• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่านนิยายสยบฟ้า พิชิตปฐพี เล่ม 13 ตอนที่ 2

    “ไม่ว่าซย่าโหวจะยอมรับหรือไม่ แต่แค่เรื่องที่ผู้ใต้บังคับบัญชาไปก่อตั้งกลุ่มโจรขี่ม้าขึ้นในทุ่งร้าง ปล้นชิงเสบียงอาหารของกองทัพร่วมก็เพียงพอที่จะเอาผิดมันแล้ว”

    หนิงเชวียยิ้มเฝื่อนๆ อันที่จริงมันไม่เข้าใจถึงสาเหตุที่ศิษย์พี่ใหญ่พามันมาเมืองถู่หยาง แล้วก็ไม่แน่ใจว่าคำพูดของศิษย์พี่ใหญ่ที่ว่าซย่าโหวต้องให้คำอธิบายนั้นจะคลี่คลายกันอย่างไร สำหรับเรื่องกลุ่มโจรขี่ม้าในทุ่งร้าง มันมีหลักฐานเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือคำสารภาพของหลินหลิง แต่คำสารภาพของคนที่ตายไปแล้วคงไม่สามารถทำให้ซย่าโหวสะดุ้งสะเทือนได้ ส่วนกำปั้นที่จู่โจมหมายเอาชีวิตมันตอนแย่งชิงคัมภีร์สวรรค์ตรงปากทางออกสำนักพรรคมาร รวมทั้งเรื่องที่กองกำลังทหารชายแดนของต้าถังรุดมากดดันในภายหลัง ก็ต้องดูว่าจะโค่นซย่าโหวลงได้หรือไม่

    ประตูหน้าของจวนแม่ทัพใหญ่ทั้งกว้างใหญ่และหนาหนัก ถนนด้านหน้าถูกปัดกวาดจนสะอาดสะอ้าน นายทหารระดับรองแม่ทัพและเซี่ยวเว่ยต่างมายืนเรียงแถวรอต้อนรับอยู่สองข้างทาง เมื่อเทียบกับบรรยากาศโดยรอบ รถม้าคันนี้จึงยิ่งดูสมถะและเก่าโทรมมากขึ้น

    รถม้ามิได้หยุดลงตรงหน้าประตู แต่แล่นเลยเข้าไปด้านใน เหล่าทหารหาญที่ได้รับคำสั่งให้มายืนแถวรอรับอยู่ด้านนอกยิ่งรู้สึกแตกตื่นประหลาดใจหนักขึ้นไปอีก คิดในใจ คนในรถม้าเป็นผู้ใดกัน ถึงได้วางท่าใหญ่โตเยี่ยงนี้ แม่ทัพใหญ่ซย่าโหวคือหนึ่งในบุคคลที่มีอำนาจทางการทหารมากที่สุด แม้จะเป็นคนที่ทางวังหลวงส่งมาก็ยังไม่มีคุณสมบัติแล่นรถม้าเข้าไปถึงข้างใน

    การที่ผู้มามิได้ลงจากรถม้าตรงหน้าประตูจวนก็เพราะศักดิ์ฐานะของมันเหนือกว่าคนทั่วไปจริงๆ คนอย่างศิษย์พี่ใหญ่น้อยครั้งนักที่จะปรากฏตัวสู่โลกภายนอก ดังนั้นการที่มันมาเมืองถู่หยางย่อมต้องมิใช่เรื่องดีแน่ ไม่ว่าจะกับราชสำนักหรือซย่าโหว

    รถม้าวิ่งลึกเข้าไปในจวนก่อนหยุดลงข้างสวนเหมันต์ ที่ปรึกษานามว่ากู่ซีซึ่งยืนคอยต้อนรับค้อมตัวคารวะ แล้วนำทางพวกมันไปยังปากทางเข้าสวน พอได้ยินนามของคนผู้นี้ สีหน้าของหนิงเชวียก็พลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย

    ที่นั่น แม่ทัพใหญ่ซย่าโหวยืนคอยอยู่แล้ว สีหน้าท่าทางมันสงบนิ่ง แต่มิทราบว่าในใจมันเป็นเช่นไร

    เหตุการณ์ตรงริมทะเลสาบฮูหลันผ่านไปได้หลายวันแล้ว ยามนี้พอพบหน้ากันอีกครั้ง ทั้งสองฝ่ายต่างก็มิได้หยิบยกเรื่องที่เกิดขึ้นมาพูดอีก เพียงทักทายกันตามมารยาทเสมือนหนึ่งเพิ่งเคยพบหน้ากันเป็นครั้งแรก

    ภายในสวนจัดวางอาหารเรียบง่ายเป็นกันเองไว้หนึ่งโต๊ะ ไม่มีอาหารเถื่อนดิบอย่างเช่นสมองวานรอย่างที่ผู้คนเล่าลือกัน และยิ่งไม่มีภรรยาน้อยถูกต้มทั้งเป็นมาทดสอบความกล้าของผู้มาเยือน บนโต๊ะไม้สีดำมีเพียงโจ๊กข้าวสามสี และกับข้าวง่ายๆ แค่ไม่กี่อย่าง ทั้งหมดต่างกินกันเงียบๆ ไม่มีผู้ใดเอ่ยปากสนทนา

    หนิงเชวียกินโจ๊กข้าวกับผักดองไปได้ไม่กี่คำก็ใช้ปลายตะเกียบเขี่ยผักดองในชามเล่น จากนั้นค่อยเงยหน้ามองไปทางซย่าโหวที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ

    หากคำพูดประโยคหนึ่งท่ามกลางความสงบเงียบ ไม่ต่างอะไรกับฟ้าร้องดังกึกก้อง

    เช่นนั้นสายตาที่มองปราดมาท่ามกลางความสงบนิ่ง ก็ไม่ต่างอะไรกับฟ้าแลบแปลบปลาบ

    ในฐานะอาคันตุกะ การมองเจ้าบ้านตาเขม็งถือเป็นการไร้มารยาท ยิ่งในยามที่มีศิษย์พี่ใหญ่นั่งอยู่ด้วย ตัวเองซึ่งเป็นศิษย์น้องเล็กมาชิงทำการเคลื่อนไหวไปเสียก่อน นี่ไม่เพียงไร้มารยาท ยังออกจะเป็นการกระทำที่ไร้เหตุผล หนิงเชวียทั้งๆ ที่รู้แต่ก็ยังทำ เป็นเพราะมันต้องการมองศัตรูคู่อาฆาตคนนี้ให้เต็มตาสักครั้ง

    ศิษย์พี่ใหญ่ชำเลืองมองมาอย่างแปลกใจ แต่แล้วก็ยิ้มก้มหน้ากินต่อ เทียบกับซย่าโหว ศิษย์น้องเล็กและบรรยากาศที่มีกลิ่นอายความไม่สงบคุกรุ่นอยู่รำไร ดูเหมือนศิษย์พี่ใหญ่จะให้ความสนใจกับโจ๊กข้าวตรงหน้ามากกว่า

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook