…
“ข้าคือใครน่ะรึ”
หลวงจีนชราพึมพำ โซ่เหล็กที่ร้อยอยู่ตรงท้องส่งเสียงขณะเคลื่อนไหว มันคงรู้สึกเจ็บปวดอยู่บ้าง ใบหน้าที่เหลือแต่กระดูกจึงบิดเบี้ยวเล็กน้อย แววตาอบอุ่นอ่อนโยนคล้ายกำลังรำลึกถึงอดีต เผยให้เห็นถึงแววสับสนและสำนึกเสียใจ
ผ่านไปเนิ่นนาน จู่ๆ หลวงจีนชราก็คล้ายจะนึกขึ้นได้ว่ายังมีผู้อื่นอยู่ด้วย จึงขยับมุมปากที่ยับย่นเหมือนกระดาษถูกขยำขึ้นเป็นรอยยิ้มขัดตา กล่าวว่า
“ข้าคือคนที่พันธนาการตัวเองเพื่อชดใช้ความผิด ปีนั้นข้ากระทำความผิดอย่างมหันต์ ทำให้รู้สึกสำนึกเสียใจจนแทบไม่อยากอยู่เป็นผู้เป็นคน จึงใช้โซ่เหล็กพันธนาการตัวเองไว้ที่นี่ สาบานว่าจะใช้ชีวิตที่เหลือโปรดสัตว์ส่งดวงวิญญาณเหล่านี้ให้พ้นทุกข์ เผื่อว่าจะสามารถชดใช้ความผิดของตัวเองได้บ้าง”
เพราะมีโซ่เหล็กร้อยอยู่กับตัว ไม่ว่าจะพูดจาหรือเคลื่อนไหวแม้เพียงเล็กน้อยก็ล้วนทำให้เกิดความเจ็บปวดได้ทั้งสิ้น แต่น้ำเสียงอ่อนระโหยกับสีหน้าแววตาของมันยังคงสงบนิ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความการุณย์ ชวนให้ผู้คนรู้สึกสบายใจเหมือนถูกลมวสันต์ลูบไล้อย่างแผ่วเบา
หนิงเชวียมองหลวงจีนชราที่ผอมแห้งเหมือนผีตายซากแต่กลับแผ่กลิ่นอายอบอุ่นนุ่มนวล ก่อนถามอย่างนึกฉงนว่า
“ความผิดอะไร”
เสียงโซ่ดังอีกครา หลวงจีนชรายิ้มแล้วหันหน้ามองซากศพแห้งกรังรอบๆ ตัว ก่อนยกมือขึ้นอย่างยากลำบากลูบไปบนกระดูกขาข้างหนึ่งซึ่งอยู่ตรงหน้า ตอบว่า
“ความผิดที่ฆ่าคนตาย”
“ความผิดที่ฆ่าคนตาย?”
หลวงจีนชรามองมันขณะกล่าวเสียงราบเรียบ
“อายุยี่สิบข้าก็เข้าสู่นิกายพุทธ ต่อมาได้กลายเป็นศิษย์พระตถาคต เข้าใจว่าตัวเองมีจิตเมตตา จะใช้แสงแห่งพุทธธรรมโปรดเวไนยสัตว์ทั้งหลายให้พ้นทุกข์ ไหนเลยจะคาดคิดว่าโครงกระดูกเหล่านี้กลับต้องมาเกลื่อนพื้นเพราะข้า นี่เป็นความผิดของข้าเอง”
หนิงเชวียฟังแล้วรู้สึกสับสนงุนงง ตามคำเล่าลือ โครงกระดูกและซากศพแห้งกรังเหล่านี้สมควรตายด้วยกระบี่ของอาจารย์อา รอยกระบี่ที่เห็นมาตลอดทางรวมถึงตัวอักษรบนศิลาไร้อักษรก็สอดคล้องกับคำเล่าลือ แล้วเหตุไฉนหลวงจีนรูปนี้จึงบอกว่านี่เป็นความผิดของมันเอง
“เจ้า…รู้จักอาจารย์อาข้าหรือไม่”
มันถาม
หลวงจีนชรามองมันกับโม่ซันซันด้วยสายตาของผู้อาวุโสมองผู้เยาว์ ถามเสียงอ่อนโยน
“หากคนฟั่นเฟือนแซ่เคอคืออาจารย์อาเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็คือศิษย์ของจอมปราชญ์ แล้วแม่นางน้อยคนนี้คือใคร”
หนิงเชวียกับโม่ซันซันตอบสนองต่อความเป็นมิตรและความน่าเชื่อถือของอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว กระทั่งยังรู้สึกอบอุ่นเหมือนเด็กที่ถูกผู้ใหญ่เอ็นดูอีกด้วย จึงประกาศฐานะของตัวเองออกไปโดยไม่รู้ตัว
หลวงจีนชราฟังแล้วก็ถอนใจกล่าวอย่างปลงอนิจจัง
“ข้านึกว่าตัวเองคงจะผ่านวันคืนแห่งการชดใช้ความผิดนี้ไปจนตายโดยไม่ได้พบเห็นผู้คนอีก คิดไม่ถึงยังสามารถได้พบศิษย์ของสหายเก่า นี่แสดงว่ากลไกประตูสำนักพรรคมารเปิดแล้วล่ะสิ”
จบคำก็หันไปมองหนิงเชวียแล้วถาม
“เจ้าก็คือศิษย์สัญจรของสถานศึกษารุ่นปัจจุบันใช่หรือไม่ เจ้าสมควรเพิ่งบรรลุด่านสู่พิสดารเมื่อวันก่อน ไฉนด่านฌานยังต่ำเช่นนี้ หรือสถานศึกษาย่ำแย่ลง สู้สมัยก่อนไม่ได้แล้ว”
จากนั้นก็หันไปมองโม่ซันซัน ยิ้มเศร้าๆ กล่าวว่า
“นั่งอยู่บนกองกระดูกทุกวี่วัน ไม่ได้ยินเสียงย่ำกลองเช้าตีระฆังเย็น ไม่รู้ถึงวันเวลาที่ผ่านไป รู้สึกว่าตัวเองแค่นอนหลับไปตื่นหนึ่ง คิดไม่ถึงเสี่ยวหวังถึงกับมีผู้สืบทอดแล้ว”
หนิงเชวียยอมรับว่าตัวเองคือศิษย์สัญจรทั่วปฐพีที่ไม่ได้เรื่องที่สุดในประวัติศาสตร์ของสถานศึกษา แต่พอถูกอีกฝ่ายตอกย้ำซึ่งๆ หน้าก็ยังอดอับอายและขุ่นเคืองมิได้ ทว่าพอคิดถึงว่าหลวงจีนรูปนี้นั่งเหี่ยวเฉาเงียบเหงาอยู่ที่นี่คนเดียวมาเป็นเวลานานหลายสิบปีก็รู้สึกเห็นใจ อีกทั้งอีกฝ่ายยังเรียกอาจารย์อาว่าคนฟั่นเฟือนแซ่เคอ เรียกปรมาจารย์อักษรว่าเสี่ยวหวัง เช่นนี้มันต้องเป็นยอดคนโลกุตระที่มีอาวุโสสูงส่งอย่างแน่นอน จึงไม่กล้ากระโดดชี้หน้าด่าอย่างใจอยาก
เพียงแต่…หลวงจีนรูปนี้เป็นใครกัน
…