• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่านนิยายสยบฟ้า พิชิตปฐพี เล่ม 18 ตอนที่ 3

    ม่านหิมะหนาทึบปกคลุมวังต้องห้าม

    ในความขาวโพลน กำแพงวังสีแดงดูเด่นสะดุดตามากเป็นพิเศษ

    บรรยากาศคึกคักหน้าวังดูไม่ค่อยเข้ากันกับสภาพอากาศที่มัวซัวทึมเทาสักเท่าใด รถม้าหรูหราหลายสิบคันจอดรออยู่รอบๆ ลานกว้าง ห่างจากคูวังและราวสะพานหินหยกไปข้างหน้าประมาณหลายร้อยจั้งก็คือประตูวังซึ่งตอนนี้มีคนยืนจับกลุ่มอยู่มากมาย

    นอกจากอัครเสนาบดีที่พักรักษาตัวจากอาการป่วยอยู่ บุคคลสำคัญๆ ในราชสำนักไม่ว่าจะเป็นชินอ๋องหลี่เพ่ยเหยียน ผู้นำกองทัพแม่ทัพใหญ่เจิ้นกั๋วสวี่ซื่อ เหล่าเสนาบดีหรือต้าเสวียซื่อทั้งหลายต่างก็มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่แล้ว

    ขณะมองร่างสูงใหญ่เดินออกจากประตูวังมาอย่างเชื่องช้า คนที่เฝ้ารอต่างก็มีอากัปกิริยาแตกต่างกันไป บ้างยิ้มด้วยความโล่งใจ บ้างยกแขนเสื้อขึ้นซับน้ำตา บ้างถอนใจด้วยความเศร้าสลด

    นี่คือแม่ทัพใหญ่คนแรกของรัชสมัยเทียนฉี่ที่ถอดชุดเกราะกลับไปใช้ชีวิตในบั้นปลายอย่างสงบ และหากมองย้อนกลับไปร้อยกว่าปี แม่ทัพใหญ่ซย่าโหวก็น่าจะเป็นแม่ทัพคนแรกและคนเดียวเท่านั้นที่ยอมปลดอำนาจทางการทหารออกจากมือตัวเองโดยไม่มีเหตุผล

    พอเดินออกจากอุโมงค์ประตูเห็นบรรดามิตรสหายที่เคยร่วมงานหรือไม่ก็เคยร่วมรบทัพจับศึกกันมานานหลายสิบปี ใบหน้าเคร่งขรึมก็เผยให้เห็นความรู้สึกหลายหลาก

    วันนี้ หลังเดินออกจากวังไปมันก็จะเป็นเพียงแค่ชาวบ้านธรรมดา มิได้เป็นแม่ทัพใหญ่เจิ้นจวินอีก จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกอาลัยอาวรณ์ อาลัยอาวรณ์ในอำนาจที่สามารถถือดาบฆ่าคน อาลัยอาวรณ์ในกองกำลังทหารชุดเกราะ อาลัยอาวรณ์ในวันเวลาที่เคยยกดาบส่องกับแสงตะเกียง

    ไม่เพียงเท่านี้ มันยังรู้สึกเสียดายเป็นที่สุด เพราะเห็นๆ อยู่ว่ากฎหมายต้าถังเอาผิดมันไม่ได้ กองทัพศัตรูมิอาจโค่นมันให้ล้มลง แม้แต่อาศรมเทพก็ยังต้องละเว้นมัน แต่มันกลับถูกบีบให้ต้องออกจากลานแสดงที่มากไปด้วยผู้คนและสีสัน

    ทว่านับตั้งแต่ต้าถังสถาปนาแผ่นดินขึ้นมามีขุนนางเพียงไม่กี่คนที่ได้รับเกียรติยศอย่างสูงสุดเช่นมัน ไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยงพระราชทานของจักรพรรดิ การมารอส่งของเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ รวมถึงบรรดาศักดิ์และบำเหน็จรางวัลที่ได้รับพระราชทานจนรับไม่หวาดไม่ไหว

    ดังนั้นแม้มันจะรู้สึกเสียดาย แต่ก็รู้สึกพอใจยิ่ง

    ศิษย์ทรยศคนหนึ่งของพรรคมารสามารถได้เป็นเค่อชิงของนิกายเฮ่าเทียน ได้เป็นแม่ทัพใหญ่ผู้เกรียงไกรของต้าถัง ทั้งยังบุกเบิกขยายดินแดน เสี่ยงอันตรายและฆ่าคนมานับไม่ถ้วน แต่กลับได้ใช้ชีวิตในบั้นปลายอย่างสงบ เสพสุขกับอายุขัยที่ยืนยาว นี่คือชีวิตที่งดงามสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าใครก็ต้องอิจฉา

    ขณะเดินตรงไปยังกลุ่มคนที่กำลังส่งยิ้มมาให้ ทุกๆ ก้าวที่เหยียบลงบนพื้นหิมะล้วนเพิ่มความปลอดโปร่งโล่งใจให้กับมันขึ้นหนึ่งส่วน

    แต่แล้วอยู่ๆ เสียงย่ำหิมะดังสวบสาบของมันก็หยุดลง ซย่าโหวมิได้คารวะชินอ๋องหลี่เพ่ยเหยียนที่เดินออกมารับมันตามมารยาท ทว่ากลับขมวดคิ้วมองตรงไปทางทิศใต้

    หลี่เพ่ยเหยียนหันหลังมองตามด้วยความแปลกใจ

    คนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกถึงความผิดปกติเช่นกันจึงพากันหันกลับไปมองบ้าง

    พริบตานั้นเองแม่ทัพเฒ่าสวี่ซื่อก็ต้องไอโขลกๆ ออกมา ขนคิ้วขาวโพลนราวกับหิมะชี้ชัน ใบหน้าเต็มไปด้วยโทสะและความเอือมระอา

    ท่ามกลางละอองหิมะเต็มท้องฟ้า ร่มดำคันหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาในคลองจักษุ ใต้ร่มมีคนสองคน

    ร่มดำคันนั้นทั้งใหญ่ทั้งหนา ต่อให้หิมะตกหนักกว่านี้ก็ไม่มีทางซึมผ่านเข้าไปได้ เกล็ดหิมะเบาหวิวพอตกลงบนผิวร่มกลับมิได้เกาะติด แต่ผละออกทันทีคล้ายลนลานด้วยความกลัว

    ขณะมองร่มดำเคลื่อนฝ่าหิมะเข้ามาซย่าโหวรู้สึกว่าจิตใจตัวเองผ่อนคลายลงอย่างสิ้นเชิง ถึงตอนนี้มันจึงค่อยรู้ว่าที่แท้มันรอคอยคนผู้นี้มาตลอด

    ร่มดำเคลื่อนมาหยุดลงตรงหน้ากลุ่มคน พอหุบลงก็เห็นหนิงเชวียกับซังซัง

    หน้าประตูวังพลันเหลือแต่เสียงลมม้วนกวาดหิมะดังหวีดหวิวกับเสียงหายใจแรงด้วยความแตกตื่นของทุกคน แต่ละคนต่างตะลึงงันก่อนพากันขมวดคิ้ว คล้ายไม่เข้าใจว่าในวันที่แม่ทัพใหญ่ซย่าโหวจะจากเมืองหลวงไป เซียนเซิงสิบสามของสถานศึกษามาทำอะไร

    อันที่จริงสีหน้างุนงงประหลาดใจเหล่านั้นล้วนเป็นการแสร้งทำทั้งสิ้น คนเหล่านี้มีหรือจะไม่เคยได้ยินข่าวลือว่าทางกองทัพเคยตรวจสอบเรื่องที่เซียนเซิงสิบสามเกี่ยวข้องกับคดีฆ่าคนตายหลายคดี รวมทั้งข่าวลือเรื่องประวัติความเป็นมาของมัน เพียงแต่ว่านับตั้งแต่คิมหันต์เป็นต้นมาเมืองฉางอันเงียบสงบมาตลอดจนทุกคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก เข้าใจว่าหนิงเชวียล้มเลิกความคิดบ้าระห่ำนั้นไปแล้ว

    ท่ามกลางความเงียบ สายตาทุกคู่มีแต่ความไม่สบายใจ ต้าเสวียซื่อแห่งหอเหวินยวนเจิงจิ้งเห็นซังซังมาด้วย ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความหวาดวิตก

    ชินอ๋องหลี่เพ่ยเหยียนก้าวเท้าออกมาหนึ่งก้าว พยายามเก็บซ่อนโทสะถามหนิงเชวียเสียงเรียบ

    “เจ้าคิดจะทำอะไร”

    แม่ทัพสวี่ซื่อพูดแทรกขึ้นมา

    “หากคิดสังหารแม่ทัพใหญ่ของต้าถังต่อหน้าเหล่าขุนนาง คนอื่นอาจจะเลื่อมใสในความกล้าหาญของเจ้า แต่สำหรับข้า นี่เป็นการกระทำที่โง่เขลาสิ้นดี”

    หนิงเชวียปัดหิมะที่ตกอยู่บนไหล่ ตอบว่า

    “ความกล้าแบบนั้นข้าพอมีอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่โง่ถึงขั้นนั้น เพียงแต่ในเมื่อมาแล้วก็คงต้องทำอะไรสักอย่าง”

    ใบหน้าสวี่ซื่อผุดรอยยิ้มเยาะ

    “มีกฎหมายต้าถังอยู่ตรงหน้า เจ้าจะทำอะไรได้”

    การเปลี่ยนแปลงที่อุบัติขึ้นอย่างกะทันหันสร้างความตื่นตัวระแวดระวังให้แก่เหล่าองครักษ์และกองกำลังอวี่หลินที่อยู่ในบริเวณนั้น หัวหน้าขันทีที่เมื่อครู่เดินออกมาส่งซย่าโหวกำลังวิ่งหน้าตื่นกลับเข้าวังไปกราบทูลต่อองค์จักรพรรดิแล้ว

    ถึงตอนนี้บ่าวไพร่จำนวนมากมายรีบเดินออกมากางร่มให้ใต้เท้าตัวเอง หน้ากำแพงวังในยามนี้ดูไปคล้ายมีบุปผาหลากสีสันพร้อมใจกันเบ่งบาน

    ร่มดำถูกหุบแล้ว บัดนี้อยู่ในมือของซังซัง สองนายบ่าวยืนตากหิมะมองร่มที่ทวีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เงาร่มบดบังใบหน้าของคนเหล่านี้ไว้ แต่มิอาจปิดกั้นกลิ่นอายความวิตกกังวลใจของพวกมัน

    หนิงเชวียกล่าวกับสวี่ซื่อ

    “กฎหมายต้องมาก่อน นี่คือกฎเหล็กของสถานศึกษา ข้าเป็นศิษย์ของสถานศึกษา เป็นศิษย์ของจอมปราชญ์ ย่อมไม่ฝ่าฝืนกฎข้อนี้อย่างแน่นอน ดังนั้นการที่ทางกองทัพตรวจสอบข้าในฐานะผู้ต้องสงสัยคดีฆ่าคนจึงเป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดี”

    สวี่ซื่อถามหน้าเครียด

    “ที่ทุกคนต้องมายืนตากหิมะอยู่อย่างนี้ก็เพื่อฟังเจ้าโอดครวญว่าตัวเองโดนปรักปรำอย่างนั้นรึ”

    หนิงเชวียคร้านจะสนใจแม่ทัพเฒ่าอีก หันไปพูดกับซย่าโหว

    “คนจำนวนมากต่างคาดเดาว่าข้าจะทำอะไรต่อไป คิดว่าเจ้าเองก็เช่นกัน จริงๆ แล้วหลังจากตัดสินใจจะฆ่าเจ้า ข้าก็เฝ้าถามตัวเองอยู่ทุกวันเช่นกัน”

    นี่คือความจริง บุคคลสำคัญๆ ที่ยืนอยู่หน้าประตูวังเหล่านี้พยายามคาดเดามาตลอดว่าหนิงเชวียจะทำอย่างไร และแม้ตอนนี้หนิงเชวียจะมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าแล้ว พวกมันก็ยังเดาไม่ออกอยู่ดี

    หนิงเชวียกล่าวต่อ

    “จนกระทั่งฤดูสารทที่ผ่านมา ข้าจึงค่อยรู้ว่าตัวเองควรทำอย่างไร ข้าขอท้าสู้กับเจ้า”

    ลมหิมะพัดกระโชก เสียงของหนิงเชวียจึงฟังขาดๆ หายๆ ทว่าทุกคนในที่นั้นกลับคล้ายได้ยินชัดเจนเต็มสองหู

    เพิ่งกล่าวจบกระดาษแผ่นหนึ่งก็ลอยออกจากแขนเสื้อมันไปหยุดอยู่ตรงหน้าซย่าโหว ไม่ว่าลมจะแรงสักเพียงไร หิมะจะตกหนักถึงเพียงไหน ก็มิอาจส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของกระดาษแผ่นนั้นได้

    ซย่าโหวมองกระดาษที่มีสภาพเหมือนถูกชักรอกด้วยเชือก ใบหน้าที่อยู่ใต้เงาร่มไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ขณะยื่นมือไปคว้าไว้

    ที่แท้เป็นจดหมายท้าสู้ฉบับหนึ่ง!

    พอหนิงเชวียลั่นวาจาว่าจะขอท้าสู้กับซย่าโหว หน้าประตูวังก็ยิ่งเงียบกริบ ครานี้แม้แต่เสียงหายใจของผู้คนในที่นั้นก็อันตรธานหายไป คล้ายลมหายใจของทุกคนขาดห้วงกันไปแล้ว

    หนิงเชวียต้องการท้าสู้กับซย่าโหวอย่างนั้นรึ ทุกคนต่างก็เข้าใจว่าตัวเองหูฝาด เพราะในความคิดของพวกมัน นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ แต่คำพูดประโยคนั้นของหนิงเชวียยังคงดังก้องอยู่ในหูของพวกมัน ส่วนหนังสือท้าสู้ในมือซย่าโหวก็พิสูจน์ว่านี่เป็นเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นจริงๆ

    คนในราชสำนักรู้ดีว่าหนิงเชวียเป็นศิษย์ของจอมปราชญ์และเหยียนเซ่อต้าซือ อีกทั้งฝึกฌานได้ไม่ถึงสองปีดีก็บรรลุด่านสู่พิสดาร

    แม้ในสายตาของคนทั่วไป ผู้ฝึกฌานด่านสู่พิสดารขั้นปลายอย่างมันใกล้จะเป็นเทพเซียนไปแล้ว ทว่าแม่ทัพใหญ่ซย่าโหวก็เป็นยอดคนแนวทางยุทธ์ที่ด่านฌานบรรลุขั้นสุดยอดไปแล้วตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อน เป็นหนึ่งในบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี การท้าสู้ของมันจึงเปรียบเสมือนขาตั๊กแตนยันล้อรถม้า ไข่ไก่ท้าชนกับภูเขาศิลา มีแต่ต้องเป็นฝ่ายปราชัยเท่านั้น ไม่มีทางเป็นอย่างอื่น

    แม่ทัพสวี่ซื่อคิดในใจ เจ้าหนุ่มคนนี้คงถูกบีบคั้นจนเสียสติไปแล้ว เพราะหากไม่เสียสติก็คงไม่คิดทำเรื่องบ้าระห่ำอย่างนี้

    สีหน้าของชินอ๋องหลี่เพ่ยเหยียนแข็งทื่อ ก่อนเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนลงภายในชั่วพริบตา มันรู้สึกว่าตัวเองพอจะเดาความคิดของหนิงเชวียออกแล้ว

    แค้นฆ่าบิดามิอาจอยู่ร่วมโลกเดียวกัน ทว่าหนิงเชวียไม่สามารถฝ่าฝืนกฎเหล็กของสถานศึกษากระทำเรื่องที่ผิดกฎหมายได้ ดังนั้นมันจึงมาท้าสู้ เพราะแม้จะพ่ายแพ้แต่ก็ยังถือว่าได้ทำหน้าที่ลูกกตัญญู

    หลังตั้งสติได้ความคิดที่ผุดขึ้นในใจของทุกคนจึงไม่ต่างกับของชินอ๋องหลี่เพ่ยเหยียนและสวี่ซื่อ นั่นคือหากหนิงเชวียไม่เสียสติ เช่นนั้นการที่มันขอท้าสู้กับซย่าโหวก็น่าจะเป็นเพราะต้องการปลอบประโลมจิตใจของตัวเองเท่านั้น

    แต่สีหน้าสงบนิ่งของหนิงเชวียไม่ทำให้ผู้ใดรู้สึกว่ามันเสียสติ ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงวางใจว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ต้องมิใช่อะไรที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดอย่างแน่นอน

    หนิงเชวียไม่มีทางเอาชนะแม่ทัพใหญ่ซย่าโหว ส่วนแม่ทัพใหญ่ซย่าโหวเมื่อคว้าชัยก็ต้องไม่มีทางฆ่าเซียนเซิงสิบสาม เพราะมันต้องไว้หน้าสถานศึกษากับจอมปราชญ์

    ใช่แล้ว เรื่องจะต้องจบลงอย่างสวยงามแบบนี้แน่นอน

    ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นต่อมากลับทำลายจินตนาการและความคาดหวังของพวกมันไปจนหมดสิ้น เพราะหนิงเชวียรับมีดมาจากซังซัง จากนั้นกรีดฝ่ามือข้างซ้ายของตัวเองจนเป็นแผลยาว โลหิตแดงเข้มไหลซึมออกมา

    เสียงอุทานตกใจกับเสียงสูดลมหายใจเข้าอย่างหนาวเหน็บดังเอ็ดอึงไปทั่ว ราวกับว่าคมมีดนั้นมิได้กรีดอยู่บนฝ่ามือของหนิงเชวีย แต่กรีดอยู่บนร่างของพวกมันเอง

    เสียงเหล่านี้มิได้ทำให้หนิงเชวียหวั่นไหว สีหน้ามันยังคงสงบนิ่งและจดจ่อ คล้ายกำลังสลักบุปผาดอกหนึ่งลงบนฝ่ามือเท่านั้น

    “หนิงเชวีย! เจ้าเสียสติไปแล้ว!”

    เจิงจิ้งไม่สามารถปิดปากเงียบอีกต่อไป มันถลันเข้ามาตวาดสั่งซังซังอย่างร้อนใจ

    “ยังไม่รีบไปห้ามมัน!”

    ซังซังก้มหน้ามองรองเท้าตัวเอง

    ใบหน้าหลี่เพ่ยเหยียนบัดนี้ขาวเผือด ขนคิ้วขาวโพลนของสวี่ซื่อห้อยตกคล้ายมิอาจแบกรับน้ำหนักของหิมะที่เกาะหนาเป็นปื้นได้อีกต่อไป คนอื่นๆ ที่ยืนอยู่หน้าประตูวังต่างก็มีสีหน้าตื่นตระหนกระคนหวาดหวั่นไม่แพ้กัน

    มีเพียงซย่าโหวเท่านั้นที่ยังมีสีหน้าสงบนิ่ง มันมองหนิงเชวียกรีดฝ่ามือเงียบๆ พลางเลิกคิ้วขึ้นช้าๆ

    สาเหตุที่ทุกคนมีสีหน้าเช่นนั้นมิใช่เป็นเพราะเจ็บปวดบาดแผลแทนหนิงเชวีย แต่เป็นเพราะตระหนักดีถึงความหมายของการกรีดฝ่ามือต่างหาก

    ชาวถังนิสัยตรงไปตรงมา ชมชอบการต่อสู้เป็นชีวิตจิตใจ บ่อยครั้งที่พูดจาไม่เข้าหูเพียงคำเดียวก็ถึงกับลงมือลงไม้ควงหมัดเข้าใส่กัน การประลองจึงเป็นภาพที่สามารถพบเห็นได้ซ้ำซากในเมืองฉางอัน ค่ำคืนหนึ่งของวสันต์ฤดูเมื่อสองปีก่อน ตอนหนิงเชวียกับซังซังเพิ่งย่างเท้าเข้าเมืองฉางอัน พวกมันก็เคยเห็นการท้าประลองบนท้องถนน

    ตอนนั้นหนิงเชวียอธิบายให้สาวใช้ตัวน้อยฟังว่า หากผู้ท้าประลองตัดแขนเสื้อ นั่นเป็นการท้าเป็น แค่ได้ผลแพ้ชนะก็หยุด แต่หากผู้ท้ากรีดฝ่ามือซ้าย นั่นเป็นการท้าตาย จะหยุดก็ต่อเมื่อต้องตายกันไปข้างหนึ่ง

    วันนี้ท่ามกลางหิมะตกหนัก หนิงเชวียกรีดฝ่ามือซ้ายของตัวเองเพื่อแสดงให้ทุกคนรู้ว่าการท้าสู้กับซย่าโหวในวันนี้มิใช่เพื่อเหตุผลที่พวกมันนั่งเทียนยกเมฆขึ้นมา แต่เพื่อต้องการสังหารซย่าโหวเท่านั้น ไม่มีอะไรอื่นอีก

    ขุนนางบุ๋นบู๊เหล่านี้เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ เป็นไปไม่ได้ที่จะเคยถูกคนท้าประลอง แต่ถึงอย่างไรพวกมันก็ล้วนใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวง มีหรือจะไม่รู้จักกฎนี้

    ตามความคิดของพวกมัน การประลองในวันนี้แม่ทัพใหญ่ซย่าโหวต้องเป็นฝ่ายคว้าชัยชนะแน่นอน และนั่นหมายถึงว่าหนิงเชวียจะต้องตาย หนิงเชวียมีฐานะเป็นศิษย์ของจอมปราชญ์ การตายของมันต้องสร้างปมขัดแย้งระหว่างสถานศึกษากับราชสำนักอย่างแน่นอน นี่เป็นผลกระทบที่ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น

    หลี่เพ่ยเหยียนจ้องหน้าหนิงเชวียเขม็ง กล่าวเสียงเข้ม

    “เจ้าคิดจะใช้ชีวิตตัวเองมาแลกกับความเดือดดาลของอาจารย์ใหญ่อย่างนั้นสิ คิดว่าจะคุ้มรึ อีกอย่างอาจารย์ใหญ่เป็นบุคคลระดับใดแล้ว มีหรือจะถูกเจ้าหลอกใช้ได้ง่ายๆ”

    หนิงเชวียเงยหน้าขึ้นมองหลี่เพ่ยเหยียน ความเจ็บปวดที่ฝ่ามือคล้ายไม่ส่งผลใดๆ ต่อมัน น้ำเสียงมันสงบนิ่ง

    “เรื่องนี้เกี่ยวข้องอันใดกับท่านอ๋อง หรือกลัวว่าข้าจะท้าประลองกับท่านเป็นคนต่อไป”

    สวี่ซื่อสอดปาก

    “การท้าตายต้องได้รับอนุญาตจากทางการก่อน ข้าขอบอกเจ้าเอาไว้ตรงนี้ ไม่มีใครในราชสำนักกล้าอนุญาตการประลองในครั้งนี้อย่างแน่นอน”

    “ตอนหลวงจีนเต้าสือกับหลิวอี้ชิงมาท้าประลองกับข้าก็ล้วนเป็นกรมทหารที่อนุญาต วันนี้ข้าขอท้าประลองกับแม่ทัพใหญ่ซย่าโหวของกรมทหาร กรมทหารจะไม่อนุญาตเชียวหรือ เช่นนั้นขอถาม กรมทหารของต้าถังเรายังมีศักดิ์ศรีอยู่หรือไม่”

    สวี่ซื่อตะลึงงันไป

    หนิงเชวียกวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนกล่าวว่า

    “พวกท่านต่างบอกกันเป็นเสียงเดียวว่ากฎหมายต้าถังต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง ก็ดี เช่นนั้นตอนนี้ข้าขออาศัยกฎหมายของต้าถังมาท้าประลอง อยากรู้ว่ายังจะมีผู้ใดมาขัดขวางได้”

    จากนั้นมันก็หันไปทางซย่าโหว

    “นอกเสียจากว่าเจ้าจะไม่รับคำท้า”

    ซย่าโหวเลิกคิ้วมองหนิงเชวียอย่างใจเย็น

    “เจ้าทำสิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดคิดของข้าจริงๆ”

    “ข้าไม่ชอบเดินบนทางสายปกติมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”

    “ตอนเห็นกระดาษแผ่นนี้ลอยมา ข้ารับรู้ได้ว่าระดับความเฉียบคมของพลังจิตเจ้าสูงมาก แต่น่าเสียดาย จุดชี่ไห่เสวี่ยซานในร่างเจ้าบางจุดยังตีบตัน ควบคุมพลังปฐมแห่งฟ้าดินได้แย่จนน่าสมเพช ด้วยสภาพของเจ้าในตอนนี้ถึงกับกล้าคิดเพ้อเจ้อมาท้าประลองข้ามด่านฌานกับข้า บอกได้คำเดียวว่ามีแต่ทางตายสถานเดียว”

    หนิงเชวียกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน

    “ข้าไม่มีทางอื่นให้เดิน จึงได้แต่ต้องเดินทางสายนี้ ส่วนจะเป็นทางตายหรือไม่ต้องเดินไปให้สุดทางก่อนจึงจะรู้”

    ซย่าโหวมองตามัน กล่าวเสียงเรียบ

    “สำหรับเจ้า การท้าประลองกับข้าเป็นทางเลือกที่แย่ที่สุด”

    “ในเมื่อเป็นทางเลือกเดียวที่มีอยู่ เช่นนั้นมันก็คือทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับข้า”

    ซย่าโหวยิ้ม ก้าวออกจากใต้ร่มมายืนอยู่กลางม่านหิมะก่อนเก็บรอยยิ้มโดยพลัน ถามเสียงเฉื่อยชา

    “นี่เป็นการตัดสินใจของสถานศึกษาอย่างนั้นหรือ”

    หนิงเชวียส่ายหน้า

    “เจ้าไม่ต้องกลัว นี่คือการตัดสินใจของข้า ไม่เกี่ยวกับสถานศึกษา”

    ซย่าโหวแค่นเสียง

    “เจ้าอยากตาย ข้าก็จะให้เจ้าตาย”

    หนิงเชวียยิ้มน้อยๆ

    “ใครว่าข้าอยากตาย ข้าอยากให้เจ้าตายต่างหาก”

    ซย่าโหวนิ่งเงียบไปนาน ค่อยเอ่ยขึ้น

    “เจ้ามันบ้าไปแล้ว”

    หนิงเชวียหัวเราะเบาๆ

    “เมื่อสิบห้าปีก่อนข้าหนีออกจากฉางอัน ต้องอดทนดิ้นรนทุกอย่างจึงค่อยมีชีวิตรอดมาเพื่อให้ได้แสดงความบ้าในครั้งนี้ หรือจะบอกว่านี่ไม่คุ้ม”

    ซย่าโหวนิ่งเงียบไปอีกครั้งก่อนตอบว่า

    “นับว่าคุ้มจริงๆ”

    ใช้ความดีตอบแทนความชั่ว หลักการนี้ไม่เคยเป็นที่ต้อนรับในแคว้นต้าถัง ผู้คนที่นี่คุ้นเคยกับความหมดจดรวบรัดชนิดตาต่อตาฟันต่อฟัน เจ้าต่อยข้า ข้าต่อยเจ้า เจ้าจะฆ่าข้า ข้าจะฆ่าเจ้า เจ้าฆ่าบิดาข้า ข้าฆ่าบิดาเจ้าก่อนจากนั้นค่อยฆ่าเจ้า ดังนั้นแม้ทุกคนจะไม่เห็นด้วยที่หนิงเชวียส่งหนังสือท้าตายให้กับซย่าโหว แต่พวกมันก็ไม่เห็นว่านี่เป็นเรื่องที่ผิดทำนองคลองธรรมแต่อย่างใด

    ราชสำนักอาศัยคำมั่นสัญญาของสถานศึกษาที่ให้ซย่าโหววางมือจากอำนาจ ตัดสินใจไม่เอาความกับซย่าโหวถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต ทั้งนี้ก็เพราะราชสำนักไม่ต้องการให้เรื่องราวที่ซับซ้อนในอดีตส่งผลกระทบต่ออนาคตของแคว้นต้าถัง และไม่ต้องการให้อาศรมเทพแห่งซีหลิงยื่นมือเข้ามาในเมืองฉางอัน

    หากหนิงเชวียใช้วิธีการในทางลับมาเล่นงานซย่าโหว ความตั้งใจเดิมนี้ของราชสำนักต้องได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน ทว่าวันนี้มันกลับเลือกวิธีที่เปิดเผยตรงไปตรงมาที่สุด แม้จะเรียกได้ว่าเป็นวิธีการที่โง่งมที่สุด แต่ก็เป็นวิธีที่ไม่เหลือผลตกค้างใดๆ เอาไว้

    แต่นั่นเป็นเพียงความคิดของหนิงเชวีย ในความคิดของคนอื่น วิธีของมันไม่เพียงมีผลกระทบ ยังเป็นผลกระทบที่รุนแรงหนักหน่วงอีกด้วย นั่นเพราะมันเป็นศิษย์ของจอมปราชญ์ หากมันตายไปจากการประลองในครั้งนี้ ผู้ใดจะทนทานรับผลจากการบรรลุโทสะของท่านผู้เฒ่าได้ เพียงแต่ตอนนี้พวกมันหมดหนทางจะระงับการประลอง จึงได้แต่ภาวนาให้ซย่าโหวไม่รับคำท้า

    ในฐานะยอดคนแนวทางยุทธ์ที่บรรลุด่านฌานขั้นสูงสุด การปฏิเสธคำท้าสู้ของผู้ฝึกฌานด่านสู่พิสดารเป็นเรื่องที่เสียเกียรติยิ่ง ดังนั้นสายตาที่หลี่เพ่ยเหยียนมองซย่าโหวจึงแฝงไว้ด้วยแวววิงวอนขอร้อง

    ซย่าโหวคล้ายไม่รับรู้ถึงสายตาของหลี่เพ่ยเหยียน มันหรี่ตามองหนิงเชวียพลางกล่าวว่า

    “ในเมื่อเจ้าอยากตายในมือของข้านัก…”

    ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าถี่กระชั้นฟังดูสับสนก็ดังขึ้นที่หน้าประตูวัง ขันทีใหญ่ลำดับยศสูงหลายคนวิ่งกระหืดกระหอบออกมาด้วยความเร็วสุดชีวิต ดูจากผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ เหงื่อที่แตกโทรมเต็มใบหน้าทั้งๆ ที่เกล็ดหิมะยังคงโปรยปราย ก็พอจะเดาได้ว่าพวกมันต้องวิ่งมาตลอดทางจากตำหนักใน

    หลินกงกงที่วิ่งนำหน้าสุดได้ยินเสียงของซย่าโหวก็รีบตะโกนเสียงแหลมราวกับห่านถูกบีบคอมาแต่ไกล สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น

    “ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการ ทุกคนห้ามเคลื่อนไหวโดยพลการ!”

    บรรดาคนที่อยู่ในที่นั้นล้วนมีสีหน้าผ่อนคลาย ถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมาในทันที ในแผ่นดินนี้คงมีแต่ฝ่าบาทเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่สามารถหยุดยั้งการประลองนี้ได้

    แต่ซย่าโหวกลับทำเป็นไม่ได้ยิน กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชา

    “เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าได้สมความปรารถนา”

    พูดจบมันก็รับดาบจากทหารคนสนิทที่ยืนอยู่ด้านหลังมากรีดฝ่ามือข้างซ้ายของตัวเอง จากนั้นค่อยกำมือซ้ายเป็นหมัด บีบจนเลือดสีแดงข้นไหลหยดเป็นทาง

    ในชีวิตนี้หลินกงกงไม่เคยสับเท้าวิ่งและอยู่ในสภาพทุลักทุเลขนาดนี้มาก่อน พอพ้นจากประตู เห็นมือที่มีเลือดไหลของซย่าโหว ใบหน้ามันก็ถึงกับซีดเผือด สองขาอ่อนยวบทรุดฮวบลงนั่งกับพื้น

    ใบหน้าของชินอ๋องหลี่เพ่ยเหยียนก็ซีดขาวราวกับกระดาษ

    สวี่ซื่อตวาดสั่งซย่าโหวเสียงเข้ม

    “ยกเลิกซะ”

    ซย่าโหวส่ายหน้า

    “มันยกเลิกได้ แต่ข้ายกเลิกไม่ได้ เพราะข้ามีเกียรติและศักดิ์ศรีของตัวเอง”

    ได้ยินเช่นนั้นหนิงเชวียก็ปรบมือ

    ฝ่ามือของมันยังมีเลือดไหลไม่หยุด พอปรบมือเลือดจึงสาดกระเซ็นใส่อาภรณ์บนร่างและพื้นหิมะขาวโพลนตรงหน้า เกิดเป็นภาพที่ให้ความรู้สึกน่าสยดสยองขึ้นในทันใด

    “เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังเลยจริงๆ ยังคงเป็นแม่ทัพที่โหดเหี้ยมอำมหิตคนเดิม และก็ยังคงทระนงถือดีจนน่าสมเพช หวังว่าเจ้าจะทระนงถือดีเช่นนี้ต่อไปจนตาย”

    ซย่าโหวมิได้สนใจคำเยาะเย้ยถากถาง มันจ้องหน้าหนิงเชวีย ถามเสียงเรียบ

    “เมื่อไหร่”

    บนหนังสือท้าประลองแผ่นนั้น ช่องที่เป็นวันเวลายังว่างเปล่า

    หนิงเชวียตอบ

    “ก่อนเจ้าออกจากฉางอันเป็นใช้ได้”

    ซย่าโหวกล่าว

    “ข้าจะออกจากฉางอันวันนี้”

    “เช่นนั้นก็เป็นวันนี้”

    “ประเสริฐ ฆ่าเจ้าเสร็จก่อนค่อยออกเดินทางก็ได้ คงไม่เสียเวลามากนัก”

    หนิงเชวียแย้งมาพร้อมกับรอยยิ้ม

    “หรือบางทีเจ้าอาจจะไม่ได้ออกเดินทางเลย”

    ใบหน้าซย่าโหวยังคงไร้ความรู้สึก

    “เวลาข้าเป็นคนกำหนด สถานที่ให้เจ้าเป็นคนกำหนด”

    “สถานที่ข้าเตรียมเอาไว้แล้ว”

    หนิงเชวียบอก

    “ข้าซื้อบ้านที่ริมทะเลสาบเยี่ยนหมิงเอาไว้หลายหลัง พวกเราสู้กันที่นั่น จะได้ไม่ต้องกังวลว่าจะทำให้ผู้อื่นโดนลูกหลง อีกอย่างข้าเตรียมการบางอย่างเอาไว้ ถึงอย่างไรข้าก็เป็นจอมยันต์ พอจะเข้าใจเรื่องค่ายกลอยู่บ้าง ด่านฌานข้าสู้เจ้าไม่ได้ เลยคิดจะเอาเปรียบเจ้าในเรื่องนี้”

    ขณะที่ทั้งสองโต้ตอบวาจาไม่มีผู้ใดสอดปาก พวกมันได้แต่รับฟังอย่างอับจนปัญญา จนกระทั่งได้ยินหนิงเชวียเลือกสถานที่ประลอง สีหน้าจึงแปรเปลี่ยนไป

    จริงๆ แล้วมีบุคคลสำคัญในเมืองฉางอันจำนวนไม่น้อยที่รู้ว่าหนิงเชวียกว้านซื้อบ้านตามริมทะเลสาบเยี่ยนหมิง โดยเฉพาะสวี่ซื่อ มันรู้ดียิ่งกว่าผู้ใดว่าหนิงเชวียซุ่มทำอะไรบางอย่างไว้ที่นั่น ดังนั้นจึงไม่รู้สึกแปลกใจที่หนิงเชวียเลือกสถานที่นี้เป็นที่ประลอง แต่กลับรู้สึกแปลกใจที่หนิงเชวียตัดสินใจบอกเรื่องนี้กับซย่าโหว

    หนิงเชวียถาม

    “เจ้ารังเกียจหรือไม่”

    ซย่าโหวตอบ

    “ในเมื่อทระนงถือดีก็ต้องทระนงถือดีให้ถึงที่สุด แม้จะรู้ว่าเป็นการกระทำที่โง่งมก็เถอะ”

    หนิงเชวียส่ายหน้า

    “ทระนงเกินไปอาจตายได้”

    ซย่าโหวยิ้มเล็กน้อย

    “พญาเหยี่ยวยามเผชิญหน้ากับมดปลวก หากไม่ทระนงถือดีอาจถูกฟ้าลงทัณฑ์”

    “พอที! พวกเจ้าสองคนเสียสติไปแล้ว!”

    หลี่เพ่ยเหยียนตวาดลั่น ดวงตาแทบพ่นไฟออกมาได้ มันถามซย่าโหวเสียงกร้าว

    “เจ้าเคยคิดหรือไม่ หากเจ้าฆ่ามันจะอธิบายกับจอมปราชญ์อย่างไร ราชสำนักจะอธิบายกับจอมปราชญ์อย่างไร”

    เห็นซย่าโหวยืนนิ่งไม่ปริปากเอ่ยวาจา หลี่เพ่ยเหยียนก็ถอดหมวกบนศีรษะวางลงบนพื้นที่อยู่ตรงกลางระหว่างซย่าโหวกับหนิงเชวีย กล่าวเสียงดัง

    “ข้าขอใช้หมวกประจำตำแหน่งแลกกับเวลาหนึ่งชั่วยาม”

    จากนั้นก็หันไปตวาดใส่กลุ่มคน

    “มัวตะลึงอยู่ทำไม ยังไม่รีบช่วยกันหาวิธี!”

    เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่พลันได้สติ รีบจับกลุ่มปรึกษาหารือถึงวิธีที่จะยับยั้งการประลองในครั้งนี้ ต้าเสวียซื่อเจิงจิ้งเดินเข้าหาหนิงเชวีย พยายามกล่าวโน้มน้าวใจ แต่พอเห็นมันยืนนิ่งไม่พูดจาก็ต้องถอนใจเดินกลับไป

    สวี่ซื่อหลุบตาลงมองพื้นที่เต็มไปด้วยหิมะ กล่าวเสียงเรียบ

    “รอมาตั้งสิบกว่าปี ไยรออีกหนึ่งชั่วยามมิได้”

    พูดจบก็หันกายเดินจากไป มิทราบว่ามันต้องการจะไปยังที่ใด

    จู่ๆ ซย่าโหวก็ส่งเสียงดังแทรกความเงียบ

    “เอาธงมา”

    ตรงสะพานหยกที่อยู่ห่างออกไปคือที่ตั้งขบวนทหารเกียรติยศ ทหารจำนวนหลายร้อยนายยืนม้ารอส่งแม่ทัพใหญ่เจิ้นจวินอยู่นานแล้ว พอได้ยินคำสั่งทหารคนสนิทของซย่าโหวก็วิ่งไปคว้าด้ามธงในขบวนมา ก่อนไปยืนอยู่หลังมัน หน้าธงถูกลมหิมะกระโชกก็คลี่ตัวปลิวไสว เกิดเป็นเสียงดังพึ่บพั่บๆ

    นี่คือธงของแม่ทัพใหญ่แคว้นต้าถัง สีแดงดั่งโลหิตของมันมองเผินๆ คล้ายถูกย้อมด้วยเลือดของศัตรูนับพันนับหมื่น ยามโบกสะบัดอยู่กลางลมหิมะพลันเพิ่มความน่าเกรงขามให้กับวังต้องห้ามขึ้นอีกอักโข

    หนิงเชวียมองใบหน้าซย่าโหวที่ถูกสีของธงขับให้เด่นเป็นสง่าพลางเลิกคิ้วกล่าวว่า

    “ต้องใช้ธงเพิ่มอานุภาพให้ตัวเองเชียวรึ ท่าทางเจ้าจะกลัวแล้วจริงๆ”

    ซย่าโหวมองเลือดบนพื้น ในสายตาเหมือนไม่มีมันอยู่

    หนิงเชวียพลันสั่งขึ้นบ้าง

    “เอาร่มมา”

    พรึบ! ซังซังกางร่มดำก่อนยกขึ้นกันหิมะที่โปรยปรายเต็มท้องฟ้าให้กับนายน้อย

    ท่ามกลางหิมะขาวกระจ่าง ธงสีโลหิตผืนหนึ่งกับร่มดำคันหนึ่งปักหลักคุมเชิงกันและกัน

    ภายในเวลาอันสั้น เรื่องที่หนิงเชวียเซียนเซิงสิบสามของสถานศึกษากรีดมือท้าประลองกับแม่ทัพใหญ่ซย่าโหวก็ได้แพร่กระจายไปตามจวนขุนนางในเมืองฉางอัน

    ขุนนางเหล่านี้ย่อมไม่มีใครยอมเบิ่งตาดูมันถูกแม่ทัพใหญ่เชือดเฉือนเอาตามใจชอบ เพราะไม่มีผู้ใดรู้ว่าจอมปราชญ์จะมีท่าทีอย่างไรกับการตายของศิษย์คนนี้

    จอมปราชญ์ไม่เอ่ยวาจามานานแล้ว นานจนแทบถูกปุถุชนคนธรรมดาลืมเลือน แต่สำหรับบุคคลสำคัญๆ ในราชสำนัก พวกมันไม่เคยลืมเลือนและมิอาจลืมเลือน เพราะสำหรับบุรุษที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร เสียงของจอมปราชญ์กึกก้องกัมปนาทยิ่งกว่าเสียงอสนีบาตเสียอีก

    นี่คือการประลองที่ยุติธรรม อีกทั้งหนิงเชวียยังเป็นฝ่ายท้า บางทีหลังหนิงเชวียตายจอมปราชญ์อาจจะยังคงความเงียบอยู่เช่นเดิม แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเสี่ยง เพราะเกิดจอมปราชญ์เดือดดาลขึ้นมา น่ากลัวเมืองฉางอันคงต้องถูกถล่มจนย่อยยับ

    ตอนหลี่ชิงซานราชครูแห่งต้าถังปรากฏตัวขึ้นที่หน้าค่ายกลประตูเมฆ มันยังคงมีความหวัง ดังนั้นพอได้ยินคำตอบของเซียนเซิงใหญ่จึงยืนเซ่อไปครึ่งค่อนวัน

    “นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของศิษย์น้องเล็ก ตามกฎของสถานศึกษา สถานศึกษาจะไม่ยับยั้งมันอย่างแน่นอน”

    หลี่ชิงซานขมวดคิ้ว

    “แต่หนิงเชวียกำลังรนหาที่ตาย”

    ศิษย์พี่ใหญ่กล่าวเสียงอ่อนโยน

    “ในเมื่อมันรนหาที่ตาย เช่นนั้นจะไปยับยั้งมันทำไมเล่า”

    หลี่ชิงซานยากที่จะข่มความแตกตื่นในใจ กล่าวเสียงร้อนรน

    “หากเซียนเซิงสิบสามตายด้วยน้ำมือของแม่ทัพใหญ่ซย่าโหว สถานศึกษา…จะทำอย่างไร”

    ศิษย์พี่ใหญ่ยิ้มเล็กน้อย

    “พวกเราจะรำลึกถึงมัน”

     

    กองกำลังอวี่หลินประจำการอยู่ในเมืองฉางอัน กองกำลังทหารที่มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของวังต้องห้ามนี้มีความห้าวหาญและความร้ายกาจที่คนทั่วไปยากจะจินตนาการได้ นอกจากจะมียอดผู้ฝึกฌานจากหน่วยเทียนซูและอารามเฮ่าเทียนฝ่ายใต้ร่วมอยู่ด้วยแล้ว ยังโดดเด่นในเรื่องความเด็ดขาดเฉียบไวและจิตปณิธานอันแรงกล้า

    ตามกฎหมายต้าถัง กองกำลังอวี่หลินในปัจจุบันฟังคำสั่งจากคนสองคน หนึ่งนั้นคือจักรพรรดิต้าถัง อีกหนึ่งคือแม่ทัพใหญ่สวี่ซื่อ

    ท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บ กองกำลังอวี่หลินจัดขบวนเตรียมยกออกจากค่าย ทว่ากลับต้องหยุดอยู่ตรงสะพานเสวี่ยเฉียว (สะพานหิมะ) หน้าค่าย ทั้งนี้เพราะบนสะพานมีคนผู้หนึ่ง

    คนผู้นี้สวมหมวกสูงชะลูด นั่งขัดสมาธิอยู่กลางสะพานที่ถูกหิมะทับถมเป็นชั้นหนา ใบหน้าก้มต่ำเล็กน้อย

    สวี่ซื่อเห็นคนผู้นี้โทสะก็พวยพุ่ง ตวาดเสียงกึกก้องปานอสนีบาต หิมะในบริเวณนั้นถูกพลังเสียงกระแทกก็ฟุ้งกระจายไปรอบทิศ

    “จวินโม่ ผู้ขวางทางต้องตาย!”

    คนบนสะพานย่อมต้องเป็นจวินโม่ศิษย์พี่รองของสถานศึกษา

    “ผู้ที่ขวางทางต้องตายอย่างนั้นรึ กฎหมายต้าถังไม่เคยบัญญัติเอาไว้”

    ศิษย์พี่รองพูดถึงตรงนี้ก็เงยหน้ากล่าวกับแม่ทัพเฒ่าด้วยเสียงราบเรียบ

    “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าคงต้องตายก่อนแล้ว”

     

    ติดตามต่อได้ใน สยบฟ้า พิชิตปฐพี เล่ม 18 ฉบับเต็ม

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook