• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน หอดับจิต บทนำ และบทที่ 1

    ขณะที่แสงไฟนั้นกำลังสาดส่อง หลี่เว่ยกั๋วก็รู้สึกว่าตนได้เข้ามาอยู่ในอีกโลกหนึ่ง โลกนี้มีขนาดเพียงไม่กี่นิ้ว โลกที่มองเห็นได้จากแสงอันน้อยนิดของไม้ขีดไฟ เบื้องหลังแสงนั้นยังคงเป็นโลกที่มืดมิดอยู่ดี เท้าของเขาล้อมรอบไปด้วยผู้คน บางคนลืมตาและมีใบหน้าที่เย็นชืด และก็มีบางคนที่หรี่ตาแสยะยิ้ม หลี่เว่ยกั๋วคิดว่าคนพวกนี้อาจกระโจนเข้าหาเขาได้ทุกเมื่อ สีหน้าของทุกคนล้วนแตกต่าง แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่เหมือนกันนั่นก็คือบนร่างของทุกคนถูกคลุมด้วยผ้าสีขาว

    แน่นอนว่าคนเหล่านี้ล้วนตายแล้ว หลี่เว่ยกั๋วจึงพยายามที่จะไม่มองไปยังบรรดาศพ แล้วลากขาที่เป๋ทีละก้าวๆ ไปยังตำแหน่งที่ตนอยู่เมื่อครู่ ไม้ขีดไฟในมือเหลืออยู่เพียงครึ่งก้าน แสงสว่างจุดเล็กๆ จากหัวไม้ขีดไฟท่ามกลางความมืดมิดนั้นไม่ได้ช่วยทำให้ผู้ที่ถืออยู่รับรู้ถึงความอบอุ่นเลยสักนิด กลับกันมันยิ่งทำให้เขารู้สึกหนาวเหน็บมากกว่าเก่าจนเริ่มรู้สึกหายใจลำบากขึ้นมา ด้านหน้าของเขาเป็นศพหญิงสาวที่นอนโชว์เรือนร่างอยู่บนพื้น ส่วนผ้าคลุมสีขาวนั้นตกอยู่ที่ข้างกายหล่อน และใต้ผ้าสีขาวผืนนั้นมีบางสิ่งบางอย่างกำลังขยับเคลื่อนไหวอยู่ มันขยับไปมาอย่างช้าๆ และยิ่งไปกว่านั้นทิศทางที่มันกำลังขยับเข้าหาคือทิศทางที่หลี่เว่ยกั๋วกำลังยืนอยู่

    เปลวไฟเผาไม้ขีดไฟจนเกือบหมดก้านและมันเริ่มไหม้โดนนิ้วของเขาแล้ว เม็ดเหงื่อที่เย็นเฉียบไหลเข้าตา เขาอดกลั้นกับความปวดแสบปวดร้อนจากเปลวไฟด้วยความกลัวอย่างรุนแรง แต่ความอยากรู้อยากเห็นที่มีก็ทำให้เขาโน้มตัวเข้าไปคว้ามุมของผ้าคลุมผืนนั้นแล้วกระชากมันออกเต็มแรง เมื่อหลี่เว่ยกั๋วเห็นสิ่งที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมก็ร้องตะโกนด้วยความตกใจ

    “อ๊า!”

    ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น หลี่เว่ยกั๋วก็ได้ยื่นหัวลับๆ ล่อๆ ออกมาจากห้องดับจิต ด้านนอกฝนยังคงตกอยู่ แต่กลุ่มยามลาดตระเวนหายไปแล้ว คงจะไปตามหาเขาอยู่ที่ใดที่หนึ่ง เขามองไปรอบๆ เมื่อไม่พบใครจึงแอบย่องไปที่ริมรั้ว เดินเลาะริมกำแพงไปไม่กี่ก้าว ทันใดนั้นเงาของเขาก็อันตรธานหายไป

    .

    .

    บทที่ 1  บันทึกของเสิ่นโม่

    มิตรภาพคือสิ่งมหัศจรรย์ที่ไม่ได้แยแสกาลเวลาหรือระยะทาง ต่อให้ไม่ได้เจอหน้าเพื่อนสนิทนานสักแค่ไหน หากได้มาพบกันอีกครั้งก็เหมือนเพิ่งจากกันไปเมื่อวาน…เหมือนมิตรภาพของผมและภรรยาที่มีต่อฟู่เสี่ยวนั่นแหละ

    แค่พริบตาเดียวเราก็เรียนจบมาสองปีแล้ว หลังจากนั้นผมกับเหม่ยซินก็ไม่ได้เจอฟู่เสี่ยวเลย วันนี้เป็นวันแรกที่เราจะได้พบกันอีกครั้ง ก่อนจะไปร่วมงานเลี้ยงรุ่นผมก็เคยคิดนะว่าฟู่เสี่ยวจะมีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง แต่พอได้มาเจอกันแล้วก็ยังดูไม่ออกจริงๆ ว่ามีอะไรเปลี่ยนไปหรือเปล่า…ฟู่เสี่ยวยังคงไว้ผมยาว สวมเสื้อผ้าเก่าๆ โทรมๆ แถมพอดื่มเบียร์ไปเพียงสองสามแก้วหน้าก็แดงซ่านเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน ผมเขย่าแก้วเหล้าในมือพลางยิ้มบางๆ มองดูฟู่เสี่ยวกับภรรยาของผมพูดคุยเล่นหัวกันคิกๆ คักๆ จนอดไม่ได้จริงๆ ที่จะนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาแห่งมิตรภาพที่แสนงดงามสมัยที่เราสามคนยังเรียนอยู่

    จำได้ว่าครั้งแรกที่เราสามคนเจอกัน ฟู่เสี่ยวกำลังถูกคนกลุ่มหนึ่งรุมทำร้าย ตอนนั้นเรายังเรียนอยู่ชั้นปีสอง ถึงแม้จะเรียนห้องเดียวกันแต่ก็พูดได้ว่าผมแทบไม่รู้จักฟู่เสี่ยวเลย เพราะในสายตาผมฟู่เสี่ยวเป็นแค่ลูกคนรวยที่เรียนไม่เอาไหน คอยแต่อาศัยฐานะบารมีของครอบครัวเท่านั้น และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมลังเลเล็กน้อยว่าจะเข้าไปยุ่งเรื่องของเขาดีไหม แต่หลังจากที่ผมตัดสินใจเข้าไปช่วยฟู่เสี่ยว เรื่องราวกลับไม่ดีขึ้น กลายเป็นว่าพวกเราถูกรุมทำร้ายอยู่ตรงนั้นทั้งคู่ หึๆ ทว่ามิตรภาพของเราก็เริ่มต้นขึ้นจากการถูกยำครั้งนั้นนั่นเอง

    มาคิดดูแล้วถ้าตอนนั้นเหม่ยซินไม่ได้เข้ามาช่วยล่ะก็ผมกับฟู่เสี่ยวคงไม่รอดแน่ พวกเราอาจถูกส่งเข้าโรงพยาบาลก็ได้ โชคดีจริงๆ ที่เรามีเหม่ยซิน

    ก่อนหน้านั้นผมไม่เคยคิดว่าผู้หญิงจะเก่งเรื่องชกต่อยได้ ทว่าทั้งก้อนอิฐ ไม้กระบอง อาวุธตามข้างทางทั่วๆ ไปพวกนี้เหม่ยซินกลับหยิบขึ้นมาใช้ได้ทุกอย่าง ผมย้อนนึกภาพในความทรงจำ นับตั้งแต่อันธพาลพวกนั้นเริ่มส่งเสียงร้องไปจนถึงขั้นโหยหวนเหมือนไก่ถูกเชือดน่าจะใช้เวลาไม่ถึงครึ่งนาทีด้วยซ้ำ ผู้หญิงคนเดียวสู้กับอันธพาลกลุ่มใหญ่แต่กลับได้แผลถลอกที่แขนมานิดเดียวเท่านั้น ผมได้แต่มองเธอแบบอึ้งตะลึง ขณะที่ฟู่เสี่ยวกลับมีท่าทีเป็นธรรมชาติ ทั้งที่เลือดกำเดาไหลอาบแต่กลับยิ้มอย่างไม่ยี่หระ พยุงตัวเองขึ้นจากพื้นเข้าไปกอดเหม่ยซินเต็มรัก ปากก็ร้องเสียงดัง

    ‘พี่สาว ทำไมถึงเพิ่งมาเนี่ย’

    ตอนแรกผมคิดว่าฟู่เสี่ยวรู้จักเธอ แต่ที่ไหนได้ ไม่ถึงหนึ่งวินาทีเขาก็ถูกเหม่ยซินถีบลงมากองข้างๆ ผม ผมยังจำได้อีกว่าตอนนั้นเหม่ยซินปรายตามองพวกผมสองคนแบบเท่ๆ แล้วก็เดินจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ

    หลังจากนั้นฟู่เสี่ยวก็ตามหาเหม่ยซินพบแบบไม่เปลืองแรงอะไรเพราะเธอเรียนอยู่ห้องข้างกันนี่เอง ต่อมาไม่นานฟู่เสี่ยวก็อาสาเลี้ยงข้าวผมกับเหม่ยซิน การนัดกินข้าวครั้งนั้นทำให้ผมรู้ว่าสาเหตุที่ฟู่เสี่ยวถูกรุมทำร้ายก็เพราะเขาไปยุ่งเรื่องชาวบ้าน ฟู่เสี่ยวเห็นว่ามีเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังรังแกลุงแก่ๆ ที่ตั้งแผงขายของตรงหน้าประตูโรงเรียน จึงเข้าไปว่ากล่าวตักเตือน ผลปรากฏว่าเด็กพวกนั้นวิ่งไปเรียกพี่ชายของตัวเองมา หลังจากวันนั้นพวกเราทั้งสามคนก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่เพราะเหม่ยซินแก่กว่าฟู่เสี่ยวหนึ่งสัปดาห์ เจ้าฟู่เสี่ยวจึงดึงดันจะเรียกเธอว่าพี่สาวให้ได้ และอาจเป็นเพราะว่าเหม่ยซินเสียพ่อไปตั้งแต่ยังเล็ก เธอจึงรู้จักพึ่งพาตัวเองและมีความเป็นผู้ใหญ่กว่าผมกับฟู่เสี่ยวมาก อีกอย่างเหม่ยซินยังเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในกลุ่มพวกเรา เธอได้ปริญญาสองใบ ส่วนฟู่เสี่ยวที่จริงก็ถือว่าเป็นคนฉลาดเอาเรื่อง เพียงแต่ไม่รักเรียน ถ้าเทียบแล้วผมน่าจะเป็นคนที่โง่ที่สุดในกลุ่ม

    ผมไม่เคยคิดเลยว่าผู้หญิงที่ทั้งเรียนเก่ง ศิลปะป้องกันตัวเป็นเลิศ แถมยังหน้าตาดีจะกลายมาเป็นภรรยาของผมในอนาคต ไม่รู้ว่าทำไมพอผมคิดย้อนกลับไปถึงเรื่องราวดีๆ ในตอนนั้นผมกลับอยากจะร้องไห้ออกมาซะได้ มันคงเป็นโชคชะตาและพรหมลิขิตสินะที่ให้เราผ่านเรื่องราวมากมายทั้งดีและร้ายมาด้วยกันขนาดนี้

    ฟู่เสี่ยวหันมาหาผมแล้วเดินเข้ามาจับบ่าพร้อมส่งยิ้มแบบมีเลศนัยมาให้

    “ผู้กองเสิ่นนี่ไม่ธรรมดาอย่างที่คิดไว้เลย สุดท้ายตามจีบดาวมหา’ลัยของเราได้สำเร็จ นับถือๆ”

    ผมยิ้มก่อนจะส่ายหน้า ฟู่เสี่ยวจะไม่ค่อยพูดต่อหน้าคนที่ไม่สนิทด้วย แต่หากได้มารู้จักกันแล้วล่ะก็เขาจะกลายเป็นคนละคนไปเลย ผมหันไปพูดกับเขาเพื่อเปลี่ยนเรื่องคุย

    “แกนี่นะ พ่อนักวาดการ์ตูน หายไปทีหนึ่งปีสองปี ข่าวคราวก็ไม่เคยส่งมา ไปทำธุรกิจใหญ่โตอะไรหรือไง”

    ฟู่เสี่ยวหัวเราะแล้วส่ายหัวบ้าง “ธุรกิจใหญ่โตอะไรที่ไหนล่ะ สองปีมานี่ฉันไปเขียนการ์ตูนอยู่ที่ญี่ปุ่นนู่น แต่ก็ไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอันสักที ดูสิ ตอนนี้จนขนาดไม่มีเงินซื้อถุงเท้าใส่แล้วเนี่ย” พูดยังไม่พอ ฟู่เสี่ยวถกขากางเกงขึ้นโชว์ให้ดู “ฉันพูดจริงๆ นะ ตอนนี้จนจะตาย จะว่าไปแกรู้ไหมว่าแถวไหนมีห้องถูกๆ บ้าง”

    “แกคิดจะซื้อหรือเช่าล่ะ” ผมถาม

    ฟู่เสี่ยวคอตก “ลูกพี่ครับ นี่ฉันถึงขั้นไม่มีเงินซื้อถุงเท้าใส่นะเว้ย ยังจะให้ฉันซื้ออีกเหรอ ก็ต้องเช่าสิวะ”

    “นี่” เหม่ยซินโผล่มาจากทางด้านหลังแล้วยกแขนขึ้นวางพาดไปบนหัวฟู่เสี่ยว “มีอะไรทำไมไม่บอกพี่สาวคนนี้ล่ะยะ จะไปงอแงใส่ตาทึ่มนี่ทำไม” เธอจีบปากจีบคอแล้วยิ้มเหมือนกับทุกครั้งที่อ้อนผม ผมรู้สึกว่ามันเป็นรอยยิ้มที่สวยมาก และชอบที่จะมองเธอยิ้มอย่างนี้มาโดยตลอด

    “เหอๆ” ฟู่เสี่ยวเบะปากยิ้ม “จริงๆ แล้วผมกำลังมองหาห้องพักถูกๆ น่ะ แต่ห้องสมัยนี้แพงมาก ผมจ่ายค่าเช่าไม่ไหวหรอก”

    เหม่ยซินขมวดคิ้ว “นายไม่ได้เป็นลูกเศรษฐีหรือไง หรือว่าไปมีปัญหาอะไรกับพวกผู้ใหญ่ที่บ้านล่ะ”

    ฟู่เสี่ยวหัวเราะแห้งๆ แล้วหันมาคุยกับผมต่อ “ยิ่งถูกยิ่งดี ไกลหน่อยก็ได้นะ ตอนนี้ไม่ได้ทำงาน เรื่องความสะดวกในการเดินทางอะไรพวกนั้นไม่สำคัญเท่าไหร่”

    “ฉันไม่ได้เป็นนายหน้าขายบ้านนะเว้ย แต่เดี๋ยวจะช่วยถามๆ ให้ แกก็ไปถามเพื่อนคนอื่นด้วยละกัน ถ้าตอนนี้ยังไม่มีเงินก็ยืมพวกฉันก่อนก็ได้”

    “ไม่ต้องๆ แค่แกช่วยฉันหาบ้านก็ถือว่ามากพอแล้ว” ฟู่เสี่ยวเอ่ย

    “ก็ได้ งั้นฉันจะช่วยหา” พอพูดถึงตรงนี้ก็นึกบางอย่างขึ้นได้ “จริงสิ ตอนนี้มีห้องเช่าที่หนึ่งถูกมาก แต่ไม่รู้ว่าแกจะกล้าเข้าไปอยู่หรือเปล่า”

    “ทำไมล่ะ” ฟู่เสี่ยวถาม

    “อาทิตย์ที่แล้วฉันไปจัดการคดีหนึ่งมา ขึ้นไปเหนือวงแหวนรอบนอกที่ห้าหน่อยมีห้องเช่าอยู่ มันเป็นอพาร์ตเมนต์ที่เจ้าของสร้างเอง แต่ที่นั่นเคยมีคนฆ่าตัวตาย คนในตึกกลัวว่าจะมีเคราะห์เลยย้ายหนีไปกันหมด ฉันว่าที่นั่นน่าจะถูกอยู่พอสมควรนะ เพราะตึกที่เคยมีคนตายมาก่อนไม่ค่อยมีใครอยากเช่าเท่าไหร่”

    ฟู่เสี่ยวตบขาตัวเองฉาดหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างมั่นใจ “เอาสิ ที่นี่แหละ ทำไมฉันจะอยู่ไม่ได้ล่ะ ขอแค่มันถูกก็พอ ฉันน่ะพลังเต็มร้อย ไม่กลัวหรอกเรื่องพวกนี้”

    “นายจะบ้าเหรอ” เหม่ยซินที่นั่งอยู่ข้างๆ หันไปมองฟู่เสี่ยวอย่างตกใจ “ห้องที่มีคนตายแบบนั้นจะอยู่ได้ยังไง”

    ฟู่เสี่ยวยิ้มนิ่งๆ ให้เหม่ยซินอย่างไม่รู้สึกรู้สา

    “ที่ที่มีคนตายสิถึงจะปลอดภัย หรือพวกแกเคยเห็นที่ไหนมีคนตายซ้ำกันสองรอบ เอาตามนี้ละกัน เดี๋ยวรอให้ไอ้ท่อนไม้มีเวลาก่อนแล้วพาฉันไปดูหน่อย”

    Comments

    comments

    Continue Reading
    Click to comment

    Leave a Reply

    อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *

    This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ยอดสถาปนิกผู้พิทักษ์อาณาจักร เล่ม 1 ครั้งที่ 1

      บทที่ 1 กลายเป็นเศษสวะในนิยาย     เหตุการณ์ที่เหมือนนิยายกำลังเกิดขึ้นกับผม เมื่อลืมตาก็พบว่าตัวเองหลุดมาอยู...

    Facebook