ความจริงของ ‘นินจา’ ตำนานนักฆ่าไร้เงาแห่งอาทิตย์อุทัย

‘นินจา’ เป็นหนึ่งในชื่อของนักรบจากแดนอาทิตย์อุทัยที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก ภาพลักษณ์ของนินจาที่ผู้คนต่างจดจำคือนักรบที่มีความว่องไวสามารถทำภารกิจสังหารได้อย่างแนบเนียน มีทักษะการปลิดชีวิตระดับสูง และมีใช้คาถานินจาที่เหนือธรรมชาติได้

เรื่องเล่าต่างๆ นานาเกี่ยวกับนินจาถูกนำไปดัดแปลงเป็นภาพยนตร์หรือการ์ตูนมังงะ(การ์ตูนของประเทศญี่ปุ่น) แต่แท้จริงแล้ว‘นินจา’ จะเป็นอย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกันจริงๆ หรือ?

วันนี้เราลองถกเถียงกัน เกี่ยวกับเรื่องเล่าของ ‘นินจา’ กันดู

ผู้ให้กำเนิด ‘นินจา’

‘นินจา’ หรือ ‘ชิโนบิ’ ในภาษาญี่ปุ่นมีความหมายว่า ‘ผู้คงทน’ ประวัติศาสตร์แท้จริงของนินจาไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจน แต่ตามหลักฐานที่มีต้นกำเนิดของนินจามาจากคนผู้หนึ่งในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น เขาคือ ‘มินะโมโตะ โนะ โยชิซึเนะ’ ตำนานเล่าว่าได้รับการถ่ายทอดวิชาจาก ‘เท็นงู’ จนมีความสามารถในการรบมากกว่านักรบคนอื่นในยุคนั้น และเมื่อถึงคราวต้องจากโลกนี้ไป ตำนานเล่าว่าเขากลายเป็นคนให้กำเนิด 2 ตะกูลนินจาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนั่นก็คือตะกูล‘อิงะ’ และ‘โคงะ’ และแตกแยกออกไปกลายเป็นตะกูลอื่นๆ ในที่สุด

แก่นแท้ของ ‘คาถานินจา’

‘คาถานินจา’เป็นวิชาที่นิจาใช้ในการต่อสู้หรือทำภารกิจต่างๆ จากภาพยนตร์หรือมังงะที่เล่าคาถานินจาเป็นเหมือนพลังธรรมชาติที่เหนือมนุษย์ แท้จริงแล้วมันไม่ใช่แบบนั้นเลย

‘นินจุตสุ’ คือแก่นแท้ของคาถานินจา ซึ่งเป็นหนึ่งในวิชาการต่อสู้แขนงหนึ่งที่ใช้ในการขโมย

หลักสำคัญของวิชานี้จะเน้นไปที่การฝึกฝนร่างกายให้มีความว่องไวเป็นพิเศษ การเคลื่อนที่แบบไร้เสียงที่เรียกว่า ‘ฝีเท้าจิ้งจอก’และลูกเล่นในการพรางตัวให้เข้ากับบรรยากาศรอบข้าง พวกเขาจะพยายามหลีกเลี่ยงการต่อสู้ซึ่งๆ หน้า แต่พวกเขาจะโจมตีที่จุดตายอย่างแนบเนียนไปเน้นใช้กำลังแต่เน้นไปที่การโจมตีในจุดที่ได้ผลดีที่สุด เพราะวิชานี้เองที่ทำให้พวกเขากลายเป็นนักฆ่าที่น่ากลัวมากในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น

หรือ ‘นินจา’ ไม่ได้ถูกสร้างมาให้ฆ่าคน

มีเรื่องเล่าหนึ่งที่ผมได้ฟังจากคนไทยที่ใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่นคนหนึ่งกล่าวว่า“คนทั่วโลกมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับนินจา” เขาเล่าว่าแท้จริงแล้วกลุ่มคนที่เรียกว่า‘นินจา’ ไม่ได้มีหน้าที่ในการสังหารแต่มีหน้าที่ในการสืบหาข่าวสารเป็นหลัก

ในยุคสงครามสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กำลังพลในการรบก็คือข่าวสาร เพราะถ้าเรารู้ความลับของฝ่ายตรงข้ามเราก็สามารถเอาชนะได้ด้วยจำนวนและกำลังที่น้อยกว่า‘ข่าวสาร’ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ใช้ในการสู้รบและ ‘นินจา’ ก็คือหน่วยพิเศษที่ถูกฝึกฝนความสามารถในการหาข้อมูลโดยเฉพาะทั้งในการปลอมตัวที่แนบเนียน การบุกเข้าไปยังฐานศัตรูเพื่อหาข่าวส่งกลับไปยังฝ่ายตัวเอง จึงเป็นหน้าที่หลักของคนที่เป็นนินจา แต่ในบางครั้งที่การเคลื่อนไหวถูกจับได้หรือภารกิจล้มเหลว พวกเขาก็มีวิชาป้องกันตัวระดับสูงอย่างที่ได้กล่าวไป จนภายหลัง ผู้คนต่างจดจำพวกเขาในฐานะ ‘มือสังหาร’ มากกว่า ‘หน่วยสืบค้น’

‘นินจา’ นักรบแห่งความอดทน และสิ่งดีๆ ที่ถูกส่งต่อผ่านยุคสมัย

แม้ประวัติศาสตร์แท้จริงของนินจาจะเป็นอย่างไรก็ไม่ยังไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ แต่ ‘นินจา’ ได้กลายมาเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นไปแล้วว่าเป็นนักรบที่อุทิศตัวเพื่อประเทศชาติและสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่อีกมากมาย ในเรื่องของ ‘ความอดทน’ การฝึกของนินจาเป็นอะไรที่ยากมากผู้ที่จะเป็นนินจาได้ต้องผ่านการฝึกฝนที่ยากลำบากแบบที่เราไม่เคยจินตนาการมาก่อน

ภาพลักษณ์และตัวตนของนินจาจึงกลายเป็นสิ่งเตือนใจให้กับเด็กๆ ชาวญี่ปุ่น ในการพยามยามทำอะไรสักอย่างให้ประสบความสำเร็จ ด้วยความอดทนอุสาหะ และรู้ถึคุณค่าที่เราได้ทุ่มเททำลงไปในสิ่งนั้น

นี่อาจเป็นหนึ่งในเรื่องเล่าที่เสริมสร้างให้คนญี่ปุ่นมีนิสัยที่ว่า ‘ทำอะไรต้องทำให้ดีที่สุด’เราจะเห็นเพอร์เฟคชั่นนิสมากมายในสังคมบ้านเขา บางทีเรื่องราวในอดีตอาจเป็นตัวสอนอะไรบางอย่างให้กับการเปลี่ยนแปลงของโลกว่าถึงแม้โลกนี้จะเปลี่ยนแปลงไปสักแค่ไหน

‘แต่แก่นแท้ของผู้คนก็ไม่มีวันเปลี่ยนตาม’

เรื่องเล่าของนินจาและความเข้าใจเกี่ยวกับกลุ่มคนนี้นอกจากจะเป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตแล้วยังเป็นแรงบันดาลใจในการเขียนนิยายเรื่อง‘โลกนักฆ่า’อีกด้วย ในโลกที่เหล่านักฆ่าหลากหลายลักษณะมารวมตัวกัน มีรึ!ที่นินจาจะไม่เข้าไปเป็นหนึ่งในตัวละครของเรื่องแต่ตัวละครตัวนั้นจะมีความสามารถอะไรจะเหมือนกับนินจาในประวัติศาสตร์มากแค่ไหนคงต้องไปอ่านกันเองดู

>>>http://bit.ly/2X0a913<<<

ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก : http://tokyobackpack.com/ninja-japan/

และรูปภาพจาก

โยชิซึเนะ : https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%95%E0%B8%B0_%E0%B9%82%E0%B8%99%E0%B8%B0_%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%95%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B8%B0

รูปนินจา : https://allabout-japan.com/th/article/1992/