• Connect with us

    Enter Books

    ซยงหนู

    ทดลองอ่าน ซยงหนู ทัณฑ์สวรรค์ อาถรรพ์ต้องสาป เล่ม 1 บทที่ 1-2

    บทที่ 1 ใต้คมธนูโบราณ ความตายของหนึ่งคนเร่ร่อน

     

    ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเริ่มต้น ผมได้รับโทรศัพท์สายหนึ่ง

    ผมรีบสูดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปลงท้อง ถามปลายสายด้วยความสงสัย “จะคืนเงินให้ฉัน? นายใช่ซุ่นจื่อตัวจริงหรือเปล่า”

    ซุ่นจื่อมีความเป็นอยู่แบบไหนผู้คนบนย่านค้าของเก่าต่างรู้ดี เขาหาเงินเล็กๆ น้อยๆ ใช้ด้วยการหลอกพวกมือใหม่หน้าโง่ที่คิดเข้าวงการ พอตกค่ำก็ไปอาศัยหลับนอนอยู่ในร้านอินเตอร์เน็ตใกล้ๆ คอยแวะเวียนยืมเงินจากพวกเถ้าแก่เจ้าของแผงกับลูกค้าที่รู้จักมักจี่กันอยู่ประจำ ผู้คนบนถนนตลอดสายไม่มีใครไม่เคยถูกเขายืมเงิน ขณะเดียวกันก็ไม่มีใครเคยเห็นเขาคืนเงินใครเช่นกัน เวลาใครมีของชิ้นใหญ่อยู่ในมือ เขาก็มักจะอาศัยจังหวะนั้นกึ่งขอกึ่งยืม ทีละร้อยเหรียญบ้างแปดสิบบ้าง แต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีใครคิดถือสาหาความอะไรเขา ตรงกันข้ามกลับนึกเวทนาสงสาร ประกอบกับการที่เขาเองก็เป็นคนฉลาดเฉลียว ทุกครั้งเวลาการค้าดำเนินมาถึงจุดสำคัญเขามักรู้จักสรรหาคำพูดมีน้ำหนักมาช่วยเกลี้ยกล่อมชักจูงลูกค้าได้อยู่เป็นประจำ

    ถ้าแค่เศษเงินเล็กๆ น้อยๆ ก็คงไม่เป็นไร แต่เมื่อครึ่งเดือนก่อนซุ่นจื่อเอาเงินจากผมไปรวดเดียวถึงสองพันเหรียญ ตอนนั้นเขาบอกว่าไปเจอของดีชิ้นหนึ่งเข้า หนำซ้ำยังเป็นความลับสุดยอดอีกต่างหาก เขาสัญญาว่าถ้าการค้าครั้งนี้สำเร็จเขาจะยอมแบ่งผลกำไรกับผมคนละครึ่ง วันที่สองผมถึงได้รู้ว่าถูกเจ้าเด็กนั่นหลอกเอาเสียแล้ว ความลับบ้าบออะไรกัน เขาก็แค่หลอกเอาเงินผมไปใช้เท่านั้น จริงอยู่ที่ผมเองไม่ได้มีเงินเย็นมากมายให้ใครหยิบยืม แต่ไหนๆ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว นอกจากจะยอมรับความจริงแล้วผมยังจะทำอะไรได้อีก ทว่าในตอนนี้ต่อให้อัดผมให้ตายผมก็ไม่กล้าคิดว่าเจ้าเด็กบ้านั่นจะเป็นฝ่ายโทรมาบอกว่าจะคืนเงินให้ผม แถมยังจะคืนเงินที่ติดค้างผมก่อนหน้านี้ทั้งหมดอีกด้วย

    ผมโยนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในมือทิ้ง รีบเดินดุ่มออกจากบ้าน ตอนมาถึงหน้าถนนย่านค้าของเก่าผมถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าท้องฟ้าในเวลานี้มืด เมฆดำอยู่ต่ำราวกับจะถล่มลงมา กดทับจนผมหายใจแทบไม่ออก ซุ่นจื่อกำลังยืนตะโกนเรียกผมอยู่ที่หน้าร้านอินเตอร์เน็ตที่ตั้งอยู่อีกฟากถนน

    “พี่เสี่ยวอิ้น ทางนี้” ใบหน้าซูบผอมอาบอิ่มด้วยสีหน้าตื่นเต้นแทบเก็บงำไว้ไม่อยู่

    หลังจากมองซ้ายมองขวาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะมีรถแท็กซี่คันไหนโฉบตัดหน้าเข้ามา ขณะที่ผมกำลังข้ามถนน เสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงปร้างเหนือหัวก็ดังสะเทือนเลื่อนลั่นขึ้น เล่นเอาผมถึงกับสะดุ้ง

    พอเห็นผมวิ่งเหยาะๆ เข้าไปหา เจ้าเด็กบ้านั่นก็ไม่รู้ตื่นเต้นอะไรนักหนา เขายิ้มยิงฟันร้องเรียกผมด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นยินดีเป็นที่สุด “พี่เสี่ยวอิ้น” ก่อนจะหันหน้ากลับไปหยิบเอากระเป๋าผ้าใบที่อยู่ด้านหลังมาไว้ทางด้านหน้า ขณะกำลังก้มรื้อหาของ ปากเขาก็พึมพำพูด “พี่เสี่ยวอิ้น…พี่เสี่ยวอิ้น…นี่!” พร้อมดึงเอาซองจดหมายสีเทาฉบับหนึ่งออกมา

    ตลอดเวลามือซ้ายของซุ่นจื่อยังคงกุมกระเป๋าผ้าใบไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ขณะที่เขาเงยหน้ายื่นส่งซองจดหมายให้กับผมนั้นเอง ผมก็เหมือนจะได้ยินเสียงวัตถุมีคมแล่นแหวกอากาศดังลอยเข้าหู หนำซ้ำยังดังชัดมากขึ้นทุกที สัญชาตญาณบอกให้ผมหันหน้ามองไปตามทิศที่มาของเสียง ทันใดนั้นเงาดำของอะไรบางอย่างก็วาดผ่านตาผมไปพร้อมกับเสียงฟ้าร้องดังลั่น แทบจะในเวลาเดียวกันร่างผอมบางของซุ่นจื่อก็เอนล้มมาทางด้านหน้า สีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้นเมื่อครู่แข็งทื่อขึ้นมาฉับพลัน ดวงตาเรียวเล็กทั้งสองข้างของเขาเบิกกว้าง จดหมายหล่นลงบนรองเท้าแตะของผม ใจผมสั่นสะท้าน รีบหันกลับไปมองดูซุ่นจื่อ แต่ที่มองเห็นคืออกเสื้อของเขาแดงฉาน ที่อยู่ตรงกลางคือหัวธนูที่อาบไปด้วยเลือดของซุ่นจื่อแล่นทะลุอกของเขา

    ผมยืนตกตะลึงตาค้าง

    หลังจากนั้นอีกครึ่งวินาทีร่างของซุ่นจื่อก็ล้มลงกับพื้น ผมตกใจเมื่อพบว่าบนแผ่นหลังของเขามีลูกธนูยาวๆ สีเข้มดอกหนึ่งปักตรึงอยู่

    ซุ่นจื่อ…ซุ่นจื่อถูก…ถูกธนูยิงปักทะลุร่างต่อหน้าต่อตาผม!

    ผมขวัญหนีดีฝ่อ เนื้อตัวสั่นระริก หันมองไปตามทางที่เงาดำวาบผ่านตาผมอีกครั้ง กลับเห็นเพียงเมฆดำหนากับผู้คนและรถราที่สัญจรขวักไขว่ไปมาอยู่ใต้เมฆดำ

    ภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าทำเอาผมตกใจจนแทบสิ้นสติ ร่างกายเหมือนจะไม่เชื่อฟังคำสั่งของผมอีกต่อไป ไม่รู้ทำไมผมถึงอดไม่ได้ที่จะมองไปยังเมฆดำพวกนั้นที่คล้ายกำลังจะถล่มลงมาในอีกไม่ช้า คล้ายกับว่า…คล้ายกับว่าผมกำลังนึกสงสัยว่าลูกธนูดอกนั้นถูกยิงออกมาจากเมฆดำนั่น มือผมที่ยื่นค้างอยู่กลางอากาศเตรียมรับซองจดหมายที่ซุ่นจื่อส่งให้ยังคงแข็งค้างอยู่อย่างนั้น มันสั่นสะท้านราวกับกำลังเขย่ากลองป๋องแป๋งอยู่

    ในหัวของผมเหมือนอัดแน่นไปด้วยบางสิ่งบางอย่างที่จับต้องไม่ได้ มองก็ไม่เห็น คล้ายเสียงหวีดร้องแปลกประหลาดเมื่อครู่ได้หยั่งรากฝังลึกลงในสมอง หูมีก็แต่เพียงเสียงแหลมๆ ชวนหงุดหงิดนั่น ผมตะโกนร้องอย่างสติสัมปชัญญะรางเลือน “ซุ่นจื่อ…ซุ่นจื่อ!”

    ซุ่นจื่อไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ แต่มือซ้ายของเขายังคงกุมกระเป๋าผ้าใบที่เอียงล้มอยู่อีกด้านแน่น

    ผมไม่รู้จะอธิบายถึงความรู้สึกภายในจิตใจตอนนี้ยังไงดี แต่ที่พอจะบอกได้ก็คือความรู้สึกหวาดหวั่นในใจผมกำลังพุ่งทะยานถึงขีดสุด ความหวาดหวั่นดังกล่าวไม่เหมือนกับความรู้สึกหวาดกลัวใดๆ ที่ผมเคยพบเจอ ตรงกันข้ามกลับเป็นความรู้สึกหวาดผวาอับจนหนทางที่เลื้อยขยุกขยิกอยู่ยังส่วนลึกภายในใจ ก่อนจะคืบคลานขยายลุกลามไปทั่วทั้งตัว ที่แย่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือผมยังมีลางสังหรณ์ว่าเรื่องที่น่ากลัวยิ่งกว่านี้ยังมาไม่ถึง

    นี่เป็นแค่เพียงการเริ่มต้นเท่านั้น เป็นเพียงการเริ่มต้นที่เล็กเสียจนไม่มีค่าให้พูดถึง แต่ครั้นจะไม่พูดก็คงเป็นไปไม่ได้

     

    ขณะที่กำลังสับสนงุนงง ผมก็ถูกคุมตัวไปสถานีตำรวจ

    แม้จะสูบบุหรี่ไปหลายต่อหลายมวน แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้ผมสงบจิตสงบใจลงได้เลย ผมมองเห็นซุ่นจื่อล้มลงตรงหน้า สิ่งที่ฝังแน่นอยู่ในหัวผมคือธนูประหลาดที่ปักอยู่บนแผ่นหลังของซุ่นจื่อ ผมพยายามรื้อฟื้นภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏขึ้นเต็มสองตาในเวลานั้นอย่างสุดกำลัง ภาพซุ่นจื่อล้มลงกับพื้นในวินาทีนั้นหยุดค้าง หัวธนูสีเลือดที่แล่นทะลุหน้าอกของซุ่นจื่อมีขนาดต่างจากลูกธนูทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด เลือดไม่ได้ไหลออกมาจากทางด้านล่างหรือริมขอบของหัวธนู แต่กลับไหลทะลักออกมาจากตรงกลาง! ใช่แล้ว ตรงกลางของหัวธนูมีรูเล็กๆ สองรู ที่แท้เสียงวี้ดเหมือนเสียงนกหวีดที่ดังอยู่ในหูของผมก็เกิดจากการออกแบบพิเศษของหัวธนูนี้

    ถึงผมจะมีความรู้เรื่องอาวุธโบราณเพียงน้อยนิด แต่ตอนสมัยอยู่มหาวิทยาลัยมีอยู่ครั้งหนึ่งผมเคยสวมรอยเป็นผู้ช่วยวิจัยด้านอาวุธโบราณ รับเขียนงานวิทยานิพนธ์เรื่องธนูโบราณเพื่อหารายได้เสริม และนั่นก็ทำให้ผมต้องทุ่มเทเวลาแรงกายแรงใจเป็นอย่างมากเพื่อเพิ่มพูนความรู้ด้านนี้ให้กับตัวเอง แม้จะรู้ไม่ลึกก็ตาม

    การออกแบบธนูเช่นนี้มีต้นกำเนิดจากข่านโม่ตู๋ของพวกชาวซยงหนูผู้มีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือ ซือหม่าเชียนเคยบันทึกถึงที่มาที่ไปของธนูชนิดนี้ไว้ในพงศาวดารสื่อจี้ หมวดประวัติความเป็นมาของจักรวรรดิซยงหนู ตอนนั้นผมทำก็แค่เพียงคัดลอกผลงานส่วนใหญ่มา ไม่ได้สนใจอ่านมันอย่างละเอียดจริงจัง แต่ถึงอย่างนั้นในหัวผมก็ยังพอมีความทรงจำติดค้างอยู่บ้าง ดูเหมือนในบันทึกจะเขียนเอาไว้ว่าช่วงปลายราชวงศ์ฉินต้นราชวงศ์ฮั่น ตอนนั้นข่านโถวม่านยังเป็นประมุขของเผ่า ส่วนโม่ตู๋มีฐานะเป็นรัชทายาท ว่ากันตามหลักแล้ว ไม่ว่ายังไงคนที่จะสืบทอดตำแหน่งของข่านโถวม่านในวันหน้านอกจากโม่ตู๋แล้วก็ไม่มีทางเป็นใครไหนอื่นไปได้ แต่เพราะข่านโถวม่านดันไปมีลูกกับสตรีอื่นอีก โม่ตู๋เลยตกกระป๋องไม่เป็นที่โปรดปราน ที่แย่ไปกว่านั้นคือข่านโถวม่านดันคิดจะปลดโม่ตู๋ออกจากตำแหน่งรัชทายาท แต่งตั้งเด็กคนนั้นขึ้นเป็นรัชทายาทแทน ดังนั้นข่านโถวม่านเลยตัดสินใจส่งโม่ตู๋ไปเป็นตัวประกันยังแคว้นเยวี่ยจือ* อ้างว่าเพื่อเป็นการแสดงถึงความจริงใจในการร่วมเป็นพันธมิตร แต่พอโม่ตู๋ไปถึงเยวี่ยจือ ข่านโถวม่านกลับกรีธาทัพใหญ่โจมตีแคว้นเยวี่ยจือทันที เห็นชัดว่าคนเป็นพ่อหมายเอาชีวิตลูกตัวเอง

    โม่ตู๋เป็นคนมีความสามารถ หลังรู้ข่าวเขาก็ขโมยม้าขี่หนีออกจากเยวี่ยจือ แต่เพราะไม่มีที่ให้ไป สุดท้ายจึงจำต้องกลับบ้าน พอกลับไปถึงข่านโถวม่านก็ไม่ได้แสดงพิรุธอะไร ตรงกันข้ามกลับมอบทหารม้าหนึ่งหมื่นนายให้อยู่ภายใต้การบัญชาการของเขา เรื่องนี้น่าจะเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่ข่านโถวม่านเสียใจที่สุดในชีวิต ใครไหนเลยจะนึกถึง แม้ต่อหน้าโม่ตู๋จะมิได้เอะอะโวยวายอะไร แต่ลับหลังเขากลับเฝ้าคิดถึงแต่เรื่องชิงอำนาจ

    โม่ตู๋สร้างธนูชนิดใหม่ขึ้น ธนูชนิดนี้เวลายิงออกไปจะเกิดเสียงวี้ดดัง ทำให้ต่อมาถูกเรียกขานว่าลูกธนู ‘หมิงตี’ ลูกธนูชนิดนี้หลักๆ แล้วโม่ตู๋ใช้เพื่อส่งสัญญาณ เมื่อใดก็ตามที่ลูกธนูหมิงตีหวีดเสียงแหวกอากาศ คนอื่นๆ ที่ได้ยินก็ต้องยิงธนูตามออกไป คนที่ไม่ยิงมีแต่ต้องตายสถานเดียวเท่านั้น และก็ด้วยเพราะธนูชนิดนี้นี่เองที่ทำให้แม่เลี้ยงของโม่ตู๋และน้องชาย รวมถึงเหล่าขุนนางที่ไม่ยอมเชื่อฟังเขาต้องจบชีวิตลง แน่นอนว่าคนที่น่าเวทนาที่สุดย่อมหนีไม่พ้นข่านโถวม่านเจ้าของราชบัลลังก์ ร่างถูกลูกธนูพุ่งเสียบทะลุจนพรุนดูไม่ต่างอะไรกับตะแกรง

    หลังจากโม่ตู๋ตั้งตนขึ้นเป็นข่าน ลูกธนูหมิงตีก็ถูกนำไปใช้ในการศึกสงคราม โดยกำหนดให้มีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถใช้เจ้าสิ่งนี้ได้ หน้าที่หลักของมันคือใช้เพื่อส่งสัญญาณตอนอยู่ในสมรภูมิรบ

    ถึงแม้ลูกธนูหมิงตีจะถูกนำไปใช้ประโยชน์อยู่บ่อยครั้ง แต่หลังจากข่านโม่ตู๋ตาย ทายาทของเขารับช่วงขึ้นปกครองซยงหนูต่อ ในหน้าประวัติศาสตร์กลับเหมือนไม่มีการบันทึกว่าลูกหลานคนไหนจะนำลูกธนูหมิงตีไปใช้ต่อ แน่นอนอาจเป็นไปได้ว่าเพราะในตอนนั้นผมรีบร้อนรีบทำวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ให้เสร็จเพื่อที่จะได้มีเงินกินข้าว เลยเลินเล่อพลั้งเผลอข้ามเนื้อหาส่วนนั้นไป แต่หลังจากคิดดูให้ดีมันก็พอมีเหตุผลให้เข้าใจได้อยู่ โม่ตู๋เคยใช้ลูกธนูหมิงตีฆ่าพ่อตัวเองช่วงชิงราชบัลลังก์ แล้วมีหรือจะยอมให้เกิดเหตุประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิม

    ในเวลานี้ที่เหลืออยู่ในสมองผมก็มีแต่หัวธนูดอกนั้นเท่านั้น ผมย้อนนึกไปถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่ผิดแน่ ลูกธนูดอกนั้นใช่ลูกธนูหมิงตีจริงๆ เทียบกับภาพในบันทึกข้อมูลประวัติศาสตร์ที่ผมเคยเห็นมาก่อนแล้วมันดูคล้ายมาก

    จากที่ได้มีโอกาสศึกษาวิจัยวัตถุโบราณที่ผ่านมือมาตลอดในช่วงระยะเวลาเกือบสองปีนี้ ความสามารถในการวินิจฉัยของผมจึงพัฒนาขึ้นหลายส่วน ผมมั่นใจว่าลูกธนูโบราณที่ปักอยู่บนหลังของซุ่นจื่อนั้นไม่มีทางเป็นของที่เพิ่งทำขึ้นใหม่ในช่วงสองสามปีนี้แน่

    หรือว่า…นี่ก็คือลูกธนูหมิงตีที่ข่านโม่ตู๋คิดค้นขึ้นด้วยตัวเองเมื่อสองพันกว่าปีก่อน

    คิดมาถึงตรงนี้ใจผมก็อดเต้นตึ้กตั้กไม่ได้ ผมปลอบใจตัวเองว่าบางทีหลังสิ้นข่านโม่ตู๋แล้วลูกธนูหมิงตีนี้อาจยังมีการใช้อย่างแพร่หลายก็เป็นได้ เพียงแต่เพราะบรรดาประมุขผู้ครองแคว้นพวกนั้นไม่อยากให้ชื่อเสียงของตนต้องแปดเปื้อน เลยห้ามไม่ให้พวกอาลักษณ์จดบันทึกเรื่องราวไว้! อาศัยสายตาของผมจะให้แค่กวาดตามองประเดี๋ยวประด๋าวก็ตัดสินได้ชัดแจ้งคงเป็นไปไม่ได้ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือข้อมูลที่ผมเคยอ่านผ่านตานั้นมีน้อยมาก ไม่แน่อาจมีข้อมูลบางอย่างเล็ดลอดไปก็เป็นได้ ลูกธนูที่อยู่บนหลังซุ่นจื่อบางทีอาจเป็นแค่ลูกธนูโบราณทั่วไปดอกหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ลูกธนูหมิงตีในยุคจักรวรรดิซยงหนูเมื่อสองพันกว่าปีก่อนที่มีแค่ข่านโม่ตู๋ใช้เสียหน่อย

    * แคว้นเยวี่ยจือ คือชื่อของแคว้นหนึ่ง เดิมทีเป็นเพียงชนเผ่าเร่ร่อนที่มีความขัดแย้งกับเผ่าซยงหนูอยู่บ่อยครั้ง จนในสมัยซีฮั่นก็ได้ตั้งรกรากเป็นแคว้นอยู่บริเวณเส้นทางสายไหม

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ซยงหนู

    นิยายยอดนิยม

    Facebook