• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน สยบฟ้า พิชิตปฐพี เล่ม 11 บทที่ 2

     

    บทที่ 2 หลวงจีนเหี่ยวแห้งกลางเนินเขาโครงกระดูก

     

    ผ่านไปเนิ่นนาน หนิงเชวียจึงค่อยตื่นขึ้นจากภาวะตกตะลึง ในใจยามนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย

    ภูเขาหลังสถานศึกษาเป็นสถานที่ที่เป็นปริศนาเช่นกัน แต่กลับให้ความรู้สึกอบอุ่นและสนิทชิดใกล้แก่คนเรา แตกต่างกับสถานที่นี้ที่ทำให้จิตใจหดหู่อ้างว้าง น่าจะเป็นดั่งที่โม่ซันซันเคยพูดเอาไว้ ภูเขาหลังสถานศึกษานั้นเชื่อมแดนโลกิยะกับโลกุตระเข้าไว้ด้วยกัน ในขณะที่สำนักพรรคมารกลับปลีกตัวอยู่แต่ในแดนโลกิยะอย่างสันโดษ ไม่สนใจเรื่องราวภายนอก

    เพราะถูกหิมะบนเขาเทียนชี่ฝังกลบร่องรอยมานานปี ที่นี่จึงเหลือแต่เพียงความรกร้างหนาวเหน็บ ทอดสายตามองไปทางใดก็มีแต่ความเวิ้งว้าง เมื่อนึกถึงว่าในอดีตกาลที่พรรคมารยังเฟื่องฟู คงมีสานุศิษย์จำนวนมากมายมาคุกเข่ากราบกรานอยู่บนลานหินนี้ ในใจของหนิงเชวียก็อดสะทกสะท้อนขึ้นมามิได้

    สามารถเจาะคว้านใจกลางภูเขาออกมาได้ทั้งลูก ความสามารถในการขนส่งเคลื่อนย้ายของชาวฮวงเมื่อพันปีก่อนนับว่ายากเกินกว่าที่จะจินตนาการได้ หนิงเชวียพอนึกถึงว่าต้าถังเป็นผู้ขับไล่ชาวฮวงที่เก่งกาจมากสติปัญญาเหล่านี้ออกจากทุ่งร้างไปยังดินแดนเหนือสุดอันหนาวเหน็บ ความภาคภูมิใจอย่างรุนแรงก็แผ่พุ่งขึ้นมาทันที

    สมองมันยังขบคิดไม่หยุดขณะพยุงโม่ซันซันเดินไปตามแผ่นหินขนาดมหึมา พรรคมารไม่ได้รับอนุญาตให้ดำรงอยู่ในโลกนี้ เป็นเพราะวิธีการฝึกฌานที่ฝืนรับฟ้าดินไว้ในร่างกายถูกมองว่าเป็นการไม่เคารพต่อเฮ่าเทียน ดังนั้นการที่ต้าเสินกวนหน่วยแสงสว่างผู้ก่อตั้งพรรคมารสั่งให้ชาวฮวงขุดคว้านเทือกเขาเทียนชี่ ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะต้องการใช้เรื่องนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่ามนุษย์ก็มีความสามารถไม่แพ้เฮ่าเทียน ไม่จำเป็นต้องลงให้เฮ่าเทียนกระมัง

    ในโลกที่สว่างไสวไปด้วยแสงเจิดจรัสของเฮ่าเทียน วิธีการเช่นนี้แสดงออกถึงความไม่เคารพอย่างถึงที่สุด นับว่าทระนงถือดีและอหังการอย่างแท้จริง มิน่าเล่านิกายหมิงจึงถูกเรียกขานว่าพรรคมาร

    แผ่นหินขนาดใหญ่เชื่อมต่อโยงใยพื้นที่ในช่องว่าง สุดท้ายไปผนวกรวมกันเป็นลานหินราบเรียบบริเวณใจกลางภูเขา เหมือนใยแมงมุมที่แขวนลอยอยู่กลางอากาศ แผ่นหินทั้งใหญ่และหนา ดูแล้วหากเอารถม้าขึ้นมาวิ่งขนานกันทีเดียวสี่คันจริงๆ ก็คงไม่สะเทือน ตามพื้นมีร่องรอยการถูกกระแทกและยังมีเศษหินที่แตกหักขนาดเล็กบ้างใหญ่บ้างกองอยู่ คิดว่าคงเป็นหินที่ตกลงมาจากเพดานถ้ำ ที่สำคัญคือแผ่นหินเหล่านี้กลับยังไร้รอยแตกร้าว นับว่าเป็นสิ่งปลูกสร้างที่แข็งแรงมั่นคงจริงๆ

    ทว่าถึงอย่างไรก็ทอดตัวอยู่กลางอากาศ เมื่อลมภูเขาพัดผ่านช่องว่างระหว่างแผ่นหินจึงบังเกิดเสียงดังหวีดหวิวขึ้น ให้ความรู้สึกน่าหวาดเสียวไม่น้อย หนิงเชวียเองที่กำลังมองความเวิ้งว้างว่างเปล่าที่อยู่รอบกาย ขณะฟังเสียงลมผ่านข้างหูก็ยังรู้สึกว่าขาแข็งอยู่บ้าง คิดในใจว่าหากพลัดตกลงไป คงใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่าร่างจะดิ่งละลิ่วตกถึงพื้น

    ระยะทางจากผนังผาไปยังจุดศูนย์กลางยาวไกลยิ่ง ทั้งสองเดินอยู่นานก็ยังไปได้ไม่ถึงหนึ่งในสาม แต่วิหารที่ตั้งอยู่กลางลานเริ่มขยายใหญ่ขึ้นในสายตา นำพาให้ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในความเล็กกระจิริดไร้ความสำคัญของตัวเองและความหวาดกลัวค่อยๆ จางหายไป

    ฝีเท้าของหนิงเชวียกับโม่ซันซันเร็วขึ้นมากเมื่อเทียบกับในตอนแรก หนิงเชวียเริ่มแบ่งสมาธิไปมองรอบตัว สังเกตเห็นว่าพื้นหินใต้ฝ่าเท้ามีลายเส้นอยู่เต็มไปหมด ลายเส้นเหล่านี้อันที่จริงเป็นร่องสลักที่แกะลึกเข้าไปในเนื้อหิน เศษหินก้อนเล็กก้อนน้อยในร่องเดี๋ยวๆ ก็ถูกกระแสลมพัดกลิ้งไปมาสักทีหนึ่ง

    หนิงเชวียอาศัยแสงจากด้านบนเพ่งมองอย่างจริงจัง พบว่าลายเส้นเหล่านี้ต่างไปรวมตัวกันอยู่ที่จุดจุดหนึ่งแล้วประกอบกันขึ้นเป็นลวดลายเรียบง่าย ดูหยาบแต่มีพลัง คล้ายภาพวาดตามผนังถ้ำในยุคดึกดำบรรพ์ คาดว่าน่าจะใช้อาวุธประเภทดาบหรือขวานสลักออกมา

    ขณะที่เดินไปเรื่อยๆ ภาพตามแผ่นหินก็ค่อยๆ ทยอยปรากฏสู่สายตาภาพแล้วภาพเล่า

    ภาพแรกเป็นภาพน้ำบ่าไหลท่วม

    ชายฉกรรจ์คนหนึ่งรอบเอวพันไว้ด้วยเครื่องนุ่งห่มที่คล้ายถักมาจากฟางแห้ง ในมือถือเครื่องมือขุดดินที่หัวด้านหนึ่งเหมือนจอบ อีกด้านหนึ่งเป็นปลายแหลม ยืนอยู่บนกำแพงดินข้างทางน้ำที่กำลังโหมซัดทุกอย่างที่ขวางหน้า พลางแหงนหน้าก่นด่าท้องฟ้าอย่างเดือดดาลที่ส่งสายฝนเม็ดหนาลงมาอย่างไร้ความปรานี

    ภาพที่สองเป็นภาพไฟป่ากำลังเผาไหม้ภูเขาทั้งลูก

    สตรีหลายคนสวมกระโปรงสั้นที่ทอจากผ้าเนื้อหยาบ ในมือถือถังน้ำ ยืนร้องไห้อยู่ข้างป่าไผ่ มองนาข้าวที่กำลังถูกไฟไหม้อย่างทุกข์ใจ

    ภาพที่สามเป็นภาพหิมะพร่างพรมลงมามืดฟ้ามัวดิน

    ชาวนาหลายคนพันร่างด้วยหนังสัตว์ กำลังใช้เครื่องมือสารพัดอย่างซ่อมแซมบ้านเรือนอย่างตั้งอกตั้งใจโดยไม่สนใจหิมะที่ตกใส่ศีรษะแม้แต่น้อย

    ภาพที่สี่เป็นภาพแผ่นดินไหว

    จุดสีดำนับพันหมื่นที่ไม่มีหน้าตายืนอยู่กลางไร่นาที่มีแต่รอยแยก คล้ายกำลังฝังศพผู้ตายและก็คล้ายกำลังช่วยผู้ที่ยังรอดชีวิต พวกมันไม่ตะโกนด่าทอด้วยโทสะ ไม่ร้องไห้ตีอกชกตัว แค่ก้มหน้าใช้ชีวิตของตัวเองต่อไป

    เนื้อหาในแต่ละภาพล้วนเป็นความพิโรธที่เฮ่าเทียนมีต่อมนุษย์ และยังแสดงให้เห็นถึงความทุกข์ทรมานและการดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์

    ภาพบนแผ่นหินยังคงมีต่อไปเรื่อยๆ พอมนุษย์คิดค้นเครื่องมือเครื่องใช้ได้แล้ว เริ่มมีความเข้าใจในธรรมชาติมากพอ เวลาต้องเผชิญหน้ากับภัยธรรมชาติจึงเปลี่ยนเป็นสงบเยือกเย็นขึ้น บางทีในใจพวกมันอาจจะยังเศร้าโศกเสียใจและโกรธแค้น แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกมันก็ยังคงมีชีวิตอยู่รอดต่อไป ทั้งยังอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้

    สีหน้าของหนิงเชวียกับโม่ซันซันขณะเดินดูภาพเคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ แม้พวกมันจะไม่เข้าใจหรือไม่แน่ใจในสิ่งที่คนพรรคมารต้องการจะบอกผ่านภาพทั้งหมดนี้ แต่ในฐานะที่เป็นมนุษย์ก็คล้ายจะพอเห็นอะไรได้บางอย่าง

    สุดทางเดิน ภาพสุดท้ายที่ปรากฏให้เห็นเรียบง่ายธรรมดายิ่ง ลายเส้นมีน้อยกว่าภาพก่อนๆ ด้านล่างสุดคือเส้นตรงสามเส้นที่ลากเชื่อมช่องเล็กๆ จำนวนมากมายเอาไว้ อาจเป็นการแสดงถึงมนุษย์ที่ดำรงชีวิตออกลูกออกหลานครอบครองดินแดนในโลก เพราะช่องเล็กๆ เหล่านั้นคล้ายสองมือของมนุษย์ที่ยกชูขึ้นสูงยามโห่ร้องเฉลิมฉลองด้วยความยินดี เหนือเส้นสามเส้นเป็นรอยสลักลึกที่ประกอบขึ้นเป็นรูปวงกลมรูปหนึ่งกับรูปครึ่งวงกลมอีกรูปหนึ่ง

    โม่ซันซันขมวดคิ้วจนเป็นปมขณะพยายามขบคิดว่ามีปริศนาใดซ่อนเร้นอยู่ในภาพเหล่านี้บ้างหรือไม่ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีเงื่อนงำแม้แต่น้อย

    หนิงเชวียจ้องภาพสุดท้ายตาเขม็ง มือที่พยุงโม่ซันซันสั่นเล็กน้อย เนื้อตัวเย็นเฉียบ คล้ายคาดเดาอะไรออก แต่ก็รู้สึกว่าการคาดเดาของตัวเองออกจะเหลวไหลเพ้อเจ้อเกินไป

    น่าเสียดายที่ยามนี้มันอยู่ในสำนักพรรคมารที่ถูกทิ้งร้าง ไม่มีเวลาเอาสมองมาคิดถึงเรื่องเกี่ยวกับศิลปะลัทธิสัตว์ป่า สัญลักษณ์นิยมหรือศิลปะเหนือจริง และต่อให้มันอยากคิด ภาพที่เห็นเมื่อเดินมาถึงด้านหน้าของวิหารหลังนั้นก็ทำให้มันต้องตกตะลึง มิอาจคิดถึงเรื่องอื่นได้อีก

    แผ่นหินจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนยื่นออกจากผนังผามารวมศูนย์อยู่ที่นี่ ก่อเกิดเป็นลานหินราบเรียบผืนหนึ่งลอยแขวนอยู่กลางอากาศ ลมภูเขาพัดพาละอองฝุ่นบนวิหารให้ลอยฟุ้งแล้วตกลง

    หนิงเชวียค่อยๆ ไล่สายตามองตามละอองฝุ่นที่ตกลงมา จากชายคาวิหารลงมาที่พื้น และแล้วโครงกระดูกจำนวนมากมายที่กองสุมราวกับเนินเขาลูกย่อมๆ ก็ปรากฏขึ้นที่ตรงหน้า!

    ความคิดแรกในสมองของมันคือ โครงกระดูกเหล่านี้เหมือนถูกกองสุมไปทั่วพื้นทราย นั่นเป็นเพราะละอองฝุ่นถูกลมภูเขาพัดตกลงมาทับถมเป็นเวลานาน จึงมีความหนาเกือบถึงหนึ่งฝ่ามือ มองเผินๆ ทั่วทั้งบริเวณจึงคล้ายทะเลทรายอยู่บ้าง ความคิดถัดมาคือ ตอนพรรคมารถูกถล่มมิทราบว่าต้องผ่านการต่อสู้อย่างดุเดือดเลือดพล่านถึงระดับใด แค่นอกวิหารก็ยังมีคนตายมากมายถึงเพียงนี้ แม้บัดนี้ทุกศพจะเหลือแต่โครงกระดูกสีขาวโพลน แต่ร่องรอยอาวุธอันคมกริบที่หลงเหลืออยู่บนกระดูกแขนขาที่ขาดกระเด็นเกลื่อนพื้นก็ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความโหดเหี้ยมที่เกิดขึ้นได้ดี

    หนิงเชวียพยุงโม่ซันซันเดินลุยกองกระดูกเข้าไปจนถึงบันไดที่อยู่ติดกับตัววิหารหลัก บริเวณนั้นมีโครงกระดูกที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์หลายโครง ทั้งนี้เพราะศพเหล่านี้ใส่ชุดเกราะ โครงกระดูกที่อยู่ด้านในจึงได้รับการปกป้อง ไม่หักหรือหลุดกระจายเกลื่อนพื้นไปตามแรงลม มีบางโครงมือยังกำอาวุธเอาไว้แน่น แม้ตายไปแล้วหลายสิบปีก็ยังไม่ยอมปล่อย

    ชีวิตนี้มันเห็นคนตายมามาก ที่ทารุณโหดร้ายยิ่งกว่านี้ก็เห็นมาจนชาชิน จึงยังคงรักษาความสงบนิ่งเอาไว้ได้ มิหนำซ้ำยังลงนั่งยองๆ ตรวจดูอย่างละเอียด แต่โม่ซันซันไม่เคยเห็นภาพที่น่าสยดสยองและโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้มาก่อน ใบหน้าจึงขาวซีด กำมือแน่น พูดอะไรไม่ออก

    อาวุธที่ผู้ตายถืออยู่เห็นได้ชัดว่าไม่ธรรมดา แม้กาลเวลาจะผ่านมานานก็ยังมีประกายคมกริบ หนิงเชวียสัมผัสถึงกลิ่นอายยันต์ที่ทรงอานุภาพบนชุดเกราะ ในใจก็ยิ่งแตกตื่น คาดคะเนว่าโครงกระดูกเหล่านี้จะต้องเป็นยอดผู้ฝึกฌานพรรคมารในสมัยนั้นอย่างแน่นอน

    มันยื่นมือไปปัดฝุ่นบนชุดเกราะ ต้องการจะมองลายยันต์ให้ชัดเจน คิดไม่ถึงพอปลายนิ้วกระทบถูกก็มีเสียงกร๊อบดังขึ้นเบาๆ ชุดเกราะที่ดูแข็งแรงทนทานถึงกับแตกแยกออกจากกันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย!

    เสียงนี้ดังระรัวติดต่อกันไปพร้อมๆ กับที่บรรดาชุดเกราะบนโครงกระดูกที่สุมทับกันตรงหน้าบันไดเริ่มแตกหลุดออกจากกันเป็นชิ้นๆ กลิ่นอายยันต์จางหายไปในอากาศ ไม่สามารถรับรู้ได้อีกเลย

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook