• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่านนิยาย เพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 11 บทที่ 2

    บทที่ 2

    วัดร้าง

     

    ป่าทึบมืดลึกที่แม้แต่ลมก็พัดไม่เข้าผืนหนึ่ง บนพื้นล้วนปกคลุมไปด้วยวัชพืชสูงเท่าเอว ต้นไม้รอบด้านห้อยเต็มไปด้วยเถาวัลย์หนาทึบ แสงแดดแรงกล้าด้านนอกได้แต่ลอดเข้ามาเหมือนเส้นด้าย ใบไม้ไม่ไหวพลิ้วแม้แต่น้อย ทุกแห่งบนล่างล้วนเป็นสีเขียวเข้มเงียบสงัดไม่เคลื่อนไหว

    ในป่าอาจอบอ้าวเกินไปจริงๆ แม้กระทั่งนกก็ไร้แรงส่งเสียงร้อง เงียบงันจนน่ากลัว หากเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจบางทีอาจได้ยินสุ้มเสียงหนอนมดคืบคลาน

    พงไพรเช่นนี้ไม่รู้ว่าไร้คนผ่านมานานเท่าใดแล้ว

    ทว่ามีคนแน่นอน

    เงาร่างหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ในวัชพืช กว่าครึ่งถูกหญ้าสูงปิดบัง เพียงมองเห็นรูปร่างเค้าโครงล่ำสันรางๆ เสื้อคลุมโสโครกที่ห่มอยู่บนร่างยิ่งกลมกลืนไปกับสีสันของป่าไม้รอบด้าน หากมิใช่ร่างกายหายใจยุบพองอยู่อาจเข้าใจผิดว่าเป็นหินผาแน่นิ่งก้อนหนึ่งได้อย่างง่ายดาย

    หยวนซิ่งหลวงจีนบู๊กำลังหลับตาพลางนั่งทำสมาธิ ผมยุ่งเคราครึ้มแม้เปียกเหงื่อทั้งหมด แต่หน้าตาสุขุม คล้ายเข้าเข้ากรรมฐาน

    ราวกับหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับป่าแห่งนี้

    พื้นที่ไกลโพ้นทางบูรพาและอุดรของป่าถ่ายทอดเสียงเท้าพิลึก ทั้งว่องไวและเร่งถี่ไม่คล้ายมนุษย์

    เสียงเท้าจำนวนมากนี้กำลังเข้ามาใกล้บริเวณที่หยวนซิ่งอยู่

    หยวนซิ่งยังคงหลับตา เพียงขยับฝ่ามือขวาเล็กน้อย ลูบไล้พลองเสมอคิ้วหกเหลี่ยมที่วางขวางอยู่บนตัก

    ภายใต้แสงแดดเหลืองอ่อน เห็นได้ว่าใบหน้าของมันกลับผอมซูบกว่าปกติ อยู่ในลักษณะตกยาก ถุงใต้ตาปรากฏสีดำคล้ำ ต่างกับรูปลักษณ์เปี่ยมพละกำลังในยามปกติอย่างมาก

    เสียงเท้าที่วิ่งเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้นพร้อมถ่ายทอดเสียงเห่าหลายเสียง

    เงาร่างหาญกล้าของฝูงสุนัขล่าเนื้อพลันปรากฏในป่า

    เสียงเห่าอย่างคลุ้มคลั่งดังก้อง

    สุนัขล่าเนื้อเจ็ดตัวกางเล็บเท้า แยกเขี้ยวแหลมที่เปื้อนเต็มไปด้วยน้ำลาย ท่าร่างดั่งลูกเกาทัณฑ์วิ่งปราดมาจากสองด้าน พุ่งไปยังเหยื่อที่เห็น

    สุนัขล่าเนื้อตัวใหญ่ขนสีดำเทาตัวหนึ่งในนั้นคล้ายเป็นจ่าฝูงสุนัข ฝีเท้ารวดเร็วที่สุด กระโดดขึ้นมาก่อน แยกเขี้ยวกระโจนใส่หยวนซิ่ง

    หยวนซิ่งพลันเบิกตาทั้งสอง

    ชั่วขณะนั้นมนุษย์และสุนัขประสานสายตา สุนัขล่าเนื้อที่ดุร้ายกลับถูกแววตาเดือดดาลทั้งสองของหลวงจีนเขย่าขวัญ

    แต่ท่ากระโจนของสุนัขล่าเนื้อมิได้หยุดลง เขี้ยวคมใกล้จะบรรลุถึงลำคอหยวนซิ่ง

    หยวนซิ่งยกแขนซ้ายขึ้นอย่างรวดเร็ว ตั้งขวางไว้ตรงใบหน้า สกัดการกัดแทะเอาไว้ได้ทันเวลา

    สุนัขล่าเนื้อออกแรงกัดแขนหยวนซิ่งตามสัญชาตญาณ แต่กลับรู้สึกเจ็บปวด คมเขี้ยวกัดไม่เข้าสักนิด

    หยวนซิ่งลุกขึ้นจากท่านั่งขัดสมาธิ มือขวาถือพลองเสมอคิ้วหุ้มเหล็ก ขาทั้งสองคุกเข่าในท่านั่งม้า แขนซ้ายปล่อยหมัดฟาดขวับไปด้านล่าง สุนัขล่าเนื้อที่กัดหน้าแขนอยู่ถูกทุ่มตกลงบนพื้นหญ้าอย่างแรงจนคลายฟันออกทันทีและแลบลิ้นยาวออกมา มันถูกทุ่มจนสลบไสลไปแล้ว

    จากนั้นสุนัขล่าเนื้ออีกสองตัวกระโจนมาถึง หยวนซิ่งเบี่ยงกายหลบพ้นหนึ่งตัว ทำให้มันกระโจนพลาดตกไปด้านหลัง อีกตัวหนึ่งกำลังมาถึงเบื้องหน้า มือซ้ายหยวนซิ่งกรีดเป็นครึ่งวงกลม ตบบนยอดหน้าผากของสุนัขล่าเนื้อตัวนั้นหนึ่งฝ่ามือ ฟาดมันลงมาจากกลางอากาศดื้อๆ

    ฝ่ามือของหยวนซิ่งยังคงไม่ละจากหัวสุนัขและกดมันลงบนพื้นอย่างแรง ขาทั้งสี่ของสุนัขล่าเนื้อตัวนั้นตะกุยพื้นหญ้า แต่ขยับเขยื้อนมิได้

    ยามนี้เสื้อคลุมบนร่างหยวนซิ่งถูกปลดลง ที่แท้แขนซ้ายมันสวมใส่เกราะมนุษย์ทองคำเส้าหลินจากไหล่จนถึงฝ่ามือ จึงต้านทานการกัดของเขี้ยวสุนัขได้

    หยวนซิ่งยังคงนั่งคุกเข่าอยู่ มือขวายันพลองไว้กับพื้น ฝ่ามือซ้ายยังคงกดสุนัขล่าเนื้อเอาไว้ ดวงตาทั้งสองมองสุนัขหลายตัวนั้นที่เหลือ

    เหล่านี้ล้วนเป็นสุนัขล่าเนื้อดุร้ายที่ฝึกฝนมา ยามปกติออกล่าถึงแม้พบเจอสัตว์ร้ายก็ไม่หวั่นกลัว แต่ขณะนี้เผชิญสายตาน่าเกรงขามดุจดั่งท้าวจตุโลกบาลถลึงดวงตา กลับล้วนกลัวหัวหดมิกล้าเข้าไป ส่งเสียงร้องแผ่วเบาดัง “โฮ่งๆ”

    “ไป!” หยวนซิ่งเค้นคำรามลอดไรฟัน

    สุนัขล่าเนื้อห้าตัวพอได้ยินเสียงตวาดนี้ทั้งหมดล้วนหันหัวจากไป

    หยวนซิ่งมองสุนัขล่าเนื้อที่อยู่ใต้ฝ่ามือ เห็นเพียงมันหยุดตะกุยพื้นแล้ว ร่างสั่นไหวก้มหมอบ มิกล้าขยับเขยื้อน

    ขณะนี้หากหยวนซิ่งเคลื่อนย้ายน้ำหนักปล่อยพลังฝ่ามือย่อมกดหัวมันจนแตกได้ง่ายดายราวกับบีบหนอนตัวหนึ่งให้ตายโดยแท้จริง

    แต่มันหาได้แค้นเดรัจฉานที่สะกดรอยตามตนเองมาตั้งนานเหล่านี้

    ผู้ที่ควรแค้นคือคนที่สั่งการพวกมัน

    หยวนซิ่งปล่อยฝ่ามือที่สวมเกราะทองสำริดออกเบาๆ สุนัขล่าเนื้อตัวนั้นคล้ายสิ้นความดุร้าย มันยืนขึ้นมาช้าๆ สะบัดตัวแล้วจึงวิ่งไปยังทิศทางที่พวกพ้องหนีไป

    หยวนซิ่งนั่งย่อลง ยื่นมือลูบลำคอสุนัขล่าเนื้อสีดำเทาที่ถูกทุ่มจนสลบตัวนั้น รู้สึกว่ายังคงมีลมหายใจและชีพจรรวยริน ดูเหมือนมิได้เป็นอะไร

    เดิมทีมันคิดจะสังหารทั้งหมด แต่หยวนซิ่งลงมือไม่ลง

    มันลูบขนคอของสุนัขล่าเนื้อเบาๆ ไปพลางมองทอดพื้นที่ไกลของป่าทางตะวันออกไปพลาง แต่ก่อนได้รับการสั่งสอนที่วัดเส้าหลิน เมื่อพลบค่ำจะเข้าสู่โถงจินกังที่มีเพียงแสงเทียนดวงเดียวฝึกฝนการต่อสู้เป็นประจำเพื่อฝึกฝนสายตาที่เหนือกว่ามนุษย์ปกติ ขณะนี้ในป่าทึบแม้มืดมัวมันยังคงมองเห็นเงาคนเลือนรางหลายเงาปรากฏในป่าไม้บริเวณท้ายสุด

    ฝ่ามือที่ลูบสุนัขล่าเนื้อของหยวนซิ่งยังคงอบอุ่น แต่สายตาที่จ้องไปยังเงาคนในที่ไกลกลับน่ากลัวยิ่งกว่าขณะสยบฝูงสุนัข มันขบกรามแน่นก่อนตะโกนใส่ผู้มาเหล่านั้น

    “มีฝีมือก็มา!”

    แต่ในใจมันรู้ว่าคนเหล่านี้ไร้ฝีมือ พวกมันจะไม่เดินเข้ามาใกล้แม้แต่ก้าวเดียว จำต้องมอบหมายให้สุนัขไปกระทำ

    คนเหล่านี้หาใช่นักสู้ที่ดำเนินการตามประกาศิตนักสู้หลวงเคลื่อนพลมาจับตายพวกหยวนซิ่ง แต่เป็นเพียงคนพรรคอิงหยางแถบเขตมณฑลเจียงซี

    หลังจากประกาศิตนักสู้หลวงถูกประกาศ แต่ละสำนักในแผ่นดินล้วนรุดมายังเจียงซีมุ่งหมายชิงความชอบ ร่องรอยของหกกระบี่บ้านแตกพลันกลายเป็นข่าวสารที่สำคัญอย่างยิ่ง…แต่สิ่งที่สำคัญทั้งหมดบนโลกล้วนมีราคา ผู้คนฝ่ายอธรรมในยุทธภพมากมายรู้ว่าการจะสังหารยอดฝีมืออย่างกลุ่มหกกระบี่บ้านแตกด้วยตัวเองแทบเป็นไปมิได้ แต่กลับยังคงอยากได้กำไรจากเรื่องนี้ จึงสืบหาที่อยู่ของหกกระบี่บ้านแตกอย่างสุดกำลังและนำข่าวสารไปขายให้นักสู้ที่ใคร่จะลงมือ เมื่อหกกระบี่บ้านแตกเปลี่ยนเป็นเดินทางตามป่าเขาเพื่อหลบการไล่โจมตี พรรคอิงหยางที่ภูมิหลังเป็นนายพรานจึงได้ทีสำแดงวิชา เคลื่อนกำลังสุนัขล่าเนื้อสะกดรอยตามทุกขณะ

    หยวนซิ่งรู้ว่าขณะนี้ยากจะทำอันใดกับคนพรรคอิงหยางกลุ่มนี้ จึงปล่อยสุนัขล่าเนื้อที่ยังคงสลบไสลแล้วยืนขึ้นมา หมุนตัวเดินไปทางตะวันออกของป่าทึบทีละก้าว

    รอจนหยวนซิ่งลับหายไปในอีกด้านหนึ่งของป่า สมาชิกแปดคนของพรรคอิงหยางจึงก้าวออกมา ปรากฏกายพร้อมไอหมอกของป่าเขา

    แปดคนนี้ครึ่งหนึ่งล้วนอายุสี่สิบกว่าปีแล้ว บนร่างพกอุปกรณ์เล็กใหญ่หลากชนิด พันขาสูงถึงหัวเข่า ข้างเอวห้อยมีดสั้นล่าสัตว์ สะพายซองหนัง ทั้งหมดล้วนเป็นลักษณะของนายพรานที่มีประสบการณ์ช่ำชอง

    คนหนึ่งในนั้นหยิบพิราบสีเทาตัวหนึ่งออกมาจากในกรงไม้ไผ่ที่แขวนอยู่ข้างถุงสัมภาระอย่างระมัดระวัง มันนำม้วนกระดาษที่เขียนไว้แล้วยัดเข้าไปในท่อกลมเล็กๆ ที่สร้างขึ้นจากทองสำริดข้างขาพิราบ ก่อนยกมือทั้งสองขึ้นเร่งเร้าให้มันบิน พิราบสีเทากระพือปีกบินออกไปนอกยอดไม้ไปยังทิศตะวันออก นำข่าวที่อยู่ของหกกระบี่บ้านแตกกลับไปให้สหายร่วมพรรค

    พวกมันลากดึงสุนัขล่าเนื้อที่วิ่งพล่านกลับมาหลายตัวนั้นเอาไว้ แต่ไม่ว่าจะพยายามตวาดเช่นไรสุนัขล่าเนื้อก็ล้วนมิกล้าตามไปยังทิศทางที่หยวนซิ่งจากไป พวกมันต่างใช้กรงเล็บแหลมคมตะกุยพื้นดินสุดชีวิตไม่ยอมเข้าไป

    “ไม่ต้องรอ พวกเราสะกดรอยตามเองไปก่อนสักระยะหนึ่งเถอะ ข้าว่าที่พักแรมของพวกมันต้องอยู่ไม่ไกลแน่” หัวโจกย่อยที่อายุมากที่สุดมองสุนัขตัวโปรดที่สลบอยู่บนพื้นอย่างเสียดายก่อนกล่าว

    คนอื่นล้วนเห็นด้วย จึงทิ้งคนไว้สองคนเพื่อดูแลสุนัขล่าเนื้อ สหายร่วมพรรคอิงหยางหกคนที่เหลือจ้ำอ้าวไปยังทิศทางที่หยวนซิ่งจากไป พวกมันแม้ไม่เคยเรียนวิทยายุทธ์ชั้นสูงอันใด แต่คุ้นเคยกับการเดินทางในป่าเขา ความเร็วในการวิ่งไม่แพ้ยอดฝีมือวิชาตัวเบา

    คนทั้งหกไล่ตามอยู่ในป่าครู่หนึ่งก็มองเห็นร่างหยวนซิ่งอยู่ด้านหน้าดังคาด โดยเฉพาะยิ่งขณะนี้หยวนซิ่งเพียงพาดเสื้อคลุมไว้ตรงหัวไหล่ เผยเกราะทองสำริดแขนซ้ายที่สะท้อนแสงแดดออกมา ยิ่งทำให้จำแนกได้ง่ายขึ้นในป่าทึบ

    พรานพรรคอิงหยางทั้งหกล้วนเบาฝีเท้า พยายามไม่ส่งเสียงดัง และรักษาจังหวะก้าวให้เหมือนกับหยวนซิ่งและรั้งอยู่ด้านหลังไกลๆ…เมื่อครู่พวกมันเห็นสุนัขล่าเนื้อที่ดุร้ายหนีหางจุกตูดกลับมาก็รู้ว่าหลวงจีนเถื่อนผู้นี้ร้ายกาจเพียงใด จึงไม่ยอมประมือกับมันซึ่งหน้า

    …พวกเราเพียงอยากทำเงินสักหน่อย ไม่คุ้มที่จะฝืนปะทะกับคนบ้าที่ฝึกยุทธ์เหล่านี้

    ที่แห่งนี้ความจริงข้ามเขตมณฑลเจียงซีเข้าสู่ชายแดนหูกว่างแล้ว คนพรรคอิงหยางเองก็เคยมาเหยียบย่างน้อยอย่างยิ่ง เพียงแต่ประสบการณ์ในการจำแนกเส้นทางลักษณะพื้นที่ในป่าของพวกมันโชกโชน ซ้ำยังรู้จักลอบคำนวณระยะทางจึงคาดเดาได้ว่าตนเองอยู่ที่ใด

    “คนเหล่านี้…ยื้อได้ไม่นาน” หัวโจกย่อยผู้นั้นยิ้มน้อยๆ กล่าวเสียงแผ่วเบา ในใจมันคิดว่านักสู้พรรค์นี้ แม้ต่อสู้ร้ายกาจ แต่เมื่อมายังป่าเขาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง นอนกลางดินกินกลางทรายทุกวัน ไม่มีของอร่อยดื่มกินสักมื้อ กอปรกับสัตว์เลื้อยคลานและไข้ป่า ทำให้ร่างกายอ่อนแอได้ง่ายดายยิ่งนัก บัดนี้ยังถูกตามล่า ความหวาดผวากระจายอยู่ทุกแห่งหน ไม่นานก็ต้องทนไม่ไหวและกลับไปบนเส้นทางที่มีหมู่บ้าน

    กิจการผูกขาดนี้ของพวกเรา คงจะทำได้มากขึ้นอีกหลายวัน…

    ขณะคนทั้งหกข้ามรากไม้เก่าแก่ที่หยาบและใหญ่ก็พลันได้ยินสุ้มเสียงดังขึ้นเหนือศีรษะ

    “มาที่นี่ ก็ดีแล้ว”

    พรานพรรคอิงหยางหกคนร่างสั่นสะท้าน

    นี่คือเรื่องที่เป็นไปมิได้…ป่าเขาเป็นเฉกเช่นบ้านของพวกมัน ขอเพียงมีสีเสียงหรือกลิ่นผิดปกติใดๆ เข้ามาใกล้ ต้องรับรู้ได้ทันทีเป็นแน่ เหตุใดจึงถูกดักซุ่ม

    พวกมันเงยหน้ามองขึ้นไป

    เห็นเพียงบนคาคบของต้นไม้นั้นมีบางสิ่งนั่งย่ออยู่ ต้องเพ่งพินิจอย่างมากจึงมองออกว่าเป็นเค้าโครงของร่างคม

    พวกมันพลันมองเห็นประกายดวงหนึ่ง เป็นคนผู้นั้นฉีกยิ้มเผยฟันเลี่ยมทองซี่หนึ่ง

    มันพลันขยับแขน

    โลหะกลุ่มหนึ่งสะท้อนประกายสว่าง ชวนหนาวเหน็บอย่างมาก

     

    หยวนซิ่งกลับมาถึงด้านหน้าวัดร้างแห่งหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของป่า มันอดมิได้ที่จะหยุดเงยหน้าชมลักษณะภายนอกของวัดอย่างละเอียด

    ครั้งแรกที่มองเห็นวัดแห่งนี้ พวกมันล้วนผิดคาดอย่างมาก สิ่งก่อสร้างนี้ตั้งอยู่ที่นี่ไม่รู้กี่เดือนกี่ปีแล้ว สามารถรู้ได้จากมันว่าป่าทึบแห่งนี้เมื่อก่อนเคยมีร่องรอยมนุษย์ เพียงแต่ถนนหนทางถูกทิ้งร้างและทับถมนานแล้ว

    กำแพงล้อมวัดร้างกว่าครึ่งล้วนพังทลาย เหลือเพียงรูปปั้นดินคู่หนึ่งของทวารบาลที่คอยดูแลรักษาหน้าประตูหลัก แม้เศียรขาดแขนสะบั้น แต่ยังคงมองถึงอำนาจอันน่าเกรงขามที่เคยมี

    อุโบสถที่ตั้งอยู่ใจกลางเองก็เหลือเพียงมุกหน้าเล็กๆ ที่ยังคงตั้งตระหง่าน ตัวผนังถูกกิ่งไม้งอกเลื้อยมาจากรอบด้านพันรัดเอาไว้ คล้ายอาศัยพลังของธรรมชาติค้ำยันจึงมิได้ล้มลง บนก้อนอิฐปกคลุมเต็มไปด้วยใบไม้สีเขียวและตะไคร่ ราวกับหลอมรวมกับต้นไม้ไปแล้ว

    หยวนซิ่งแม้ป่าเถื่อน แต่อย่างไรก็เป็นบรรพชิต มันประนมมือหันหาอุโบสถเจริญพระพุทธมนต์เงียบๆ แล้วจึงเดินไปยังประตู

    มันเห็นมุมหนึ่งของหลังคากระเบื้องทรุดโทรมผุดเงาร่างเงาหนึ่งขึ้นมา แหวกกิ่งไม้ตรงหน้าก้มมองลงมา เป็นเยียนเหิงที่ร่างห้อยกระบี่คู่สั้นยาว

    เยียนเหิงคุกเขาอยู่บนหลังคาวัด สวมเสื้อผ้าเปรอะเปื้อนเช่นเดียวกับหยวนซิ่ง ไม่รู้มิได้หวีผมล้างหน้าและเปลี่ยนเสื้อผ้ามากี่วันแล้ว

    หยวนซิ่งเงยหน้าผงกศีรษะทักทายเยียนเหิงที่รับหน้าที่เฝ้าดูแล แล้วจึงเข้าไปในอุโบสถ

    ด้านในอุโบสถที่ทรุดโทรมมานานหลังนี้ผ่านการปัดกวาดมาแล้วรอบหนึ่ง สะอาดกว่าก่อนหน้ามากแล้ว แต่ถงจิ้งยังคงใช้ผ้าปิดปากและจมูกเอาไว้ ใช้กิ่งไม้กิ่งใหญ่ที่หักลงมาต่างไม้กวาด กวาดหิน ทราย และใบไม้แห้งบนพื้นไปยังซอกมุมไม่หยุด

    “เอาล่ะ ออมแรงสักหน่อยเถอะ” จิงเลี่ยที่นั่งอยู่ข้างแท่นบูชาใช้ผ้าทำความสะอาดดาบปีกปักษาไปพลางกล่าวกับถงจิ้งอย่างอารมณ์เสียไปพลาง “พวกเราใช่จะอาศัยอยู่ที่นี่!”

    “อย่างน้อยก็นอนอย่างสบายใจสักนิดอย่างไรล่ะ!” ถงจิ้งยังคงปัดกวาดไม่หยุดมือ บนหน้าผากล้วนเป็นเหงื่อ ก่อนหน้าที่พรรคหมินเจียงนางเคยหยิบไม้กวาดกี่หน? ความจริงถงจิ้งเองก็อ่อนเพลียอย่างมาก…อย่างไรก็เดินทางต่อเนื่องในทุ่งหญ้าป่าเขาแห่งนี้มาสิบกว่าวันแล้ว ระหว่างนั้นยังถูกศัตรูลอบโจมตียามค่ำคืนอีกหลายคืน ไม่มีสักคืนที่นอนอย่างสงบสุข ตอนนี้กลับพบที่พักแรมที่พอเข้าท่าเข้าทาง ย่อมตื่นเต้นขึ้นมา

    เมื่อประมาณหลายเดือนก่อน มีนักสู้กลุ่มหนึ่งลอบโจมตีพวกมันอย่างพิศวง…อีกทั้งไม่เหมือนกับสำนักอู๋จี๋ตระกูลหร่วนก่อนหน้า แต่กลับเป็นมือดีสำนักฉางซานที่มาไกลจากเมืองฉวีโจวมณฑลเจ้อเจียง คล้ายมิใช่ได้รับการเสี้ยมสั่งจากขุนนางละโมบในพื้นที่เจียงซี

    ภายหลังพวกมันถูกลอบโจมตีเช่นนี้อีกสามคราติดต่อกัน จึงรู้ว่าราชสำนักประกาศประกาศิตนักสู้หลวง ให้สำนักยุทธภพในใต้หล้าประหารพวกมันหกคน

    ‘ล้วนเป็นเพราะข้า’ ภายหลังเลี่ยนเฟยหงรับรู้จึงแค่นยิ้ม มันผาดโผนอยู่ในยุทธภพมาหลายปี รู้ถึงความร้ายกาจของราชสำนักและพวกขุนนางประมาณหนึ่ง จึงคิดได้ทันทีว่าประกาศิตนักสู้หลวงนี้ต้องมีความเกี่ยวข้องกับเฉียนชิงบุตรบุญธรรมของเฉียนหนิงขุนนางโปรดของจักรพรรดิที่มันสังหารเป็นแน่

    ในตอนนั้นหยวนซิ่งเกาผมยุ่งของมันอย่างไม่เข้าใจ ‘เจ้าอ้วนนั่น? เพียงเพื่อมัน จักรพรรดิต้องสร้างเรื่องใหญ่เช่นนี้มา?’

    ตลอดมาราชสำนักหาได้แทรกแซงยุทธภพไม่ และแต่ละสำนักก็ไม่เคยมีความทะเยอทะยานคิดชิงยศถาบรรดาศักดิ์ ทว่าประกาศิตนักสู้หลวงแต่งตั้งชุมนุมนักสู้จงหย่งในแผ่นดินได้ทำลายทุกสิ่งอย่าง

    ‘เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้…’ เยียนเหิงฟังแล้วไม่เข้าใจอย่างยิ่ง มันส่ายหน้าถามไม่หยุด ‘หรือว่ากระทั่งผู้อาวุโสแต่ละสำนักก็เปลี่ยนไป เพราะเหตุใด…แต่ก่อนพวกเรามิได้การยอมรับจากทางการก็ยังดีๆ กันอยู่มิใช่หรือ เหตุใดเพื่อสมญาชุมนุมนักสู้จงหย่งอะไรนั่นจึงได้…’

    ‘เพราะความกลัว’

    จิงเลี่ยที่นิ่งเงียบมาตลอดกล่าวขึ้น

    อีกสี่คนได้ยินมันกล่าวเช่นนี้จึงครุ่นคิดและเข้าใจในทันที

    ความทะเยอทะยานของสำนักอู่ตังทำให้ความมั่นใจในตนเองของทุกสำนักล้วนปรากฏรอยร้าว เกรงกลัวว่าตนเองจะกลายเป็นเครื่องสังเวยต่อไปใต้แผ่นป้าย ‘ใต้หล้าไร้เทียมทาน’ และในยามนี้เองอำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่าก็จะยินยอมหนุนหลังเจ้า…ความยั่วยวนเช่นนี้หาได้ปฏิเสธอย่างง่ายดายไม่ โดยเฉพาะตอนที่ต้องรับผิดชอบความปลอดภัยของศิษย์และคนในสำนักนับร้อยนับพัน

    ความจริงการพรรณนาถึงหกกระบี่บ้านแตกในประกาศิตนักสู้หลวงก็มิได้บอกละเอียดมากอยู่แล้ว สำนักที่มิได้รับป้ายเหล็กชุมนุมนักสู้จงหย่งมากมายรู้เรื่องประกาศิตนักสู้หลวงเพียงจากคำบอกเล่าปากต่อปาก หาได้กระจ่างชัดถึงรายละเอียดของหกกระบี่บ้านแตกไม่ พวกมันกรูกันมาเพียงเพื่อการแต่งตั้งในคำเล่าลือ หาใช่คู่ต่อสู้ของหกกระบี่บ้านแตก

    แม้ยังมิได้ถูกคุกคามอย่างแท้จริง แต่พวกจิงเลี่ยรู้สึกว่าโรมรันกับนักสู้ที่ปราศจากความแค้นติดต่อกันเช่นนี้ทั้งไม่มีความหมายและทำให้เหนื่อยเหลือเกิน พวกมันหลบหนีไม่หยุดหย่อน เลี่ยงจากเมืองน้อยใหญ่ทุกแห่ง ต่อมายังกลัวว่าเหตุจะพัวพันถึงหมู่บ้านที่รับพวกมันพักแรม พลอยให้ไม่เดินแม้กระทั่งถนน อาศัยลัดผ่านป่าเขาอันไร้ซึ่งผู้คน เช่นนี้แม้เลี่ยงผู้ไล่โจมตีมากมายได้ แต่ก็หนีจนลำบากอย่างยิ่ง เมื่อสะสมแรมวันแรมเดือนก็รู้สึกอ่อนล้าและก่อเป็นเพลิงโทสะกองหนึ่ง

    พวกเรามิใช่มิอาจสู้ แต่ต้องหลบหนีไปทั่วเสมือนสุนัขไร้บ้าน…

    ยามนี้ถงจิ้งเห็นพื้นกระดานในอุโบสถถูกปัดกวาดพอสมควรแล้ว จึงไปกวาดแท่นบูชาโดยรอบอีก นางแหงนหน้ามองพระพุทธรูปด้านหลังจิงเลี่ย เศียรพระครึ่งหนึ่งหักพังแล้ว ฝ่ามือทั้งสองที่ประสานกันก็ไม่รู้ไปไหนแล้ว เหลือเพียงท้องใหญ่ๆ กับขาทั้งสองที่นั่งขัดสมาธิ

    “ครั้งนั้นพวกเราเผาวัดชิงเหลียนไป…ครั้งนี้ต้องนอนที่วัดซ่อมซ่อแห่งนี้ ไม่รู้ว่ากรรมสนองหรือไม่” จิงเลี่ยยิ้มพลางกล่าว

    “กรรมสนองอันใด” หยวนซิ่งยามนี้เดินเข้ามาในอุโบสถ “ข้าว่าพระพุทธองค์คุ้มครองถึงจะถูก อมิตาภพุทธ”

    “ใช่แล้ว!” ถงจิ้งพลันกล่าวหลังปีนขึ้นแท่นบูชา “แต่ก่อนข้าเคยได้ยินตำนานเรื่องหนึ่ง บอกว่าวัดในป่าร้างเช่นนี้ ด้านหลังพระพุทธรูปองค์นั้นมีรู ภายในท้องซ่อนสมบัติล้ำค่ามากมายเอาไว้…เอาล่ะ ข้าจะลองดู!”

    นางกึ่งวิ่งกึ่งกระโดดไปด้านหลังพระพุทธรูปองค์นั้น ก่อนร้องอุทาน “ว้าย!” และกระโดดออกมา

    “มีอะไร” หยวนซิ่งโยนพลองเสมอคิ้วลงแล้วปีนขึ้นแท่นบูชา เห็นเพียงถงจิ้งชี้พระพุทธรูปอย่างตื่นกลัว

    หยวนซิ่งมองดู ที่แท้ด้านหลังพระพุทธรูปดินปั้นองค์นั้นมีรูจริงดังว่า ด้านในไม่มีสมบัติล้ำค่าอะไร แต่กลับมีงูพิษตัวหนึ่งขดอยู่ มันชูคอขึ้นมาแลบลิ้นขู่ฟ่อๆ ลักษณะดุร้ายอย่างยิ่ง

    พวกมันค้างคืนในป่าร้าง สิ่งที่น่ากลัวที่สุดมิใช่สัตว์ร้ายอะไร แต่เป็นสัตว์เลื้อยคลานมีพิษเหล่านี้…อยู่ในสถานที่ห่างไกลผู้คน หากเคราะห์ร้ายถูกพิษ ไม่มียารักษาย่อมอันตรายถึงชีวิต

    หยวนซิ่งหน้าตาสงบนิ่ง มือขวายื่นออกไปช้าๆ ด้วยฝ่ามืออันอ่อนโยน เมื่อถึงเบื้องหน้าสามฉื่อของงูพิษตัวนั้นก็พลันหายใจปล่อยพลัง ‘หัตถ์ลิ้นนาคา’ ของหมัดอสรพิษวัดเส้าหลินพุ่งออกปานฟ้าแลบ ใช้นิ้วมือหนีบหัวงูเอาไว้ในคราวเดียว ท่าทางว่องไวกว่างูจริงเสียอีก

    งูพิษตัวนั้นถูกหนีบอยู่ ร่างกายย่อมม้วนขดบนแขนของหยวนซิ่งพยายามดิ้นออก หยวนซิ่งใช้มืออีกข้างยืดตัวมัน ท่องเสียงเบาหนึ่งประโยค “บาปกรรม” ก่อนออกแรงปลายนิ้ว บีบงูจนตาย

    “มา ให้ข้า” จิงเลี่ยกล่าวพลางรับงูตายมาจากมือหยวนซิ่ง มองดูอย่างละเอียดหลายแวบ ยิ้มพลางกล่าว “นี่เป็นของดีนัก”

    จิงเลี่ยกล่าวพลางชักมีดสั้นออกมาจากสายคาดเอว…มีดสั้นล่าสัตว์เล่มนั้นของมันยัง ‘ฝากไว้’ ในมือของฮั่วเหยาฮวา เล่มนี้เป็นเพียงของทดแทนที่ซื้อมาระหว่างเดินทางปีก่อน ยามนี้มันเงยหน้ามองพระพุทธรูป กล่าว “อยู่ตรงนี้ไม่สะดวกนัก ข้าไปเชือดข้างนอกจะดีกว่า”

    “พี่…พี่จิง! ท่านๆๆๆ…” ถงจิ้งดึงผ้าบนหน้าลง ชี้งูพิษในมือจิงเลี่ยอย่างตกใจ “ท่านคงไม่คิดจะ…กินกระมัง?”

    “มีอันใดแปลกประหลาดนัก” จิงเลี่ยยักไหล่ “แต่ก่อนข้าอยู่ในป่าทึบแถบแคว้นเจียวจื่อ* ถูกคนท้องถิ่นไล่ฆ่าก็อาศัยมันจึงรอดมาได้ ยังเคยดื่มเลือดงูด้วยนะ…แต่ดื่มมากเกินไป เกิดพยาธิในท้องป่วยจนเกือบตาย เคราะห์ดีมีหมอเทวดารักษาให้ข้าจนหาย วางใจ ข้ามิกล้าดื่มอีกแล้ว” มันกล่าวพลางหยิบบาตรกระเบื้องและกระบอกไม้ไผ่ออกมาจากในถุงสัมภาระ เดินกะเผลกด้วยขาที่ยังคงบาดเจ็บไม่หายไปหลังอุโบสถ

    “งูหรือ” หยวนซิ่งเกาศีรษะอย่างแรง ถงจิ้งมองเห็นคิดว่ามันเองก็ฟังจนเสียวซ่านหนังศีรษะเช่นกัน ไหนเลยจะคาดคิดว่าหยวนซิ่งกล่าวอีกประโยค “ไม่รู้ว่ารสชาติเช่นไร…”

    ถงจิ้งเหลือกตาขาว “ท่านเป็นหลวงจีนมิใช่หรือ งูที่ฆ่าเองกับมือก็กิน? ไม่โหดร้ายหรือ”

    “อย่างไรก็ตายแล้ว ไม่กินก็น่าเสียดาย” หยวนซิ่งลูบหนวดอย่างภาคภูมิใจ “อยู่ในท้องพระเส้าหลินเช่นข้าผู้นี้ ไม่แน่ว่าชาติหน้าอาจกลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์”

    ถงจิ้งฟังมันกล่าวเช่นนี้ก็อดมิได้ที่จะหัวเราะพรวดออกมา

    วันเวลาเหล่านี้พวกมันห้าคนล้วนกำลังลำบาก ไม่มีสักวันที่พักผ่อนอย่างเต็มที่ อารมณ์หมองหม่นยิ่งนัก แต่ระหว่างทางล้วนมิได้พร่ำบ่นและไม่ทอดถอนใจต่อสถานการณ์ปัจจุบัน แม้กระทั่งคุณหนูถงจิ้งที่ยามปกติจู้จี้จุกจิกต่อการกินอยู่ที่สุด ภายใต้การชักจูงของอีกสี่คน ไม่นานก็มิได้บ่นอีกต่อไป แต่กลับเป็นแกนนำทำเรื่องที่เสริมสร้างจิตใจของทุกคนบ่อยๆ…อย่างเช่นเมื่อครู่ที่พยายามปัดกวาดอุโบสถแห่งนี้ เพียงเพราะนางตระหนักถึงหลักการข้อหนึ่งจากพวกจิงเลี่ย

    ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง ยิ่งตกยากยิ่งยิ้มได้

    หยวนซิ่งหยิบพลองเสมอคิ้วขึ้นมาเขี่ยเศษกระเบื้องและขยะตามมุมทั้งสี่ในอุโบสถกับถงจิ้งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสัตว์เลื้อยคลานมีพิษหลบอยู่อีก

    จิงเลี่ยเดินออกไปยังทางที่แยกไม่ออกว่าเป็นประตูหลังหรือว่าโพรงด้านหลังอุโบสถ พบต้นไม้ล้มต้นหนึ่งจึงนั่งลง ใช้มีดสั้นตัดหัวของงูพิษตัวนั้นออกไป หลังรีดเลือดก็แหวกอกถลกหนังอย่างเชี่ยวชาญ แขนซ้ายแม้ยังคงมิอาจใช้แรงได้มากนัก แต่สำหรับการเชือดงูยังคงมีแรงเหลือเฟือ หลังแล่เนื้องูเสร็จก็ใช้บาตรตักน้ำ ชำระล้างและแช่มัน

    ขณะลงมือจิงเลี่ยยังนึกถึงหู่หลิงหลันขึ้นมา บัดนี้ไม่รู้ว่านางไปที่ใดแล้ว ตอนนี้พวกมันห้าคนถูกบีบให้ลอบเดินทางผ่านป่าเขา ยังไม่รู้ว่าอนาคตหู่หลิงหลันจะหาพวกมันพบได้อย่างไร

    ที่หมู่บ้านหลิงอิน ไม่ควรปฏิบัติเช่นนั้นกับนาง… จิงเลี่ยคิดเรื่องนี้ซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง

    แต่ตอนนี้คิดไปจะมีประโยชน์อีก

    ต่อมาถงจิ้งนำคำพูดที่หู่หลิงหลันกล่าวขณะพบเจอนางครั้งสุดท้าย ถ่ายทอดให้จิงเลี่ยรู้

    ‘พี่หลันบอกว่านางจะพยายามทำทุกสิ่งเพื่อสานต่อความฝันของท่าน’ ถงจิ้งบอกมันเช่นนี้

    จิงเลี่ยหลังฟังก็เพียงนิ่งเงียบ ภายหลังมันแทบจะไม่เคยกล่าวถึงหู่หลิงหลันต่อหน้าพวกพ้อง

    แต่นับจากวันนั้นมันก็ตัดสินใจว่า

    ข้าไม่อาจทำให้นางผิดหวัง

    จิงเลี่ยตัดสินใจจะไม่ทำให้ไมตรีจิตของหู่หลิงหลันต้องผิดหวัง ในวันที่นางกลับมา มันต้องทำให้นางมองเห็นตนเองที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ต้องทำให้นางมองเห็นรอยยิ้มที่แท้จริงของมันอีกครั้ง วันเวลาตอนนี้มันล้วนครุ่นคิดและทดสอบวิธีการยกระดับกำลังรบโดยไม่อาศัยมือซ้ายและเท้าขวาอยู่ตลอด

    ยามนี้มันจึงทบทวนว่าก่อนหน้าตื่นเต้นเกินไปเพราะคิดค้นท่าฟองคลื่นตัดเหล็กออกมาได้ ลืมไปว่าวิทยายุทธ์ที่เปลี่ยนแปลงหลากหลายและการปรับตัวก็เป็นจุดเด่นของมันเช่นกัน สภาพความลำบากในตอนนี้ยังคงมีวิธีพิชิต

    …เหอจื้อเซิ่งเจ้าสำนักชิงเฉิงตาเกือบบอด แต่ยังคงทำให้จอมกระบี่เช่นเยี่ยเฉินยวนเกรงกลัว ข้าเองก็ทำได้

    ทว่าพอถึงตอนนี้ หลังรู้ถึงการถ่ายทอดประกาศิตนักสู้หลวง จิงเลี่ยกลับเป็นฝ่ายกังวลถึงความปลอดภัยของหู่หลิงหลัน

    กระทั่งนักสู้ที่มาจู่โจมในตอนนี้แม้ไม่ถึงกับตึงมือนัก แต่อย่างไรหู่หลิงหลันอยู่ข้างนอกลำพังคนเดียว ไม่เหมือนพวกมันทั้งห้าที่ดูแลซึ่งกันและกันได้ หากถูกฝ่ายตรงข้ามใช้แผนร้ายอุบายลวงก็ยากคาดการณ์ จิงเลี่ยจึงอดเป็นห่วงมิได้ อีกทั้งเป็นไปได้มากว่าศัตรูแข็งแกร่งที่ยิ่งกว่ายังคงอยู่เบื้องหลัง…แม้แต่เก้าสำนักใหญ่ต่างก็รับป้ายเหล็กชุมนุมนักสู้จงหย่ง ภายใต้อำนาจของราชสำนัก พวกมันจะตอบสนองเช่นไรก็ยากคาดเดา

    ตอนนี้ความหวังหนึ่งเดียวของจิงเลี่ยคือพวกมันทั้งห้าได้ดึงดูดความสนใจของยุทธภพมาหมดแล้ว ทำให้โอกาสถูกโจมตีของหู่หลิงหลันลดลงอย่างมาก…

    จิงเลี่ยไม่เคยเป็นห่วงหู่หลิงหลันเช่นนี้มาก่อน ตลอดมามันคิดว่านางคือสตรีที่ไม่มีวันทำให้มันเป็นกังวล แต่ตอนนี้ความรู้สึกของมันเปลี่ยนไปแล้ว

    เพียงเพราะหลังแยกจาก จิงเลี่ยจึงรู้อย่างแท้จริงว่าตนเองรักและทะนุถนอมนางเพียงไร

    ตะวันสาดเคลื่อนคล้อย จิงเลี่ยเงยหน้าขึ้นมามองดูใบไม้เขียวปิดนภาของป่าไม้หลังวัดนั้น หวนนึกถึงวันสุดท้ายที่อยู่ร่วมกันกับหู่หลิงหลัน ฉากมองดูนางฝึกดาบท่ามกลางบุปผาแดงเกลื่อนฟ้า ขณะที่ดาบเหยี่ยไท่กวาดมานั้นงดงามยิ่งนัก

    จิงเลี่ยที่เดินทางคนเดียวแต่ไรมา รู้สึกโดดเดี่ยวเช่นนี้เป็นครั้งแรก

    มันเทน้ำในบาตรออกมาชำระล้างคราบเลือดบนมีดไปตามทาง เช็ดคมมีดบนกางเกงจนแห้งแล้วเก็บกลับในฝักหนัง ถือเนื้องูที่ล้างจนสะอาดเดินกลับวัดร้าง ขณะก้มศีรษะมองดูเนื้อในบาตร มันอดมิได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา

    หากอาหลันเองก็อยู่ล่ะก็ ต้องร้องเสียงดังกว่าถงจิ้งเป็นแน่…ชาวรื่อเปิ่นไหนเลยจะกล้ากินงู ไม่…วันหลังพานางกลับไปกินหน่อไม้ดิน* ที่เฉวียนโจวบ้านเกิด นั่นต่างหากที่จะทำให้นางตกใจอย่างแท้จริง…

    จิงเลี่ยกลับเข้าในอุโบสถ เห็นเพียงหยวนซิ่งและถงจิ้งทำความสะอาดพื้นกระดานกึ่งกลางอุโบสถเสร็จแล้วจึงกางที่นอนของทุกคน ถงจิ้งก่อกองฟืนตรงกลาง เตรียมหุงหาอาหารให้จิงเลี่ย

    เลี่ยนเฟยหงยามนี้ก็กลับมาถึงประตูหลักของอุโบสถเช่นกัน เห็นเพียงมันเปลือยร่างท่อนบน ทาของเหลวสีเขียวทั้งร่างตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า…นี่คือการพรางกายนอกป่าที่เมิ่งชีเหอศิษย์สำนักปากว้าผู้เคยเป็นพรานสอนมันสรรค์สร้างขณะอาศัยอยู่ที่หลูหลิง นอกจากสีสันแล้วยังปกปิดกลิ่นกาย อยู่ในป่าเขาแม้กระทั่งสัตว์ป่าเองก็มิอาจรู้ตัว

    “กลับมาแล้ว? ลำบากแล้ว” หยวนซิ่งกล่าวไปยังเลี่ยนเฟยหง เลี่ยนเฟยหงเพียงยิ้มน้อยๆ รับผ้าและใบไม้กองหนึ่งที่ถงจิ้งยื่นมา เช็ดเยื่อสีเขียวแห้งกรังบนหน้า

    “รวมแล้วกี่คน” หยวนซิ่งถาม

    “ทั้งหมด” เลี่ยนเฟยหงตอบเสียงเย็นชา หาได้หยอกล้อดั่งวันวานไม่ บนหน้าและบนร่างของมันยังคงแผ่ไอสังหารที่ยังไม่ดับสูญ “ขออภัย หลวงจีน ข้ามิได้มีเมตตาเช่นท่าน”

    “ข้าละเว้นเพียงแต่เดรัจฉาน” หยวนซิ่งกล่าว “พวกมันกัดแทะเพียงเพื่อระงับความหิวโหย ข้าจำได้ว่าอาจารย์ปู่ใหญ่เคยบอกข้าว่าสังสารวัฏทั้งหกแห่งเวไนยสัตว์ ร่างกายมนุษย์ได้มายากที่สุด เพราะมนุษย์มีทางเลือกมากที่สุด เมื่อมีทางเลือกจึงมีความแตกต่างในเรื่องบาปบุญ”

    “สรุปแล้วคืนสองคืนนี้ พวกเรานอนได้อย่างสงบสุขขึ้นแล้ว” เลี่ยนเฟยหงกล่าวอย่างเฉยชาพลางเช็ดเยื่อสีเขียวที่ทาอยู่บนหน้าออกไป เผยรูปลักษณ์ออกมาอีกครั้ง สีหน้าของมันค่อนข้างอ่อนเพลียกว่าพวกหยวนซิ่งและจิงเลี่ย เหมือนชราภาพกว่าแต่ก่อนหลายปี

    ฝึกฝนอย่างเข้มงวดเพียงใดก็ยากจะทำให้มันหนีพ้นการกัดกินของอายุขัย ผลกระทบต่อเลี่ยนเฟยหงในวันเวลาช่วงนี้จึงเห็นได้ชัดกว่าอนุชนรุ่นหลัง

    นับจากเข้าสู่ป่าร้างเขตแดนตะวันตกของเจียงซี หกกระบี่บ้านแตกถูกพรรคอิงหยางนี้ใช้เหยี่ยวเฝ้าติดตามทิศทางที่จะไปอยู่ตลอด เมื่อหนีเข้าในป่าทึบที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน ฝ่ายตรงข้ามกลับเปลี่ยนเป็นใช้สุนัขล่าเนื้อสะกดรอยตามอีก ทำให้ถูกพบร่องรอยมาตลอด พรรคอิงหยางค้าขายข้อมูลที่อยู่ของพวกมันให้นักสู้ที่ขี่ม้ามาตามชานเมือง สิบกว่าวันที่ผ่านมาหกกระบี่บ้านแตกถูกลอบโจมตีสามคืน แม้ขับไล่ฝ่ายตรงข้ามไปได้ทั้งหมด แต่กลับสิ้นเปลืองแรงกายและจิตใจอย่างมาก หยวนซิ่งและเลี่ยนเฟยหงเหลืออดเหลือทน จึงวางแผนการดักฆ่ากลุ่มคนพรรคอิงหยางที่สะกดรอยตามมา

    “เช่นนั้นก็ประเสริฐ! ยากนักกว่าจะพบวัดแห่งนี้ พวกเราพักผ่อนที่นี่ได้อีกวัน!” ถงจิ้งกล่าวอย่างตื่นเต้น ชี้ฟืนในอุโบสถ “นั่นจุดไฟทำอาหารได้ไหม”

    “ทำให้เสร็จก่อนที่ฟ้าจะมืด” จิงเลี่ยกล่าว “อีกทั้งทำตรงนี้ อย่าให้ควันลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า”

    ถงจิ้งเตรียมก่อไฟอย่างยินดีปรีดา แต่พอมองเห็นเนื้อในบาตรก็แลบลิ้นขมวดคิ้วทันที

    “หืม เอามาจากไหน เนื้ออะไร” เลี่ยนเฟยหงยังคงเช็ดตัวขณะถาม ผิวหนังของมันแม้หย่อนคล้อยเพราะอายุ แต่กล้ามเนื้อบริเวณอก ท้อง ไหล่ และแขนยังคงแข็งแรงบึกบึนไม่ด้อยไปกว่าคนหนุ่มทั้งหลาย

    “ยี้! ตาเฒ่าเน่า!” ถงจิ้งเห็นแล้วหันหน้าหนีอย่างเดียดฉันท์ “ไปสวมเสื้อผ้าข้างนอกไป! ทุเรศจะตาย!”

    เลี่ยนเฟยหงกลับฉีกยิ้มขึ้นมา งอแขนทั้งสองขึ้นให้กล้ามเนื้อนูนจนแข็งแน่น ตั้งใจแสดงให้ถงจิ้งดู จิงเลี่ยและหยวนซิ่งล้วนอดมิได้ที่จะหัวเราะฮ่าๆ

    “จริงสิ…” เลี่ยนเฟยหงยามนี้สำรวมขึ้นมา ยื่นมือชี้หลังคาอุโบสถด้านบน “เด็กคนนั้น…ทำอะไร”

    “มันบอกว่าจะมองดูด้านนอก” ในดวงตาถงจิ้งปรากฏความทุกข์ใจขณะกล่าว “แต่ข้าเห็นมันเหมือนอยากอยู่เงียบๆ คนเดียวมากกว่า”

    “มันดูแปลกไปเล็กน้อย” เลี่ยนเฟยหงจับหนวดพลางกล่าว “คอยสังเกตให้ดีๆ”

    ถงจิ้งพยักหน้า

     

    ท่ามกลางความมืดมิด อาศัยเพียงแสงไฟเท่าเม็ดถั่วดวงเดียว มันเหลือบเห็นแสงสีเงินที่ตัดลงมาสองสายนั้น

    แทบจะไม่ต้องครุ่นคิดอย่างสิ้นเชิง มือซ้ายของมันจับด้ามกระบี่ที่ข้างเอว นิ้วชี้ลูบลายสลักของโกร่งกระบี่ที่หลอมเป็นหัวพยัคฆ์ดุร้าย

    พลันออกจากฝัก

    ประกายคมสั้นกว้างของเจ้าพยัคฆ์ กรีดออกเหนือศีรษะดั่งจันทร์เสี้ยว ปะทะกับประกายสีเงินสายแรก จนแสงกระจายวาบ ก่อนปะทะกับประกายสีเงินอีกสายหนึ่ง ภายในหนึ่งกระบวนอาวุธคู่ของคู่ต่อสู้โจมตียุ่งเหยิงทำให้สูญเสียพลังยิ่ง

    ครั้นมีจังหวะนิ่งหยุด มันมองเห็นชัดว่านั้นคือตะขอเศียรพยัคฆ์คู่หนึ่ง เป็นอาวุธสันทัดของสำนักฉางซานแห่งฉวีโจว… ทว่ามันเพิ่งรู้ถึงเรื่องนี้ในเวลาต่อมาภายหลัง

    ไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น มือขวาเองก็ขยับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ประกายสีเหลืองทองขนาดยาวปรากฏเป็นโกร่งกระบี่ทรงดอกบัวสลักลายมังกร

    พลังกระบี่ก็ราวกับมังกร พุ่งเข้าระหว่างคมโค้งด้านในของตะขอคู่

    ตะขอเศียรพยัคฆ์สีเงินเจิดจ้าหนีบเข้าหากัน หมายจะตรึงคมกระบี่หนามมังกร…นี่คือวิชาสันทัด ‘ตะขอสอยจันทร์’ ของสำนักฉางซาน

    แต่ไม่ทันแล้ว จะสกัดกระบี่เร็วชิงเฉิงก็เฉกเช่นยื่นมือคว้ากิ่งไม้ที่พุ่งลงไปในน้ำเชี่ยว มิใช่คนทั่วไปจะกระทำได้

    ท่าหนีบของตะขอยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง หนามมังกรก็ทะลุผ่านเข้ามาแล้ว

    ด้วยประกายกระบี่ มันมองเห็นใบหน้าของฝ่ายตรงข้ามเป็นครั้งแรก

    ใบหน้านั้นอ่อนกว่ามันไม่กี่ปี ขณะนี้เครื่องหน้าล้วนขยายและบูดเบี้ยวอย่างตะลีตะลาน เป็นความตื่นกลัวอันเปี่ยมล้นในชั่วขณะก่อนตาย

    คาวเลือด

    เยียนเหิงลืมตา สติกลับมายังบนหลังคาวัดร้างในส่วนลึกของป่าทึบแห่งนี้

    มันสูดหายใจเข้าลึกหนึ่งเฮือก ผ่อนคลายอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน กลิ่นคาวโลหิตท่ามกลางความมืดมิดในความทรงจำชวนให้ใจเต้นเร็วขึ้นอย่างยิ่ง

    มันแหงนหน้ามองดู ในป่าไม้มีเพียงวัดแห่งนี้ที่มิได้ถูกต้นไม้สูงเสียดฟ้าบดบัง เป็นสถานที่เพียงหนึ่งเดียวที่มองเห็นท้องฟ้าอย่างแจ่มชัด ท้องนภามืดลงแล้ว กิ่งไม้บนต้นไม้สูงสั่นไหวเล็กน้อยท่ามกลางลมคิมหันต์เอื่อยๆ ป่าทึบอันมืดลึกรอบด้านราวกับซ่อนความลับอันไร้ขอบเขตเอาไว้

    เยียนเหิงหวนนึกถึงผู้ที่ตนเองเคยสังหารในหลายปีที่ผ่านมาขึ้นอีกครั้งอย่างไม่รู้ตัว ตั้งแต่พรรคหม่าไผแห่งเฉิงตูจนถึงกลุ่มศิษย์จอมเวทที่วัดชิงเหลียนแห่งหลูหลิง มันล้วนสังหารโดยมินึกถึงบาปกรรม เวลานั้นมันล้วนมีเหตุผลเพียงพอในการชักกระบี่

    แต่ตอนนี้มันงงงวย

    เยียนเหิงชักเจ้าพยัคฆ์ออกมาด้วยมือซ้ายและออกท่าทางเบาๆ ไปมากลางอากาศ ฝึกซ้อมกระบวนท่ากระบี่ในความทรงจำเมื่อครู่ซ้ำอีกครั้ง

    จำนวนศิษย์จอมเวทที่เคยฆ่า ณ หลูหลิงมันหาได้เคยใส่ใจไม่ แต่นักสู้ที่เคยฆ่าในหลายเดือนมานี้มันกลับจำได้ทุกคน ทั้งหมดสิบสามคน อีกทั้งยังจำได้แม่นถึงฉากต่อสู้กับพวกมัน

    ในใจมันหาได้รู้สึกผิดต่อการสังหารนักสู้ที่มาลอบโจมตีหกกระบี่บ้านแตกเหล่านี้ พวกมันตั้งใจมาฆ่าพวกเรา เช่นนั้นตายใต้คมกระบี่ของพวกเราก็ยุติธรรมอย่างยิ่ง

    โดยเฉพาะหลังจากเยียนเหิงรู้ว่าพวกมันมาเพราะอะไร คนในวิถียุทธ์กลับทุ่มเทให้ชื่อเสียงจอมปลอมที่ราชสำนักประทาน ยิ่งไม่ควรค่าให้เคารพ

    ทำศึกเลือดกุมชัยชนะอย่างต่อเนื่องกับวรยุทธ์ของสำนักที่ต่างกันมากมายนี้ อีกทั้งมิบาดเจ็บสักนิด วิชายุทธ์และความมั่นใจในตนเองของเยียนเหิงก้าวหน้าขึ้นกว่าก่อนหน้าอีกขั้นหนึ่งแล้ว มันมิอาจปฏิเสธความสุขและความพึงพอใจนั้น หนำซ้ำยังหวนระลึกถึงภาพการต่อสู้ขึ้นมาเองเป็นประจำ ทุกขณะที่อยู่ท่ามกลางกระแสลมคมอาวุธและประกายโลหิตนั้น

    แต่ในขณะเดียวกันในใจมันก็มิอาจหลุดพ้นความรู้สึกว่างเปล่า

    นับจากตัดสินใจแก้แค้น เยียนเหิงเคยคิดว่ากระบี่ของตนเองจะเปื้อนเพียงโลหิตสดของสำนักอู่ตัง บัดนี้มันกลับม้วนเข้าสู่วังวนการต่อสู้อันวุ่นวายและไร้สาระ มันหาได้เคยจินตนาการว่าจะเป็นเช่นนี้ไม่

    อาจารย์ เพราะเหตุใด…

    เยียนเหิงนึกถึงเหอจื้อเซิ่ง มันจำได้ว่าทุกครั้งที่มองเห็นอาจารย์บนเขาชิงเฉิง ทุกคำพูดและการกระทำยามปกติมักแฝงความเย็นชาที่มิอาจเอื้อนเอ่ย มีเพียงขณะเยียนเหิงกราบเป็นศิษย์สาวกสืบมรรคา เหอจื้อเซิ่งจึงเผยรอยยิ้มอบอุ่นออกมาอย่างชวนให้ผิดคาด

    ตอนนี้ผ่านเรื่องราวมามากมาย เยียนเหิงรู้สึกว่าตนเองเหมือนค่อยๆ เข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดอาจารย์จึงเป็นเช่นนี้

    หากวันใดหยิบกระบี่ขึ้นมาก็จะมิอาจหลีกเลี่ยงการเข่นฆ่า…ไม่ว่าจะยินยอมหรือไม่ยินยอม ไม่ว่าเป็นเพราะแก้แค้น หรือเผชิญกับผู้ที่ไม่รู้จัก

    เหมือนเช่นศิษย์สำนักฉางซานผู้นั้น…มันคงเพียงรับคำสั่งของอาจารย์กระมัง?

    เพื่อเตรียมพร้อมชิงเอาชีวิตของผู้อื่นทุกเมื่อ จึงจำเป็นต้องปิดส่วนใดส่วนหนึ่งในใจไว้

    นี่คือชะตากรรมของผู้เป็นมือกระบี่

    เจ้าพยัคฆ์ในมือเยียนเหิงยิ่งฟาดฟันยิ่งรุนแรงอย่างไม่รู้ตัว ส่งเสียงแหวกอากาศเสมือนลมภูเขายามราตรีที่หวีดแหลม สายตาของมันก็เปลี่ยนไปเช่นกัน…น่ากลัวกว่าที่ถงจิ้งมองเห็นในวัดซอมซ่อคืนนั้นเสียอีก

    “ต้องกินข้าวแล้ว! รีบลงมา!” เสียงที่คุ้นเคยเรียกมันกลับมาจากอาการเคลิบเคลิ้มนี้

    เป็นถงจิ้งที่แหงนหน้าตะโกนผ่านโพรงหลังคาของอุโบสถด้านล่าง ยามนี้เยียนเหิงจึงรับรู้ได้ถึงกลิ่นหอมของเนื้อที่ลอยขึ้นมา แววตาของมันคืนกลับสู่เช่นยามปกติและสอดเจ้าพยัคฆ์เข้าฝักเบาๆ

    มันล้วงสิ่งหนึ่งออกมาจากถุงผ้าตรงข้างเอว เป็นไม้ขนาดยาวเท่าฝ่ามือ ครึ่งหนึ่งถูกมีดสลักเสลาออกมา เห็นได้รางๆ ว่าเป็นร่างคนถือกระบี่

    เยียนเหิงมองดูหุ่นมนุษย์ที่ยังไม่เสร็จนี้ มุมปากปรากฏรอยยิ้มอันอบอุ่น

    สิ่งที่ทำให้จิตวิญญาณมันกลับสู่ความสงบมีเพียงมิตรภาพของพวกพ้อง

    เยียนเหิงปีนต้นไม้ที่ยื่นขวางมาด้วยสองมือ ขาทั้งสองพอแตะกำแพงก็กระโดดลงไปอย่างเบาหวิว หมุนตัวเข้าอุโบสถ

    เยียนเหิงเฝ้าดูอยู่ข้างนอกเนิ่นนาน กลับไม่พบว่ามีเงาร่างหนึ่งนั่งย่อเพ่งเล็งเฝ้าจับตาวัดร้างอยู่ตรงส่วนลึกของป่าทึบอันไกลโพ้นทางทิศใต้มาตลอด

    คนผู้นั้นทั่วทั้งร่างสวมชุดดำพรางกายรัดรูป ใบหน้าต่างก็คลุมไว้ด้วยผ้าดำ แขนเสื้อกับขากางเกงรัดแน่นถึงศอกและเข่า แขนขาที่เรียวยาวแต่เดิมเหมือนขาแมวมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มันยกขาทั้งสองยืนขึ้นทีละชุ่นอย่างเชื่องช้าสุดขีด ร่างท่อนบนมั่นคงอย่างยิ่ง แนบกับต้นไม้ด้านข้างไม่ห่างโดยตลอด ทำให้เงาร่างถูกมองออกได้ยากยิ่งขึ้นเหมือนเพียงมองเห็นเงาไม้ตามธรรมชาติกลุ่มหนึ่ง นอกจากจะสายตาดียิ่งในระยะใกล้

    หลังจากที่มันยืนตรงได้จึงเผยเรือนร่างสูงใหญ่ออกมา ที่ข้างเอวและไหล่ล้วนห้อยห่อผ้าดำหลากหลายรูปทรง ดูเหมือนล้วนมีน้ำหนักพอประมาณ แต่มันควบคุมการยืนอย่างเนิบช้าเช่นนี้ได้กลับชวนให้รู้สึกว่าท่าทางไม่เปลืองแรงแม้แต่น้อย

    ดวงตาทั้งสองภายใต้ผ้าดำโพกศีรษะจ้องมองวัดร้างฝั่งตรงข้ามที่ห่างออกไปสามสิบจั้งอยู่ตลอด ไม่แม้แต่จะกะพริบตาสักนิด ในดวงตาปรากฏความบ้าคลั่งอันยากจะพรรณนา

    “ตาเฒ่า…เป็นเจ้า เป็นเจ้าจริงๆ สนุกนัก”

    สุ้มเสียงมันแหลมบาง ฟังออกว่าอายุไม่น้อยแล้ว

    คนชุดดำท่องคำพึมพำ มือซ้ายวางอยู่ข้างเอว จับด้ามกระบี่ด้านในที่ห่อไว้ด้วยผ้าและเริ่มเดินถอยหลัง

    ท่วงท่าเดินถอยนี้ของมันแปลกยิ่งนัก หาได้ถอยหลังเป็นเส้นตรงไม่ แต่ขาทั้งสองก้าวเป็นเส้นโค้งไม่หยุด เมื่อซ้ายขวารวมกันกลับเปลี่ยนเป็นล่าถอยตรงๆ ฝีเท้ามั่นคงรวดเร็ว มิได้ชวนให้รู้สึกว่ามันเดินอยู่ในป่าร้างกลางราตรีมืดแม้แต่น้อย

    ปากมันยังคงพึมพำกับตัวเองขณะเดิน กลับเป็นคำที่ฟังไม่เข้าใจความหมาย น้ำเสียงคล้ายกำลังท่องคาถา ชวนให้ขนพลองสยองเกล้าในความมืด

    หลังเดินถอยได้หลายสิบก้าว คนชุดดำกลับสู่หลุมตื้นที่เคยหลบซ่อนก่อนหน้า ห่อของและถุงสัมภาระของมันก็วางอยู่ด้านใน

    ในหลุมยังมีคนอีกสองคน เป็นคนที่เหลืออยู่ของกลุ่มคนพรรคอิงหยาง ในมือพวกมันยังถือเชือกหนังจูงสุนัขหกเส้น คนทั้งสองกับสุนัขล่าเนื้อหกตัวหลบอยู่ในหลุมร่องที่ไม่มีน้ำไหลนี้อย่างนิ่งเงียบ รอคอยบุรุษชุดดำผู้นี้อยู่ตลอด มิกล้าออกห่างแม้แต่ก้าวเดียว

    “อืม ถูกต้อง…คืนนี้ ฉวยโอกาสตอนพวกมันคลายความระแวง ซ้ำยังพักผ่อนไม่เพียงพอ…หือ…” คนชุดดำพยักหน้าพลางกล่าวพึมพำไม่หยุด คำพูดนี้ของมันหาได้กล่าวกับกลุ่มคนพรรคอิงหยางสองคนนั้น แต่พึมพำกับตัวเองอยู่ตลอด ซ้ำยังเหมือนพูดคุยกับมนุษย์ล่องหนกลางอากาศที่มีเพียงมันจึงมองเห็น

    เมื่อมองเห็นคนชุดดำกลับมา สุนัขล่าเนื้อหกตัวนั้นล้วนเหมือนถูกตรึงไว้อยู่ที่เดิม มิกล้าขยับไหวสักนิด แววตาในขณะนี้ของพวกมันกลับเกรงกลัวยิ่งกว่าพบเจอหยวนซิ่งก่อนหน้า

    คนพรรคอิงหยางสองคนนั้นเองก็เช่นกัน พวกมันรอคอยพวกพ้องหกคนที่ไปสะกดรอยตามในป่า แต่เฝ้ารอเนิ่นนานก็ไม่มีผู้ใดกลับมา จึงส่งสุนัขไปตามหา ผลสุดท้ายก็พบซากศพของคนทั้งหกอยู่ตรงรากไม้เก่าแก่ต้นหนึ่ง

    พวกมันหวาดผวาอย่างยิ่ง รู้ว่าการค้าขายนี้ไม่ควรค่าให้กระทำต่อไปอีก จึงนำสุนัขหมายเดินออกจากป่าไป ไหนเลยจะคาดคิดว่าระหว่างทางจะประสบกับบุรุษชุดดำผู้นี้บีบบังคับให้พวกมันปล่อยสุนัขล่าเนื้อสะกดรอยตามหกกระบี่บ้านแตกอีกครั้ง

    พวกมันทำตามอย่างมิได้คิดมาก มองดูดวงตาที่ไม่เยาว์วัยแล้วคู่นั้นของบุรุษชุดดำ คนทั้งสองก็รู้โดยสัญชาตญาณว่าผลลัพธ์ของการปฏิเสธน่ากลัวเพียงใด

    “ใช่แล้ว…มิอาจใจร้อน…” บุรุษชุดดำผู้นั้นยังคงกล่าวสืบต่อ ขณะพูดก็คล้ายท่องคาถาประหลาดแฝงเข้าไปด้วย ในขณะเดียวกันมันพลิกหาถุงสัมภาระ ล้วงหยิบหมูแผ่นแห้งชิ้นหนึ่งออกมาจากด้านใน เงยหน้าซึ่งอำพรางด้วยผ้าดำขึ้น แล้วยกฝ่ามือที่สวมถุงมือดำยื่นหมูแผ่นส่งเข้าปากอันปรกล้อมด้วยเครายาวสีดอกเลา

    ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเข้าใจผิดในความมืดหรือไม่ นายพรานพรรคอิงหยางสองคนนั้นมองเห็นรางๆ ว่าบนร่างบุรุษชุดดำคล้ายแผ่ควันบางๆ ออกมา

    “คนแรก เป็นคนชรา” หลังมันกินเสร็จ ปากนั้นเผยรอยยิ้มบ้าคลั่งออกมาและพึมพำสืบต่อ “ต้องฆ่า ฆ่าให้เกลี้ยงทั้งหมด”

    ขณะมันกล่าว ป่าไม้รอบด้านก็มืดลงทั้งหมดในที่สุด เงาร่างและเค้าโครงที่ปรากฏเพียงเล็กน้อยของมันก็ถูกความมืดมิดกลบทับ

     

    โปรดติดตามตอนต่อไป…

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook