทั้งยังควบคุมกระบี่ได้ถึงห้าเล่มพร้อมกัน กระทั่งถังเหลียนผู้เป็นศิษย์พี่ใหญ่ของเมืองเสวี่ยเยวี่ยยังจนปัญญาจะต่อกร เหลยอู๋เจี๋ยยังต้องไตร่ตรองว่าจะเปิดห่อผ้าที่อยู่ข้างหลังดีหรือไม่ ห่อผ้านั้นอาจารย์กำชับไว้อย่างดีว่าต้องรอให้ถึงเมืองเสวี่ยเยวี่ยและพบคนผู้นั้นก่อนจึงค่อยเปิดมัน แต่บัดนี้สถานการณ์คับขัน…เหลยอู๋เจี๋ยกัดฟันกรอด มันใคร่ครวญถ้อยคำของอาจารย์ สุดท้ายก็หดมือกลับมา

    “ท่านพี่ถังมีหนทางอันใดหรือไม่” เซียวเซ่อคล้ายเดินทอดน่องอย่างผ่อนคลาย ฉับพลันก็ขยับวูบมายังข้างกายถังเหลียน

    “เจ้าไม่เป็นวรยุทธ์ แต่วิชาตัวเบากลับยอดเยี่ยมเลิศล้ำ” ถังเหลียนถลึงตาใส่อย่างดุดัน

    “หรือก็คือมันไม่คิดฆ่าข้า” เซียวเซ่อทอดถอนใจ “เห็นหรือไม่ ที่นิ้วมันยังมีอีกเล่มหนึ่ง หากถึงคราวคับขัน ไม่แน่ว่าอาจโผล่มาอีกเป็นสองเล่ม ต่อให้วิชาตัวเบาข้าล้ำเลิศเพียงใด ถึงจะหลบได้หนึ่งเล่ม แต่จะหลบสองสามเล่มได้หรือ ดังนั้นรบกวนท่านพี่ถังคิดหาวิธีด้วย”

    “ตอนต่อสู้กับหวังเหรินซุน ข้าใช้อาวุธลับจนเกือบหมดแล้ว เจ้าให้ข้าคิดหาวิธี แล้วข้าจะคิดวิธีอันใดได้” น้อยครั้งนักที่ถังเหลียนจะกระวนกระวายเช่นนี้ มันเป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่ของเมืองเสวี่ยเยวี่ย แต่กลับถูกศิษย์รุ่นเยาว์ของเมืองอู๋ซวงจู่โจมจนไร้ทางสู้ ในใจก็อดโกรธเกรี้ยวขึ้นมามิได้

    “ศิษย์พี่…ปล่อยข้าลง” อู๋ซินพลันเอ่ยปาก

    อู๋ฉานนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนยอมปล่อยอู๋ซินลง “ศิษย์น้อง เจ้ายังบาดเจ็บ…”

    ทว่าทันทีที่เท้าอู๋ซินเหยียบพื้น ร่างมันก็วูบหายไปยังข้างกายถังเหลียน อู๋ซินยื่นมือออกไปดีดนิ้วเบาๆ ใส่กระบี่อวิ๋นซัว ทันใดนั้นกระบี่ก็บินกลับไปยังหีบ

    อู๋ซวงอึ้งงันไปเล็กน้อย ก่อนวาดนิ้วชี้ ส่งกระบี่เฟิงเซียวออกไป

    ร่างของอู๋ซินวูบหายอีกครั้ง ไปปรากฏตัวขึ้นข้างกายเหลยอู๋เจี๋ย มันดีดนิ้วเรียวไปทางกระบี่เร่าจื่อโหรวเบาๆ เปลี่ยนทิศทางให้กระบี่บินพุ่งกลับไปหาอู๋ซวง ก่อนหลับตาลงก้มศีรษะเล็กน้อย หลบกระบี่เฟิงเซียวที่พุ่งเข้ามาได้ทันพอดี

    อู๋ซวงมีสีหน้าเคร่งขรึมในที่สุด กระบี่อวี้หรูอี้ที่ไล่ตามเซียวเซ่ออยู่พลันเปลี่ยนทิศหันมาโจมตีอู๋ซิน อู๋ซินลืมตาโพลง กระบี่อวี้หรูอี้พลันหยุดอยู่ห่างจากมันเพียงหนึ่งชุ่นและไม่อาจเคลื่อนไปข้างหน้าได้อีก

    อู๋ซวงกระดิกนิ้วเบาๆ กระบี่บินทั้งหมดพลันกลับมายังหีบกระบี่พร้อมกัน

    เหลยอู๋เจี๋ยมองอย่างตะลึงตาค้าง “อู๋ซิน เจ้าทำลายวรยุทธ์ตนเองไปแล้วมิใช่หรือ หรือว่าเจ้าหลอกบรรพชิตเฒ่าเหล่านั้น”

    “ไม่…ที่มันใช้ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน” เซียวเซ่อมุ่นคิ้ว

    อู๋ฉานนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่ก่อนคลี่ยิ้มออกมา “ยินดีด้วยศิษย์น้อง”

    “เสินจู๋ทง เทียนเอ่อร์ทง เทียนเหยี่ยนทง นี่หาใช่วรยุทธ์ลับของวิหารหลัวช่า นี่คืออภิญญาทั้งหกแห่งลัทธิพุทธอย่างแท้จริง!” ถังเหลียนอุทานอย่างตกตะลึง

    “หรือนี่คือจากมารสู่พระอย่างที่พระอาจารย์เคยกล่าวไว้…ศิษย์น้องทำลายวรยุทธ์ลับ แต่กลับกลายเป็นเรียนรู้อภิญญาทั้งหกแห่งลัทธิพุทธได้” อู๋ฉานเอ่ยอย่างงุนงง

    อู๋ซินส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่รู้ เพียงแต่เมื่อครู่นี้รู้สึกว่าสมองกระจ่างชัด ร่างกายพลันฟื้นฟูพละกำลัง ข้าแค่เคยเห็นบรรพชิตเฒ่าใช้วรยุทธ์เหล่านี้เมื่อครั้งยังเยาว์วัย แต่ยามนี้กลับรู้สึกราวกับฝึกปรือมาเป็นพันเป็นหมื่นรอบก็ไม่ปาน…”

    “เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน” แม้อู๋ซวงจะไม่รู้ว่าพวกมันกำลังพูดอันใดอยู่ แต่มันก็เห็นท่าทางเนิบนาบไม่สะทกสะท้านของอู๋ซินแล้ว “ต้องน่าสนใจเช่นนี้ถึงจะคู่ควรแก่การต่อสู้”

    อู๋ซินก้าวไปข้างหน้า เพียงพริบตามันก็มาปรากฏกายยังเบื้องหน้าอู๋ซวง และยื่นมือไปจับศีรษะอีกฝ่ายไว้ “เจ้าว่าอย่างไรจึงน่าสนใจ”

    อู๋ซวงพลันแย้มยิ้ม ทันใดนั้นฝาหีบกระบี่ก็เปิดออก กระบี่บินห้าเล่มดุจช่อดอกไม้พุ่งเข้าใส่แผ่นอกของอู๋ซิน

    * หนึ่งก้านธูป เป็นคำเรียกเวลาโดยประมาณของคนจีนโบราณ บางตำราว่าประมาณครึ่งชั่วโมง บางตำราว่า 1 ชั่วโมง

    * จื่อเยี่ยนหลิว คือชื่อของพันธุ์ม้าดีในสมัยโบราณ

    * อู๋ซวง แปลว่าเป็นหนึ่ง ไม่มีผู้ใดเหมือน

     

     

    (ติดตามต่อได้ในฉบับรูปเล่ม และ E-book หมื่นยุทธ์พิชิตหล้า ใต้ฟ้าไร้พันธนาการ 1)

     

     

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook